More Related Content
Similar to javabasic (20)
More from Lacus Methini (13)
javabasic
- 3. - ตัวดาเนินการแบบสัมพันธ์ (Relational Operators)
ตัวดาเนินการประเภทนีจะนาตัวถูกดาเนินการสองค่ามาเปรียบเทียบกัน
้
ผลลัทธ์ที่ได้จะเป็นจริงหรือเท็จ ในภาษาจาวามีตัวดาเนินการประเภทนี้ 6 ตัว
ดังตารางที่ 3.1
- 8. ลาดับ
1
2
ตัวดาเนินการ
( ) , ( data type )
! , ~ , - , + , - - , ++
เรียงจาก
ซ้ายไปขวา
ซ้ายไปขวา
3
*, / , % , + , - , << , >> , >>>
ซ้ายไปขวา
4
< , > , <= , >= , == , !=
ซ้ายไปขวา
5
6
& , ^ , | , && , | |
!= , ^= , &= , >>>= , >>= , <<=
,%= , /= , *= , -= , += , =
ซ้ายไปขวา
ซ้ายไปขวา
จากตารางจะเห็นว่า ลงเล็บจะมีลาดับความสาคัญสูงสุด ส่วนตัวดาเนินการที่ใช้
สาหรับกาหนดค่าจะมีลาดับความสาคัญต่าสุด ถ้าหากมีตัวดาเนินการที่มีลาดับความสาคัญ
เท่ากันอยู่ในนิพจน์เดียวกัน ลาดับความสาคัญจะเรียงจากซ้ายไปขวา ในการเขียนโปรแกรม
ถ้าหากมีการประมวลผลซับซ้อนผูเ้ ขียนโปรแกรมควรใส่วงเล็บให้ประมวลผลก่อน เพื่อ
ป้องกันการสับสน
- 9. 3.2 การเลือกทาแบบทางเดียว(if-statement)
ในภาษาจาวาจะใช้คาสั่ง if เลือก ทาแบบทางเดียวเพื่อจะตรวจสอบว่าชุดคาสั่งที่
ตามมาจะทาหรือไม่ ในการทางานของคาสั่งคอมพิวเตอร์จะตรวจสอบเงือนไขก่อน ถ้า
่
เงื่อนไขเป็นจริงจะทาคาสั่งหรือสเตตเมนต์ที่ตามหลังหรือเป็นสเตตเมนต์รวม ที่อยูใน
่
เครืองหมาย { } แต่ถาเงื่อนไขเป็นเท็จคอมพิวเตอร์จะกระโดดข้ามคาสั่งหรือสเตตเมนต์
่
้
ตามมาและไปทาคาสั่งหรือสเตตเมนต์ต่อไป รูปแบบคาสั่งเป็นดังต่อไปนี้
- 10. รูปแบบ If(condition) {action statement}
โดย การตรวจสอบเงื่อนไขจะเป็นการกระทาแบบบูลน ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นจริง
ี
หรือเท็จเท่านันถ้าหากมีการใช้ตวดาเนินการจะใช้ ตัวดาเนินการที่ให้ผลลัพธ์เป็นแบบ
้
ั
บูลน สาหรับการทางานของคาสั่ง if สารถเขียนเป็นผังงานได้ดงนี้
ี
ั
- 11. 3.3 คาสังเลือกทาอย่างใดอย่างหนึง(if-else)
่
่
จากคาสัง if ที่ผานมาจะใช้ในการเขียนโปรแกรมที่ใช้ทดสอบว่าจะเลือกทาหรือไม่ ถ้า
่
่
เงื่อนไขเป็นจริงจะทาคาสังหรือสเตตเมนต์หลัง if ในกรณีทคอมพิวเตอร์ตองเลือกทาอย่างใด
่
ี่
้
อย่างหนึ่ง โดยตรวจสอบเงือนไขทีกาหนดจะใช้คาสัง if-else ถ้าเงือนไขเป็นจริงจะทาคาสัง
่
่
่
่
่
หลัง if แต่ถาเงือนไขเป็นเท็จจะทาคาสังหลัง else โดยนิพจน์การตรวจสอบเงื่อนไขที่
้ ่
่
ตามหลัง if จะเป็นข้อมูลทางตรรกะ รูปแบบคาสังเป็นดังนี้
่
- 13. 3.4 การใช้คาสัง if-else-if
่
