Pw4 5
- 3. อุดมการณ์ประชาธิปไตย ( รุสโซเป็นหนึ่งในนักคิดประชาธิปไตย ) ได้ข้ามพรมแดนจากยุโรปเข้าสู่สังคมไทย และแสดงพลังดังกล่าวผ่านคน 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่ม รศ . 103 ร . ศ . 103 ตรงกับ พ . ศ . 2427 เป็นปีที่ 17 ของการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีเจ้านายและข้าราชการ จำนวนหนึ่งที่รับราชการ ณ สถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอนและปารีสได้ร่วมกันลงชื่อในเอกสารกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดิน ร . ศ . 103 ทูลเกล้าฯ ถวาย ณ วันที่ 9 เดือนมกราคม พ . ศ . 2427
- 5. ในหนังสือกราบบังคมทูล ได้เสนอความเห็นที่เรียกว่าจัดการบ้านเมืองตามแบบยุโรป รวม 7 ข้อ ดังนี้ (1) ให้เปลี่ยนการปกครองจาก Absolute Monarchy เป็น Constitutional Monarchy (2) การทำนุบำรุงแผ่นดินต้องมีพวกคาบิเนตรับผิดชอบ (3) ต้องหาทางป้องกันคอรัปชั่นให้ข้าราชการมีเงินเดือนพอใช้ตามฐานานุรูป (4) ต้องให้ประชาชนมีความสุขเสมอกันมีกฎหมายให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนทั่วไป (5) ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขขนบธรรมเนียม และกฎหมายที่กีดขวางความเจริญของบ้านเมือง (6) ให้มีเสรีภาพในทางความคิดเห็นและให้แสดงออกได้ในที่ประชุมหรือในหนังสือพิมพ์ (7) ข้าราชการทุกระดับชั้นต้องเลือกเอาคนที่มีความรู้ มีความประพฤติดี อายุ 20 ขึ้นไป ผู้ที่เคยทำชั่วถูกถอดยศศักดิ์ หรือเคยประพฤติผิดกฎหมาย ไม่ควรรับเข้ารับราชการอีก และถ้าได้ ข้าราชการที่รู้ขนบธรรมเนียมยุโรปได้ยิ่งดี
- 6. 2. กบฏ ร . ศ . 130 ( พ . ศ .2454 ) “ เหตุการณ์ ร . ศ .130 เป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยที่เริ่มต้นแล้วก็ล้มเหลว ... จริง แต่อย่าลืมว่าเหตุการณ์ ร . ศ .130 เกิดขึ้นหลังการสวรรคตของ ร .5 เพียง 15 เดือน จึงกล่าวได้ว่า เป็นเหตุที่เกิดจากผลของการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย” “ ร . ศ .130 เป็นนายร้อยที่เป็นกลุ่มสามัญชน กลุ่ม ร . ศ .130 ที่รวมตัวกัน ซึ่งประกอบด้วย ร . อ . เหล็ง ศรีจันทร์ ร้อยตรีจรูญ ษตะเมษ เป็นแกนนำ มีสมาชิกที่เป็นทหาร 90 คนในระยะเริ่มต้น ”
- 7. ร . ศ .130 เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของต่างประเทศที่มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในนานาประเทศ เริ่มจากญี่ปุ่นที่มีการปฏิรูปเมจิ ทำให้ญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจอุตสาหกรรมทัดเทียมตะวันตก ส่วนที่เมืองจีนมีการปฏิวัติของ ดร . ซุนยัดเซ็นในปี 2454 การปฏิวัติของซุนยัดเซ็น มีอิทธิพลต่อกลุ่มทหาร ร . ศ .130 มาก พลทหารจะเรียกการปฏิวัตินี้ว่า ปฏิวัติเก็กเหม็ง ยังมีการเผยแพร่ข่าว ภาพความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของการปฏิวัติเก็กเหม็ง ที่เผยแพร่กันภายในกลุ่มทหาร ร . ศ .130 ในเวลาต่อมา
- 8. กลุ่ม ร . ศ . 130 มีปณิธานและความมุ่งหมาย ในการโค่นล้มพระราชบัลลังก์ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ริเริ่มก่อการปฎิวัติก็วางแผนชักจูงทหารทั่วประเทศ และเกลี้ยงกล่อมทหารเกญฑ์ที่เข้ารับราชการทุกรุ่น ให้มีความเข้าใจถึงความเป็นอยู่ของประเทศชาติ และความเสื่อมทรามในขณะนั้น และความเป็นไปของลัทธิประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ว่ามีประโยชน์อย่างไร รวมถึงอธิบายให้เขาเหล่านั้นเข้าใจถึงเรื่องสิทธิและเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นได้แพร่ข่าวกระจายไปทั่วประเทศ เพื่อให้ราษฎรตระหนักว่า ลัทธิสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นเป็นลัทธิที่ไม่เหมาะสมแก่การปกครองประเทศ จนจะไม่มีเหลืออยู่แล้วในโลกนี้
