1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน เครื่องพิมพ์ลายกระเบื้อง
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นาย ฉัตรดนัย คอทอง เลขที่ 26 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 8
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
2
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1. นาย ฉัตรดนัย คอทอง เลขที่ 26 2…………………………………เลขที่ ……….
3………………………………….. เลขที่………
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
เครื่องพิมพ์ลายกระเบื้อง
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
pattern maker on tiles
ประเภทโครงงาน ประเภทโครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นาย ฉัตรดนัย คอทอง
ชื่อที่ปรึกษา ครูเชื่อนทอง มูลวรรณ
ชื่อที่ปรึกษาร่วม -
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
โดยทั่วไปแล้วรายวิชาคณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นนามธรรม มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยคานิยาม บทนิยาม
สัจพจน์ ที่เป็นข้อตกลงเบื้องต้น จากนั้นจึงใช้การให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลสร้างทฤษฎีบทต่างๆ ขึ้นและนาไปใช้
อย่างเป็นระบบ คณิตศาสตร์มีความถูกต้อง เที่ยงตรง คงเส้นคงวา มีระเบียบแบบแผนเป็นเหตุเป็นผล และมีความ
สมบูรณ์ในตัวเอง หรือกล่าวได้ว่าคณิตศาสตร์เป็นศาสตร์และศิลป์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับแบบรูปและความสัมพันธ์
เพื่อให้ได้ขอสรุปและนาไปใช้ประโยชน์ คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็น ภาษสากลที่ทุกคนเข้าใจตรงกันในการสื่อสาร
(สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2544:2)
สามารถนาประสบการณ์ทางด้านความรู้ ความคิดและทักษะที่ได้ไปใช้ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ และใช้ใน
ชีวิตประจาวัน
3
ในการเรียนคณิตศาสตร์มีบทนิยามทฤษฎีบท และสูตรต่างๆ มาใช้อย่างหลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในรายวิชาคณิตศาสตร์ของระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมการประยุกต์กับเรื่องอื่นๆ ความรู้ความเข้าใจจะเป็น
พื้นฐานที่สาคัญในการเรียนต่อระดับที่สูงขึ้น
เนื่องจากในชีวิตประจาวันของผู้ศึกษาเองได้พบว่าบ้านเรือนส่วนใหญ่ใช้กระเบื้องในการปูพื้นบ้าน
ดังนั้นคณะผู้จัดทาจึงคิดโครงงานเครื่องพิมพ์ลายกระเบื้อง เพื่อช่วยอานวยความสะดวกในการพิมพ์ลายกระเบื้อง
และยังเป็นการฝึกการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกด้วย
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.เพื่อประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ช่วยในการพิมพ์ลายบนกระเบื้อง
2.เพื่อศึกษาการออกแบบเชิงวิศวกรรม
3.เพื่อประหยัดเวลาในการพิมพ์ลายกระเบื้อง
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1.วัสดุอุปกรณ์ดาเนินโครงงาน
1.1ไม้อัด , ท่อน้า
1.2เลื่อยสาหรับตัดไม้, ตะปู , กาวสาหรับติดไม้
1.3ดินสอ , ปากกาเคมี , ไม้บรรทัด
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
ในการจัดทาโครงงานครั้งนี้ ผู้จัดทาได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. เทสเซลเลชัน
2. การแปลงทางคณิตศาสตร์
3. ทรงกระบอก
4. ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
1. เทสเซลเลชัน
เทสเซลเลชัน คือ การนารูปทั้งที่เป็นรูปเรขาคณิตและรูปทั่วไปมาเรียงต่อกัน โดยมีเงื่อนไขว่า
