SlideShare a Scribd company logo
การทำางานเป็นทีม



การทำางานในสมัยปัจจุบันหรือการบริหารงานแนวใหม่นี้จะทำาแบบ“ข้ามาคนเดียว”

หรือ “วันแมนโชว์” หรือ“ศิลปินเดี่ยว” หรือ “อัศวินม้าขาว” หรือ …อื่น ๆ ดูจะเป็นไปได้ยาก

การทำางานเป็น “ ทีม - Team ”

ทีม (Team) หมายถึง บุคคลที่ทำางานร่วมกันอย่างประสานงานภายในกลุ่ม

กล่าวคือ เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในการทำางาน

เพื่อให้เกิดผลสำาเร็จ

ทีมงาน (Team Work) หมายถึง กลุ่มคนที่มความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิดและ
                                      ี

คงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้างจะถาวรซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน

โดยร่วมกันทำางานให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของทีมงาน

“การทำางานเป็นทีม” เป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

โดยต้องมีองค์ประกอบสำาคัญ 3 ประการ (3P) ได้แก่

มีวัตถุประสงค์ (Purpose) ต้องชัดเจน

มีการจัดลำาดับความสำาคัญ (Priority) ในการทำางาน

มีผลการทำางาน (Performance)

                ความแตกต่างระหว่างการทำางานแบบทีมและกลุ่ม (Teams vs Groups )

การทำางานแบบกลุ่ม (Work group) คือ การรวมกลุ่มที่มีกิจกรรมร่วมเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน

และช่วยในการตัดสิ้นใจให้แก่สมาชิกในกลุ่มที่จะทำางานภายในขอบข่ายที่รับผิดชอบของ

แต่ละคนนั้น ในการทำางานของกลุ่มไม่จำาเป็นที่จะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่มี

การเชื่อมโยงทรัพยากรและใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลในทางบวก

นั่นคือเราใส่การทำางานของแต่ละคนเข้าไปผลงานที่ออกรวมกันแล้วจะได้เท่ากับที่ใส่เข้าไป

หรืออาจจะน้อยกว่าก็ได้

การทำางานแบบทีม ( Work teams) เป็นการทำางานร่วมกันและส่งเสริมกันไปในทางบวก

ผลงานรวมของทีมที่ได้ออกมาแล้วจะมากกว่าผลงานรวมของแต่ละคนมารวมกัน
ชนิดของทีมงาน

การแบ่งทีมในองค์กรสามารถที่จะแบ่งประเภท ตามวัตถุประสงค์ได้ 4 รูปแบบคือ

1. ทีมแก้ปัญหา (Problem - Solving Teams) ประกอบด้วยกลุ่มของพนักงาน และ

ผู้บริหารซึ่งเข้ามารวมกลุ่มด้วยความสมัครใจ และประชุมร่วมกันอย่างสมำ่าเสมอ

เพื่ออภิปรายหาวิธีการสำาหรับการแก้ปัญหา โดยทั่วไปทีมแก้ปัญหาทำาหน้าที่เพียง

ให้คำาแนะนำาเท่านั้น แต่จะไม่มีอำานาจที่จะทำาให้เกิดการกระทำา ตามคำาแนะนำา

ตัวอย่างของทีมแก้ปัญหาที่นิยมทำากัน คือ ทีม QC (Quality Circles)

2. ทีมบริหารตนเอง (Self - Managed Teams) หมายถึง ทีมที่สมาชิกทุกคนล้วน

รับผิดชอบต่อลักษณะทั้งหมดของการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร

ซึ่งสมาชิกจะปฏิบัติงานโดยทั่วไป มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบสำาหรับงาน

ทีมบริหารตนเองสามารถที่จะเลือกสมาชิกผู้ร่วมทีม และสามารถให้สมาชิกมีการตรวจสอบ

ซึ่งกันและกัน

3. ทีมที่ทำางานข้ามหน้าที่กัน (Cross - Function Teams) เป็นการประสมประสาน

ข้ามหน้าที่งาน ความสามารถในการดึงทรัพยากรบุคคลผนวกเข้าด้วยกันจากหน้าที่

ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างสมรรถภาพในด้านความแตกต่าง โดยเป็นการใช้

กำาลังแรงงาน ตั้งเป็นทีมข้ามหน้าที่ชั่วคราวซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคณะกรรมการ

(Committees) เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน, พัฒนาความคิดใหม่ๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหา

และทำาโครงการที่ซับซ้อน ทีมข้ามหน้าที่ ต้องการเวลามากเพื่อสมาชิกจะต้องเรียนรู้งาน