- 9. 3. คณะราษฎร พ . ศ .2475 “ แผนการณ์ใหญ่ในการปฎิวัติโค่นล้มพระราชบัลลังก์เมื่อ ร . ศ . 130 ของคณะผู้ก่อการคือการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และความล้มเหลวคือจุดจบของคณะปฎิวัติในครั้งนั้น การถูกจับกุมและถูกจำคุกตลอดชีวิตหรือความทุกข์ทรมานด้วยประการทั้งปวง ไม่ได้เป็นหมายความว่าจะไม่มีการก่อการเช่นนั้นอีก ... ด้วยปรารถนาเดียวกัน ... โดยหลักการที่ต่างกันในอีกไม่กี่ปีต่อมา ...” คณะราษฎร์
- 10. จากสถานการณ์วิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก และจากกรณีที่มหาสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลงที่ทำให้ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครอง เช่นในรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิค ในเยอรมันก็เปลี่ยนการปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นมหาชนรัฐ และรวมทั้งในยุโรปและภาคพื้นเอเชีย ได้เกิดการปฎิวัติ เช่น การปฎิวัติในจีนเพื่อโค่นบัลลังแมนจู ที่ประเทศญี่ปุ่นจักรพรรดิทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชน ทั้งหมดนี้ได้อยู่ในความสนใจและติดตามข่าวของคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งในประเทศสยาม และประกอบกับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัฐบาลในขณะนั้น ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาสภาวะเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำได้ เป็นเหตุให้ผู้รักชาติ รักแผ่นดิน และคณะบุคคลกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยทหารและพลเรือนผู้มีความคิดเห็นและอุดมการณ์เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ไม่สามารถทนเพิกเฉย ต่อความอัตคัดขัดสนของประชาชนและความเสื่อมของประเทศได้ ...
- 12. ผู้คิดโค่นล้มราชบัลลังของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวคณะนี้ นำโดย พ . อ . พระยาพหลพลพยุหเสนา พ . อ . พระยาทรงสุรเดช พ . อ . พระยาฤทธิ์อัคเนย์ พ . ท . พระประศาสนพิทยายุทธ์ พ . ต . หลวงพิบูลสงครามและหลวงประดิษฐ์มนูธรรม คณะราษฎร์ได้เข้ายึดอำนาจรัฐและเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 24 มิถุนายน พ . ศ . 2475 หลวงประดิษฐ์มนูธรรม นายประยูร ภมรมนตรี หนึ่งในคณะราษฎร์
- 13. บางคนเรียกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ . ศ . 2475 ว่า การ ปฏิวัติสยาม พ . ศ . 2475 เพราะเป็นการกระทำเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครอง คือ เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่สำคัญยิ่งก็คือ การเปลี่ยนแนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตย ที่เดิมเป็นของพระมหากษัตริย์มาเป็นอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน กล่าวอีกนัย การปฏิวัติ 2475 คือ การวางรากฐานแนวคิดว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ซึ่งเป็นรากฐานของการเมืองไทยในปัจจุบัน
- 15. โดยในวันที่ 15 มีนาคม พ . ศ .2476 นายปรีด พนมยงค์ได้เสนอ " เค้าโครงเศรษฐกิจ " เพื่อให้พิจารณาใช้เป็นหลัก สำหรับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีลักษณะเป็นสหกรณ์เต็มรูปแบบ แต่ไม่ทำลายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน โดยให้รัฐซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมด้วยพันธบัตร มีดอกเบี้ยประจำปี ให้การประกันแก่ราษฎร ตั้งแต่เกิดจนตาย ว่าเมื่อราษฎรผู้ใดไม่สามารถ ทำงานได้หรือทำงานไม่ได้เพราะเจ็บป่วย หรือชราหรืออ่อนอายุ ก็จะได้รับความอุปการะเลี้ยงดูจากรัฐบาล