รูปที่นามาจัดเรียงนั้นจะต้องไม่เกิดช่องว่างหรือการคาบเกี่ยวซ้อนกัน
ประเภทของเทสเซลเลชัน
1.1. เทสเซลเลชันจากรูปเรขาคณิต
1.1.1 เทสเซลเลชันแบบปรกติ (Regular Tessellation) เกิดจากการนารูป
เรขาคณิตที่เป็นรูปเหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่าชนิดเดียวกันมาวางเรียงกันให้เต็มพื้นระนาบโดย
4
ไม่ให้เกิดช่องว่างหรือการคาบเกี่ยวซ้อนกัน
1.1.2 เทสเซลเลชันแบบกึ่งปรกติ (Semi regular Tessellation) การใช้รูปหลาย
เหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่าหลายชนิดจัดวางเรียงกันให้รอบจุดยอดร่วมกันได้เป็น 360°
1.1.3 เทสเซลเลชันแบบเดมิเรกกิวลาร์ (Demi regular Tessellation)
ประกอบด้วยจุดร่วมสองหรือสามประเภท ซึ่งจุดยอดแต่ละจุดอาจจะอยู่ในรูปเทสเซลเลชันแบบปรกติ
หรือแบบกึ่งปรกติก็ได้
1.2. เทสเซลเลชันจากรูปทั่วไป เกิดจากการน ารูปแบบทั่วไปมาเรียงให้ได้ระนาบ
2. การแปลงทางคณิตศาสตร์
การแปลงทางเรขาคณิต เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการย้ายวัตถุจากตาแหน่งหนึ่งไปยังอีกตาแหน่ง
หนึ่ง โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง หรือตาแหน่ง ให้ต่างไปจากเดิมหรือไม่ก็ได้ตัวอย่างของ
การแปลงที่เราเคยพบเช่น รถยนต์ซึ่งเดิมอยู่บนทางลาดย้ายเข้าไปจอดในช่องจอดรถ การหมุนของ
เข็มยาวของนาฬิกา จากปลายเข็มยาวชี้ที่ตัวเลข 12 ไปชี้ที่ตัวเลข 6 หรือลูกโป่งที่มีอากาศอัดอยู่เมื่อ
ปล่อยอากาศออกทาให้ลูกโป่งเคลื่อนที่ออกไปและตกลงเมื่ออากาศที่อยู่ในลูกโป่งดันออกมาจนไม่มี
แรงดัน สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการแปลงทั้งสิ้น สิ่งสาคัญของการแปลงคือ จุดทุกจุดของวัตถุที่อยู่ที่
เดิม (หรือขนาดเดิม) จะต้องมีการส่งไปยังวัตถุที่ตาแหน่งใหม่ (หรือขนาดใหม่) ทุกจุด จุดต่อจุด
ในทางเรขาคณิตก็มีการแปลงที่กล่าวถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างรูปเรขาคณิตก่อนการ
แปลงและรูปเรขาคณิตหลังการแปลง เราเรียกรูปเรขาคณิตก่อนการแปลงว่า รูปต้นแบบ และเรียกรูป
เรขาคณิตหลังการแปลงว่า ภาพที่ได้จากการแปลง
การแปลงทางเรขาคณิตที่เป็นพื้นฐานมีทั้งหมด 4 แบบ คือ การเลื่อนขนาน การสะท้อน การ
หมุน และการย่อหรือขยาย แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงการแปลงทางเรขาคณิต 3 แบบ ได้แก่ การเลื่อน
ขนาน การสะท้อนและการหมุน การแปลงทางเรขาคณิตทั้งสามแบบนี้จะได้ภาพที่มีรูปร่างเหมือนกัน
และขนาดเดียวกันกับรูปต้นแบบเสมอ
2.1 การเลื่อนขนาน โดยการเลื่อนขนานบนระนาบเป็นการแปลงทางเรขาคณิตที่มีการ
เลื่อนจุดทุกจุดไปบนระนาบตามแนวเส้นตรงในทิศทางเดียวกันและเป็นระยะเท่ากัน
ตามที่กาหนดสมบัติของการเลื่อนขนาน
2.1.1. รูปที่ได้จากการเลื่อนขนานกับรูปต้นแบบเท่ากันทุกประการ
2.1.2. จุดแต่ละจุดที่สมนัยกันบนรูปที่ได้จากการเลื่อนขนานกับรูปต้นแบบจะมี
ระยะห่างเท่ากัน
2.1.3. ภายใต้การเลื่อนขนาน จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาดของรูป
ต้นแบบการสะท้อน โดยการสะท้อนบนระนาบเป็นการแปลงทางเรขาคณิตที่มี
เส้นตรง l ที่ตรึงเส้นหนึ่งเป็นเส้นสะท้อน แต่ละจุด P บนระนาบจะมีจุด P' เป็นภาพ
ที่ได้จาก
2.2.1 การสะท้อนจุด P โดยที่
2.2.1.1 ถ้าจุด P ไม่อยู่บนเส้นตรง l แล้วเส้นตรง l จะแบ่งครึ่งและตั้งฉากกับ PP'
5
2.2.1.2. ถ้าจุด P อยู่บนเส้นตรง l แล้วจุด P และจุด P' เป็นจุดเดียวกัน
2.2.2. สมบัติของการสะท้อน
2.2.2.1. รูปต้นแบบกับภาพที่ได้จากการสะท้อน สามารถทับกันได้สนิทโดยต้อง