ที่แตกต่าง ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้ใจ และสร้างการทำางานเป็นทีม

เนื่องจาก แต่ละคนมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน

4. ทีมเสมือนจริง (Virtual Teams) ลักษณะการทำางานจะเป็นทีม แต่สภาพการทำางาน

จะแยกกันอยู่ ดังนั้นจึงต้องการระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพ

ซึ่งอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมจะมุ่งเน้นความสำาเร็จของงานเพื่อให้บรรลุ

เป้าหมายของงานร่วมกัน แต่จะมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ด้านความรู้สึกทางสังคม

ในระดับตำ่า
ข้อควรระวัง : การทำางานเป็นทีมไม่ได้เป็นคำาตอบในการแก้ไขปัญหาเสมอไป เนื่องจาก

การทำางานเป็นทีมต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าการทำางานคนเดียว

ยกตัวอย่างเช่น

• ต้องเพิ่มการติดต่อสื่อสารมากขึ้น

• ต้องบริหารความขัดแย้งระหว่างกัน

• ต้องมีการจัดการประชุม

• ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

อย่างไรก็ตามในบางกรณีผลประโยชน์ที่ได้จากการทำางานเป็นทีมก็จะได้รับผลตอบแทน

ที่คุ้มค่า ดังนั้น ผู้บริหารต้องทำาการประเมินว่างานใดควรทำาคนเดียว และงานประเภทใด

ที่ต้องใช้ความร่วมมือของทีม

คำาถาม 3 ข้อ เพื่อดูว่าควรใช้วิธีการทำางานเป็นทีมในการทำางานหรือไม่

1. งานนั้นสามารถทำาได้ดีขึ้นหรือไม่ หากใช้คนมากกว่าหนึ่งคน

2. งานนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทุกคนในกลุ่ม หรือ เพื่อคนใดคนหนึ่ง

3. การเลือกใช้ประเภทของทีมให้เหมาะสมกับสถานการณ์

การทำางานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ

1. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน

ที่ต้องการทำาให้องค์การบรรลุผลสำาเร็จที่คาดหวังไว้ในการดำาเนินงานให้เป็นไปตามภารกิจ

ขององค์การ

- การกำาหนดวัตถุประสงค์ที่ดี โดยให้ผู้นำาและสมาชิกภายในทีม มีส่วนร่วมในการกำาหนด

หน้าที่ความรับผิดชอบและวัตถุประสงค์ร่วมกัน ควรกำาหนดจุดมุ่งหมายไว้ให้ชัดเจนที่ผล

งานมากกว่าการกระทำา

- ประโยชน์ของการกำาหนดวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ใช้เป็น

เครื่องมือในการรวมพลังในการทำางาน และใช้เป็นเครื่องมือวัดความสำาเร็จหรือความ

ล้มเหลวในงาน

- คุณลักษณะของวัตถุประสงค์ที่ดี คือ เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เข้าใจได้ง่าย
สามารถปฏิบัติได้จริง ไม่ขัดต่อข้อบังคับและนโยบายอื่นๆในหน่วยงาน

2. ความเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา เป็นสิ่งสำาคัญต่อการทำางานเป็น

ทีมที่มีประสิทธิภาพ สมาชิกในทีมจะต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย

ตรงไปตรงมา แก้ปญหาอย่างเต็มใจและจริงใจ การแสดงความเปิดเผยของสมาชิกในทีม
               ั

จะต้องปลอดภัย พูดคุยถึงปัญหาอย่างสบายใจ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันและทำางานร่วมกัน

เป็นอย่างดี โดยมีการเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่นในด้านความต้องการ ความคาดหวัง

ความชอบหรือไม่ชอบ ความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด จุดเด่นจุดด้อยและ

อารมณ์ รวมทั้งความรู้สึก ความสนใจนิสัยใจคอ

3. การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน สมาชิกในทีมจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน

โดยทีละคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าได้รับ

ผลร้ายที่จะมีต่อเนื่องมาภายหลัง สามารถทำาให้เกิดการเปิดเผยต่อกัน และกล้าที่จะเผชิญ

หน้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี

4. ความร่วมมือและการให้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ ผู้นำากลุ่มหรือทีมจะต้องทำา

งานอย่างหนักในอันที่จะทำาให้เกิดความร่วมมือดังนี้

4.1 การสร้างความร่วมมือกับบุคคลอื่น ในการสร้างความร่วมมือเพื่ความเข้าใจซึ่งกันและ

กันและมีบุคคลอยู่สองฝ่ายคือ ผู้ขอความร่วมมือ และผู้ให้ความร่วมมือ

ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้เมื่อฝ่ายผู้ให้เต็มใจและยินดีจะให้ความร่วมมือ

