More Related Content
Similar to คีตะการ ดนตรีล้านนา
Similar to คีตะการ ดนตรีล้านนา (15)
คีตะการ ดนตรีล้านนา
- 6. 1. พิณเปี๊ยะ / เปี๊ยะ
1. เพียะ ( “ ”อ่าน เปี๊ยะ ) และ ซึง ในโคลงนิราศหริภุญชัย
เรียกซึงว่าติ่งเช่นเดียวกับที่ชาวไทใหญ่เรียก เพียะ เป็นเครื่อง
ดีดจำาพวกพิณ จัดเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งของล้าน
นาและปรากฎการกล่าวถึงใน กาพย์ห่อโคลง ของพระศรี
มโหสถในสมัยอยุธยาด้วย มีลักษณะคล้ายพิณนำ้าเต้าของภาค
อีสาน การเล่นเพียะเท่าที่พบนั้นส่วนมากเป็นการเล่นเดี่ยว ไม่
ค่อยเล่นประสมวง และไม่นิยมมีการขับร้องประกอบ เนื่องจาก
เสียงของเพียะไม่ค่อยดังนัก อาจมีการช้อยโคลง ( “อ่าน จ๊อ
”ยกะโลง ) ประกอบคือขับโคลงเป็นทำานองเสนาะ ส่วนเพลงที่
เล่นนั้นสามารถเล่นได้ทุกเพลงเท่าที่เครื่องดนตรีอื่นๆ ในระดับ
ชาวบ้านจะเล่นได้ เช่น เพลง จก ไหล ปุ๋มเป้ง เก้าปุ๋มป่ง
ปราสาทไหว ปราสาทกุด เงี้ยว พม่า อื่อ ฯลฯ
- 8. 2. ซึง
2. ซึง บางท้องถิ่นเรียกว่า ติ่ง มีลักษณะคล้ายกระจับปี่หรือคล้าย
พิณหรือซุงของภาคอีสาน หรือคล้ายกีตาร์ขนาดเล็ก ซึงประกอบด้วย
กล่องเสียง มีคอยื่นออกไปและขึงสายซึ่งเป็นต้นกำาเนิดเสียง จากปลาย
คอผ่านกลางกล่องเสียงไปยังขอบของกล่องเสียงอีกด้านหนึ่ง อาจใช้
ไม้ทั้งท่อนทำาซึงทั้งกล่องเสียงและคอโดยเป็นไม้ชิ้นเดียวกัน หรือ
คนละชิ้นทำาแยกส่วนก็ได้ ตัวซึงมักจะใช้ไม้เนื้ออ่อนหรือไม้สักทำาทั้ง
แผ่นเพราะขุดเนื้อไม้ทำาเป็น กล่องเสียงได้ง่าย ความหนาของกล่อง
เสียงขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ที่จะใช้ทำาและขนาดของซึงที่ต้องการ
ซึงนับเป็นเครื่องดนตรีที่นักดนตรีเกือบทุกคนสามารถทำาขึ้นไว้
เล่นเองได้ และเป็นเครื่องดนตรีที่มีขายอย่างแพร่หลายแหล่งที่ทำาซึง
ขายนั้นนอกจากจะเป็น กลุ่มนักดนตรีที่เล่นเป็นอาชีพจะรับทำาเมื่อมีคน
มาสั่งแล้ว ยังมีวางขายที่ตลาดกลางคืน ถนนช้างคลาน และที่บ่อสร้าง
อำาเภอสันกำาแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
- 11. เครื่องสายที่มีคันสี เสียงดนตรีจะเกิดจากการเสียดสี
ระหว่างสายคันชักกับสายเส้นลวดทองเหลืองที่ ขึงตึงอยู่
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีของล้านนา ได้แก่สะล้อ
สะล้อ อาจเรียกว่า ถะล้อ ธะล้อ หรือ ทะร้อ ซึ่งมีรูปศัพท์เดิม
“ ”จากภาษาขอมว่า ทฺรอ ซึ่งภาษาไทยกลางออกเสียงเป็น
“ ” “ ”ซอ แต่ในโคลงนิราศหริภิญชัยว่า ธะล้อ เป็นเครื่อง
สายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชักสีลงบนสายที่ขึงผ่านหน้า
กล่องเสียง มีรูปร่างใกล้เคียงกับซออู้
สะล้อมี ๓ ขนาด ได้แก่
๑. สะล้อเล็ก มี ๒ สาย
๒.สะล้อกลาง มี ๒ สาย
๓.สะล้อใหญ่ มี ๓ สาย มีวิธีการเล่นคล้ายซอ
สามสายแต่ไม่เอาคันชักไว้ระหว่างสาย
สะล้อ ที่นิยมบรรเลงคือสะล้อที่มี ๒ สาย ส่วนสะล้อ ๓ สาย
ไม่ค่อยมีผู้นิยมเล่น เพราะเล่นยากกว่าสะล้อ ๒ สาย
นอกจากใช้สะล้อบรรเลงเดี่ยวแล้ว ยังนิยมใช้บรรเลงร่วม
กับวงดนตรีพื้นเมืองสะล้อ-ซึง
- 14. กลองหลวง