พลิกรูป หรือกล่าวว่า รูปต้นแบบและภาพที่ได้จากการสะท้อนเท่ากันทุกประการ
2.2.2.2. ส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดแต่ละจุดบนรูปต้นแบบ กับจุดที่สมนัยกันบน
ภาพที่ได้จากการสะท้อนจะขนานกัน
โดยรูปเรขาคณิตที่สามารถหารอยพับและพับรูปทั้งสองข้างของรอยพับให้ทับกัน
สนิทได้เรียกว่า รูปสมมาตรบนเส้น และเรียกรอยพับนี้ว่า แกนสมมาตร รูปสมมาตรบนเส้น
แต่ละรูปอาจมีจานวนแกนสมมาตรไม่เท่ากัน
และเส้นสะท้อน (แกนสมมาตร) จะแบ่งครึ่งและตั้งฉากกับส่วนของเส้นตรงที่เชื่อม
ระหว่างจุดแต่ละจุดบนรูปต้นแบบกับจุดแต่ละจุดบนรูปสะท้อนที่สมนัยกัน
ดังนั้น สรุปได้ว่ารูปที่เกิดจาการสะท้อนก็คือรูปสมมาตรบนเส้น โดยมีเส้นสะท้อนคือ
แกนสมมาตรนั่นเอง
ถ้าเส้นสะท้อนเป็นแกน Y พิกัดของภาพที่เกิดจากการสะท้อน คือการเปลี่ยน
เครื่องหมายของสมาชิกตัวหน้าเป็นเครื่องหมายตรงข้ามทุกจุดของรูปต้นแบบ ส่วนสมาชิกตัว
หลังให้คงเดิมไว้
ถ้าเส้นสะท้อนเป็นแกน X พิกัดของภาพที่เกิดจากการสะท้อน คือการเปลี่ยน
เครื่องหมายของสมาชิกตัวหลังเป็นเครื่องหมายตรงข้ามทุกจุดของรูปต้นแบบ ส่วนสมาชิกตัว
หน้าให้คงเดิมไว้
ถ้าเส้นสะท้อนขนานแกน X หรือแกน Y ให้นับช่องตารางหาระยะระหว่างจุดที่
กาหนดให้กับเส้นสะท้อนซึ่งภาพของจุดนั้นจะอยู่ห่างจากเส้นสะท้อนเป็นระยะที่เท่ากันกับ
ระยะที่นับได้เมื่อได้ภาพของจุดนั้นแล้วจึงหาพิกัด
ถ้าเส้นสะท้อนไม่ขนานแกน X และไม่ขนานกับแกน Y แต่เป็นเส้นในแนวทแยง
ให้ลากเส้นตรงผ่านจุดที่กาหนดให้และตั้งฉากกับเส้นสะท้อน ภาพของจุดที่กาหนดให้จะอยู่
บนเส้นตั้งฉากที่สร้างขึ้นและอยู่ห่างจากเส้นสะท้อนเป็นระยะเท่ากันกับจุดที่กาหนดให้อยู่
ห่างจากเส้นสะท้อน เมื่อได้ภาพของจุดนั้นแล้วจึงหาพิกัด
2.2 การหมุน โดยการหมุนบนระนาบเป็นการแปลงทางเรขาคณิตที่มีจุด O เป็นจุดที่ตรึง
อยู่จุดหนึ่งเรียกว่า O ว่า จุดหมุน แต่ละจุด P บนระนาบ มีจุด P' เป็นภาพที่ได้จาก
การหมุนจุด P รอบจุด O ตามทิศทางที่กาหนดด้วยมุมที่มีขนาด K โดยที่
2.3.1. ถ้าจุด P ไม่ใช่จุด O แล้ว OP = OP^' และขนาดของ การหมุน เท่ากับ K
2.3.2. ถ้าจุด P เป็นจุดเดียวกันกับจุด O แล้ว P เป็นจุดหมุน
2.3.3.สมบัติของการหมุน
2.3.3.1. สามารถเลื่อนรูปต้นแบบทับภาพที่ได้จากการหมุนได้สนิท โดยไม่
ต้องพลิกรูปหรือกล่าวว่า รูปต้นแบบกับภาพที่ได้จากการหมุนเท่ากันทุกประการ
6
2.3.3.2. ส่วนของเส้นตรงบนรูปต้นแบบและภาพที่ได้จากการหมุนส่วนของ
เส้นตรงนั้นไม่จาเป็นต้องขนานกันทุกคู่ หรืออาจกล่าวได้ว่า จุดบนรูปต้นแบบและ
ภาพที่ได้จากการหมุนจุดนั้น แต่ละคู่อยู่บนวงกลมเดียวกันและมีจุดหมุนเป็นจุด
ศูนย์กลาง แต่วงกลมเหล่านี้ไม่จาเป็นต้องมีรัศมียาวเท่ากัน
ลักษณะของการหมุน
การหมุนจะหมุนทวนเข็มหรือตามเข็มนาฬิกาก็ได้จุดหมุนจะเป็นจุดที่อยู่
บนรูปหรือนอกรูปก็ได้โดยที่จุดแต่ละจุดบนรูปต้นแบบเคลื่อนที่รอบจุดหมุนด้วย
ขนานของมุมที่กาหนด
3. ทรงกระบอก
รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานทั้งสองเป็นรูปวงกลมที่เท่ากันทุกประการและอยู่บนระนาบ
ที่ขนานกัน เมื่อตัดรูปเรขาคณิตสามมิตินั้นด้วยระนาบที่ขนานกับฐานแล้ว หน้าตัดที่ได้จะเป็น
วงกลมที่เท่ากันทุกประการกับฐานเสมอเรียกรูปเรขาคณิตสามมิตินั้นว่า ทรงกระบอก
ปริมาตรของทรงกระบอก = พื้นที่ฐาน × สูง
4. ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ (Trigonometric function) คือ ฟังก์ชันของมุม ซึ่งมีความสาคัญในการศึกษารูปสามเหลี่ยม
และปรากฏการณ์ในลักษณะเป็นคาบ ฟังก์ชันอาจนิยามด้วยอัตราส่วนของด้าน 2 ด้านของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
