รายงานวิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม (Query)
ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3
โดย
นางสาวศรารัตน์ วรรณแจ่ม
ตาแนน่ง ครูค.ศ.1
ประจาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา
สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ
ห น้ า | ก
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อหาศึกษา
ระดับความรู้ของนักเรียน ก่อนเรียนหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค
กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้าง
แบบสอบถามสาหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 และเพื่อหาความพึงพอใจ ใน
การจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา
โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การสร้างแบบสอบถามเครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แผนการ
จัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องการสร้างแบบสอบถาม 2) แบบทดสอบหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง
เรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2/2561 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา
จานวน 13 คน ผลการวิจัย พบว่า กิจกรรมการเรียนการสอนที่สร้างขึ้น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน ค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียน (𝑥̅ = 3.5, S.D. = 1.8) และค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียน (𝑥̅ =
9.0, S.D. = 0.67) และผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยการทดสอบ
ค่า t – test พบว่าได้ ค่า t เท่ากับ 9.15 ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ .05 แสดง
ว่าผู้เรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงขึ้นและความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อจัดการ
เรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80
อยู่ในระดับมากที่สุด สรุปได้ว่าการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co –
op Co - op) สามารถที่จะนาไปใช้ในการเรียนการสอนต่อไปได้
คาสาคัญ : การจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม / เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ห น้ า | ข
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยฉบับนี้สาเร็จลุล่วงด้วยดี เนื่องด้วยความกรุณา และการให้การสนับสนุนเกี่ยวกับ
งานวิจัยอย่างดียิ่งจากฝ่ายงานวิจัยและพัฒนา วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ทั้งหลักการทฤษฎี
แนวคิด และให้คาปรึกษา รวมทั้งข้อปฏิบัติต่างๆ สาหรับการดาเนินการวิจัย ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่อง
ต่าง จนงานวิจัยเสร็จสมบูรณ์และถูกต้องที่สุด อันเป็นประโยชน์ต่องานวิจัย ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็น
อย่างสูง
ขอขอบพระคุณอาจารย์สุทัศน์ สังข์สนิท หัวหน้าแผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่าง
นครราชสีมา ที่ให้คาปรึกษา แนวทางและคาแนะนาต่างๆ ช่วยเหลือในการตรวจสอบความสมบูรณ์และ
ความถูกต้อง เพื่อให้งานวิจัยมีคุณภาพมากขึ้น และสุดท้ายนี้ผู้วิจัย ขอขอบพระคุณบิดา มารดา ที่ให้การ
อุปการะส่งเสริมสนับสนุน จนทาให้งานวิจัยเล่มนี้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณทุกท่านมา
ณ โอกาสนี้
นางสาวศรารัตน์ วรรณแจ่ม
ผู้วิจัย
ห น้ า | ค
สารบัญ
เรื่อง นน้า
บทคัดย่อ ______________________________________________________________ ก
กิตติกรรมประกาศ________________________________________________________ ข
สารบัญ _______________________________________________________________ ค
สารบัญตาราง __________________________________________________________ จ
บทที่ 1 บทนา __________________________________________________________ 8
๑.๑ ความสาคัญและความเป็นมาของปัญหา _______________________________________8
๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย__________________________________________________8
๑.๓ คาถามเกี่ยวกับงานวิจัย___________________________________________________9
๑.๔ สมมุติฐานของการวิจัย ___________________________________________________9
๑.๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยครั้งนี้____________________________________9
๑.๖ กรอบแนวคิดในการวิจัย __________________________________________________9
๑.๗ ขอบเขตของการวิจัย_____________________________________________________9
๑.๘ นิยามศัพท์เฉพาะ _____________________________________________________ 10
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง _______________________________________11
2.๑ การเรียนแบบร่วมมือ___________________________________________________ 11
๒.๒ การเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (CONSTRUCTIONISM) _______ 29