เหตุผลที่ทำาให้ขาดความร่วมมือไม่ช่วยเหลือกัน คือ การขัดผลประโยชน์ ไม่อยากให้คนอื่น

ได้ดีกว่า สัมพันธภาพไม่ดี วัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วยกับวิธทำางาน
                                                                               ี

ขาดความพร้อมที่จะร่วมมือ หรืองานที่ขอความร่วมมือนั้น เลี่ยงภัยมากเกินไป หรือเพราะ

ความไม่รับผิดชอบต่อผลงานส่วนรวม

4.2 การขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกันตามความคิด หรือ การกระทำาที่เกิดขึ้นระหว่าง

สองคนขึ้นไป หรือระหว่างกลุ่ม โดยมีลักษณะที่ไม่สอดคล้อง ขัดแย้ง ขัดขวาง ไม่ถูกกัน

จึงทำาให้ความคิดหรือการทำากิจกรรมร่วมกันนั้น เสียหาย หรือดำาเนินไปได้ยากไม่ราบรื่น

ทำาให้การทำางานเป็นทีมลดลง นับเป็นปัญหา อุปสรรคที่สำาคัญยิ่ง
- สาเหตุของความขัดแย้ง ผลประโยชน์ขัดกัน

- ความคิดไม่ตรงกัน หรือ องค์กรขัดแย้งกัน

- ความรู้ความสามารถต่างกัน ทำาให้มีลักษณะการทำางานต่างกัน

- การเรียนรู้ต่างกัน ประสบการณ์ที่มีมาไม่เหมือนกัน

- เป้าหมายต่างกัน

4.3 วิธีแก้ความขัดแย้ง การแก้ความขัดแย้งเป็นเรื่องของทักษะเฉพาะบุคคล การแก้ปัญหา

ความขัดแย้งในการทำางานเป็นทีม ควรใช้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่พูดในลักษณะที่

แปลความหรือมุ่งตัดสินความ ไม่พูดในเชิงวิเคราะห์ ไม่พูดในลักษณะที่แสดงตนเหนือกว่า

ผู้อื่น หรือไม่พูดในลักษณะที่ทำาให้ผู้อื่นเจ็บปวด เสียหน้า อับอาย เจ็บใจ หรือการพยายาม

พูดหาประเด็นของความขัดแย้ง ไม่กล่าวโจมตีว่าใครผิดใครถูก

5. กระบวนการการทำางาน และการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม งานที่มีประสิทธิภาพนั้น

ทุกคนควรจะคิดถึงงานหรือคิดถึงผลงานเป็นอันดับแรก ต่อมาควรวางแผนว่าทำาอย่างไร

งานจึงจะออกมาดีได้ดังที่เราต้องการ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจนั้นจุดมุ่งหมาย

ควรจะมีความชัดเจนและสมาชิกทุกคน ควรมีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของการทำางาน

เป็นอย่างดี

จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนถือเป็นหัวใจสำาคัญด้วยเหตุนจุดมุ่งหมายควรต้องมีความชัดเจนและ
                                               ี้

สมาชิกทุกคนมีความเข้าใจอย่างดี เพราะจะนำาไปสู่แนวทางแนวทางในการทำางานว่าต้องทำา

อย่างไร จึงจะบรรลุตามเป้าหมายของงาน ให้ได้ผลของงานออกมาได้อย่างดีที่สุด

การตัดสินใจสั่งการเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานของการบริหารงาน ผู้บริหารหรือผู้นำาทีม

เป็นบุคคลสำาคัญในการที่จะมีส่วนในการตัดสินใจ วิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจ

หลายวิธีคือ ผู้บริหารตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหา โดยไม่ต้องซักถามคนอื่นหรือผู้บริหารจะรับฟัง

ความคิดเห็นก่อนตัดสินใจ กล่าวคือ ผู้บริหารยังคงตัดสินใจด้วยตนเองแต่ขึ้นอยู่กับความ

คิดเห็นและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้บริหารได้รับมาจากสมาชิกของทีม บางครั้งผู้บริหารอาจจะตัดสิน

ใจร่วมกับทีมงานที่คัดเลือกมาโดยที่ผู้บริหารนำาเอาปัญหามาให้ทีมงานอภิปราย แล้วให้

ทีมงานตัดสินใจหรือทีมงาน อาจจะมอบหมายการตัดสินใจให้คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มย่อย
ที่เห็นว่าเหมาะสมก็ได้

ขั้นตอนในการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำาคัญ 4 ขั้นตอนคือ