หรืออัตราส่วนของพิกัดของจุดบนวงกลมหนึ่งหน่วย หรือนิยามในรูปทั่วไปเช่นอนุกรมอนันต์ หรือสมการเชิง
อนุพันธ์ รูปสามเหลี่ยมที่นามาใช้จะอยู่ในระนาบแบบยุคลิด ดังนั้น ผลรวมของมุมทุกมุมจึงเท่ากับ 180° เสมอ
1. วงกลมหนึ่งหน่วย
การศึกษาตรีโกณมิติในปัจจุบันเริ่มจาก วงกลมซึ่งมีรัศมียาว 1 หน่วย และมีจุดศูนย์กลางที่จุดกาเนิดดังต่อไปนี้

O A(1,0)
ถ้าให้ คือความยาวของส่วนของวงกลมที่วัดจาก A(1,0) ไปยังจุด C เรากาหนดทิศทางของกาวัดโดยใช้
เครื่องหมายบวกและลบ ดังนี้
1. ถ้า 0 เป็นการวัดจากจุด A ไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
2. ถ้า 0 เป็นการวัดจากจุด A ไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกา
เนื่องจากความยาวของเส้นรอบวงของวงกลมเท่ากับ 2r แต่ r = 1
ความยาวของเส้นรอบวง = 2
7
ดังนั้น ถ้า  2แสดงว่าการวัดเกิน 1 รอบ
2. การวัดมุม
การวัดมุม มีการวัดเป็น 2 แบบ คือ วัดแบบเรเดียน กับ แบบองศา
การวัดแบบเรเดียน เรเดียน = a
r
เมื่อ a คือ ความยาวของส่วนโค้ง AC
r คือ รัศมีของวงกลม
ถ้า r = 1 2เรเดียน = 360 องศา
 เรเดียน = 1800
3. ค่าของฟังก์ชันรีโกณมิติขนาดของมุมมีค่าต่าง ๆ
x = cos 
y = sin 
y
/2
(0,1)
 0,2 x
(-1,0) (1,0)
3/2
(0,-1)
จากรูป เราสามารถสรุปค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติสาคัญ ๆ ได้ดังนี้
0(00
) /2 (900
) (1800
)3/2(2700
)
sin 0 1 0 -1
cos 1 0 -1 0
8
4. ความสัมพันธ์ระหว่าง sinกับ cos , secกับ tan , cosecกับ cot
sin2
 + cos2
 = 1
sec2
 - tan2
 = 1 เมื่อ cos 0
cosec2
 - cot2
 = 1 เมื่อ sin 0
5. การหาค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ(เพิ่มเติม)
sin(-) = sin cos(-) = -cos
sin(+) = -sin cos(+) = -cos
sin(2-) = -sin cos(2-) = cos
sin(2+) = sin cos(2+) = cos
sin(-) = -sin cos(-) = cos
sin(/2-) = cos cos(/2-) = sin
sin(/2+) = cos cos(/2+) = -sin
sin(3/2-) = -cos cos(3/2-) = -sin
sin(3/2+) = -cos cos(3/2+) = sin
9
6. ฟังก์ชันของผลบวกหรือผลต่าง
sin (A+B) = sin AcosB + cosA sinB
cos(A+B) = cosAcosB - sinAsinB
tan (A+B) = tanA+ tanB
1-tanA tanB
sin (A-B) = sin AcosB - cosA sinB
cos(A-B) = cosAcosB + sinAsinB
tan (A-B) = tanA- tanB
1+tanA tanB
7. การเปลี่ยนผลคูณของฟังก์ชันให้อยู่ในรูปผลบวกหรือผลต่าง
2sinAcosB = sin(A+B) + sin(A-B)
2cosAsinB = sin(A+B) - sin(A-B)
2cosAcosB = cos(A+B) + cos(A-B)
2sinAsinB = cos(A-B) - cos(A+B)
10
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
งบประมาณ
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
___________________________________________________________________
__________________________________________________________________
___________________________________________________________________
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
11
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
สถานที่ดาเนินการ
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________

คอมไอ่เป้า

  • 1.
    1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6 ปีการศึกษา 2560 ชื่อโครงงาน เครื่องพิมพ์ลายกระเบื้อง ชื่อผู้ทาโครงงาน นาย ฉัตรดนัย คอทอง เลขที่ 26 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 8 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
  • 2.
