More Related Content
Similar to งานคูแหวว.Pdf (20)
งานคูแหวว.Pdf
- 2. เครื่องใช้ไฟฟ้า หมายถึง เครื่องมือที่เปลี่ยน
พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปต่างๆทีต้องการ
่
เช่น พลังงานความร้อน พลังงานเสียง พลังงาน
กล พลังงานเคมี และช่วยให้ความเป็นอยูของ ่
คนในบ้าน ในชุมชน ในสังคม มีความสุข และ
สะดวกสบาย แต่ถ้าใช้กันอย่างไม่ถูกต้อง หรือไม่
เหมาะสม ก็จะส่งผลกรทบต่อสภาพแวดล้อม เช่น
การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าทำาให้เนือที่ ้
ป่าถูกทำาลายทั้งสัตว์ต่างๆ ทีดำารงชิวิตอยู่ใน
่
บริเวณนั้นหรือการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเชื้อเพลิง
ก็ส่งผลกระทบ โดยเกิดมลภาวะทางอากาศ และ
ทางนำาได้
- 4. อุปกรณ์ทเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานแสง
ี่
ได้แก่ หลอดไฟฟ้า หลอดฟลูออเรสเซนต์ และหลอด
ไฟโฆษณา โธมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva
Edison) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ได้ประดิษฐ์หลอด
ไฟฟ้า ขึ้นเป็นครั้งแรกเมือ พ.ศ. 2422 โดยใช้
่
คาร์บอนเส้นเล็กๆเป็นไส้หลอดและต่อมาได้มการ
ี
พัฒนาขึ้น จนเป็นหลอดไฟฟ้าทีใช้ในปัจจุบัน
่
- 5. หลอดไฟฟ้า เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าทีมใช้ในทุก
่ ี
บ้านที่มการใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นเครื่องใช้ที่
ี
เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า ไปเป็นพลังงานแสง หลอด
ไฟฟ้าที่ใช้ทวไป มี 3 ชนิด คือ
ั่
1. หลอดไฟฟ้าแบบธรรมดา
หลอดไฟฟ้าแบบธรรมดา มีการเปลี่ยนรูป
พลังงานจากพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน
แล้วจึงเปลี่ยนเป็นพลังงานแสง หลอดไฟฟ้าแบบ
ธรรมดามี 2 แบบ คือแบบเกลียวและแบบเขี้ยว มีส่วน
ประกอบดังนี้
- 6. 1.1 ไส้หลอด ทำาด้วยโลหะทีมจุดหลอดเหลวสูง
่ ี
ทนความร้อนได้มาก มีความทานสูง เช่น ทังสเตน
1.2 หลอดแก้วทำาจากแก้วทีทนความร้อนได้ดี
่
ไม่แตกง่าย สูบอากาศออกจนหมดภายในบรรจุก๊าซ
ไนโตรเจนและอาร์กอนเล็กน้อย ก๊าซชนิดนีทำา้
ปฏิกิริยายาก ช่วยป้องกันไม่ให้ไส้หลอดระเหิดไปจับที่
หลอดแก้ว และช่วยไม่ให้ไส้หลอดไม่ขาดง่าย ถ้า
บรรจุก๊าซออกซิเจนจะทำาปฏิกริยากับไส้หลอด ซึ่ง
ิ
ทำาให้ไส้หลอดขาดง่าย
เนืองจากหลอดไฟฟ้าประเภทนี้
่
ให้แสงสว่างได้ด้วยการเปลี่ยน ต่อวงจรไฟฟ้า มี 2 แบบ
1.3 ขั้วหลอดไฟ เป็นจุด
พลัองานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน
คื ง แบบเขี้ยวและแบบเกลียว
ก่อนทีจะให้แสงสว่างออกมา จึงทำาให้
่
สิ้นเปลือง พลังงานไฟฟ้ามากกว่า
หลอดชนิดอื่น ในขนาดกำาลังไฟฟ้า
- 7. หลัก การทำา งานของหลอดไฟฟ้า ธรรมดา
การทีหลอด ไฟฟ้าให้แสงสว่างได้เป็นไปตาม
่
หลักการดังนี้ เมือกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไส้หลอด
่
ซึงมีความต้านทานสูง พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยน
