More Related Content More from มะดาโอะ มะเซ็ง (20) 33. 1
ปรากฏการณทางดาราศาสตร
การเกิดกลางวันและกลางคืน
เนื่องจาก โลกเปนบริวารของดวงอาทิตย โดยโลกจะหมุนรอบดวงอาทิตยเปนเวลา 365 วัน หรือ 1 ปใน
ขณะเดียวกัน โลกจะหมุนรอบตัวเองโดยกินเวลา 24 ชั่วโมง จึงสงผลใหดานที่โดนแสงจะเปนเวลากลางวัน
สวนดานที่ไมโดนแสงจะเปนเวลากลางคืน เมื่อโลกหมุนไปเรื่อย ดานที่ไมโดนแสง หรือกลางคืน จะคอยๆ
หมุนเปลี่ยนมาจนกลายมาเปนกลางวัน เราเรียกปรากฏการณนี้วา กลางวัน และกลางคืน
การเกิดฤดูกาล
คําวาฤดูกาลนี้หมายถึงฤดูทางดาราศาสตร ไมใชฤดูทางภูมิอากาศ เราอาจจะคุนเคยที่วาเมืองไทยมี ๓
ฤดู คือ ฤดูรอน ฤดูฝน และฤดูหนาว หรือสมัยนี้จะเปนฤดูรอน ฤดูรอนมาก ฤดูรอนมากพิเศษ แตตอไปในภาย
หนาเราอาจจะไมสามารถกําหนดเปนฤดูตาง ๆ ได เพราะอากาศมันจะวิปริตเอาแนเอานอนอะไรไมได ที่กลาว
มาไมใชฤดูกาลที่เราจะพูดถึง ฤดูในทางดาราศาสตรมี 4 ฤดูคือ ฤดูใบไมผลิ (spring) ฤดูรอน (summer) ฤดู
ใบไมรวง (autumn หรือ fall) และฤดูหนาว (winter) ฤดูเหลานี้เกิดจากแกนโลกเอียง มันเกี่ยวของกันอยางไร
จะวาใหฟง โดยเริ่มจากใหกลับมาสูโลกแหงความจริง คือโลกหมุนรอบดวงอาทิตย แตไมไดหมุนแบบตั้งตรง
เปนการหมุนแบบเอียง ๆ การเอียงแบบนี้ทําใหบางคราวโลกเอียงเขาหาดวงอาทิตย บางคราวก็เอียงออก ใน
เวลาที่โลกเอียงเขาหาดวงอาทิตย คือ ขั้วโลกเหนือจะอยูใกลดวงอาทิตยมากกวาขั้วโลกใต คนที่อาศัยอยูในซีก
โลกเหนือ อยางประเทศไทยเปนตนนี้ จะเปนฤดูรอน เพราะอยูใกลดวงอาทิตยมาก ฤดูรอนนี้เวลากลางวันจะ
ยาวกวากลางคืน คือเวลาสวางมากกวาเวลามืด เราสามารถสังเกตไดโดยดูที่ดวงอาทิตย คืออาทิตยจะไมขึ้นทาง
ทิศตะวันออกพอดีแตจะขึ้นเอียงไปทางทิศเหนือ เรียกวาอาทิตยปดเหนือ จุดเริ่มฤดูรอนนี้เรียกวา คริษมายัน
หรือซัมเมอรซอลสทิซ (summer solstice) เปนจุดที่โลกเอียงเขาหาอาทิตยมากที่สุด เวลากลางวันยาวที่สุด และ
อาทิตยขึ้นปดเหนือที่สุด จะเกิดประมาณวันที่ 22 มิถุนายนของทุกป แตเมืองไทยจะเปนชวงฤดูฝน
4. 2
รูปการเกิดฤดูกาลตาง ๆ
จากจุดเริ่มฤดูรอน โลกจะคอย ๆ เอียงออกจากดวงอาทิตย (ความจริงแกนโลกเอียงเทาเดิม แตจะ
คอย ๆ หันดานที่เอียงออกไป) เวลากลางวันจะคอยๆ หดลง อาทิตยจะคอย ๆ กลับมาขึ้นที่ทิศตะวันออก
จนถึงจุดที่เวลากลางวันเทากับกลางคืน และอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกพอดีอีกครั้ง จุดนี้คือจุดเริ่มตนฤดู
ใบไมรวง เปนวิษุวัตหรืออีควินอกซจุดหนึ่ง เรียกวา ศารทวิษุวัต (autumnal equinox) อยูประมาณวันที่ 23
กันยายนของทุกป จากนั้นโลกก็จะคอย ๆ เอียงออกจากดวงอาทิตย เวลากลางวันคอย ๆ หดสั้นลงอีก อาทิตย
จะคอย ๆ ขึ้นเอียงไปทางทิศใต จนถึงจุดที่ขั้วโลกเหนืออยูหางจากดวงอาทิตยมากที่สุด ขั้วโลกใตอยูใกลดวง
