หมู่บ้านผีดิบ
- 1. ห้องสมุดหนังสือเก่า
พล นิกร กิมหงวน กับ ลูกชาย
ตอน หมู่บ้านผีดิบ
กรมอนามัยแห่งกระทรวงสาธารณสุขและสภากาชาดไทยได้ส่งหน่วยพัฒนาการ
เคลื่อนที่ไปในส่วนภูมิภาคตามจังหวัดต่าง ๆ หลายต่อหลายครั้ง อันเป็นถิ่นฐานที่
ทุรกันดารอยู่ในป่าดงพงทึบ ห่างไกลจากเส้นทางคมนาคมถึงแม้จะมีทางเกวียน
ตัดผ่านไปถึงหมู่บ้านเหล่านั้น พวกชาวบ้านป่าหรือชาวไร่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล
จากความเจริญก็มักจะเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา มีชีวตและความเป็นอยู่อย่าง
ิ
ง่าย ๆ เมื่อใครป่วยไข้ก็รักษากันตามมีตามเกิด ใช้ยากลางบ้านจำาพวกสมุนไพร
ต้มกินหรือทา ไม่เคยพบเห็นนายแพทย์แผนปัจจุบันหรือพยาบาล การคลอดบุตร
ก็อาศัยหมอตำาแย คนเหล่านี้ล้วนแต่สกปรก จะกำาจัดอย่างไรก็ไม่หายสิ่งสกปรก
เพราะปราศจากอนามัยนั่นเอง
หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกระทรวงสาธารณสุขและของสภากาชาดไทย ได้
ทำาคุณประโยชน์ให้แก่พี่น้องร่วมชาติของเรามากมาย นายแพทย์พร้อมด้วย
พยาบาลและบุรุษพยาบาลได้ยกโรงพยาบาลเคลื่อนที่ คือกองรถยนต์ บุกบั่นไป
ยังชนบทเหล่านั้น ให้การรักษาพยาบาลประชาชนที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ
มีการตรวจโรคตามร่างกายและจ่ายยาให้ ที่ป่วยหนักหน่วยพัฒนาการก็รีบส่งตัว
ไปรักษาในจังหวัด มีการฉายภาพยนตร์ให้ชมถึงเรื่องเชื้อโรคและโรคภัยไข้เจ็บ
ต่าง ๆ อบรมประชาชนให้มีอนามัย สอนให้สร้างส้วมที่ถูกสุขลักษณะ แต่ไม่ถึง
ชักโครกแท่นคู่ตามบ้านผู้ดีมีเงินในกรุงเทพ ฯ
กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้มีคำาสั่งให้คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและ
วิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย ซึ่งมีศาสตราจารย์ ดร. ดิเรกเป็นหัวหน้านำาหน่วย
พัฒนาการเดินทางไปยังภาคอีสานตามรายละเอียดในคำาสั่งนั้น ทุกคนมีเวลา
เตรียมตัวเพียง ๓ วัน ลูกชายของสี่สหายต่างคึกคะนองไปตามกันในการบุกป่า
ฝ่าดงครั้งนี้ แต่ จสอ. แห้วบ่นพึมพำาว่า การล่องป่าในฤดูฝนถึงจะเดินทางโดย
ขบวนรถยนต์ก็ไม่สนุกนัก เพราะรถจะต้องตกหล่มและสัตว์แมลงในป่านับตั้งแต่
ทาก เหลือบ แมลงวันก็ชุกชุมมาก
วันนั้นตรงกับวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๑
ก่อนเวลา ๘.๐๐ น. เล็กน้อย ขบวนรถพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด
ซึ่งรถจิ๊ปใหญ่แต่ละคันมีผ้าใบคลุมประทุนอย่างมิดชิดและมีกากบาทแดงทั้งสอง
ข้างรวมทั้งหมด ๖ คัน รถจิ๊ปกลางอีก ๒ คันและรถยีเอ็มซีสิบล้ออีกคันหนึ่งรวม
ทั้งหมด ๙ คัน จอดเป็นแถวเรียงรายจากประตูรั้วบ้าน “พัชราภรณ์” จนถึงทาง
เลี้ยวหน้าตึกใหญ่ ซึ่งคันสุดท้ายติดตามขบวนอยู่ทางมุมตึกด้านขวาคือรถยีเอ็มซี
๑๐ ล้อ บรรทุกทหาร ๒๔ คน แต่งเครื่องสนามสวมหมวกเหล็กมีอาวุธทันสมัยคือ
ปืนกลเบา ปืนยิงเร็ว ปืนเล็กยาวและปืน ค. มีนายทหารหนุ่มยศร้อยโทคนหนึ่งเป็น
ผู้บังคับหมวด ทหารหมวดนี้จะทำาหน้าที่คุ้มกันอารักขาหน่วยพัฒนาการของท่าน
นายพลดิเรก
- 2. ตามเวลาที่กล่าวนี้คณะพรรคสี่สหายกับลูกชายของเขาพร้อมด้วยเจ้าคุณปัจจนึก
ฯ และเจ้าแห้ว ได้ชุมนุมกันอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง ทุกคนแต่งเครื่องแบบฝึกสวม
หมวกแก๊ปทรงอ่อน มีอาวุธประจำาตัวเหมือน ๆ กันคือปืนพกซุปเปอร์คอลท์ ๑๑
มม. นายพลดิเรกจะทำาหน้าที่เป็นแพทย์ตรวจรักษาพี่น้องชาวไทยที่เป็นชาวไร่
หรือชาวบ้านป่า ในดินแดนอันแสนกันดารทางภาคอีสาน นับตั้งแต่จังหวัด
นครราชสีมาเป็นต้นไป นอกนั้นจะทำาหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ ส่วนพยาบาลประจำา
ขบวนพัฒนาการก็คือ นันทา นวลลออ ประภาและประไพนั่นเอง
ตามหมายกำาหนดการ พล.อ. วิชิต ชัยสมรภูมิ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่าย
ยุทธการจะมาถึงบ้าน “พัชราภรณ์” ในเวลา ๘.๐๐ น. ตรง ซึ่งขณะนี้ทหารราบ
หนึ่งหมวดและพลขับประจำาขบวนรถได้ตั้งแถวเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจของคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์
ของกองทัพไทย คุณหญิงวาดได้เดินนำาหน้าพาสี่นางลงบันไดมาจากชั้นบน
นันทา นวลลออ ประภาและประไพแต่งเครื่องแบบพยาบาลสีขาวสะอาดตา โดย
เฉพาะประภามีเครื่องหมายกากบาทแดงอยู่บนแขนซ้าย แสดงว่าหล่อนสำาเร็จ
วิชาการพยาบาลและผดุงครรภ์มาจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงทำาให้ประภา
เด่นกว่าสามนางด้วยเครื่องหมายกากบาทอันเป็นที่สะดุดตานี้ ส่วนนันทา
นวลลออและประไพนั้นถึงแม้ไม่ได้เรียนวิชาพยาบาลมาแต่ก่อน แต่ก็ได้รับการ
ฝึกหัดอบรมจากศาสตราจารย์ดิเรกและประภาอยู่เสมอ จึงสามารถทำาหน้าที่เป็นผู้
ช่วยพยาบาลได้เป็นอย่างดี
อาเสี่ยกิมหงวนร้องขึ้นดัง ๆ
“ทำาความเคารพพยาบาลทั้งสี่คน ทั้งหมด……วันทยหัตถ์”
ปรากฎว่าเสี่ยหงวนคนเดียวเท่านั้นที่กระทำาวันทยหัตถ์และวิ่งเข้าไปรายงานตัว
ต่อคุณหญิงวาด
“พวกกระผม ๑๐ คน พร้อมที่จะออกเดินทางแล้วครับ แหม…วันนี้เมียผมสวย
เหลือเกิน รูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ ฟลอเร้นซ์ ไนติงเกล ทำาไมคุณอาไม่แต่งเครื่อง
แบบพยาบาลล่ะครับ”
คุณหญิงวาดทำาตาโต
“ใครบอกเธอล่ะจ๊ะว่าฉันจะไปด้วย แก่ขนาดนี้แล้วขืนไปรถมันก็ฟัดตาย แล้วถ้า
เกิดรบกับพวกคอมมิวนิสต์อาก็คงช็อคตายแน่ ๆ แล้วก็….ถ้าอาไปใครจะเฝ้า
บ้าน” พูดจบคุณหญิงวาดก็สะดุ้งโหยง “อุ๊ยตาย….อกอีแป้นแตก ถ้าอกอีแป้นไม่
แตกอกอาก็แตก พ่อหงวนทำาไมถึงเล่นพิเรนอย่างนี้”
“คุณอาหมายความว่ากระไรครับ”
“ก็เธอนึกขลังอย่างไรขึ้นมาถึงได้เอาเครื่องหมายยศนายพลตรีมาติดบ่าทั้งสอง
ข้าง”
ศาสตราจารย์ดิเรกใจหายวาบ เขาเดินเข้ามาหาเสี่ยหงวนทันที พอแลเห็น
เครื่องหมายยศ พล.ต. บนอินธนูผ้า นายพลดิเรกก็กลืนนำ้าลายเอื๊อก
“ว๊อท ดิ ไอเดีย ยูรู้ไหมว่าที่ยูทำาอย่างนี้น่ะติดคุกนะโว้ย”