การเขียนคาสั่งแบบเลือกทาสองทางทีใช้ if-else นันจะพบว่าชุดคาสั่งที่อยูหลัง
่
้
่
else จะถูกทางาน
ถ้าหากประโยคเงื่อนไขของ if เป็นเท็จ แต่ถาต้องการให้ตรวจสอบเงือนไขอืนๆ
้
่
่
ก่อนที่จะทาชุดคาสั่งหลัง if-else-if แทน ตัวอย่างเช่น ถ้าหากต้องการเขียนโปรแกรมใน
การคิดผลสอบของนักเรียน โดยมีเงือนไขเป็นถ้าคะแนนมากกว่า 50 ให้ผ่าน แต่ถา
่
้
คะแนนไม่มากกว่า 50 ให้ตก สามารถนาคาสัง if-else มาใช้ได้ โดยเขียนดังนี้
่
- 15. 3.5 การเลือกทาแบบ switch
การเขียนโปรแกรมทีต้องมีการเลือกทาหลายทางเลือก เราสามารถนา
่
ประโยคคาสั่ง if-else มาซ้อนกันได้ แต่ถาเงือนไขทีต้องตัดสินใจขึนกับตัวแปร
้ ่
่
้
เดียว เราสามารถใช้คาสั่ง switch..case แทนได้ คาสัง switch นีมความ
่
้ี
ซับซ้อนน้อยกว่าการนา if-else มาเขียนซ้อนกัน และสามารถเปลียนเงื่อนไขได้
่
ง่ายอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเขียนโปรแกรมเป็นลักษณะเมนูดงต่อไปนี้
ั
- 17. คาสัง switch นีจะนาค่าใน variable มาตรวจสอบว่าเท่ากับค่าคงที่คาใด
่
้
่
หลัง case จากนัน โปรแกรมจะไปทา statement หลังค่าคงทีตัวนัน และออก
้
่ ้
จาก switch เมือถึงคาสั่ง break แต่ถาไม่เท่าค่าคงที่คาใดเลย โปรแกรมจะไปทา
่
้
่
statement หลัง default แต่ถาหากไม่มคาสั่ง break โปรแกรมจะทางานตาม
้
ี
คาสังทุกๆ case แม้วาตัวแปรใน switch จะไม่ตรงกับ case สาหรับค่าที่ใช้
่
่
ตรวจสอบจะเป็นตัวแปรนิพจน์ หรือฟังก์ชันก็ได้ สาหรับในแต่ละ case สามารถมี
คาสังได้มากกว่าหนึงคาสังหรืออาจไม่มกได้ โดยถ้าไม่มีคาสั่งโปรแกรมจะไปทางานใน
่
่ ่
ี็
case ถัดไป ค่าคงที่หลัง case จะต้องเป็นแบบ char, byte, short หรือ int
แล้วตามด้วยเครื่องหมายโคลอน (:)
- 18. 3.6 การควบคุมคาสังซ้าด้วย for
่
การซ้าแบบ for หรือ loop for จะเป็นการให้โปรแกรมทาซ้าจนกว่าค่าตัวแปร
จะครบตามที่ตงไว้หรือทาตามเงื่อนไขที่กาหนด เริ่มแรกโปรแกรมจะกาหนดค่าเริมต้น
ั้
่
ให้กับตัวแปรเริมต้น (initialization) จากนันจะตรวจสอบเงื่อนไข ถ้าหากเงื่อนไขเป็น
่
้
จริงจะทาสเตตเมนต์ที่ตามมา และปรับค่าตัวแปรควบคุม โดยรูปแบบของคาสั่งเป็นดังนี้
รูปแบบ
ในส่วนของ condition บางครังจะเรียกตัวแปรควบคุมลูป ( loop control
้
variable ) เริ่มต้นคาสั่งจะทาส่วนกาหนดค่าเริมต้น (initial value) จากนันจะ
่
้
ตรวจสอบว่าเงื่อนไขเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเงือนไขเป็นจริงจะทาตามสเตตเมนต์ที่จะทาซ้า
่
แล้วกลับมาทาส่วน update ซึงส่วนมากแล้วจะเป็นการเพิ่มค่าหรือลดค่าตัวแปร
่
