Pptsynectics22. เพื่อจะให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์หรือคําตอบเชิง Home
สร้างสรรค์กลุ่ม Synectics ค้นพบว่าการทําความคุ้น
เคยต่อปัญหาอย่างเดียวไม่พอเพียง จําเป็นต้องมอง Next
ปัญหาในแนวใหม่ด้วย นั่นก็คือขั้นตอนความคิดต่อไป ผู้ Back
แก้ปัญหาต้องทําปัญหาที่คุ้นเคยให้แปลก โดยการบ่าย
เบี่ยงการมองปัญหาไปจากความเคยชิน หรือมองปัญหา Exit
โดยสามัญสํานึกอย่างคนธรรมดาหรือต่างอาชีพกัน เช่น
3. Home
Next
Back
Exit
นักปฏิมากรหรือนักออกแบบผลิตภัณฑ์ มองต้นไม้เป็นกลุ่มของ
ช่องว่างที่อากาศผ่านทะลุได้ ไม่จําเป็นต้องเป็นพุ่ม หรือหนาทึบ
6. Home
การกลับไปมองปัญหาที่คุ้นเคยให้แปลกนี้ Next
ถื อ ว่ า เป็ น หลั ก การเบื ้ อ งต้ น ที ่ ท ํ า ให้ ไ ด้ ค ํ า ตอบหรื อ
Back
ผลลัพธ์ของความคิดเชิงสร้างสรรค์ การกําหนดความ
คิดในการแก้ปัญหาเริ่มแรกให้เป็นไปตามกลไกทาง Exit
จิตวิทยาโดยธรรมชาติ (ทําปัญหาแปลกให้คุ้นเคย)
แล้วเปลี่ยนกลับการกําหนดความคิดให้ผิดธรรมชาติ
(ทําปัญหาคุ้นเคยให้แปลก)
7. Home
กลุ่ม Synectics ได้ใช้เป็นหลักการในการ Next
ทดลองการพั ฒ นาความคิ ด สร้ า งสรรค์ อ ย่ า งได้ ผ ลมา
แล้วในการค้นคว้าวิจัย โดยเฉพาะการกําหนดขั้นตอนที่ Back
สองนี ้ ค ื อ ทํ า ปั ญ หาที ่ ค ุ ้ น เคยให้ แ ปลกจะเป็ น การเพิ ่ ม
Exit
ความกล้า ความท้าทาย ความเสี่ยง หรือแม้แต่ความ
ฉงนสนเท่ห์ เป็นการมองหรือเผชิญปัญหา และแก้ปัญหา
ในแนวทางใหม่แทนความเคยชินแต่เดิมหรือกฎเกณฑ์ที่
เป็นอยู่เช่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นลักษณะสําคัญส่วนหนึ่งของ
คนที่มีความคิดสร้างสรรค์
8. กลไกทางความคิดที่สําคัญในการทําปัญหาที่
คุ้นเคยให้แปลก คือ การอุปมาอุปมัย (Analogy) Home
กลุ่ม Synectics กําหนดการอุปมาอุปมัยไว้ 4 Next
ลักษณะในการเปรียบเทียบ ซึ่งถือว่าเป็นเนื้อหาการ
ค้นคว้าสําคัญของวิธีการคิดเชิงสร้างสรรค์ คือ
Back
1. การอุปมาอุปมัยโดยอิงตัวเอง Exit
(Personal Analogy)
2. การอุปมาอุปมัยโดยตรง (Direct
Analogy)
3. การอุปมาอุปมัยโดยอิงบัญญัติ
(Symbolic Analogy)
4. การอุปมาอุปมัยโดยอิงการเพ้อฝัน
(Fantasy Analogy)
9. เป็นการเปรียบเทียบโดยเอาตัวผู้เรียนไปเป็น Home
บางสิ่งบางอย่างที่ครูยกขึ้น โดยการกําหนดให้ตัวเอง
เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เป็นวิธีนําตนเองเข้าไปเปรียบ Next
เทียบโดยสมมติตนเองว่าเป็นสิ่งนั้น จะให้ความรู้สึก Back
อย่างไร
การเปรียบเทียบเช่นนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม Exit
ในบทเรียน มองเห็นบทเรียนเป็นสิ่งที่ไม่ไกลตัว มองเห็น
แนวการคิดสร้างสรรค์จากฐานความคิดของตัวเอง และ
