More Related Content
Similar to การศึกษาที่กำลังจะกลายเป็นโรงงานผลิตใบปริญญา
Similar to การศึกษาที่กำลังจะกลายเป็นโรงงานผลิตใบปริญญา (20)
More from Thongkum Virut (20)
การศึกษาที่กำลังจะกลายเป็นโรงงานผลิตใบปริญญา
- 1. การศึกษาที่กาลังจะกลายเป็นโรงงานผลิตใบปริญญา
การศึกษาเป็นกระบวนการของการกล่อมเกลาเรียนรู้ ให้ทราบข้อมูลความรู้ทฤษฎีรู้วิธีการคิดวิเคราะห์
สังเคราะห์วิจัยเพื่อสร้างความรู้และสร้างทฤษฎี โดยต่อยอดความรู้ที่มีอยู่หรือจากการคิดเองโดยสร้างความรู้ใหม่ นอกเหนือจากที่กล่าวมา
การศึกษายังเป็นการสร้างทักษะความชานาญเพื่อประกอบอาชีพ
เพราะจาเป็นอย่างยิ่งต้องมีวิชาชีพที่มาจากการศึกษาและฝึกอบรม
เพื่อสามารถผลิตสิ่งที่สังคมต้องการไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรข่าวสารข้อมูลหรือการบริการ
นอกจากนั้นการศึกษายังต้องมีส่วนในการสร้างบุคลิก การวางตัวในสังคมความสามารถทางานในองค์กรสามารถทางานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่น
มีหลักการและปรัชญาแห่งชีวิต ฯลฯ
ในขณะที่การศึกษามีจุดประสงค์ดังกล่าวเบื้องต้น
ระบบการศึกษาของหลายประเทศกาลังกลายเป็นสถานที่ผลิตปริญญาในลักษณะเป็นสินค้า
โดยไม่คานึงถึงคุณภาพหรือคุณลักษณะต่างๆที่กล่าวมาเบื้องต้น กล่าวนัยหนึ่ง
ระบบการศึกษาถ้าไม่ระมัดระวังจะกลายเป็นโรงงานผลิตปริญญาบัตรเช่นเดียวกับโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหารกระป๋องโดยออกมาเป็นจานวนมาก
ลักษณะเช่นนี้เป็นการบ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบการศึกษา
กล่าวได้ว่าการศึกษาเช่นนี้สิ่งที่ผู้ศึกษาจะได้คือแผ่นกระดาษที่มีการบันทึกที่เรียกว่าปริญญาบัตรหรือถ้าสมัยก่อนปริญญาบัตรจะสลักตัวหนังสือและชื่อผู้ได้รั
บปริญญาลงบนหนังแกะเป็นแผ่นสวยงามที่เรียกว่าหนังแกะ (sheepskin)ซึ่งแปลว่าปริญญาบัตร
ผู้เขียนจาได้ว่ามหาวิทยาลัยมิชิแกนยังแจกปริญญาบัตรเป็นหนังแกะแต่ทั่วๆไปจะเป็นกระดาษธรรมดา
ปัญหาสาคัญก็คือ การศึกษานามาซึ่งความเชื่อที่ว่าผู้ได้รับปริญญามีความรู้ตามที่บ่งบอกไว้ในแผ่นปริญญาตั้งแต่บัณฑิต มหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต
และในกรณีดุษฎีบัณฑิตจะมีคาว่าด็อกเตอร์ (ดร.)ซึ่งเลียนแบบมาจากDr.นาหน้าซึ่งปกติมักจะหมายถึงคนที่เป็นหมอแต่ในภาษาลาตินคาว่าdoctor
แปลว่าการสอนก็ได้หรือในแง่ไม่ดีแปลว่าการปลอมแปลงก็ได้ เช่นการปลอมแปลงเอกสารก็ใช้คาว่าdoctor
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นประเด็นอยู่ที่ว่าการได้คานาหน้าว่าดร.