2.๓. ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอน ________________________________________ 30
บทที่ 3 วิธีการดาเนินงานวิจัย ______________________________________________32
3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_______________________________________ 32
3.2 การกาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ______________________________________ 32
3.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย__________________________________________ 32
3.4 การดาเนินการทดลองและเก็บรวมรวมข้อมูล _________________________________ 34
3.5 การวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล _______________________________ 35
บทที่ 4 ผลการดาเนินงานวิจัย______________________________________________38
๔.๑ ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง _____________________________________________ 38
๔.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม
โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (CO – OP CO - OP) ____________________________________ 38
๔.๓ ผลจากการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม
โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (CO – OP CO - OP) ____________________________________ 39
บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผล _______________________________________________41
5.1 สรุปผลการวิจัย_______________________________________________________ 41
5.2 อภิปรายผลการวิจัย ___________________________________________________ 42
5.3 ข้อเสนอแนะ_________________________________________________________ 42
เอกสารอ้างอิง _________________________________________________________43
ภาคผนวก ____________________________________________________________44
ห น้ า | ง
ภาคผนวก ก.แผนภูมิหน่วยการเรียน(COURSE FLOW CHART) _________________________ 45
ภาคผนวก ข.แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4เรื่องการออกแบบสอบถาม (QUERY) ______________ 47
ภาคผนวก ค.แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน __________________________________ 52
ภาคผนวก ง.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ______________________________ 58
ภาคผนวก จ.แบบประเมินความพึงพอใจ________________________________________ 60
ภาคผนวก ฉ.ผลการประเมินความพึงพอใจ ______________________________________ 62
ภาคผนวก ช.ภาพการจัดกิจกรรม _____________________________________________ 64
ประวัติย่อผู้วิจัย ________________________________________________________67
ห น้ า | จ
สารบัญรูปภาพ
เรื่อง นน้า
รูปที่ 1 ระดับความรู้ในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองของ Seymour Papert 29
รูปที่ 2 กราฟแสดงความพึงพอใจของนักเรียนที่มีการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ 40
โดยใช้เทคนิค (Co – op Co - op)
รูปที่ 3-4 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาแบบทดสอบก่อนเรียน 65
รูปที่ 5-6 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาใบงานการปฏิบัติแข่งกัน 66
รูปที่ 7-8 นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาจากใบงานการปฏิบัติ 67
รูปที่ 9-10 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาข้อสอบหลังเรียนผ่านเว็บไซต์ Kahoot 68
รูปที่ 11-12 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาข้อสอบหลังเรียนผ่านเว็บไซต์ Kahoot 69
รูปที่ 13-14 ประกาศชื่อกลุ่มที่ได้คะแนนสูงที่สุด 70
ห น้ า | ฉ
สารบัญตาราง
เรื่อง นน้า
ตารางที่ ๑ ความแตกต่างของการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนรู้แบบดั้งเดิม ______________ 15
ตารางที่ ๒ แสดงการทดลองใช้แบบแผนการทดลอง กลุ่มทดสอบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบ 34
ก่อนเรียนและหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Design) __________________________
ตารางที่ ๓ จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามเพศ _________________________ 38
ตารางที่ ๔ แสดงประสิทธิภาพทางด้านการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง _______________________ 39
ตารางที่ ๕ แสดงระดับค่าเฉลี่ย ( 𝐱) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ความพึงพอใจต่อ _____ 39
การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)_________________
ตารางที่ ๖ แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการสอนแบบกลุ่มร่วม ___ 61
โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ________________________________________
ห น้ า | ช
ชื่อเรื่องวิจัย เรื่องการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม ของนักเรียน
ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่าง
นครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
