More Related Content
Similar to ธรณีกาล605 1 (17)
ธรณีกาล605 1
- 9. อายุเปรียบเทียบ(Relative Age)
คืออายุทางธรณีวิทยาของซากดึกดาบรรพ์ หิน ลักษณะทางธรณีวิทยา หรือเหตุการณ์
ทางธรณีวิทยา เมื่อเปรียบเทียบกับซากดึกดาบรรพ์ หิน ลักษณะทางธรณีวิทยา หรือ
เหตุการณ์ทางธรณีวิทยาอื่น ๆแทนที่จะบ่งบอกเป็นจานวนปี ดังนั้นการบอกอายุของหิน
แบบนี้จึงบอกได้แต่เพียงว่าอายุแก่กว่าหรืออ่อนกว่าหิน หรือซากดึกดาบรรพ์ อีกชุด
หนึ่งเท่านั้น โดยอาศัยตาแหน่งการวางตัวของหินตะกอนเป็นตัวบ่งบอก( Index
fossil) เป็นส่วนใหญ่
BACK
- 10. อายุสัมบูรณ์( Absolute age )
หมายถึงอายุซากดึกดาบรรพ์ของหิน ลักษณะหรือเหตุการณ์ทางธรณีวิทยา(โดยมากวัดเป็น
ปี เช่น พันปี ล้านปี) โดยทั่วไปหมายถึงอายุที่คานวณหาได้จากไอโซโทปของธาตุ
กัมมันตรังสี ขึ้นอยู่กับวิธีการและช่วงเวลาครึ่งชีวิต(Half life period) ของธาตุนั้น ๆ
- 11. การใช้ธาตุกัมมันตรังสีเพื่อหาอายุหิน หรือ ฟอสซิล นั้น ใช้หลักการสาคัญคือการ
เปรียบเทียบอัตราส่วนของธาตุกัมมันตรังสีที่เหลืออยู่( End product) ที่เกิดขึ้นกับ
ไอโซโทปของธาตุกัมมันตรังสีตั้งต้น(Parent isotope)แล้วคานวณโดยใช้เวลาครึ่ง
ชีวิตมาช่วยด้วยก็จะได้อายุของชั้นหิน หรือ ซากดึกดาบรรพ์ นั้น ๆ เช่น
วิธีการ Uranium 238 - Lead 206
วิธีการ Uranium 235 - Lead 207
BACK
- 12. ซากดึกดาบรรพ์( Fossil)
ซากดึกดาบรรพ์ หมายถึง ซากและร่องรอยของบรรพชีวิน(Ancient life)ที่
ประทับอยู่ในหิน บางแห่งเป็นรอยพิมพ์ บางแห่งก็มีซากเดิมปรากฏอยู่ รอยตีนสัตว์
มูลสัตว์ ถ่านหิน ไม้กลายเป็นหิน รวมอยู่ในหมู่ซากดึกดา-บรรพ์นี้เหมือนกัน ถ้าเป็น
ไฟลัมหรือชั้นของชีวินดึกดาบรรพ์ใดที่สามารถใช้บ่งบอกอายุหินได้ เรียกว่า ซากดึกดา
บรรพ์ดรรชนี(Index fossil)
- 13. กลุ่มชีวินดึกดาบรรพ์(Fossil Assemblage) ได้แก่
1. กลุ่มชีวิน : กลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยสัตว์หรือพืชชนิดเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน หรือกลุ่ม
ของซากดึกดาบรรพ์ที่ปรากฏอยู่ในลาดับชั้นหินชั้นเดียวกันในพื้นที่ใดพื้นที่หนี่ง
2. กลุ่มแร่ : แร่ต่าง ๆที่ประกอบกันขึ้นเป็นหินแต่ละชนิด โดยเฉพาะหินอัคนีและหินแปร
ชั้นกลุ่มชีวิน(Assemblage zone; Cenozone ) หมายถึงกลุ่มชั้นหินซึ่งประกอบด้วยซาก
ดึกดาบรรพ์ที่มีลักษณะเด่นชัดเฉพาะกลุ่มนั้น ๆซึ่งแตกต่างจากส่วนชั้นหินใกล้เคียง ส่วนชั้นกลุ่ม
ชีวินนี้ใช้ประโยชน์เป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาพแวดล้อมในอดีตและใช้ในการเทียบชั้นหิน