ถือเป็นเกียรติเสมือนหนึ่งสถานะศักดินาในสมัยโบราณซึ่งบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมว่ามีการศึกษาและมีนัยว่าจะต้องเป็นคนที่อยู่ในสังคมผู้ดี มีอาชีพที่ดี
มีความรู้มีรสนิยม แต่ในความเป็นจริงอาจจะมีผู้ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นดร.แต่ไม่ได้ร่าเรียนมาเช่น
ได้มาในลักษณะกิตติมศักดิ์ หรือได้มาจากการชาระเงิน
กล่าวคือ ซื้อดื้อๆจากมหาวิทยาลัยบางแห่งจากต่างประเทศ
- 2. หรือในกรณีในประเทศไทยซึ่งจะเป็นเนื้อหาบทความนี้ก็กลายเป็นการศึกษาที่มีสถาบันการศึกษาบางแห่งใช้วิธีดาเนิ
นการเสมือนหนึ่งการซื้อขายจนนาไปสู่คากล่าวที่ว่า"จ่ายครบ จบแน่"รับผู้เข้าศึกษาโดยไม่จากัดจานวน
ไม่คานึงถึงคุณสมบัติความรู้และมีการจ้างการทาดุษฎีนิพนธ์เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบที่จะจบการศึกษา
จุดมุ่งหมายเพื่อได้ปริญญาโดยไม่จาเป็นต้องมีความรู้ หรือรู้ครึ่งๆกลางๆแต่ขอให้มีคาว่าดร.นาหน้า
จะได้พิมพ์นามบัตรและแนะนาตนเองให้คนในสังคมได้ทราบโดยทั่วกัน ทั้งๆในความเป็นจริงมาตรฐานความรู้
คุณภาพการศึกษาอยู่ในขั้นที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่ควรเป็น
ในแง่หนึ่งการได้รับเกียรติยศซึ่งไม่เป็นความจริงนี้ทาให้นึกถึงคาพูดของอริสโตเติลที่ว่า
"ศักดิ์ศรีมิได้อยู่ที่การได้รับเกียรติ แต่อยู่ที่สมควรได้รับเกียรตินั้นหรือไม่"(Dignitydoesnotconsistinhaving
honorsbutindeservingthem)
แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ
ผู้ซึ่งมีบทบาทในการให้ปริญญาเอกจานวนไม่น้อยเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะให้ปริญญาเอกโดยกระทาการละเมิ
ดต่อกฎเกณฑ์ที่กาหนดโดยกฎหมายเช่นจบปริญญาเอกสอนปริญญาเอก ทั้งๆที่ไม่มีงานวิจัยจบปริญญาเอก
ดูแลดุษฎีนิพนธ์ปริญญาเอกทั้งๆที่ขาดคุณสมบัติเพราะไม่มีงานวิจัย
หรือไม่มีตาแหน่งทางวิชาการแม้สอนมาเป็นสิบปี หรือดูแลดุษฎีนิพนธ์เกินกว่าที่กาหนดตามกฎหมาย เช่นเกิน10
คนให้ผ่านปริญญาเอกทั้งๆที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการว่าจ้างให้ผู้อื่นทา
เพราะเนื้อหาออกมาใกล้เคียงโดยลอกกันมาเป็นทอดๆแม้การสะกดผิดก็ยังผิดเหมือนกัน แต่ที่สาคัญที่สุดคือ 3
บทแรกซึ่งเป็นบทที่เรียกว่าพื้นฐานเหมือนกันหมดทุกเล่ม หรือใกล้เคียงกันทุกเล่ม
มีความแตกต่างกันเพียงเลกน้อยสลับคาพูดเติมข้อมูลมาให้เห็นเพียงแตกต่าง แต่ในความเป็นจริงเหมือนเดิม
เสมือนหนึ่งกับการทาแกงเขียวหวาน วิธีทาเหมือนกันเปลี่ยนแต่เพียงเขียวหวานเนื้อ เขียวหวานปลาเขียวหวานไก่
ฯลฯในกรณี3บทเหมือนกันนั้นจะต่างกันเฉพาะข้อมูลที่ไปวิจัยวิจัยสถานที่ต่างกันวิจัยตัวบุคคลต่างกัน
วิจัยตัวอย่างต่างกัน สิ่งที่ตามมาก็คือดุษฎีนิพนธ์ดังกล่าวไม่มีอะไรใหม่ในแง่ทฤษฎี หรือกรอบการวิจัย