่
เป็นพลังงานความร้อน ทำาให้ไส้หลอดร้อนจัดจน
เปล่งแสง ออกมาได้ ซึ่งมีการเปลี่ยนรูปพลังงาน
ดังนี้
พลังงานไฟฟ้า ----> พลังงานความร้อน
----> พลังงานแสง
- 8. 2.หลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรส
เซนต์(Fluorescent Lamp)
หลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์
(Fluorescent Lamp) ทำาด้วยหลอดแก้วที่สบ ู
อากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทไว้เล็กน้อย มี
ไส้ที่ปลายหลอดทั้งสองข้าง หลอดเรืองแสงอาจทำา
เป็นหลอดตรง หรือครึ่งวงกลมก็ได้ ส่วนประกอบ
และการทำางานของหลอดเรืองแสง มีดังนี้
- 9. 2.1 ตัวหลอด ภายในสูบอากาศออกจนหมด
แล้วบรรจุไอปรอทและก๊าซอาร์กอน เล็กน้อย ผิวด้าน
ในของหลอดเรืองแสงฉาบด้วยสารเรืองแสงชนิดต่างๆ
แล้วแต่ความต้องการให้เรืองแสงเป็นสีใด เช่น ถ้า
ต้องการให้เรืองแสงสีเขียว ต้องฉาบด้วยสารซิงค์ซิลิเคต
แสงสีขาวแกมฟ้าฉาบด้วยมักเนเซียมทังสเตน แสง
สีชมพูฉาบด้วยแคดเนียมบอเรต เป็นต้น
2.2 ไส้หลอด ทำาด้วยทังสเตนหรือวุลแฟรมอยู่
ทีปลายทังสองข้าง เมือกระแสไฟฟ้าผ่านไส้หลอดจะ
่ ้ ่
ทำาให้ไส้หลอดร้อนขึ้น ความร้อนทีเกิดขึ้นจะทำาให้ไอ
่
ปรอททีบรรจุไว้ในหลอดกลายเป็นไอมากขึ้น แต่ขณะ
่
นั้นกระแสไฟฟ้ายังผ่านไอปรอทไม่สะดวก เพราะปรอท
ยังเป็นไอน้อยทำาให้ความต้านทานของหลอดสูง
- 10. 2.3 สตาร์ตเตอร์ ทำาหน้าที่เป็นสวิตซ์ไฟฟ้าอัตโนมัติของ
วงจรโดยต่อขนานกับหลอด ทำาด้วยหลอดแก้วภายในบรรจุ
ก๊าซนีออนและแผ่นโลหะคู่ทงอตัวได้ เมื่อได้รับความร้อน เมื่อ
ี่
กระแสไฟฟ้าผ่านก๊าซนีออน ก๊าซนีออนจะติดไฟเกิดความร้อน
ขึ้น ทำาให้แผ่นโลหะคู่งอจนแตะติดกันทำาให้กลายเป็นวงจรปิด
ทำาให้กระแสไฟฟ้าผ่านแผ่น โลหะได้ครบวงจร ก๊าซนีออนที่
ติดไฟอยู่จะดับและเย็นลง แผ่นโลหะคู่จะแยกออกจากกันทำาให้
เกิดความต้านทานสูงขึ้นอย่างทันทีซึ่งขณะ เดียวกันกระแส
ไฟฟ้าจะผ่านไส้หลอดได้มากขึ้นทำาให้ไส้หลอดร้อนขึ้นมาก
ปรอทก็จะเป็นไอมากขึ้นจนพอที่นำากระแสไฟฟ้าได้
2.4 แบลลัสต์ เป็นขดลวดที่พันอยู่บนแกนเหล็ก ขณะ
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านจะเกิดการเหนี่ยวนำาแม่เหล็กไฟฟ้าทำาให้
เกิดแรงเคลื่อน ไฟฟ้าเหนี่ยวนำาขึ้น เมื่อแผ่นโลหะคู่ในสตาร์ต
เตอร์แยกตัวออกจากกันนั้นจะเกิดวงจรเปิดชั่วขณะ แรง
เคลือนไฟฟ้าเหนี่ยวนำาที่เกิดขึ้นในแบลลัสต์จึงทำาให้เกิดความ
่
ต่าง ศักย์ระหว่างไส้หลอดทั้งสองข้างสูงขึ้นเพียงพอที่จะทำาให้
กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ไอปรอทจากไส้หลอดข้างหนึ่งไปยังไส้
- 11. หลัก การทำา งานของหลอดฟลูอ อเรสเซนต์
เมือกระแสไฟฟ้าผ่านไอปรอท จะคายพลังงาน
่
ไฟฟ้าให้แก่ไอปรอท ซึ่งจะทำาให้อะตอม ของไอ
ปรอทอยูในสภาวะถูกกระตุ้น (exited state) เป็น
่
ผลให้อะตอมปรอทคายพลังงานออกมาเพื่อ ลดระดับ
พลังงานในตัวเองในรูปของรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่ง
