More Related Content
Similar to %A1%d2%c3%e0%a2%d5%c2%b9%c3%d2%c2%a7%d2%b9
Similar to %A1%d2%c3%e0%a2%d5%c2%b9%c3%d2%c2%a7%d2%b9 (20)
%A1%d2%c3%e0%a2%d5%c2%b9%c3%d2%c2%a7%d2%b9
- 1. ติ๊ง ต่อง ณ คาบเรียนวิชาภาษาไทย
แนวคิด
ในการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหาความรู้จากแหล่ง
ต่างๆอย่างมีระบบและเป็นแบบแผนเป็นส่วนประกอบที่สำาคัญ
ยิ่งและในการเขียนเสนอผลการค้นคว้าด้วยการเขียน
รายงาน ผู้เขียนต้องจัดรูปแบบ วิธีการในการเขียน การใช้
ภาษาให้เหมาะสม จึงจะสามารถเขียนรายงานได้ถูกต้อง
อาจาร
ย์ครับ
เรื่องนี้มี
แนวคิด
อย่างไร
ครับ
เมื่อเนเน่
เรียนแล้ว
หนูจะมี
ความ
สามารถยัง
ไงคะ
- 4. 1. ชื่อเรื่อง ให้เขียนไว้กลางหน้าปกส่วนบน
2.ชื่อผู้ทำารายงาน ถ้ามีหลายคนต้องเขียนให้ครบทุก
คน โดยเขียนไว้ตรงส่วนกลางชองหน้าปก
3.ชื่อวิชา ภาคเรียน ปีการศึกษาที่ทำา และชื่อสถาน
ศึกษา ให้เขียนไว้กลางหน้าปกส่วนล่าง
การเขียนหน้าปก
1.ไม่ต้องเขียนคำาว่ารายงานหน้าชื่อเรื่อง
2.ช่องว่างระหว่างชื่อเรื่อง กับชื่อผู้ทำารายงานเท่ากับ
ช่องว่างระหว่างชื่อผู้ทำารายงานกับชื่อวิชา
ใบรองปก เป็นกระดาษเปล่าไม่ต้องเขียนข้อความใด
ๆ
หน้าปกใน เหมือนหน้าปกทุกประการ
คำานำา
ลักษณะของคำานำา คือ ข้อตกลงเบื้องต้นระหว่างผู้ทำา
รายงานกับผู้อ่านรายงาน อันจะช่วยให้อ่านรายงานนั้นถูก
ต้องและได้ผลดียิ่งขึ้น คำานำาไม่ใช่ข้อแก้ตัวหรือออกตัวของผู้
ทำารายงาน
การเขียนคำานำา ควรมี 3 ย่อหน้า ดังนี้
1.ย่อหน้าที่ 1 บอกความสำาคัญของเรื่องที่เขียนว่ามี
ความสำาคัญหรือมีความน่าสนใจอย่างไรเป็นการกล่าง
ถึงภูมิหลังของรายงานนี้อย่างย่อยที่สุด
2.ย่อหน้าที่2 บอกเนื้อหาสาระหรือเรื่องราวที่ทำาโดยสรุป
ว่ากล่าวถึงเรื่องใดบ้างและเรื่องเหล่านั้นได้ข้อมูลมา
จากแหล่งใด
3.ย่อหน้าที่3 บอกความคาดหวังที่จะได้จากรายงาน
ฉบับนี้ จะมีประโยชน์กับผู้ใดอย่างไร เป็นต้น
สารบัญหรือสารบัญ
ส่วนประกอบของสารบัญ
1.หัวเรื่อง หรือเรื่อง หรือบทที่ปรากฏอยู่ที่รายงาน
- 6. เนื้อหา
ลักษณะของเนื้อหา เนื้อหา คือ ข้อมูลที่รวบรวมมาจาก
การศึกษาค้นคว้าและนำามาเลือกสรรเฉพาะที่ตรงกับสาระ
สำาคัญของเรื่องที่ต้องการจะเสนอ ข้อมูลที่นำามาเขียนต้องถูก
ต้องและการนำาข้อมูลมาต้องอ้างหลักฐานที่มาให้ถูกวิธี
ส่วนประกอบของเนื้อหา เนื้อหาของรายงานมีส่วนประกอบ 3
ส่วน คือ
1.บทนำา
2.ตัวเรื่อง
