More Related Content
Similar to 9789740333319 (8)
9789740333319
- 1. คนเอาใจเรียนรู้สัมผัสมาผสานกับความรู้และความตั้งใจที่จะจินตนาการ
สร้างสรรค์งานที่สอดคล้อง เคารพธรรมชาติ นั่นคือความรู้สึกของผมต่อผู้เขียน
“เลียบขอบไพร”
เขาและผมมิได้ร�่ำเรียนสายตรงในวิชาวนวิทยาต่าง ๆ แต่เราต่างรักความ
งามของศาสตร์และศิลปะธรรมชาติของป่าได้ ผมรู้ว่าปารณย่อมรู้สึกเข้าใจได้
เหมือนที่ผมรู้สึกเช่นกันเมื่อเข้าไปใช้ชีวิตจากขอบสู่กลางไพร
เหตุผลที่ “ท�ำไมต้องเข้าป่า” ของปารณ ชาตกุล ช่างล�้ำไกลนัก
ไกลไปสู่การตระหนักรู้ว่า เราได้มาถึงช่วงปลายของอารยธรรมสูงสุดของ
มนุษย์ เพราะป่าที่ปารณเปรียบดังอุทยานสวรรค์เหลือน้อยเต็มทีด้วยการท�ำลาย
ของบรรพชนของพวกเราจนมาถึงยุคปลายที่เขาว่า
คู่มือเข้าป่าของปารณ ค่อย ๆ เรียงร้อยพฤติกรรมของอาจารย์หนุ่มผู้
เสาะหาความงาม ความจริง ผ่านความดีที่ตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวที่มนุษย์พึง
สัมพันธ์ต่ออาณาจักรไพร
ผัสสะที่เปิดตาหูจมูกลิ้น สู่กาย และใจ ที่จะเปลี่ยนถ่ายแปรผันคุณจาก
นักท่องเที่ยวสู่นักส�ำรวจ และกลายใจกายเป็นนักอนุรักษ์ นั่นคือเป้าหมายของ
หนังสือเล่มนี้ ที่คงไม่มุ่งหวังแค่ศิษย์ของเขาในชั้นเรียนจะเข้าใจ แต่ขยับขยายไปสู่
วงกว้าง ๆ
ด้วยหวังลึก ๆ จะรักษาอาณาจักรแห่งอุทยานสวรรค์ที่เขารัก
คำ�นิยม
- 2. ความรู้เรื่องป่าของปารณง่าย ๆ แต่งดงาม ทว่า ไม่ทิ้งรากแห่งความรู้ทาง
วิชาการ ระบบคิดแบบปัญญาชน รวมถึงกรอบคิดอย่างภูมิสถาปนิก
ผมเชื่อว่าผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ จินตนาการได้ถึงงานของนิสิตที่เป็นลูกศิษย์
ของอาจารย์หนุ่มผู้นี้จะออกแบบอย่างเคารพต่อธรรมชาติเพียงใด
เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ประสบการณ์จริงที่เราท่านล้วนสามารถ
เดินตามไปสัมผัสเรียนรู้แบบเขาได้ เพราะไม่ใช่เส้นทางป่าลึกลับกันดาร หรือต้อง
ฝ่าฟันปีนป่ายไกลโพ้นที่จะเข้าถึง แต่เป็นขอบไพรที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ใน
ระดับที่อาจารย์หนุ่มสามารถรอนแรมใกล้ ๆ เพื่อพาลูกศิษย์ไปเรียนรู้ได้เท่านั้น
เอง ดังนั้น หากใครใช้หนังสือเล่มนี้เป็นพื้นฐานเข้าขอบไพรไปเปิดผัสสะรับรู้แบบ
ปารณ ก็จะได้ความรู้สึกซึมซับต่อความงาม ความจริงนี้กลับมาแบบเขาได้ไม่ยาก
แน่นอนว่า การไปเที่ยวแบบปารณ ย่อมไม่ใช่การเยือนแหล่งท่องเที่ยว
ธรรมชาติแบบฉาบฉวย ผิวเผิน เหมือนสารคดีท่องเที่ยวทั่วไป แต่นั่นหมายถึง
การเดินทางที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับป่า ไปในทาง
มิตรภาพตลอดกาล