เสี่ยหงวนขมวดคิ้วย่น “ขอให้กันแต่งนายพลไปพัฒนาการคราวนี้เถอะวะ อย่าง
น้อยกันจะได้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอ้ายพล”
“โน” นายพลดิเรกเอ็ดตะโรลั่น “รีบขึ้นไปข้างบนเปลี่ยนเครื่องหมายยศเสียให้ถูก
ต้อง ถึงแม้แกเป็นพันเอกติดดาวสามดวงมีมงกุฎครอบ แต่ที่คอเสื้อทั้งสองข้างมี
- 3. เครื่องหมายคฑาไขว้ก็แสดงอยู่แล้วว่าแกเป็นพันเอกพิเศษหรือนายพลจัตวาที่
เลิกล้มไปแล้ว เร็ว….มีเวลาอีกห้านาทีเท่านั้นท่านรองก็จะมาถึงที่นี่”
พ.อ. กิมหงวนบ่นพึมพำาแล้วพาตัวขึ้นบันไดไปชั้นบน
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวชมสี่นางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ครั้งนี้แหละ พวกเจ้าจะได้ร่วมงานกับเราอย่างใกล้ชิด ประภาท่าทาง
ทะมัดทะแมงดี ยายไพเหมือนพยาบาลเวียตนาม”
ประไพค้อนขวับ
“คุณพ่อน่ะซิคะเวียตนาม แล้วก็เวียตนามเหนือเสียด้วย”
“อ้าว กูก็เป็นคอมมิวนิสต์น่ะซีโว้ย”
“ฮี้” นิกรร้องเสียงเหมือนม้า “มันจะมากไปนะครับ พูดกูมึงกับเมียผม อย่างไร
ก็ตามเมียผมก็เป็นคุณนายแล้ว”
ท่านเจ้าคุณหันมามองดู พ.อ. นิกรอย่างขบขัน
“เมียแกน่ะลูกฉันนะโว้ย”
“อ้าว….แล้วก็ไม่บอกให้รู้”
อีกในราวสองนาทีต่อมา พ.อ. กิมหงวนได้เดินลงบันไดมาจากชั้นบนอย่างรีบร้อน
เขาติดเครื่องหมายยศพันเอกเหมือนเช่นเดิม ร.อ. สมนึกกล่าวกับเพื่อน ๆ ด้วย
เสียงอันดัง
“เตี่ยกันเพ้อฝันมานานแล้วที่จะเป็นนายพล แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้เป็น”
ร.อ. นพกล่าวขึ้นบ้าง
“สู้พ่อกันไม่ได้ ตอนที่ลุงพลได้เป็นนายพลพ่ออยากเป็นนายพลบ้าง เดี๋ยวนี้หาย
อยากแล้ว พ่อบอกว่าอยากเป็นนายสิบหรือพลทหารมากกว่า เพราะนั่งกิน
ก๋วยเตี๋ยวหรือเย็นตาโฟ เนื้อสะเต๊ะ เต้าหู้ทอดริมถนนไม่มีใครสนใจหรือว่ากล่าว”
นิกรยิ้มให้ลูกชายของเขา
“ก็หรือไม่จริง ก็ลองให้ลุงพลของแกหรือดิเรกแต่งนายพลนั่งกินอาหารริมถนนจะ
มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนนับพันจะห้อมล้อมมองดูด้วยความสนใจ”
นายพลดิเรกยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วพูดตัดบท
“ลงไปข้างล่างเถอะพวกเรา ท่านรองคงจะมาถึงตามกำาหนดเวลา แต่เราลาคุณอา
ท่านเสียก่อน”
คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและสี่นางต่างกระทำาความเคารพและอำาลาคุณหญิง
วาด ซึ่งคุณหญิงก็ได้ให้ศลให้พรในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่
ี
“ขอให้ทุกคนโชคดีและแคล้วคลาดอันตรายเถิด อ้า….ท่านเจ้าคุณช่วยดูแลเด็ก ๆ
ด้วยนะคะ อย่างน้อยก็ช่วยพูดเตือนสติอย่าให้เขากล้าหาญอย่างบ้าบิ่นมุทะลุ ถ้า
เกิดสู้รบกับอ้ายพวกก่อการร้ายหรือพวกคอมมิวนิสต์คอมมิวหน่อยนั่นแหละค่ะ
อาฮั้นเป็นห่วงพ่อหลานชายทั้งสี่คนนี่อย่างยิ่ง”
ท่านเจ้าคุณอมยิ้ม
“แน่ะ วันนี้พูดอาฮั้นเชียวหรือ”
“ค่ะ วันดีคืนดีก็ลองพูดเล่นบ้าง อาฮั้นจะได้ทันสมัยขึ้น เหมือนกับพวกคุณหญิง
คุณนายในวงสังคมยังไงล่ะฮะ”
ทุกคนพากันออกจากห้องโถงลงบันไดหน้าตึกตั้งแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยวทาง
ซ้ายของแถวทหารราบ ส่วนคุณหญิงวาดเดินไปยืนรวมกลุ่มคนใช้ชายหญิง
ตลอดจนแม่ครัวและคนสวนที่มาคอยส่งหน่วยพัฒนาการในบังคับบัญชาของ
ศาสตราจารย์ดิเรก
- 4. นายสิบสารวัตรทหารบกคนหนึ่งซึ่งยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน “พัชรา
ภรณ์” ได้ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“ท่านรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาแล้ว”
ฟอร์ดฟัลคอนเก๋งสีครีมเลี้ยวผ่านประตูรั้วบ้าน “พัชราภรณ์” เข้ามาอย่างแช่มช้า
ติดตามด้วยรถตรวจการบรรทุกสารวัตรทหารบก ๖ คน ทำาหน้าที่พิทักษ์รักษา
ท่านนายพลอาวุโส รถทั้งสองหยุดนิ่งหน้าโรงเก็บรถ เมื่อท่านรองผู้บัญชาการ
ทหารสูงสุดในเครื่องแบบปรกติกากีแกมเขียวเชิ๊ตแขนยาวและผูกเน็คไท สวม
หมวกแก๊ปทรงหม้อตาลก้าวลงมาจากรถ นายพลดิเรกก็ร้องตะโกนขึ้นทันที
“ทำาความเคารพรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายยุทธการ……….แลขวา”
นายพลดิเรกวิ่งเหยาะ ๆ ตรงเข้าไปหาท่านนายพลอาวุโส หยุดยืนชิดเท้าตรงและ
รายงานตนตามระเบียบพร้อมทั้งจำานวนยานพาหนะ จำานวนนายทหารนายสิบพล
ทหารและพยาบาลประจำาหน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด
ท่านนายพลอาวุโสวันทยหัตถ์ตอบและยื่นมือให้ศาสตราจารย์ดิเรกสัมผัส
“เข้มแข็งดีครับอาจารย์ ผมหวังว่าหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของเราคงจะปฏิบัติ
หน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติของเราที่ป่วยไข้ได้ดีที่สุด แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้
ช่วยแพทย์ของอาจารย์จะทำาหน้าที่ของเขาได้เรียบร้อยหรือเปล่า”
“ผมรับรองครับท่านรอง เพื่อน ๆ และลูกหลานของผมตลอดจนพ่อตาของผมกับ
จ่าสิบเอกแห้วมีความสามารถทำาหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ได้”
“แล้วคุณผู้หญิงทั้งสี่คนนั่นล่ะ”
นายพลดิเรกยิ้มละไม
“ไม่มีปัญหาอะไรครับ ภรรยาของผมสำาเร็จพยาบาลมาจากจุฬาลงกรณ์และได้ทำา
หน้าที่ช่วยเหลือผมอยู่เสมอ ส่วนอีกสามคนก็เคยช่วยเหลือผมเหมือนกันและผม
ได้สอนวิชาพยาบาลให้จนกระทั่งมีความรู้พอตัว”
พล.อ. วิชิตพยักหน้ารับทราบ ต่อจากนั้นศาสตราจารย์ดิเรกก็พาท่านตรวจแถว
หน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุด ท่านนายพลอาวุโสได้สัมผัสมือ
กับท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีการทักทายกันอย่างสนิท
สนม
“ใต้เท้าแก่แล้วแต่ก็ยังแข็งแรงดี ขอให้โชคดีและปลอดภัยนะครับ”
“ขอบคุณครับท่านรอง ผมจะปฏิบัตหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด”
ิ
ท่านนายพลอาวุโสเลื่อนตัวมาหยุดยืนเบื้องหน้าสามสหาย
“ว่ายังไงคุณพล รู้สึกหนักใจอะไรบ้างไหม”
พล.ต. พลตอบท่านอย่างแข็งแรง
“ไม่มีอะไรหนักใจครับ”
“ถ้าถูกพวกก่อการร้ายโจมตีล่ะ….”
