SlideShare a Scribd company logo
1 of 69
ห้องสมุดหนังสือเก่า
พล นิกร กิมหงวน กับ ลูกชาย
ตอน หมู่บ้านผีดิบ

กรมอนามัยแห่งกระทรวงสาธารณสุขและสภากาชาดไทยได้ส่งหน่วยพัฒนาการ
เคลื่อนที่ไปในส่วนภูมิภาคตามจังหวัดต่าง ๆ หลายต่อหลายครั้ง อันเป็นถิ่นฐานที่
ทุรกันดารอยู่ในป่าดงพงทึบ ห่างไกลจากเส้นทางคมนาคมถึงแม้จะมีทางเกวียน
ตัดผ่านไปถึงหมู่บ้านเหล่านั้น พวกชาวบ้านป่าหรือชาวไร่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล
จากความเจริญก็มักจะเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา มีชีวตและความเป็นอยู่อย่าง
                                                  ิ
ง่าย ๆ เมื่อใครป่วยไข้ก็รักษากันตามมีตามเกิด ใช้ยากลางบ้านจำาพวกสมุนไพร
ต้มกินหรือทา ไม่เคยพบเห็นนายแพทย์แผนปัจจุบันหรือพยาบาล การคลอดบุตร
ก็อาศัยหมอตำาแย คนเหล่านี้ล้วนแต่สกปรก จะกำาจัดอย่างไรก็ไม่หายสิ่งสกปรก
เพราะปราศจากอนามัยนั่นเอง

หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกระทรวงสาธารณสุขและของสภากาชาดไทย ได้
ทำาคุณประโยชน์ให้แก่พี่น้องร่วมชาติของเรามากมาย นายแพทย์พร้อมด้วย
พยาบาลและบุรุษพยาบาลได้ยกโรงพยาบาลเคลื่อนที่ คือกองรถยนต์ บุกบั่นไป
ยังชนบทเหล่านั้น ให้การรักษาพยาบาลประชาชนที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ
มีการตรวจโรคตามร่างกายและจ่ายยาให้ ที่ป่วยหนักหน่วยพัฒนาการก็รีบส่งตัว
ไปรักษาในจังหวัด มีการฉายภาพยนตร์ให้ชมถึงเรื่องเชื้อโรคและโรคภัยไข้เจ็บ
ต่าง ๆ อบรมประชาชนให้มีอนามัย สอนให้สร้างส้วมที่ถูกสุขลักษณะ แต่ไม่ถึง
ชักโครกแท่นคู่ตามบ้านผู้ดีมีเงินในกรุงเทพ ฯ

กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้มีคำาสั่งให้คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและ
วิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย ซึ่งมีศาสตราจารย์ ดร. ดิเรกเป็นหัวหน้านำาหน่วย
พัฒนาการเดินทางไปยังภาคอีสานตามรายละเอียดในคำาสั่งนั้น ทุกคนมีเวลา
เตรียมตัวเพียง ๓ วัน ลูกชายของสี่สหายต่างคึกคะนองไปตามกันในการบุกป่า
ฝ่าดงครั้งนี้ แต่ จสอ. แห้วบ่นพึมพำาว่า การล่องป่าในฤดูฝนถึงจะเดินทางโดย
ขบวนรถยนต์ก็ไม่สนุกนัก เพราะรถจะต้องตกหล่มและสัตว์แมลงในป่านับตั้งแต่
ทาก เหลือบ แมลงวันก็ชุกชุมมาก

วันนั้นตรงกับวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๑
ก่อนเวลา ๘.๐๐ น. เล็กน้อย ขบวนรถพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด
ซึ่งรถจิ๊ปใหญ่แต่ละคันมีผ้าใบคลุมประทุนอย่างมิดชิดและมีกากบาทแดงทั้งสอง
ข้างรวมทั้งหมด ๖ คัน รถจิ๊ปกลางอีก ๒ คันและรถยีเอ็มซีสิบล้ออีกคันหนึ่งรวม
ทั้งหมด ๙ คัน จอดเป็นแถวเรียงรายจากประตูรั้วบ้าน “พัชราภรณ์” จนถึงทาง
เลี้ยวหน้าตึกใหญ่ ซึ่งคันสุดท้ายติดตามขบวนอยู่ทางมุมตึกด้านขวาคือรถยีเอ็มซี
๑๐ ล้อ บรรทุกทหาร ๒๔ คน แต่งเครื่องสนามสวมหมวกเหล็กมีอาวุธทันสมัยคือ
ปืนกลเบา ปืนยิงเร็ว ปืนเล็กยาวและปืน ค. มีนายทหารหนุ่มยศร้อยโทคนหนึ่งเป็น
ผู้บังคับหมวด ทหารหมวดนี้จะทำาหน้าที่คุ้มกันอารักขาหน่วยพัฒนาการของท่าน
นายพลดิเรก
ตามเวลาที่กล่าวนี้คณะพรรคสี่สหายกับลูกชายของเขาพร้อมด้วยเจ้าคุณปัจจนึก
ฯ และเจ้าแห้ว ได้ชุมนุมกันอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง ทุกคนแต่งเครื่องแบบฝึกสวม
หมวกแก๊ปทรงอ่อน มีอาวุธประจำาตัวเหมือน ๆ กันคือปืนพกซุปเปอร์คอลท์ ๑๑
มม. นายพลดิเรกจะทำาหน้าที่เป็นแพทย์ตรวจรักษาพี่น้องชาวไทยที่เป็นชาวไร่
หรือชาวบ้านป่า ในดินแดนอันแสนกันดารทางภาคอีสาน นับตั้งแต่จังหวัด
นครราชสีมาเป็นต้นไป นอกนั้นจะทำาหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ ส่วนพยาบาลประจำา
ขบวนพัฒนาการก็คือ นันทา นวลลออ ประภาและประไพนั่นเอง

ตามหมายกำาหนดการ พล.อ. วิชิต ชัยสมรภูมิ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่าย
ยุทธการจะมาถึงบ้าน “พัชราภรณ์” ในเวลา ๘.๐๐ น. ตรง ซึ่งขณะนี้ทหารราบ
หนึ่งหมวดและพลขับประจำาขบวนรถได้ตั้งแถวเตรียมพร้อมอยู่แล้ว

ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจของคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์
ของกองทัพไทย คุณหญิงวาดได้เดินนำาหน้าพาสี่นางลงบันไดมาจากชั้นบน
นันทา นวลลออ ประภาและประไพแต่งเครื่องแบบพยาบาลสีขาวสะอาดตา โดย
เฉพาะประภามีเครื่องหมายกากบาทแดงอยู่บนแขนซ้าย แสดงว่าหล่อนสำาเร็จ
วิชาการพยาบาลและผดุงครรภ์มาจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงทำาให้ประภา
เด่นกว่าสามนางด้วยเครื่องหมายกากบาทอันเป็นที่สะดุดตานี้ ส่วนนันทา
นวลลออและประไพนั้นถึงแม้ไม่ได้เรียนวิชาพยาบาลมาแต่ก่อน แต่ก็ได้รับการ
ฝึกหัดอบรมจากศาสตราจารย์ดิเรกและประภาอยู่เสมอ จึงสามารถทำาหน้าที่เป็นผู้
ช่วยพยาบาลได้เป็นอย่างดี
อาเสี่ยกิมหงวนร้องขึ้นดัง ๆ
“ทำาความเคารพพยาบาลทั้งสี่คน ทั้งหมด……วันทยหัตถ์”
ปรากฎว่าเสี่ยหงวนคนเดียวเท่านั้นที่กระทำาวันทยหัตถ์และวิ่งเข้าไปรายงานตัว
ต่อคุณหญิงวาด
“พวกกระผม ๑๐ คน พร้อมที่จะออกเดินทางแล้วครับ แหม…วันนี้เมียผมสวย
เหลือเกิน รูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ ฟลอเร้นซ์ ไนติงเกล ทำาไมคุณอาไม่แต่งเครื่อง
แบบพยาบาลล่ะครับ”
คุณหญิงวาดทำาตาโต
“ใครบอกเธอล่ะจ๊ะว่าฉันจะไปด้วย แก่ขนาดนี้แล้วขืนไปรถมันก็ฟัดตาย แล้วถ้า
เกิดรบกับพวกคอมมิวนิสต์อาก็คงช็อคตายแน่ ๆ แล้วก็….ถ้าอาไปใครจะเฝ้า
บ้าน” พูดจบคุณหญิงวาดก็สะดุ้งโหยง “อุ๊ยตาย….อกอีแป้นแตก ถ้าอกอีแป้นไม่
แตกอกอาก็แตก พ่อหงวนทำาไมถึงเล่นพิเรนอย่างนี้”
“คุณอาหมายความว่ากระไรครับ”
“ก็เธอนึกขลังอย่างไรขึ้นมาถึงได้เอาเครื่องหมายยศนายพลตรีมาติดบ่าทั้งสอง
ข้าง”
ศาสตราจารย์ดิเรกใจหายวาบ เขาเดินเข้ามาหาเสี่ยหงวนทันที พอแลเห็น
เครื่องหมายยศ พล.ต. บนอินธนูผ้า นายพลดิเรกก็กลืนนำ้าลายเอื๊อก
“ว๊อท ดิ ไอเดีย ยูรู้ไหมว่าที่ยูทำาอย่างนี้น่ะติดคุกนะโว้ย”
เสี่ยหงวนขมวดคิ้วย่น “ขอให้กันแต่งนายพลไปพัฒนาการคราวนี้เถอะวะ อย่าง
น้อยกันจะได้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอ้ายพล”
“โน” นายพลดิเรกเอ็ดตะโรลั่น “รีบขึ้นไปข้างบนเปลี่ยนเครื่องหมายยศเสียให้ถูก
ต้อง ถึงแม้แกเป็นพันเอกติดดาวสามดวงมีมงกุฎครอบ แต่ที่คอเสื้อทั้งสองข้างมี
เครื่องหมายคฑาไขว้ก็แสดงอยู่แล้วว่าแกเป็นพันเอกพิเศษหรือนายพลจัตวาที่
เลิกล้มไปแล้ว เร็ว….มีเวลาอีกห้านาทีเท่านั้นท่านรองก็จะมาถึงที่นี่”
พ.อ. กิมหงวนบ่นพึมพำาแล้วพาตัวขึ้นบันไดไปชั้นบน
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวชมสี่นางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ครั้งนี้แหละ พวกเจ้าจะได้ร่วมงานกับเราอย่างใกล้ชิด ประภาท่าทาง
ทะมัดทะแมงดี ยายไพเหมือนพยาบาลเวียตนาม”
ประไพค้อนขวับ
“คุณพ่อน่ะซิคะเวียตนาม แล้วก็เวียตนามเหนือเสียด้วย”
“อ้าว กูก็เป็นคอมมิวนิสต์น่ะซีโว้ย”
“ฮี้” นิกรร้องเสียงเหมือนม้า “มันจะมากไปนะครับ พูดกูมึงกับเมียผม อย่างไร
ก็ตามเมียผมก็เป็นคุณนายแล้ว”
ท่านเจ้าคุณหันมามองดู พ.อ. นิกรอย่างขบขัน

“เมียแกน่ะลูกฉันนะโว้ย”
“อ้าว….แล้วก็ไม่บอกให้รู้”
อีกในราวสองนาทีต่อมา พ.อ. กิมหงวนได้เดินลงบันไดมาจากชั้นบนอย่างรีบร้อน
เขาติดเครื่องหมายยศพันเอกเหมือนเช่นเดิม ร.อ. สมนึกกล่าวกับเพื่อน ๆ ด้วย
เสียงอันดัง
“เตี่ยกันเพ้อฝันมานานแล้วที่จะเป็นนายพล แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้เป็น”
ร.อ. นพกล่าวขึ้นบ้าง
“สู้พ่อกันไม่ได้ ตอนที่ลุงพลได้เป็นนายพลพ่ออยากเป็นนายพลบ้าง เดี๋ยวนี้หาย
อยากแล้ว พ่อบอกว่าอยากเป็นนายสิบหรือพลทหารมากกว่า เพราะนั่งกิน
ก๋วยเตี๋ยวหรือเย็นตาโฟ เนื้อสะเต๊ะ เต้าหู้ทอดริมถนนไม่มีใครสนใจหรือว่ากล่าว”
นิกรยิ้มให้ลูกชายของเขา
“ก็หรือไม่จริง ก็ลองให้ลุงพลของแกหรือดิเรกแต่งนายพลนั่งกินอาหารริมถนนจะ
มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนนับพันจะห้อมล้อมมองดูด้วยความสนใจ”
นายพลดิเรกยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วพูดตัดบท
“ลงไปข้างล่างเถอะพวกเรา ท่านรองคงจะมาถึงตามกำาหนดเวลา แต่เราลาคุณอา
ท่านเสียก่อน”
คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและสี่นางต่างกระทำาความเคารพและอำาลาคุณหญิง
วาด ซึ่งคุณหญิงก็ได้ให้ศลให้พรในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่
                           ี
“ขอให้ทุกคนโชคดีและแคล้วคลาดอันตรายเถิด อ้า….ท่านเจ้าคุณช่วยดูแลเด็ก ๆ
ด้วยนะคะ อย่างน้อยก็ช่วยพูดเตือนสติอย่าให้เขากล้าหาญอย่างบ้าบิ่นมุทะลุ ถ้า
เกิดสู้รบกับอ้ายพวกก่อการร้ายหรือพวกคอมมิวนิสต์คอมมิวหน่อยนั่นแหละค่ะ
อาฮั้นเป็นห่วงพ่อหลานชายทั้งสี่คนนี่อย่างยิ่ง”
ท่านเจ้าคุณอมยิ้ม
“แน่ะ วันนี้พูดอาฮั้นเชียวหรือ”
“ค่ะ วันดีคืนดีก็ลองพูดเล่นบ้าง อาฮั้นจะได้ทันสมัยขึ้น เหมือนกับพวกคุณหญิง
คุณนายในวงสังคมยังไงล่ะฮะ”
ทุกคนพากันออกจากห้องโถงลงบันไดหน้าตึกตั้งแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยวทาง
ซ้ายของแถวทหารราบ ส่วนคุณหญิงวาดเดินไปยืนรวมกลุ่มคนใช้ชายหญิง
ตลอดจนแม่ครัวและคนสวนที่มาคอยส่งหน่วยพัฒนาการในบังคับบัญชาของ
ศาสตราจารย์ดิเรก
นายสิบสารวัตรทหารบกคนหนึ่งซึ่งยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน “พัชรา
ภรณ์” ได้ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“ท่านรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาแล้ว”
ฟอร์ดฟัลคอนเก๋งสีครีมเลี้ยวผ่านประตูรั้วบ้าน “พัชราภรณ์” เข้ามาอย่างแช่มช้า
ติดตามด้วยรถตรวจการบรรทุกสารวัตรทหารบก ๖ คน ทำาหน้าที่พิทักษ์รักษา
ท่านนายพลอาวุโส รถทั้งสองหยุดนิ่งหน้าโรงเก็บรถ เมื่อท่านรองผู้บัญชาการ
ทหารสูงสุดในเครื่องแบบปรกติกากีแกมเขียวเชิ๊ตแขนยาวและผูกเน็คไท สวม
หมวกแก๊ปทรงหม้อตาลก้าวลงมาจากรถ นายพลดิเรกก็ร้องตะโกนขึ้นทันที
“ทำาความเคารพรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายยุทธการ……….แลขวา”
นายพลดิเรกวิ่งเหยาะ ๆ ตรงเข้าไปหาท่านนายพลอาวุโส หยุดยืนชิดเท้าตรงและ
รายงานตนตามระเบียบพร้อมทั้งจำานวนยานพาหนะ จำานวนนายทหารนายสิบพล
ทหารและพยาบาลประจำาหน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด
ท่านนายพลอาวุโสวันทยหัตถ์ตอบและยื่นมือให้ศาสตราจารย์ดิเรกสัมผัส
“เข้มแข็งดีครับอาจารย์ ผมหวังว่าหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของเราคงจะปฏิบัติ
หน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติของเราที่ป่วยไข้ได้ดีที่สุด แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้
ช่วยแพทย์ของอาจารย์จะทำาหน้าที่ของเขาได้เรียบร้อยหรือเปล่า”