1. ทำาความเข้าใจอย่างชัดเจนในเหตุผลสำาหรับการตัดสินใจ

2. วิเคราะห์ลักษณะของปัญหาที่จะตัดสินใจ

3. ตรวจสอบทางเลือกต่างๆ ในการแก้ปัญหาโดยพิจารณาถึงผลที่อาจเกิดตามมาด้วย

4. การนำาเอาผลการตัดสินใจไปปฏิบัติ

6. ภาวะผู้นำาที่เหมาะสม ผู้นำา หรือ หัวหน้าทีมควรทำาหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะประเด็นที่สำาคัญ

ในการทำางานตามบทบาทของผู้นำา คือ การแบ่งงาน กระจายงานให้สมาชิกทุกกลุ่มตาม

ความรู้ ความสามารถ สำาหรับสมาชิกของทีมงานที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำา ต้องพร้อม

ที่จะทำาหน้าที่ให้เหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมาย โดยการให้การสนับสนุนนำาทีมให้

ประสบความสำาเร็จ ส่งเสริมให้มีบรรยากาศที่ดีในการทำางานเป็นทีม มีการพัฒนาบุคลากร

และทีมงาน

7. การตรวจสอบทบทวนผลงานและวิธีในการทำางาน ทีมงานที่ดีไม่เพียงแต่ดูจากลักษณะ

ของทีม และบทบาทที่มีอยู่ในองค์กรเท่านั้น แต่ต้องดูวิธีการ ทีทำางานด้วยการทบทวนงาน
                                                            ่

และทำาให้ทีมงานได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ทำารู้จักคิด การได้รับข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับ

การปฏิบัติงานของแต่ละคนหรือของทีม

8. การพัฒนาตนเอง การทำางานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพพยายามที่จะรวบรวมทักษะต่างๆ

ของแต่ละคน การพัฒนาบุคลากรในองค์การมักจะมองในเรื่องทักษะและความรุ้ที่แต่ละคน

มีอยู่แล้ว ก็ทำาการฝึกอบรมเพื่อปรับปรุงพัฒฯคนให้มีความสามารถสูงขึ้น อันจะมีผลดีใน

การทำางานให้ดีขึ้น ผู้บริหารหรือผู้นำาต้องมีความรู้ในการบริหารคนสามารถสอนพัฒนาคน

ให้มีลักษณะที่ดขึ้น
               ี

More Related Content

Similar to Teams work

การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการบริหารความขัดแย้ง
การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการบริหารความขัดแย้งการตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการบริหารความขัดแย้ง
การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการบริหารความขัดแย้ง
tanongsak
 
ทักษะการทำงานเป็นทีม
ทักษะการทำงานเป็นทีมทักษะการทำงานเป็นทีม
ทักษะการทำงานเป็นทีมguest0ca794
 
ทบทวนผลงานด้วยสุนทรียสนทนา Performance dialogue
 ทบทวนผลงานด้วยสุนทรียสนทนา Performance dialogue ทบทวนผลงานด้วยสุนทรียสนทนา Performance dialogue
ทบทวนผลงานด้วยสุนทรียสนทนา Performance dialogue
maruay songtanin
 
บทที่3
บทที่3บทที่3
บทที่3praphol
 
บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่
บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่
บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่
Aj.Mallika Phongphaew
 
การทำงานเป็นทีม ครูรัชนี.pdf
การทำงานเป็นทีม ครูรัชนี.pdfการทำงานเป็นทีม ครูรัชนี.pdf
การทำงานเป็นทีม ครูรัชนี.pdf
PattarojKamonrojsiri1
 
แนวคิด Lean ในสำนักงาน Lean thinking in office
แนวคิด Lean ในสำนักงาน Lean thinking in office แนวคิด Lean ในสำนักงาน Lean thinking in office
แนวคิด Lean ในสำนักงาน Lean thinking in office
maruay songtanin
 
4 ปี สุเมธี
4 ปี สุเมธี4 ปี สุเมธี
4 ปี สุเมธี
Pakjira Prlopburi
 
การงาน
การงานการงาน
การงานnham04896
 
การงาน
การงานการงาน
การงานnham04896
 
การพัฒนาความสุข (Ha)
การพัฒนาความสุข (Ha)การพัฒนาความสุข (Ha)
การพัฒนาความสุข (Ha)Suradet Sriangkoon
 
แนวทางการทำงานร่วมกัน Guide to Working Together.pdf
 แนวทางการทำงานร่วมกัน Guide to Working Together.pdf แนวทางการทำงานร่วมกัน Guide to Working Together.pdf
แนวทางการทำงานร่วมกัน Guide to Working Together.pdf
maruay songtanin
 