“ก็ต้องสู้กับมันจนยิบตาแหละครับ บนรถจิ๊ปใหญ่คันนั้นเราได้ติดตั้งปืนกลหนัก
และปืน ค. ไว้พร้อม นอกจากนี้ยังมีอาวุธอีกหลายอย่าง เช่น ปืนยิงเร็วและระเบิด
มือ กระสุนปืนอีกมากมาย แต่เราได้ปิดบังอย่างมิดชิดไม่ให้ใครรู้ เมื่อเราถูกโจมตี
ลูกหลานของผมก็จะประจำาหน้าที่บนรถจิ๊ปใหญ่คันนั้นตามที่ได้มอบหมายไว้”
ท่านรองนิ่งฟังด้วยความสนใจและเปลี่ยนสายตามาที่ พ.อ. นิกร
“อย่าให้เสียชื่อกองบัญชาการทหารสูงสุดนะผู้การ”
พ.อ. นิกรยืนนิ่งเฉย นัยน์ตาลืมโพลงเหมือนถูกสะกด ท่านรองนึกแปลกใจ ก็
ยกมือขวาขึ้นโบกวนเวียนเบื้องหน้านิกรในระยะใกล้ชิด แล้วท่านก็ร้องขึ้นดัง ๆ
- 5. “หลับหรือคุณนิกร”
พ.อ. นิกรสะดุ้งเฮือกแล้วเคี้ยวปากจั๊บ ๆ เหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นนอน
“แฮ่ะ แฮ่ะ ได้ครับ ผมจะพยายามหามาให้ท่านรอง”
พล.อ. วิชิตขมวดคิวย่น
้
“คุณหมายความถึงอะไร”
“ก็อีหนูทางอีสานยังไงล่ะครับ”
“บ้าแล้ว ผมมีแต่จะปลดออกไปเท่าที่มีอยู่ตั้ง ๕ คน ก็เดือดร้อนพอดูแล้ว ปีหน้าผม
ก็จะปลดเกษียณแล้ว ปีนี้รู้สึกว่าแก่ตัวลงมาก กำาลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง”
นิกรว่า “กินโสมเสียบ้างซีครับท่านรอง หรือไม่ก็เอ็นกวางตุ๋น คุณพ่อผมท่านยัง
แข็งแรงอยู่ก็เพราะท่านได้กินโสมและยาจีนที่มีราคาแพง ๆ”
ท่านรองหันไปทางเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
“เอ….ผมเห็นจะต้องเอาอย่างใต้เท้าบ้าง ใต้เท้ากินยาอะไรครับ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยิ้มอาย ๆ
“ก็ทั้งยาทั้งอาหารนั่นแหละครับ อาหารก็คือเนื้อนมไข่ ซึ่งไข่ในที่นี้ผมหมายถึง
ไข่จะละเม็ด วันหนึ่งต้องกินให้ได้อย่างน้อย ๕ ฟอง ยาจีนก็คือโสมขาวชงนำ้าชา
กินตลอดวัน นอกนั้นก็เป็นยาบำารุงกำาลัง กินวันละเทียบ เทียบหนึ่งราคา ๑๕๐
บาท กินได้มื้อเดียวคือมื้อเย็น แต่ท่านรองจะกินได้หรือ เพราะยาบำารุงกำาลังที่ผม
กำาลังพูดถึง ใส่ตุ๊กแกแห้ง ๆ หนึ่งตัว ม้านำ้าแห้งหนึ่งตัว ม้านำ้าก็คือสัตว์จำาพวกปลิง
ทะเลตัวยาวราวสามนิ้ว หน้าตาเหมือนม้า”
“น่าคิดครับใต้เท้า เอาไว้ให้หน่วยพัฒนาการกลับมาเสียก่อน ผมจะมาเยี่ยม
ใต้เท้าเป็นการส่วนตัว เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องนี้ จริงครับ….ใต้เท้ายังแข็งแรง
มาก เนื้อหนังก็ยังไม่เหี่ยวย่นเหมือนกับผู้มีวัย ๕๐ เศษเท่านั้น”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“คุณพ่อเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มครับ คือแก่ถึงที่สุดแล้วก็กลับเป็นหนุ่ม เมื่อเช้านี้ผม
ได้ยินเสียงคุณพ่อแตกเนื้อหนุ่มหลายที”
ท่านรองหยุดยิ้มแล้วเลื่อนตัวมายืนเบื้องหน้า พ.อ. กิมหงวน
“อ้าว-เป็นอะไรไปล่ะผู้การ ทำาแก้มพองลมโป่งไปโป่งมามองดูเหมือนกบหรือ
คางคก”
อาเสี่ยจามเสียงสนั่นหวั่นไหว
“ฮ้าด….ชะเอ๊ย ขออนุญาตครับผมแพ้กลิ่นโอดิโคโลญที่ท่านรองใส่ไม่ทราบว่า
ยี่ห้ออะไร ผมได้กลิ่นทีไรผมจามทุกที”
ท่านนายพลอาวุโสหัวเราะเบา ๆ
- 6. “แต่เมียผมเขาชอบ เขาซื้อให้ใช้เป็นประจำา คนเรานี่ก็แปลกนะ บางคนก็แพ้ฝุ่น
ละอองหรือเกสรดอกไม้ แพ้ขนแมวทำาให้จามหรือเป็นโรคหืด” แล้วท่านก็ถาม
พ.อ. นิกร “คุณล่ะแพ้อะไร”
นิกรยิ้มแป้น
“ผมไม่เคยแพ้อะไรหรอกครับนอกจากแพ้เมีย ตอนนี้ลูกมันโตขึ้นผมอาจจะแพ้ลูก
อีกคนหนึ่ง เพราะถ้าเกิดต่อยปากกันขึ้น อ้ายนพมันคงถลุงผมยับ”
สี่นางหัวเราะขึ้นดัง ๆ พล.อ. วิชิตเลื่อนตัวเข้ามายืนเบื้องหน้าสี่สหายหนุ่มและเจ้า
แห้ว ท่านยกมือขวาตบบ่าซ้าย ร.อ. พนัสเบา ๆ
“เข้มแข็งดีนะหลานชาย”
“ครับผม”
ท่านนายพลอาวุโสเปลี่ยนสายตามาที่ ร.อ. นพและกล่าวว่า
“อย่าลืมว่าการไปปฏิบัติหน้าที่คราวนี้ทุกคนต้องเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตเหมือนกัน ถ้า
เกิดปะทะกับพวกก่อการร้าย เธอคงจะสู้กับมันแบบยอมตายถวายชีวิต”
“แน่นอนครับ กระผมและพวกเราทุกคนจะสู้กับศัตรูให้สมศักดิ์ศรี”
ร.อ. สมนึกพูดเสริมขึ้น
“ผมจะเอาไม้ไผ่เหลาเล็ก ๆ เหมือนไม้ที่เขาทำาว่าวเสียบพวกมันแล้วตากแห้งเอา
มาฝากท่านรองสักยี่สิบ สามสิบไม้ครับ”
พล.อ. วิชิตทำาหน้าชอบกล
“เอ-อ้ายที่เธอว่าจะเสียบไม้น่ะ คงจะเป็นเขียดหรือแย้มากกว่ากระมั้ง” แล้วท่านก็
หันมาทาง ร.อ. ศาสตราจารย์ดำารงลูกชายของท่านนายพลดิเรก
“หลานชาย อย่าลืมติดต่อกับกองบัญชาการทหารสูงสุดโดยทางวิทยุตามที่เราได้
ตกลงกันไว้ ถ้าเกิดปะทะกับข้าศึกเราจะรีบส่งกำาลังหนุนและเครื่องบินไปช่วย แต่
ฉันเชื่อว่า ทหารราบหนึ่งหมวดที่ติดตามไปก็พอที่จะต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย
ประมาณหนึ่งกองร้อยได้แน่ ๆ เพราะทหารของเราได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่าง
ดีและการสู้รบเพื่อประเทศชาติของเรา ฝ่ายเราย่อมมีขวัญและกำาลังใจดีกว่า”
ท่านรองได้ทักทายกับ จสอ. แห้วตามสมควร แล้วเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าสี่นาง
“ในฐานะที่พวกคุณเป็นนายทหารหญิงสังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ผมขอ
แสดงความยินดีกับพวกคุณที่เดินทางไปพัฒนาการช่วยเหลือประชาชนตาม
ป่าดงในครั้งนี้ ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะครับ”
