2. 2
[ ] [ ] [ ] [ ]
R = - 1 D = - 1 D
= 1 D
1
D
a D
t
C
t d
B
t c
A
t b
= D
D
D
D
หรือ [ ] [ ] [ ] [ ]
R = d D
dt
d C
- 1 = - 1 = 1 = 1
dt d
d B
dt c
d A
a
dt b
- 1 = - 1 = 1 = 1
R = A B C D R
d
R
c
R
b
R
a
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย
อัตราการเกิดปฏิกิริยาช่วงเวลาหนึ่งเราสามารถหาอัตราเร็ว
เฉลี่ยได้จากความสัมพันธ์ดังนี้
ปริมาณสารทัีั่เปลยี่นปแลงทั้งหมด
อัตราเร็วเฉลี่ย = เวลาทใี่ช้ทั้งหมด
อัตราปฏิกิริยาเคมี ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
การหาอัตรา ณ เวลาหนึ่งๆ จะต้องคิดจากกราฟโดยสร้างกราฟ
ตามข้อมูลระหว่างปริมาณสารกับเวลา แล้วหาค่าความชัน ( slop )
ณ เวลาหนึ่งๆ ซึ่งค่าความชันนี้คือค่าของอัตรา ณ เวลานั้นๆ
จากการศึกษาของนักเคมีพบว่า อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะ
ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารตั้งต้น ซึ่งแสดงได้ดังสมการต่อไปนี้
AA+bB cC+ dD
จะได้ว่า R a [A]m[B]n
R = K [A]m[B]n เรียกสมการนี้ว่า กฎอัตรา (Rate
Law)
เมื่อ K คือ ค่าคงที่ของอัตรา
[] คือ ความเข้มข้นในหน่วย mol/dm3
m ,n เป็นตัวเลขใด ๆ ก็ได้ซึ่งหาได้จากผลการทดลอง
เท่านั้น ซึ่งอาจเท่ากับ a ,b หรือไม่เท่าก็ได้
m +n เรียกว่า อันดับของปฏิกิริยา (Order of Reaction)
ถ้าเลขยกกำา ลังของสารใดเป็น 0 แสดงว่าอัตราการเกิด
ปฏิกิริยาไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของสารนั้น
ข้อสังเกตการนำากฎอัตราไปใช้
1. ต้องมีข้อมูลเป็นผลการทดลองมาให้โดยการกำาหนดความเข้ม
ข้น / ปริมาณสารตั้งต้นมาให้ และกำาหนดอัตราการเกิด
ปฏิกิริยาจากการทดลองแต่ละครั้งมาให้ ( ถ้าไม่กำาหนดอัตรา
มาให้อาจต้องคำา นวณหาเอง โดยคิดจากปริมาณสารที่
เปลี่ยนแปลงในหนึ่งหน่วยเวลา )
3. 3
2. เขียนสมการแสดงอัตราการเกิดปฏิกิริยาในรูปของกฎอัตรา
โดยคิดค่าเลขยกกำาลังคือค่าของ m , n ไว้
3. หาค่า m , n โดยนำาข้อมูลแสดงการทดลองจากข้อ 1 มา
คำานวณหา
4. ถ้าโจทย์ต้องการให้หาอัตราการเกิดปฏิกิริยาจากข้อมูลใหม่ที่
กำาหนดซึ่งไม่ใช่ผลการทดลองที่มีอยู่เดิม ให้หาค่า K แล้วนำา
ไปแทนค่าในสมการกฎอัตราในข้อ 2 ( เพื่อหาอัตราตาม
เงื่อนไขใหม่ตามที่โจทย์กำาหนด
ตัวอย่า ง ปฏิกิริยาระหว่างสารละลาย A กับสารละลาย B
เป็นดังนี้ A + B C
การทดลอง
ครั้งที่
ความเข้มข้นของสารละลาย
( mol/dm3 )
อัตราการเกิด
ปฏิกิริยา
สาร A สาร B mol/dm3.s
1 0.1 0.1 0.5
2 0.1 0.2 1.0
3 0.2 0.2 2.0
1. จงเขียนสมการแสดงอัตราการเกิดปฏิกิริยานี้