ดีใจที่มีหนังสือแบบนี้ ดีใจอย่างยิ่งที่พบมิตรสหายคล้าย ๆ กัน
ศศิน เฉลิมลาภ
เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
กันยา ๕๗ ณ ปีที่ ๒๔ ของการจากไปของพี่สืบ
- 4. การออกแบบในพื้นที่ธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน
สวนรุกขชาติ ฯลฯ เป็นส่วนหนึ่งของงานในวิชาชีพภูมิสถาปนิก ซึ่งจ�ำเป็นต้อง
อาศัยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับป่าไม้และสภาพแวดล้อมธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อให้งานออกแบบนั้นส�ำเร็จลุล่วงด้วยดี คือเหมาะสมกับการใช้งาน สวยงาม
และส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมให้น้อยที่สุด
หนังสือเล่มนี้จัดท�ำขึ้นเพื่อมุ่งหวังให้นิสิตนักศึกษาตลอดจนผู้ที่สนใจ
ทั่วไปเกิดแรงบันดาลใจในการศึกษาธรรมชาติรอบตัว ตระหนักถึงความส�ำคัญ
ของสภาพแวดล้อมได้ด้วยตนเอง และทราบถึงข้อพิจารณาในการท�ำงานออกแบบ
ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ธรรมชาติในเบื้องต้น เนื้อหาภายในเล่มจะเป็นการบอกเล่า
แนวคิดและประสบการณ์ที่น่าสนใจขณะที่ผมพานิสิตศึกษาธรรมชาติในป่า ตลอด
จนการเตรียมตัวศึกษาธรรมชาติทั้งพืชและสัตว์ โดยสอดแทรกด้วยเนื้อหาทาง
วิชาการในเบื้องต้น พร้อมภาพวาดและภาพถ่ายของผู้เขียนเองทั้งหมด เพื่อเป็น
แนวทางให้ผู้ที่สนใจสามารถน�ำไปศึกษาค้นคว้าต่อในเชิงลึกได้ด้วยตนเอง ผมหวัง
ว่า เมื่อท่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว จะเตรียมตัวจัดกระเป๋าเพื่อออกไปส�ำรวจ
ทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมของป่าไม้ในเมืองไทย และกลับมาช่วยกันรณรงค์
วางแผนในเชิงอนุรักษ์ เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ ตลอดจนสัตว์ป่าของ
ประเทศไทยคงอยู่และเพิ่มพูนขึ้นได้ตราบชั่วลูกชั่วหลานของพวกเรา
ปารณ ชาตกุล
มีนาคม ๒๕๕๘
- 5. สารบัญ
หน้า
ค�ำนิยม
ค�ำน�ำ
สารบัญ
โลกใบนี้ก�ำลังป่วย ๑
ท�ำไมต้องเข้าป่า ๕
การเตรียมตัวก่อนเข้าป่า ๑๓
การเริ่มต้นศึกษาพืชพรรณในป่า ๒๓
สัตว์โลกผู้น่ารักและสัตว์โลกผู้ไม่น่ารัก ๔๕
ปราชญ์ท้องถิ่น ๕๗
ขอบไพร ๖๕
กลัวอะไรกับภัยธรรมชาติ ๘๑
การออกแบบในพื้นที่ธรรมชาติ ๘๙
บรรณานุกรม ๑๑๑
ประวัติผู้เขียน ๑๑๒
- 8. โลกใบนี้ก�ำลังป่วย
หมู่ต้นไม้สูงใหญ่ระดับ ๔๐-๕๐ เมตร ขนาดความโตหลายคนโอบ ยืนต้น
อวดรูปทรงอย่างสง่าผ่าเผย ครอบคลุมพื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ชั้นรอง
ลงมาขึ้นเบียดเสียดปกคลุมพื้นที่ป่าจนแน่นขนัด กระทั่งแสงอาทิตย์ส่องลอดลง