- 7. เมื่อไม่มีใครพูดกับท่านรอง ประไพจึงกล่าวขึ้น
“เดี้ยนขอบคุณค่ะ ที่ท่านรองกรุณามาส่งเรา”
ท่านรองทำาหน้าเหยเก
“เดี้ยนน่ะคือตัวคุณใช่ไหม”
“ฮะ เดี๋ยวนี้ผหญิงสมัยใหม่หรือสุภาพสตรีชั้นสูงเขาพูดคำาว่าเดี้ยนแทนคำาว่า
ู้
ดิฉัน”
“อ้อ-ผมเพิ่งทราบ”
ท่านรองเดินเคียงคู่กับนายพลดิเรกตรวจแถวพลขับและตักเตือนให้ทุกคนปฏิบัติ
หน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ต่อจากนั้นท่านก็ตรวจแถวทหารราบหนึ่งหมวดซึ่งยืน
เป็นแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยวอยู่ในท่ากระทำาความเคารพ ผู้ที่ถือปืนเล็กยาว
สวมดาบได้กระทำาวันทยาวุธ ส่วนผู้ที่สะพายปืนกลเบาและปืนยิงเร็วได้ยกมือขวา
ขึ้นแตะไหล่ซ้ายตามระเบียบของการแสดงความเคารพ ร.ท. สามารถผู้บังคับ
หมวดรูปหล่อยืนวันทยหัตถ์อยู่หน้าแถว เขาแต่งเครื่องสนามเรียบร้อยอาวุธ
ประจำาตัวคือปืนพก ๑๑ มม. และระเบิดมือใช้ดินระเบิดแรงสูงแขวนอยู่ที่หน้าอก
เสื้อด้านซ้ายอีกสองลูก
ท่านรองได้ทักทายกับผู้บังคับหมวดเป็นคนสุดท้าย
“เธอกับทหารในบังคับบัญชาของเธอจะต้องคุ้มกันชีวิตของคณะผู้เชี่ยวชาญการ
อาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย อย่าลืมว่าแต่ละคนมีค่าและมีความหมาย
แก่ประเทศชาติมาก ถ้าเราถูกศัตรูโจมตี เธอกับทหารของเธอจะต้องสู้ตาย”
“ครับผม กระผมได้สั่งทหารในบังคับบัญชาไว้เรียบร้อยแล้วครับ”
ท่านรองกับศาสตราจารย์ดิเรกต่างเดินตรวจแถวทหารราบไปจนสุดแถว แล้ว
ท่านก็ออกคำาสั่งกับนายพลดิเรก
“ออกเดินทางได้แล้วอาจารย์ ผมจะไปคุยกับคุณหญิงวาดและถือโอกาสส่งหน่วย
พัฒนาการที่น”
ี่
นายพลดิเรกยกมือวันทยหัตถ์รับคำาสั่งและร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ
“ทั้งหมด ขึ้นรถประจำาที”
่
ทหารราบหนึ่งหมวดและ ร.ท. สามารถต่างขึ้นไปนั่งบนรถยีเอ็มซี ซึ่งมีผ้าใบคลุม
ประทุนแดดฝน ในเวลาเดียวกันสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็ขึ้นไปนั่งบนรถจิ๊ป
กลางคันหน้าขบวนโดยมี จสอ. แห้วเป็นพลขับ รถจิ๊ปกลางคันต่อมาเป็นรถของ
พยาบาลทั้งสี่คน มีนายสิบของกรมการขนส่งเป็นพลขับ ถัดไปคือจิ๊ปคันใหญ่ตด ิ
อาวุธซุ่มซ่อนไว้ในรถ มีเจ้าหน้าที่ประจำารถ ๕ คน คือพลขับและลูกชายของสี่
- 8. สหาย โดยเฉพาะรถคันนี้ไม่ได้ติดเครื่องหมายกาชาดแต่มีความหมายและสำาคัญ
ที่สุด เพราะมีอาวุธร้ายพอที่จะคุ้มกันขบวนพัฒนาการเคลื่อนที่ของกอง
บัญชาการทหารสูงสุดได้เป็นอย่างดี ต่อมาคือรถจิ๊ปใหญ่อีก ๕ คัน เป็นรถทำาฟัน
เคลื่อนที่คันหนึ่ง รถเอ็กซเรย์คันหนึ่ง นอกนั้นเป็นรถบรรทุกยาและเวชภัณฑ์ต่าง
ๆ คันที่หกเป็นรถผ่าตัด มีเครื่องมือเครื่องใช้ในทางศัลยกรรมพอที่จะผ่าตัดหัว
กะโหลก ตับไตไส้พุง ขอบกระด้ง ผ้าขี้ริ้วตับปอดและม้ามได้ ซึ่งศาสตราจารย์
ดร. ดิเรกจะต้องทำางานหนักที่สุด ท้ายขบวนคือทหารราบซึ่งนั่งอยู่ในรถยีเอ็มซี
ถ้าหากว่าหน่วยพัฒนาการถูกพวกก่อการร้ายโจมตีระหว่างทางหรือขณะที่
ปฏิบัตหน้าที่ตามหมู่บ้าน ทหารราบหมวดนี้ก็จะต่อสู้อย่างทรหด
ิ
ท่ามกลางเสียงไชโยของพวกคนใช้ชายหญิง ขบวนรถของหน่วยพัฒนาการได้
เคลื่อนออกจากที่อย่างแช่มช้า เจ้าแห้วหรือ จสอ. แห้วนั่งคู่ กับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
ส่วนสี่สหายนั่งอยู่ด้านใน มีหีบห่อกองอยู่หลายชิ้นนับตั้งแต่เครื่องรับส่งวิทยุที่ใช้
ติดต่อในระหว่าง ทางไกลคือวิทยุโทรศัพท์อันเป็นประดิษฐกรรมของ
ศาสตราจารย์ดิเรก มีเครื่องฉายภาพยนตร์ขนาด ๑๖ มม. ภาพยนตร์สุขศึกษาอีก
หลายม้วน ภาพยนตร์การ์ตูนและคาวบอย ภาพยนตร์ข่าวตำารวจชายแดนและ
ทหารสู้รบกับฝ่ายก่อการร้ายและทำาการกวาดล้างได้ราบคาบจากท้องถิ่นต่าง ๆ
เมื่อออกมาพ้นเขตบ้าน “พัชราภรณ์” รถฉลามบกของกองปราบปรามคันหนึ่งซึ่ง
จอดอยู่ริมรั้วด้านนอกของบ้าน “พัชราภรณ์” ได้แล่นนำาขบวนทันที เปิดไฟหมุนสี
แดงบนหลังคาเก๋งวาบวับ นายตำารวจผู้บังคับรถได้รับคำาสั่งนำาขบวนไปส่งจนถึง
ทางแยกไปนครราชสีมาและอีสานที่จังหวัดสระบุรี อย่างไรก็ตามรถจิ๊ปกลางที่
บรรทุกสี่สหายก็มีไฟแดงอยู่บนหลังคารถและมีแตรไซเลนท์ด้วย เพราะไฟรถที่
เตรียมไว้ใช้ในราชการสงครามหรือปราบจลาจล
คืนวันนั้นขบวนพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุดได้หยุดพักแรมที่ค่าย
ทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา บรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้ให้การ
ต้อนรับเป็นอย่างดี ส่วนมากเคยเป็นลูกศิษย์ของนายพลดิเรกมาก่อน หรือมิฉะนั้น
ก็เคยรู้จักกับสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ มาแต่ก่อนแล้ว การเดินทางโดยขบวน
พัฒนาการเช่นนี้ทำาให้สี่นางสนุกสนานมาก
ตอน เช้าวันต่อมาขบวนพัฒนาการได้ออกจากจังหวัดนครราชสีมามุ่งตรงไปยัง
หนองบัวโคก และบุกเข้าไปตามทางเกวียนในป่าลึกถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งจึงหยุด
พัก บรรดาทหารราบได้ลงจากรถยีเอ็มซีคันนั้นกระจายกำาลังกันออกไปทำาหน้าที่
คุ้มกัน คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธ ตอนแรกชาวบ้านเห็นทหารก็รู้สึกหวาด ๆ
เหมือนกัน เพราะไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อ พ.อ. นิกรได้เจรจากับพวก