แต่จะมีสิ่งที่ใหม่ก็คือข้อมูลที่หลากหลายออกไปขึ้นอยู่กับเวลาสถานที่และตัวอย่างที่สุ่ม
ด้วยเหตุนี้ ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาเอกจึงกลายเป็นงานวิจัยโดยไม่มีข้อถกเถียงที่เป็นแกน(thesis)เช่น
โลกกลมหรือโลกแบนโดยมีการวิจัยพิสูจน์ว่าโลกกลมไม่ใช่โลกแบน
หรือพิสูจน์ว่าสัณฐานโลกกลมแต่สังคมโลกแบนเป็นต้นด้วยเหตุนี้ ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาเอกที่เห็นอยู่จึงไม่มี thesis
มีแต่งานวิจัยซึ่งไม่ยากในการเก็บข้อมูลเพราะ3บทแรกเป็นพื้นฐานที่ลอกๆต่อๆ
กันจากอาจารย์คนเดียวซึ่งมีความรู้แค่ 3บทดังกล่าวจึงนาไปสู่คาถามที่ว่าอาจารย์ที่ดูแลดุษฎีนิพนธ์โดย3
บทเหมือนกันหมดมีความรู้ในมิติอื่นๆหรือไม่หรือความรู้ที่มีอยู่มีเพียงแค่3
บทนั้นเป็นฐานเนื่องจากศึกษาและเขียนดุษฎีนิพนธ์โดยมี 3บทดังกล่าวผู้ศึกษาซึ่งเป็นนักศึกษาจึงอาศัย 3
บทของอาจารย์เป็นฐานในการวิจัยจนได้รับปริญญาเอกเป็นจานวนมากโดยเป็นรูปแบบเดียวกันหมด
เสมือนหนึ่งการปั๊มสินค้าจากโรงงานซึ่งเป็นแบบเดียวกัน ข้อสังเกตก็คือ
ประการแรก ผู้สอนปริญญาเอกที่มีลีกษณะเยี่ยงนี้น่าจะมีความรู้เพียงมิติเดียวคือ3บทดังกล่าว
เพราะไม่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมจากที่ได้เล่าเรียนมา
ประการที่สองการเขียนดุษฎีนิพนธ์โดยมีงานวิจัยมีข้อมูลใหม่แค่3
บทเดียวกันนั้นจะไม่สามารถนาไปสู่ความแตกต่างในแง่กรอบความคิด หรือconceptualframework
ประการที่สามผู้กระทาการดังกล่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งคัดลอกมาจากแผ่นดิสก์แผ่นเดียวกันนั้น
เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ของกฎหมายและยังเข้าลักษณะplagiaries หรือการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมสามารถจะพิสูจน์ได้
จึงมีรายการให้มีการทาใหม่และสอบใหม่จากหน่วยงานที่มีอานาจควบคุมดูแลซึ่งเท่ากับเป็นการถอนดุษฎีนิพนธ์
กรณีดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของสถาบันการศึกษาบางสถาบันที่ละเมิดต่อมาตรฐานวิชาการ
และต่อจริยธรรมวิชาชีพและเป็นการบ่งบอกถึงการไร้ซึ่งความเป็นบัณฑิตที่บริสุทธิ์มีเกียรติและศักดิ์ศรี
ตามปริญญาบัตรที่แสดงต่อสาธารณชน การซื้อปริญญาจากต่างประเทศ
การรับผู้ศึกษาเป็นจานวนมากและจบโดยง่ายโดยผิดหลักเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
ทาให้ปริญญาเอกที่เกิดขึ้นกลายเป็นเสมือนหนึ่งสินค้าที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
ระบบการศึกษาระดับสูงของบางประเทศจึงกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตปริญญาบัตรอย่างดาษดื่น
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ปริญญาโหลหรือปริญญาห้องแถว