บางความคิดจากสิ่งที่ให้เปรียบเทียบ ตัวอย่าง เป็นการ
เปรียบเทียบที่เป็นการรวมบุคคลกับส่วนต่างๆ ของ
ปัญหา
10. การเปรียบเทียบเช่นนี้ ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมใน Home
บทเรียนมองเห็นบทเรียนเป็นสิ่งไม่ไกลตัว มองเป็น Next
แนวในการคิดสร้างสรรค์จากรากฐานความคิดของตัว
เองและฐานความคิดจากสิ่งที่ให้เปรียบเทียบ เช่น Back
สมมติให้นักเรียนเป็นหนอนเป็นรถไฟ หรือก้อนเมฆ Exit
แล้วรู้สึกอย่างไร (สมพงษ์ สิงหะพล, 2533)
12. สมมติ ใ ห้ น ั ก เรี ย นเป็ น Home
หนอน
Next
Back
Exit
14. Home
เป็นการเปรียบเทียบ ระหว่างสิ่งของสองสิ่ง Next
ความคิด 2 ความคิด จากสิ่งหนึ่งพัฒนาไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง Back
สิ่งที่เรานํามาเปรียบเทียบกันจะเป็นอะไรก็ได้ ที่เรา
ต้องการเปรียบเทียบ เช่น คน พืช สัตว์ สิ่งของ สถานที่ Exit
ความคิด หรืออื่น ๆ โดยเปรียบเทียบของสองสิ่งที่มี
คุณสมบัติใกล้เคียงกันที่สุด เป็นการนําวิธีการที่มีอยู่
แล้วในธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาประยุกต์ใช้
แก้ปัญหาซึ่งมีลักษณะตรงกัน
16. การเปรี ย บเที ย บการเขี ย นจดหมายกั บ ลั ก ษณะการ Home
เคลื่อนที่ของหนอน
Next
Back
Exit
18. หรื อ การเขี ย นจดหมายกั บ การเคลื ่ อ นที ่ Home
ของก้อนเมฆ
Next
Back
Exit
19. การอุปมาอุปมัยโดยตรง เป็นกลไกทางความ Home
คิดในการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ โดยเปรียบเทียบของ
Next
สองสิ่งที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันที่สุด เป็นการเปรียบ
เทียบของผู้แก้ปัญหาแต่ละคนที่จะมองปัญหาในเงื่อนไข Back
หรือสถานการณ์ใหม่ เมื่อปัญหาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีชีวิต
ก็มักจะเปรียบเทียบโดยตรงกับสิ่งที่ไร้ชีวิต ในทางตรง Exit
กันข้าม เมื่อเผชิญกับปัญหาที่เกี่ยวกับสิ่งที่ไร้ชีวิตก็จะ
เปรียบเทียบกับสิ่งที่มีชีวิต หรือมิฉะนั้นก็เปรียบเทียบสิ่ง
ที่ไร้ชีวิตหรือสิ่งที่มีชีวิตเช่นเดียวกัน เช่น
20. Sir March Isumbard คิดแก้ปัญหาการออกแบบ Home
โครงสร้างใต้น้ําได้จากการเฝ้าดูหนอนทะเลที่อาศัยตามเรือไม้หรือ
เขื่อนไม้ตามฝั่งทะเล ขณะกําลังขุดเจาะไม้ทํารูเป็นทางไปเรื่อยๆ Next
นั้น ตัวหนอนจะต้องสร้างปล้องสําหรับตัวเองไปทุกระยะที่มัน
เคลื่อนตัวไปข้างหน้าเสมอ ด้วยการอุปมาอุปมัยโดยตรง จาก การ
Back
สังเกตนี้เอง จึงทําให้ระบบการก่อสร้างแบบ Caissons สําหรับ
โครงสร้างใต้น้ํา หรือใต้ดินเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในวงการก่อสร้าง
Exit
จนถึงปัจจุบัน
22. Home
การอุปมาอุปมัยโดยอิงบัญญัติ (Symbolic Next