อาทิตยที่สุด เวลากลางวันสั้นกวากลางคืนที่สุด และอาทิตยปดใตมากที่สุด จุดนี้เปนจุดเริ่มฤดูหนาวนั่นเอง
เรียกวา เหมายัน (เห-มา-ยัน) หรือวินเทอรซอลสติซ (winter solstice) อยูประมาณ 22 ธันวาคมของทุกป
ตอจากนั้นโลกจะคอย ๆ เอียงเขาหาดวงอาทิตย เวลากลางวันคอย ๆ ยาวขึ้น อาทิตยคอย ๆ กลับมาขึ้นทาง
ตะวันออก จนถึงจุดที่กลางวันเทากับกลางคืนอีกครั้งหนึ่ง เปนจุดเริ่มฤดูใบไมผลิ เรียกวา วสันตวิษุวัต หรือ
เวอรนัลอีควินอกซ (vernal equinox) อยูประมาณวันที่ 21 มีนาคมของทุกป เมืองไทยจะเปนชวงฤดูรอน
สําหรับประเทศที่อยูในซีกโลกใตฤดูกาลตามที่วามาจะตรงขามกับทางซีกโลกเหนือ แตวสันตวิษุวัตคือจุด
เดียวกัน ขอใหจําจุดวสันตวิษุวัตนี้ไวใหดี เพราะเปนจุดที่สําคัญมาก ทางโหราศาสตรตะวันตกใชจุดนี้เปนจุด
ตั้งตนของจักรราศี (zodiac) เรียกอีกอยางวา จุดราศีเมษ (Aries point) จักรราศีแบงตามฤดูออกเปน 4 สวน แต
ละสวนแบงออกไปอีก 3 เปน ตนฤดู กลางฤดู และปลายฤดู รวมการแบงจักรราศีไดทั้งหมด 12 ราศี มีชื่อ
5. 3
เรียกวาราศี เมษ พฤษภ มิถุน กรกฎ สิงห กันย ตุล พิจิก ธนู มกร กุมภ และมีน เราจึงเรียกระบบจักรราศีแบบ
ตะวันตกวา จักรราศีฤดูกาล (tropical zodiac)
น้ําขึ้นน้ําลง
น้ําขึ้นน้ําลงเกิดจากแรงดึงดูดของดวงจันทร และดวงอาทิตย ถึงแมวาดาวอาทิตยจะมีมวล 27 ลานเทา
ของดวงจันทร แตดวงอาทิตย อยูหางจากโลก 93 ลานไมล สวนดวงจันทรที่เปนบริวารของโลกนั้น อยูหางจาก
โลกเพียง 240,000 ไมล ดังนั้นดวงจันทร จึงสงแรงดึงดูดมายังโลกมากกวาดวงอาทิตย และน้ําที่เกิดจากแรง
ดึงดูดของดวงอาทิตยจะสูงเพียง รอยละ 46 ของระดับน้ําที่สูงจากแรงดึงดูดของดวงจันทรน้ําซึ่งเปนของเหลว
เมื่อถูกแรงดึงดูดจากดวงจันทร ในขณะที่ดวงจันทรโคจรผานบริเวณนั้น น้ําก็จะสูงขึ้น ไปในทิศทางเดียวกับที่
ดวงจันทรปรากฏ และบนผิวโลกในดานตรงขามกับดวงจันทร น้ําจะสูงขึ้นดวย เพราะอํานาจดึงดูดของดวง
จันทร กับของโลกไปรวมกันในทิศทางนั้น และในตําแหนงที่คนเห็นดวงจันทร อยูสุดลับขอบฟา ตรงนั้นน้ํา
จะลดลงมากที่สุด จึงเทากับวามีน้ําขึ้น น้ําลง สองแหงบนโลกในเวลาเดียวกันน้ําจะขึ้นสูง เต็มที่ทุกๆ 12
ชั่วโมง โดยประมาณ และหลังจากน้ําขึ้นเต็มที่แลว ระดับน้ําจะเริ่มลดลง ใชเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง แต
เนื่องจากดวงจันทรหมุนรอบโลกจากตะวันตกไปตะวันออก หนึ่งรอบกินเวลาประมาณ 29 วัน น้ําขึ้นและน้ํา
ลงจึงชากวาวันกอน ไปประมาณ 50 นาที หรือพูดอีกอยางหนึ่งวา ในหนึ่งวัน หรือ 24 ชั่วโมง 50 นาที น้ําจะ
สูงขึ้น และลดลง 2 ครั้งความแตกตางระหวางระดับน้ําสูงสุดกับระดับน้ําต่ําสุด แตละแหงบนโลกจะไมเทากัน
โดยเฉลี่ยจะขึ้นหรือลงประมาณ 3-10 ฟุต ซึ่งสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากตําแหนงของดวงจันทร และดวง
อาทิตยเมื่อโลก และดวงจันทรกับดวงอาทิตย มาอยูในแนวเดียวกัน ไมวาดวงอาทิตยหรือดวงจันทรจะอยูขาง
