More Related Content
Similar to หลักพยาธิ บ.4การตาย pptx
Similar to หลักพยาธิ บ.4การตาย pptx (20)
More from pop Jaturong (20)
หลักพยาธิ บ.4การตาย pptx
- 2. เนื้อหา
บทที่ 1 บทนา
บทที่ 2 การบาดเจ็บของเซลล์
บทที่ 3 การเสื่อมสภาพของเซลล์
บทที่ 4 การตายของเซลล์
บทที่ 5 การอักเสบ
บทที่ 6 การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
บทที่ 7 ระบบป้องกันอันตรายของร่างกาย
บทที่ 8 อิมมูนพยาธิวิทยา
บทที่ 9 เนื้องอก
บทที่ 10 มะเร็ง
- 3. บทที่ 1
บทนา
พยาธิวิทยา (Pathology) หมายถึง การศึกษาการเปลี่ยนแปลงใน
ร่างกายเมื่อเกิดโรค(disease) หรือ พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นในร่างกาย
ของคนหรือสัตว์เมื่อเกิดโรค ในการศึกษาเรื่องราวของโรคที่เกิดขึ้นจึง
จาเป็นต้องเรียนรู้ถึงสาเหตุ(etiology) พยาธิกาเนิด
(pathogenesis) อาการ(sign)และรอยโรค(lesions) รวมทั้ง
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้นตามมาจากโรคทั้งทางกายวิภาค ทาง
สรีรวิทยาและทางเคมี
- 4. คาศัพท์ทางพยาธิวิทยา
•โรค (disease) คือ สภาพที่ร่างกายไม่สามารถรักษาสภาพสมดุลได้ คือ
มีความผิดปกติทั้งร่างกายและจิตใจ
•สุขภาพ (health) คือ สภาพปกติของร่างกายและจิตใจ คือทุกส่วน
ของร่างกายทางานโดยปกติมีการตอบสนองได้ดีต่อสภาพแวดล้อม
ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพและมีสมดุลไว้ได้อย่างปกติเรียกว่า ภาวะ
ธารงดุล (homeostasis)
•สาเหตุของโรค (etiology) คือ การศึกษาถึงสาเหตุที่ทาให้เกิดโรค
หรือ พยาธิสภาพขึ้นในร่างกายสัตว์โดยทั่วไป จาแนกออกเป็น ตัวการ
ทางกายภาพ ทางเคมี ทางโภชนาการ และตัวการที่มีชีวิต เช่น
แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา โปรโตซัว ริคเกตเซีย เป็นต้น
- 5. คาศัพท์ทางพยาธิวิทยา(ต่อ)
•พยาธิกาเนิด (pathogenesis) หมายถึง กระบวนการของโรค ซึ่งทาให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงในร่างกายเริ่มตั้งแต่เป็นโรค จนถึงระยะสุดท้าย คือ หายขาดจากโรค ตาย
หรือ เป็นตัวนาโรค(carrier)
•อาการ (signs) คือ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่สามารถตรวจสอบพบความ
ผิดปกติในร่างกายได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นในระดับเซลล์
•กลุ่มอาการ (symptoms) เป็นความผิดปกติของร่างกายในระดับอวัยวะ และ
ระบบซึ่งสามารถสังเกตหรือมองเห็นได้
•รอยโรค (lesions) เป็นการเปลี่ยนแปลงของเซลล์หรือเนื้อเยื่อที่อยู่ในพยาธิสภาพ
ซึ่งสามารถสังเกตุเห็นได้ด้วยตาเปล่า(macroscopic) หรือเห็นได้โดยอาศัย
กล้องจุลทรรศน์ (microscope) เช่น กลุ่มวัณโรค หรือ ฝีหนอง ปอดอักเสบ
เป็นต้น
- 6. คำศัพท์ทำงพยำธิวิทยำ(ต่อ)
-รอยโรคจาเพาะ (pathognomonic lesion) หมายถึง รอยโรค
ที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะเฉพาะของโรค ซึ่งไม่พบในโรคอื่นมีประโยชน์ช่วยการ
วินิจฉัยโรคได้เป็นอย่างดี
-การชันสูตรโรค (diagnosis) เป็นขั้นตอนการพิสูจน์สัตว์ป่ายที่เป็น
โรค(disease) โดยอาศัยข้อมูลจากอาการ(signs) กลุ่มอาการ
(symptoms) สาเหตุแท้จริง(etiology) การชันสูตรซาก
(necropsy หรือ autopsy) รอยโรค(lesions) และ ข้อมูลทาง
พยาธิคลินิค
-การชันสูตรซาก (necropsy หรือ autopsy) หมายถึง การผ่า
ชันสูตรโรคในสัตว์ที่ตาย อย่างเป็นระบบระเบียบ
-การตรวจชิ้นเนื้อจากสัตว์ป่วย (biopsy) คือ การตรวจชิ้นเนื้อที่ตัดเอา
มาจากตัวสัตว์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
- 10. Etiology or Causes of disease
1.สาเหตุโน้มนา (predisposing causes)
1.1. สาแหตุทางพันธุกรรม (genetic causes)
1.2. วิรูปของอวัยวะที่ไม่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
Agenesia หรือ Aplasia= ไม่มีพัฒนาการของอวัยวะ
Hypoplasia = ขนาดของอวัยวะเล็กกว่าปกติ
Atresia = การตีบตันของอวัยวะที่เป็นท่อ
Fissure = ลักษณะช่องโหว่ โดยมักเกิดที่แนวกลางของลาตัว
Fusion = การรวม หรือติดกันของอวัยวะที่เป็นคู่ เช่น ไต
Displacement = อวัยวะอยู่ผิดที่
ฯลฯ.