Similar to Teams work (20)

การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการบริหารความขัดแย้ง
การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการบริหารความขัดแย้งการตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการบริหารความขัดแย้ง
การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และการบริหารความขัดแย้ง
 
ทักษะการทำงานเป็นทีม
ทักษะการทำงานเป็นทีมทักษะการทำงานเป็นทีม
ทักษะการทำงานเป็นทีม
 
Learning Organization
Learning OrganizationLearning Organization
Learning Organization
 
Pbl4.1
Pbl4.1Pbl4.1
Pbl4.1
 
การทำงานเป็นทีม
การทำงานเป็นทีมการทำงานเป็นทีม
การทำงานเป็นทีม
 
ทบทวนผลงานด้วยสุนทรียสนทนา Performance dialogue
 ทบทวนผลงานด้วยสุนทรียสนทนา Performance dialogue ทบทวนผลงานด้วยสุนทรียสนทนา Performance dialogue
ทบทวนผลงานด้วยสุนทรียสนทนา Performance dialogue
 
บทที่3
บทที่3บทที่3
บทที่3
 
บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่
บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่
บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่
 
การทำงานเป็นทีม ครูรัชนี.pdf
การทำงานเป็นทีม ครูรัชนี.pdfการทำงานเป็นทีม ครูรัชนี.pdf
การทำงานเป็นทีม ครูรัชนี.pdf
 
Account executive
Account executiveAccount executive
Account executive
 
แนวคิด Lean ในสำนักงาน Lean thinking in office
แนวคิด Lean ในสำนักงาน Lean thinking in office แนวคิด Lean ในสำนักงาน Lean thinking in office
แนวคิด Lean ในสำนักงาน Lean thinking in office
 
4 ปี สุเมธี
4 ปี สุเมธี4 ปี สุเมธี
4 ปี สุเมธี
 
%Ba%b
%Ba%b%Ba%b
%Ba%b
 
Attitude
AttitudeAttitude
Attitude
 
Attitude
AttitudeAttitude
Attitude
 
การงาน
การงานการงาน
การงาน
 
Attitude
AttitudeAttitude
Attitude
 
การงาน
การงานการงาน
การงาน
 
การพัฒนาความสุข (Ha)
การพัฒนาความสุข (Ha)การพัฒนาความสุข (Ha)
การพัฒนาความสุข (Ha)
 
แนวทางการทำงานร่วมกัน Guide to Working Together.pdf
 แนวทางการทำงานร่วมกัน Guide to Working Together.pdf แนวทางการทำงานร่วมกัน Guide to Working Together.pdf
แนวทางการทำงานร่วมกัน Guide to Working Together.pdf
 