    2 สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม 1. นายฉัตรดนัย คอทอง เลขที่ 26 2…………………………………เลขที่ ………. 3………………………………….. เลขที่……… คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) เครื่องพิมพ์ลายกระเบื้อง ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) pattern maker on tiles ประเภทโครงงาน ประเภทโครงงานเพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นาย ฉัตรดนัย คอทอง ชื่อที่ปรึกษา ครูเชื่อนทอง มูลวรรณ ชื่อที่ปรึกษาร่วม - ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) โดยทั่วไปแล้วรายวิชาคณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นนามธรรม มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยคานิยาม บทนิยาม สัจพจน์ ที่เป็นข้อตกลงเบื้องต้น จากนั้นจึงใช้การให้เหตุผลที่สมเหตุสมผลสร้างทฤษฎีบทต่างๆ ขึ้นและนาไปใช้ อย่างเป็นระบบ คณิตศาสตร์มีความถูกต้อง เที่ยงตรง คงเส้นคงวา มีระเบียบแบบแผนเป็นเหตุเป็นผล และมีความ สมบูรณ์ในตัวเอง หรือกล่าวได้ว่าคณิตศาสตร์เป็นศาสตร์และศิลป์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับแบบรูปและความสัมพันธ์ เพื่อให้ได้ขอสรุปและนาไปใช้ประโยชน์ คณิตศาสตร์มีลักษณะเป็น ภาษสากลที่ทุกคนเข้าใจตรงกันในการสื่อสาร (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2544:2) สามารถนาประสบการณ์ทางด้านความรู้ ความคิดและทักษะที่ได้ไปใช้ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ และใช้ใน ชีวิตประจาวัน
  • 3.
    3 ในการเรียนคณิตศาสตร์มีบทนิยามทฤษฎีบท และสูตรต่างๆ มาใช้อย่างหลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายวิชาคณิตศาสตร์ของระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายรวมการประยุกต์กับเรื่องอื่นๆ ความรู้ความเข้าใจจะเป็น พื้นฐานที่สาคัญในการเรียนต่อระดับที่สูงขึ้น เนื่องจากในชีวิตประจาวันของผู้ศึกษาเองได้พบว่าบ้านเรือนส่วนใหญ่ใช้กระเบื้องในการปูพื้นบ้าน ดังนั้นคณะผู้จัดทาจึงคิดโครงงานเครื่องพิมพ์ลายกระเบื้อง เพื่อช่วยอานวยความสะดวกในการพิมพ์ลายกระเบื้อง และยังเป็นการฝึกการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกด้วย วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1.เพื่อประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ช่วยในการพิมพ์ลายบนกระเบื้อง 2.เพื่อศึกษาการออกแบบเชิงวิศวกรรม 3.เพื่อประหยัดเวลาในการพิมพ์ลายกระเบื้อง ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) 1.วัสดุอุปกรณ์ดาเนินโครงงาน 1.1ไม้อัด , ท่อน้า 1.2เลื่อยสาหรับตัดไม้, ตะปู , กาวสาหรับติดไม้ 1.3ดินสอ , ปากกาเคมี , ไม้บรรทัด หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน) ในการจัดทาโครงงานครั้งนี้ ผู้จัดทาได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1. เทสเซลเลชัน 2. การแปลงทางคณิตศาสตร์ 3. ทรงกระบอก 4. ฟังก์ชันตรีโกณมิติ 1. เทสเซลเลชัน เทสเซลเลชัน คือ การนารูปทั้งที่เป็นรูปเรขาคณิตและรูปทั่วไปมาเรียงต่อกัน โดยมีเงื่อนไขว่า รูปที่นามาจัดเรียงนั้นจะต้องไม่เกิดช่องว่างหรือการคาบเกี่ยวซ้อนกัน ประเภทของเทสเซลเลชัน 1.1. เทสเซลเลชันจากรูปเรขาคณิต 1.1.1 เทสเซลเลชันแบบปรกติ (Regular Tessellation) เกิดจากการนารูป เรขาคณิตที่เป็นรูปเหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่าชนิดเดียวกันมาวางเรียงกันให้เต็มพื้นระนาบโดย
  • 4.