ชาวบ้านโดยทางเครื่องขยายเสียงแล้ว ก็ปรากฏว่าพวกชาวบ้านหรือพวกชาวไร่
เหล่านั้นได้ย่อย ๆ กันมาที่เต้นท์พยาบาล ซึ่งเป็นเต้นท์ขนาดกลางสองหลังและ
ทหารได้ช่วยกันกางขึ้น ขนโต๊ะเก้าอี้ลงจากรถไปไว้ในเต้นท์
“พี่น้องทั้งหลาย” เสียงนิกรกังวานลั่น “หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกอง
บัญชาการทหารสูงสุดได้มาเยี่ยมท่านแล้ว พร้อมด้วยนายแพทย์และพยาบาลชั้น
ดีที่จะมาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ท่านหรือให้คำาแนะนำาที่เป็นประโยชน์แก่
ท่าน เราจะตรวจรักษาท่านโดยไม่มีการคิดเงิน เราจะฉีดยาและจ่ายยาให้ท่านฟรี
- 9. ซึ่งคืนวันนี้เราจะฉายหนังให้ชมด้วย ข้าพเจ้าพันเอกนิกรขอเชิญพี่น้องทั้งหลาย
มารับการตรวจรักษาที่เราได้แล้ว รีบมาเถอะครับไม่ต้องเกรงใจและไม่ต้องเกรง
กลัวพวกเรา ซึ่งพวกเรานั้นเห็นคนเป็นคน ไม่ได้เห็นคนเป็นสัตว์เหมือน
ข้าราชการบางคนที่วางอำานาจข่มขู่ท่าน พูดจากับท่านก็ไม่เพราะหู ใช้ภาษาพูด
ตำ่า ๆ เช่นแกฉันตามสันดานเดิมของเขาหรือตามนิสัยที่สืบมาจากบรรพบุรุษ เชิญ
ครับ…คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายคุณลุงคุณป้าคุณน้าคุณอาคุณพ่อคุณแม่และพี่
น้องทั้งหลาย ท่านจะได้รับความสะดวกสบายทุกประการในการตรวจรักษาโรค
นอกจากนี้เรายังรักษาโรคฟันให้ท่านด้วย ฟันดำาทำาให้ฟันขาว ฟันยาวทำาให้ฟัน
สั้น ฟันโยกห้ามเลี้ยงแมวตัวผู้ แต่ถ้าท่านมาให้หมอถอนออกเสีย ท่านก็สามารถ
เลี้ยงแมวตัวผู้ได้ ฟันดีห้ามเลี้ยงแมวตัวเมีย ให้ทันตแพทย์ของเราถอนออกเสีย
หนึ่งซี่ ท่านก็เลี้ยงแมวตัวเมียได้ เชิญครับพ่อแม่พี่น้องพระเดชพระคุณทั้งหลาย
หน่วยพัฒนาการของกองบัญชาการทหารสูงสุดมารับใช้ท่านถึงที่อยู่แล้ว ท่าน
ควรงดเว้นกินอาหารดิบ เป็นต้นว่าหมูหรือเนื้อวัวซึ่งมีเชื้อโรคหลายชนิดอยู่ในตัว
ของมัน ขณะนี้อากาศกำาลังร้อนจัด ถึงเป็นฤดูฝนพื้นแผ่นดินทางอีสานของเราก็
ยังแห้งแล้ง จงระวังอหิวาตกโรคให้มาก ดื่มนำ้าโสโครก บริโภคผักสด ใช้อุจจาระ
รดต้นเหตุอหิวาต์ ผักดิบผักสดงดเสียดีกว่า ดื่มนำ้าประปาจึงจะพ้นภัย”
มีเสียงใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น
“นำ้าประปาที่ไหนกันวะ มีแต่นำ้าตามห้วย บอกให้รัฐบาลมาสร้างถังประปาให้พวก
เราบ้างซี”
คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยกับพยาบาลทั้งสี่คน
ได้ให้การต้อนรับพวกชาวบ้านเป็นอย่างดี ใครอยากจะทดลองรักษาหมอปัจจุบัน
ก็มาพบกับนายพลดิเรก ผู้ที่พึงพอใจหมอโบราณก็มาพบกับ พ.อ. นิกร การตรวจ
รักษาได้กระทำากันตลอดเวลาโดยไม่มีหยุดพัก ดร. ดิเรกได้ฉีดยาให้คนไข้ของ
เขาหลายรายและให้ยาไปกิน ถอนฟันและอุดฟันที่เป็นรูเป็นโพรง บางคนที่สงสัย
ว่าเป็นโรคปอดก็ฉายเอ็กซเรย์ให้ สี่นางได้ทำาหน้าที่พยาบาลโดยไม่เห็นแก่ความ
เหนื่อยยากหรือแสดงความรังเกียจในความสกปรกโสมม เป็นต้นว่าขี้ฟันเขลอะ
ไม่เคยใช้แปรงสีฟันมาตลอดชีวิตหรือขี้ตาก้อนเท่าหัวเรือ ขี้ไคลกบบ้องหู เสื้อผ้า
เหมือนผ้าขี้ริ้วของพี่น้องร่วมชาติเหล่านี้ พล กิมหงวนและสี่สหายหนุ่มได้ทำา
หน้าที่ผู้ช่วยแพทย์อย่างแข็งแรง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ รับหน้าที่เป็นทันตแพทย์ ส่วน
เจ้าแห้วทำาหน้าที่เป็นคนฉายเอ็กซเรย์คนไข้ตามคำาสั่งของนายพลดิเรก ทุกคน
เหน็ดเหนื่อยวุ่นวายไปตามกัน ยาแผนปัจจุบันที่นำามาได้ถูกแจกจ่ายให้พวกชาว
บ้านไปไม่น้อย นอกจากนี้นิกรยังจ่ายยาหม้อแบบยาไทยโบราณให้ไปอีกหลาย
ราย ความสุภาพและความเป็นกันเองที่พวกชาวบ้านได้รับจากหน่วยพัฒนาการ
เคลื่อนที่ทำาให้ชาวไร่ประมาณ ๔๐๐ คน มีความเคารพนับถือหน่วยพัฒนาการ
หน่วยนี้ ผู้ที่กำาลังจะร่วมงานกับฝ่ายศัตรูต่างก็เลิกล้มความคิดเหล่านี้เพราะได้รู้
ความจริงว่า รัฐบาลมิได้ทอดทิ้งให้มีชีวตอยู่อย่างเดียวดาย ได้ส่งหน่วย
ิ
พัฒนาการเคลื่อนที่มาช่วยเหลือชาวบ้านที่ป่วยไข้และเจ้าหน้าที่ทุกคนก็พูดจา
นอบน้อมน่าฟัง ไม่ได้กระทำาตนเป็นนายเหนือหัว
- 10. คืนวันนั้นมีการฉายภาพยนตร์สุขศึกษา ภาพยนตร์เคาบอยและการ์ตูน บางทีก็
เป็นเรื่องปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่จังหวัดน่าน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่จังหวัด
เชียงราย พ.อ. นิกรกับประไพภรรยาของเขาเป็นคนพากย์ ปรากฏว่าประไพ
พากย์บทผู้หญิงได้ดีมากเรียกเสียงตบมือเสียงหัวเราะได้ครื้นเครง เจ้าแห้วเป็น
พนักงานฉายหนัง
ขบวนพัฒนาการได้ออกเดินทางต่อไป ลัดตัดป่าไปบ้านลาด ไปมัญจาคีรี ถนน
หนทางยังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อเพราะเพิ่งกรุยทางไว้ ในที่สุดคณะพัฒนาการ
เคลื่อนที่ของกองบัญชาการทหารสูงสุดก็ได้มาถึงหมู่บ้านภูงามทางทิศตะวันออก
เฉียงเหนือของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่ในหุบเขาอันทุรกันดารยิ่ง แทบ
จะกล่าวได้ว่าไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย
ชาวบ้านภูงามมีอยู่ประมาณ ๕๐ หลังคาเรือนเท่านั้น หาเลี้ยงชีวตโดยไม่ต้องใช้
ิ
เงินหรือพึ่งพาอาศัยใคร มีการทำานาข้าวเหนียว ทอผ้าไว้ใช้เอง มีเนื้อสัตว์ป่าตาก
แห้งทำาเค็มไว้ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ความต้องการของชีวิตมีเพียง ๓ อย่าง