Teams work

  • 1. การทำางานเป็นทีม การทำางานในสมัยปัจจุบันหรือการบริหารงานแนวใหม่นี้จะทำาแบบ“ข้ามาคนเดียว” หรือ “วันแมนโชว์” หรือ“ศิลปินเดี่ยว” หรือ “อัศวินม้าขาว” หรือ …อื่น ๆ ดูจะเป็นไปได้ยาก การทำางานเป็น “ ทีม - Team ” ทีม (Team) หมายถึง บุคคลที่ทำางานร่วมกันอย่างประสานงานภายในกลุ่ม กล่าวคือ เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในการทำางาน เพื่อให้เกิดผลสำาเร็จ ทีมงาน (Team Work) หมายถึง กลุ่มคนที่มความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิดและ ี คงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้างจะถาวรซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน โดยร่วมกันทำางานให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของทีมงาน “การทำางานเป็นทีม” เป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยต้องมีองค์ประกอบสำาคัญ 3 ประการ (3P) ได้แก่ มีวัตถุประสงค์ (Purpose) ต้องชัดเจน มีการจัดลำาดับความสำาคัญ (Priority) ในการทำางาน มีผลการทำางาน (Performance) ความแตกต่างระหว่างการทำางานแบบทีมและกลุ่ม (Teams vs Groups ) การทำางานแบบกลุ่ม (Work group) คือ การรวมกลุ่มที่มีกิจกรรมร่วมเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน และช่วยในการตัดสิ้นใจให้แก่สมาชิกในกลุ่มที่จะทำางานภายในขอบข่ายที่รับผิดชอบของ แต่ละคนนั้น ในการทำางานของกลุ่มไม่จำาเป็นที่จะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่มี การเชื่อมโยงทรัพยากรและใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลในทางบวก นั่นคือเราใส่การทำางานของแต่ละคนเข้าไปผลงานที่ออกรวมกันแล้วจะได้เท่ากับที่ใส่เข้าไป หรืออาจจะน้อยกว่าก็ได้ การทำางานแบบทีม ( Work teams) เป็นการทำางานร่วมกันและส่งเสริมกันไปในทางบวก ผลงานรวมของทีมที่ได้ออกมาแล้วจะมากกว่าผลงานรวมของแต่ละคนมารวมกัน
  • 2. ชนิดของทีมงาน การแบ่งทีมในองค์กรสามารถที่จะแบ่งประเภท ตามวัตถุประสงค์ได้ 4 รูปแบบคือ 1. ทีมแก้ปัญหา (Problem - Solving Teams) ประกอบด้วยกลุ่มของพนักงาน และ ผู้บริหารซึ่งเข้ามารวมกลุ่มด้วยความสมัครใจ และประชุมร่วมกันอย่างสมำ่าเสมอ เพื่ออภิปรายหาวิธีการสำาหรับการแก้ปัญหา โดยทั่วไปทีมแก้ปัญหาทำาหน้าที่เพียง ให้คำาแนะนำาเท่านั้น แต่จะไม่มีอำานาจที่จะทำาให้เกิดการกระทำา ตามคำาแนะนำา ตัวอย่างของทีมแก้ปัญหาที่นิยมทำากัน คือ ทีม QC (Quality Circles) 2. ทีมบริหารตนเอง (Self - Managed Teams) หมายถึง ทีมที่สมาชิกทุกคนล้วน รับผิดชอบต่อลักษณะทั้งหมดของการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร ซึ่งสมาชิกจะปฏิบัติงานโดยทั่วไป มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบสำาหรับงาน ทีมบริหารตนเองสามารถที่จะเลือกสมาชิกผู้ร่วมทีม และสามารถให้สมาชิกมีการตรวจสอบ ซึ่งกันและกัน 3. ทีมที่ทำางานข้ามหน้าที่กัน (Cross - Function Teams) เป็นการประสมประสาน ข้ามหน้าที่งาน ความสามารถในการดึงทรัพยากรบุคคลผนวกเข้าด้วยกันจากหน้าที่ ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างสมรรถภาพในด้านความแตกต่าง โดยเป็นการใช้ กำาลังแรงงาน ตั้งเป็นทีมข้ามหน้าที่ชั่วคราวซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคณะกรรมการ (Committees) เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน, พัฒนาความคิดใหม่ๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหา และทำาโครงการที่ซับซ้อน ทีมข้ามหน้าที่ ต้องการเวลามากเพื่อสมาชิกจะต้องเรียนรู้งาน ที่แตกต่าง ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้ใจ และสร้างการทำางานเป็นทีม เนื่องจาก แต่ละคนมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน 4. ทีมเสมือนจริง (Virtual Teams) ลักษณะการทำางานจะเป็นทีม แต่สภาพการทำางาน จะแยกกันอยู่ ดังนั้นจึงต้องการระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมจะมุ่งเน้นความสำาเร็จของงานเพื่อให้บรรลุ เป้าหมายของงานร่วมกัน แต่จะมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ด้านความรู้สึกทางสังคม ในระดับตำ่า