ผู้วิจัย นางสาวศรารัตน์ วรรณแจ่ม
ตาแนน่ง ครูผู้ช่วย
วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี (ครุศาสตร์อุสาหกรรมบัณฑิต สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า เอกวิศวกรรม
คอมพิวเตอร์)
ปริญญาโท (วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ)
สถานที่ติดต่อ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา
ระยะเวลาในการดาเนินการวิจัย
วันที่เริ่มโครงการ 15 ตุลาคม 2561
วันที่คาดว่าโครงการจะเสร็จสิ้น 15 กุมภาพันธ์ 2562
ลักษณะผลงาน วิจัยการเรียนการสอน
ห น้ า | 8
บทที่ 1 บทนา
๑.๑ ความสาคัญและความเป็นมาของปัญนา
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ก็คือการจัดการเรียนรู้ที่คานึงถึงประโยชน์สูงสุดของ
ผู้เรียน โดยครูผู้สอนหรือผู้จัดการเรียนรู้ พยายามหารูปแบบวิธีการที่เหมาะสมกับผู้เรียนที่จะให้ผู้เรียน
เกิดการพัฒนาและเกิดการเรียนรู้ได้มากที่สุด การสอนแบบต่าง ๆ โดยครูผู้สอนอธิบายหรือป้อนความรู้
ให้ฝ่ายเดียว คงเป็นแบบอย่างหรือแนวทางที่ค่อนข้างเก่าและล้าสมัยไปแล้ว ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้คิดสร้าง
ความรู้ใหม่ ๆ เลย ครูผู้สอนมีความรู้แค่ไหนก็ถ่ายทอดให้แค่นั้น ส่วนผู้เรียนจะได้แค่ไหนก็สุดแล้วแต่
ความสามารถของแต่ละคน การเรียนการสอนก็รู้สึกเบื่อหน่ายทั้งครูผู้สอนและผู้เรียน เพราะมีขั้นตอน
แบบเดิม ๆ เก่า ๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมเดิม ๆ แต่ในปัจจุบันนี้หมดยุคสมัยดังกล่าวแล้ว ครูพันธุ์ใหม่และ
นักเรียนพันธุ์ใหม่ ต้องร่วมกันเรียนรู้พร้อมกัน คิดสร้างสรรค์สิ่งแปลก ๆ ใหม่ร่วมกัน ร่วมคิดร่วมเรียนรู้
ในสิ่งใหม่ ๆ แต่ก่อนอื่นจะต้องมาเรียนรู้กันก่อนว่า การออกแบบและการวางแผนการจัดการเรียนรู้แบบ
ใหม่ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ มีกระบวนการขั้นตอนอย่างไร จะได้นาวิธีการหลักการและแนวคิดไป
ประยุกต์ใช้และพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับตัวครูผู้สอน และตัวผู้เรียนต่อไป (สุรพล เอี่ยมอู่ทรัพย์,
2558)
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือนับว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยใช้
กระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทางานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์และเกิดความสาเร็จร่วมกันของ
กลุ่ม ซึ่งการเรียนแบบร่วมมือมิใช่เป็นเพียงจัดให้ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่ม เช่น ทารายงาน ทากิจกรรม
ประดิษฐ์หรือสร้างชิ้นงาน อภิปราย ตลอดจนปฏิบัติการทดลองแล้ว ผู้สอนทาหน้าที่สรุปความรู้ด้วย
ตนเองเท่านั้น แต่ผู้สอนจะต้องพยายามใช้กลยุทธ์วิธีให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการประมวลสิ่งที่มาจากการ
ทากิจกรรมต่างๆ จัดระบบความรู้สรุปเป็นองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นหลักการสาคัญ (พิมพันธ์ เดชะคุปต์
, 2544 :15 ) และจากปัญหาที่ผู้เรียนบางคนยังไม่สามารถวิเคราะห์โจทย์ฐานข้อมูลเกี่ยวกับการสร้าง
แบบสอบถาม ในรายวิชาโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล
ดังนั้นผู้วิจัย จึงเลือกการจัดการเรียนรู้แบบเทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) เพื่อให้
ผู้เรียนฝึกวิเคราะห์โจทย์การสร้างแบบสอบถาม จากฐานข้อมูลที่กาหนดให้เป็นกลุ่ม เพื่อเป็นการฝึก
รับผิดชอบงานของกลุ่มร่วมกัน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนกระทั่งเกิดเป็นการเรียนเป็นกลุ่ม
หรือเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง โดยเน้นให้ผู้เรียนมองเห็นความสาคัญในสิ่งที่เรียนรู้และสามารถ
เชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่าจนเชื่อมโยงเข้ากับเป้าประสงค์ของการเรียนในบทนั้นๆ
รวมถึงผู้สอนมีวิธีการสอนที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพเพื่อนาไปใช้ต่อไป
๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.2.1 เพื่อหาความมีประสิทธิภาพของวิธีการสอนโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co -
op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม ของนักเรียนชั้น
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3
1.2.2 เพื่อหาความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่ม
ร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม
ห น้ า | 9
๑.๓ คาถามเกี่ยวกับงานวิจัย
เทคนิคการจัดการเรียนรู้กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มีผลต่อ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบ
สอบถามของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 อย่างไร
๑.๔ สมมุติฐานของการวิจัย
การศึกษาระดับความรู้ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนแบบ
กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) รายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง
การออกแบบสอบถามของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยสารพัดช่าง
นครราชสีมา ทาให้มีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50