เดียว หรือคนละขางกับโลก น้ําจะสูงขึ้นกวาปกติ เรียกวา น้ําเกิด (spring tide) ซึ่งจะเกิดขึ้นเดือนละ 2 ครั้ง คือ
ใกลวันขึ้น 15 ค่ํา และวันแรม 15 ค่ําและเมื่อใดที่ดวงจันทร และดวงอาทิตย อยูในแนวตั้งฉาก ซึ่งกันและกัน
ระดับน้ําจะไมสูงขึ้น แตจะอยูในระดับเดิม ไมขึ้นไมลง เรียกวา น้ําตาย จะเกิดขึ้นเดือนละ 2 ครั้ง เชนเดียวกับ
น้ําเกิด คือใกลวันขึ้น 8 ค่ํา และวันแรม 8 ค่ําสวนอีกสาเหตุหนึ่งที่น้ําขึ้นมากขึ้นนอย ลงมากลงนอย เกี่ยวกับ
ขนาดรูปรางและความลึกของทองมหาสมุทรดวย อยางเชนเกาะแกงตางๆ จะตานการขึ้นลงของกระแสน้ําได
มาก ในหมูเกาะตาฮิติ ระดับน้ําจะขึ้นสูงเพียง 1 ฟุตเทานั้น แตบริเวณแผนดินที่เปนรูปกรวย หันปากออกไปสู
ทะเล จะรับปริมาณของน้ําไดมาก เชนปากอาวของแควน โนวาสโคเตียน แหงแคนดีทางตะวันออกของ
อเมริกาเหนือ น้ําจะขึ้นสูงถึง 40 ฟุต
6. 4
รูปที่ 1 แสดงการเกิดน้ําขึ้น น้ําลง
เนื่องจากเปลือกโลกเปนของแข็ง ไมสามารถยืดหยุนตัวไปตามแรงไทดัลซึ่งเกิดจากแรงโนมถวงของ
ดวงจันทรได แตพื้นผิวสวนใหญของโลกปกคลุมดวยน้ําทะเลในมหาสมุทร เปนของเหลวสามารถปรับทรง
เปนรูปรี ไปตามแรงไทดัลที่เกิดขึ้น (ดังรูปที่ 1) ทําใหเกิดปรากฏการณน้ําขึ้นน้ําลง โดยที่ระดับน้ําทะเลจะขึ้น
สูงสุด บนดานที่หันเขาหาดวงจันทรและดานตรงขามดวงจันทร ( ตําแหนง H และ H') และระดับน้ําทะเลจะ
ลงต่ําสุด บนดานที่ตั้งฉากกับดวงจันทร (ตําแหนง L และ L') โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ทําให ณ ตําแหนง
หนึ่งๆ บนพื้นผิวโลก จึงเคลื่อนผานบริเวณที่เกิดน้ําขึ้น และน้ําลง ทั้งสองดาน จึงทําใหเกิดน้ําขึ้น – น้ําลง วัน
ละ 2 ครั้ง
รูปที่ 2 แสดงการเกิดน้ําขึ้น น้ําลง
ในวันเพ็ญเต็มดวง และในวันเดือนมืด (ขึ้น 15 ค่ํา และแรม 15 ค่ํา) ดวงอาทิตย โลก และดวงจันทร อยู
ในแนวเดียวกัน แรงโนมถวงของดวงอาทิตยและดวงจันทรเสริมกัน ทําใหแรงไทดัลมากขึ้น ระดับน้ําทะเลจึง
มีการเปลี่ยนแปลงมากกลาวคือ น้ําขึ้นสูงมากและน้ําลงต่ํากวามาก เราเรียกวา “ น้ําเปน ” (Spring tides)
ดังรูปที่ 2
7. 5
รูปที่ 3 แสดงการเกิดน้ําขึ้น น้ําลง
สวนในวันที่เห็นดวงจันทรครึ่งดวง (ขึ้น 8 ค่ํา และ แรม 8 ค่ํา) ดวงอาทิตย โลก และดวงจันทร อยูใน
แนวตั้งฉากกัน แรงโนมถวงของดวงอาทิตยและดวงจันทรไมเสริมกัน ทําใหระดับน้ําทะเลเปลี่ยนแปลงนอย
เราเรียกวา “ น้ําตาย ” (Neap tides) ดังรูปที่ 3
การเกิดขางขึ้นขางแรม
ดิถี หรือ เฟส หรือ การเกิดขางขึ้นขางแรม ของดวงจันทร (อังกฤษ: lunar phase) ในทางดาราศาสตร
เปนปรากฏการณทางดาราศาสตรอยางหนึ่งที่เกิดกับดวงจันทร นั่นคือ ดวงจันทรจะมีสวนสวางที่สังเกตไดที่
ไมเทากันในแตละคืน เกิดจากการโคจรของดวงจันทรรอบโลก โดยหันสวนสวางเขาหาโลกตางกัน ดิถีที่