มากระทบผืนป่าด้านล่างอันอุดมไปด้วยไม้พุ่ม ไม้คลุมดิน และไม้เลื้อยชนิดต่าง ๆ
ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฝูงชะนี ฝูงค่าง และฝูงนกเงือก แบ่งอาณาเขตหากินบน
ต้นไทรใหญ่ ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจแว่วมาแต่ไกล บรรยากาศสงบ เย็น ร่มรื่นราว
อุทยานสวรรค์ และคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน
— ผืนดินที่ท่านก�ำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มนี้ เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน —
กรุงเทพฯ
- 9. เป็นเวลาหลายพันหรือหลายหมื่นปีที่ผ่านมา แผ่นดินแห่งนี้ยังเป็น
ดินแดนที่ยังไม่เคยสัมผัสกับความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรมมนุษย์และยังมี
ธรรมชาติที่สมบูรณ์ยิ่ง ระบบนิเวศด�ำเนินไปตามครรลองของมัน มีการอยู่อย่าง
พึ่งพาอาศัย มีการแข่งขัน มีผู้ล่า-ผู้ถูกล่า และปรสิต มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งใน
วงจรเหล่านั้น มนุษย์ล่าสัตว์เป็นอาหารด้วยเครื่องไม้เครื่องมืออย่างง่าย ๆ อาจ
เป็นชนเผ่าเร่ร่อนไปตามแหล่งอาหารต่าง ๆ หรือยึดถ�้ำเป็นแหล่งพักพิงอาศัย
การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกที่มนุษย์ได้กระท�ำต่อระบบนิเวศและ
ส่งผลอย่างกว้างขวางต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันคือ การเปลี่ยนแปลงจากสังคมล่าสัตว์
ไปสู่สังคมเกษตรกรรม เมื่อมนุษย์เริ่มเรียนรู้การเพาะปลูก มนุษย์ก็เริ่มถางพื้นที่
ป่าไม้เพื่อการนั้น มนุษย์เริ่มมีการตั้งรกรากถาวร สร้างชุมชนขนาดใหญ่ มีความ
ปลอดภัยในชีวิตสูงขึ้น มีการคิดค้นระบบซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากที่
ต่าง ๆ มนุษย์เริ่มขยายจ�ำนวนมากขึ้น อ้างกรรมสิทธิ์การครอบครองที่ดินและซื้อ
ขายที่ดินซึ่งไม่เคยเป็นของพวกเขาเอง เริ่มควบคุมและบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ
มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงครั้งส�ำคัญที่มนุษย์ได้กระท�ำต่อโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง
คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อมนุษย์ทวีจ�ำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว คิดค้น
ประดิษฐกรรมต่าง ๆ ที่สามารถสร้างผลผลิตได้คราวละมาก ๆ พื้นที่เกษตรกรรม
ขยายตัวกว้างมากขึ้นและมีการจัดการดูแลเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจักร การท�ำเหมือง
แร่ การถลุงเหล็ก การขุดเจาะน�้ำมัน ฯลฯ เป็นการน�ำทรัพยากรที่มีจ�ำกัดของโลก