2. ถ้าสาร A และสาร B เข้มข้น 0.3 และ 0.4 mol/dm3
ตามลำาดับอัตราการเกิดปฏิกิริยานี้จะเป็นเท่าไร
วิธีคิด
จากการทดลองที่ 1 และ 2 ความเข้มข้นของสาร A คงที่ แต่
ความเข้มข้นของสาร B เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า อัตราก็เพิ่มขึ้นจาก
เดิม 2 เท่า แสดงว่าอัตราขึ้นกับความเข้มข้นของสาร B ยก
กำาลัง 1
จากการทดลองที่ 2 และ 3 ความเข้มข้นของสาร B คงที่ แต่
ความเข้มข้นของสาร A เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า อัตราก็เพิ่มขึ้นจาก
เดิม 4 เท่า แสดงว่าอัตราขึ้นกับความเข้มข้นของสาร A ยก
กำาลัง 2
ดังนั้นจะได้ว่า R = K[A]2 [B]
จากการทดลองที่ 1 เมื่อนำาความเข้มข้นของสาร A สาร B
และอัตราการเกิดปฏิกิริยามาแทนในสมการที่
ดังนั้น K = 500
4. 4
เมื่อนำาความเข้มข้นของสาร A และสาร B แทนลงในสมการ
แสดงอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะได้อัตราการเกิดปฏิกิริยาใหม่ดังนี้
R = 500[0.3]2 [0.4]
= 18.0 mol/dm3.s
รูปกราฟที่น่าสนใจ
1.กราฟแสดงอัตราการเกิดปฏิกิริยาคงที่
อัตรา
เวลา
2.กราฟแสดงอัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่ขึ้นกับความเข้ม
ข้นของสารตั้งตั้น
ความเข้มข้นของสารตั้งต้น
เวลา
3.กราฟแสดงอัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นกับความเข้มข้น
ของสารตั้งต้น(มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อความเข้มข้นของสารตั้งต้น
เปลี่ยนไป)
ปริมาณสารตั้งต้น
เวลา
4.กราฟระหว่างผลิตภัณฑ์กับเวลา
ปริมาณสารผลิตภัณฑ์
5. เวลา
5
5.กราฟระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยากับความเข้มข้น
ของผลิตภัณฑ์
อัตรา
ผลิตภัณฑ์
การอธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ทฤษฎีก า รชน ( Collission Theory ) เป็น
ทฤษฎีที่ใช้อธิบายการเกิดปฏิกิริยาของสารเคมี โดยกล่าวว่า “
ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออนุภาคของสารมีการชนกันและการ
ชนกันต้องเป็นการชนแบบมีผล ” ซึ่งมีเงื่อนไข ดังนี้
1. ทิศทางการชนต้องเหมาะสม
2. มีการสะสมพลังงานอย่างน้อยเท่ากับพลังงานก่อกัมมันต์
( Activation Energy )
พลังงานก่อกัมมันต์ ( Activation Energy : Ea ) หมาย
ถึง พลังงานจำานวนน้อยที่สุดที่สารเคมีแต่ละคู่จะต้องสะสมไว้เพื่อ
เปลี่ยนสารตั้งต้นไปเป็นสารใหม่ ดังนั้นพลังงานก่อกัมมันต์ของสาร
แต่ละคู่เวลาทำาปฏิกิริยากัน จึงไม่เท่ากัน
แผนภาพแสดงการเปลี่ยนของสารใน
ขณะเกิดปฏิกิริยา
A B A A
2 A B
A + B
พลังงานตำ่ากว่า Ea B B
พลังงานสูงกว่า Ea
สารเชิงซ้อนถูกกระตุ้น