คือบ้านที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคคือสมุนไพรและอาหาร
เมื่อขบวนรถผ่านเข้าไปในหุบเขา ศาสตราจารย์ดิเรกก็ยกวิทยุสนามขึ้นพูดกับ
พลขับทั้งหลาย
“พลขับทุกคนฟังคำาสั่งข้าพเจ้า เมื่อรถข้าพเจ้าหยุดให้รถทุกคันตั้งขบวนเป็นรูป
วงกลมเหมือนกับกองเกวียน ทุกคนจะลงจากรถได้ก็เมื่อได้รับคำาสั่งจากข้าพเจ้า
ผู้หมวดสามารถได้ยินไหมที่ผมพูด”
“ได้ยินครับอาจารย์ อาจารย์สงสัยว่าจะมีพวกก่อการร้ายแอบซ่อนอยู่ที่หมู่บ้าน
ในหุบเขานี้หรือครับ”
“โน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่กำานันคนหนึ่งได้เล่าให้ฉันฟังว่าผู้คนที่หมู่บ้านนี้ไม่ชอบ
คนแปลกหน้า ท่านกำานันเตือนว่าผู้คนที่หมู่บ้านภูงามนี้ดูเหมือนจะเป็นคนบ้าหรือ
คนไข้โรคจิต ระวังตัวหน่อยนะผู้หมวด”
“ครับผม”
“ร้อยเอกพนัสฟังฉันพูด พวกเธอทั้งสี่คนประจำาอาวุธเตรียมต่อสู้ ถ้าหากว่าฝ่าย
เราถูกระดมยิงก่อน ถึงแม้จะเป็นคนบ้าถ้าใช้อาวุธเล่นงานเราเราก็ต้องยิงต่อสู้”
“ครับ ทราบแล้วครับ” เสียงลูกชายพลตอบมาทางวิทยุสนามซึ่งศาสตราจารย์
ดิเรกได้ยินถนัด
ขบวนรถยนต์ของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่แล่นใกล้หมู่บ้านเข้าไปตามลำาดับ
ชายหนุ่มคนหนึ่งเปลือยกายล่อนจ้อนยืนตกปลาอยู่ริมหนองนำ้าแห่งหนึ่ง เขา
มีอายุในวัย ๓๐ ปี หน้าตาบอกให้รู้ว่าเป็นคนบ้า ทุกคนที่อยู่ในขบวนต่างพากัน
มองดูเขาเป็นตาเดียว อาเสี่ยกิมหงวนนึกสนุกขึ้นมาก็ร้องตะโกนทัก
- 11. “ลืมนุ่งผ้าหรือยังไงน้องชาย”
นักตกปลาชั้นยอดหัวเราะหึ ๆ แล้วตะโกนตอบ
“อากาศมันร้อนโว้ย ขืนนุ่งผ้าก็ร้อนตายแน่ ที่นี่เขาไม่ถือ ใครอยากจะแก้ผ้าหรือ
นุ่งผ้าก็ทำาได้โดยเสรี”
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วต่างหัวเราะคิกคักไปตามกัน
หลงจากนั้นสักครู่รถจิ๊ปกลางคันหน้าก็แล่นมาหยุดหน้าบริเวณลานดินอันกว้าง
ขวางเบื้องหน้าหมู่บ้านนั้น รถทุกคันต่อขบวนเป็นรูปวงกลมกว้างใหญ่
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวขึ้นเบา ๆ ว่า
“หมู่บ้านภูงามไหงสงบเงียบอย่างนี้ เหมือนกับว่าไม่มีคนอยู่อาศัยเลยแม้แต่คน
เดียว จะว่าคนที่นี่เป็นคนบ้าทั้งหมดก็ไม่น่าเป็นไปได้”
พล.ต. พลยกมือขวาตบหลังนิกรค่อนข้างแรง
“แกเข้าไปสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านซิกร”
“ฮี่โธ่” นิกรเอ็ดตะโรลั่น “แกคิดว่ากันกล้าหาญกว่าพวกเรายังงั้นหรือ ถ้าหากว่า
คนที่หมู่บ้านนี้ทุกคนวิกลจริตและแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนของเขา มันก็คงฟัด
กันตายเท่านั้น”
นายพลดิเรกพูดเสริมขึ้น
“แกไปดีกว่าอ้ายแห้ว”
“เอาเข้าให้นั่น” เจ้าแห้วพูดสวนคำาทันที “รับประทานขอให้ผมเป็นผู้ช่วยแพทย์
และพลขับเท่านั้นเถอะครับ”
หญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากหมู่บ้านนั้น ร่างกายเปลือยเปล่า คุณยายอายุ
ประมาณ ๖๐ เศษ แต่ก็ยังแข็งแรงตามธรรมดาของชาวชนบทที่ตรากตรำาทำางาน
หนักอยู่เสมอ หล่อนแก้ผ้าเปลือยกายเหมือนเด็กทารกเดินตรงเข้ามาที่ขบวนรถ
พัฒนาการและหยุดยืนข้างรถจิ๊ปกลางซึ่งคณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
กับเจ้าแห้วนั่งอยู่ มองดูหญิงชราด้วยความแปลกใจ
“สวัสดีครับคุณป้า” นายพลดิเรกทักยิ้ม ๆ “พวกเราคือหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่
มาช่วยเหลือชาวบ้านภูงามครับ”
หญิงชรายิ้มเล็กน้อย
“ช่วยยังไงพ่อหนุ่ม อาจารย์ท่านบอกว่า หกสามหกกระดกกลับผลลัพธ์มองเห็น
ข้าแทงใต้ดิน ๙๙๙ ถึง ๒๐ บาท มันไม่ยักออกตามที่อาจารย์ใบ้ให้ เสือกออก
๙๖๖ แล้วใครจะมาช่วยข้าได้ ยิ่งเล่นก็ยิ่งเข้าลึกขายกระทั่งผ้านุ่ง”
- 12. นายพลดิเรกก้าวลงมาจากรถจิ๊ปกลาง
“การเล่นกินรวบเป็นการผิดกฎหมายและถึงแทงถูกเจ้ามือก็มักจะหลบหน้าไม่ยอม
จ่ายเงินให้”
หญิงชรากวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณ แล้วกล่าวถามนายพลดิเรกตามความ
รู้สึกนึกคิดของแก
“นี่จะมาเปิดการแสดงเซอร์คัสหรืออย่างไร”
ศาสตราจารย์ดิเรกสะดุ้งเฮือกแล้วหัวเราะก้าก
“เปล่าครับคุณป้า พวกเราเป็นหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของกองทัพไทย”
“อ้าว อย่ามาหลอกฉันหน่อยเลยน่า นึกว่าฉันเป็นคนบ้านนอกคอกนายังงั้นหรือ
อย่างน้อยฉันก็สำาเร็จปริญญา บีเอ. มาจากอังกฤษ นายโกหกฉันว่าเป็นหน่วย
พัฒนาการก็แล้วทำาไมเอาตัวยีร๊าฟมาด้วย” แล้วหญิงชราก็ชี้ไปที่อาเสี่ยกิมหงวน
“นั่น….นั่น มันนั่งอยู่ในรถนั่นเห็นไหม ถ้าไม่ใช่ยีร๊าฟก็ต้องเป็นอูฐ พวกนายเป็น
นักละครสัตว์แบบละครเร่ก็บอกเสียตามตรง ฉันจะได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้พวก
พ้องของฉันมาดูฟรี โอ้โฮ นกตะกรุมที่นั่งอยู่ตอนหน้ารถคันนั้นหัวแดงแจ๋เป็นลูก
มะอึกเลย”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทำาปากจู๋ หันมากระซิบบอกเจ้าแห้วเบา ๆ
“อ้ายแห้ว มึงยิงยายแก่แร้งทึ้งคนนี้ทีเถอะวะกูให้ ๑,๐๐๐ บาท สงสัยว่ายายนี่บ้า
แน่ ๆ พูดจาเลอะเลือนเหมือนคนบ้า เอาซี”
เจ้าแห้วยิ้มแห้ง ๆ
“รับประทานไม่ไหวหรอกครับ โทษฆ่าคนตายอย่างรับสารภาพก็ ๒๐ ปี นะครับ”
“ในป่าอย่างนี้เอาพยานหลักฐานที่ไหนล่ะวะ พวกเราทั้งนั้น”
จสอ. แห้วสั่นศีรษะ
“ท่านเจ้าคุณยิงเอาเองเถอะครับ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ส่ายหน้า