    4 ไม่ให้เกิดช่องว่างหรือการคาบเกี่ยวซ้อนกัน 1.1.2 เทสเซลเลชันแบบกึ่งปรกติ (Semiregular Tessellation) การใช้รูปหลาย เหลี่ยมด้านเท่ามุมเท่าหลายชนิดจัดวางเรียงกันให้รอบจุดยอดร่วมกันได้เป็น 360° 1.1.3 เทสเซลเลชันแบบเดมิเรกกิวลาร์ (Demi regular Tessellation) ประกอบด้วยจุดร่วมสองหรือสามประเภท ซึ่งจุดยอดแต่ละจุดอาจจะอยู่ในรูปเทสเซลเลชันแบบปรกติ หรือแบบกึ่งปรกติก็ได้ 1.2. เทสเซลเลชันจากรูปทั่วไป เกิดจากการน ารูปแบบทั่วไปมาเรียงให้ได้ระนาบ 2. การแปลงทางคณิตศาสตร์ การแปลงทางเรขาคณิต เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการย้ายวัตถุจากตาแหน่งหนึ่งไปยังอีกตาแหน่ง หนึ่ง โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง หรือตาแหน่ง ให้ต่างไปจากเดิมหรือไม่ก็ได้ตัวอย่างของ การแปลงที่เราเคยพบเช่น รถยนต์ซึ่งเดิมอยู่บนทางลาดย้ายเข้าไปจอดในช่องจอดรถ การหมุนของ เข็มยาวของนาฬิกา จากปลายเข็มยาวชี้ที่ตัวเลข 12 ไปชี้ที่ตัวเลข 6 หรือลูกโป่งที่มีอากาศอัดอยู่เมื่อ ปล่อยอากาศออกทาให้ลูกโป่งเคลื่อนที่ออกไปและตกลงเมื่ออากาศที่อยู่ในลูกโป่งดันออกมาจนไม่มี แรงดัน สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการแปลงทั้งสิ้น สิ่งสาคัญของการแปลงคือ จุดทุกจุดของวัตถุที่อยู่ที่ เดิม (หรือขนาดเดิม) จะต้องมีการส่งไปยังวัตถุที่ตาแหน่งใหม่ (หรือขนาดใหม่) ทุกจุด จุดต่อจุด ในทางเรขาคณิตก็มีการแปลงที่กล่าวถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างรูปเรขาคณิตก่อนการ แปลงและรูปเรขาคณิตหลังการแปลง เราเรียกรูปเรขาคณิตก่อนการแปลงว่า รูปต้นแบบ และเรียกรูป เรขาคณิตหลังการแปลงว่า ภาพที่ได้จากการแปลง การแปลงทางเรขาคณิตที่เป็นพื้นฐานมีทั้งหมด 4 แบบ คือ การเลื่อนขนาน การสะท้อน การ หมุน และการย่อหรือขยาย แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงการแปลงทางเรขาคณิต 3 แบบ ได้แก่ การเลื่อน ขนาน การสะท้อนและการหมุน การแปลงทางเรขาคณิตทั้งสามแบบนี้จะได้ภาพที่มีรูปร่างเหมือนกัน และขนาดเดียวกันกับรูปต้นแบบเสมอ 2.1 การเลื่อนขนาน โดยการเลื่อนขนานบนระนาบเป็นการแปลงทางเรขาคณิตที่มีการ เลื่อนจุดทุกจุดไปบนระนาบตามแนวเส้นตรงในทิศทางเดียวกันและเป็นระยะเท่ากัน ตามที่กาหนดสมบัติของการเลื่อนขนาน 2.1.1. รูปที่ได้จากการเลื่อนขนานกับรูปต้นแบบเท่ากันทุกประการ 2.1.2. จุดแต่ละจุดที่สมนัยกันบนรูปที่ได้จากการเลื่อนขนานกับรูปต้นแบบจะมี ระยะห่างเท่ากัน 2.1.3. ภายใต้การเลื่อนขนาน จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาดของรูป ต้นแบบการสะท้อน โดยการสะท้อนบนระนาบเป็นการแปลงทางเรขาคณิตที่มี เส้นตรง l ที่ตรึงเส้นหนึ่งเป็นเส้นสะท้อน แต่ละจุด P บนระนาบจะมีจุด P' เป็นภาพ ที่ได้จาก 2.2.1 การสะท้อนจุด P โดยที่ 2.2.1.1 ถ้าจุด P ไม่อยู่บนเส้นตรง l แล้วเส้นตรง l จะแบ่งครึ่งและตั้งฉากกับ PP'
  • 5.