- 11. 2. สาเหตุที่แท้จริง (exciting causes)
2.1 สาเหตุทางกายภาพ (Physical cuses)
2.1.1 การกระทบกระแทก
• contusion
• abrasion
• erosion
• laceration
• compression
2.1.2 กระแสไฟฟ้ า
2.1.3 อุณหภูมิ (temperature)
• ความร้อน (thermal burn)
• ความเย็น (hypothermia)
- 12. 2.1.4 กัมมันตภาพรังสี (radiation injury)
2.2. สาเหตุทางเคมี (chemical causes)
2.2.1 สารอนินทรีย์เคมี
2.2.2 สารอินทรีย์เคมี
2.2.3 ภาวะขาดอาหาร (nutritional deficiency)
พยาธิกาเนิด(Pathogenesis)
พยาธิกาเนิด หมายถึง กระบวนการหรือกลไกดาเนินการเปลี่ยนแปลง
ต่างๆเมื่อเกิดโรค ตลอดทั้งปัจจัยต่างๆ ซึ่งเกี่ยวพันกับการทาให้เกิดโรค นับตั้งแต่
เริ่มแรกจนกระทั่งสิ้นสุด ซึ่งอาจหายขาดจากโรค หรือหายจากโรคแต่พิการหรือตาย
ไป
- 14. การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีเมื่อเกิดโรค (Pathologic
biochemistry)
biochemistry คือ ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบทางชีวเคมี
ของของเหลวหรือเนื้อเยื่อเมื่อร่างกายเกิดโรค ดังเช่น สารบางชนิดที่ควรจะถูกกรอง
จากเลือดแล้วขับออกทางปัสสาวะ แต่กลับคั่งค้างอยู่ในเลือด เมื่อไตเกิดโรคไม่สามารถ
ทาหน้าที่ได้ตามปกติ (เช่น Urea, Creatinine) เราตรวจดูการเปลี่ยนแปลง
ปริมาณสารชีวเคมีเหล่านี้ในเลือดเพื่อนามาใช้แปลผลตีความ ประเมินการเกิดโรคของไต
ได้ ซึ่งการศึกษาในลักษณะนี้คือ การศึกษาในเชิงพยาธิคลินิกวิทยานั้นเอง
- 15. อาการแสดงออกของโรค(Clinical sign or Symptom)
Clinical sign or Symptom คือ ลักษณะอาการแสดงออกมาของโรค
ให้สังเกตได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดวิการกระดูกขาหัก จะมีอาการเจ็บปวด ยืน เดิน ไม่ได้
หรือเกิดวิการการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนต้น อาทิ เป็นหวัดจะมีอาการน้ามูกไหล
เป็นต้น
อาการของโรคนอกจากจะขึ้นกับชนิดของโรคแล้วยังขึ้นกับระยะของโรค
(Phase of disease) ว่าเป็นแบบเฉียบพลัน(Acute) หรือเรื้อรัง
(Chronic) และตาแหน่งเนื้อเยื่อที่เกิดโรค
บางกรณีเป็นอาการของโรคใดโรคหนึ่งซึ่งแสดงอาการป่วยออกมาได้หลายอาการ
เรียกว่า “กลุ่มอาการของโรค (Syndrome)”
- 16. ผลสิ้นสุดของโรค (Result or Termination)
1. การหายจากการเป็นโรค (Recovery)
2. การหายจากโรคแต่พิการ (Invalidism)
3. การตาย (Death)
การวินิจฉัยโรค (Diagnosis)
การวินิจฉัยโรค (Diagnosis) คือการสรุปความเห็นว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วย
นั้นคือโรคอะไรโดยอาจมีลักษณะเป็นแบบ Definitive diagnosis หมายถึงการ
วินิจฉัยจาเพาะเจาะจงลงไปว่าเป็นโรคใดโรคหนึ่ง
- 17. การพยากรณ์โรค (Prognosis)
การพยากรณ์โรค (Prognosis) คือการประมาณผลการสิ้นสุดของ
โรคว่าจะลงเอยเช่นใด เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแนวทางในการรักษา การสิ้นสุดของ
โรคอาจสิ้นสุดได้ 3 กรณีคือ การหายขาดจากโรค (Recovery) การหายจาก
โรคแต่พิการ (Invalidism) หรือตาย (Somatic death) คือการเกิด