“ผมรับรองครับท่านรอง เพื่อน ๆ และลูกหลานของผมตลอดจนพ่อตาของผมกับ
จ่าสิบเอกแห้วมีความสามารถทำาหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ได้”
“แล้วคุณผู้หญิงทั้งสี่คนนั่นล่ะ”
นายพลดิเรกยิ้มละไม
“ไม่มีปัญหาอะไรครับ ภรรยาของผมสำาเร็จพยาบาลมาจากจุฬาลงกรณ์และได้ทำา
หน้าที่ช่วยเหลือผมอยู่เสมอ ส่วนอีกสามคนก็เคยช่วยเหลือผมเหมือนกันและผม
ได้สอนวิชาพยาบาลให้จนกระทั่งมีความรู้พอตัว”
พล.อ. วิชิตพยักหน้ารับทราบ ต่อจากนั้นศาสตราจารย์ดิเรกก็พาท่านตรวจแถว
หน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด ท่านนายพลอาวุโสได้สัมผัสมือ
กับท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีการทักทายกันอย่างสนิท
สนม
“ใต้เท้าแก่แล้วแต่ก็ยังแข็งแรงดี ขอให้โชคดีและปลอดภัยนะครับ”
“ขอบคุณครับท่านรอง ผมจะปฏิบัตหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด”
                                   ิ
ท่านนายพลอาวุโสเลื่อนตัวมาหยุดยืนเบื้องหน้าสามสหาย
“ว่ายังไงคุณพล รู้สึกหนักใจอะไรบ้างไหม”
พล.ต. พลตอบท่านอย่างแข็งแรง
“ไม่มีอะไรหนักใจครับ”
“ถ้าถูกพวกก่อการร้ายโจมตีล่ะ….”
“ก็ต้องสู้กับมันจนยิบตาแหละครับ บนรถจิ๊ปใหญ่คันนั้นเราได้ติดตั้งปืนกลหนัก
และปืน ค. ไว้พร้อม นอกจากนี้ยังมีอาวุธอีกหลายอย่าง เช่น ปืนยิงเร็วและระเบิด
มือ กระสุนปืนอีกมากมาย แต่เราได้ปิดบังอย่างมิดชิดไม่ให้ใครรู้ เมื่อเราถูกโจมตี
ลูกหลานของผมก็จะประจำาหน้าที่บนรถจิ๊ปใหญ่คันนั้นตามที่ได้มอบหมายไว้”
ท่านรองนิ่งฟังด้วยความสนใจและเปลี่ยนสายตามาที่ พ.อ. นิกร
“อย่าให้เสียชื่อกองบัญชาการทหารสูงสุดนะผู้การ”
พ.อ. นิกรยืนนิ่งเฉย นัยน์ตาลืมโพลงเหมือนถูกสะกด ท่านรองนึกแปลกใจ ก็
ยกมือขวาขึ้นโบกวนเวียนเบื้องหน้านิกรในระยะใกล้ชิด แล้วท่านก็ร้องขึ้นดัง ๆ
“หลับหรือคุณนิกร”
พ.อ. นิกรสะดุ้งเฮือกแล้วเคี้ยวปากจั๊บ ๆ เหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นนอน
“แฮ่ะ แฮ่ะ ได้ครับ ผมจะพยายามหามาให้ท่านรอง”
พล.อ. วิชิตขมวดคิวย่น
                   ้
“คุณหมายความถึงอะไร”
“ก็อีหนูทางอีสานยังไงล่ะครับ”
“บ้าแล้ว ผมมีแต่จะปลดออกไปเท่าที่มีอยู่ตั้ง ๕ คน ก็เดือดร้อนพอดูแล้ว ปีหน้าผม
ก็จะปลดเกษียณแล้ว ปีนี้รู้สึกว่าแก่ตัวลงมาก กำาลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง”
นิกรว่า “กินโสมเสียบ้างซีครับท่านรอง หรือไม่ก็เอ็นกวางตุ๋น คุณพ่อผมท่านยัง
แข็งแรงอยู่ก็เพราะท่านได้กินโสมและยาจีนที่มีราคาแพง ๆ”
ท่านรองหันไปทางเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
“เอ….ผมเห็นจะต้องเอาอย่างใต้เท้าบ้าง ใต้เท้ากินยาอะไรครับ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยิ้มอาย ๆ

“ก็ทั้งยาทั้งอาหารนั่นแหละครับ อาหารก็คือเนื้อนมไข่ ซึ่งไข่ในที่นี้ผมหมายถึง
ไข่จะละเม็ด วันหนึ่งต้องกินให้ได้อย่างน้อย ๕ ฟอง ยาจีนก็คือโสมขาวชงนำ้าชา
กินตลอดวัน นอกนั้นก็เป็นยาบำารุงกำาลัง กินวันละเทียบ เทียบหนึ่งราคา ๑๕๐
บาท กินได้มื้อเดียวคือมื้อเย็น แต่ท่านรองจะกินได้หรือ เพราะยาบำารุงกำาลังที่ผม
กำาลังพูดถึง ใส่ตุ๊กแกแห้ง ๆ หนึ่งตัว ม้านำ้าแห้งหนึ่งตัว ม้านำ้าก็คือสัตว์จำาพวกปลิง
ทะเลตัวยาวราวสามนิ้ว หน้าตาเหมือนม้า”

“น่าคิดครับใต้เท้า เอาไว้ให้หน่วยพัฒนาการกลับมาเสียก่อน ผมจะมาเยี่ยม
ใต้เท้าเป็นการส่วนตัว เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องนี้ จริงครับ….ใต้เท้ายังแข็งแรง
มาก เนื้อหนังก็ยังไม่เหี่ยวย่นเหมือนกับผู้มีวัย ๕๐ เศษเท่านั้น”

นิกรพูดเสริมขึ้น

“คุณพ่อเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มครับ คือแก่ถึงที่สุดแล้วก็กลับเป็นหนุ่ม เมื่อเช้านี้ผม
ได้ยินเสียงคุณพ่อแตกเนื้อหนุ่มหลายที”

ท่านรองหยุดยิ้มแล้วเลื่อนตัวมายืนเบื้องหน้า พ.อ. กิมหงวน

“อ้าว-เป็นอะไรไปล่ะผู้การ ทำาแก้มพองลมโป่งไปโป่งมามองดูเหมือนกบหรือ
คางคก”

อาเสี่ยจามเสียงสนั่นหวั่นไหว

“ฮ้าด….ชะเอ๊ย ขออนุญาตครับผมแพ้กลิ่นโอดิโคโลญที่ท่านรองใส่ไม่ทราบว่า
ยี่ห้ออะไร ผมได้กลิ่นทีไรผมจามทุกที”

ท่านนายพลอาวุโสหัวเราะเบา ๆ
“แต่เมียผมเขาชอบ เขาซื้อให้ใช้เป็นประจำา คนเรานี่ก็แปลกนะ บางคนก็แพ้ฝุ่น
ละอองหรือเกสรดอกไม้ แพ้ขนแมวทำาให้จามหรือเป็นโรคหืด” แล้วท่านก็ถาม
พ.อ. นิกร “คุณล่ะแพ้อะไร”

นิกรยิ้มแป้น

“ผมไม่เคยแพ้อะไรหรอกครับนอกจากแพ้เมีย ตอนนี้ลูกมันโตขึ้นผมอาจจะแพ้ลูก
อีกคนหนึ่ง เพราะถ้าเกิดต่อยปากกันขึ้น อ้ายนพมันคงถลุงผมยับ”

สี่นางหัวเราะขึ้นดัง ๆ พล.อ. วิชิตเลื่อนตัวเข้ามายืนเบื้องหน้าสี่สหายหนุ่มและเจ้า
แห้ว ท่านยกมือขวาตบบ่าซ้าย ร.อ. พนัสเบา ๆ

“เข้มแข็งดีนะหลานชาย”

“ครับผม”

ท่านนายพลอาวุโสเปลี่ยนสายตามาที่ ร.อ. นพและกล่าวว่า

“อย่าลืมว่าการไปปฏิบัติหน้าที่คราวนี้ทุกคนต้องเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตเหมือนกัน ถ้า
เกิดปะทะกับพวกก่อการร้าย เธอคงจะสู้กับมันแบบยอมตายถวายชีวิต”

“แน่นอนครับ กระผมและพวกเราทุกคนจะสู้กับศัตรูให้สมศักดิ์ศรี”

ร.อ. สมนึกพูดเสริมขึ้น

“ผมจะเอาไม้ไผ่เหลาเล็ก ๆ เหมือนไม้ที่เขาทำาว่าวเสียบพวกมันแล้วตากแห้งเอา
มาฝากท่านรองสักยี่สิบ สามสิบไม้ครับ”

พล.อ. วิชิตทำาหน้าชอบกล

“เอ-อ้ายที่เธอว่าจะเสียบไม้น่ะ คงจะเป็นเขียดหรือแย้มากกว่ากระมั้ง” แล้วท่านก็
หันมาทาง ร.อ. ศาสตราจารย์ดำารงลูกชายของท่านนายพลดิเรก

“หลานชาย อย่าลืมติดต่อกับกองบัญชาการทหารสูงสุดโดยทางวิทยุตามที่เราได้
ตกลงกันไว้ ถ้าเกิดปะทะกับข้าศึกเราจะรีบส่งกำาลังหนุนและเครื่องบินไปช่วย แต่
ฉันเชื่อว่า ทหารราบหนึ่งหมวดที่ติดตามไปก็พอที่จะต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย
ประมาณหนึ่งกองร้อยได้แน่ ๆ เพราะทหารของเราได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่าง
ดีและการสู้รบเพื่อประเทศชาติของเรา ฝ่ายเราย่อมมีขวัญและกำาลังใจดีกว่า”

ท่านรองได้ทักทายกับ จสอ. แห้วตามสมควร แล้วเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าสี่นาง

“ในฐานะที่พวกคุณเป็นนายทหารหญิงสังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ผมขอ
แสดงความยินดีกับพวกคุณที่เดินทางไปพัฒนาการช่วยเหลือประชาชนตาม
ป่าดงในครั้งนี้ ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะครับ”
เมื่อไม่มีใครพูดกับท่านรอง ประไพจึงกล่าวขึ้น

“เดี้ยนขอบคุณค่ะ ที่ท่านรองกรุณามาส่งเรา”

ท่านรองทำาหน้าเหยเก

“เดี้ยนน่ะคือตัวคุณใช่ไหม”

“ฮะ เดี๋ยวนี้ผหญิงสมัยใหม่หรือสุภาพสตรีชั้นสูงเขาพูดคำาว่าเดี้ยนแทนคำาว่า
              ู้
ดิฉัน”

“อ้อ-ผมเพิ่งทราบ”

ท่านรองเดินเคียงคู่กับนายพลดิเรกตรวจแถวพลขับและตักเตือนให้ทุกคนปฏิบัติ
หน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ต่อจากนั้นท่านก็ตรวจแถวทหารราบหนึ่งหมวดซึ่งยืน
เป็นแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยวอยู่ในท่ากระทำาความเคารพ ผู้ที่ถือปืนเล็กยาว
สวมดาบได้กระทำาวันทยาวุธ ส่วนผู้ที่สะพายปืนกลเบาและปืนยิงเร็วได้ยกมือขวา
ขึ้นแตะไหล่ซ้ายตามระเบียบของการแสดงความเคารพ ร.ท. สามารถผู้บังคับ
หมวดรูปหล่อยืนวันทยหัตถ์อยู่หน้าแถว เขาแต่งเครื่องสนามเรียบร้อยอาวุธ
ประจำาตัวคือปืนพก ๑๑ มม. และระเบิดมือใช้ดินระเบิดแรงสูงแขวนอยู่ที่หน้าอก
เสื้อด้านซ้ายอีกสองลูก

ท่านรองได้ทักทายกับผู้บังคับหมวดเป็นคนสุดท้าย

“เธอกับทหารในบังคับบัญชาของเธอจะต้องคุ้มกันชีวิตของคณะผู้เชี่ยวชาญการ
อาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย อย่าลืมว่าแต่ละคนมีค่าและมีความหมาย
แก่ประเทศชาติมาก ถ้าเราถูกศัตรูโจมตี เธอกับทหารของเธอจะต้องสู้ตาย”

“ครับผม กระผมได้สั่งทหารในบังคับบัญชาไว้เรียบร้อยแล้วครับ”

ท่านรองกับศาสตราจารย์ดิเรกต่างเดินตรวจแถวทหารราบไปจนสุดแถว แล้ว
ท่านก็ออกคำาสั่งกับนายพลดิเรก

“ออกเดินทางได้แล้วอาจารย์ ผมจะไปคุยกับคุณหญิงวาดและถือโอกาสส่งหน่วย
พัฒนาการที่น”
            ี่

นายพลดิเรกยกมือวันทยหัตถ์รับคำาสั่งและร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ

“ทั้งหมด ขึ้นรถประจำาที”
                       ่

ทหารราบหนึ่งหมวดและ ร.ท. สามารถต่างขึ้นไปนั่งบนรถยีเอ็มซี ซึ่งมีผ้าใบคลุม
ประทุนแดดฝน ในเวลาเดียวกันสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็ขึ้นไปนั่งบนรถจิ๊ป
กลางคันหน้าขบวนโดยมี จสอ. แห้วเป็นพลขับ รถจิ๊ปกลางคันต่อมาเป็นรถของ
พยาบาลทั้งสี่คน มีนายสิบของกรมการขนส่งเป็นพลขับ ถัดไปคือจิ๊ปคันใหญ่ตด   ิ
อาวุธซุ่มซ่อนไว้ในรถ มีเจ้าหน้าที่ประจำารถ ๕ คน คือพลขับและลูกชายของสี่
สหาย โดยเฉพาะรถคันนี้ไม่ได้ติดเครื่องหมายกาชาดแต่มีความหมายและสำาคัญ
ที่สุด เพราะมีอาวุธร้ายพอที่จะคุ้มกันขบวนพัฒนาการเคลื่อนที่ของกอง
บัญชาการทหารสูงสุดได้เป็นอย่างดี ต่อมาคือรถจิ๊ปใหญ่อีก ๕ คัน เป็นรถทำาฟัน
เคลื่อนที่คันหนึ่ง รถเอ็กซเรย์คันหนึ่ง นอกนั้นเป็นรถบรรทุกยาและเวชภัณฑ์ต่าง
ๆ คันที่หกเป็นรถผ่าตัด มีเครื่องมือเครื่องใช้ในทางศัลยกรรมพอที่จะผ่าตัดหัว
กะโหลก ตับไตไส้พุง ขอบกระด้ง ผ้าขี้ริ้วตับปอดและม้ามได้ ซึ่งศาสตราจารย์
ดร. ดิเรกจะต้องทำางานหนักที่สุด ท้ายขบวนคือทหารราบซึ่งนั่งอยู่ในรถยีเอ็มซี
ถ้าหากว่าหน่วยพัฒนาการถูกพวกก่อการร้ายโจมตีระหว่างทางหรือขณะที่
ปฏิบัตหน้าที่ตามหมู่บ้าน ทหารราบหมวดนี้ก็จะต่อสู้อย่างทรหด
        ิ

ท่ามกลางเสียงไชโยของพวกคนใช้ชายหญิง ขบวนรถของหน่วยพัฒนาการได้
เคลื่อนออกจากที่อย่างแช่มช้า เจ้าแห้วหรือ จสอ. แห้วนั่งคู่ กับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
ส่วนสี่สหายนั่งอยู่ด้านใน มีหีบห่อกองอยู่หลายชิ้นนับตั้งแต่เครื่องรับส่งวิทยุที่ใช้
ติดต่อในระหว่าง ทางไกลคือวิทยุโทรศัพท์อันเป็นประดิษฐกรรมของ
ศาสตราจารย์ดิเรก มีเครื่องฉายภาพยนตร์ขนาด ๑๖ มม. ภาพยนตร์สุขศึกษาอีก
หลายม้วน ภาพยนตร์การ์ตูนและคาวบอย ภาพยนตร์ข่าวตำารวจชายแดนและ
ทหารสู้รบกับฝ่ายก่อการร้ายและทำาการกวาดล้างได้ราบคาบจากท้องถิ่นต่าง ๆ

เมื่อออกมาพ้นเขตบ้าน “พัชราภรณ์” รถฉลามบกของกองปราบปรามคันหนึ่งซึ่ง
จอดอยู่ริมรั้วด้านนอกของบ้าน “พัชราภรณ์” ได้แล่นนำาขบวนทันที เปิดไฟหมุนสี
แดงบนหลังคาเก๋งวาบวับ นายตำารวจผู้บังคับรถได้รับคำาสั่งนำาขบวนไปส่งจนถึง
ทางแยกไปนครราชสีมาและอีสานที่จังหวัดสระบุรี อย่างไรก็ตามรถจิ๊ปกลางที่
บรรทุกสี่สหายก็มีไฟแดงอยู่บนหลังคารถและมีแตรไซเลนท์ด้วย เพราะไฟรถที่
เตรียมไว้ใช้ในราชการสงครามหรือปราบจลาจล

คืนวันนั้นขบวนพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุดได้หยุดพักแรมที่ค่าย
ทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา บรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้ให้การ
ต้อนรับเป็นอย่างดี ส่วนมากเคยเป็นลูกศิษย์ของนายพลดิเรกมาก่อน หรือมิฉะนั้น
ก็เคยรู้จักกับสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ มาแต่ก่อนแล้ว การเดินทางโดยขบวน
พัฒนาการเช่นนี้ทำาให้สี่นางสนุกสนานมาก

ตอน เช้าวันต่อมาขบวนพัฒนาการได้ออกจากจังหวัดนครราชสีมามุ่งตรงไปยัง
หนองบัวโคก และบุกเข้าไปตามทางเกวียนในป่าลึกถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งจึงหยุด
พัก บรรดาทหารราบได้ลงจากรถยีเอ็มซีคันนั้นกระจายกำาลังกันออกไปทำาหน้าที่
คุ้มกัน คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธ ตอนแรกชาวบ้านเห็นทหารก็รู้สึกหวาด ๆ
เหมือนกัน เพราะไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อ พ.อ. นิกรได้เจรจากับพวก
ชาวบ้านโดยทางเครื่องขยายเสียงแล้ว ก็ปรากฏว่าพวกชาวบ้านหรือพวกชาวไร่
เหล่านั้นได้ย่อย ๆ กันมาที่เต้นท์พยาบาล ซึ่งเป็นเต้นท์ขนาดกลางสองหลังและ
ทหารได้ช่วยกันกางขึ้น ขนโต๊ะเก้าอี้ลงจากรถไปไว้ในเต้นท์

“พี่น้องทั้งหลาย” เสียงนิกรกังวานลั่น “หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกอง
บัญชาการทหารสูงสุดได้มาเยี่ยมท่านแล้ว พร้อมด้วยนายแพทย์และพยาบาลชั้น
ดีที่จะมาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ท่านหรือให้คำาแนะนำาที่เป็นประโยชน์แก่
ท่าน เราจะตรวจรักษาท่านโดยไม่มีการคิดเงิน เราจะฉีดยาและจ่ายยาให้ท่านฟรี
ซึ่งคืนวันนี้เราจะฉายหนังให้ชมด้วย ข้าพเจ้าพันเอกนิกรขอเชิญพี่น้องทั้งหลาย
มารับการตรวจรักษาที่เราได้แล้ว รีบมาเถอะครับไม่ต้องเกรงใจและไม่ต้องเกรง
กลัวพวกเรา ซึ่งพวกเรานั้นเห็นคนเป็นคน ไม่ได้เห็นคนเป็นสัตว์เหมือน
ข้าราชการบางคนที่วางอำานาจข่มขู่ท่าน พูดจากับท่านก็ไม่เพราะหู ใช้ภาษาพูด
ตำ่า ๆ เช่นแกฉันตามสันดานเดิมของเขาหรือตามนิสัยที่สืบมาจากบรรพบุรุษ เชิญ
ครับ…คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายคุณลุงคุณป้าคุณน้าคุณอาคุณพ่อคุณแม่และพี่
น้องทั้งหลาย ท่านจะได้รับความสะดวกสบายทุกประการในการตรวจรักษาโรค
นอกจากนี้เรายังรักษาโรคฟันให้ท่านด้วย ฟันดำาทำาให้ฟันขาว ฟันยาวทำาให้ฟัน
สั้น ฟันโยกห้ามเลี้ยงแมวตัวผู้ แต่ถ้าท่านมาให้หมอถอนออกเสีย ท่านก็สามารถ
เลี้ยงแมวตัวผู้ได้ ฟันดีห้ามเลี้ยงแมวตัวเมีย ให้ทันตแพทย์ของเราถอนออกเสีย
หนึ่งซี่ ท่านก็เลี้ยงแมวตัวเมียได้ เชิญครับพ่อแม่พี่น้องพระเดชพระคุณทั้งหลาย
หน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุดมารับใช้ท่านถึงที่อยู่แล้ว ท่าน
ควรงดเว้นกินอาหารดิบ เป็นต้นว่าหมูหรือเนื้อวัวซึ่งมีเชื้อโรคหลายชนิดอยู่ในตัว
ของมัน ขณะนี้อากาศกำาลังร้อนจัด ถึงเป็นฤดูฝนพื้นแผ่นดินทางอีสานของเราก็
ยังแห้งแล้ง จงระวังอหิวาตกโรคให้มาก ดื่มนำ้าโสโครก บริโภคผักสด ใช้อุจจาระ
รดต้นเหตุอหิวาต์ ผักดิบผักสดงดเสียดีกว่า ดื่มนำ้าประปาจึงจะพ้นภัย”

มีเสียงใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น

“นำ้าประปาที่ไหนกันวะ มีแต่นำ้าตามห้วย บอกให้รัฐบาลมาสร้างถังประปาให้พวก
เราบ้างซี”

คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยกับพยาบาลทั้งสี่คน
ได้ให้การต้อนรับพวกชาวบ้านเป็นอย่างดี ใครอยากจะทดลองรักษาหมอปัจจุบัน
ก็มาพบกับนายพลดิเรก ผู้ที่พึงพอใจหมอโบราณก็มาพบกับ พ.อ. นิกร การตรวจ
รักษาได้กระทำากันตลอดเวลาโดยไม่มีหยุดพัก ดร. ดิเรกได้ฉีดยาให้คนไข้ของ
เขาหลายรายและให้ยาไปกิน ถอนฟันและอุดฟันที่เป็นรูเป็นโพรง บางคนที่สงสัย
ว่าเป็นโรคปอดก็ฉายเอ็กซเรย์ให้ สี่นางได้ทำาหน้าที่พยาบาลโดยไม่เห็นแก่ความ
เหนื่อยยากหรือแสดงความรังเกียจในความสกปรกโสมม เป็นต้นว่าขี้ฟันเขลอะ
ไม่เคยใช้แปรงสีฟันมาตลอดชีวิตหรือขี้ตาก้อนเท่าหัวเรือ ขี้ไคลกบบ้องหู เสื้อผ้า
เหมือนผ้าขี้ริ้วของพี่น้องร่วมชาติเหล่านี้ พล กิมหงวนและสี่สหายหนุ่มได้ทำา
หน้าที่ผู้ช่วยแพทย์อย่างแข็งแรง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ รับหน้าที่เป็นทันตแพทย์ ส่วน
เจ้าแห้วทำาหน้าที่เป็นคนฉายเอ็กซเรย์คนไข้ตามคำาสั่งของนายพลดิเรก ทุกคน
เหน็ดเหนื่อยวุ่นวายไปตามกัน ยาแผนปัจจุบันที่นำามาได้ถูกแจกจ่ายให้พวกชาว
บ้านไปไม่น้อย นอกจากนี้นิกรยังจ่ายยาหม้อแบบยาไทยโบราณให้ไปอีกหลาย
ราย ความสุภาพและความเป็นกันเองที่พวกชาวบ้านได้รับจากหน่วยพัฒนาการ
เคลื่อนที่ทำาให้ชาวไร่ประมาณ ๔๐๐ คน มีความเคารพนับถือหน่วยพัฒนาการ
หน่วยนี้ ผู้ที่กำาลังจะร่วมงานกับฝ่ายศัตรูต่างก็เลิกล้มความคิดเหล่านี้เพราะได้รู้
ความจริงว่า รัฐบาลมิได้ทอดทิ้งให้มีชีวตอยู่อย่างเดียวดาย ได้ส่งหน่วย
                                        ิ
พัฒนาการเคลื่อนที่มาช่วยเหลือชาวบ้านที่ป่วยไข้และเจ้าหน้าที่ทุกคนก็พูดจา
นอบน้อมน่าฟัง ไม่ได้กระทำาตนเป็นนายเหนือหัว
คืนวันนั้นมีการฉายภาพยนตร์สุขศึกษา ภาพยนตร์เคาบอยและการ์ตูน บางทีก็
เป็นเรื่องปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่จังหวัดน่าน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่จังหวัด
เชียงราย พ.อ. นิกรกับประไพภรรยาของเขาเป็นคนพากย์ ปรากฏว่าประไพ
พากย์บทผู้หญิงได้ดีมากเรียกเสียงตบมือเสียงหัวเราะได้ครื้นเครง เจ้าแห้วเป็น
พนักงานฉายหนัง

ขบวนพัฒนาการได้ออกเดินทางต่อไป ลัดตัดป่าไปบ้านลาด ไปมัญจาคีรี ถนน
หนทางยังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อเพราะเพิ่งกรุยทางไว้ ในที่สุดคณะพัฒนาการ
เคลื่อนที่ของกองบัญชาการทหารสูงสุดก็ได้มาถึงหมู่บ้านภูงามทางทิศตะวันออก
เฉียงเหนือของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่ในหุบเขาอันทุรกันดารยิ่ง แทบ
จะกล่าวได้ว่าไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย

ชาวบ้านภูงามมีอยู่ประมาณ ๕๐ หลังคาเรือนเท่านั้น หาเลี้ยงชีวตโดยไม่ต้องใช้
                                                            ิ
เงินหรือพึ่งพาอาศัยใคร มีการทำานาข้าวเหนียว ทอผ้าไว้ใช้เอง มีเนื้อสัตว์ป่าตาก
แห้งทำาเค็มไว้ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ความต้องการของชีวิตมีเพียง ๓ อย่าง
คือบ้านที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคคือสมุนไพรและอาหาร

เมื่อขบวนรถผ่านเข้าไปในหุบเขา ศาสตราจารย์ดิเรกก็ยกวิทยุสนามขึ้นพูดกับ
พลขับทั้งหลาย

“พลขับทุกคนฟังคำาสั่งข้าพเจ้า เมื่อรถข้าพเจ้าหยุดให้รถทุกคันตั้งขบวนเป็นรูป
วงกลมเหมือนกับกองเกวียน ทุกคนจะลงจากรถได้ก็เมื่อได้รับคำาสั่งจากข้าพเจ้า
ผู้หมวดสามารถได้ยินไหมที่ผมพูด”

“ได้ยินครับอาจารย์ อาจารย์สงสัยว่าจะมีพวกก่อการร้ายแอบซ่อนอยู่ที่หมู่บ้าน
ในหุบเขานี้หรือครับ”

“โน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่กำานันคนหนึ่งได้เล่าให้ฉันฟังว่าผู้คนที่หมู่บ้านนี้ไม่ชอบ
คนแปลกหน้า ท่านกำานันเตือนว่าผู้คนที่หมู่บ้านภูงามนี้ดูเหมือนจะเป็นคนบ้าหรือ
คนไข้โรคจิต ระวังตัวหน่อยนะผู้หมวด”

“ครับผม”

“ร้อยเอกพนัสฟังฉันพูด พวกเธอทั้งสี่คนประจำาอาวุธเตรียมต่อสู้ ถ้าหากว่าฝ่าย
เราถูกระดมยิงก่อน ถึงแม้จะเป็นคนบ้าถ้าใช้อาวุธเล่นงานเราเราก็ต้องยิงต่อสู้”

“ครับ ทราบแล้วครับ” เสียงลูกชายพลตอบมาทางวิทยุสนามซึ่งศาสตราจารย์
ดิเรกได้ยินถนัด

ขบวนรถยนต์ของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่แล่นใกล้หมู่บ้านเข้าไปตามลำาดับ
ชายหนุ่มคนหนึ่งเปลือยกายล่อนจ้อนยืนตกปลาอยู่ริมหนองนำ้าแห่งหนึ่ง เขา
มีอายุในวัย ๓๐ ปี หน้าตาบอกให้รู้ว่าเป็นคนบ้า ทุกคนที่อยู่ในขบวนต่างพากัน
มองดูเขาเป็นตาเดียว อาเสี่ยกิมหงวนนึกสนุกขึ้นมาก็ร้องตะโกนทัก
“ลืมนุ่งผ้าหรือยังไงน้องชาย”

นักตกปลาชั้นยอดหัวเราะหึ ๆ แล้วตะโกนตอบ

“อากาศมันร้อนโว้ย ขืนนุ่งผ้าก็ร้อนตายแน่ ที่นี่เขาไม่ถือ ใครอยากจะแก้ผ้าหรือ
นุ่งผ้าก็ทำาได้โดยเสรี”

คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วต่างหัวเราะคิกคักไปตามกัน
หลงจากนั้นสักครู่รถจิ๊ปกลางคันหน้าก็แล่นมาหยุดหน้าบริเวณลานดินอันกว้าง
ขวางเบื้องหน้าหมู่บ้านนั้น รถทุกคันต่อขบวนเป็นรูปวงกลมกว้างใหญ่

เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวขึ้นเบา ๆ ว่า

“หมู่บ้านภูงามไหงสงบเงียบอย่างนี้ เหมือนกับว่าไม่มีคนอยู่อาศัยเลยแม้แต่คน
เดียว จะว่าคนที่นี่เป็นคนบ้าทั้งหมดก็ไม่น่าเป็นไปได้”

พล.ต. พลยกมือขวาตบหลังนิกรค่อนข้างแรง

“แกเข้าไปสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านซิกร”

“ฮี่โธ่” นิกรเอ็ดตะโรลั่น “แกคิดว่ากันกล้าหาญกว่าพวกเรายังงั้นหรือ ถ้าหากว่า
คนที่หมู่บ้านนี้ทุกคนวิกลจริตและแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนของเขา มันก็คงฟัด
กันตายเท่านั้น”

นายพลดิเรกพูดเสริมขึ้น

“แกไปดีกว่าอ้ายแห้ว”

“เอาเข้าให้นั่น” เจ้าแห้วพูดสวนคำาทันที “รับประทานขอให้ผมเป็นผู้ช่วยแพทย์
และพลขับเท่านั้นเถอะครับ”

หญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากหมู่บ้านนั้น ร่างกายเปลือยเปล่า คุณยายอายุ
ประมาณ ๖๐ เศษ แต่ก็ยังแข็งแรงตามธรรมดาของชาวชนบทที่ตรากตรำาทำางาน
หนักอยู่เสมอ หล่อนแก้ผ้าเปลือยกายเหมือนเด็กทารกเดินตรงเข้ามาที่ขบวนรถ
พัฒนาการและหยุดยืนข้างรถจิ๊ปกลางซึ่งคณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
กับเจ้าแห้วนั่งอยู่ มองดูหญิงชราด้วยความแปลกใจ

“สวัสดีครับคุณป้า” นายพลดิเรกทักยิ้ม ๆ “พวกเราคือหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่
มาช่วยเหลือชาวบ้านภูงามครับ”

หญิงชรายิ้มเล็กน้อย

“ช่วยยังไงพ่อหนุ่ม อาจารย์ท่านบอกว่า หกสามหกกระดกกลับผลลัพธ์มองเห็น
ข้าแทงใต้ดิน ๙๙๙ ถึง ๒๐ บาท มันไม่ยักออกตามที่อาจารย์ใบ้ให้ เสือกออก
๙๖๖ แล้วใครจะมาช่วยข้าได้ ยิ่งเล่นก็ยิ่งเข้าลึกขายกระทั่งผ้านุ่ง”
นายพลดิเรกก้าวลงมาจากรถจิ๊ปกลาง

“การเล่นกินรวบเป็นการผิดกฎหมายและถึงแทงถูกเจ้ามือก็มักจะหลบหน้าไม่ยอม
จ่ายเงินให้”

หญิงชรากวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณ แล้วกล่าวถามนายพลดิเรกตามความ
รู้สึกนึกคิดของแก

“นี่จะมาเปิดการแสดงเซอร์คัสหรืออย่างไร”

ศาสตราจารย์ดิเรกสะดุ้งเฮือกแล้วหัวเราะก้าก

“เปล่าครับคุณป้า พวกเราเป็นหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกองทัพไทย”

“อ้าว อย่ามาหลอกฉันหน่อยเลยน่า นึกว่าฉันเป็นคนบ้านนอกคอกนายังงั้นหรือ
อย่างน้อยฉันก็สำาเร็จปริญญา บีเอ. มาจากอังกฤษ นายโกหกฉันว่าเป็นหน่วย
พัฒนาการก็แล้วทำาไมเอาตัวยีร๊าฟมาด้วย” แล้วหญิงชราก็ชี้ไปที่อาเสี่ยกิมหงวน
“นั่น….นั่น มันนั่งอยู่ในรถนั่นเห็นไหม ถ้าไม่ใช่ยีร๊าฟก็ต้องเป็นอูฐ พวกนายเป็น
นักละครสัตว์แบบละครเร่ก็บอกเสียตามตรง ฉันจะได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้พวก
พ้องของฉันมาดูฟรี โอ้โฮ นกตะกรุมที่นั่งอยู่ตอนหน้ารถคันนั้นหัวแดงแจ๋เป็นลูก
มะอึกเลย”

เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทำาปากจู๋ หันมากระซิบบอกเจ้าแห้วเบา ๆ

“อ้ายแห้ว มึงยิงยายแก่แร้งทึ้งคนนี้ทีเถอะวะกูให้ ๑,๐๐๐ บาท สงสัยว่ายายนี่บ้า
แน่ ๆ พูดจาเลอะเลือนเหมือนคนบ้า เอาซี”

เจ้าแห้วยิ้มแห้ง ๆ

“รับประทานไม่ไหวหรอกครับ โทษฆ่าคนตายอย่างรับสารภาพก็ ๒๐ ปี นะครับ”

“ในป่าอย่างนี้เอาพยานหลักฐานที่ไหนล่ะวะ พวกเราทั้งนั้น”

จสอ. แห้วสั่นศีรษะ

“ท่านเจ้าคุณยิงเอาเองเถอะครับ”

เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ส่ายหน้า

“กูกลัวติดคุก”

พ.อ. นิกรกระโดดผลุงลงไปจากรถจิ๊ปกลางคันนั้นและตรงเข้าไปหานายพลดิเรก
กับหญิงชรา พอแลเห็นหน้านิกร หญิงชราก็แสดงท่าทีตื่นเต้นดีใจ
“โอ…..ทูลกระหม่อมแก้ว พระองค์เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันและพสก
นิกรทั้งหลายรอคอยฝ่าพระบาทมานานแล้ว ตังแต่พระองค์ถูกท้าวมหาราชจับกุม
                                      ้
เอาตัวไป”

นิกรรู้ดีว่าการที่จะทำาตัวให้เข้ากับคนบ้าได้นั้นก็ต้องแกล้งทำาเป็นบ้าด้วย เขา
ยกมือทั้งสองรำาป้อและกล่าวกับหญิงชราเหมือนยี่เกตอนเจรจาคือทำาเสียงอ่อน
เสียงหวาน มีการบีบเสียงเป็นบางคำาให้แหลมเล็กผิดปรกติ

“เจ้าเป็นใคร พระราชินีผีป่าหรือนางพญากาเผือกใช่ไหม”

“มิใช่เพคะ เกล้ากระหม่อมฉันคือมารยาสุดาวดีศรีกาญจนานางสนองพระโอษฐ์
ของพระองค์ยังไงล่ะเพคะ”

นิกรร้องยี่เกทันที ด้วยลีลาอันคล่องแคล้วเหมือนยี่เกอาชีพจอมกษัตริย์ขัตติยา
พลัดพรากจากพาราไปหลายปี
อ้ายมหาราชจับเราเอาไปขัง
กว่าจะกลับมาเวียงวังก็หลายปี

จำาจะต้องรวบรวมโยธาหาญ

ยกทัพไปรุกรานให้สวีวี่วี

ฟาดฟันมันให้ยับเหมือนกับสับหัวปลี…

ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง หญิงชรายกมือไหว้นิกร ซึ่งแกเชื่อว่าเป็น
มหากษัตริย์แห่งนครนี้หรือหมู่บ้านภูงาม แล้วแกก็ทูลนิกรอย่างละลำ่าละลัก

“ทูลหม่อมแก้ว ข้าแต่ทลหม่อมแก้วเจียระไน หม่อมฉันจะป่าวร้องให้เสนา
                     ู
ข้าราชการและประชาชนทั้งหลายได้ทราบว่าพระองค์เสด็จกลับมายังพระนคร
ของเราแล้ว” พูดจบหญิงชราก็หมุนตัวกลับ แล้ววิ่งตื๋อเข้าไปในหมู่บ้านนั้น

“สนุกแน่อ้ายกร” นายพลดิเรกพูดเสียงหัวเราะ “กันแน่ใจเหลือเกินว่าหมู่บ้านนี้
คงจะเต็มไปด้วยคนไข้โรคจิตตามที่กำานันเพ็งเล่าให้กันฟัง ขอให้แกร่วมมือกับ
กันให้เต็มที่หน่อยเถอะวะอ้ายกร แกคนเดียวเท่านั้นที่เข้ากับคนบ้าได้”

พ.อ. นิกรกลืนนำ้าลายเอื๊อก

“เอาก็เอา หน่วยพัฒนาการของเราจะได้ชื่อว่า ได้ให้การรักษาพยาบาลชาวบ้าน
ภูงามที่เป็นคนไข้โรคจิตได้ทั้งหมู่บ้าน แต่ทว่า…..แกช่วยบอกกันสักหน่อยเถอะ
วะ โรคบ้าหรือโรคจิตนี่น่ะมันติดต่อกันหรือเปล่า”