ตางกันนี้เองมักใชกําหนดวันสําคัญทางพุทธศาสนา และใชเปนหลักในการนับเวลา ในปฏิทินจันทรคติ กอนที่
จะมานิยมใชปฏิทินสุริยคติ
การคํานวณดิถีของดวงจันทร สามารถทําไดทั้งแบบดาราศาสตรสมัยใหมและดาราศาสตรแผนเกา
เชน ใชกระดานปกขคณนาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว หรือใชตําราสุริยยาตร ในการคํานวณ
สําหรับในทางโหราศาสตร ดิถีคือวันทางจันทรคติ (lunar day) ซึ่งก็เกี่ยวพันกับขางขึ้นขางแรมหรือ
ดิถีในความหมายทางดาราศาสตรที่กลาวมาแลว ดิถีเปนสวนประกอบของปฏิทินจันทรคติ ซึ่งนั่นคือขางขึ้น
ขางแรมที่สังเกตไดยามค่ําคืนนั่นเอง
สําหรับกลองขอความดานขวานี้จะแสดงดิถีของดวงจันทรตามการคํานวณแบบดาราศาสตรสมัยใหม
โดยที่แสดงวันที่ไวเพื่อใหทราบวาเปนดิถีของวันใด มิใหเกิดความสับสน และแสดงรอยละของสวนสวางบน
ดวงจันทรไวดานลาง
8. 6
ภาพการเกิดดิถีของดวงจันทร
การเกิดดิถี
ภาพแสดงการเกิดดิถีของดวงจันทร โดยที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย และดวงจันทรโคจรรอบโลก
ภาพที่เห็นอยูนี้มองลงไปยังขั้วโลกเหนือ แสงอาทิตยมาทางขวาดังแสดงเปนลูกศรสีเหลือง จากภาพจะเห็นได
วา ในวันเดือนเพ็ญ ดวงจันทรจะขึ้นตอนดวงอาทิตยตก และในวันเดือนดับ จะไมสามารถสังเกตเห็นดวง
จันทรได เพราะถูกแสงอาทิตยบดบัง
ดิถีเกิดจากการโคจรของดวงจันทรรอบโลก ขณะที่โคจรทั้งรอบโลกและรอบดวงอาทิตย ก็จะมีสวน
สวางที่เกิดจากแสงของดวงอาทิตย โดยที่สวนสวางของดวงจันทรที่หันเขาหาโลกมีไมเทากันเนื่องจาก
ตําแหนงรอบโลกที่ตางกัน จนเกิดการเวาแหวงไปบาง และเกิดเปนขางขึ้นขางแรม โดยที่มีคาบของการเกิด
ประมาณ 29.53 วัน (29 วัน 12 ชั่วโมง 44 นาที) เรียกระยะนี้วา เดือนจันทรคติ (synodic month) ซึ่งยาวกวา
เดือนดาราคติ (sidereal month) ไปประมาณ 2 วัน
บางครั้ง อาจเกิดสุริยุปราคาไดเมื่อดวงจันทรเคลื่อนที่มาในตําแหนงที่บังแสงจากดวงอาทิตย เมื่อเทียบ
กับผูสังเกตบนโลก ซึ่งจะเกิดในวันเดือนดับ และอาจเกิดจันทรุปราคาไดเมื่อดวงจันทรมาอยูในเงาของโลก ซึ่ง
เกิดในวันเดือนเพ็ญ ทั้งนี้ก็เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงดิถีของดวงจันทร
ในซีกโลกเหนือ ถาเราหันหนาลงทิศใต ดวงจันทรจะแสดงสวนสวางดานทิศตะวันตกกอนในขางขึ้น
จากนั้นจะคอย ๆ แสดงสวนสวางมากขึ้น และจากนั้นก็ลดสวนสวางจากดานทิศตะวันตกไปจนหมด สวนใน
ซีกโลกใต ถาหันหนาขึ้นทิศเหนือ ทิศทางก็จะเปนไปในทางกลับกัน นั่นคือ ดวงจันทรจะแสดงดานทิศ
ตะวันออกกอนในขางขึ้น และเผยสวนทิศตะวันตก
9. 7
การสุริยุปราคา
สุริยุปราคาเต็มดวง
สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เปนปรากฏการณธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย ดวงจันทร และโลก
โคจรมาเรียงอยูในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทรอยูตรงกลาง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทรมีดิถีตรงกับจันทร
ดับ เมื่อสังเกตจากพื้นโลกจะเห็นดวงจันทรเคลื่อนเขามาบดบังดวงอาทิตย โดยอาจบังมิดหมดทั้งดวงหรือ
บางสวนก็ได ในแตละปสามารถเกิดสุริยุปราคาบนโลกไดอยางนอย 2 ครั้ง สูงสุดไมเกิน 5 ครั้ง ในจํานวนนี้
อาจไมมีสุริยุปราคาเต็มดวงเลยแมแตครั้งเดียว หรืออยางมากไมเกิน 2 ครั้ง โอกาสที่จะไดเห็นสุริยุปราคาเต็ม
ดวงสําหรับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งบนพื้นโลกนั้นคอนขางยาก เนื่องจากสุริยุปราคาเต็มดวงแตละครั้งจะเกิด
ในบริเวณแคบ ๆ ภายในแถบที่เงามืดของดวงจันทรพาดผานเทานั้น
สุริยุปราคาเต็มดวงเปนปรากฏการณธรรมชาติที่สวยงาม นาตื่นเตน และสรางความประทับใจแกคนที่
ไดชม ผูคนจํานวนมากตางพากันเดินทางไปยังดินแดนอันหางไกลเพื่อคอยเฝาสังเกตปรากฏการณนี้
สุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อ พ.ศ. 2542 ที่เห็นไดในทวีปยุโรป ทําใหสาธารณชนหันมาสนใจสุริยุปราคาเพิ่มขึ้นมาก
สังเกตไดจากจํานวนประชาชนที่เดินทางไปเฝาสังเกตสุริยุปราคาวงแหวนใน พ.ศ. 2548 และสุริยุปราคาเต็ม
ดวงใน พ.ศ. 2549 สุริยุปราคาครั้งที่ผานมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือสุริยุปราคาวงแหวนเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552
และสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ชนิดของสุริยุปราคา
สุริยุปราคาวงแหวน ดวงจันทรผานหนาดวงอาทิตย
ดวงจันทรผานหนาดวงอาทิตย สังเกตจากยาน STEREO-B เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ พ.ศ. 2550 ที่ระยะ 4.4 เทา
ของระยะระหวางโลกกับดวงจันทร
10. 8
สุริยุปราคามี 4 ชนิด ไดแก
• สุริยุปราคาเต็มดวง (total eclipse): ดวงจันทรบังดวงอาทิตยหมดทั้งดวง
• สุริยุปราคาบางสวน (partial eclipse): มีเพียงบางสวนของดวงอาทิตยเทานั้นที่ถูกบัง
• สุริยุปราคาวงแหวน (annular eclipse): ดวงอาทิตยมีลักษณะเปนวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทรอยูใน
ตําแหนงที่หางไกลจากโลก ดวงจันทรจึงปรากฏเล็กกวาดวงอาทิตย
• สุริยุปราคาผสม (hybrid eclipse): ความโคงของโลกทําใหสุริยุปราคาคราวเดียวกันกลายเปนแบบ
ผสมได คือ บางสวนของแนวคราสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง ที่เหลือเห็นสุริยุปราคาวงแหวน บริเวณที่
เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงเปนสวนที่อยูใกลดวงจันทรมากกวา
สุริยุปราคาจัดเปนอุปราคาประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทรมีดิถีตรงกับจันทรดับ
การที่ขนาดของดวงอาทิตยกับดวงจันทรเกือบจะเทากันถือเปนเหตุบังเอิญ ดวงอาทิตยมีระยะหาง
เฉลี่ยจากโลกไกลกวาดวงจันทรประมาณ 390 เทา และเสนผานศูนยกลางของดวงอาทิตยก็ใหญกวาเสนผาน