- 15. การลาดับชั้นหิน
การลาดับชั้นหิน การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนถูก
บันทึกอยู่ในแผ่นหิน จึงได้มีผู้กล่าวว่า “หินเสมือนเป็นสมุดบันทึกประวัติศาสตร์โลก” ดังนั้น การ
เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งรูปแบบและตาแหน่งที่ตั้งจะปรากฏร่องรอยอยู่บนเปลือกโลก การศึกษา
การลาดับชั้นหิน จึงสามารถบอกบอกประวัติความเป็นมาของพื้นที่นั้น ๆ ได้
โลกเมื่อกาเนิดขึ้นมาแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการและปรากฎการณ์ต่างๆทาง
ธรณีวิทยา ทางธรณีวิทยาจึงเสนอว่า
"ปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต“
ปัจจุบันคือกุญแจไขไปสู่อดีต
(Present is the key to understand the past)
- 19. หินอัคนี (Igneous rocks)
หินอัคนี เป็นหินที่เกิดจากการแข็งตัวของหินหนืด (Magma) จากชั้นแมนเทิลที่โผล่ขึ้นมา
เราแบ่งหินอัคนีตามแหล่งที่มาออกเป็น 2 ประเภท คือ
หินอัคนีแทรกซอน (Intrusive igneous rocks) เป็นหินที่เกิดจากหินหนืดที่เย็นตัวลง
ภายในเปลือกโลกอย่างช้าๆ ทาให้ผลึกแร่มีขนาดใหญ่ และเนื้อหยาบ เช่น หินแกรนิต หิน
ไดออไรต์ และหินแกบโบร
หินอัคนีพุ (Extrusive ingneous rocks) บางทีเรียกว่า หินภูเขาไฟ เป็นหินหนืดที่
เกิดจากลาวาบนพื้นผิวโลกเย็นตัวอย่างรวดเร็ว ทาให้ผลึกมีขนาดเล็ก และเนื้อละเอียด เช่น
หินบะซอลต์ หินไรออไรต์ และหินแอนดีไซต์
- 21. หินตะกอน (Sedimentary rocks)
แม้ว่าหินจะเป็นของแข็ง แต่มันก็มิสามารถดารงอยู่ได้อย่างถาวร หินเมื่อถูก
แสงแดด ลมฟ้าอากาศ และน้า หรือ ถูกกระแทก ก็แตกเป็นก้อนเล็กๆ หรือผุกร่อน
เสื่อมสภาพลง เศษหินที่ผุพังทั้งอนุภาคใหญ่และเล็กถูกพัดพาไปสะสมอัดตัวกัน เป็นชั้นๆ
เกิดความกดดันและปฏิกิริยาเคมีจนกลับกลายเป็นหินอีกครั้ง หินที่เกิดใหม่นี้เราเรียกว่า
“หินตะกอน” หรือ “หินชั้น”
- 22. กว่าจะมาเป็นหินตะกอน
การผุพัง (Weathering) คือ การที่หินผุพังทาลายลง (อยู่กับที่) ด้วยกรรมวิธี
ต่างๆ จากลมฟ้าอากาศ สารละลาย และรวมทั้งการกระทาของต้นไม้ แบคทีเรีย
ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ มีการเพิ่มอุณหภูมิและลดอุณหภูมิสลับกันเป็นต้น
ภาพที่ 5 แสดงให้เห็นถึงการผุพังของหินชั้นบน ประกอบกับการดันตัวจากใต้เปลือก
โลก ทาให้เกิดภูเขาหินแกรนิต
- 23. การกร่อน (Erosion) หมายถึง กระบวนการที่ทาให้สารเปลือกโลกหลุด ละลายไป
หรือกร่อนไป (โดยมีการเคลื่อนที่กระจัดกระจายไปจากที่เดิม) โดยมีต้นเหตุคือตัวการ
ธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ ลมฟ้าอากาศ กระแสน้า ธารน้าแข็ง การครูดถู ภายใต้อิทธิพล
ของแรงโน้มถ่วง
- 24. การพัดพา (Transportation) หมายถึง การเคลื่อนที่ของมวลหิน ดิน
ทราย โดยกระแสน้า กระแสลม หรือธารน้าแข็ง ภายใต้แรงดึงดูดของโลก
อนุภาคขนาดเล็กจะถูกพัดพาให้เคลื่อนที่ไปได้ไกลกว่าอนุภาคขนาดใหญ่
- 25. การทับถม (Deposit) เกิดขึ้นเมื่อตัวกลางซึ่งทาให้เกิดการพัดพา เช่น กระแสน้า กระแสลม หรือธาร
น้าแข็ง อ่อนกาลังลงและยุติลง ตะกอนที่ถูกพัดพาจะสะสมตัวทับถมกัน ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
อุณหภูมิ ความกดดัน ปฏิกิริยาเคมี และเกิดการตกผลึก หินตะกอนที่อยู่ชั้นล่างจะมีความหนาแน่นสูงและ
มีเนื้อละเอียดกว่าชั้นบน เนื่องจากแรงกดดันซึ่งเกิดขึ้นจากน้าหนักตัวทับถมกันเป็นชั้นๆ (หมายเหตุ:
การทับถมบางครั้งเกิดจากการระเหยของสารละลาย ส่วนที่เป็นน้าระเหยไปในอากาศทิ้งสารที่เหลือให้ตก
ผลึกไว้เช่นเดียวกับการทานาเกลือ)
- 28. หินตะกอนอนุภาค (Clastic rocks)
o หินกรวดมน (Congromorate) เป็นหินเนื้อหยาบเกิดจากตะกอนซึ่งเป็นหิน กรวด ทราย
ที่ถูกกระแสน้าพัดพามาอยู่รวมกัน สารละลายในน้าใต้ดินทาตัวเป็นซิเมนต์ประสานให้อนุภาคใหญ่
เล็กเหล่านี้ เกาะตัวกันเป็นก้อนหิน
o หินทราย (Sandstone) เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดปานกลาง เกิดจากการทับถมตัวของ
ทราย มีองค์ประกอบหลักเป็นแร่ควอรตซ์ คนโบราณใช้หินทรายแกะสลัก สร้างปราสาท และทา
หินลับมีด
o หินดินดาน (Shale) เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดมาก เนื่องจากประกอบด้วยอนุภาคทรายแป้ง
และอนุภาคดินเหนียวทับถมกันเป็นชั้นบางๆ ขนานกัน เมื่อทุบหินจะแตกตัวตามรอยชั้น (ฟอสซิล
มีอยู่ในหินดินดาน) ดินเหนียวที่เกิดดินดานใช้ทาเครื่องปั้นดินเผา
- 29. หินตะกอนเคมี (Chemical sedimentary rocks)
o หินปูน (Limestone) เป็นหินตะกอนคาร์บอเนต เกิดจากการทับถมของตะกอน
คาร์บอเนตในท้องทะเล ทั้งจากสารอนินทรีย์ และซากสิ่งมีชีวิต เช่น ปะการัง และกระดองของ
สัตว์ทะเล ซึ่งถับถมกันภายใต้ความกดดันและตกผลึกใหม่เป็นแร่แคลไซต์จึงทาปฏิกิริยากับกรด
หินปูนใช้ทาเป็นปูนซิเมนต์ และใช้ในการก่อสร้าง
o หินเชิร์ต (Chert) หินตะกอนเนื้อแน่น แข็ง เกิดจากการตกผลึกใหม่ เนื่องจากน้าพา
สารละลายซิลิกาเข้าไปแล้วระเหยออก ทาให้เกิดผลึกซิลิกาแทนที่เนื้อหินเดิม หินเชิร์ตมักเกิดขึ้นใต้
ท้องทะเล เนื่องจากแพลงตอนที่มีเปลือกเป็นซิลิกาตายลง เปลือกของมันจะจมลงทับถมกัน หินเชิร์
ตจึงปะปะอยู่ในหินปูน