“กูกลัวติดคุก”
พ.อ. นิกรกระโดดผลุงลงไปจากรถจิ๊ปกลางคันนั้นและตรงเข้าไปหานายพลดิเรก
กับหญิงชรา พอแลเห็นหน้านิกร หญิงชราก็แสดงท่าทีตื่นเต้นดีใจ
- 13. “โอ…..ทูลกระหม่อมแก้ว พระองค์เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันและพสก
นิกรทั้งหลายรอคอยฝ่าพระบาทมานานแล้ว ตังแต่พระองค์ถูกท้าวมหาราชจับกุม
้
เอาตัวไป”
นิกรรู้ดีว่าการที่จะทำาตัวให้เข้ากับคนบ้าได้นั้นก็ต้องแกล้งทำาเป็นบ้าด้วย เขา
ยกมือทั้งสองรำาป้อและกล่าวกับหญิงชราเหมือนยี่เกตอนเจรจาคือทำาเสียงอ่อน
เสียงหวาน มีการบีบเสียงเป็นบางคำาให้แหลมเล็กผิดปรกติ
“เจ้าเป็นใคร พระราชินีผีป่าหรือนางพญากาเผือกใช่ไหม”
“มิใช่เพคะ เกล้ากระหม่อมฉันคือมารยาสุดาวดีศรีกาญจนานางสนองพระโอษฐ์
ของพระองค์ยังไงล่ะเพคะ”
นิกรร้องยี่เกทันที ด้วยลีลาอันคล่องแคล้วเหมือนยี่เกอาชีพจอมกษัตริย์ขัตติยา
พลัดพรากจากพาราไปหลายปี
อ้ายมหาราชจับเราเอาไปขัง
กว่าจะกลับมาเวียงวังก็หลายปี
จำาจะต้องรวบรวมโยธาหาญ
ยกทัพไปรุกรานให้สวีวี่วี
ฟาดฟันมันให้ยับเหมือนกับสับหัวปลี…
ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง หญิงชรายกมือไหว้นิกร ซึ่งแกเชื่อว่าเป็น
มหากษัตริย์แห่งนครนี้หรือหมู่บ้านภูงาม แล้วแกก็ทูลนิกรอย่างละลำ่าละลัก
“ทูลหม่อมแก้ว ข้าแต่ทลหม่อมแก้วเจียระไน หม่อมฉันจะป่าวร้องให้เสนา
ู
ข้าราชการและประชาชนทั้งหลายได้ทราบว่าพระองค์เสด็จกลับมายังพระนคร
ของเราแล้ว” พูดจบหญิงชราก็หมุนตัวกลับ แล้ววิ่งตื๋อเข้าไปในหมู่บ้านนั้น
“สนุกแน่อ้ายกร” นายพลดิเรกพูดเสียงหัวเราะ “กันแน่ใจเหลือเกินว่าหมู่บ้านนี้
คงจะเต็มไปด้วยคนไข้โรคจิตตามที่กำานันเพ็งเล่าให้กันฟัง ขอให้แกร่วมมือกับ
กันให้เต็มที่หน่อยเถอะวะอ้ายกร แกคนเดียวเท่านั้นที่เข้ากับคนบ้าได้”
พ.อ. นิกรกลืนนำ้าลายเอื๊อก
“เอาก็เอา หน่วยพัฒนาการของเราจะได้ชื่อว่า ได้ให้การรักษาพยาบาลชาวบ้าน
ภูงามที่เป็นคนไข้โรคจิตได้ทั้งหมู่บ้าน แต่ทว่า…..แกช่วยบอกกันสักหน่อยเถอะ
วะ โรคบ้าหรือโรคจิตนี่น่ะมันติดต่อกันหรือเปล่า”
นายพลดิเรกเผลอตัวหัวเราะออกมาดัง ๆ
“โน โรคจิตไม่มีการติดต่อเพราะเป็นโรคที่เกิดจากประสาทและสมอง โรคมะเร็งก็
ไม่มีการติดต่อกันได้ ใครซวยก็เป็นมะเร็ง ใครคิดฟุ้งซ่านหรือกระทบกระเทือนใจ
- 14. มากเกินไปก็เป็นโรคประสาทหรือโรคจิต แกเดินเข้าไปในหมู่บ้านเถอะวะอ้ายกร
ใช้ความสามารถของแกเรียกคนในหมู่บ้านให้ออกมาหาเรา เพื่อจะได้ตรวจ
รักษาพยาบาลเขาตามหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายมา”
นิกรทำาตาปริบ ๆ
“จะดีหรือหมอ ถ้าคนที่นี่เป็นบ้าจริง ๆ มันอาจจะฟัดกันตายก็ได้”
นายพลดิเรกยิ้มเล็กน้อย
“ถ้ายังงั้นให้อ้ายหงวนไปเป็นเพื่อนกับแก รู้สึกว่าอ้ายหงวนอาจจะทำาตนให้
เหมือนกับคนไข้โรคจิตได้เหมือนกัน”
“เอ้อ-ถ้ายังงั้นค่อยยังชั่วหน่อย”
ดร. ดิเรกหันไปทางรถจิ๊ปกลางคันหน้าและร้องตะโกนเรียก พ.อ. กิมหงวนให้มา
พบกับเขา อาเสี่ยก้าวลงมาจากตอนหลังรถและเดินตรงเข้ามาหาสองสหาย
“ว่ายังไงอ้ายหมอ”
นายพลดิเรกยิ้มให้
“แกกับอ้ายกรเข้าไปในหมู่บ้านหน่อยเถอะวะ หาวิธีเกลี้ยกล่อมให้ผู้คนที่อยู่ใน
หมู่บ้านออกมาหาเรา ชี้แจงให้เขาทราบว่าพวกเราคือโรงพยาบาลเคลื่อนที่มา
ช่วยบำาบัดทุกข์ให้แก่ผู้ที่ป่วยไข้ไม่สบาย”
เสี่ยหงวนไม่ทันคิดอะไรก็พยักหน้ารับทราบแล้วหันมาทางนิกร
“ไป-อ้ายกร แกนำาหน้า สงสัยว่าที่นี่เสื้อผ้าคงจะแพงมาก เราพบคนแก้ผ้าสองคน
แล้ว คนแรกที่ยืนตกปลาอยู่ริมทางเกวียน อีกคนคือยายแก่ที่เข้าใจว่าแกเป็น
กษัตริย์ของเมืองนี้”
นิกรกับกิมหงวนต่างเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้านนั้นท่ามกลางความสงบเงียบ
ลักษณะของหมู่บ้านนี้ค่อนข้างแหวกแนวสักหน่อย บางบ้านไม่มีหลังคา บางบ้าน
ไม่มีฝาเรือน ส่วนมากสร้างเป็นกระท่อมใหญ่ ๆ มีสัตว์เลี้ยงหลายชนิดเป็นต้นว่า
เป็ดไก่และสุกร คงจะเลี้ยงไว้กินมากกว่าขายเป็นสินค้า
อย่างไรก็ตาม มันเหมือนกับว่าหมู่บ้านภูงามเป็นหมู่บ้านร้าง เพราะผู้คนแอบซ่อน
ตัวเสียหมด เมื่อสองสหายบุกเข้ามากลางหมู่บ้าน ชาวบ้านหญิงชายประมาณ
๑๐๐ คน ก็เฮโลออกมาจากที่ซ่อนตรงเข้ามาห้อมล้อมสองสหาย ทุกคนมีอาวุธ
ครบมือ หอกดาบ หลาวและไม้พลองตะบองสั้น พวกชาวบ้านต่างเข้ามารุมล้อม
และชายฉกรรจ์สองคนได้ยึดปืนพกในซองปืนของกิมหงวนและนิกร พวกชาว
บ้านภูงามเหล่านี้แต่ละคนบอกให้รู้ว่าเป็นคนไข้โรคจิต ซึ่งสังเกตได้จากแววตา
และกิริยาท่าทาง ชายกลางคนหนวดเครารุงรังคนหนึ่งนุ่งผ้าขาวม้าเก่า ๆ เพียง
ผืนเดียว ถือดาบเป็นอาวุธคู่มือได้กล่าวถามเสี่ยหงวนว่า
- 15. “สูเจ้าเป็นใคร”
เสี่ยหงวนทำาใจดีสู้เสือ เขารู้แล้วว่าเขากับนิกรได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของคนบ้าหรือ
คนไข้โรคจิต อาเสี่ยพยายามวางท่าทางให้ผึ่งผายแล้วกล่าวกับชายผู้หนึ่งซึ่งเป็น
โรคจิตอย่างร้ายแรง
“เจ้าจำาข้าไม่ได้หรือ เพียงแต่ข้านำากองทัพไปรุกรานเพื่อนบ้านไม่ถึงสองปี เจ้าก็
จำาข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจะคิดกบฏต่อข้าหรืออย่างไร”
นิกรกระซิบบอกเสี่ยหงวนเบา ๆ
“เข้าเรื่องแล้วโว้ย ประเดี๋ยวเถอะมึงสนุกกันใหญ่ แกจะสมมุติตัวว่าแกเป็นใครก็