    5 2.2.1.2. ถ้าจุด Pอยู่บนเส้นตรง l แล้วจุด P และจุด P' เป็นจุดเดียวกัน 2.2.2. สมบัติของการสะท้อน 2.2.2.1. รูปต้นแบบกับภาพที่ได้จากการสะท้อน สามารถทับกันได้สนิทโดยต้อง พลิกรูป หรือกล่าวว่า รูปต้นแบบและภาพที่ได้จากการสะท้อนเท่ากันทุกประการ 2.2.2.2. ส่วนของเส้นตรงที่เชื่อมจุดแต่ละจุดบนรูปต้นแบบ กับจุดที่สมนัยกันบน ภาพที่ได้จากการสะท้อนจะขนานกัน โดยรูปเรขาคณิตที่สามารถหารอยพับและพับรูปทั้งสองข้างของรอยพับให้ทับกัน สนิทได้เรียกว่า รูปสมมาตรบนเส้น และเรียกรอยพับนี้ว่า แกนสมมาตร รูปสมมาตรบนเส้น แต่ละรูปอาจมีจานวนแกนสมมาตรไม่เท่ากัน และเส้นสะท้อน (แกนสมมาตร) จะแบ่งครึ่งและตั้งฉากกับส่วนของเส้นตรงที่เชื่อม ระหว่างจุดแต่ละจุดบนรูปต้นแบบกับจุดแต่ละจุดบนรูปสะท้อนที่สมนัยกัน ดังนั้น สรุปได้ว่ารูปที่เกิดจาการสะท้อนก็คือรูปสมมาตรบนเส้น โดยมีเส้นสะท้อนคือ แกนสมมาตรนั่นเอง ถ้าเส้นสะท้อนเป็นแกน Y พิกัดของภาพที่เกิดจากการสะท้อน คือการเปลี่ยน เครื่องหมายของสมาชิกตัวหน้าเป็นเครื่องหมายตรงข้ามทุกจุดของรูปต้นแบบ ส่วนสมาชิกตัว หลังให้คงเดิมไว้ ถ้าเส้นสะท้อนเป็นแกน X พิกัดของภาพที่เกิดจากการสะท้อน คือการเปลี่ยน เครื่องหมายของสมาชิกตัวหลังเป็นเครื่องหมายตรงข้ามทุกจุดของรูปต้นแบบ ส่วนสมาชิกตัว หน้าให้คงเดิมไว้ ถ้าเส้นสะท้อนขนานแกน X หรือแกน Y ให้นับช่องตารางหาระยะระหว่างจุดที่ กาหนดให้กับเส้นสะท้อนซึ่งภาพของจุดนั้นจะอยู่ห่างจากเส้นสะท้อนเป็นระยะที่เท่ากันกับ ระยะที่นับได้เมื่อได้ภาพของจุดนั้นแล้วจึงหาพิกัด ถ้าเส้นสะท้อนไม่ขนานแกน X และไม่ขนานกับแกน Y แต่เป็นเส้นในแนวทแยง ให้ลากเส้นตรงผ่านจุดที่กาหนดให้และตั้งฉากกับเส้นสะท้อน ภาพของจุดที่กาหนดให้จะอยู่ บนเส้นตั้งฉากที่สร้างขึ้นและอยู่ห่างจากเส้นสะท้อนเป็นระยะเท่ากันกับจุดที่กาหนดให้อยู่ ห่างจากเส้นสะท้อน เมื่อได้ภาพของจุดนั้นแล้วจึงหาพิกัด 2.2 การหมุน โดยการหมุนบนระนาบเป็นการแปลงทางเรขาคณิตที่มีจุด O เป็นจุดที่ตรึง อยู่จุดหนึ่งเรียกว่า O ว่า จุดหมุน แต่ละจุด P บนระนาบ มีจุด P' เป็นภาพที่ได้จาก การหมุนจุด P รอบจุด O ตามทิศทางที่กาหนดด้วยมุมที่มีขนาด K โดยที่ 2.3.1. ถ้าจุด P ไม่ใช่จุด O แล้ว OP = OP^' และขนาดของ การหมุน เท่ากับ K 2.3.2. ถ้าจุด P เป็นจุดเดียวกันกับจุด O แล้ว P เป็นจุดหมุน 2.3.3.สมบัติของการหมุน 2.3.3.1. สามารถเลื่อนรูปต้นแบบทับภาพที่ได้จากการหมุนได้สนิท โดยไม่ ต้องพลิกรูปหรือกล่าวว่า รูปต้นแบบกับภาพที่ได้จากการหมุนเท่ากันทุกประการ
  • 6.
