More Related Content Similar to Entrepreneur101 part IV (18) More from Tatchaphol Srichankij (7) Entrepreneur101 part IV4. • ในแผนธุรกิจนั้น จาเป็นต้องมีการตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับเรื่อง Who ,
What , When and How เพื่อหาปัจจัยที่สาคัญต่างๆในการที่
เราจะดาเนินธุรกิจ เราต้องวางแผนให้ดีว่าผลตอบแทนที่ได้นั้นจะ
สามารถทาให้เราทาธุรกิจที่มีกาไรได้อย่างต่อเนื่อง
• ปัจจัยสาคัญต่างๆที่คุณต้องมั่นใจว่าจะสามารถนาเสนอให้ผู้ร่วมลงทุน
ในอนาคตเห็นได้ว่าธุรกิจที่คุณทานั้นสามารถสร้างกาไรได้อย่างไร
ประกอบไปด้วย
5. Key Assumption 1: Finances
• แผนจาลองการเงินว่าธุรกิจของคุณจะมีทุนพอดาเนินการได้ไปจนถึงช่วงที่
ธุรกิจจะเติบโตและมีกาไรในอนาคตได้อย่างไร
• สิ่งที่ผู้ประกอบการมักจะทาผิดเสมอคือการตั้งสมมติฐานว่ารายได้จากการ
ขายอย่างเดียวจะสามารถทาให้ธุรกิจดาเนินไปได้ด้วยดี.
• ธุรกิจของคุณจะไปได้สวยและดึงดูดนักลงทุนได้หากคุณวางแผนเงินลงทุนที่
พอเพียงในการดาเนินธุรกิจไปจนถึงช่วงที่จะ Break even. คุณต้อง
เปิดเผยตัวเลขทั้งเงินลงทุนและเงินกู้เพิ่มเติมสาหรับการทาธุรกิจด้วย
6. Key Assumptions 2: Consumer Base
• แผนธุรกิจของคุณต้องสามารถระบุตัวตนของลูกค้าของคุณได้หรือคุณจะ
ได้รับรายได้ส่วนใหญ่มาจากลูกค้ากลุ่มไหน ลูกค้าของคุณเป็นแบบ B2B
หรือ B2C
• คุณต้องสามารถกาหนดขอบเขตการหาลูกค้าของคุณให้ดี การทาตลาดแบบ
Niche market นั้นสามารถประสบความสาเร็จได้ก็จริง แต่คุณต้อง
สามารถกาหนดจานวนลูกค้าในอนาคตที่มากเพียงพอในการทาให้ธุรกิจของ
คุณมีกาไรได้คุณต้องระบุกลุ่มเป้าหมายต่อไปที่จะสามารถทาให้ธุรกิจของ
คุณขยายเพิ่มขึ้นและเติบโตได้อย่างชัดเจน
7. Key Assumptions 3: Need
• บริษัทของคุณจะไม่มีมูลค่าหากคุณไม่สามารถระบุให้ชัดเจนได้ว่า คุณกาลังจะ
นาเสนออะไรให้ลูกค้า คุณจาเป็นต้องมีฐานลูกค้าที่แน่นอน แต่นักลงทุนมักจะอยาก
ทราบว่าทาไมลูกค้าถึงจะต้องเลือกสินค้าของคุณแทนที่จะเป็นของคนอื่น
• คุณจาเป็นต้องทาการวิจัยตลาดเพื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งของคุณว่าเป็นการแข่งขัน
ระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ คุณต้องมีความแตกต่างในการนาเสนอสินค้า กาหนด
ขอบเขตเรื่องความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่ในตลาดและคุณจะเติมเต็มมันได้อย่างไร
เพราะหากไม่สามารถทาเช่นนั้นได้โอกาสที่จะประสบความล้มเหลวก็จะสูงมาก
เช่นกัน
8. Key Assumptions 4: Resources
• คุณไม่สามารถดาเนินธุรกิจได้หากไม่มีทรัพยากรที่พอเพียง คุณต้องทา
แผนที่สามารถระบุได้ว่าจะต้องใช้พนักงานจานวนเท่าไร ต้องใช้อุปกรณ์
อะไรบ้างในการดาเนินการ ก่อนที่จะทาการกู้เงินเพื่อมาลงทุน ไม่มีนัก
ลงทุนคนใดที่อยากจะลงทุนในธุรกิจที่ไม่สามารถทากาไรได้
• ข้อผิดพลาดส่วนใหญ่ของธุรกิจ Start up คือ คุณจะเจอกับบริษัท
ลงทุนใหญ่ซึ่งจะสนใจคุณ เพราะไม่มีบริษัทลงทุนรายไหนที่อยากจะ
จ่ายเงินก้อนโต โดยที่ยังไม่มีประวัติของความสาเร็จมาก่อน
10. Key Assumptions 5: Profitability
• เรามักจะเชื่อในผลิตภัณฑ์หรือคุณค่าที่เรามอบให้กับลูกค้า แต่กลุ่มนัก
ลงทุนจะสนใจแต่เพียงเรื่องเดียวคือผลตอบแทนจากการลงทุนเท่านั้น
คุณต้องมั่นใจว่าคุณสามารถสร้างกาไรได้จริงภายในระยะเวลาเท่าใด
จากแผนงานที่คุณได้กาหนดไว้และมีขั้นตอนทาให้เป็นไปได้อย่างไร
20. “Minimum Viable Product (MVP)”
คืออะไร ?