- 30. 3. หินตะกอนอินทรีย์ (Organic sedimentary rocks )
o ถ่านหิน (Coal) เกิดจากการทับถมของซากพืชที่ยังไม่เน่าเปื่อยไปหมดเนื่องจากสภาวะ
ออกซิเจนต่า สภาวะเช่นนี้เกิดตามห้วยหนองคลองบึง ในแถบภูมิอากาศแบบเส้นศูนย์สูตร การ
ทับถมทาให้เกิดการแรงกดดันที่จะระเหยขับไล่น้าและสารละลายอื่นๆออกไป ยิ่งมีปริมาณคาร์บอน
มากขึ้นถ่านหินจะยิ่งมีสีดา ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินคุณภาพปานกลาง มีมากที่เหมืองแม่
เมาะ จ.ลาปาง แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินคุณภาพสูง ต้องนาเข้าจาก
ต่างประเทศ
- 31. หินแปร (Metamorphic rocks)
หินแปร คือ หินที่แปรสภาพไปจากโดยการกระทาของความร้อน แรงดัน และปฏิกิริยาเคมี หิน
แปรบางชนิดยังแสดงเค้าเดิม บางชนิดผิดไปจากเดิมมากจนต้องอาศัยดูรายละเอียดของเนื้อใน
หรือสภาพสิ่งแวดล้อมจึงจะทราบที่มา อย่างไรก็ตามหินแปรชนิดหนึ่งๆ จะมีองค์ประกอบเดียวกัน
กับหินต้นกาเนิด แต่อาจจะมีการตกผลึกของแร่ใหม่ เช่น หินชนวนแปรมาจากหินดินดาน หิน
อ่อนแปรมาจากหินปูน เป็นต้น
- 32. การแปรสภาพสัมผัส (Contact metamorphism) เป็นการแปรสภาพเพราะความ
ร้อน เกิดขึ้น ณ บริเวณที่หินหนืดหรือลาวาแทรกดันขึ้นมาสัมผัสกับหินท้องที่ ความ
ร้อนและสารจากหินหนืดหรือลาวาทาให้หินท้องที่ในบริเวณนั้นแปรเปลี่ยนสภาพผิดไป
จากเดิม
- 34. วัฏจักรหิน (Rock cycle)
นักธรณีวิทยาแบ่งหินออกเป็น 3 ประเภท ตามลักษณะการเกิดคือ หินอัคนี หินตะกอน และหิน
แปร เมื่อหินหนืดร้อนภายในโลก (Magma) และ หินหนืดร้อนบนพื้นผิวโลก (Lava) เย็นตัว
ลงกลายเป็น “หินอัคนี” ลมฟ้าอากาศ น้า และแสงแดด ทาให้หินผุพังสึกกร่อนเป็นตะกอน ทับ
ถมกันเป็นเวลานานหลายล้านปี แรงดันและปฏิกิริยาเคมีทาให้เกิดการรวมตัวเป็น “หินตะกอน”
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หินชั้น” การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและความร้อนจากแมนเทิล
ข้างล่าง ทาให้เกิดการแปรสภาพเป็น “หินแปร”
- 36. บทสรุปของวัฏจักรหิน
• แมกมาในชั้นแมนเทิล แทรกตัวขึ้นสู่เปลือกโลก เนื่องจากมีอุณหภูมิสูง ความหนาแน่นต่าํ
แรงดันสูง แมกมาที่ตกผลึกภายในเปลือกโลกกลายเป็นหินอัคนีแทรกซอน (มีผลึกขนาดใหญ่)
ส่วนแมกมาที่เย็นตัวบนพื้นผิวกลายเป็นหินอัคนีพุ (มีผลึกขนาดเล็ก)
• หินทุกชนิดเมื่อผุพัง สึกกร่อน จะถูกพัดพาให้เป็นตะกอน ทับถม และกลายเป็นหินตะกอน
• หินทุกชนิดเมื่อถูกกดดัน หรือทาให้ร้อน เนื้อแร่จะตกผลึกใหม่ กลายเป็นหินแปร
• หินทุกชนิดเมื่อหลอมละลาย จะกลายเป็นแมกมา เมื่อมันแทรกตัวขึ้นสู่เปลือกโลก จะเย็นตัวลง