ใบนี้มาใช้อย่างไม่ยั่งยืน เมืองขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชากรมีการอยู่
อาศัยอย่างแออัดมากขึ้น การแก่งแย่งแข่งขันในหมู่มนุษย์มีสูงขึ้น การปล่อยของ
เสียและขยะมีจ�ำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
— ขอให้ท่านละสายตาจากหนังสือเล่มนี้ แล้วพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัว
อีกสักครั้งหนึ่ง —
๒ เลียบขอบไพร
- 10. อุทยานสวรรค์ในห้วงค�ำนึงได้ปลาสนาการสิ้นไปแล้ว คงไว้แต่ความแสบ
ร้อนของแสงอาทิตย์ที่กระท�ำต่อผิวหนัง แสงสะท้อนจากอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ
ท�ำให้ต้องหรี่ตาลงด้วยความระคายเคือง กลิ่นมลพิษจากรถยนต์และขยะยิ่งท�ำให้
สุขภาพของเราถดถอยลงอย่างรวดเร็ว มนุษย์ถูกขังอยู่ในคุกคอนกรีตและต้อง
ท�ำงานอย่างหนักอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเงิน และน�ำเงินนั้นไปจ่ายเพื่อซื้อ
อาหาร เพื่อการรักษาสุขภาพตัวเอง ยามว่างเว้นจากการท�ำงานมนุษย์ก็น�ำเงินไป
จ่ายเพื่อให้ได้วิ่งออกก�ำลังกายบนสายพาน และเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อน
ใจ แตกต่างจากสมัยก่อนที่มนุษย์ท�ำงานหนักกลางแจ้งในเรือกสวนไร่นา มีสุขภาพ
ดีจากการออกก�ำลังกายไปในตัว มีเงินไม่มากแต่รายจ่ายน้อยเพราะทุกสิ่งรอบตัว
สามารถบริโภคได้ และโรคภัยไม่เบียดเบียนมากนักเนื่องจากอยู่ในสภาพแวดล้อม
ที่ดี
ปัจจุบัน ผมอยากจะเชื่อเหลือเกินว่าเราก�ำลังยืนอยู่ ณ ช่วงเวลาปลาย
สุดของอารยธรรมมนุษย์แล้ว มนุษย์ถือก�ำเนิดขึ้น แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว บริโภค
ทรัพยากรจนเกินพอดี เมื่อระบบนิเวศเดิมถูกกระท�ำให้เปลี่ยนแปลงไปจนมนุษย์
ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ นั่นก็จะเป็นจุดจบของอารยธรรมมนุษย์บนโลกใบนี้ด้วย
มนุษย์จึงเปรียบเสมือนเซลล์มะเร็งที่ก�ำลังแพร่พันธุ์ กัดกิน บ่อนท�ำลายร่างกายซึ่ง
ก็คือโลกใบนี้นั่นเอง
ในทางกลับกัน ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มตระหนักเรื่องปัญหาทาง
สภาพแวดล้อมอย่างจริงจังมากขึ้น และพยายามคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ
โลก เช่น ลดการใช้ถุงพลาสติก ลดการใช้รถยนต์ ประหยัดไฟฟ้า พยายามใช้วัสดุที่
น�ำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่วิธีการทั้งหมดนี้เป็นเพียงการซื้อเวลา ชะลอความตายของ
โลกใบนี้ให้ช้าลงเท่านั้น หนทางเดียวที่มนุษย์จะมีโอกาสช่วยโลกใบนี้ไว้ได้คือ การ
ปลูกต้นไม้ เพราะต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่ดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ใน