๑.๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยครั้งนี้
1.5.1 ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบ
สอบถาม ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 หลังเรียนผ่านเกณฑ์ที่กาหนด
1.5.2 ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนการเรียน ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล
1.5.3 ครูผู้สอนได้แนวทางการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน ที่ผ่านการวิจัยทดลองใช้แล้ว
เป็นแนวทางในการพัฒนาการการสอนต่อไป
๑.๖ กรอบแนวคิดในการวิจัย
1.6.1 ยึดหลักการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามหลักการ
เรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism
1.6.2 ใช้วิธีการสอนให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่าและ
สร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาเมื่อพิจารณาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอนโดยปกติที่เกิดขึ้นใน
ห้องเรียนนั้น
๑.๗ ขอบเขตของการวิจัย
- ขอบเขตด้านเนื้อนา
- ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
เป็นนักเรียนระดับชั้นคธ.3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จานวน 13 คน
- ตัวแปรที่ใช้ศึกษา
ตัวแปรต้นได้แก่ การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co –
op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การสร้างแบบสอบถาม
ห น้ า | 10
ตัวแปรตามได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co -
op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามหลังเรียน ของ
นักศึกษาผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50
๑.๘ นิยามศัพท์เฉพาะ
1.8.1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การ
จัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
โดยการทางานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย
เพื่อให้เกิดเป็นความสาเร็จของกลุ่ม
1.8.2. กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co – op ) หมายถึง เป็นวิธีการที่ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการมี
ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างแท้จริง ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกเป็นผู้นา ผู้ตามกลุ่มฝึกการทางานให้
ประสบผลสาเร็จ และฝึกทักษะทางสังคม ผู้สอนควรเลือกใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ดังกล่ามาให้เหมาะสม
กับเนื้อหาสาระ และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดไว้
1.8.3. นักเรียน หมายถึง นักศึกษาระดับชั้นคธ.3 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัย
สารพัดช่างนครราชสีมา จานวน 13 คน
1.8.4. ประสิทธิภาพของวิธีการสอน หมายถึง ประสิทธิภาพที่ได้จากการประเมินตามเกณฑ์
E1/E2 ที่ระดับ 80/80
1.8.5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงผลการวิเคราะห์คะแนนที่ได้จากนักเรียนระดับชั้น
คธ. 3 ที่มีผลต่อการสอบโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการ
จัดการฐานข้อมูล เรื่อง การสร้างแบบสอบถามโดยนาคะแนนการสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมา
เปรียบเทียบกัน ซึ่งคานวณจากสูตรการทดสอบการหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน t – test แบบ
Dependent โดยมีนัยสาคัญที่ 0.05
1.8.6. ความพึงพอใจ หมายถึงระดับความรู้สึกของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้
เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้าง
แบบสอบถาม ซึ่งได้มาจากผู้เรียนตอบแบบสอบถาม ความพึงพอใจ ซึ่งค่าที่ยอมรับได้คือ 3.5 ขึ้นไป
ห น้ า | 11
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยเรื่องการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของ
วิธีการสอนและความพึงพอใจในการใช้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co
– op Co - op) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัย
สารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่
เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
2.๑ การเรียนแบบร่วมมือ
๒.๑.๑ ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ
2.๑.๒ วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
2.๑.๓ ลักษณะของการเรียนแบบร่วมมือ
2.๑.๔. องค์ประกอบสาคัญของการเรียนแบบร่วมมือ
2.1.๕ ความแตกต่างระหว่างการเรียนแบบร่วมมือกับการเรียนแบบดั้งเดิม
2.๑.๖ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ
2.๑.๗ เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ
2.๑.๘ วิธีการเรียนรู้แบบรู้แบบร่วมมือ
2.๑.๙ รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ
2.๑.๑๐ ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ
2.๒ การเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructionism)
2.๓ ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอน
2.๓.1 ความหมายของความพึงพอใจ
2.๓.2 บรรยากาศในการเรียนการสอนกับความพึงพอใจ