กลายเป็นหินอัคนี
- 46. ออร์โดวิเชียน (Ordovician)
อยู่ในช่วง 490 – 443 ล้านปีก่อน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็ว สโตรมาโทไลต์ลดน้อยลง เกิดประการัง ไบรโอซัว และปลาหมึก สัตว์ทะเล
แพร่พันธุ์ขึ้นสู่บริเวณน้าตื้น เกิดสัตว์มีกระดูกสันหลังขึ้นเป็นครั้งแรกคือ ปลาไม่มี
ขากรรไกร เกิดสปอร์ของพืชบกขึ้นครั้งแรก
- 47. ไซลูเรียน (Silurian)
อยู่ในช่วง 443 – 417 ล้านปีก่อน เกิดสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกซึ่งใช้พลังงานเคมี
จากภูเขาไฟใต้ทะเล (Hydrothermal) เป็นธาตุอาหาร เกิดปลามีขากรรไกรและ
สัตว์บกขึ้นเป็นครั้งแรก บนบกมีพืชที่ขยายพันธุ์ด้วยสปอร์
- 48. ดีโวเนียน (Devonian)
อยู่ในช่วง 417 – 354 ล้านปีก่อน อเมริกาเหนือ กรีนแลนด์ สก็อต
แลนด์ รวมตัวกับยุโรป เป็นยุคของปลาดึกดาบรรพ์ ปลามีเหงือกแพร่พันธุ์เป็นจานวน
มาก เกิดปลามีกระดอง ปลาฉลาม หอยฝาเดียว (Ammonite) และแมลงขึ้นเป็นครั้ง
แรก บนบกเริ่มมีพืชที่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและมีป่าเกิดขึ้น
- 49. คาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous)
อยู่ในช่วง 354 – 295 ล้านปีก่อน เป็นยุคของป่าเฟินขนาดยักษ์ปกคลุม
ห้วย หนอง คลองบึง ซึ่งกลายเป็นแหล่งน้ามันดิบที่สาคัญในปัจจุบัน มีการแพร่พันธุ์
ของแมลง และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า เริ่มมีวิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลาน กาเนิดไม้
ตระกูลสน
- 50. เพอร์เมียน (Permian)
เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคพาเลโอโซอิก ในช่วง 295 – 248 ล้านปีก่อน เปลือก
โลกทวีปรวมตัวกันเป็นทวีปขนาดใหญ่ชื่อ "พันเจีย" (Pangaea) ในทะเลมีแนว
ประการังและไบโอซัวร์ บนบกเกิดการแพร่พันธุ์ของสัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะคล้ายสัตว์
เลี้ยงลูกด้วยนม ในปลายยุคเพอร์เมียนได้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ (Mass
extinction) สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในทะเลหายไปร้อยละ 96 ของสปีชีส์ นับเป็นการ
ปิดมหายุคพาเลโอโซอิก
- 52. ไทรแอสสิก (Triassic)
เป็นยุคแรกของมหายุคเมโสโซอิก ในช่วง 248 – 205 ล้านปีก่อน เป็นการ
เริ่มต้นของสัตว์พวกใหม่ๆ สัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ถูก
แทนที่ด้วยสัตว์ที่เป็นต้นตระกูลไดโนเสาร์ ผืนแผ่นดินไม่อุดมสมบูรณ์ต่อการ