3.สรุป
1.บทนำา กล่าวถึงภูมิหลังและความสำาคัญของเรื่องที่ทำา
อย่างละเอียด
2.ตัวเรื่อง กล่าวถึงสาระสำาคัญของรายงานอย่างละเอียด
โดยเรียงตามลำาดับความคิดและเหตุผลอาจแบ่งหลายบท
หลายหัวข้อ ตัวเรื่อง ประกอบด้วย
- เนื้อหา
- ตัวอย่าง ข้อความที่คัดลอกมา ข้อความที่ย่อมา
- รูปภาพ
- ตาราง
- เชิงอรรถ
3.บทสรุป กล่าวถึงสาระของรายงานโดยสรุป อาจมีตอน
เดียวหรือหลายตอนก็ได้
อ.แล้ว
บรรณานุกร
มล่ะครับ มัน
มีหลัก
อย่างไรบ้าง
ในการเขียน
- 8. 5.นำามาจากการสัมภาษณ์
ชื่อ ชื่อสกุลผู้ให้สัมภาษณ์ , ตำาแหน่ง ( ถ้ามี ) . สัมภาษณ์,
วัน เดือน ปี .
6.นำามาจากวัสดุอื่นๆ เช่น แถบบันทึกเสียง แถบวีดิ
ทัศน์
ชื่อ ชื่อสกุลผู้บรรยาย ผู้พูดหรือผู้ขับร้อง . ชื่อเรื่อง .
(ประเภทของวัสดุ) . ชื่อจังหวัด: ผู้ผลิต
หรือ ผู้จัดทำา, ปีที่ผลิต .
ข้อสังเกตในการเขียนบรรณานุกรม
1.การใช้คำาเรียกอาจใช้ได้ดังนี้
- บรรณานุกรมเมื่อมีเอกสารอ้างอิงมากกว่า 5 เล่ม
- หนังสืออุเทศ มีเอกสารอ้างอิงไม่เกิน 5 เล่ม
- หนังสืออ้างอิงเป็นคำากลางๆ ใช้ได้ทุกกรณี
2.การเรียงลำาดับ
- ถ้าหนังสืออ้างอิงมีทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ
ให้เรียงหนังสืออ้างอิงภาษาไทยก่อนภาษาต่างประเทศ
- การเรียงลำาดับบรรณานุกรม ให้เรียงลำาดับตัวอักษร
ของชื่อผู้แต่ง โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับกับการเรียงคำา
ในพจนานุกรม
3.การขึ้นบรรทัดใหม่ รายละเอียดของเอกสารแต่ละเล่ม
ถ้าเขียนไม่พอในบรรทัดเดียว บรรทัดต่อไปให้ย่อเข้ามา
ประมาณ 7 ตัวอักษร ( อาจเว้นเข้ามา 3-7 ตัวอักษรแล้ว
แต่ข้อตกลงของแต่ละสถาบัน)
ใบรองปกหลัง เป็นกระดาษเปล่าไม่ต้องเขียนข้อความใดๆ
- 10. หมายเหตุ ช่องว่างระหว่างชื่อเรื่อง กับ ชื่อ เลขที่ ชั้นของผู้
ทำารายงาน เท่ากับ ช่องว่างระหว่างชื่อ เลขที่ ชั้น ของผู้
ทำารายงาน กับ ชื่อวิชา
2. ใบรองปก
ใบรองปก เป็นกระดาษเปล่าไม่เขียนอะไรเลย ให้ใช้ขนาด
และลักษณะเดียวกับกระดาษเขียนรายงาน
- 15. เนื้อหา (6. บทนำา, 7. เนื้อหา, 8. บทสรุป)
6. บทนำา
7. เนื้อหา
8. บทสรุป
( ทั้ง 3 ส่วนนี้ คือ เนื้อหาในรายงาน แบ่งเป็นกี่เรื่อง กี่
บท แล้วแต่จุดประสงค์ของผู้เขียนรายงานเรื่องนั้นๆ )
เนื้อหา ประกอบด้วยบทนำา เนื้อหาสาระ หรือบทต่างๆ
ในรายงาน และบทสรุป
9. บรรณานุกรม
บรรณานุกรม
ชื่อ ชื่อสกุล, ยศ หรือฐานันดรศักดิ์ หรือราชทินนาม –ถ้ามี-.
ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์.
จังหวัดที่พิมพ์ : สำานักพิมพ์, ปีที่พิมพ์
ชื่อ ชื่อสกุลผู้เขียนบทความ. “ชื่อบทความ,” ในชื่อหนังสือ.
ชื่อบรรณาธิการหรือผู้รวบรวม
(ถ้ามี). หน้าของบทความนั้น. จังหวัดที่พิมพ์ : สำานัก
พิมพ์ หรือผู้จัดพิมพ์, ปีที่พิมพ์.
ชื่อ ชื่อสกุลผู้เขียนบทความ. “ชื่อบทความ,” ชื่อวารสาร.
ปีที่หรือเล่มที่ (ฉบับที่) : หน้าที่
ตีพิมพ์บทความ ; วัน เดือน ปี.
ชื่อ ชื่อสกุลผู้เขียนบทความ. “ชื่อบทความ,” ชื่อ
หนังสือพิมพ์. วัน เดือน ปี. หน้าที่ตีพิมพ์ บทความ.
ชื่อ ชื่อสกุลผู้ให้สัมภาษณ์, ตำาแหน่ง (ถ้ามี). สัมภาษณ์, วัน
เดือน ปี.
ชื่อ ชื่อสกุลผู้บรรยาย ผู้พูด หรือผู้ขับร้อง. ชื่อเรื่อง.
(ประเภทของวัสดุ). ชื่อจังหวัด : ผู้ผลิต
หรือผู้จัดทำา, ปีที่ผลิต.
- 16. บรรณานุกรม คือ รายชื่อหนังสือ หรือเอกสารที่อ้างอิง
ข้อมูลในการศึกษาค้นคว้าเรื่องนั้นๆ ซึ่งจัดเรียงไว้ตามลำาดับ
ตัวอักษรของชื่อผู้แต่ง หรือหน่วยงาน
ที่เป็นเจ้าของ
- 18. การเตรียมเขียนรายงานเชิงวิชาการ มีขั้นตอนโดยทั่วๆ
ไปดังนี้
1.การเลือกเรื่อง ถ้าไม่มีการกำาหนดเรื่องให้ หรือมี
โอกาสในการเลือกเรื่องเอง ควรใช้หลักเกณฑ์ ใน
การพิจารณาเลือก ดังนี้
1.1. เป็นเรื่องที่ตนสนใจ หรือมีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง
นั้นๆอยู่บ้าง
1.2. เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ทันต่อเหตุการณ์ หรือเป็น
เรื่องแปลกที่คนทั่วไปยังไม่ทราบมากนัก และมี
ประโยชน์
1.3. เป็นเรื่องที่สามารถหาข้อมูลได้ง่าย
1.4. เป็นเรื่องที่สามารถกำาหนดขอบเขตได้ชัดเจน
2.การตั้งชื่อเรื่อง การเขียนรายงานเชิงวิชาการ มักตั้ง
ชื่อตามความสำาคัญของเรื่อง
3.การวางโครงเรื่อง มีวิธีดำาเนินการตามลำาดับดังนี้
3.1. รวบรวมความรู้ความคิด
3.2. จัดหมวดหมู่ความรู้ความคิด
3.3. จัดลำาดับความรู้ความคิด
4.การรวบรวมหนังสือ และเอกสารที่จะใช้ในการเขียน
รายงาน ทำาได้โดยดูชื่อหนังสือที่น่าจะเกี่ยวข้อง
แล้วเปิดอ่านผ่านๆ ในหน้าคำานำา สารบัญ ดรรชนี
เพื่อตัดสินใจว่าจะเลือกเล่มนั้นหรือไม่ ถ้าเล่มใดมี
หัวข้อตรง หรือใกล้เคียงให้เลือกไว้ก่อน