มองไม่เห็น เมือรังสีชนิดนีไปกระทบกับสารวาวแสง
่ ้
ทีฉาบไว้ที่ผิวด้านในของหลอดฟลูออเรส เซนต์ สาร
่
เหล่านี้จะเปล่งแสงได้ โดยให้แสงสีต่างๆตามชนิด
ของสารวาวแสงทีฉาบไว้ภายในหลอดนัน เช่น ซิงค์
่ ้
ซิลิเคท (Zinc silicate) ให้แสงสีเขียว ซิงค์
เบริลเลียมซิลิเคท (Zinc Beryllium silicate) ให้
แสงสีเหลืองนวล นอกจากนี้ยงอาจผสมสารวาวแสง
ั
เหล่านี้ เพือให้ได้แสงสีผสมทีแตกต่างกันออกไปได้
่ ่
อีกด้วย
- 13. เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานความร้อน เป็นเครื่อง
่
ใช้ทเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน โดย
ี่
ใช้หลักการคือ เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตัวนำา
ทีมความต้านทานสูงๆ ลวดตัวนำานันจะร้อนจนสามารถ
่ ี ้
นำาความร้อนออกไปใช้ประโยชน์ได้ เนืองจากเป็น
่
เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานความร้อนมาก จึงสิ้น
่
เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ามากเมือเปรียบกับการใช้เครื่องใช้
่
ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เมือใช้ในเวลาทีเท่ากัน ฉะนั้นขณะ
่ ่
ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าให้พลังงานความร้อนจึงควรใช้ด้วย
ความระมัดระวัง ตัวอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงาน
่
ความร้อน เช่น เตารีด หม้อหุงข้าว กระทะไฟฟ้า กาต้ม
นำ้า เครื่องต้มกาแฟ เตาไฟฟ้า ฯลฯ
- 14. ส่วนประกอบในเครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานความร้อน
่
มีดังนี้
1. ขดลวดความร้อน หรือแผ่นความร้อน มัก
ทำาจากโลหะผสมระหว่างนิเกิลกับโครเมียม เรียกว่า
นิโครม ซึงมีสมบัติคือมีจุดหลอมเหลวสูงมากจึงทนความ
่
ร้อนได้สูงเมือมีความร้อนเกิดขึ้นมากๆจึงไม่ขาด และมี
่
ความต้านทานสูงมาก
2. เทอโมสตาร์ท หรือสวิตซ์ความร้อน
อัตโนมัติ ทำาหน้าทีควบคุมอุณหภูมไม่ให้ร้อนเกินไป มี
่ ิ
ส่วนประกอบเป็นโลหะต่างชนิดกัน 2 แผ่นมาประกบกัน
เมือได้รับความร้อนจะขยายตัวได้ไม่เท่ากัน เช่น เหล็ก
่
กับทองเหลือง โดยให้แผ่นโลหะทีขยายตัวได้
่
น้อย(เหล็ก)อยู่ดานบน ส่วนโลหะทีจะขยายตัวได้
้ ่
มาก(ทองเหลือง)อยู่ดานล่าง เมือกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
้ ่
- 15. 3. แผ่นไมกา หรือ แผ่นใยหิน ซึ่งเป็นฉนวน
ไฟฟ้า ในเครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงาน ความ
่
ร้อนบางชนิด เช่นเตารีด หม้อหุงข้าว เตาไฟฟ้า จะ
มีแผ่นไมกา หรือใยหิน เพือป้องกันไม่ให้ขดลวด
่
หลอมละลาย และป้องกันไฟฟ้ารั่วขณะใช้งาน
- 16. ข้อควรระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงาน
่
ความร้อน
เนื่องจากเครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานความร้อนจะ
่
มีกระแสไฟฟ้าปริมาณมากไหลผ่าน มากกว่าเครื่องใช้
ประเภทอื่นๆ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังดังนี้
- หมันตรวจสอบดูแลสายไฟ เต้ารับ เต้าเสียบ