เจริญเติบโตของพืช พืชพรรณส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยสน ปรง และเฟิร์น
- 54. เครเทเชียส (Cretaceous)
เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคเมโสโซอิก
ในช่วง 144 – 65 ล้านปีก่อน สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้น
ใหม่ ได้แก่ งู นก และพืชมีดอก ไดโนเสาร์
วิวัฒนาการให้มีนอ ครีบหลัง และผิวหนัง
หนาสาหรับป้องกันตัว ในปลายคาบครีเทเชียส
ได้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปหมดสิ้น สิ่งมีชีวิตอื่นสูญพันธุ์ไป
ประมาณร้อยละ 70 ของสปีชีส์ สันนิษฐานว่า ดาวหางพุ่งชนโลกที่คาบสมุทรยูคาทาน
ในอ่าวเม็กซิโก เหตุการณ์นี้เรียกว่า "K-T Boundary" ซึ่งหมายถึงรอยต่อระหว่าง
ยุคเครเทเชียสและยุคเทอเชียรี
- 56. เทอเชียรี (Tertiary)
เป็นยุคแรกของมหายุคเซโนโซอิก อยู่ในช่วง 65 - 1.8 ล้านปีก่อน แผ่นธรณี
อเมริกาเคลื่อนเข้าหากัน แผ่นธรณีอินเดียเคลื่อนที่เข้าหาแผ่นธรณีเอเซียทาให้เกิดเทือกเขา
หิมาลัยและที่ราบสูงทิเบต ยุคเทอเชียรีแบ่งออกเป็น 2 สมัยคือ พาลีโอจีนและนีโอจีน
• พาลีโอจีน (Paleogene) เป็นสมัยแรกของยุคเซโนโซอิก อยู่ในช่วง 65 –
24 ล้านปีก่อน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแพร่พันธุ์แทนที่ไดโนเสาร์ มีทั้งพวกกินพืชและ
กินเนื้อ บนบกเต็มไปด้วยป่าและทุ่งหญ้า ในทะเลมีปลาวาฬ
• นีโอจีน (Neogene) อยู่ในช่วง 24 – 1.8 ล้านปีก่อน เป็นช่วงเวลาของสัตว์รุ่น
ใหม่ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของสัตว์ในปัจจุบัน รวมทั้งลิงยืนสองขาซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ
มนุษย์ (Homo erectus)
- 58. ควอเทอนารี (Quaternary)
เป็นยุคสุดท้ายของยุคโซโนโซอิก อยู่ในช่วง 1.8 ล้านปีก่อน จนถึงปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2
สมัยคือ ไพลส์โตซีนและโฮโลซีน
• ไพลส์โตซีน (Pleistocene) อยู่ในช่วง 1.8 ล้านปี – 1 หมื่นปี เกิดยุคน้าแข็ง ร้อย
ละ 30 ของซีกโลกเหนือปกคลุมด้วยน้าแข็ง ทาให้ไซบีเรียและอลาสกาเชื่อมต่อกัน มีเสือเขี้ยว
โค้ง ช้างแมมมอท และหมีถ้า บรรพบุรุษของมนุษย์ได้อุบัติขึ้นในสายพันธุ์โฮโมเซ
เปียนส์ (Homo sapiens) เมื่อประมาณสองแสนปีที่แล้ว
• โฮโลซีน (Holocene) นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคน้าแข็งเมื่อ 1 หมื่นปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เป็นสมัย
ที่มนุษย์รู้จัการทาเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และอุตสาหกรรม ป่าในยุโรปถูกทาลายหมดสิ้น ป่า
ฝนเขตร้อนกาลังจะหมดไป