  • 3. ข้อควรระวัง : การทำางานเป็นทีมไม่ได้เป็นคำาตอบในการแก้ไขปัญหาเสมอไป เนื่องจาก การทำางานเป็นทีมต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าการทำางานคนเดียว ยกตัวอย่างเช่น • ต้องเพิ่มการติดต่อสื่อสารมากขึ้น • ต้องบริหารความขัดแย้งระหว่างกัน • ต้องมีการจัดการประชุม • ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม อย่างไรก็ตามในบางกรณีผลประโยชน์ที่ได้จากการทำางานเป็นทีมก็จะได้รับผลตอบแทน ที่คุ้มค่า ดังนั้น ผู้บริหารต้องทำาการประเมินว่างานใดควรทำาคนเดียว และงานประเภทใด ที่ต้องใช้ความร่วมมือของทีม คำาถาม 3 ข้อ เพื่อดูว่าควรใช้วิธีการทำางานเป็นทีมในการทำางานหรือไม่ 1. งานนั้นสามารถทำาได้ดีขึ้นหรือไม่ หากใช้คนมากกว่าหนึ่งคน 2. งานนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทุกคนในกลุ่ม หรือ เพื่อคนใดคนหนึ่ง 3. การเลือกใช้ประเภทของทีมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ การทำางานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ 1. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน ที่ต้องการทำาให้องค์การบรรลุผลสำาเร็จที่คาดหวังไว้ในการดำาเนินงานให้เป็นไปตามภารกิจ ขององค์การ - การกำาหนดวัตถุประสงค์ที่ดี โดยให้ผู้นำาและสมาชิกภายในทีม มีส่วนร่วมในการกำาหนด หน้าที่ความรับผิดชอบและวัตถุประสงค์ร่วมกัน ควรกำาหนดจุดมุ่งหมายไว้ให้ชัดเจนที่ผล งานมากกว่าการกระทำา - ประโยชน์ของการกำาหนดวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ใช้เป็น เครื่องมือในการรวมพลังในการทำางาน และใช้เป็นเครื่องมือวัดความสำาเร็จหรือความ ล้มเหลวในงาน - คุณลักษณะของวัตถุประสงค์ที่ดี คือ เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เข้าใจได้ง่าย
  • 4. สามารถปฏิบัติได้จริง ไม่ขัดต่อข้อบังคับและนโยบายอื่นๆในหน่วยงาน 2. ความเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา เป็นสิ่งสำาคัญต่อการทำางานเป็น ทีมที่มีประสิทธิภาพ สมาชิกในทีมจะต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา แก้ปญหาอย่างเต็มใจและจริงใจ การแสดงความเปิดเผยของสมาชิกในทีม ั จะต้องปลอดภัย พูดคุยถึงปัญหาอย่างสบายใจ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันและทำางานร่วมกัน เป็นอย่างดี โดยมีการเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่นในด้านความต้องการ ความคาดหวัง ความชอบหรือไม่ชอบ ความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด จุดเด่นจุดด้อยและ อารมณ์ รวมทั้งความรู้สึก ความสนใจนิสัยใจคอ 3. การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน สมาชิกในทีมจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยทีละคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าได้รับ ผลร้ายที่จะมีต่อเนื่องมาภายหลัง สามารถทำาให้เกิดการเปิดเผยต่อกัน และกล้าที่จะเผชิญ หน้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี 4. ความร่วมมือและการให้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ ผู้นำากลุ่มหรือทีมจะต้องทำา งานอย่างหนักในอันที่จะทำาให้เกิดความร่วมมือดังนี้ 4.1 การสร้างความร่วมมือกับบุคคลอื่น ในการสร้างความร่วมมือเพื่ความเข้าใจซึ่งกันและ กันและมีบุคคลอยู่สองฝ่ายคือ ผู้ขอความร่วมมือ และผู้ให้ความร่วมมือ ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้เมื่อฝ่ายผู้ให้เต็มใจและยินดีจะให้ความร่วมมือ เหตุผลที่ทำาให้ขาดความร่วมมือไม่ช่วยเหลือกัน คือ การขัดผลประโยชน์ ไม่อยากให้คนอื่น ได้ดีกว่า สัมพันธภาพไม่ดี วัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วยกับวิธทำางาน ี ขาดความพร้อมที่จะร่วมมือ หรืองานที่ขอความร่วมมือนั้น เลี่ยงภัยมากเกินไป หรือเพราะ ความไม่รับผิดชอบต่อผลงานส่วนรวม 4.2 การขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกันตามความคิด หรือ การกระทำาที่เกิดขึ้นระหว่าง สองคนขึ้นไป หรือระหว่างกลุ่ม โดยมีลักษณะที่ไม่สอดคล้อง ขัดแย้ง ขัดขวาง ไม่ถูกกัน จึงทำาให้ความคิดหรือการทำากิจกรรมร่วมกันนั้น เสียหาย หรือดำาเนินไปได้ยากไม่ราบรื่น ทำาให้การทำางานเป็นทีมลดลง นับเป็นปัญหา อุปสรรคที่สำาคัญยิ่ง
