More Related Content
Similar to ดนตรีล้านนา (17)
ดนตรีล้านนา
- 3. การดำารงอยู่คงต้องอาศัยปัจจัยสำาคัญอย่าง
น้อย ๒ ประการได้แก่ แรงสนับสนุนส่งเสริม
และ ความนิยม ซึ่งแรงสนับสนุนส่งเสริมที่
ปรากฏชัดได้แก่ การจัดสอนฟ้อนรำาและดนตรี
ในราชสำานักอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในระยะแรก
อาจสอนเฉพาะแบบราชสำานัก ต่อมามีการส่ง
เสริมการฟ้อนรำาและดนตรีพื้นบ้านเข้าไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยพระราชชายาเจ้าดา
รารัศในรัชกาลที่ ๕ มีท่านทรงสนับสนุนให้มี
การศึกษาดนตรีไทยภาคกลาง มโหรี ปี่พาทย์
เป็นต้น สำาหรับ ดนตรีถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน
อ้างอิงว่าทรงส่งเสริมเครื่องดนตรีล้านนาชนิดใด
แต่พออนุมานหรือคาดเดาจากร่องรอยการแสดง
ที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน เช่น ละครร้องเรื่อง
- 5. 1. พิณเปี๊ยะ / เปี๊ยะ
1. เพียะ ( “ ”อ่าน เปี๊ยะ ) และ ซึง ในโคลง
นิราศหริภุญชัย เรียกซึงว่าติ่งเช่นเดียวกับที่ชาวไท
ใหญ่เรียก เพียะ เป็นเครื่องดีดจำาพวกพิณ จัดเป็น
เครื่องดนตรีที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งของล้านนาและปราก
ฎการกล่าวถึงใน กาพย์ห่อโคลง ของพระศรี
มโหสถในสมัยอยุธยาด้วย มีลักษณะคล้ายพิณนำ้า
เต้าของภาคอีสาน การเล่นเพียะเท่าที่พบนั้นส่วน
มากเป็นการเล่นเดี่ยว ไม่ค่อยเล่นประสมวง และไม่
นิยมมีการขับร้องประกอบ เนื่องจากเสียงของเพียะ
ไม่ค่อยดังนัก อาจมีการช้อยโคลง ( “อ่าน จ๊อยกะ
”โลง ) ประกอบคือขับโคลงเป็นทำานองเสนาะ ส่วน
เพลงที่เล่นนั้นสามารถเล่นได้ทุกเพลงเท่าที่เครื่อง
- 7. 2. ซึง
2. ซึง บางท้องถิ่นเรียกว่า ติ่ง มีลักษณะคล้ายกระจับปี่หรือคล้าย
พิณหรือซุงของภาคอีสาน หรือคล้ายกีตาร์ขนาดเล็ก ซึงประกอบด้วย
กล่องเสียง มีคอยื่นออกไปและขึงสายซึ่งเป็นต้นกำาเนิดเสียง จากปลาย
คอผ่านกลางกล่องเสียงไปยังขอบของกล่องเสียงอีกด้านหนึ่ง อาจใช้
ไม้ทั้งท่อนทำาซึงทั้งกล่องเสียงและคอโดยเป็นไม้ชิ้นเดียวกัน หรือ
คนละชิ้นทำาแยกส่วนก็ได้ ตัวซึงมักจะใช้ไม้เนื้ออ่อนหรือไม้สักทำาทั้ง
แผ่นเพราะขุดเนื้อไม้ทำาเป็น กล่องเสียงได้ง่าย ความหนาของกล่อง
เสียงขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ที่จะใช้ทำาและขนาดของซึงที่ต้องการ
