More Related Content
Similar to การประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์
Similar to การประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ (20)
More from Kiat Chaloemkiat
More from Kiat Chaloemkiat (7)
การประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์
- 1. พระสมาน สํวโร
น.ธ.โท
การประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์๑
การประพฤติปฏิบัติพรตพรหมจรรย์อย่างศีล ๘ ก็เรียกว่าเป็นศีลพรหมจรรย์อย่างหนึ่งอย่าง
ศีล ๑๐ ศี ล ๒๒๗ อย่ า งพระเจ้า พระสงฆ์ที่ไ ด้อุป สมบทเรีย กว่ า เป็ นพระ อั นนี้ก็ เ รีย กว่ า เป็ นศี ล
พรหมจรรย์ คาว่าพรหมจรรย์นี้เป็นของละเอียด เพื่อแก้จิตใจของเราให้เป็นผู้มีความละเอียด นิ่ม
นวล สดชื่น เบิกบาน หายจากสิ่งพัวพันต่างๆ หรือสิ่งกังวลต่างๆ อันนี้ก็เป็นการรักษาพรหมจรรย์
ทั้ง นี้ แ ล้ ว แต่ จริ ต นิสั ย แต่ ล ะท่า น แต่ ล ะคน หรือ บุ คคลที่เ กิดขึ้ นมาในโลกนี้ ซึ่ง มีความยิ นดีใ นด้า น
พระพุทธศาสนาอยากประพฤติปฏิบัติแบบไหน ก็เรียกว่าโอกาสเต็มที่ สามารถที่จะทาได้อยู่ทุกระยะ
ทุกฐานะเพราะการประพฤติปฏิบัติศีลธรรมนั้นไม่ได้เลือกว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ได้ทุกเพศทุกวัย สามารถที่
จะน้อมนาธรรมะของพระพุทธองค์เข้ามาสู่จิตใจของตนได้ เพราะจิตใจก็อยู่ในร่างกายของเรานี่ล่ะ
ร่างกายของเราในทางธรรมะ ทาน เรียกว่าเป็นขันใบหนึ่งหรืออีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่า ขันธ์ ๕ มี รูป
เวทนา สัญญา สั งขาร วิญญาณ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทุกรูปทุกนาม ขันธ์ใบนี้จะเอาของอันหนึ่งมาใส่ได้
ทั้งนั้น ของทุกสิ่งทุกอย่างที่ทาให้เกิดขึ้นหรือเอามาใส่ขันใบนี้ใส่ได้หมด จะเป็นของดีก็ตามของไม่ดีก็ตาม
เพราะว่าเรามีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเอาของมาใส่บนขันใบนี้ แต่ถ้าหากเอาของดีมาใส่ก็เรียกตามของที่เอามาใส่
นั้น ยกตัวอย่าง หมากพลู พวกนั้นเรียกว่าขันหมากขันพลู เอายามาใส่ก็เรียกขันยา เอาดินมาใส่ก็เรียก
ขันดิน เอาอะไรมาใส่ก็เรีย กขันอัน นั้น ขันน้าขันท่าอะไรก็ต ามเรื่องของเรา ซึ่งได้แก่ขันห้า ก้อน นี้ก็
ทานองเดียวกัน ถ้าเอาเหล้าเอายามาใส่ก็เรียกขันเหล้าขันยา ขี้ลักขี้ขโมยหรือว่าการตีชิงวิ่งราว ปล้น
สดม ส่ อเสีย ด เบี ย ดบัง อะไรทุกอย่ า ง ก็เ ป็ นไปตามของที่เ อามาใส่ นั้นล่ะ เรีย กตามของที่เ อามาไว้
ข้างบนคาว่าบนในที่นี้ หมายความว่า เอามาสู่จิตใจตนเอง ตลอดถึงความยุ่งเหยิงอะไรต่ออะไร
๑
พ.ศ. ๒๕๕๖
ปรับปรุงจากบทเทศน์วันพระในพรรษา ปี พ.ศ.๒๕๕๖ ณ วัดป่าโยธาประสิทธิ์ จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันอังคาร ที่ ๖ เดือนสิงหาคม
- 2. ร้อยแปดพันอย่าง อย่างท่านกล่าวไว้ในด้านธรรมะที่ท่านเรียกว่ากิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ซึ่งเป็นของ
ที่มีอานาจใฝ่ต่าที่จะนาจิตใจไปสู่ฝ่ายต่า ของดีก็มีของไม่ดีก็มีว่าแต่เราจะเอาอะไรมาใส่ ก็ว่าดีของตนเอง
นั้นล่ะ แต่ไม่ดีทั่วไป นักปราชญ์ไม่ค่อยสรรเสริญ ไม่ได้ตัดสินว่าเป็นของดีแต่มักจะตัดสินด้วยตัวของเรา
เองว่าดี เมื่อเราว่าดีก็เอามาใส่กันไปตามเรื่อง อย่างพวกกินเหล้าเมายา ตีชิงวิ่งราวก็พวกนี้เขาก็ว่าตัว
เขาดี เอาของเหล่านั้นมาทุ่มเทใส่บนหัวใจของเขาทางด้านจิตใจหรือกิริยามารยาท ความประพฤติก็