นายพลดิเรกเผลอตัวหัวเราะออกมาดัง ๆ

“โน โรคจิตไม่มีการติดต่อเพราะเป็นโรคที่เกิดจากประสาทและสมอง โรคมะเร็งก็
ไม่มีการติดต่อกันได้ ใครซวยก็เป็นมะเร็ง ใครคิดฟุ้งซ่านหรือกระทบกระเทือนใจ
มากเกินไปก็เป็นโรคประสาทหรือโรคจิต แกเดินเข้าไปในหมู่บ้านเถอะวะอ้ายกร
ใช้ความสามารถของแกเรียกคนในหมู่บ้านให้ออกมาหาเรา เพื่อจะได้ตรวจ
รักษาพยาบาลเขาตามหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายมา”

นิกรทำาตาปริบ ๆ

“จะดีหรือหมอ ถ้าคนที่นี่เป็นบ้าจริง ๆ มันอาจจะฟัดกันตายก็ได้”

นายพลดิเรกยิ้มเล็กน้อย

“ถ้ายังงั้นให้อ้ายหงวนไปเป็นเพื่อนกับแก รู้สึกว่าอ้ายหงวนอาจจะทำาตนให้
เหมือนกับคนไข้โรคจิตได้เหมือนกัน”

“เอ้อ-ถ้ายังงั้นค่อยยังชั่วหน่อย”

ดร. ดิเรกหันไปทางรถจิ๊ปกลางคันหน้าและร้องตะโกนเรียก พ.อ. กิมหงวนให้มา
พบกับเขา อาเสี่ยก้าวลงมาจากตอนหลังรถและเดินตรงเข้ามาหาสองสหาย

“ว่ายังไงอ้ายหมอ”

นายพลดิเรกยิ้มให้

“แกกับอ้ายกรเข้าไปในหมู่บ้านหน่อยเถอะวะ หาวิธีเกลี้ยกล่อมให้ผู้คนที่อยู่ใน
หมู่บ้านออกมาหาเรา ชี้แจงให้เขาทราบว่าพวกเราคือโรงพยาบาลเคลื่อนที่มา
ช่วยบำาบัดทุกข์ให้แก่ผู้ที่ป่วยไข้ไม่สบาย”

เสี่ยหงวนไม่ทันคิดอะไรก็พยักหน้ารับทราบแล้วหันมาทางนิกร

“ไป-อ้ายกร แกนำาหน้า สงสัยว่าที่นี่เสื้อผ้าคงจะแพงมาก เราพบคนแก้ผ้าสองคน
แล้ว คนแรกที่ยืนตกปลาอยู่ริมทางเกวียน อีกคนคือยายแก่ที่เข้าใจว่าแกเป็น
กษัตริย์ของเมืองนี้”

นิกรกับกิมหงวนต่างเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้านนั้นท่ามกลางความสงบเงียบ
ลักษณะของหมู่บ้านนี้ค่อนข้างแหวกแนวสักหน่อย บางบ้านไม่มีหลังคา บางบ้าน
ไม่มีฝาเรือน ส่วนมากสร้างเป็นกระท่อมใหญ่ ๆ มีสัตว์เลี้ยงหลายชนิดเป็นต้นว่า
เป็ดไก่และสุกร คงจะเลี้ยงไว้กินมากกว่าขายเป็นสินค้า

อย่างไรก็ตาม มันเหมือนกับว่าหมู่บ้านภูงามเป็นหมู่บ้านร้าง เพราะผู้คนแอบซ่อน
ตัวเสียหมด เมื่อสองสหายบุกเข้ามากลางหมู่บ้าน ชาวบ้านหญิงชายประมาณ
๑๐๐ คน ก็เฮโลออกมาจากที่ซ่อนตรงเข้ามาห้อมล้อมสองสหาย ทุกคนมีอาวุธ
ครบมือ หอกดาบ หลาวและไม้พลองตะบองสั้น พวกชาวบ้านต่างเข้ามารุมล้อม
และชายฉกรรจ์สองคนได้ยึดปืนพกในซองปืนของกิมหงวนและนิกร พวกชาว
บ้านภูงามเหล่านี้แต่ละคนบอกให้รู้ว่าเป็นคนไข้โรคจิต ซึ่งสังเกตได้จากแววตา
และกิริยาท่าทาง ชายกลางคนหนวดเครารุงรังคนหนึ่งนุ่งผ้าขาวม้าเก่า ๆ เพียง
ผืนเดียว ถือดาบเป็นอาวุธคู่มือได้กล่าวถามเสี่ยหงวนว่า
“สูเจ้าเป็นใคร”

เสี่ยหงวนทำาใจดีสู้เสือ เขารู้แล้วว่าเขากับนิกรได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของคนบ้าหรือ
คนไข้โรคจิต อาเสี่ยพยายามวางท่าทางให้ผึ่งผายแล้วกล่าวกับชายผู้หนึ่งซึ่งเป็น
โรคจิตอย่างร้ายแรง

“เจ้าจำาข้าไม่ได้หรือ เพียงแต่ข้านำากองทัพไปรุกรานเพื่อนบ้านไม่ถึงสองปี เจ้าก็
จำาข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจะคิดกบฏต่อข้าหรืออย่างไร”

นิกรกระซิบบอกเสี่ยหงวนเบา ๆ

“เข้าเรื่องแล้วโว้ย ประเดี๋ยวเถอะมึงสนุกกันใหญ่ แกจะสมมุติตัวว่าแกเป็นใครก็
เตรียมตัวไว้”

ชายกลางคนเจ้าของหนวดเคราอันรุงรังมองดูอาเสี่ยตลอดเวลา แววตาที่วาว
โรจน์ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง

“ข้าแต่ท่านจอมจักรพรรดิ พระองค์คือเจงกิสข่านเช่นนั้นหรือ”

อาเสี่ยทำาหน้าเหยเก หันมากระซิบถามนิกร

“ว่ายังไงดีล่ะอ้ายกร”

“ก็ตามใจแกซี” นิกรดุ

เสี่ยหงวนหันมายิ้มให้ชายผู้นั้น

“ใช่แล้ว เราคือเจงกิสข่านขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าทั้งหลายแกล้งทำาเป็นจำาเรา
ไม่ได้ เพราะมีแผนคิดกบฏต่อเรากระมัง”

บรรดาพวกชาวบ้านซึ่งเป็นคนไข้โรคจิตต่างปรึกษาหารือกัน วิพากษ์วิจารณ์กัน
ด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ

ชายชราคนหนึ่งกล่าวขึ้นดัง ๆ ว่า

“เจงกิสข่านเจ้านายของเรารูปร่างท่านขนาดนี้ก็จริง แต่ท่านโกนหัวตลอดเวลา
หน้าตาก็คล้าย ๆ กับยูล บรินเนอร์ ดาราหัวเหน่ง พวกนักขายยาเร่มันเคยเอาหนัง
มาฉายให้เราดู”

หญิงชราคนหนึ่งพูดเสริมขึ้น

“เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชายผู้นี้เป็นเจ้านายของเราหรือปลอมแปลงตัวมาหลอกเรา
ถึงแม้พวกเราเป็นคนบ้า เราก็มีสติสัมปชัญญะเหมือนกัน”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น

“ช่วยกันจับโกนหัวโว้ย โกนผมออกเราก็จะรู้ว่าเจ้าหนุ่มร่างสูงชะลูดคนนี้คือจอม
จักรพรรดิของเราใช่หรือไม่”

เสี่ยหงวนถอยหลังกรูด

“อย่านะโว้ย”

ซุปเปอร์คอลท์ ๑๑ มม. ที่ตกอยู่ในมือของชาวบ้านคนหนึ่งถูกยกขึ้นจี้หน้าอก
ทันที

“ถ้าท่านไม่ยอมให้เราโกนหัวท่าน เราจะยิงท่านทิ้งเสีย เมื่อเราโกนหัวท่านแล้ว
ปรากฏว่าท่านเป็นเจงกิสข่าน พวกเราก็จะกราบไหว้แสดงความจงรักภักดีต่อไป
แต่ถ้าปรากฏว่าท่านได้ปลอมแปลงเป็นเจงกิสข่าน เราก็จะช่วยกันสับตัวท่านออก
เป็นท่อน ๆ และเอาไปโยนให้เสือกิน”

โดยไม่มีทางต่อสู้ขัดขืน อาเสี่ยถูกฉุดกระชากลากตัวไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่แห่งหนึ่ง
ส่วนนิกรถูกควบคุมตัวไว้อย่างแข็งแรงมีหอกหลายเล่มจี้อยู่ข้างหลังเขา พวกชาว
บ้านซึ่งล้วนแต่เป็นคนไข้โรคจิตหรือเป็นคนบ้ากำาลังคิดว่าเขาเป็นประชาชน
พลเมือง หรือเป็นขุนนางของจอมทัพของเจงกิสข่านได้ช่วยกันทุบตีเสี่ยหงวนเมื่อ
เขาดิ้นรนไม่ยอมนั่งนิ่งเฉย อาเสี่ยร้องตะโกนเรียกนิกรเสียงลั่น

“ช่วยกันด้วยอ้ายกร”

พ.อ. นิกรยิ้มแค่น ๆ

“ขืนช่วยแกฉันก็เน่าน่ะซี หอกมันจี้อยู่ข้างหลังกันตั้งหลายเล่ม แกอย่าไปขัดขืน
มันซีโว้ย นั่งเฉย ๆ มันจะทำาไมแกก็ตามใจมัน เล่นกับคนบ้าลำาบากนะเพื่อน คน
บ้าทำาอะไรไม่ผิดกฎหมาย”

เจ้าหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งหัวเราะใส่หน้านิกร

“จริงครับคุณ กฎหมายย่อมยกเว้นให้ไม่เอาผิดแก่ผู้ที่วิกลจริตทั้งหลาย”

นิกรทำาหน้าครึ่งยิ้มครึ่งแหย

“แกและผู้คนที่หมู่บ้านนี้เป็นบ้าจริง ๆ หรือนี่”

“ก็จริงซีครับ แล้วกัน..คุณดูพวกผมซิผัดหน้าขาววอกแต่งตัวเป็นยี่เกก็มี แต่งเป็น
งิ้วก็มี แก้ผ้าโทง ๆ ก็มี เรานึกจะแต่งตัวอย่างไรหรือทำายังไงก็ได้”

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรูปร่างลำ่าสันเหมือนนักมวยและตัดผมเกรียนได้บุกเข้าไปหา
พ.อ. กิมหงวน มือขวาของเขาถือกรรไกรปัตตาเลี่ยน เขาขู่คำารามอาเสี่ยด้วยเสียง
เกรี้ยวกราด
“ทางเดียวเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าท่านคือเจงกิสข่าน จอมจักรพรรดิแห่งนครนี้ ถ้า
ท่านขัดขืนเราจะช่วยกันฆ่าท่านและต้มซุปกินเสีย”

อาเสี่ยพยักหน้ารับทราบ

“เอา…..มึงจะเอายังไงก็ตามใจมึงเถอะ”

เสี่ยหงวนถูกกร้อนผมด้วยกรรไกรปัตตาเลี่ยนเล่มนั้น นิกรมองดูอย่างขบขัน แล้ว
พูดพลางหัวเราะ

“ดีโว้ยอ้ายหงวน มันกร้อนผมแกออกมองดูหน้าตาแกคมคายขึ้นอีกมาก แล้ว
ก็….รู้สึกว่าแกเป็นหนุ่มขึ้นด้วย”

เสี่ยหงวนร้องไห้โฮ

“กลับไปเมียคงจำากันไม่ได้ อ้ายหมอไม่ควรพาพวกเรามาที่หมู่บ้านนี้เลย”

ไม่ถึงห้านาทีศีรษะของอาเสี่ยก็โล้นเลี่ยนไม่มีเส้นผมเหลืออยู่แม้แต่เส้นเดียว ชาย
ร่างใหญ่มองดูอาเสี่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจเหลือที่จะกล่าว เขาถอยออกห่างแล้ว
ร้องขึ้นดัง ๆ

“ข้าแต่จอมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เสด็จกลับมาอย่างเงียบ ๆ พวกเราทั้ง
หลายยังจงรักภักดีต่อพระองค์เสมอ”

ทุกคนต่างก้มศีรษะถวายคำานับอย่างพร้อมเพรียงกัน อาเสี่ยกิมหงวนแกล้งแสดง
บทบาทเป็นเจงกิสข่าน เขากล่าวกับชายร่างใหญ่ว่า

“ข้าขอบใจพวกท่านทั้งหลายที่มีความจงรักภักดีต่อข้า ข้ากำาลังวางแผนครอง
โลกในไม่ช้านี้ ที่กลับมาก็เพื่อจะมาเกณฑ์พลรบอีกห้าหกล้านคน ซึ่งคราวนี้ข้าจะ
บุกยุโรปเป็นหน้ากลอง แล้วข้าจะย้อนกลับมาโจมตีเอเซียให้พินาศ เมื่อเจ้าเชื่อ
แล้วว่าตูข้าคือเจงกิสข่านก็จงส่งปืนพกมาให้ข้าโดยเร็ว”

ปืนพกที่ยึดไปถูกนำามาคืนให้เสี่ยหงวนโดยดี อาเสี่ยมองดูนิกรแล้วยักคิ้วให้ แล้ว
เขาก็ออกคำาสั่งกับเจ้าหนุ่มใหญ่ที่กร้อนผมเขา

“เจ้ากัลบกผู้มีฝีมือ ขอให้เจ้ากร้อนผมทหารคู่ใจของข้าด้วย”

นักกร้อนผมโค้งคำานับกิมหงวน

“ขอเดชะ ข้าจะปฏิบัติตามรับสั่งของพระองค์เดี๋ยวนี้”

พวกชาวบ้านวิกลจริตหลายคนเฮโลเข้าไปหานิกร พ.อ. นิกรทำาใจดีสู้เสือ เขา
กล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“ฟังเราก่อนท่านขุนนางผู้ใหญ่และเสนาข้าราชการทั้งหลาย พวกท่านย่อมรู้ดีว่า
เจงกิสข่านเจ้านายของเราองค์เดียวเท่านั้นที่จะโกนผมเกลี้ยงจนหัวโล้นแบบนี้
พวกท่านจะโกนหัวข้าเพื่อให้ข้ายกตัวเท่าเทียมกับท่านเจงกิสข่านเช่นนั้นหรือ
จงอย่าทำาอะไรที่จะให้ข้าหรือพวกท่านเท่าเทียมกับพระองค์เลย”

บรรดาพวกคนบ้าต่างหันหน้ามาปรึกษาหารือกัน แล้วใครคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า

“ท่านขุนพลผู้นี้พูดถูกแล้ว องค์เจงกิสข่านของเราเท่านั้นที่จะโกนหัวเป็นสัญญ
ลักษณ์แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ถ้าหากว่าผู้ใดโกนหัวเกลี้ยงเราก็จะถือว่าผู้
นั้นพยายามจะสร้างบารมีให้คล้ายพระองค์”

เสี่ยหงวนร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง

“จงทำาตามคำาสั่งข้าคือโกนหัวทหารคู่ใจของข้าคนนี้”

นิกรร้องห้ามเสียงหลง

“อ๊ะ อ๊ะ อย่านะเจ้ากัลบก ตะไกรปัตตาเลี่ยนอันนี้ได้โกนหัวท่านเจงกิสข่านแล้ว
ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์จะเอามาแตะต้องหัวข้าหรือหัวผู้ใดหาได้ไม่”

ช่างกร้อนผมเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ หันมายิ้มให้เสี่ยหงวน

“เป็นความจริงพะยะค่ะ ตะไกรปัตตาเลี่ยนอันนี้จะใช้กร้อนผมใครไม่ได้อีกเป็น
อันขาด”

เสี่ยหงวนนึกฉิวนิกรที่เฉลียวฉลาดรู้รักษาตัวรอด เขากล่าวกับกัลบกวิกลจริตว่า

“เจ้าไปเอาตะไกรปัตตาเลี่ยนมาอีกเล่มหนึ่ง ข้าต้องการให้เจ้ากร้อนผมทหารของ
ข้า”

กัลบกก้มศีรษะถวายความคำานับอย่างงดงาม

“ขอเดชะ มีเล่มเดียวพะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ได้ฆ่าเจ้าหนุ่มนักขายยาคนหนึ่งและยึด
ตะไกรปัตตาเลี่ยนเล่มนี้ไว้เมื่อปีก่อนนี้ ทางหมู่บ้านของเรามีปัตตาเลี่ยนเล่มนี้
เพียงเล่มเดียวพะย่ะค่ะ”

อาเสี่ยผุดลุกขึ้นยืนจากแคร่ไม้ไผ่ พวกคนบ้าล่าถอยไปตามกัน นิกรสะบัดมือพวก
คนบ้าที่ยื้อยุดฉุดตัวเขาออก แล้วเดินเข้ามาหาอาเสี่ย

“เฮ้ย….หลอกลวงอ้ายพวกนี้ให้ออกไปที่ขบวนรถพัฒนาการของเราซีวะ เราจะ
ได้เริ่มให้การตรวจรักษาผู้คนที่หมู่บ้านนี้”

เสี่ยหงวนร้องตะโกนขึ้นมาดัง ๆ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ
หมู่บ้านผีดิบ

More Related Content

More from tommy

Rongse
RongseRongse
Rongsetommy
 
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์tommy
 
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึกเศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึกtommy
 
โลกพระศรีอารย
โลกพระศรีอารยโลกพระศรีอารย
โลกพระศรีอารยtommy
 
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดีพระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดีtommy
 
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดีแนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดีtommy
 
การเมืองของประชาชน กุหลาบ
การเมืองของประชาชน กุหลาบการเมืองของประชาชน กุหลาบ
การเมืองของประชาชน กุหลาบtommy
 
ประชุมพงศาวดา
ประชุมพงศาวดาประชุมพงศาวดา
ประชุมพงศาวดาtommy
 
สามเกลอ ตอนสู่อนาคต
สามเกลอ ตอนสู่อนาคตสามเกลอ ตอนสู่อนาคต
สามเกลอ ตอนสู่อนาคตtommy
 