ศูนยกลางของดวงจันทรประมาณ 400 เทา ตัวเลขทั้งสองนี้ซึ่งไมตางกันมาก ทําใหดวงอาทิตยกับดวงจันทรมี
ขนาดใกลเคียงกันเมื่อมองจากโลก คือปรากฏดวยขนาดเชิงมุมราว 0.5 องศา
วงโคจรของดวงจันทรรอบโลกเปนวงรีเชนเดียวกันกับวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย ขนาดปรากฏ
ของดวงอาทิตยกับดวงจันทรจึงไมคงที่ ]
อัตราสวนระหวางขนาดปรากฏของดวงจันทรตอดวงอาทิตยขณะเกิด
คราสเปนสิ่งที่บงบอกไดวาสุริยุปราคาอาจเปนชนิดใด ถาคราสเกิดขึ้นระหวางที่ดวงจันทรอยูบริเวณจุดใกล
โลกที่สุด (perigee) อาจทําใหเปนสุริยุปราคาเต็มดวง เพราะดวงจันทรจะมีขนาดปรากฏใหญมากพอที่จะบด
บังผิวสวางของดวงอาทิตยที่เรียกวาโฟโตสเฟยรไดทั้งหมด ตัวเลขอัตราสวนนี้จึงมากกวา 1 แตในทางกลับกัน
หากเกิดคราสขณะที่ดวงจันทรอยูบริเวณจุดไกลโลกที่สุด (apogee) คราสครั้งนั้นอาจเปนสุริยุปราคาวงแหวน
เพราะดวงจันทรจะมีขนาดปรากฏเล็กกวาดวงอาทิตย อัตราสวนนี้จึงมีคานอยกวา 1 สุริยุปราคาวงแหวนเกิดได
บอยกวาสุริยุปราคาเต็มดวง เพราะโดยเฉลี่ยแลวดวงจันทรอยูหางจากโลกมากเกินกวาจะบดบังดวงอาทิตยได
ทั้งหมด
11. 9
จันทรุปราคา
จันทรุปราคา (เรียกไดหลายอยาง ตัวอยางเชน จันทรคาธ, จันทรคราส, ราหูอมจันทร หรือ กบกิน
เดือน) คือปรากฏการณที่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย, โลก และดวงจันทร เรียงอยูในแนวเดียวกันพอดี หากเกิดขึ้น
ในชวงพระจันทรเต็มดวง เมื่อดวงจันทรผานเงาของโลก จะเรียกวา จันทรุปราคา ปรากฏการณจันทรุปราคาแม
จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แตมีอิทธิพลตอความคิดและความเชื่อในหลายวัฒนธรรมมาชานาน รวมทั้งของไทย
ดวย ซึ่งลักษณะของจันทรุปราคาขึ้นอยูกับตําแหนงของดวงจันทรที่เคลื่อนที่ผานเงาของโลกในเวลานั้นๆ
ประเภทของจันทรุปราคา
• จันทรุปราคาเงามัว* เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทรเคลื่อนที่ผานเงามัวของโลก จันทรุปราคาลักษณะนี้จะ
สังเกตเห็นไดไมชัดเจนมากนัก เนื่องจากความสวางของดวงจันทรจะลดลงไปเพียงเล็กนอยเทานั้น
• จันทรุปราคาเงามัวเต็มดวง เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทรเคลื่อนที่เขาไปในเงามัวของโลกทั้งดวงแตไมไดเขา
ไปอยูในบริเวณเงามืด ดวงจันทรดานที่อยูใกลเงามืดมากกวาจะมืดกวาดานที่อยูไกลออกไป
จันทรุปราคาลักษณะนี้เกิดขึ้นไมบอยนัก
• จันทรุปราคาเต็มดวง* เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทรเคลื่อนที่เขาสูเงามืดของโลกทั้งดวง ดวงจันทรจะอยู
ภายใตเงามืดของโลกนานเกือบ 107 นาที เนื่องจากดวงจันทรเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วประมาณ 1
กิโลเมตรตอวินาที แตหากนับเวลาตั้งแตดวงจันทรเริ่มเคลื่อนเขาสูเงามืดจนออกจากเงามืดทั้งดวง อาจ
กินเวลาถึง 6 ชั่วโมง 14 นาที