กระบวนการสังเคราะห์แสงแล้วเปลี่ยนเป็นมวลชีวภาพ พลังงานแสงอาทิตย์ที่
ถูกใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงท�ำให้พื้นที่รอบข้างมีอุณหภูมิลดลง ปลด
๓โลกใบนี้กำ�ลังป่วย
- 13. จากนักท่องเที่ยวสู่นักส�ำรวจ
คนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับการใช้เวลาวันหยุดไปกับการเดินจับจ่ายซื้อ
ของในห้างสรรพสินค้า ค้นหาร้านอาหารที่มีรสชาติถูกปาก ชมภาพยนตร์เรื่อง
โปรด แต่ในโอกาสพิเศษหรือวันหยุดยาว หลายคนอาจมีก�ำหนดการท่องเที่ยวต่าง
จังหวัดหรือต่างประเทศ
— โอกาสนี้ผมอยากจะชักชวนทุกคนไปเที่ยวป่าด้วยกัน —
แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงการเที่ยวป่า หลาย ๆ คนจะต้องนึกถึงสถานที่
ส�ำหรับการพักผ่อนหย่อนใจที่มีทิวทัศน์สวยงามเป็นเอกลักษณ์ เช่น ยอดเขาสูง
ทะเลหมอก ดอกไม้ น�้ำตก ซึ่งเป็นลักษณะการท่องเที่ยวเพื่อความรื่นรมย์ตาม
ความหมายของอุทยานแห่งชาติในพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔
ระบุว่า
อุทยานแห่งชาติ หมายถึง “ที่ดินซึ่งรวมความทั้งพื้นที่ดินทั่วไป
ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ล�ำน�้ำ ทะเลสาบ เกาะ และที่
ชายทะเล ที่ได้รับการก�ำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติ...ลักษณะ
ที่ดินดังกล่าว เป็นที่ที่มีสภาพธรรมชาติเป็นที่น่าสนใจ และ
มิได้อยู่ในกรรมสิทธิ์หรือครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายของ
บุคคลใดซึ่งมิใช่ทบวงการเมือง ทั้งนี้การก�ำหนดดังกล่าวก็เพื่อ
ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติ เพื่อสงวนไว้ให้เป็นแหล่งการศึกษา
และความรื่นรมย์ของประชาชนสืบไป”
ประโยชน์ทางด้านความรื่นรมย์ที่ประชาชนได้รับจากการท่องเที่ยว
อุทยานแห่งชาตินี้เอง ท�ำให้เกิดการตีความทางความคิดอย่างกว้างขวางต่อมาว่า
๖ เลียบขอบไพร
- 14. สิ่งอ�ำนวยความสะดวกส�ำหรับนักท่องเที่ยวที่จัดเตรียมไว้ในอุทยานแห่งชาติควร
มีมากหรือน้อยเพียงใด ถนนควรมีความกว้างเท่าไร ที่จอดรถควรรองรับได้กี่คัน
ที่พักแรมควรมีความสะดวกสบายมากแค่ไหน จ�ำเป็นต้องมีเครื่องท�ำน�้ำอุ่นหรือไม่
สิ่งเหล่านี้จ�ำเป็นต้องอาศัยวิสัยทัศน์ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ หัวหน้าอุทยาน
แห่งชาติ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ออกแบบ พิจารณาร่วมกับบริบท
ของธรรมชาติในแต่ละแห่ง ซึ่งจะขอยกไปเขียนถึงในตอนการออกแบบในพื้นที่
ธรรมชาติ
ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจนึกถึงการท่องเที่ยวป่าในลักษณะการพัก
ค้างคืนในบ้านพักอุทยานแห่งชาติ รับประทานอาหารในร้านค้าสวัสดิการ และ
เดินเล่นถ่ายภาพในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และอีกหลาย ๆ คนอาจนึกถึงการ
ท่องเที่ยวในระดับที่สมบุกสมบันมากขึ้น การบุกบั่นเดินทางเข้าไปในป่าทึบ กาง
เต็นท์พักแรม หุงหาอาหารรับประทานเองข้างกองไฟ ใช้ชีวิตเสมือนนักผจญภัย
อย่างแท้จริง
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประชาชนจะได้รับเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจใน
เชิงการท่องเที่ยว ในทางกลับกัน หากผมเสนอแนะให้ท่านลองวางแผนท่องเที่ยว
ป่าในบทบาทของนักส�ำรวจบ้าง ท่านจะได้ประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจแตกต่าง
จากการท่องเที่ยวทั่วไปโดยสิ้นเชิง เปรียบได้กับการเปิดโลกใบใหม่ของการท่อง
เที่ยวป่าทีเดียว
เปิดหู เปิดตา เปิดจมูก เปิดปาก
ผมมักจะบอกเล่ากับนิสิตระหว่างไปทัศนศึกษาในป่าเสมอ ๆ ว่า ขอให้
ทุกคนหัดสังเกตสิ่งรอบ ๆ ตัวให้ดี ปรับทัศนคติใหม่ให้แตกต่างจากนักท่องเที่ยว
ทั่วไปที่มองเห็นคุณค่าของป่าไม้ในเชิงทรัพยากรส�ำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ หรือ
มองป่าไม้เป็นเพียงแค่สถานที่เปลี่ยนบรรยากาศส�ำหรับการสังสรรค์ ผมเตือนนิสิต
เสมอ ๆ ว่า เราเข้าป่ามาเรียนรู้ มาศึกษา จงเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ในทุกก้าวย่างที่
๗ทำ�ไมต้องเข้าป่า
- 15. ผ่านไป หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วจะพบพืชพรรณและสัตว์ชนิดต่าง ๆ ที่แปลกตา
และไม่ได้พบเห็นบ่อยนักในชีวิตประจ�ำวัน
มนุษย์ทุกวันนี้อาศัยอยู่ในเมืองขนาดใหญ่ที่มีสิ่งเร้าต่าง ๆ กระท�ำต่อ
การรับรู้ในระดับที่รุนแรง เช่น เสียงดังของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เสียงรถ
ขยายเสียงขายกับข้าว เสียงเพลงในผับหรือร้านคาราโอเกะ เสียงในโรงภาพยนตร์
ป้ายโฆษณาไฟฟ้าตามทางด่วน กลิ่นของมลพิษ กลิ่นขยะ กลิ่นน�้ำหอม ครีมทาผิว
แชมพูสระผม สิ่งเหล่านี้ท�ำให้ประสาทในการรับรู้ของมนุษย์ช้าลง และมีการใส่ใจ
กับสภาพแวดล้อมรอบตัวลดลงเป็นอย่างมาก มนุษย์ทุกวันนี้จึงมีการรับรู้ที่ไม่
ละเอียดอ่อนอย่างที่ควรจะเป็น
เราควรถอดหูฟังเพลงออกแล้ว “เปิดหู” พิจารณาเสียงของธรรมชาติ
รอบตัว เช่น จักจั่น จิ้งหรีด นก เก้ง กวาง สุนัขจิ้งจอก ใบไม้ สายลม สมัยผมเริ่ม
พานิสิตเข้าป่าครั้งแรก ๆ ครั้งนั้นคณะของเราออกเดินทางไปยังเขตรักษาพันธุ์
สัตว์ป่าเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี คืนหนึ่งขณะที่ทุกคนก�ำลังนั่งสนทนากันตาม