5.การรวบรวมข้อมูลโดยการบันทึก ให้รายละเอียด
เฉพาะบท เฉพาะตอนที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดทำาบันทึก
ความรู้
6.การเขียนส่วนอ้างอิง อาจเขียนเพื่ออธิบายเพิ่มเติม
และเขียนเพื่อแสดงที่มาของข้อมูลเพื่อช่วยให้ข้อ
เขียนนั้นมีนำ้าหนักน่าเชื่อถือ และเป็นการแสดง
มารยาทต่อเจ้าของความรู้ ความคิดเดิม ส่วนอ้างอิงมี
3 ลักษณะ ดังนี้
- 19. 6.1. การอ้างอิงแทรกในเนื้อหา มีการอ้างอิงแหล่ง
ที่มา และคำาอธิบายเพิ่มเติม
1) อ้างอิงแหล่งที่มา ให้เขียน ดังนี้
(ชื่อ ชื่อสกุลผู้แต่ง.ปีที่พิมพ์ : เลขหน้าที่อ้างอิง)
เช่น
(กำาชัย ทองหล่อ . 2533: 95)
2) คำาอธิบายเพิ่มเติม ให้เขียนไว้ในวงเล็บแทรกใน
เนื้อหาได้เลย
6.2. การอ้างอิงในเชิงอรรถ ให้เขียนดังนี้
1) เขียนไว้ส่วนล่างสุดของหน้ากระดาษ โดยมีเส้น
ขวางยาวประมาณ 1 ใน 3 หรือครึ่งหนึ่งของหน้า
กระดาษ
2) ตัวเลขกำากับเชิงอรรถต้องตรงกับตัวเลขที่ใช้
กำากับท้ายข้อความในเนื้อเรื่องหน้าเดียวกัน
3)ตัวเลขกำากับเชิงอรรถให้เริ่มต้นนับ 1 ใหม่เมื่อ
ขึ้นหน้าใหม่
4) ข้อความในเชิงอรรถต้องจบในหน้าเดียว และ
ต้องอยู่ในหน้าเดียวกับข้อความในเรื่องที่เชิงอรรถ
นั้นกล่าวถึง
การเขียนเชิงอรรถ
1)เชิงอรรถอ้างอิงแหล่งที่มา
- อ้างอิงจากหนังสือ
ชื่อผู้แต่ง ชื่อสกุล. ชื่อหนังสือ. ปีที่พิมพ์.
หน้าที่อ้างอิง
- อ้างอิงจากวารสาร
ชื่อ ชื่อสกุลผู้เขียนบทความ. “ชื่อบทความ
หรือชื่อเรื่อง,” ชื่อวารสาร. เล่ม ที่หรือปีที่
- 20. .(ฉบับที่):หน้าที่พิมพ์บทความ ; วัน เดือน ปี ที่
วารสารนั้นออ การวางตลาด
- อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์
ชื่อ ชื่อสกุลผู้เขียนบทความ . “ชื่อบทความ,”
ชื่อหนังสือพิมพ์. วัน เดือน ปี หน้าที่พิมพ์
บทความ
- อ้างอิงข้อความที่ได้จากการสัมภาษณ์
ผู้ให้สัมภาษณ์ ,ผู้สัมภาษณ์ ,สถานที่สัมภาษณ์
เมื่อวันที่ เดือน ปี ที่ สัมภาษณ์ .
2)เชิงอรรถเสริมความ หรือต้องการขยายความเพื่อ
ความเข้าใจยิ่งขึ้น
3)เชิงอรรถโยง ใช้เมื่อต้องการโยงให้ผู้อ่าน ดูเรื่อง
ราวในหน้าอื่นของรายงานที่มีความเกี่ยวข้องกับ
เรื่องที่กำาลังอ่าน
6.3. การอ้างอิงท้ายรายงาน หรือบรรณานุกรม ดัง
อธิบายแล้ว
จบแล้ว
บ๊าย
บาย