โรครุนแรงหรือร่างกายอ่อนแอมากจนเสียชีวิตจากโรคนั้นๆ
- 18. วิธีการแพร่ของเชื้อโรค (mode of transmission)
1. การติดต่อโดยตรง (direct contact)
1.1 ทางอวัยวะเพศ
1.2 ทางผิวหนัง
1.3 ทางบาดแผล
1.4 ทางหายใจ
2. การติดต่อจากแม่ไปยังลูก (congenital transmission)
2.1 ผ่านจากแม่มาทางไข่ (transovarian)
2.2 ติดต่อผ่านทางรก (transplacenta)
2.3 ติดต่อโดยทางน้านม (transmammarian)
- 19. 3. การติดต่อโดยทางอ้อม (indirect contact)
4. การติดต่อโดยแมลงเป็ นพาหะ (arthropod vector)
4.1 แมลงเป็นตัวนาอย่างเดียว เช่น โรค anthrax
4.2 เชื้อโรคเพิ่มจานวนในตัวพาหะด้วย เช่น เชื้อริกเกตเซีย
4.3 เชื้อโรคถ่ายทอดไปยังลูกหลานของตัวพาหะด้วย เช่น โรค babesiosis
4.4 ส่วนหนึ่งของวงจรชีวิตเจริญอยู่ในพาหะ เช่น วงจรชีวิตของเชื้อที่ทาให้เกิดโรค
Surra เจริญอยู่ในแมลงวัน
- 21. การตอบสนองทางอิมมูน เป็น defense ที่สาคัญต่อการติดเชื้อโดย
antibody จะมีผลดังนี้
– ทาให้เชื้อโรคมีโอกาสถูกเก็บกินมากขึ้น (opsonized
organism)
– ทาให้ขบวนการเก็บกินเกิดได้ดีขึ้น (facilitate
phagocytosis)
– ทาให้สารพิษและตัวรับเสื่อมสภาพ (inactivate toxin และ
surface receptor)
– กระตุ้น complement (activate complement) ทาให้
เชื้อโรค หรือเซลล์ที่ติดเชื้อเกิด lysis และ ผลิต chemotactic factor ทาให้
เกิดการอักเสบ
- 22. จุลชีพมีกลไกต่อสู้ host defense ได้หลายวิธี เช่น
– เปลี่ยนแปลง antigen ของจุลชีพ (modification of
parasitic antigen)
- สภาวะกดภูมิคุ้มกัน(immunosuppression) ทาให้มีความ
เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
- ยับยั้งการตอบสนองทางอิมมูน เช่น Hemophilus
influenza และ Streptococcus pneumoniae สร้าง
enzyme ไว้ใช้ตัดโมเลกุลของ IgA
- 23. 3. ขวนการเก็บกินและฆ่าเชื้อโรค(Phagocytosis and
microbicide)
• เซลล์ที่มีหน้าที่นี้คือ neutrophil และ macrophage
• เชื้อโรคมีความสามารถในการหลีกเลี่ยง phagocytosis ได้หลายทาง
ดังต่อไปนี้
-ผลิตสารทาให้เกิด degranulation ของ lysosome ซึ่งทาให้
เซลล์ตาย
-หลั่งสารยับยั้ง chemotactic migration เช่น
streptolysin
-ยับยั้งขบวนการโอบล้อม(engulfment) ของ phagocytes
-surface component ของเชื้อแบคทีเรียบางตัว เช่น
Streptococcus spp. มี M protein ซึ่งต้านทานขบวนการเก็บกิน
ได้
- 24. 4. สารอาหารและความต้านทานเชื้อโรค(nutrition and
resistance to infection)
- ภาวะขาดอาหารทาให้การสร้าง antibody และ cell-mediated
immunity ลดลง
5. ผลของพันธุกรรมต่อความไวของโรค (Genetic influence
on susceptibility to disease )
- เช่น แบคทีเรียที่มีแคปซูล ถ้าเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมแล้วแคปซูล
หลุดออกไป ก็จะทาให้ความรุนแรงหมดไปด้วย
6.อายุของสัตว์ (Age of host)
- เช่น canine herpes virus infection เกิดในลูกสุนัขเล็ก
7. ผลจากสิ่งแวดล้อม (Environmental effect)
- ความแห้ง ความเย็นของอากาศหรือแอมโมเนียที่สะสมในคอก มีผลต่อ
mucociliary apparatus