สบายหลังรับประทานอาหารเย็น ทุกคนก็แว่วได้ยินเสียงฝนก�ำลังตกไล่มาจากที่
ไกล บางคนเอ่ยปากเตือนกันว่าให้เตรียมเก็บข้าวของสัมภาระกันให้ดี เพราะฝน
ก�ำลังจะมาแล้ว แต่สุดท้ายปรากฏว่าเป็นเสียงลมที่พัดผ่านมาตามล�ำธารซึ่งท�ำ
หน้าที่เสมือนเป็นช่องลมภายในป่า ท�ำให้ลมมีความเร็วสูงและพัดใบไม้กระทบกัน
เป็นเสียงคล้ายฝนตกกระทบใบไม้ไปได้ อีกครั้งหนึ่งที่สร้างความประทับใจและ
ให้ความรู้กับผมเป็นอย่างมากคือ เมื่อครั้งที่ผมได้เดินทางไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์
ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ครั้งนั้นนับเป็นโอกาสอันดีที่ได้นิสิตที่มีความเชี่ยวชาญ
ในเรื่องการดูนกติดตามไปด้วย หลังจากรับประทานอาหารเย็น ผมได้ขอให้นิสิต
คนนั้นช่วยบรรยายเรื่องนก และสอนให้เพื่อนนิสิตคนอื่น ๆ รู้จักสังเกตและฟัง
เสียงนกชนิดต่าง ๆ อาทิ เสียงต๊ง ต๊ง ต๊ง ต๊ง ต๊ง ต๊ง ต๊ง เป็นจังหวะสม�่ำเสมอติดต่อ
กันเป็นเวลานาน อาจพิจารณาได้ว่าเป็นเสียงนกตีทอง หรือเสียงปู๊ด ปู๊ด ปู๊ด ปู๊ด
ก้องลึกในล�ำคอเป็นเสียงนกกระปูด การเลียนเสียงนกด้วยการเขียนนั้นเป็นไปได้
๘ เลียบขอบไพร
- 16. ยาก ถึงแม้ว่าจะได้อ่านหนังสือและท่องจ�ำเสียงนกได้ตลอดทั้งเล่มก็ไม่สามารถรับ
ทราบและจดจ�ำได้ดีเท่าการมาได้ฟังเสียงนกจริง ๆ คืนนั้นทั้งคณะเดินทางจึงได้รับ
ฟังบรรยายจากเพื่อนนิสิตด้วยกันเองและหัดเลียนแบบเสียงนกกันจนเพลินเป็น
เวลาหลายชั่วโมง ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอนด้วยใจอันเป็นสุขท่ามกลางเสียงเห่า
หอนของสุนัขจิ้งจอกในฤดูผสมพันธุ์ช่วงปลายปี
เราควร “เปิดตา” ใส่ใจ หัดเป็นคนช่างสังเกต และมีประสาทที่ไวต่อการ
รับรู้ทางสายตาให้มากขึ้นเมื่ออยู่ในป่า สัตว์หลายชนิดมีการพรางตัวให้กลมกลืน
อยู่กับธรรมชาติอย่างแนบเนียน มีแต่สายตาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเท่านั้นที่
จะสามารถจับการเคลื่อนไหวและระบุชนิดของสัตว์ต่าง ๆ ได้จากระยะไกล โดย
เฉพาะวิทยากร คนน�ำทางในพื้นที่ และพวกลูกหาบ บุคคลเหล่านี้ท�ำงานอยู่ใน
พงไพรเป็นอาชีพและมีสายตาที่แหลมคมมาก ครั้งหนึ่งผมได้พานิสิตในชั้นเรียน
ไปทัศนศึกษาที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช จังหวัดนครราชสีมา วิทยากรที่
นั่นเป็นเอตทัคคะในเรื่องการดูสัตว์และการจับสังเกตธรรมชาติรอบตัว ระหว่างที่
คณะของเราก�ำลังเดินดูนกในตอนเช้า วิทยากรที่น�ำชมชี้ไปยังยอดไม้ไกล ๆ และ
บอกให้สังเกตดูนกบนยอดไม้นั้น ทั้งยังสามารถบอกชนิดของนกได้อย่างแม่นย�ำ