    6 2.3.3.2. ส่วนของเส้นตรงบนรูปต้นแบบและภาพที่ได้จากการหมุนส่วนของ เส้นตรงนั้นไม่จาเป็นต้องขนานกันทุกคู่ หรืออาจกล่าวได้ว่าจุดบนรูปต้นแบบและ ภาพที่ได้จากการหมุนจุดนั้น แต่ละคู่อยู่บนวงกลมเดียวกันและมีจุดหมุนเป็นจุด ศูนย์กลาง แต่วงกลมเหล่านี้ไม่จาเป็นต้องมีรัศมียาวเท่ากัน ลักษณะของการหมุน การหมุนจะหมุนทวนเข็มหรือตามเข็มนาฬิกาก็ได้จุดหมุนจะเป็นจุดที่อยู่ บนรูปหรือนอกรูปก็ได้โดยที่จุดแต่ละจุดบนรูปต้นแบบเคลื่อนที่รอบจุดหมุนด้วย ขนานของมุมที่กาหนด 3. ทรงกระบอก รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานทั้งสองเป็นรูปวงกลมที่เท่ากันทุกประการและอยู่บนระนาบ ที่ขนานกัน เมื่อตัดรูปเรขาคณิตสามมิตินั้นด้วยระนาบที่ขนานกับฐานแล้ว หน้าตัดที่ได้จะเป็น วงกลมที่เท่ากันทุกประการกับฐานเสมอเรียกรูปเรขาคณิตสามมิตินั้นว่า ทรงกระบอก ปริมาตรของทรงกระบอก = พื้นที่ฐาน × สูง 4. ฟังก์ชันตรีโกณมิติ ฟังก์ชันตรีโกณมิติ (Trigonometric function) คือ ฟังก์ชันของมุม ซึ่งมีความสาคัญในการศึกษารูปสามเหลี่ยม และปรากฏการณ์ในลักษณะเป็นคาบ ฟังก์ชันอาจนิยามด้วยอัตราส่วนของด้าน 2 ด้านของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก หรืออัตราส่วนของพิกัดของจุดบนวงกลมหนึ่งหน่วย หรือนิยามในรูปทั่วไปเช่นอนุกรมอนันต์ หรือสมการเชิง อนุพันธ์ รูปสามเหลี่ยมที่นามาใช้จะอยู่ในระนาบแบบยุคลิด ดังนั้น ผลรวมของมุมทุกมุมจึงเท่ากับ 180° เสมอ 1. วงกลมหนึ่งหน่วย การศึกษาตรีโกณมิติในปัจจุบันเริ่มจาก วงกลมซึ่งมีรัศมียาว 1 หน่วย และมีจุดศูนย์กลางที่จุดกาเนิดดังต่อไปนี้  O A(1,0) ถ้าให้ คือความยาวของส่วนของวงกลมที่วัดจาก A(1,0) ไปยังจุด C เรากาหนดทิศทางของกาวัดโดยใช้ เครื่องหมายบวกและลบ ดังนี้ 1. ถ้า 0 เป็นการวัดจากจุด A ไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา 2. ถ้า 0 เป็นการวัดจากจุด A ไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกา เนื่องจากความยาวของเส้นรอบวงของวงกลมเท่ากับ 2r แต่ r = 1 ความยาวของเส้นรอบวง = 2
  • 7.
    7 ดังนั้น ถ้า 2แสดงว่าการวัดเกิน 1 รอบ 2. การวัดมุม การวัดมุม มีการวัดเป็น 2 แบบ คือ วัดแบบเรเดียน กับ แบบองศา การวัดแบบเรเดียน เรเดียน = a r เมื่อ a คือ ความยาวของส่วนโค้ง AC r คือ รัศมีของวงกลม ถ้า r = 1 2เรเดียน = 360 องศา  เรเดียน = 1800 3. ค่าของฟังก์ชันรีโกณมิติขนาดของมุมมีค่าต่าง ๆ x = cos  y = sin  y /2 (0,1)  0,2 x (-1,0) (1,0) 3/2 (0,-1) จากรูป เราสามารถสรุปค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติสาคัญ ๆ ได้ดังนี้ 0(00 ) /2 (900 ) (1800 )3/2(2700 ) sin 0 1 0 -1 cos 1 0 -1 0
  • 8.
    8 4. ความสัมพันธ์ระหว่าง sinกับcos , secกับ tan , cosecกับ cot sin2  + cos2  = 1 sec2  - tan2  = 1 เมื่อ cos 0 cosec2  - cot2  = 1 เมื่อ sin 0 5. การหาค่าฟังก์ชันตรีโกณมิติ(เพิ่มเติม) sin(-) = sin cos(-) = -cos sin(+) = -sin cos(+) = -cos sin(2-) = -sin cos(2-) = cos sin(2+) = sin cos(2+) = cos sin(-) = -sin cos(-) = cos sin(/2-) = cos cos(/2-) = sin sin(/2+) = cos cos(/2+) = -sin sin(3/2-) = -cos cos(3/2-) = -sin sin(3/2+) = -cos cos(3/2+) = sin
  • 9.
    9 6. ฟังก์ชันของผลบวกหรือผลต่าง sin (A+B)= sin AcosB + cosA sinB cos(A+B) = cosAcosB - sinAsinB tan (A+B) = tanA+ tanB 1-tanA tanB sin (A-B) = sin AcosB - cosA sinB cos(A-B) = cosAcosB + sinAsinB tan (A-B) = tanA- tanB 1+tanA tanB 7. การเปลี่ยนผลคูณของฟังก์ชันให้อยู่ในรูปผลบวกหรือผลต่าง 2sinAcosB = sin(A+B) + sin(A-B) 2cosAsinB = sin(A+B) - sin(A-B) 2cosAcosB = cos(A+B) + cos(A-B) 2sinAsinB = cos(A-B) - cos(A+B)
  • 10.
    10 วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ งบประมาณ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ __________________________________________________________________ ___________________________________________________________________ ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 12 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 16 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน
  • 11.
    11 ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ สถานที่ดาเนินการ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ แหล่งอ้างอิง (เอกสารหรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________