่
ให้อยูในสภาพเรียบร้อยไม่ชำารุด
่
- เมือเลิกใช้งานต้องถอดเต้าเสียบออกจาก
่
เต้ารับทุกครั้งไม่ควรเสียบทิงไว้
้
- 17. หลัก การทำา งานของเครื่อ งใช้ไ ฟฟ้า ทีใ ห้ค วาม
่
ร้อ น
เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้ความร้อนมีหลักการคือเมือมี
่ ่
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านความ ต้านทานไฟฟ้าสูง
พลังงานไฟฟ้าจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ดังนัน ้
จึงให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดนิโครมหรือแผ่น
ความร้อนซึ่งมีความต้านทานไฟฟ้า สูง พลังงานไฟฟ้า
จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนมากแล้วถ่ายเท
พลังงานความร้อนไป ยังภาชนะ
เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานความร้อน ใช้พลังงาน
่
ไฟฟ้ามากกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นหลายเท่า กระแส
ไฟฟ้าทีผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านีมปริมาณมากจึงต้อง
่ ้ ี
ใช้ด้วยความ ระมัดระวัง เช่น คอยตรวจสอบสภาพของ
สายไฟ และเต้าเสียบให้อยูในสภาพดีอยูเสมอเพือ
่ ่ ่
- 18. เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานกล
่
เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานกล มีการ
่
เปลี่ยนรูปพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล โดยอาศัย
หลักการเหนียวนำาแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วยอุปกรณ์ ที่
่
เรียกว่า มอเตอร์ และ เครื่องควบคุมความเร็ว ซึ่งเป็น
อุปกรณ์หลักในเครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานกล
่
ตัวอย่าง เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานกล เช่น
่
เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น พัดลม เครื่อง
ซักผ้า เครื่องปั่นนำ้าผลไม้ ฯลฯ
- 19. ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานกล
่
1. มอเตอร์
มอเตอร์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าทีเปลี่ยนพลังงาน
่
ไฟฟ้าเป็นพลังงานกล ประกอบด้วยขดลวดทีพันรอบ ่
แกนโลหะทีวางอยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็ก โดยเมือผ่าน
่ ่
กระแสไฟฟ้าเข้าไปยังขดลวดทีอยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็ก
่
จะทำาให้ขดลวดหมุนไปรอบแกน และเมือสลับขั้วไฟฟ้า
่
การหมุนของขดลวดจะหมุนกลับทิศทางเดิม
- 20. ประเภทของมอเตอร์มี 2 ประเภท คือ
มอเตอร์กระแสตรง และมอเตอร์กระแสสลับ
- มอเตอร์กระแสตรง เป็นมอเตอร์ทต้องใช้
ี่
ไฟฟ้ากระแสตรงผ่านเข้าไปในขดลวดอาร์เมเจอร์
เพือทำาให้ เกิดการดูดและผลักกันของแม่เหล็ก
่
ถาวรกับแม่เหล็กไฟฟ้าทีเกิดจากขดลวด มอเตอร์
่
จึงหมุนได้
- มอเตอร์กระแสสลับ เป็นมอเตอร์ที่ต้อง
ใช้กับไฟฟ้ากระแสสลับ โดยใช้หลักการดูดและ
ข้อควรระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทีมมอเต
่ ี
ผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับแม่เหล็กไฟฟ้าจากขด
อรเป็นส่วนประกอบ คือ ห้ามใช้เครื่องใช้ประเภทนี้
ลวดมาทำาให้ เกิดการหมุนของมอเตอร์
ในช่วงทีไฟตก หรือแรงดันไฟฟ้าไม่ถึง 220 โวลต์
่
เนืองจากมอเตอร์จะไม่หมุนและทำาให้เกิดกระแส
่
ไฟฟ้าดันกลับ จะทำาให้ขดลวดร้อนจัดจนเกิดไหม้
เสียหายได้
- 23. เครื่องใช้ไฟฟ้าทีเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็น
่
พลังงานเสียง ได้แก่ เครื่องรับวิทยุ เครื่องขยายเสียง
เครื่องบันทึกเสียง ฯลฯ
1.เครื่องรับวิทยุ เป็นอุปกรณ์ทเปลี่ยนพลังงาน
ี่
ไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง โดยรับคลื่นวิทยุ จากสถานี
ส่งแล้วใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขยายสัญญาณเสียง
ทีมอยู่ในรูปของ สัญญาณไฟฟ้าให้แรงขึ้นเมือผ่าน
่ ี ่
สัญญาณไฟฟ้านี้ไปยังลำาโพงจะทำาให้ลำาโพงสั่น
สะเทือนเปลี่ยนเป็นเสียงทีสามารถรับฟังได้ ดัง
่
ข ยา
แผนผัง ย
เสา สัญ ลำาโ เสียง
ญาณ พง
อาก าศ
แผนผังการเปลียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงาน
่
เสียงของเครื่องรับวิทยุ
- 24. 2. เครื่องขยายเสียง(Amplifier) คือ เครื่อง
ใช้ไฟฟ้าทีเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานเสียง
่
โดยรับสัญญาณไฟฟ้าจากไมโครโฟน หัวเทป
หรือจาก เครื่องกำาเนิดสัญญาณไฟฟ้าจากเสียง
ต่างๆ มาขยายสัญญาณไฟฟ้าจนมีกำาลังมากพอจึง
ส่วนประกอบของเครื่องขยายเสียง
ส่งออกสู่ลำาโพงเสียง
1. ไมโครโฟน เปลี่ยนพลังงานเสียงให้เป็น
สัญญาณไฟฟ้า
2. เครื่องขยายสัญญาณไฟฟ้า ขยาย
สัญญาณไฟฟ้าให้แรงขึ้น
3. ลำาโพง เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็น
พลังงานเสียง
- 25. 3. เครื่องบันทึกเสียง (Tape recorder) ขณะ
บันทึกด้วยการพูดผ่านไมโครโฟน ซึ่งจะเปลี่ยน
พลังงานเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วบันทึกลงใน
แถบบันทึกเสียงซึ่งฉาบด้วยสารแม่เหล็กในรูปของ
สัญญาณแม่เหล็ก ดังแผนผัง
เสียง สัญญ
รโฟ ไฟฟ าณ บันทกเป็น หล็ก
ไมโค ้า ึ
ม่เ
น ส ัญญาณแ
แผนผังการเปลี่ยนพลังงานของเครื่อง ลง บ น
บันทึกเสียงขณะบันทึก แถบบ ันทึกเสียง
- 26. เมือนำาแถบบันทึกเสียงที่บันทึกได้มาเล่น
่
สัญญาณแม่เหล็กจะถูกเปลี่ยนกลับเป็นสัญญาณ
ไฟฟ้า และสัญญาณนี้จะถูกขยายให้แรงขึ้นด้วย
อุปกรณ์ไฟฟ้าจนทำาให้ลำาโพงสันสะเทือนเป็น
่
เสียงขึ้นอีกครั้งหนึง ดังแผนผัง
่
สัญ
ญา
ไฟฟ ณ ขยาย
สัญญาณแม่เหล็กจาก ้า
สัญญาณ
โ พง
เสีย ลำา
ง
แผนผังการเปลี่ยนพลังงานของเครื่องบันทึกเสียง
ขณะเล่น
- 27. ในการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทีให้พลังงานเสียง
่
พวก วิทยุ หรือเครื่องเสียงประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่สนิ้
เปลืองพลังงานไฟฟ้าไม่มาก แต่ทงนีขึ้นอยู่กบ กำาลัง
ั้ ้ ั
ไฟฟ้า ของเครื่องเสียงนันๆ และขึ้นอยู่กบความดัง
้ ั
ของเสียงในการเปิดฟังด้วย