เปลี่ยนแปลงไปตามเรื่อง โดยไม่ได้คานึงถึงเหตุผลว่าจะมาแทรกแซงหรือปรับปรุงจิตใจของเราให้โน้ม
เอี ย งไปในด้ า นฝ่ า ยต่ านึ ก ว่ า เป็ น ของดี เลยเสกสรรให้ เ ป็ น ไป มนุ ษ ย์ โ ลกของเราจึ ง หมุ น เวี ย น
เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนกัน บางคนก็ทุก ข์ บางคนก็สุข บางคนก็ยาก ลาบากตรากตรา ร่างกายไม่
สมประกอบ บางคนอ้วน บางคนก็ผอม บางคนดา ขาว ร้อยอันพันอย่าง บางคนก็มีโรคภัย ไข้ เจ็บ
มากน้อย ตามเรื่องแล้วแต่กรรมที่จะเสกสรรให้เกิดขึ้น บางคนร่างกายก็ไม่สมประกอบ บางคนตาบอด
ไปข้างหนึ่งหรือสองข้าง หูก็เหมือนกันเคยได้ยินได้ฟังก็ไม่ได้ฟังได้ยิน ร่างกายไม่สมประกอบสักอย่าง
แขนขาด ขาขาด หูหนวก ง่อยเปลี้ยเสียขา ร้อยอันพันอย่าง ซึ่งเราเห็นกันอยู่ทั่วโลก เรื่องแบบนี้เป็น
เรื่องเศษของกรรมที่จะนาสนอง
เนื่องจากการกระทาของเราหรือเป็นผลงานของเราที่ได้กระทามาก่อนแล้ว แต่ผู้ใดสร้ างมาหรือ
ประพฤติปฏิบัติด้านใด ด้านดีก็ต้องส่งเสริมให้ดี ด้านไม่ดีก็ส่งเสริมไปในทางไม่ดี เพราะเรื่องของกรรมได้
เสกสรรหลายแบบ แล้วแต่ตนเองทาเองตนเองทาดีก็ทาให้ดี ตนเองทาไม่ดีก็ทาให้ไม่ดีเป็นลักษณะตรง
ดิ่งเลยไม่มีการเบียดเบียนไม่มีอคติ ของเหล่านี้เกิดขึ้นจากการกระทาของเราทั้งนั้น ฉะนั้นเรื่องของ
พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นธรรมะที่เต็มไปด้วยสัจธรรมซึ่งเป็นความจริงประจาโลก ประจาแผ่นดินมาหลาย
กัปหลายกัณฑ์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรัสทานองเดียวกันหมด ลงสู่ธรรมะอันเดียวกันสอนไปตาม
หลักธรรมชาติ ธรรมะมีไว้สาหรับสอนคนเหล่านี้ ไม่ไ ด้สอนคนตายหรือคนยังไม่เกิด ใช้สอนคนที่มีชีวิต
จิต ใจอยู่ แสดงว่ า ธรรมะทุ ก อย่ า งรวมอยู่ ใ นตั ว ของเราหมดแล้ ว ท่า นจึ ง อยากให้เ ราค้น คิ ด พิ นิ จ
พิจารณา แก้ไขให้เห็นตามเรื่องที่มันเป็นจริงหรือฝังอยู่ในใจเรา ของที่มันอยู่ในจิตใจซึ่งได้สร้างสมอบรม
มาหลายภพหลายชาติแล้ว มันเป็นอนุสัยซึ่งนอนเนื่องอยู่ในจิตสันดาน มีหมดทั้งนั้นทั้งของดีและของไม่
ดีร้อยพันประการ
ฉะนั้ น ส าหรั บ พระเจ้ า พระสงฆ์ หรื อ ผู้ป ระพฤติ ป ฏิ บั ติ ใ นทางพระพุ ทธศาสนาให้ค้ น คิ ด
พิจารณาไปตามความจริง จะต้องเข้าสู่ทางหลักใหญ่ คือ จิตใจ อย่างที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นพระเจ้า
พระสงฆ์ท่านจึงได้พยายามเสียสละกิจการงานต่างๆ เสียสละเวลา เสียสละความสุขของตนออกกมา
บาเพ็ญพรตพรหมจรรย์ ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า หรือ พระอริย ะเจ้าแท้ แต่สมัยครั้งก่อนๆ ต่อมาสมัย
ปัจจุบันก็มีเหมือนกัน แต่ว่าการปฏิบัติ ค้นคิด พินิจพิจารณาให้รู้เห็นไปตามความเป็นจริง ถ้าหากไม่เข้า
สู่จิตใจละก็ไม่มีทาง เพราะว่าหลักใหญ่มันอยู่กับจิตใจตัวเหตุใหญ่ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติจะต้องออกปฏิบัติหรือ
วิเวกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเป็นความชานาญในการปฏิบัติ ถ้าจะมาอ่านตามหนังสือแล้วท่าไม่ได้
ปฏิบัติด้วยตัวเองเราจะไม่ได้อะไรเลย ฉะนั้นธรรมะจึงเน้นการปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็ไม่ได้ว่าปริยัติ
ไม่ดี ก็ปริยัตินั้นแหละจึงทาให้เราได้รู้หลักการและขั้นตอนในการปฏิบัติ เมื่อเรารู้แล้ว ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