ซึงนับเป็นเครื่องดนตรีที่นักดนตรีเกือบทุกคนสามารถทำาขึ้นไว้
เล่นเองได้ และเป็นเครื่องดนตรีที่มีขายอย่างแพร่หลายแหล่งที่ทำาซึง
ขายนั้นนอกจากจะเป็น กลุ่มนักดนตรีที่เล่นเป็นอาชีพจะรับทำาเมื่อมีคน
มาสั่งแล้ว ยังมีวางขายที่ตลาดกลางคืน ถนนช้างคลาน และที่บ่อสร้าง
อำาเภอสันกำาแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
- 10. เครื่องสายที่มีคันสี เสียงดนตรีจะเกิดจากการเสียดสี
ระหว่างสายคันชักกับสายเส้นลวดทองเหลืองที่ ขึงตึงอยู่
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีของล้านนา ได้แก่สะล้อ
สะล้อ อาจเรียกว่า ถะล้อ ธะล้อ หรือ ทะร้อ ซึ่งมีรูปศัพท์เดิม
“ ”จากภาษาขอมว่า ทฺรอ ซึ่งภาษาไทยกลางออกเสียงเป็น
“ ” “ ”ซอ แต่ในโคลงนิราศหริภิญชัยว่า ธะล้อ เป็นเครื่อง
สายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชักสีลงบนสายที่ขึงผ่านหน้า
กล่องเสียง มีรูปร่างใกล้เคียงกับซออู้
สะล้อมี ๓ ขนาด ได้แก่
๑. สะล้อเล็ก มี ๒ สาย
๒.สะล้อกลาง มี ๒ สาย
๓.สะล้อใหญ่ มี ๓ สาย มีวิธีการเล่นคล้ายซอ
สามสายแต่ไม่เอาคันชักไว้ระหว่างสาย
สะล้อ ที่นิยมบรรเลงคือสะล้อที่มี ๒ สาย ส่วนสะล้อ ๓ สาย
ไม่ค่อยมีผู้นิยมเล่น เพราะเล่นยากกว่าสะล้อ ๒ สาย
นอกจากใช้สะล้อบรรเลงเดี่ยวแล้ว ยังนิยมใช้บรรเลงร่วม
กับวงดนตรีพื้นเมืองสะล้อ-ซึง หรือบางแห่งใช้บรรเลงร่วม
กับปี่ชุม ประกอบการซอ บทเพลงที่เล่นมักเป็นเพลงพื้น
- 13. กลองหลวง
1. กลองหลวง หรือ กลองห้ามมาร รูป
ลักษณะเป็นกลองยาวคอดกลางปลายบานเป็น
ลำาโพง ยาวประมาณ 3.0-3.5เมตร ขนาดหน้า
กลองเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 60-80 เซนติเมตร
ต้องวางบนล้อเกวียน ใช้คนลากหลายคน เวลา
ตีต้องขึ้นนั่งคร่อมตีหรือยืนอยู่ด้านหน้ากลอง ใช้
มือขวาตีโดยมีผ้าพันมือทำาเป็นรูปกรวยแหลมให้
ผ้าพันมือกระทบหน้ากลอง ใช้ตีเป็นสัญญาณ
วันพระ 8 คำ่า หรือ 15 คำ่า ในล้านนามีประเพณี
การแข่งขันตีกลองหลวง ซึ่งนิยมกันมากในช่วง
- 15. กลองเต่งถิ้ง
2. กลองเต่งถิ้ง หรือ กลองโป่งป้ง เป็นก
ลองขึ้นหนังสองหน้า มีขาตั้ง ใช้ตีทั้งสองหน้า
ลักษณะเดียวกับตะโพนไทยและตะโพนมอญ
“ ” “ใช้เล่นประสมวง เต่งถิ้ง หรือ วง พาทย์
” (วงปี่พาทย์มอญ) และวงสะล้อ-ซึง (ดูเรื่องการ
ประสมวงต่อไป) กลองชนิดนี้มีหลายขนาด มี
ตั้งแต่ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลาง 20-40