1. กลองหลวง หรือ กลองห้ามมาร รูป
ลักษณะเป็นกลองยาวคอดกลางปลายบานเป็น
ลำาโพง ยาวประมาณ 3.0-3.5เมตร ขนาดหน้า
กลองเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 60-80 เซนติเมตร
ต้องวางบนล้อเกวียน ใช้คนลากหลายคน เวลาตี
ต้องขึ้นนั่งคร่อมตีหรือยืนอยู่ด้านหน้ากลอง ใช้
มือขวาตีโดยมีผ้าพันมือทำาเป็นรูปกรวยแหลมให้
ผ้าพันมือกระทบหน้ากลอง ใช้ตีเป็นสัญญาณ
วันพระ 8 คำ่า หรือ 15 คำ่า ในล้านนามีประเพณี
การแข่งขันตีกลองหลวง ซึ่งนิยมกันมากในช่วง
พ.ศ.2520 เป็นต้นมา
- 16. กลองเต่งถิ้ง
2. กลองเต่งถิ้ง หรือ กลองโป่งป้ง เป็นก
ลองขึ้นหนังสองหน้า มีขาตั้ง ใช้ตีทั้งสองหน้า
ลักษณะเดียวกับตะโพนไทยและตะโพนมอญ
“ ” “ใช้เล่นประสมวง เต่งถิ้ง หรือ วง พาทย์
” (วงปี่พาทย์มอญ) และวงสะล้อ-ซึง (ดูเรื่องการ
ประสมวงต่อไป) กลองชนิดนี้มีหลายขนาด มี
ตั้งแต่ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลาง 20-40
เซนติเมตร และความยาวของตัวกลองตั้งแต่ 45-
60 “เซนติเมตร ถ้าเป็นขนาดเล็กบางทีก็เรียกว่า
” “ ”กลองโป่งป้ง หรือ กลองตัด
- 19. ปี่จุม / ปี่ชุม
ปี่จุมมีทั้งหมด ๕ เลา คือ
๑. ปี่แม่ หรือ ปี่เค้า ( “ ”อ่าน ปี่เก๊า ) ทำาจากไม้ไผ่
ส่วนโคนมีขนาดใหญ่ที่สุดของแต่ละชุม มีขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ ๒ เซนติเมตร ยาวไม่ตำ่า
กว่า ๗๕ เซนติเมตร ปี่แม่มีเสียงทุ้มตำ่า
๒. ปี่กลาง ( “ ”อ่าน ปี่ก๋าง ) มีขนาดรองลงไป ทำา
จากไม้ไผ่ช่วงที่ถัดจากปี่แม่ลงไป มีความยาว
ประมาณ ๔ ส่วนใน ๕ ส่วนของปี่แม่ ปี่กลางมี
เสียงสูงขึ้นมา
- 20. ๓. ปี่ก้อย มีขนาดเล็กถัดจากปี่กลางลงไป ทำาจากไม้ช่วง
ที่ถัดจากปี่กลางลงไป มีความยาวประมาณ ๓ ส่วน ใน ๔
ส่วนของปี่กลาง ปี่ก้อยมีเสียงสูงกว่าปี่กลาง
๔. ปี่เล็ก เป็นปี่ที่ทำาจากไม้ช่วงที่ถัดจากปี่ก้อยลงไป มี
ความยาวเป็นครึ่งหนึ่งของปี่กลางและเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ ๑.๒-๑.๔ เซนติเมตร ปี่เล็กเป็นปี่ที่มีเสียงสูงกว่า
ปี่ก้อย
๕. ปี่ตัด เป็นปี่ที่มีขนาดเล็กที่สุดของชุม ซึ่งเป็นปี่ที่เพิ่งจะ
เพิ่มมาภายหลัง ปัจจับันไม่ค่อยนิยมใช้เท่าใดนักเพราะ
เป็นปี่ที่เป่ายากที่สุดในชุม
- 22. ปี่แน
แน เป็นเครื่องเป่าประเภทหนึ่งบางครั้งถูกชาวบ้าน
เรียกว่า ปี่แน พบว่ามีขายแม้กระทั่งในตลาดของเมืองตาลี
มณฑลยูนนาน ประเทศจีน และอาจจะได้รับอิทธิพลมา
จากพม่า ซึ่งมีเครื่องดนตรีประเภทเดียวกันนี้อยู่ด้วย ลิ้น
ของแนทำาด้วยใบลานหรือใบตาล เป็นลิ้นคู่ประกบกันอยู่
รอบๆ ท่อโลหะเล็กๆ ท่อนี้เสียงเข้าไปในท่อไม้กลมยาวซึ่ง
ค่อยๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น ท่อไม้นี้กลวงตลอดและรูภายใน
ค่อยๆ โตขึ้นตามขนาดของไม้ด้วย รูที่เจาะบนท่อไม้เป็น
ระยะสำาหรับปิดเปิดด้วยนิ้วมือทั้งสองข้าง ซึ่งมีจำานวน ๖ รู
ปากลำาโพงทำาด้วยทองเหลือง ผู้เป่าที่ชำานาญอาจใช้แน
ทำาเสียงให้ได้อารมณ์ต่างๆ หลายชนิด
แน มี ๒ ขนาด คือ แนหลวง หรือแนใหญ่ มารูปร่าง
ลักษณะขนาดและวิธีเล่นเหมือนกับปี่มอญ