• จันทรุปราคาบางสวน เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทรเคลื่อนที่ผานเงามืดของโลกเพียงบางสวน จันทรุปราคา
เกิดจากประมาณวาดวงจันทรมาบังดวงอาทิตย
ลักษณะของดวงจันทรเมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง
12. 10
เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทรไมไดหายไปจนมืดทั้งดวง แตจะเห็นเปนสีแดงอิฐ เนื่องจากมี
การหักเหของแสงอาทิตยเมื่อสองผานชั้นบรรยากาศของโลก สีของดวงจันทรเมื่อเกิดจันทรุปราคาแตละครั้ง
จะไมเหมือนกัน แบงออกไดเปน 5 ระดับ ดังนี้
• ระดับ 0 ดวงจันทรมืดจนแทบมองไมเห็น
• ระดับ 1 ดวงจันทรมืด เห็นเปนสีเทาหรือสีน้ําตาลแตมองไมเห็นรายละเอียด ลักษณะพื้นผิว
ของดวงจันทร
• ระดับ 2 ดวงจันทรมีสีแดงเขมบริเวณดานในของเงามืด และมีสีเหลืองสวางบริเวณดานนอก
ของเงามืด
• ระดับ 3 ดวงจันทรมีสีแดงอิฐและมีสีเหลืองสวางบริเวณขอบของเงามืด
• ระดับ 4 ดวงจันทรสวางสีทองแดงหรือสีสม ดานขอบของเงาสวางมาก
จันทรุปราคาเต็มดวง
(ระดับ 4)
จันทรุปราคาบางสวน (ราว 1
ใน 5) ในกรุงเทพฯ เมื่อ 8 ก.ย.
2549 เวลา 01.25 น.
จันทรุปราคาเต็มดวง (ขณะ
เริ่มสัมผัส) เชามืดวันที่ 4
มีนาคม พ.ศ. 2550
จันทรุปราคาเต็มดวง ระดับ
0 เชามืดวันที่ 4 มีนาคม
พ.ศ. 2550
ปจจัยในการเกิดจันทรุปราคา
จันทรุปราคาไมไดเกิดขึ้นบอยๆ เนื่องจากระนาบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตยและระนาบการ
โคจรของดวงจันทรรอบโลกทํามุมกัน 5 องศา ในการเกิดจันทรุปราคา ดวงจันทรจะตองอยูบริเวณจุดตัดของ
ระนาบวงโคจรทั้งสอง และตองอยูใกลจุดตัดนั้นมาก จึงจะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงหรือจันทรุปราคาบางสวน
ไดระยะหางระหวางโลกและดวงจันทรมีผลตอความเขมของจันทรุปราคาดวย นอกจากนี้ หากดวงจันทรอยูใน
13. 11
ตําแหนงที่หางจากโลกมากที่สุด (apogee) จะทําใหระยะเวลาในการเกิดจันทรุปราคานานขึ้น ดวยเหตุผล 2
ประการ คือ
1 ดวงจันทรจะเคลื่อนที่อยางชาๆ เพราะตําแนงนี้เปนตําแหนงที่ดวงจันทรเคลื่อนที่ชาที่สุดตลอดการ
โคจรรอบโลก
2 ดวงจันทรที่มองเห็นจากโลกจะมีขนาดเล็ก จะเคลื่อนที่ผานเงาของโลกไปทีละนอย ทําใหอยูในเงา
มืดนานขึ้น
ในทุกๆ ปจะมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นอยางนอยปละ 2 ครั้ง หากเก็บสถิติการเกิดจันทรุปราคาแลว จะ
สามารถทํานายวันเวลาในการเกิดจันทรุปราคาครั้งตอไปได
การสังเกตจันทรุปราคาแตกตางจากสุริยุปราคา จันทรุปราคาสวนใหญจะสามารถสังเกตไดจาก
บริเวณใดๆ บนโลกที่อยูในชวงเวลากลางคืนขณะนั้น ขณะที่สุริยุปราคาจะสามารถสังเกตไดเพียงบริเวณเล็กๆ
เทานั้น
หากขึ้นไปยืนอยูบนพื้นผิวของดวงจันทรขณะที่เกิดจันทรุปราคาบนโลก ก็จะสามารถเห็นการเกิด
สุริยุปราคาบนดวงจันทรไดในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ เนื่องจากการที่โลกกําลังบังดวงอาทิตยอยูในเวลานั้น