  • 5. - สาเหตุของความขัดแย้ง ผลประโยชน์ขัดกัน - ความคิดไม่ตรงกัน หรือ องค์กรขัดแย้งกัน - ความรู้ความสามารถต่างกัน ทำาให้มีลักษณะการทำางานต่างกัน - การเรียนรู้ต่างกัน ประสบการณ์ที่มีมาไม่เหมือนกัน - เป้าหมายต่างกัน 4.3 วิธีแก้ความขัดแย้ง การแก้ความขัดแย้งเป็นเรื่องของทักษะเฉพาะบุคคล การแก้ปัญหา ความขัดแย้งในการทำางานเป็นทีม ควรใช้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่พูดในลักษณะที่ แปลความหรือมุ่งตัดสินความ ไม่พูดในเชิงวิเคราะห์ ไม่พูดในลักษณะที่แสดงตนเหนือกว่า ผู้อื่น หรือไม่พูดในลักษณะที่ทำาให้ผู้อื่นเจ็บปวด เสียหน้า อับอาย เจ็บใจ หรือการพยายาม พูดหาประเด็นของความขัดแย้ง ไม่กล่าวโจมตีว่าใครผิดใครถูก 5. กระบวนการการทำางาน และการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม งานที่มีประสิทธิภาพนั้น ทุกคนควรจะคิดถึงงานหรือคิดถึงผลงานเป็นอันดับแรก ต่อมาควรวางแผนว่าทำาอย่างไร งานจึงจะออกมาดีได้ดังที่เราต้องการ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจนั้นจุดมุ่งหมาย ควรจะมีความชัดเจนและสมาชิกทุกคน ควรมีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของการทำางาน เป็นอย่างดี จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนถือเป็นหัวใจสำาคัญด้วยเหตุนจุดมุ่งหมายควรต้องมีความชัดเจนและ ี้ สมาชิกทุกคนมีความเข้าใจอย่างดี เพราะจะนำาไปสู่แนวทางแนวทางในการทำางานว่าต้องทำา อย่างไร จึงจะบรรลุตามเป้าหมายของงาน ให้ได้ผลของงานออกมาได้อย่างดีที่สุด การตัดสินใจสั่งการเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานของการบริหารงาน ผู้บริหารหรือผู้นำาทีม เป็นบุคคลสำาคัญในการที่จะมีส่วนในการตัดสินใจ วิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจ หลายวิธีคือ ผู้บริหารตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหา โดยไม่ต้องซักถามคนอื่นหรือผู้บริหารจะรับฟัง ความคิดเห็นก่อนตัดสินใจ กล่าวคือ ผู้บริหารยังคงตัดสินใจด้วยตนเองแต่ขึ้นอยู่กับความ คิดเห็นและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้บริหารได้รับมาจากสมาชิกของทีม บางครั้งผู้บริหารอาจจะตัดสิน ใจร่วมกับทีมงานที่คัดเลือกมาโดยที่ผู้บริหารนำาเอาปัญหามาให้ทีมงานอภิปราย แล้วให้ ทีมงานตัดสินใจหรือทีมงาน อาจจะมอบหมายการตัดสินใจให้คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มย่อย
  • 6. ที่เห็นว่าเหมาะสมก็ได้ ขั้นตอนในการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำาคัญ 4 ขั้นตอนคือ 1. ทำาความเข้าใจอย่างชัดเจนในเหตุผลสำาหรับการตัดสินใจ 2. วิเคราะห์ลักษณะของปัญหาที่จะตัดสินใจ 3. ตรวจสอบทางเลือกต่างๆ ในการแก้ปัญหาโดยพิจารณาถึงผลที่อาจเกิดตามมาด้วย 4. การนำาเอาผลการตัดสินใจไปปฏิบัติ 6. ภาวะผู้นำาที่เหมาะสม ผู้นำา หรือ หัวหน้าทีมควรทำาหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะประเด็นที่สำาคัญ ในการทำางานตามบทบาทของผู้นำา คือ การแบ่งงาน กระจายงานให้สมาชิกทุกกลุ่มตาม ความรู้ ความสามารถ สำาหรับสมาชิกของทีมงานที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำา ต้องพร้อม ที่จะทำาหน้าที่ให้เหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมาย โดยการให้การสนับสนุนนำาทีมให้ ประสบความสำาเร็จ ส่งเสริมให้มีบรรยากาศที่ดีในการทำางานเป็นทีม มีการพัฒนาบุคลากร และทีมงาน 7. การตรวจสอบทบทวนผลงานและวิธีในการทำางาน ทีมงานที่ดีไม่เพียงแต่ดูจากลักษณะ ของทีม และบทบาทที่มีอยู่ในองค์กรเท่านั้น แต่ต้องดูวิธีการ ทีทำางานด้วยการทบทวนงาน ่ และทำาให้ทีมงานได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ทำารู้จักคิด การได้รับข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับ การปฏิบัติงานของแต่ละคนหรือของทีม 8. การพัฒนาตนเอง การทำางานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพพยายามที่จะรวบรวมทักษะต่างๆ ของแต่ละคน การพัฒนาบุคลากรในองค์การมักจะมองในเรื่องทักษะและความรุ้ที่แต่ละคน มีอยู่แล้ว ก็ทำาการฝึกอบรมเพื่อปรับปรุงพัฒฯคนให้มีความสามารถสูงขึ้น อันจะมีผลดีใน การทำางานให้ดีขึ้น ผู้บริหารหรือผู้นำาต้องมีความรู้ในการบริหารคนสามารถสอนพัฒนาคน ให้มีลักษณะที่ดขึ้น ี