นางแมวผี
นางแมวผีนางแมวผี
นางแมวผีtommy
 
ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยtommy
 
ล่าพรายทะเล
ล่าพรายทะเลล่าพรายทะเล
ล่าพรายทะเลtommy
 
ไทยเตะเขมร
ไทยเตะเขมรไทยเตะเขมร
ไทยเตะเขมรtommy
 
ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่tommy
 
สี่แผ่นดิน
สี่แผ่นดินสี่แผ่นดิน
สี่แผ่นดินtommy
 
Samkok01
Samkok01Samkok01
Samkok01tommy
 
เย้ยพระยม
เย้ยพระยมเย้ยพระยม
เย้ยพระยมtommy
 
ผีตายซาก
ผีตายซากผีตายซาก
ผีตายซากtommy
 
สมบัติปิศาจ
สมบัติปิศาจสมบัติปิศาจ
สมบัติปิศาจtommy
 
เจ้าพ่อเชย
เจ้าพ่อเชยเจ้าพ่อเชย
เจ้าพ่อเชยtommy
 

More from tommy (20)

Rongse
RongseRongse
Rongse
 
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
พจนานุกรมฉบับคึกฤทธิ์
 
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึกเศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
เศรษศาสตร์กลางทะเลลึก
 
โลกพระศรีอารย
โลกพระศรีอารยโลกพระศรีอารย
โลกพระศรีอารย
 
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดีพระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
พระปกเกล้าทรงโต้แย้งปรีดี
 
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดีแนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
แนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ปรีดี
 
การเมืองของประชาชน กุหลาบ
การเมืองของประชาชน กุหลาบการเมืองของประชาชน กุหลาบ
การเมืองของประชาชน กุหลาบ
 