เตรียมตัวไว้”
ชายกลางคนเจ้าของหนวดเคราอันรุงรังมองดูอาเสี่ยตลอดเวลา แววตาที่วาว
โรจน์ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง
“ข้าแต่ท่านจอมจักรพรรดิ พระองค์คือเจงกิสข่านเช่นนั้นหรือ”
อาเสี่ยทำาหน้าเหยเก หันมากระซิบถามนิกร
“ว่ายังไงดีล่ะอ้ายกร”
“ก็ตามใจแกซี” นิกรดุ
เสี่ยหงวนหันมายิ้มให้ชายผู้นั้น
“ใช่แล้ว เราคือเจงกิสข่านขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าทั้งหลายแกล้งทำาเป็นจำาเรา
ไม่ได้ เพราะมีแผนคิดกบฏต่อเรากระมัง”
บรรดาพวกชาวบ้านซึ่งเป็นคนไข้โรคจิตต่างปรึกษาหารือกัน วิพากษ์วิจารณ์กัน
ด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ
ชายชราคนหนึ่งกล่าวขึ้นดัง ๆ ว่า
“เจงกิสข่านเจ้านายของเรารูปร่างท่านขนาดนี้ก็จริง แต่ท่านโกนหัวตลอดเวลา
หน้าตาก็คล้าย ๆ กับยูล บรินเนอร์ ดาราหัวเหน่ง พวกนักขายยาเร่มันเคยเอาหนัง
มาฉายให้เราดู”
หญิงชราคนหนึ่งพูดเสริมขึ้น
“เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชายผู้นี้เป็นเจ้านายของเราหรือปลอมแปลงตัวมาหลอกเรา
ถึงแม้พวกเราเป็นคนบ้า เราก็มีสติสัมปชัญญะเหมือนกัน”
- 16. เจ้าหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น
“ช่วยกันจับโกนหัวโว้ย โกนผมออกเราก็จะรู้ว่าเจ้าหนุ่มร่างสูงชะลูดคนนี้คือจอม
จักรพรรดิของเราใช่หรือไม่”
เสี่ยหงวนถอยหลังกรูด
“อย่านะโว้ย”
ซุปเปอร์คอลท์ ๑๑ มม. ที่ตกอยู่ในมือของชาวบ้านคนหนึ่งถูกยกขึ้นจี้หน้าอก
ทันที
“ถ้าท่านไม่ยอมให้เราโกนหัวท่าน เราจะยิงท่านทิ้งเสีย เมื่อเราโกนหัวท่านแล้ว
ปรากฏว่าท่านเป็นเจงกิสข่าน พวกเราก็จะกราบไหว้แสดงความจงรักภักดีต่อไป
แต่ถ้าปรากฏว่าท่านได้ปลอมแปลงเป็นเจงกิสข่าน เราก็จะช่วยกันสับตัวท่านออก
เป็นท่อน ๆ และเอาไปโยนให้เสือกิน”
โดยไม่มีทางต่อสู้ขัดขืน อาเสี่ยถูกฉุดกระชากลากตัวไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่แห่งหนึ่ง
ส่วนนิกรถูกควบคุมตัวไว้อย่างแข็งแรงมีหอกหลายเล่มจี้อยู่ข้างหลังเขา พวกชาว
บ้านซึ่งล้วนแต่เป็นคนไข้โรคจิตหรือเป็นคนบ้ากำาลังคิดว่าเขาเป็นประชาชน
พลเมือง หรือเป็นขุนนางของจอมทัพของเจงกิสข่านได้ช่วยกันทุบตีเสี่ยหงวนเมื่อ
เขาดิ้นรนไม่ยอมนั่งนิ่งเฉย อาเสี่ยร้องตะโกนเรียกนิกรเสียงลั่น
“ช่วยกันด้วยอ้ายกร”
พ.อ. นิกรยิ้มแค่น ๆ
“ขืนช่วยแกฉันก็เน่าน่ะซี หอกมันจี้อยู่ข้างหลังกันตั้งหลายเล่ม แกอย่าไปขัดขืน
มันซีโว้ย นั่งเฉย ๆ มันจะทำาไมแกก็ตามใจมัน เล่นกับคนบ้าลำาบากนะเพื่อน คน
บ้าทำาอะไรไม่ผิดกฎหมาย”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งหัวเราะใส่หน้านิกร
“จริงครับคุณ กฎหมายย่อมยกเว้นให้ไม่เอาผิดแก่ผู้ที่วิกลจริตทั้งหลาย”
นิกรทำาหน้าครึ่งยิ้มครึ่งแหย
“แกและผู้คนที่หมู่บ้านนี้เป็นบ้าจริง ๆ หรือนี่”
“ก็จริงซีครับ แล้วกัน..คุณดูพวกผมซิผัดหน้าขาววอกแต่งตัวเป็นยี่เกก็มี แต่งเป็น
งิ้วก็มี แก้ผ้าโทง ๆ ก็มี เรานึกจะแต่งตัวอย่างไรหรือทำายังไงก็ได้”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรูปร่างลำ่าสันเหมือนนักมวยและตัดผมเกรียนได้บุกเข้าไปหา
พ.อ. กิมหงวน มือขวาของเขาถือกรรไกรปัตตาเลี่ยน เขาขู่คำารามอาเสี่ยด้วยเสียง
เกรี้ยวกราด
- 17. “ทางเดียวเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าท่านคือเจงกิสข่าน จอมจักรพรรดิแห่งนครนี้ ถ้า
ท่านขัดขืนเราจะช่วยกันฆ่าท่านและต้มซุปกินเสีย”
อาเสี่ยพยักหน้ารับทราบ
“เอา…..มึงจะเอายังไงก็ตามใจมึงเถอะ”
เสี่ยหงวนถูกกร้อนผมด้วยกรรไกรปัตตาเลี่ยนเล่มนั้น นิกรมองดูอย่างขบขัน แล้ว
พูดพลางหัวเราะ
“ดีโว้ยอ้ายหงวน มันกร้อนผมแกออกมองดูหน้าตาแกคมคายขึ้นอีกมาก แล้ว
ก็….รู้สึกว่าแกเป็นหนุ่มขึ้นด้วย”
เสี่ยหงวนร้องไห้โฮ
“กลับไปเมียคงจำากันไม่ได้ อ้ายหมอไม่ควรพาพวกเรามาที่หมู่บ้านนี้เลย”
ไม่ถึงห้านาทีศีรษะของอาเสี่ยก็โล้นเลี่ยนไม่มีเส้นผมเหลืออยู่แม้แต่เส้นเดียว ชาย
ร่างใหญ่มองดูอาเสี่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจเหลือที่จะกล่าว เขาถอยออกห่างแล้ว
ร้องขึ้นดัง ๆ
“ข้าแต่จอมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เสด็จกลับมาอย่างเงียบ ๆ พวกเราทั้ง
หลายยังจงรักภักดีต่อพระองค์เสมอ”
ทุกคนต่างก้มศีรษะถวายคำานับอย่างพร้อมเพรียงกัน อาเสี่ยกิมหงวนแกล้งแสดง
บทบาทเป็นเจงกิสข่าน เขากล่าวกับชายร่างใหญ่ว่า
“ข้าขอบใจพวกท่านทั้งหลายที่มีความจงรักภักดีต่อข้า ข้ากำาลังวางแผนครอง
โลกในไม่ช้านี้ ที่กลับมาก็เพื่อจะมาเกณฑ์พลรบอีกห้าหกล้านคน ซึ่งคราวนี้ข้าจะ
บุกยุโรปเป็นหน้ากลอง แล้วข้าจะย้อนกลับมาโจมตีเอเซียให้พินาศ เมื่อเจ้าเชื่อ
แล้วว่าตูข้าคือเจงกิสข่านก็จงส่งปืนพกมาให้ข้าโดยเร็ว”
ปืนพกที่ยึดไปถูกนำามาคืนให้เสี่ยหงวนโดยดี อาเสี่ยมองดูนิกรแล้วยักคิ้วให้ แล้ว
เขาก็ออกคำาสั่งกับเจ้าหนุ่มใหญ่ที่กร้อนผมเขา
“เจ้ากัลบกผู้มีฝีมือ ขอให้เจ้ากร้อนผมทหารคู่ใจของข้าด้วย”
นักกร้อนผมโค้งคำานับกิมหงวน
“ขอเดชะ ข้าจะปฏิบัติตามรับสั่งของพระองค์เดี๋ยวนี้”
พวกชาวบ้านวิกลจริตหลายคนเฮโลเข้าไปหานิกร พ.อ. นิกรทำาใจดีสู้เสือ เขา
กล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า