“Minimum Viable Product” (การทาผลิตภัณฑ์ตั้งต้น)
คือ การสร้าง Product ขึ้นมา โดยให้
มี Functions และ Features น้อยที่สุด เท่าที่จะขายได้ในตลาด (ก็
คือถ้าทาอะไรได้น้อยกว่านี้ก็คงขายไม่ออกแล้ว) แล้วลองนาออกมา
วางขายดู
21. • ในช่วงแรกของการสร้างสรรค์สินค้า คุณอาจจะมีไอเดียเจ๋ง ๆ มากมาย แต่สิ่งที่คุณยังไม่มี คือ ความ
คิดเห็นจริงจากลูกค้า การทา MVP จะช่วยให้คุณรู้ว่า กลุ่มลูกค้าคิดอย่างไรกับสินค้าตัวนี้ สนใจมัน
มากแค่ไหน และถ้าแนวโน้มมันดี คุณจะพัฒนามันต่อไปในทางไหน?
• เช่น ถ้าเป้าหมายหลักของคุณ คือการทาให้เด็ก ๆ นอนหลับฝันดี คุณอาจสร้างตุ๊กตาที่มีเสียงเพลงกล่อม
เด็ก (MVP) ออกมา ส่งขายในตลาด รอดู Feedback แล้วในภายหลังคุณค่อยสร้างตุ๊กตารูปหมีที่มี
เสียงเพลงกล่อมเด็ก อัดเสียงได้เปิดวิทยุได้ เป็นไฟฉายได้ขึ้นมาในภายหลังตาม Feedback ที่คุณ
ได้รับจากลูกค้า
• Feedback จากลูกค้า คือเหตุผลที่ Startup ควรทา MVP ออกมาทดลองตลาด ก่อนจะมุ่งไป
สร้างสินค้า Full-Option เพื่อสู้กับเจ้าอื่น และต้องไม่ลืมว่า MVP คือสินค้าที่มีฟังก์ชันน้อยที่สุด
(เหมือนเป็นไอเดียแรกสุดของสินค้า) ไม่จาเป็นต้องเป็นสินค้าที่ดีที่สุดที่คุณคิดได้ในขณะนั้น
22. • ตัวอย่างที่ดีของการทา “Minimum Viable Product” คือ GoPro
• Nick Woodman (ผู้คิดค้น GoPro) ค้นพบว่า นักโต้คลื่นจานวนมาก มักจะซื้อกล้องถูก ๆ แบบ
ใช้แล้วทิ้ง เพื่อเอาไปถ่ายภาพโคลสอัพตอนที่พวกเขาเล่นน้า เพราะมันถูก ต่อให้พังก็ไม่เสียดาย
• Nick จึงตัดสินใจผลิตกล้องแบบกันน้าขึ้น โดยให้ตัวกล้องติดอยู่กับข้อมือ เพื่อให้นักกีฬาสามารถใช้
กล้องตัวนี้เก็บภาพได้สะดวกขึ้น เขาวางขายสินค้าชิ้นนี้ในปี 2005 และ บู้ม! ยอดขายของมันบอกชัดเจน
ว่านี่คือสิ่งที่ตลาดต้องการ
• Nick พัฒนา GoPro ต่อมาเรื่อย ๆ เพิ่มเติมด้วยอุปกรณ์เสริมอีกมากมาย มูลค่าของ GoPro พุ่ง
ขึ้นสูงสุดในปี 2012 ที่ 2.25 พันล้านดอลลาร์(หรือราว ๆ 71.26 พันล้านบาท) แม้ในปี 2016 ที่บริษัทต้อง
เผชิญกับปัญหาการเงิน สินค้าของพวกเขาก็ยังคงเป็นที่นิยมในหมู่นักกีฬาทั่วโลกอยู่ดี
37. อะไรคือ Product plan
• คือกระบวนการในการสร้างสรรค์ความคิดในการออกผลิตภัณฑ์และ
ติดตามต่อจนถึงเวลาที่ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยการหาข้อมูลจากใน
ตลาดและนามาวิเคราะห์เพื่อวางแผนกระบวนการผลิตทั้งหมด
38. ขั้นตอนการทา Product plan
• สร้าง Product Roadmap ของผลิตภัณฑ์
• กาหนดกลยุทธการวางสินค้าเข้าสู่ตลาด
• รวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากตลาด
• ร่างแผนการเขียน Timeframe ในการออกผลิตภัณฑ์แบบคร่าวๆ
• Share your product roadmap. แบ่งปัน Product
roadmap ให้กับทีมงาน