ประชุมพงศาวดา
ประชุมพงศาวดาประชุมพงศาวดา
ประชุมพงศาวดา
 
สามเกลอ ตอนสู่อนาคต
สามเกลอ ตอนสู่อนาคตสามเกลอ ตอนสู่อนาคต
สามเกลอ ตอนสู่อนาคต
 
นางแมวผี
นางแมวผีนางแมวผี
นางแมวผี
 
ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย
 
ล่าพรายทะเล
ล่าพรายทะเลล่าพรายทะเล
ล่าพรายทะเล
 
ไทยเตะเขมร
ไทยเตะเขมรไทยเตะเขมร
ไทยเตะเขมร
 
ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่
 
สี่แผ่นดิน
สี่แผ่นดินสี่แผ่นดิน
สี่แผ่นดิน
 
Samkok01
Samkok01Samkok01
Samkok01
 
เย้ยพระยม
เย้ยพระยมเย้ยพระยม
เย้ยพระยม
 
ผีตายซาก
ผีตายซากผีตายซาก
ผีตายซาก
 
สมบัติปิศาจ
สมบัติปิศาจสมบัติปิศาจ
สมบัติปิศาจ
 
เจ้าพ่อเชย
เจ้าพ่อเชยเจ้าพ่อเชย
เจ้าพ่อเชย
 

หมู่บ้านผีดิบ

  • 1. ห้องสมุดหนังสือเก่า พล นิกร กิมหงวน กับ ลูกชาย ตอน หมู่บ้านผีดิบ กรมอนามัยแห่งกระทรวงสาธารณสุขและสภากาชาดไทยได้ส่งหน่วยพัฒนาการ เคลื่อนที่ไปในส่วนภูมิภาคตามจังหวัดต่าง ๆ หลายต่อหลายครั้ง อันเป็นถิ่นฐานที่ ทุรกันดารอยู่ในป่าดงพงทึบ ห่างไกลจากเส้นทางคมนาคมถึงแม้จะมีทางเกวียน ตัดผ่านไปถึงหมู่บ้านเหล่านั้น พวกชาวบ้านป่าหรือชาวไร่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล จากความเจริญก็มักจะเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา มีชีวตและความเป็นอยู่อย่าง ิ ง่าย ๆ เมื่อใครป่วยไข้ก็รักษากันตามมีตามเกิด ใช้ยากลางบ้านจำาพวกสมุนไพร ต้มกินหรือทา ไม่เคยพบเห็นนายแพทย์แผนปัจจุบันหรือพยาบาล การคลอดบุตร ก็อาศัยหมอตำาแย คนเหล่านี้ล้วนแต่สกปรก จะกำาจัดอย่างไรก็ไม่หายสิ่งสกปรก เพราะปราศจากอนามัยนั่นเอง หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกระทรวงสาธารณสุขและของสภากาชาดไทย ได้ ทำาคุณประโยชน์ให้แก่พี่น้องร่วมชาติของเรามากมาย นายแพทย์พร้อมด้วย พยาบาลและบุรุษพยาบาลได้ยกโรงพยาบาลเคลื่อนที่ คือกองรถยนต์ บุกบั่นไป ยังชนบทเหล่านั้น ให้การรักษาพยาบาลประชาชนที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ มีการตรวจโรคตามร่างกายและจ่ายยาให้ ที่ป่วยหนักหน่วยพัฒนาการก็รีบส่งตัว ไปรักษาในจังหวัด มีการฉายภาพยนตร์ให้ชมถึงเรื่องเชื้อโรคและโรคภัยไข้เจ็บ ต่าง ๆ อบรมประชาชนให้มีอนามัย สอนให้สร้างส้วมที่ถูกสุขลักษณะ แต่ไม่ถึง ชักโครกแท่นคู่ตามบ้านผู้ดีมีเงินในกรุงเทพ ฯ กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้มีคำาสั่งให้คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและ วิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย ซึ่งมีศาสตราจารย์ ดร. ดิเรกเป็นหัวหน้านำาหน่วย พัฒนาการเดินทางไปยังภาคอีสานตามรายละเอียดในคำาสั่งนั้น ทุกคนมีเวลา เตรียมตัวเพียง ๓ วัน ลูกชายของสี่สหายต่างคึกคะนองไปตามกันในการบุกป่า ฝ่าดงครั้งนี้ แต่ จสอ. แห้วบ่นพึมพำาว่า การล่องป่าในฤดูฝนถึงจะเดินทางโดย ขบวนรถยนต์ก็ไม่สนุกนัก เพราะรถจะต้องตกหล่มและสัตว์แมลงในป่านับตั้งแต่ ทาก เหลือบ แมลงวันก็ชุกชุมมาก วันนั้นตรงกับวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๑ ก่อนเวลา ๘.๐๐ น. เล็กน้อย ขบวนรถพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งรถจิ๊ปใหญ่แต่ละคันมีผ้าใบคลุมประทุนอย่างมิดชิดและมีกากบาทแดงทั้งสอง ข้างรวมทั้งหมด ๖ คัน รถจิ๊ปกลางอีก ๒ คันและรถยีเอ็มซีสิบล้ออีกคันหนึ่งรวม ทั้งหมด ๙ คัน จอดเป็นแถวเรียงรายจากประตูรั้วบ้าน “พัชราภรณ์” จนถึงทาง เลี้ยวหน้าตึกใหญ่ ซึ่งคันสุดท้ายติดตามขบวนอยู่ทางมุมตึกด้านขวาคือรถยีเอ็มซี ๑๐ ล้อ บรรทุกทหาร ๒๔ คน แต่งเครื่องสนามสวมหมวกเหล็กมีอาวุธทันสมัยคือ ปืนกลเบา ปืนยิงเร็ว ปืนเล็กยาวและปืน ค. มีนายทหารหนุ่มยศร้อยโทคนหนึ่งเป็น ผู้บังคับหมวด ทหารหมวดนี้จะทำาหน้าที่คุ้มกันอารักขาหน่วยพัฒนาการของท่าน นายพลดิเรก
  • 2. ตามเวลาที่กล่าวนี้คณะพรรคสี่สหายกับลูกชายของเขาพร้อมด้วยเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้ว ได้ชุมนุมกันอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง ทุกคนแต่งเครื่องแบบฝึกสวม หมวกแก๊ปทรงอ่อน มีอาวุธประจำาตัวเหมือน ๆ กันคือปืนพกซุปเปอร์คอลท์ ๑๑ มม. นายพลดิเรกจะทำาหน้าที่เป็นแพทย์ตรวจรักษาพี่น้องชาวไทยที่เป็นชาวไร่ หรือชาวบ้านป่า ในดินแดนอันแสนกันดารทางภาคอีสาน นับตั้งแต่จังหวัด นครราชสีมาเป็นต้นไป นอกนั้นจะทำาหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ ส่วนพยาบาลประจำา ขบวนพัฒนาการก็คือ นันทา นวลลออ ประภาและประไพนั่นเอง ตามหมายกำาหนดการ พล.อ. วิชิต ชัยสมรภูมิ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่าย ยุทธการจะมาถึงบ้าน “พัชราภรณ์” ในเวลา ๘.๐๐ น. ตรง ซึ่งขณะนี้ทหารราบ หนึ่งหมวดและพลขับประจำาขบวนรถได้ตั้งแถวเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจของคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ ของกองทัพไทย คุณหญิงวาดได้เดินนำาหน้าพาสี่นางลงบันไดมาจากชั้นบน นันทา นวลลออ ประภาและประไพแต่งเครื่องแบบพยาบาลสีขาวสะอาดตา โดย เฉพาะประภามีเครื่องหมายกากบาทแดงอยู่บนแขนซ้าย แสดงว่าหล่อนสำาเร็จ วิชาการพยาบาลและผดุงครรภ์มาจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงทำาให้ประภา เด่นกว่าสามนางด้วยเครื่องหมายกากบาทอันเป็นที่สะดุดตานี้ ส่วนนันทา นวลลออและประไพนั้นถึงแม้ไม่ได้เรียนวิชาพยาบาลมาแต่ก่อน แต่ก็ได้รับการ ฝึกหัดอบรมจากศาสตราจารย์ดิเรกและประภาอยู่เสมอ จึงสามารถทำาหน้าที่เป็นผู้ ช่วยพยาบาลได้เป็นอย่างดี อาเสี่ยกิมหงวนร้องขึ้นดัง ๆ “ทำาความเคารพพยาบาลทั้งสี่คน ทั้งหมด……วันทยหัตถ์” ปรากฎว่าเสี่ยหงวนคนเดียวเท่านั้นที่กระทำาวันทยหัตถ์และวิ่งเข้าไปรายงานตัว ต่อคุณหญิงวาด “พวกกระผม ๑๐ คน พร้อมที่จะออกเดินทางแล้วครับ แหม…วันนี้เมียผมสวย เหลือเกิน รูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ ฟลอเร้นซ์ ไนติงเกล ทำาไมคุณอาไม่แต่งเครื่อง แบบพยาบาลล่ะครับ” คุณหญิงวาดทำาตาโต “ใครบอกเธอล่ะจ๊ะว่าฉันจะไปด้วย แก่ขนาดนี้แล้วขืนไปรถมันก็ฟัดตาย แล้วถ้า เกิดรบกับพวกคอมมิวนิสต์อาก็คงช็อคตายแน่ ๆ แล้วก็….ถ้าอาไปใครจะเฝ้า บ้าน” พูดจบคุณหญิงวาดก็สะดุ้งโหยง “อุ๊ยตาย….อกอีแป้นแตก ถ้าอกอีแป้นไม่ แตกอกอาก็แตก พ่อหงวนทำาไมถึงเล่นพิเรนอย่างนี้” “คุณอาหมายความว่ากระไรครับ” “ก็เธอนึกขลังอย่างไรขึ้นมาถึงได้เอาเครื่องหมายยศนายพลตรีมาติดบ่าทั้งสอง ข้าง” ศาสตราจารย์ดิเรกใจหายวาบ เขาเดินเข้ามาหาเสี่ยหงวนทันที พอแลเห็น เครื่องหมายยศ พล.ต. บนอินธนูผ้า นายพลดิเรกก็กลืนนำ้าลายเอื๊อก “ว๊อท ดิ ไอเดีย ยูรู้ไหมว่าที่ยูทำาอย่างนี้น่ะติดคุกนะโว้ย” เสี่ยหงวนขมวดคิ้วย่น “ขอให้กันแต่งนายพลไปพัฒนาการคราวนี้เถอะวะ อย่าง น้อยกันจะได้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอ้ายพล” “โน” นายพลดิเรกเอ็ดตะโรลั่น “รีบขึ้นไปข้างบนเปลี่ยนเครื่องหมายยศเสียให้ถูก ต้อง ถึงแม้แกเป็นพันเอกติดดาวสามดวงมีมงกุฎครอบ แต่ที่คอเสื้อทั้งสองข้างมี
  • 3. เครื่องหมายคฑาไขว้ก็แสดงอยู่แล้วว่าแกเป็นพันเอกพิเศษหรือนายพลจัตวาที่ เลิกล้มไปแล้ว เร็ว….มีเวลาอีกห้านาทีเท่านั้นท่านรองก็จะมาถึงที่นี่” พ.อ. กิมหงวนบ่นพึมพำาแล้วพาตัวขึ้นบันไดไปชั้นบน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวชมสี่นางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ครั้งนี้แหละ พวกเจ้าจะได้ร่วมงานกับเราอย่างใกล้ชิด ประภาท่าทาง ทะมัดทะแมงดี ยายไพเหมือนพยาบาลเวียตนาม” ประไพค้อนขวับ “คุณพ่อน่ะซิคะเวียตนาม แล้วก็เวียตนามเหนือเสียด้วย” “อ้าว กูก็เป็นคอมมิวนิสต์น่ะซีโว้ย” “ฮี้” นิกรร้องเสียงเหมือนม้า “มันจะมากไปนะครับ พูดกูมึงกับเมียผม อย่างไร ก็ตามเมียผมก็เป็นคุณนายแล้ว” ท่านเจ้าคุณหันมามองดู พ.อ. นิกรอย่างขบขัน “เมียแกน่ะลูกฉันนะโว้ย” “อ้าว….แล้วก็ไม่บอกให้รู้” อีกในราวสองนาทีต่อมา พ.อ. กิมหงวนได้เดินลงบันไดมาจากชั้นบนอย่างรีบร้อน เขาติดเครื่องหมายยศพันเอกเหมือนเช่นเดิม ร.อ. สมนึกกล่าวกับเพื่อน ๆ ด้วย เสียงอันดัง “เตี่ยกันเพ้อฝันมานานแล้วที่จะเป็นนายพล แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้เป็น” ร.อ. นพกล่าวขึ้นบ้าง “สู้พ่อกันไม่ได้ ตอนที่ลุงพลได้เป็นนายพลพ่ออยากเป็นนายพลบ้าง เดี๋ยวนี้หาย อยากแล้ว พ่อบอกว่าอยากเป็นนายสิบหรือพลทหารมากกว่า เพราะนั่งกิน ก๋วยเตี๋ยวหรือเย็นตาโฟ เนื้อสะเต๊ะ เต้าหู้ทอดริมถนนไม่มีใครสนใจหรือว่ากล่าว” นิกรยิ้มให้ลูกชายของเขา “ก็หรือไม่จริง ก็ลองให้ลุงพลของแกหรือดิเรกแต่งนายพลนั่งกินอาหารริมถนนจะ มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนนับพันจะห้อมล้อมมองดูด้วยความสนใจ” นายพลดิเรกยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วพูดตัดบท “ลงไปข้างล่างเถอะพวกเรา ท่านรองคงจะมาถึงตามกำาหนดเวลา แต่เราลาคุณอา ท่านเสียก่อน” คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและสี่นางต่างกระทำาความเคารพและอำาลาคุณหญิง วาด ซึ่งคุณหญิงก็ได้ให้ศลให้พรในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ี “ขอให้ทุกคนโชคดีและแคล้วคลาดอันตรายเถิด อ้า….ท่านเจ้าคุณช่วยดูแลเด็ก ๆ ด้วยนะคะ อย่างน้อยก็ช่วยพูดเตือนสติอย่าให้เขากล้าหาญอย่างบ้าบิ่นมุทะลุ ถ้า เกิดสู้รบกับอ้ายพวกก่อการร้ายหรือพวกคอมมิวนิสต์คอมมิวหน่อยนั่นแหละค่ะ อาฮั้นเป็นห่วงพ่อหลานชายทั้งสี่คนนี่อย่างยิ่ง” ท่านเจ้าคุณอมยิ้ม “แน่ะ วันนี้พูดอาฮั้นเชียวหรือ” “ค่ะ วันดีคืนดีก็ลองพูดเล่นบ้าง อาฮั้นจะได้ทันสมัยขึ้น เหมือนกับพวกคุณหญิง คุณนายในวงสังคมยังไงล่ะฮะ” ทุกคนพากันออกจากห้องโถงลงบันไดหน้าตึกตั้งแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยวทาง ซ้ายของแถวทหารราบ ส่วนคุณหญิงวาดเดินไปยืนรวมกลุ่มคนใช้ชายหญิง ตลอดจนแม่ครัวและคนสวนที่มาคอยส่งหน่วยพัฒนาการในบังคับบัญชาของ ศาสตราจารย์ดิเรก
  • 4. นายสิบสารวัตรทหารบกคนหนึ่งซึ่งยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน “พัชรา ภรณ์” ได้ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง “ท่านรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาแล้ว” ฟอร์ดฟัลคอนเก๋งสีครีมเลี้ยวผ่านประตูรั้วบ้าน “พัชราภรณ์” เข้ามาอย่างแช่มช้า ติดตามด้วยรถตรวจการบรรทุกสารวัตรทหารบก ๖ คน ทำาหน้าที่พิทักษ์รักษา ท่านนายพลอาวุโส รถทั้งสองหยุดนิ่งหน้าโรงเก็บรถ เมื่อท่านรองผู้บัญชาการ ทหารสูงสุดในเครื่องแบบปรกติกากีแกมเขียวเชิ๊ตแขนยาวและผูกเน็คไท สวม หมวกแก๊ปทรงหม้อตาลก้าวลงมาจากรถ นายพลดิเรกก็ร้องตะโกนขึ้นทันที “ทำาความเคารพรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายยุทธการ……….แลขวา” นายพลดิเรกวิ่งเหยาะ ๆ ตรงเข้าไปหาท่านนายพลอาวุโส หยุดยืนชิดเท้าตรงและ รายงานตนตามระเบียบพร้อมทั้งจำานวนยานพาหนะ จำานวนนายทหารนายสิบพล ทหารและพยาบาลประจำาหน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด ท่านนายพลอาวุโสวันทยหัตถ์ตอบและยื่นมือให้ศาสตราจารย์ดิเรกสัมผัส “เข้มแข็งดีครับอาจารย์ ผมหวังว่าหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของเราคงจะปฏิบัติ หน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติของเราที่ป่วยไข้ได้ดีที่สุด แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ ช่วยแพทย์ของอาจารย์จะทำาหน้าที่ของเขาได้เรียบร้อยหรือเปล่า” “ผมรับรองครับท่านรอง เพื่อน ๆ และลูกหลานของผมตลอดจนพ่อตาของผมกับ จ่าสิบเอกแห้วมีความสามารถทำาหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ได้” “แล้วคุณผู้หญิงทั้งสี่คนนั่นล่ะ” นายพลดิเรกยิ้มละไม “ไม่มีปัญหาอะไรครับ ภรรยาของผมสำาเร็จพยาบาลมาจากจุฬาลงกรณ์และได้ทำา หน้าที่ช่วยเหลือผมอยู่เสมอ ส่วนอีกสามคนก็เคยช่วยเหลือผมเหมือนกันและผม ได้สอนวิชาพยาบาลให้จนกระทั่งมีความรู้พอตัว” พล.อ. วิชิตพยักหน้ารับทราบ ต่อจากนั้นศาสตราจารย์ดิเรกก็พาท่านตรวจแถว หน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด ท่านนายพลอาวุโสได้สัมผัสมือ กับท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีการทักทายกันอย่างสนิท สนม “ใต้เท้าแก่แล้วแต่ก็ยังแข็งแรงดี ขอให้โชคดีและปลอดภัยนะครับ” “ขอบคุณครับท่านรอง ผมจะปฏิบัตหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด” ิ ท่านนายพลอาวุโสเลื่อนตัวมาหยุดยืนเบื้องหน้าสามสหาย “ว่ายังไงคุณพล รู้สึกหนักใจอะไรบ้างไหม” พล.ต. พลตอบท่านอย่างแข็งแรง “ไม่มีอะไรหนักใจครับ” “ถ้าถูกพวกก่อการร้ายโจมตีล่ะ….” “ก็ต้องสู้กับมันจนยิบตาแหละครับ บนรถจิ๊ปใหญ่คันนั้นเราได้ติดตั้งปืนกลหนัก และปืน ค. ไว้พร้อม นอกจากนี้ยังมีอาวุธอีกหลายอย่าง เช่น ปืนยิงเร็วและระเบิด มือ กระสุนปืนอีกมากมาย แต่เราได้ปิดบังอย่างมิดชิดไม่ให้ใครรู้ เมื่อเราถูกโจมตี ลูกหลานของผมก็จะประจำาหน้าที่บนรถจิ๊ปใหญ่คันนั้นตามที่ได้มอบหมายไว้” ท่านรองนิ่งฟังด้วยความสนใจและเปลี่ยนสายตามาที่ พ.อ. นิกร “อย่าให้เสียชื่อกองบัญชาการทหารสูงสุดนะผู้การ” พ.อ. นิกรยืนนิ่งเฉย นัยน์ตาลืมโพลงเหมือนถูกสะกด ท่านรองนึกแปลกใจ ก็ ยกมือขวาขึ้นโบกวนเวียนเบื้องหน้านิกรในระยะใกล้ชิด แล้วท่านก็ร้องขึ้นดัง ๆ
  • 5. “หลับหรือคุณนิกร” พ.อ. นิกรสะดุ้งเฮือกแล้วเคี้ยวปากจั๊บ ๆ เหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นนอน “แฮ่ะ แฮ่ะ ได้ครับ ผมจะพยายามหามาให้ท่านรอง” พล.อ. วิชิตขมวดคิวย่น ้ “คุณหมายความถึงอะไร” “ก็อีหนูทางอีสานยังไงล่ะครับ” “บ้าแล้ว ผมมีแต่จะปลดออกไปเท่าที่มีอยู่ตั้ง ๕ คน ก็เดือดร้อนพอดูแล้ว ปีหน้าผม ก็จะปลดเกษียณแล้ว ปีนี้รู้สึกว่าแก่ตัวลงมาก กำาลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง” นิกรว่า “กินโสมเสียบ้างซีครับท่านรอง หรือไม่ก็เอ็นกวางตุ๋น คุณพ่อผมท่านยัง แข็งแรงอยู่ก็เพราะท่านได้กินโสมและยาจีนที่มีราคาแพง ๆ” ท่านรองหันไปทางเจ้าคุณปัจจนึก ฯ “เอ….ผมเห็นจะต้องเอาอย่างใต้เท้าบ้าง ใต้เท้ากินยาอะไรครับ” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยิ้มอาย ๆ “ก็ทั้งยาทั้งอาหารนั่นแหละครับ อาหารก็คือเนื้อนมไข่ ซึ่งไข่ในที่นี้ผมหมายถึง ไข่จะละเม็ด วันหนึ่งต้องกินให้ได้อย่างน้อย ๕ ฟอง ยาจีนก็คือโสมขาวชงนำ้าชา กินตลอดวัน นอกนั้นก็เป็นยาบำารุงกำาลัง กินวันละเทียบ เทียบหนึ่งราคา ๑๕๐ บาท กินได้มื้อเดียวคือมื้อเย็น แต่ท่านรองจะกินได้หรือ เพราะยาบำารุงกำาลังที่ผม กำาลังพูดถึง ใส่ตุ๊กแกแห้ง ๆ หนึ่งตัว ม้านำ้าแห้งหนึ่งตัว ม้านำ้าก็คือสัตว์จำาพวกปลิง ทะเลตัวยาวราวสามนิ้ว หน้าตาเหมือนม้า” “น่าคิดครับใต้เท้า เอาไว้ให้หน่วยพัฒนาการกลับมาเสียก่อน ผมจะมาเยี่ยม ใต้เท้าเป็นการส่วนตัว เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องนี้ จริงครับ….ใต้เท้ายังแข็งแรง มาก เนื้อหนังก็ยังไม่เหี่ยวย่นเหมือนกับผู้มีวัย ๕๐ เศษเท่านั้น” นิกรพูดเสริมขึ้น “คุณพ่อเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มครับ คือแก่ถึงที่สุดแล้วก็กลับเป็นหนุ่ม เมื่อเช้านี้ผม ได้ยินเสียงคุณพ่อแตกเนื้อหนุ่มหลายที” ท่านรองหยุดยิ้มแล้วเลื่อนตัวมายืนเบื้องหน้า พ.อ. กิมหงวน “อ้าว-เป็นอะไรไปล่ะผู้การ ทำาแก้มพองลมโป่งไปโป่งมามองดูเหมือนกบหรือ คางคก” อาเสี่ยจามเสียงสนั่นหวั่นไหว “ฮ้าด….ชะเอ๊ย ขออนุญาตครับผมแพ้กลิ่นโอดิโคโลญที่ท่านรองใส่ไม่ทราบว่า ยี่ห้ออะไร ผมได้กลิ่นทีไรผมจามทุกที” ท่านนายพลอาวุโสหัวเราะเบา ๆ