Analogy) หรือการเปรียบเทียบในเชิงสัญลักษณ์ เป็นการ B
ack
นําสิ่งที่เป็นนามธรรมมาใช้เปรียบเปรย ตัวอย่างการอุปมา
อุปมัยเชิงบัญญัติของก้อนอิฐ มีหลากหลายเช่น Exit
31. Home
นักปฏิบัติวิชาชีพแต่ละสาขา มักมี "ภาษา" Next
หรือ บัญญัติเฉพาะในการสื่อความคิดเพื่อแก้ปัญหา
Back
ต่างๆ ซึ่งประกอบกันเป็นมโนทัศน์ เก็บสะสมเป็น
ประสบการณ์ เฉพาะบุคคลตามสาขาอาชีพ ในการ Exit
ทําความคุ้นเคยกับปัญหา นักเคมีจะใช้มโนทัศน์ ในการ
เปรียบเทียบเป็นสูตรหรือสมการทางเคมีปฏิบัติ นัก
คณิตศาสตร์จะใช้บัญญัติของตัวเลขและกฎเกณฑ์ในรูป
สมการทางคณิตศาสตร์ เป็นต้น
32. การตอบสนองเฉพาะเรื่อง จะสะสมไว้ในสมอง
ของแต่ละคนมากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่บันทึกใน Home
จิตใจเป็นการสะสม ของมโนทัศน์ต่างๆ ซึ่งในแต่ละ
Next
สาขาอาชีพ มีรูปแบบหรือเค้าโครงแตกต่าง ตามความรู้
และความเคยชินในการแก้ปัญหา มโนทัศน์ทั้งหลายนี้ Back
เป็นบัญญัติทั้งสิ้น มีรูปสัญลักษณ์ประกอบต่างๆ เพื่อ
การสื่อ หรือทําเข้าใจกันได้ก็เฉพาะสาขาอาชีพเดียวกัน Exit
แต่การทําปัญหาที่คุ้นเคยให้แปลกนั้น จําเป็นต้องใช้การ
เปรียบเทียบ โดยอิงบัญญัติ หรือมโนทัศน์อื่นในต่าง
อาชีพ
39. Home
เป็นการนําจินตนาการ ความอยาก ความคิด Next
เพ้อฝันมาใช้สมมติเปรียบเทียบ พื้นฐานจากความคิด Back
ของ Sigmund Freud ที่ว่างานสร้างสรรค์ เกิดจาก
การทํ า ความปรารถนาให้ เ ป็ น จริ ง โดยผู ้ แ ก้ ป ั ญ หา Exit
กําหนดปัญหา ด้วยแรงปรารถนาอย่างไรก็ได้ อันปลอด
จากเหตุผล หรือกฎเกณฑ์ใด ที่เคยประพฤติปฏิบัติมา
ประโยชน์ที่มีผลทางความคิดสร้างสรรค์ที่สุด
40. มีคํากล่าวว่า งานสร้างสรรค์เกิดจากการทําความ
ปรารถนาให้เป็นจริง โดยผู้แก้ปัญหากําหนดปัญหา ด้วยแรง
ปรารถนาอย่างไรก็ได้อันปลอดจากเหตุผล หรือกฎเกณฑ์ใด Home
ที่เคยประพฤติปฏิบัติมา ประโยชน์ที่มีผลทางความคิด
สร้างสรรค์ที่สุด คือการใช้การอุปมาอุปมัยนี้ ตั้งแต่ขั้นตอน Next
แรกๆ ของการทําปัญหาที่คุ้นเคยให้แปลก กลุ่ม Synectics Back
ยืนยันว่า เป็นสิ่งสําคัญอย่างมากในการเชื่อมประสานขั้น
ตอน การกําหนดปัญหา และการแก้ปัญหาเข้าด้วยกัน และ Exit
ยังก่อให้เกิด การใช้การอุปมาอุปมัยแบบอื่นๆ ตามที่ได้
กล่าวมาแล้วข้างต้นอีกด้วย จากผลการทดลองในระยะแรก
การอุ ป มาอุ ป มั ย เชิ ง เพ้ อ ฝั น มั ก เกิ ด ขึ ้ น แทรกขณะที ่ ส มาชิ ก
กลุ่มกําลังใช้การอุปมาอุปมัยแบบอื่น แต่ประโยชน์อาจเร่งส่ง
ผลให้เกิดได้รวดเร็วในการแก้ปัญหาได้เท่าๆ กับความสูญ
เปล่า ในแสวงหาคําตอบของปัญหานั้นด้วย
41. เป็นการยากที่จะปฏิเสธว่า การพัฒนาการของ
ความสําเร็จ ในสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์