- 16. แต่แนวความคิดดังกล่าว ฝ่ายพระยามโนปกกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีและขุนนางต่างๆ ไม่เห็นด้วยเนื่องจาก ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งเจ้าและขุนนาง ยังกุมอำนาจอยู่ เมื่อนำเข้าสู่สภาแล้วเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย นายปรีดีจึงได้ลาออก จากตำแหน่ง รัฐบาลร่วมกับทหารบางกลุ่ม ทำการยึดอำนาจปิดสภาและออก พ . ร . บ . ว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ . ศ .2476 ออกแถลงการณ์ประณาม นายปรีดีว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดีจึงถูกเนรเทศออกนอกประเทศ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนที่ 1
- 17. หลังการปฏิวัติ 2475 สังคมสยามมีการเลือกตั้งหลายครั้ง แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ดำเนินการปกครองเป็นไปแบบกระท่อนกระแท่น และจบลงด้วยการรัฐประหารของทหารในปี 2490 กล่าวอีกนัย หลังการปฏิวัติ 2475 – พ . ศ . 2490 แม้ประชาธิปไตยสยามจะไม่มั่นคง แต่ประชาธิปไตยก็คืออุดมการณ์ทางการเมืองของยุโรปที่อพยพข้ามพรมแดนรัฐสยามและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชาวสยาม ความเป็นสยามในยุดนี้ ต่างไปจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะในยุคนี้ สยาม = ชาติ + ศาสนา + รัฐธรรมนูญ
- 19. จอมพล แปลก พิบูลสงคราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า " จอมพล ป ." เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเวลาดำรงตำแหน่ง รวมกันมากที่สุดของไทย คือ 14 ปี 11 เดือน 18 วัน เขาเป็นหนึ่งในคณะราษฎรและมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามกบฏบวรเดชร ผลงานดังกล่าวผลักดันให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของไทย และเขาเป็นคนที่เปลี่ยนชื่อประเทศจากประเทศสยามมาเป็นประเทศไทยในวันที่ 24 มิถุนายน พ . ศ . 2482 และเป็นผู้เปลี่ยน “เพลงชาติไทย " มาเป็นเพลงที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คำขวัญที่รู้จักกันดีของนายกรัฐมนตรีผู้นี้คือ " เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย " และ " ไทยอยู่คู่ฟ้า "
- 20. จอมพล ป . มีนโยบายที่สำคัญคือ การมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยะประเทศ มีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติ โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย “รัฐนิยม " หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างได้ประกาศเป็นกฎหมายในภายหลัง หลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติ เช่น การรำวง ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
- 36. จังหวัดพิบูลสงคราม เป็น 1 ใน 4 จังหวัดที่ประเทศไทยได้ดินแดนคืนจากฝรั่งเศสในช่วง พ . ศ . 2484 จังหวัดพิบูลสงคราม คือ จังหวัดเสียมเรียบ จังหวัดอุดรมีชัยและจังหวัดเตียเมียนเจยในประเทศกัมพูชา
- 39. แต่จากภาพรณรงค์วัฒนธรรมไทย ณ ที่ว่าการจังหวัดสงขลา เมื่อปี พ . ศ . 2485 และรัฐนิยมอื่นๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น ย่อมสะท้อนให้เห็นชัดว่า จอมพล ป . พยายามสร้างความเป็นไทยด้วยการสลัดทิ้งความเป็นไทยหรือวัฒนธรรมไทยแบบดั้งเดิม และสร้างวัฒนธรรมตะวันตกหรือความเป็นตะวันตกให้เป็นไทย ความเป็นไทยจึงถูกสร้างด้วยปัจจัยที่ข้ามพรมแดนมาจากตะวันตก