  • 6. “แต่เมียผมเขาชอบ เขาซื้อให้ใช้เป็นประจำา คนเรานี่ก็แปลกนะ บางคนก็แพ้ฝุ่น ละอองหรือเกสรดอกไม้ แพ้ขนแมวทำาให้จามหรือเป็นโรคหืด” แล้วท่านก็ถาม พ.อ. นิกร “คุณล่ะแพ้อะไร” นิกรยิ้มแป้น “ผมไม่เคยแพ้อะไรหรอกครับนอกจากแพ้เมีย ตอนนี้ลูกมันโตขึ้นผมอาจจะแพ้ลูก อีกคนหนึ่ง เพราะถ้าเกิดต่อยปากกันขึ้น อ้ายนพมันคงถลุงผมยับ” สี่นางหัวเราะขึ้นดัง ๆ พล.อ. วิชิตเลื่อนตัวเข้ามายืนเบื้องหน้าสี่สหายหนุ่มและเจ้า แห้ว ท่านยกมือขวาตบบ่าซ้าย ร.อ. พนัสเบา ๆ “เข้มแข็งดีนะหลานชาย” “ครับผม” ท่านนายพลอาวุโสเปลี่ยนสายตามาที่ ร.อ. นพและกล่าวว่า “อย่าลืมว่าการไปปฏิบัติหน้าที่คราวนี้ทุกคนต้องเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตเหมือนกัน ถ้า เกิดปะทะกับพวกก่อการร้าย เธอคงจะสู้กับมันแบบยอมตายถวายชีวิต” “แน่นอนครับ กระผมและพวกเราทุกคนจะสู้กับศัตรูให้สมศักดิ์ศรี” ร.อ. สมนึกพูดเสริมขึ้น “ผมจะเอาไม้ไผ่เหลาเล็ก ๆ เหมือนไม้ที่เขาทำาว่าวเสียบพวกมันแล้วตากแห้งเอา มาฝากท่านรองสักยี่สิบ สามสิบไม้ครับ” พล.อ. วิชิตทำาหน้าชอบกล “เอ-อ้ายที่เธอว่าจะเสียบไม้น่ะ คงจะเป็นเขียดหรือแย้มากกว่ากระมั้ง” แล้วท่านก็ หันมาทาง ร.อ. ศาสตราจารย์ดำารงลูกชายของท่านนายพลดิเรก “หลานชาย อย่าลืมติดต่อกับกองบัญชาการทหารสูงสุดโดยทางวิทยุตามที่เราได้ ตกลงกันไว้ ถ้าเกิดปะทะกับข้าศึกเราจะรีบส่งกำาลังหนุนและเครื่องบินไปช่วย แต่ ฉันเชื่อว่า ทหารราบหนึ่งหมวดที่ติดตามไปก็พอที่จะต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย ประมาณหนึ่งกองร้อยได้แน่ ๆ เพราะทหารของเราได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่าง ดีและการสู้รบเพื่อประเทศชาติของเรา ฝ่ายเราย่อมมีขวัญและกำาลังใจดีกว่า” ท่านรองได้ทักทายกับ จสอ. แห้วตามสมควร แล้วเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าสี่นาง “ในฐานะที่พวกคุณเป็นนายทหารหญิงสังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ผมขอ แสดงความยินดีกับพวกคุณที่เดินทางไปพัฒนาการช่วยเหลือประชาชนตาม ป่าดงในครั้งนี้ ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะครับ”
  • 7. เมื่อไม่มีใครพูดกับท่านรอง ประไพจึงกล่าวขึ้น “เดี้ยนขอบคุณค่ะ ที่ท่านรองกรุณามาส่งเรา” ท่านรองทำาหน้าเหยเก “เดี้ยนน่ะคือตัวคุณใช่ไหม” “ฮะ เดี๋ยวนี้ผหญิงสมัยใหม่หรือสุภาพสตรีชั้นสูงเขาพูดคำาว่าเดี้ยนแทนคำาว่า ู้ ดิฉัน” “อ้อ-ผมเพิ่งทราบ” ท่านรองเดินเคียงคู่กับนายพลดิเรกตรวจแถวพลขับและตักเตือนให้ทุกคนปฏิบัติ หน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ต่อจากนั้นท่านก็ตรวจแถวทหารราบหนึ่งหมวดซึ่งยืน เป็นแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยวอยู่ในท่ากระทำาความเคารพ ผู้ที่ถือปืนเล็กยาว สวมดาบได้กระทำาวันทยาวุธ ส่วนผู้ที่สะพายปืนกลเบาและปืนยิงเร็วได้ยกมือขวา ขึ้นแตะไหล่ซ้ายตามระเบียบของการแสดงความเคารพ ร.ท. สามารถผู้บังคับ หมวดรูปหล่อยืนวันทยหัตถ์อยู่หน้าแถว เขาแต่งเครื่องสนามเรียบร้อยอาวุธ ประจำาตัวคือปืนพก ๑๑ มม. และระเบิดมือใช้ดินระเบิดแรงสูงแขวนอยู่ที่หน้าอก เสื้อด้านซ้ายอีกสองลูก ท่านรองได้ทักทายกับผู้บังคับหมวดเป็นคนสุดท้าย “เธอกับทหารในบังคับบัญชาของเธอจะต้องคุ้มกันชีวิตของคณะผู้เชี่ยวชาญการ อาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย อย่าลืมว่าแต่ละคนมีค่าและมีความหมาย แก่ประเทศชาติมาก ถ้าเราถูกศัตรูโจมตี เธอกับทหารของเธอจะต้องสู้ตาย” “ครับผม กระผมได้สั่งทหารในบังคับบัญชาไว้เรียบร้อยแล้วครับ” ท่านรองกับศาสตราจารย์ดิเรกต่างเดินตรวจแถวทหารราบไปจนสุดแถว แล้ว ท่านก็ออกคำาสั่งกับนายพลดิเรก “ออกเดินทางได้แล้วอาจารย์ ผมจะไปคุยกับคุณหญิงวาดและถือโอกาสส่งหน่วย พัฒนาการที่น” ี่ นายพลดิเรกยกมือวันทยหัตถ์รับคำาสั่งและร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ “ทั้งหมด ขึ้นรถประจำาที” ่ ทหารราบหนึ่งหมวดและ ร.ท. สามารถต่างขึ้นไปนั่งบนรถยีเอ็มซี ซึ่งมีผ้าใบคลุม ประทุนแดดฝน ในเวลาเดียวกันสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็ขึ้นไปนั่งบนรถจิ๊ป กลางคันหน้าขบวนโดยมี จสอ. แห้วเป็นพลขับ รถจิ๊ปกลางคันต่อมาเป็นรถของ พยาบาลทั้งสี่คน มีนายสิบของกรมการขนส่งเป็นพลขับ ถัดไปคือจิ๊ปคันใหญ่ตด ิ อาวุธซุ่มซ่อนไว้ในรถ มีเจ้าหน้าที่ประจำารถ ๕ คน คือพลขับและลูกชายของสี่
  • 8. สหาย โดยเฉพาะรถคันนี้ไม่ได้ติดเครื่องหมายกาชาดแต่มีความหมายและสำาคัญ ที่สุด เพราะมีอาวุธร้ายพอที่จะคุ้มกันขบวนพัฒนาการเคลื่อนที่ของกอง บัญชาการทหารสูงสุดได้เป็นอย่างดี ต่อมาคือรถจิ๊ปใหญ่อีก ๕ คัน เป็นรถทำาฟัน เคลื่อนที่คันหนึ่ง รถเอ็กซเรย์คันหนึ่ง นอกนั้นเป็นรถบรรทุกยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ คันที่หกเป็นรถผ่าตัด มีเครื่องมือเครื่องใช้ในทางศัลยกรรมพอที่จะผ่าตัดหัว กะโหลก ตับไตไส้พุง ขอบกระด้ง ผ้าขี้ริ้วตับปอดและม้ามได้ ซึ่งศาสตราจารย์ ดร. ดิเรกจะต้องทำางานหนักที่สุด ท้ายขบวนคือทหารราบซึ่งนั่งอยู่ในรถยีเอ็มซี ถ้าหากว่าหน่วยพัฒนาการถูกพวกก่อการร้ายโจมตีระหว่างทางหรือขณะที่ ปฏิบัตหน้าที่ตามหมู่บ้าน ทหารราบหมวดนี้ก็จะต่อสู้อย่างทรหด ิ ท่ามกลางเสียงไชโยของพวกคนใช้ชายหญิง ขบวนรถของหน่วยพัฒนาการได้ เคลื่อนออกจากที่อย่างแช่มช้า เจ้าแห้วหรือ จสอ. แห้วนั่งคู่ กับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ส่วนสี่สหายนั่งอยู่ด้านใน มีหีบห่อกองอยู่หลายชิ้นนับตั้งแต่เครื่องรับส่งวิทยุที่ใช้ ติดต่อในระหว่าง ทางไกลคือวิทยุโทรศัพท์อันเป็นประดิษฐกรรมของ ศาสตราจารย์ดิเรก มีเครื่องฉายภาพยนตร์ขนาด ๑๖ มม. ภาพยนตร์สุขศึกษาอีก หลายม้วน ภาพยนตร์การ์ตูนและคาวบอย ภาพยนตร์ข่าวตำารวจชายแดนและ ทหารสู้รบกับฝ่ายก่อการร้ายและทำาการกวาดล้างได้ราบคาบจากท้องถิ่นต่าง ๆ เมื่อออกมาพ้นเขตบ้าน “พัชราภรณ์” รถฉลามบกของกองปราบปรามคันหนึ่งซึ่ง จอดอยู่ริมรั้วด้านนอกของบ้าน “พัชราภรณ์” ได้แล่นนำาขบวนทันที เปิดไฟหมุนสี แดงบนหลังคาเก๋งวาบวับ นายตำารวจผู้บังคับรถได้รับคำาสั่งนำาขบวนไปส่งจนถึง ทางแยกไปนครราชสีมาและอีสานที่จังหวัดสระบุรี อย่างไรก็ตามรถจิ๊ปกลางที่ บรรทุกสี่สหายก็มีไฟแดงอยู่บนหลังคารถและมีแตรไซเลนท์ด้วย เพราะไฟรถที่ เตรียมไว้ใช้ในราชการสงครามหรือปราบจลาจล คืนวันนั้นขบวนพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุดได้หยุดพักแรมที่ค่าย ทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา บรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้ให้การ ต้อนรับเป็นอย่างดี ส่วนมากเคยเป็นลูกศิษย์ของนายพลดิเรกมาก่อน หรือมิฉะนั้น ก็เคยรู้จักกับสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ มาแต่ก่อนแล้ว การเดินทางโดยขบวน พัฒนาการเช่นนี้ทำาให้สี่นางสนุกสนานมาก ตอน เช้าวันต่อมาขบวนพัฒนาการได้ออกจากจังหวัดนครราชสีมามุ่งตรงไปยัง หนองบัวโคก และบุกเข้าไปตามทางเกวียนในป่าลึกถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งจึงหยุด พัก บรรดาทหารราบได้ลงจากรถยีเอ็มซีคันนั้นกระจายกำาลังกันออกไปทำาหน้าที่ คุ้มกัน คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธ ตอนแรกชาวบ้านเห็นทหารก็รู้สึกหวาด ๆ เหมือนกัน เพราะไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อ พ.อ. นิกรได้เจรจากับพวก ชาวบ้านโดยทางเครื่องขยายเสียงแล้ว ก็ปรากฏว่าพวกชาวบ้านหรือพวกชาวไร่ เหล่านั้นได้ย่อย ๆ กันมาที่เต้นท์พยาบาล ซึ่งเป็นเต้นท์ขนาดกลางสองหลังและ ทหารได้ช่วยกันกางขึ้น ขนโต๊ะเก้าอี้ลงจากรถไปไว้ในเต้นท์ “พี่น้องทั้งหลาย” เสียงนิกรกังวานลั่น “หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกอง บัญชาการทหารสูงสุดได้มาเยี่ยมท่านแล้ว พร้อมด้วยนายแพทย์และพยาบาลชั้น ดีที่จะมาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ท่านหรือให้คำาแนะนำาที่เป็นประโยชน์แก่ ท่าน เราจะตรวจรักษาท่านโดยไม่มีการคิดเงิน เราจะฉีดยาและจ่ายยาให้ท่านฟรี
  • 9. ซึ่งคืนวันนี้เราจะฉายหนังให้ชมด้วย ข้าพเจ้าพันเอกนิกรขอเชิญพี่น้องทั้งหลาย มารับการตรวจรักษาที่เราได้แล้ว รีบมาเถอะครับไม่ต้องเกรงใจและไม่ต้องเกรง กลัวพวกเรา ซึ่งพวกเรานั้นเห็นคนเป็นคน ไม่ได้เห็นคนเป็นสัตว์เหมือน ข้าราชการบางคนที่วางอำานาจข่มขู่ท่าน พูดจากับท่านก็ไม่เพราะหู ใช้ภาษาพูด ตำ่า ๆ เช่นแกฉันตามสันดานเดิมของเขาหรือตามนิสัยที่สืบมาจากบรรพบุรุษ เชิญ ครับ…คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายคุณลุงคุณป้าคุณน้าคุณอาคุณพ่อคุณแม่และพี่ น้องทั้งหลาย ท่านจะได้รับความสะดวกสบายทุกประการในการตรวจรักษาโรค นอกจากนี้เรายังรักษาโรคฟันให้ท่านด้วย ฟันดำาทำาให้ฟันขาว ฟันยาวทำาให้ฟัน สั้น ฟันโยกห้ามเลี้ยงแมวตัวผู้ แต่ถ้าท่านมาให้หมอถอนออกเสีย ท่านก็สามารถ เลี้ยงแมวตัวผู้ได้ ฟันดีห้ามเลี้ยงแมวตัวเมีย ให้ทันตแพทย์ของเราถอนออกเสีย หนึ่งซี่ ท่านก็เลี้ยงแมวตัวเมียได้ เชิญครับพ่อแม่พี่น้องพระเดชพระคุณทั้งหลาย หน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุดมารับใช้ท่านถึงที่อยู่แล้ว ท่าน ควรงดเว้นกินอาหารดิบ เป็นต้นว่าหมูหรือเนื้อวัวซึ่งมีเชื้อโรคหลายชนิดอยู่ในตัว ของมัน ขณะนี้อากาศกำาลังร้อนจัด ถึงเป็นฤดูฝนพื้นแผ่นดินทางอีสานของเราก็ ยังแห้งแล้ง จงระวังอหิวาตกโรคให้มาก ดื่มนำ้าโสโครก บริโภคผักสด ใช้อุจจาระ รดต้นเหตุอหิวาต์ ผักดิบผักสดงดเสียดีกว่า ดื่มนำ้าประปาจึงจะพ้นภัย” มีเสียงใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น “นำ้าประปาที่ไหนกันวะ มีแต่นำ้าตามห้วย บอกให้รัฐบาลมาสร้างถังประปาให้พวก เราบ้างซี” คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยกับพยาบาลทั้งสี่คน ได้ให้การต้อนรับพวกชาวบ้านเป็นอย่างดี ใครอยากจะทดลองรักษาหมอปัจจุบัน ก็มาพบกับนายพลดิเรก ผู้ที่พึงพอใจหมอโบราณก็มาพบกับ พ.อ. นิกร การตรวจ รักษาได้กระทำากันตลอดเวลาโดยไม่มีหยุดพัก ดร. ดิเรกได้ฉีดยาให้คนไข้ของ เขาหลายรายและให้ยาไปกิน ถอนฟันและอุดฟันที่เป็นรูเป็นโพรง บางคนที่สงสัย ว่าเป็นโรคปอดก็ฉายเอ็กซเรย์ให้ สี่นางได้ทำาหน้าที่พยาบาลโดยไม่เห็นแก่ความ เหนื่อยยากหรือแสดงความรังเกียจในความสกปรกโสมม เป็นต้นว่าขี้ฟันเขลอะ ไม่เคยใช้แปรงสีฟันมาตลอดชีวิตหรือขี้ตาก้อนเท่าหัวเรือ ขี้ไคลกบบ้องหู เสื้อผ้า เหมือนผ้าขี้ริ้วของพี่น้องร่วมชาติเหล่านี้ พล กิมหงวนและสี่สหายหนุ่มได้ทำา หน้าที่ผู้ช่วยแพทย์อย่างแข็งแรง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ รับหน้าที่เป็นทันตแพทย์ ส่วน เจ้าแห้วทำาหน้าที่เป็นคนฉายเอ็กซเรย์คนไข้ตามคำาสั่งของนายพลดิเรก ทุกคน เหน็ดเหนื่อยวุ่นวายไปตามกัน ยาแผนปัจจุบันที่นำามาได้ถูกแจกจ่ายให้พวกชาว บ้านไปไม่น้อย นอกจากนี้นิกรยังจ่ายยาหม้อแบบยาไทยโบราณให้ไปอีกหลาย ราย ความสุภาพและความเป็นกันเองที่พวกชาวบ้านได้รับจากหน่วยพัฒนาการ เคลื่อนที่ทำาให้ชาวไร่ประมาณ ๔๐๐ คน มีความเคารพนับถือหน่วยพัฒนาการ หน่วยนี้ ผู้ที่กำาลังจะร่วมงานกับฝ่ายศัตรูต่างก็เลิกล้มความคิดเหล่านี้เพราะได้รู้ ความจริงว่า รัฐบาลมิได้ทอดทิ้งให้มีชีวตอยู่อย่างเดียวดาย ได้ส่งหน่วย ิ พัฒนาการเคลื่อนที่มาช่วยเหลือชาวบ้านที่ป่วยไข้และเจ้าหน้าที่ทุกคนก็พูดจา นอบน้อมน่าฟัง ไม่ได้กระทำาตนเป็นนายเหนือหัว
  • 10. คืนวันนั้นมีการฉายภาพยนตร์สุขศึกษา ภาพยนตร์เคาบอยและการ์ตูน บางทีก็ เป็นเรื่องปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่จังหวัดน่าน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่จังหวัด เชียงราย พ.อ. นิกรกับประไพภรรยาของเขาเป็นคนพากย์ ปรากฏว่าประไพ พากย์บทผู้หญิงได้ดีมากเรียกเสียงตบมือเสียงหัวเราะได้ครื้นเครง เจ้าแห้วเป็น พนักงานฉายหนัง ขบวนพัฒนาการได้ออกเดินทางต่อไป ลัดตัดป่าไปบ้านลาด ไปมัญจาคีรี ถนน หนทางยังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อเพราะเพิ่งกรุยทางไว้ ในที่สุดคณะพัฒนาการ เคลื่อนที่ของกองบัญชาการทหารสูงสุดก็ได้มาถึงหมู่บ้านภูงามทางทิศตะวันออก เฉียงเหนือของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่ในหุบเขาอันทุรกันดารยิ่ง แทบ จะกล่าวได้ว่าไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย ชาวบ้านภูงามมีอยู่ประมาณ ๕๐ หลังคาเรือนเท่านั้น หาเลี้ยงชีวตโดยไม่ต้องใช้ ิ เงินหรือพึ่งพาอาศัยใคร มีการทำานาข้าวเหนียว ทอผ้าไว้ใช้เอง มีเนื้อสัตว์ป่าตาก แห้งทำาเค็มไว้ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ความต้องการของชีวิตมีเพียง ๓ อย่าง คือบ้านที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคคือสมุนไพรและอาหาร เมื่อขบวนรถผ่านเข้าไปในหุบเขา ศาสตราจารย์ดิเรกก็ยกวิทยุสนามขึ้นพูดกับ พลขับทั้งหลาย “พลขับทุกคนฟังคำาสั่งข้าพเจ้า เมื่อรถข้าพเจ้าหยุดให้รถทุกคันตั้งขบวนเป็นรูป วงกลมเหมือนกับกองเกวียน ทุกคนจะลงจากรถได้ก็เมื่อได้รับคำาสั่งจากข้าพเจ้า ผู้หมวดสามารถได้ยินไหมที่ผมพูด” “ได้ยินครับอาจารย์ อาจารย์สงสัยว่าจะมีพวกก่อการร้ายแอบซ่อนอยู่ที่หมู่บ้าน ในหุบเขานี้หรือครับ” “โน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่กำานันคนหนึ่งได้เล่าให้ฉันฟังว่าผู้คนที่หมู่บ้านนี้ไม่ชอบ คนแปลกหน้า ท่านกำานันเตือนว่าผู้คนที่หมู่บ้านภูงามนี้ดูเหมือนจะเป็นคนบ้าหรือ คนไข้โรคจิต ระวังตัวหน่อยนะผู้หมวด” “ครับผม” “ร้อยเอกพนัสฟังฉันพูด พวกเธอทั้งสี่คนประจำาอาวุธเตรียมต่อสู้ ถ้าหากว่าฝ่าย เราถูกระดมยิงก่อน ถึงแม้จะเป็นคนบ้าถ้าใช้อาวุธเล่นงานเราเราก็ต้องยิงต่อสู้” “ครับ ทราบแล้วครับ” เสียงลูกชายพลตอบมาทางวิทยุสนามซึ่งศาสตราจารย์ ดิเรกได้ยินถนัด ขบวนรถยนต์ของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่แล่นใกล้หมู่บ้านเข้าไปตามลำาดับ ชายหนุ่มคนหนึ่งเปลือยกายล่อนจ้อนยืนตกปลาอยู่ริมหนองนำ้าแห่งหนึ่ง เขา มีอายุในวัย ๓๐ ปี หน้าตาบอกให้รู้ว่าเป็นคนบ้า ทุกคนที่อยู่ในขบวนต่างพากัน มองดูเขาเป็นตาเดียว อาเสี่ยกิมหงวนนึกสนุกขึ้นมาก็ร้องตะโกนทัก