เซนติเมตร และความยาวของตัวกลองตั้งแต่ 45-
60 “เซนติเมตร ถ้าเป็นขนาดเล็กบางทีก็เรียกว่า
” “ ”กลองโป่งป้ง หรือ กลองตัด
- 18. ปี่จุม / ปี่ชุม
ปี่จุมมีทั้งหมด ๕ เลา คือ
๑. ปี่แม่ หรือ ปี่เค้า ( “ ”อ่าน ปี่เก๊า ) ทำาจากไม้ไผ่ส่วนโคน
มีขนาดใหญ่ที่สุดของแต่ละชุม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
เกือบ ๒ เซนติเมตร ยาวไม่ตำ่ากว่า ๗๕ เซนติเมตร ปี่แม่มี
เสียงทุ้มตำ่า
๒. ปี่กลาง ( “ ”อ่าน ปี่ก๋าง ) มีขนาดรองลงไป ทำาจากไม้ไผ่
ช่วงที่ถัดจากปี่แม่ลงไป มีความยาวประมาณ ๔ ส่วนใน ๕
ส่วนของปี่แม่ ปี่กลางมีเสียงสูงขึ้นมา
๓. ปี่ก้อย มีขนาดเล็กถัดจากปี่กลางลงไป ทำาจากไม้ช่วงที่
ถัดจากปี่กลางลงไป มีความยาวประมาณ ๓ ส่วน ใน ๔
ส่วนของปี่กลาง ปี่ก้อยมีเสียงสูงกว่าปี่กลาง
๔. ปี่เล็ก เป็นปี่ที่ทำาจากไม้ช่วงที่ถัดจากปี่ก้อยลงไป มีความ
ยาวเป็นครึ่งหนึ่งของปี่กลางและเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
๑.๒-๑.๔ เซนติเมตร ปี่เล็กเป็นปี่ที่มีเสียงสูงกว่าปี่ก้อย
๕. ปี่ตัด เป็นปี่ที่มีขนาดเล็กที่สุดของชุม ซึ่งเป็นปี่ที่เพิ่งจะ
- 20. ปี่แน
แน เป็นเครื่องเป่าประเภทหนึ่งบางครั้งถูกชาวบ้านเรียกว่า
ปี่แน พบว่ามีขายแม้กระทั่งในตลาดของเมืองตาลี มณฑลยูน
นาน ประเทศจีน และอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากพม่า ซึ่งมี
เครื่องดนตรีประเภทเดียวกันนี้อยู่ด้วย ลิ้นของแนทำาด้วยใบลาน
หรือใบตาล เป็นลิ้นคู่ประกบกันอยู่รอบๆ ท่อโลหะเล็กๆ ท่อนี้
เสียงเข้าไปในท่อไม้กลมยาวซึ่งค่อยๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น ท่อไม้นี้
กลวงตลอดและรูภายในค่อยๆ โตขึ้นตามขนาดของไม้ด้วย รูที่
เจาะบนท่อไม้เป็นระยะสำาหรับปิดเปิดด้วยนิ้วมือทั้งสองข้าง ซึ่งมี
จำานวน ๖ รู ปากลำาโพงทำาด้วยทองเหลือง ผู้เป่าที่ชำานาญอาจ
ใช้แนทำาเสียงให้ได้อารมณ์ต่างๆ หลายชนิด
แน มี ๒ ขนาด คือ แนหลวง หรือแนใหญ่ มารูปร่างลักษณะ
ขนาดและวิธีเล่นเหมือนกับปี่มอญ กับ แนหน้อย หรือแนเล็ก มี
ขนาดเล็กและระดับเสียงสูงกว่าแนหลวง มีเสียงแหลม และวิธี
การเล่นคล้ายปี่ชวา
แนไม่ใช้ บรรเลงเดี่ยว แต่จะเป็นส่วนใหญ่ในวงพาทย์หรือปี่
พาทย์ล้านนา ซึ่งจะบรรเลงร่วมกับระนาดและฆ้องวง มีกลองเต่ง
ถิ้งหรือตะโพนมอญ และฉาบเป็นเครื่องจังหวะสำาคัญ แนจะเป็น