ฝนดาวตก คืออะไร
นักดาราศาสตรศึกษาถึงที่มาของฝนดาวตก หรือฝนอุกกาบาต พบวาอุกกาบาต เหลานี้ ตางโคจรรอบ
ดวงอาทิตย ในเสนทางเดียวกับดาวหาง บางดวง และไดขอสรุป ชัดเจนวา ฝนดาวตกมีความสัมพันธ กับดาว
หาง ดาวหางเปนวัตถุทองฟาอยางหนึ่ง คลายกอนน้ําแข็งสกปรกของหินและฝุน เกาะกันอยู ดวยกาซและน้ําที่
แข็งตัว เมื่อดาวหางเคลื่อนเขาใกล ดวงอาทิตยมากขึ้น ความรอนจากดวงอาทิตย ทําให น้ําแข็งรอบนอกระเหิด
ออก ปลอยซากเศษชิ้นสวนเล็ก ๆ กระจายเปนธารอุกกาบาตเคลื่อนที่ไปตามเสนทางโคจรของดาวหาง เมื่อ
โลกเคลื่อนที่ ผานธารอุกกาบาตเหลานี้ จึงดูดเศษหินและเศษโลหะเหลานั้น ใหวิ่งเขามาในเขต บรรยากาศโลก
ดวยความเร็วสูง ความรอนจากการเสียดสีกับบรรยากาศ เกิดเปนลูกไฟ สวาง เรียกวา ฝนดาวตก
ทุกวันนี้ เรารูจักฝนดาวตกชุดที่มีปริมาณดาวตกหนาแนน นาสนใจมากกวา 10 ชุด ซึ่งปรากฏใหเห็น
เปนประจํา เกือบทุกเดือนในรอบป นอกจากนั้นยังมีฝนดาวตก ชุดที่เบาบาง ไมนาสนใจอีกหลายชุด ฝนดาว
ตกเปนปรากฏการณที่ไมแนนอน บางปเราอาจเห็นฝนดาวตกชุดหนึ่ง มีจํานวนดาวตกมากเห็นไดชัดเจน แต
อาจเบาบางในอีกปหนึ่ง เพราะสาเหตุหลายอยางแตที่สําคัญคือ โลกเคลื่อนที่ ตัดกับวงทางโคจรของดาวหาง
เปนระยะใกลไกล มากเพียงใดในปนั้น และเพราะซากเศษดาวหาง หลุดออกมาเปนกลุม ๆ ถามีจํานวนมาก
แลวโลก เคลื่อนที่ผานกลุมซากอุกกาบาตนั้นในปใด ก็ทําใหเกิดปรากฏการณฝนดาวตก หนาแนนมากเปน
พิเศษ เรียกวาพายุฝนดาวตก
บรรณานุกรม
14. 12
จงจิต สุธาอรรถ. จักรวาลและดวงดาว. พิมพครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ อักษรวัฒนา, 2542.
พิมล ไถทอง. ฟากฟายามราตรี. หจก.อุบลยงสวัสดิ์ออฟเซท, อุบลราชธานี , 2548.
สก็อตต เอส. เชพพารด. The Jupiter Satellite Page. Carnegie Institution for Science, Department of
Terrestrial Magnetism.
Eric W. Weisstein (2006). "Galileo Galilei (1564–1642)". Wolfram Research. เก็บขอมูลเมื่อ 2006-11-08.
"Discoverer of Titan: Christiaan Huygens". ESA Space Science. 2005. เก็บขอมูลเมื่อ 2006-11-08.
"Comet Halley". University of Tennessee. เก็บขอมูลเมื่อ 2006-12-27.
"Etymonline: Solar System". เก็บขอมูลเมื่อ 2008-01-24.
"Herschel, Sir William (1738–1822)". enotes.com. เก็บขอมูลเมื่อ 2006-11-08.
"Discovery of Ceres: 2nd Centenary, January 1, 1801–January 1, 2001". astropa.unipa.it. 2000. เก็บ
ขอมูลเมื่อ 2006-11-08.
"Spectroscopy and the Birth of Astrophysics". Center for History of Physics, a Division of the American
Institute of Physics. เก็บขอมูลเมื่อ 2008-04-30.
Irvine, W. M.. The chemical composition of the pre-solar nebula. Amherst College, Massachusetts.
สืบคนวันที่ 2007-02-15