  • 11. “ลืมนุ่งผ้าหรือยังไงน้องชาย” นักตกปลาชั้นยอดหัวเราะหึ ๆ แล้วตะโกนตอบ “อากาศมันร้อนโว้ย ขืนนุ่งผ้าก็ร้อนตายแน่ ที่นี่เขาไม่ถือ ใครอยากจะแก้ผ้าหรือ นุ่งผ้าก็ทำาได้โดยเสรี” คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วต่างหัวเราะคิกคักไปตามกัน หลงจากนั้นสักครู่รถจิ๊ปกลางคันหน้าก็แล่นมาหยุดหน้าบริเวณลานดินอันกว้าง ขวางเบื้องหน้าหมู่บ้านนั้น รถทุกคันต่อขบวนเป็นรูปวงกลมกว้างใหญ่ เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวขึ้นเบา ๆ ว่า “หมู่บ้านภูงามไหงสงบเงียบอย่างนี้ เหมือนกับว่าไม่มีคนอยู่อาศัยเลยแม้แต่คน เดียว จะว่าคนที่นี่เป็นคนบ้าทั้งหมดก็ไม่น่าเป็นไปได้” พล.ต. พลยกมือขวาตบหลังนิกรค่อนข้างแรง “แกเข้าไปสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านซิกร” “ฮี่โธ่” นิกรเอ็ดตะโรลั่น “แกคิดว่ากันกล้าหาญกว่าพวกเรายังงั้นหรือ ถ้าหากว่า คนที่หมู่บ้านนี้ทุกคนวิกลจริตและแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนของเขา มันก็คงฟัด กันตายเท่านั้น” นายพลดิเรกพูดเสริมขึ้น “แกไปดีกว่าอ้ายแห้ว” “เอาเข้าให้นั่น” เจ้าแห้วพูดสวนคำาทันที “รับประทานขอให้ผมเป็นผู้ช่วยแพทย์ และพลขับเท่านั้นเถอะครับ” หญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากหมู่บ้านนั้น ร่างกายเปลือยเปล่า คุณยายอายุ ประมาณ ๖๐ เศษ แต่ก็ยังแข็งแรงตามธรรมดาของชาวชนบทที่ตรากตรำาทำางาน หนักอยู่เสมอ หล่อนแก้ผ้าเปลือยกายเหมือนเด็กทารกเดินตรงเข้ามาที่ขบวนรถ พัฒนาการและหยุดยืนข้างรถจิ๊ปกลางซึ่งคณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ กับเจ้าแห้วนั่งอยู่ มองดูหญิงชราด้วยความแปลกใจ “สวัสดีครับคุณป้า” นายพลดิเรกทักยิ้ม ๆ “พวกเราคือหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ มาช่วยเหลือชาวบ้านภูงามครับ” หญิงชรายิ้มเล็กน้อย “ช่วยยังไงพ่อหนุ่ม อาจารย์ท่านบอกว่า หกสามหกกระดกกลับผลลัพธ์มองเห็น ข้าแทงใต้ดิน ๙๙๙ ถึง ๒๐ บาท มันไม่ยักออกตามที่อาจารย์ใบ้ให้ เสือกออก ๙๖๖ แล้วใครจะมาช่วยข้าได้ ยิ่งเล่นก็ยิ่งเข้าลึกขายกระทั่งผ้านุ่ง”
  • 12. นายพลดิเรกก้าวลงมาจากรถจิ๊ปกลาง “การเล่นกินรวบเป็นการผิดกฎหมายและถึงแทงถูกเจ้ามือก็มักจะหลบหน้าไม่ยอม จ่ายเงินให้” หญิงชรากวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณ แล้วกล่าวถามนายพลดิเรกตามความ รู้สึกนึกคิดของแก “นี่จะมาเปิดการแสดงเซอร์คัสหรืออย่างไร” ศาสตราจารย์ดิเรกสะดุ้งเฮือกแล้วหัวเราะก้าก “เปล่าครับคุณป้า พวกเราเป็นหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกองทัพไทย” “อ้าว อย่ามาหลอกฉันหน่อยเลยน่า นึกว่าฉันเป็นคนบ้านนอกคอกนายังงั้นหรือ อย่างน้อยฉันก็สำาเร็จปริญญา บีเอ. มาจากอังกฤษ นายโกหกฉันว่าเป็นหน่วย พัฒนาการก็แล้วทำาไมเอาตัวยีร๊าฟมาด้วย” แล้วหญิงชราก็ชี้ไปที่อาเสี่ยกิมหงวน “นั่น….นั่น มันนั่งอยู่ในรถนั่นเห็นไหม ถ้าไม่ใช่ยีร๊าฟก็ต้องเป็นอูฐ พวกนายเป็น นักละครสัตว์แบบละครเร่ก็บอกเสียตามตรง ฉันจะได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้พวก พ้องของฉันมาดูฟรี โอ้โฮ นกตะกรุมที่นั่งอยู่ตอนหน้ารถคันนั้นหัวแดงแจ๋เป็นลูก มะอึกเลย” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทำาปากจู๋ หันมากระซิบบอกเจ้าแห้วเบา ๆ “อ้ายแห้ว มึงยิงยายแก่แร้งทึ้งคนนี้ทีเถอะวะกูให้ ๑,๐๐๐ บาท สงสัยว่ายายนี่บ้า แน่ ๆ พูดจาเลอะเลือนเหมือนคนบ้า เอาซี” เจ้าแห้วยิ้มแห้ง ๆ “รับประทานไม่ไหวหรอกครับ โทษฆ่าคนตายอย่างรับสารภาพก็ ๒๐ ปี นะครับ” “ในป่าอย่างนี้เอาพยานหลักฐานที่ไหนล่ะวะ พวกเราทั้งนั้น” จสอ. แห้วสั่นศีรษะ “ท่านเจ้าคุณยิงเอาเองเถอะครับ” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ส่ายหน้า “กูกลัวติดคุก” พ.อ. นิกรกระโดดผลุงลงไปจากรถจิ๊ปกลางคันนั้นและตรงเข้าไปหานายพลดิเรก กับหญิงชรา พอแลเห็นหน้านิกร หญิงชราก็แสดงท่าทีตื่นเต้นดีใจ
  • 13. “โอ…..ทูลกระหม่อมแก้ว พระองค์เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันและพสก นิกรทั้งหลายรอคอยฝ่าพระบาทมานานแล้ว ตังแต่พระองค์ถูกท้าวมหาราชจับกุม ้ เอาตัวไป” นิกรรู้ดีว่าการที่จะทำาตัวให้เข้ากับคนบ้าได้นั้นก็ต้องแกล้งทำาเป็นบ้าด้วย เขา ยกมือทั้งสองรำาป้อและกล่าวกับหญิงชราเหมือนยี่เกตอนเจรจาคือทำาเสียงอ่อน เสียงหวาน มีการบีบเสียงเป็นบางคำาให้แหลมเล็กผิดปรกติ “เจ้าเป็นใคร พระราชินีผีป่าหรือนางพญากาเผือกใช่ไหม” “มิใช่เพคะ เกล้ากระหม่อมฉันคือมารยาสุดาวดีศรีกาญจนานางสนองพระโอษฐ์ ของพระองค์ยังไงล่ะเพคะ” นิกรร้องยี่เกทันที ด้วยลีลาอันคล่องแคล้วเหมือนยี่เกอาชีพจอมกษัตริย์ขัตติยา พลัดพรากจากพาราไปหลายปี อ้ายมหาราชจับเราเอาไปขัง กว่าจะกลับมาเวียงวังก็หลายปี จำาจะต้องรวบรวมโยธาหาญ ยกทัพไปรุกรานให้สวีวี่วี ฟาดฟันมันให้ยับเหมือนกับสับหัวปลี… ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง หญิงชรายกมือไหว้นิกร ซึ่งแกเชื่อว่าเป็น มหากษัตริย์แห่งนครนี้หรือหมู่บ้านภูงาม แล้วแกก็ทูลนิกรอย่างละลำ่าละลัก “ทูลหม่อมแก้ว ข้าแต่ทลหม่อมแก้วเจียระไน หม่อมฉันจะป่าวร้องให้เสนา ู ข้าราชการและประชาชนทั้งหลายได้ทราบว่าพระองค์เสด็จกลับมายังพระนคร ของเราแล้ว” พูดจบหญิงชราก็หมุนตัวกลับ แล้ววิ่งตื๋อเข้าไปในหมู่บ้านนั้น “สนุกแน่อ้ายกร” นายพลดิเรกพูดเสียงหัวเราะ “กันแน่ใจเหลือเกินว่าหมู่บ้านนี้ คงจะเต็มไปด้วยคนไข้โรคจิตตามที่กำานันเพ็งเล่าให้กันฟัง ขอให้แกร่วมมือกับ กันให้เต็มที่หน่อยเถอะวะอ้ายกร แกคนเดียวเท่านั้นที่เข้ากับคนบ้าได้” พ.อ. นิกรกลืนนำ้าลายเอื๊อก “เอาก็เอา หน่วยพัฒนาการของเราจะได้ชื่อว่า ได้ให้การรักษาพยาบาลชาวบ้าน ภูงามที่เป็นคนไข้โรคจิตได้ทั้งหมู่บ้าน แต่ทว่า…..แกช่วยบอกกันสักหน่อยเถอะ วะ โรคบ้าหรือโรคจิตนี่น่ะมันติดต่อกันหรือเปล่า” นายพลดิเรกเผลอตัวหัวเราะออกมาดัง ๆ “โน โรคจิตไม่มีการติดต่อเพราะเป็นโรคที่เกิดจากประสาทและสมอง โรคมะเร็งก็ ไม่มีการติดต่อกันได้ ใครซวยก็เป็นมะเร็ง ใครคิดฟุ้งซ่านหรือกระทบกระเทือนใจ
  • 14. มากเกินไปก็เป็นโรคประสาทหรือโรคจิต แกเดินเข้าไปในหมู่บ้านเถอะวะอ้ายกร ใช้ความสามารถของแกเรียกคนในหมู่บ้านให้ออกมาหาเรา เพื่อจะได้ตรวจ รักษาพยาบาลเขาตามหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายมา” นิกรทำาตาปริบ ๆ “จะดีหรือหมอ ถ้าคนที่นี่เป็นบ้าจริง ๆ มันอาจจะฟัดกันตายก็ได้” นายพลดิเรกยิ้มเล็กน้อย “ถ้ายังงั้นให้อ้ายหงวนไปเป็นเพื่อนกับแก รู้สึกว่าอ้ายหงวนอาจจะทำาตนให้ เหมือนกับคนไข้โรคจิตได้เหมือนกัน” “เอ้อ-ถ้ายังงั้นค่อยยังชั่วหน่อย” ดร. ดิเรกหันไปทางรถจิ๊ปกลางคันหน้าและร้องตะโกนเรียก พ.อ. กิมหงวนให้มา พบกับเขา อาเสี่ยก้าวลงมาจากตอนหลังรถและเดินตรงเข้ามาหาสองสหาย “ว่ายังไงอ้ายหมอ” นายพลดิเรกยิ้มให้ “แกกับอ้ายกรเข้าไปในหมู่บ้านหน่อยเถอะวะ หาวิธีเกลี้ยกล่อมให้ผู้คนที่อยู่ใน หมู่บ้านออกมาหาเรา ชี้แจงให้เขาทราบว่าพวกเราคือโรงพยาบาลเคลื่อนที่มา ช่วยบำาบัดทุกข์ให้แก่ผู้ที่ป่วยไข้ไม่สบาย” เสี่ยหงวนไม่ทันคิดอะไรก็พยักหน้ารับทราบแล้วหันมาทางนิกร “ไป-อ้ายกร แกนำาหน้า สงสัยว่าที่นี่เสื้อผ้าคงจะแพงมาก เราพบคนแก้ผ้าสองคน แล้ว คนแรกที่ยืนตกปลาอยู่ริมทางเกวียน อีกคนคือยายแก่ที่เข้าใจว่าแกเป็น กษัตริย์ของเมืองนี้” นิกรกับกิมหงวนต่างเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้านนั้นท่ามกลางความสงบเงียบ ลักษณะของหมู่บ้านนี้ค่อนข้างแหวกแนวสักหน่อย บางบ้านไม่มีหลังคา บางบ้าน ไม่มีฝาเรือน ส่วนมากสร้างเป็นกระท่อมใหญ่ ๆ มีสัตว์เลี้ยงหลายชนิดเป็นต้นว่า เป็ดไก่และสุกร คงจะเลี้ยงไว้กินมากกว่าขายเป็นสินค้า อย่างไรก็ตาม มันเหมือนกับว่าหมู่บ้านภูงามเป็นหมู่บ้านร้าง เพราะผู้คนแอบซ่อน ตัวเสียหมด เมื่อสองสหายบุกเข้ามากลางหมู่บ้าน ชาวบ้านหญิงชายประมาณ ๑๐๐ คน ก็เฮโลออกมาจากที่ซ่อนตรงเข้ามาห้อมล้อมสองสหาย ทุกคนมีอาวุธ ครบมือ หอกดาบ หลาวและไม้พลองตะบองสั้น พวกชาวบ้านต่างเข้ามารุมล้อม และชายฉกรรจ์สองคนได้ยึดปืนพกในซองปืนของกิมหงวนและนิกร พวกชาว บ้านภูงามเหล่านี้แต่ละคนบอกให้รู้ว่าเป็นคนไข้โรคจิต ซึ่งสังเกตได้จากแววตา และกิริยาท่าทาง ชายกลางคนหนวดเครารุงรังคนหนึ่งนุ่งผ้าขาวม้าเก่า ๆ เพียง ผืนเดียว ถือดาบเป็นอาวุธคู่มือได้กล่าวถามเสี่ยหงวนว่า
  • 15. “สูเจ้าเป็นใคร” เสี่ยหงวนทำาใจดีสู้เสือ เขารู้แล้วว่าเขากับนิกรได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของคนบ้าหรือ คนไข้โรคจิต อาเสี่ยพยายามวางท่าทางให้ผึ่งผายแล้วกล่าวกับชายผู้หนึ่งซึ่งเป็น โรคจิตอย่างร้ายแรง “เจ้าจำาข้าไม่ได้หรือ เพียงแต่ข้านำากองทัพไปรุกรานเพื่อนบ้านไม่ถึงสองปี เจ้าก็ จำาข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจะคิดกบฏต่อข้าหรืออย่างไร” นิกรกระซิบบอกเสี่ยหงวนเบา ๆ “เข้าเรื่องแล้วโว้ย ประเดี๋ยวเถอะมึงสนุกกันใหญ่ แกจะสมมุติตัวว่าแกเป็นใครก็ เตรียมตัวไว้” ชายกลางคนเจ้าของหนวดเคราอันรุงรังมองดูอาเสี่ยตลอดเวลา แววตาที่วาว โรจน์ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง “ข้าแต่ท่านจอมจักรพรรดิ พระองค์คือเจงกิสข่านเช่นนั้นหรือ” อาเสี่ยทำาหน้าเหยเก หันมากระซิบถามนิกร “ว่ายังไงดีล่ะอ้ายกร” “ก็ตามใจแกซี” นิกรดุ เสี่ยหงวนหันมายิ้มให้ชายผู้นั้น “ใช่แล้ว เราคือเจงกิสข่านขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าทั้งหลายแกล้งทำาเป็นจำาเรา ไม่ได้ เพราะมีแผนคิดกบฏต่อเรากระมัง” บรรดาพวกชาวบ้านซึ่งเป็นคนไข้โรคจิตต่างปรึกษาหารือกัน วิพากษ์วิจารณ์กัน ด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ชายชราคนหนึ่งกล่าวขึ้นดัง ๆ ว่า “เจงกิสข่านเจ้านายของเรารูปร่างท่านขนาดนี้ก็จริง แต่ท่านโกนหัวตลอดเวลา หน้าตาก็คล้าย ๆ กับยูล บรินเนอร์ ดาราหัวเหน่ง พวกนักขายยาเร่มันเคยเอาหนัง มาฉายให้เราดู” หญิงชราคนหนึ่งพูดเสริมขึ้น “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชายผู้นี้เป็นเจ้านายของเราหรือปลอมแปลงตัวมาหลอกเรา ถึงแม้พวกเราเป็นคนบ้า เราก็มีสติสัมปชัญญะเหมือนกัน”
  • 16. เจ้าหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น “ช่วยกันจับโกนหัวโว้ย โกนผมออกเราก็จะรู้ว่าเจ้าหนุ่มร่างสูงชะลูดคนนี้คือจอม จักรพรรดิของเราใช่หรือไม่” เสี่ยหงวนถอยหลังกรูด “อย่านะโว้ย” ซุปเปอร์คอลท์ ๑๑ มม. ที่ตกอยู่ในมือของชาวบ้านคนหนึ่งถูกยกขึ้นจี้หน้าอก ทันที “ถ้าท่านไม่ยอมให้เราโกนหัวท่าน เราจะยิงท่านทิ้งเสีย เมื่อเราโกนหัวท่านแล้ว ปรากฏว่าท่านเป็นเจงกิสข่าน พวกเราก็จะกราบไหว้แสดงความจงรักภักดีต่อไป แต่ถ้าปรากฏว่าท่านได้ปลอมแปลงเป็นเจงกิสข่าน เราก็จะช่วยกันสับตัวท่านออก เป็นท่อน ๆ และเอาไปโยนให้เสือกิน” โดยไม่มีทางต่อสู้ขัดขืน อาเสี่ยถูกฉุดกระชากลากตัวไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ส่วนนิกรถูกควบคุมตัวไว้อย่างแข็งแรงมีหอกหลายเล่มจี้อยู่ข้างหลังเขา พวกชาว บ้านซึ่งล้วนแต่เป็นคนไข้โรคจิตหรือเป็นคนบ้ากำาลังคิดว่าเขาเป็นประชาชน พลเมือง หรือเป็นขุนนางของจอมทัพของเจงกิสข่านได้ช่วยกันทุบตีเสี่ยหงวนเมื่อ เขาดิ้นรนไม่ยอมนั่งนิ่งเฉย อาเสี่ยร้องตะโกนเรียกนิกรเสียงลั่น “ช่วยกันด้วยอ้ายกร” พ.อ. นิกรยิ้มแค่น ๆ “ขืนช่วยแกฉันก็เน่าน่ะซี หอกมันจี้อยู่ข้างหลังกันตั้งหลายเล่ม แกอย่าไปขัดขืน มันซีโว้ย นั่งเฉย ๆ มันจะทำาไมแกก็ตามใจมัน เล่นกับคนบ้าลำาบากนะเพื่อน คน บ้าทำาอะไรไม่ผิดกฎหมาย” เจ้าหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งหัวเราะใส่หน้านิกร “จริงครับคุณ กฎหมายย่อมยกเว้นให้ไม่เอาผิดแก่ผู้ที่วิกลจริตทั้งหลาย” นิกรทำาหน้าครึ่งยิ้มครึ่งแหย “แกและผู้คนที่หมู่บ้านนี้เป็นบ้าจริง ๆ หรือนี่” “ก็จริงซีครับ แล้วกัน..คุณดูพวกผมซิผัดหน้าขาววอกแต่งตัวเป็นยี่เกก็มี แต่งเป็น งิ้วก็มี แก้ผ้าโทง ๆ ก็มี เรานึกจะแต่งตัวอย่างไรหรือทำายังไงก็ได้” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรูปร่างลำ่าสันเหมือนนักมวยและตัดผมเกรียนได้บุกเข้าไปหา พ.อ. กิมหงวน มือขวาของเขาถือกรรไกรปัตตาเลี่ยน เขาขู่คำารามอาเสี่ยด้วยเสียง เกรี้ยวกราด
  • 17. “ทางเดียวเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าท่านคือเจงกิสข่าน จอมจักรพรรดิแห่งนครนี้ ถ้า ท่านขัดขืนเราจะช่วยกันฆ่าท่านและต้มซุปกินเสีย” อาเสี่ยพยักหน้ารับทราบ “เอา…..มึงจะเอายังไงก็ตามใจมึงเถอะ” เสี่ยหงวนถูกกร้อนผมด้วยกรรไกรปัตตาเลี่ยนเล่มนั้น นิกรมองดูอย่างขบขัน แล้ว พูดพลางหัวเราะ “ดีโว้ยอ้ายหงวน มันกร้อนผมแกออกมองดูหน้าตาแกคมคายขึ้นอีกมาก แล้ว ก็….รู้สึกว่าแกเป็นหนุ่มขึ้นด้วย” เสี่ยหงวนร้องไห้โฮ “กลับไปเมียคงจำากันไม่ได้ อ้ายหมอไม่ควรพาพวกเรามาที่หมู่บ้านนี้เลย” ไม่ถึงห้านาทีศีรษะของอาเสี่ยก็โล้นเลี่ยนไม่มีเส้นผมเหลืออยู่แม้แต่เส้นเดียว ชาย ร่างใหญ่มองดูอาเสี่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจเหลือที่จะกล่าว เขาถอยออกห่างแล้ว ร้องขึ้นดัง ๆ “ข้าแต่จอมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เสด็จกลับมาอย่างเงียบ ๆ พวกเราทั้ง หลายยังจงรักภักดีต่อพระองค์เสมอ” ทุกคนต่างก้มศีรษะถวายคำานับอย่างพร้อมเพรียงกัน อาเสี่ยกิมหงวนแกล้งแสดง บทบาทเป็นเจงกิสข่าน เขากล่าวกับชายร่างใหญ่ว่า “ข้าขอบใจพวกท่านทั้งหลายที่มีความจงรักภักดีต่อข้า ข้ากำาลังวางแผนครอง โลกในไม่ช้านี้ ที่กลับมาก็เพื่อจะมาเกณฑ์พลรบอีกห้าหกล้านคน ซึ่งคราวนี้ข้าจะ บุกยุโรปเป็นหน้ากลอง แล้วข้าจะย้อนกลับมาโจมตีเอเซียให้พินาศ เมื่อเจ้าเชื่อ แล้วว่าตูข้าคือเจงกิสข่านก็จงส่งปืนพกมาให้ข้าโดยเร็ว” ปืนพกที่ยึดไปถูกนำามาคืนให้เสี่ยหงวนโดยดี อาเสี่ยมองดูนิกรแล้วยักคิ้วให้ แล้ว เขาก็ออกคำาสั่งกับเจ้าหนุ่มใหญ่ที่กร้อนผมเขา “เจ้ากัลบกผู้มีฝีมือ ขอให้เจ้ากร้อนผมทหารคู่ใจของข้าด้วย” นักกร้อนผมโค้งคำานับกิมหงวน “ขอเดชะ ข้าจะปฏิบัติตามรับสั่งของพระองค์เดี๋ยวนี้” พวกชาวบ้านวิกลจริตหลายคนเฮโลเข้าไปหานิกร พ.อ. นิกรทำาใจดีสู้เสือ เขา กล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า
  • 18. “ฟังเราก่อนท่านขุนนางผู้ใหญ่และเสนาข้าราชการทั้งหลาย พวกท่านย่อมรู้ดีว่า เจงกิสข่านเจ้านายของเราองค์เดียวเท่านั้นที่จะโกนผมเกลี้ยงจนหัวโล้นแบบนี้ พวกท่านจะโกนหัวข้าเพื่อให้ข้ายกตัวเท่าเทียมกับท่านเจงกิสข่านเช่นนั้นหรือ จงอย่าทำาอะไรที่จะให้ข้าหรือพวกท่านเท่าเทียมกับพระองค์เลย” บรรดาพวกคนบ้าต่างหันหน้ามาปรึกษาหารือกัน แล้วใครคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านขุนพลผู้นี้พูดถูกแล้ว องค์เจงกิสข่านของเราเท่านั้นที่จะโกนหัวเป็นสัญญ ลักษณ์แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ถ้าหากว่าผู้ใดโกนหัวเกลี้ยงเราก็จะถือว่าผู้ นั้นพยายามจะสร้างบารมีให้คล้ายพระองค์” เสี่ยหงวนร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง “จงทำาตามคำาสั่งข้าคือโกนหัวทหารคู่ใจของข้าคนนี้” นิกรร้องห้ามเสียงหลง “อ๊ะ อ๊ะ อย่านะเจ้ากัลบก ตะไกรปัตตาเลี่ยนอันนี้ได้โกนหัวท่านเจงกิสข่านแล้ว ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์จะเอามาแตะต้องหัวข้าหรือหัวผู้ใดหาได้ไม่” ช่างกร้อนผมเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ หันมายิ้มให้เสี่ยหงวน “เป็นความจริงพะยะค่ะ ตะไกรปัตตาเลี่ยนอันนี้จะใช้กร้อนผมใครไม่ได้อีกเป็น อันขาด” เสี่ยหงวนนึกฉิวนิกรที่เฉลียวฉลาดรู้รักษาตัวรอด เขากล่าวกับกัลบกวิกลจริตว่า “เจ้าไปเอาตะไกรปัตตาเลี่ยนมาอีกเล่มหนึ่ง ข้าต้องการให้เจ้ากร้อนผมทหารของ ข้า” กัลบกก้มศีรษะถวายความคำานับอย่างงดงาม “ขอเดชะ มีเล่มเดียวพะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ได้ฆ่าเจ้าหนุ่มนักขายยาคนหนึ่งและยึด ตะไกรปัตตาเลี่ยนเล่มนี้ไว้เมื่อปีก่อนนี้ ทางหมู่บ้านของเรามีปัตตาเลี่ยนเล่มนี้ เพียงเล่มเดียวพะย่ะค่ะ” อาเสี่ยผุดลุกขึ้นยืนจากแคร่ไม้ไผ่ พวกคนบ้าล่าถอยไปตามกัน นิกรสะบัดมือพวก คนบ้าที่ยื้อยุดฉุดตัวเขาออก แล้วเดินเข้ามาหาอาเสี่ย “เฮ้ย….หลอกลวงอ้ายพวกนี้ให้ออกไปที่ขบวนรถพัฒนาการของเราซีวะ เราจะ ได้เริ่มให้การตรวจรักษาผู้คนที่หมู่บ้านนี้” เสี่ยหงวนร้องตะโกนขึ้นมาดัง ๆ