มีผลสืบเนื่องมาจากจินตนาการ หรือการอุปมาอุปมัย Home
เชิงเพ้อฝันของศิลปิน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับ
Next
โครงการอวกาศและวงการบิ น ที ่ ป รากฏในปั จ จุ บ ั น
เพราะในแขนงวิชาทางศิลปะ ศิลปินสามารถที่สร้าง Back
ความเพ้อฝัน ได้ง่ายดายกว่านักวิทยาศาสตร์ มีความ
ปรารถนาที่จะให้โลกเป็นเช่นไรก็ได้ เพราะผลของงาน Exit
สร้างสรรค์ เป็นเรื่องของบัญญัติของจินตนาการ ไม่ใช่
ของจริงที่ต้องเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และ
ระบบทางสังคมวัฒนธรรม เช่นทางวิทยาศาสตร์
42. Home
แต่จินตนาการหรือความเพ้อฝัน มักเป็นกลไกสําคัญใน Next
การพัฒนาความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และในขณะ Back
เดียวกันก็เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และระบบต่างๆ ของ
ธรรมชาติและสังคมวัฒนธรรม เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน Exit
ผลงานในอดีตที่ทรงคุณค่าต่อการศึกษา ในด้านวิชาการ
จนถึงปัจจุบัน ก็ล้วนเกิดจากบุคคลที่มีความสามารถใน
การอุปมาอุปมัยเชิงเพ้อฝันทั้งสิ้น
57. ข้อดี
1. เหมาะสําหรับการสอนรายวิชาหรือเนื้อหาที่ Home
ต้องการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น การเขียนเรียงความ
สร้างสรรค์ การสํารวจปัญหาสังคม การแก้ปัญหาต่าง ๆ Next
ศิลปะและการสร้างงานประดิษฐ์ Back
2. เน้นการสอนเพื่อให้เกิดความรู้สึกมากกว่าสติ
ปัญญา ทําให้ผู้เรียนไม่มีความคิดติดกับกรอบและทําใจ Exit
เปิดกว้างยอมรับสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างมาก
3. ผู้เรียนรู้จักแก้ปัญหา โดยวิธีแปลกใหม่ยิ่งขึ้น
4. เป็นวิธีที่ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกฝนการนําทฤษฎี
หลักการ
นําไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ ได้
58. ข้อจํากัด Home
1. เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนจําเป็นต้องเตรียม Next
ปัญหา สถานการณ์ที่หลากหลายมาให้ฝึกคิด ฝึกทํา
Back
2 .เป็นวิธีการสอนที่ขึ้นกับความเข้าใจและ
ความสามารถของผู้สอนในการนําเสนอ ทฤษฎี หลัก Exit
การ
59. Home
3. เนื่องจากเป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ Next
เน้นการใช้อารมณ์ ความรู้สึก เป็นหลัก อาจจะไม่
เหมาะสมกับวิชาที่ต้องใช้เหตุผล กฎเกณฑ์ เช่น Back
วิทยาศาสตร์ หลักภาษา และคณิตศาสตร์ เป็นต้น Exit
4. เป็นวิธีการสอนที่ผู้เรียนนั้นจะต้องคิดหา
คําตอบด้วยตนเอง หากผู้เรียนขาดทักษะพื้นฐาน
ในการคิด และการทํางานร่วมกันเป็นกลุ่ม อาจไม่
เกิดผลสมบูรณ์ตามต้องการ
Editor's Notes \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n \n