จากนันจะตรวจสอบเงือนไขใหม่โดยทาแบบนี้ไปจนกว่าเงื่อนไขจะเป็นเท็จ สเตตเมนต์ที่
้
่
ทาซ้าอาจเป็นสเตตเมนต์รวม (Compound Statement) ก็ได้ แต่ต้องอยูภายใน
่
เครืองหมาย { กับ }
่
- 19. สาหรับในส่วนของการกาหนดค่าเริมต้น และ update มักจะเขียนเป็น
่
คาสังเดียว แต่ถ้าหากต้องการใช้หลายคาสั่งจะใช้เครืองหมาย comma คั่นระหว่าง
่
่
คาสัง ตัวอย่างเช่น ถ้าเขียนคาสั่งดังต่อไปนี้
่
เริ่มโปรแกรมจะใส่ค่าเริมต้น 1 ลงในตัวแปร number จากนันจะทดสอบ
่
้
เงื่อนไขว่าเงื่อนไขเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงจะทาสเตตเมนต์และเพิ่มค่า number
ขึนหนึงค่า
้ ่
ในการเพิมค่าให้กับตัวแปรควบคุมจะเพิ่มขึนเป็นลาดับ โดยอาจเป็นตัวเลข
่
้
1,2,3,… หรืออักษร ‘A’,’B’,’C’, ก็ได้ดงนัน การประกาศประเภทของตัวแปรควบคุม
ั ้
จะต้องให้สอดคล้องกับค่าของข้อมูลด้วย
- 21. โปรแกรมจะพิมพ์คา counter ตั้งแต่ 1 ถึง 10 โดยเริ่มแรกใส่คาให้กับตัวแปร
่
่
counter ซึงเป็นตัวแปรเริมต้นก่อน จากนั้นจะตรวจสอบเงื่อนไขว่า counter น้อยกว่า
่
่
หรือเท่ากับ 10 จริงหรือไม่ ถ้าจริงจะพิมพ์คาใน counter และเพิ่มค่า counter ขึนอีก
่
้
หนึงค่า จากนันจะตรวจสอบเงื่อนไขใหม่ โดยการทางานสามารถเขียนผังงานได้ดงนี้
่
้
ั
- 23. 3.10 คาสัง break หรือ continue
่
บ่อยครั้งที่ทางานกับกลุมคาสั่ง Selection (if, switch..case) และ
่
Repetition (for, do..while, while) ที่ต้องมี 2 คาสั่งนีใช้งานร่วมด้วย
้
ระหว่าง Code ของโปรแกรม ซึง 2 คาสังดังกล่าวมีความหมายและการใช้งาน
่
่
ดังนี้
break : ใช้เพือหยุดการทางานและออกจากโปรแกรมย่อย เช่น ใช้จบการ
่
ทางานของ case แต่ละ case หรือใช้จบการทางานของ loop
continue : ใช้เพื่อสังให้เครื่องทาต่องานต่อ หรือให้ขนไปวนรอบของ loop
่
ึ้
- 25. -แนะนา system.in.read()
การเรียกใช้ System.in.read นันจะรับตัวอักขระได้ตัวเดียว ถ้าหากต้องการรับ
้
หลายตัวสามารถนาคาสั่งการทาซ้ามาใช้ได้ และในการใช้เมธอดนี้ ถ้าหากไม่เรียก
java.io.* ด้วยคาว่า import ในส่วนหัวของโปรแกรมแล้วก็สามารถเรียกใช้ตอจาก
่
throws ได้ ดังตัวอย่างโปรแกรมที่ 3.26
ผลลัพธ์จากการทาโปรแกรมโดยกดตัวอักขระไปทีละตัว
- 26. สมาชิก
1.นางสาวสุวภัทร ร่มสายหยุด เลขที่ 28
2.นางสาวเมทินี เผ่ากาญจนา เลขที่ 33
3.นางสาวช่อผกา อ่อนเบา เลขที่ 34
4.นางสาวผาณิตรี ถาวรพานิช เลขที่ 35
5.นางสาวพิมพ์ฤดี เพิมทอง เลขที่ 36
่
6.นางสาวอัญชลี จาเริญรักษา เลขที่ 37
ชันมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
้