ด้วยตาเปล่า ขณะที่พวกเรามองเห็นมันเป็นเพียงจุดด�ำเล็ก ๆ จุดเดียว แต่ในครั้ง
นั้นนิสิตของเราก็แสดงความเชี่ยวชาญทางด้านสายตาแบบคนเมืองเช่นกัน เมื่อ
นกตีทองก�ำลังโผล่หน้าออกมาจากรัง
- 17. เหลือบไปเห็นดาราชื่อดังคนหนึ่งก�ำลังถ่ายท�ำรายการโทรทัศน์อยู่ที่นั่นพอดี กลาย
เป็นรายการชี้ชวนกันชมดารา เป็นอันว่านกทั้งหลายไม่ต้องดูกันแล้ว เดินกลับ
ที่พักกันเลยดีกว่า บางครั้งสายตาที่ไม่ได้รับการฝึกฝนและจิตใจที่ไม่เข้มแข็งก็อาจ
สร้างความเข้าใจผิดได้เช่นกัน ครั้งหนึ่งที่ผมเคยไปกางเต็นท์นอนที่อุทยานแห่ง
ชาติห้วยน�้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ ตกดึกได้ยินเสียงความวุ่นวายจากเต็นท์ของอีก
คณะหนึ่งไม่ห่างออกไปนัก สามีกับภรรยาวิ่งอุ้มลูกออกจากเต็นท์เข้าไปหลบอยู่
ในรถด้วยอาการตื่นตกใจ จนรุ่งเช้าถึงได้คุยกันว่า คณะนั้นพบว่ามีหมาป่าตัวใหญ่
มาคุ้ยขยะและเดินวนเวียนอยู่รอบเต็นท์ ซึ่งจริง ๆ แล้วคณะเราก็มองเห็นและรับ
ทราบว่ามันเป็นแค่หมาจรจัดธรรมดานี่เอง คาดว่าคณะนั้นนอนอยู่ในเต็นท์แล้ว
มองเห็นหมาตัวนั้นจากมุมต�่ำ จึงท�ำให้หมาดูตัวใหญ่ผิดธรรมดาไปได้ ก็เป็นเรื่อง
สนุกสนานที่ยังพูดคุยเล่นกันได้ไม่รู้เบื่อจนทุกวันนี้
เรื่องราวของการ “เปิดจมูก” ก็เช่นกัน ผมเป็นคนหนึ่งที่ถือว่าโชคดีมาก
ในฐานะลูกที่มีคุณพ่อพาท่องเที่ยวป่า หัดศึกษาไพรตั้งแต่ยังเด็ก ในสมัยนั้นคน
ยังไม่นิยมเที่ยวอุทยานแห่งชาติกันมากมายอย่างปัจจุบัน ผมจึงได้เรียนรู้หลายสิ่ง
หลายอย่างจากคุณพ่อผู้ซึ่งท่องเที่ยวป่ามาตั้งแต่สมัยท่านยังเป็นหนุ่ม ผมได้รู้จัก
กลิ่นสัตว์ต่าง ๆ บ้างก็เพราะการเดินป่ากับคุณพ่อ และยังจดจ�ำบางส่วนได้มาจน
ทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งผมพานิสิตไปพักที่แคมป์บ้านกร่าง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
จังหวัดเพชรบุรี คืนนั้นทุกคนจับกลุ่มคุยเล่นกันตามปกติก่อนเข้านอน ผมเดินอยู่
รอบ ๆ บริเวณที่พักเพื่อดูความเรียบร้อยและรู้สึกตัวว่าได้กลิ่นช้าง จึงเข้าไปลอง
สอบถามนิสิตแต่ละคน ปรากฏว่าไม่มีใครได้กลิ่นนี้เลย คาดว่าอาจเป็นเพราะ
นิสิตไม่เคยได้กลิ่นช้างมาก่อน หรือประสาทการดมกลิ่นไม่ไวพอเพราะถูกกลิ่นสบู่
แชมพู น�้ำหอมกลบไปเสียหมด โชคยังดีที่เหตุการณ์ในคืนนั้นผ่านไปได้อย่างสงบ
เรียบร้อย รุ่งเช้าเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติจึงเข้ามาแจ้งว่า เมื่อคืนมีช้างป่าเข้ามา
เพ่นพ่านรอบ ๆ ที่พัก แต่เดินหากินอยู่ต�่ำลงไปทางล�ำธารด้านล่าง พวกเราจึงไม่ได้
พบเห็นตัวกันในคราวนั้น
๑๐ เลียบขอบไพร