2.๑ การเรียนแบบร่วมมือ
2.๑.1 ความนมายของการเรียนแบบร่วมมือ
สาหรับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือได้มีนักวิชาการให้ความหมายไว้หลายท่าน ดังนี้
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือหรือแบบมีส่วนร่วม
หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกัน ได้ร่วมมือกันทางานกลุ่มด้วย
ความตั้งใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ทาให้งานของกลุ่มดาเนินไปสู่เป้าหมาย
ของงานได้
สลาวิน (Slavin, 1987 : 7-13) อ้างใน ไสว ฟักขาว (2544 : 192) ได้ให้ความหมายของ
การเรียนรู้แบบร่วมมือว่า หมายถึง วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนทางานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก
ๆ โดยทั่วไปมีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน สมาชิกกลุ่มมีความสามารถในการเรียนต่างกัน สมาชิกในกลุ่มจะ
รับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับการสอน และช่วยเพื่อนสมาชิกให้เกิดการเรียนรู้ด้วย มีการช่วยเหลือซึ่งกันและ
กัน โดยมีเป้าหมายในการทางานร่วมกัน คือ เป้าหมายของกลุ่ม
ห น้ า | 12
ไสว ฟักขาว (2544 : 193) กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า เป็นการจัดการเรียนการสอนที่
แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตน และส่วนรวม
เพื่อให้กลุ่มได้รับความสาเร็จตามเป้าหมายที่กาหนด
จากความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้
ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการทางานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับ
มอบหมาย เพื่อให้เกิดเป็นความสาเร็จของกลุ่ม
2.๑.2 วัตถุประสงค์
สาหรับวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121)
ได้กล่าวว่า ดังนี้
1. เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มได้ฝึกบทบาทหน้าที่และความ
รับผิดชอบในการทางานกลุ่ม
2. เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดค้นคว้า ทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองทักษะ
การคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การตั้งคาถาม ตอบคาถาม การใช้ภาษา การพูด
ฯลฯ
3. เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การมีน้าใจช่วยเหลือผู้อื่น การ
เสียสละ การยอมรับกันและกัน การไว้วางใจ การเป็นผู้นา ผู้ตาม ฯลฯ
2.๑.3 ลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121) ได้กล่าวถึง การจัดกิจกรรมแบบร่วมแรงร่วมใจว่า
มีลักษณะ ดังนี้
1. มีการทางานกลุ่มร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม
2. สมาชิกในกลุ่มมีจานวนไม่ควรเกิน 6 คน
3. สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือกัน
4. สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น
- เป็นผู้นากลุ่ม (Leader)
- เป็นผู้อธิบาย (Explainer)
- เป็นผู้จดบันทึก (Recorder)
- เป็นผู้ตรวจสอบ (Checker)
- เป็นผู้สังเกตการณ์ (Observer)
- เป็นผู้ให้กาลังใจ (Encourager) ฯลฯ
สมาชิกในกลุ่มมีความรับผิดชอบร่วมกัน ยึดหลักว่า “ความสาเร็จของแต่ละคน คือ
ความสาเร็จของกลุ่ม ความสาเร็จของกลุ่ม คือ ความสาเร็จของทุกคน”
ห น้ า | 13
2.๑.4 องค์ประกอบสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้
จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson,1987 : 13 - 14)อ้างใน ไสว-ฟักขาว (2544 :
193-194) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่สาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้
1. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง
การที่สมาชิกในกลุ่มทางานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการทางานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม
ในการทางานนั้น มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ข้อมูลต่าง ๆ ในการทางาน ทุกคนมีบทบาท หน้าที่
และประสบความสาเร็จร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มจะมีความรู้สึกว่าตนประสบความสาเร็จได้ก็๖อเมื่อ
สมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสาเร็จด้วย สมาชิกทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ หรือรางวัลผลงาน
กลุ่มโดยเท่าเทียมกัน เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนช่วยกัน ทาให้กลุ่มได้คะแนน 90 % แล้ว สมาชิกแต่ละ
คนจะได้คะแนนพิเศษเพิ่มอีก 5 คะแนน เป็นรางวัล เป็นต้น
2. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Face To Face Promotive
Interaction) เป็นการติดต่อสัมพันธ์กัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่
เพื่อนในกลุ่มฟัง เป็นลักษณะสาคัญของการติดต่อปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบร่วมมือ ดังนั้น
จึงควรมีการแลกเปลี่ยน ให้ข้อมูลย้อนกลับ เปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนวความคิดใหม่ ๆ เพื่อเลือกใน
สิ่งที่เหมาะสมที่สุด
3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) ความ
รับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล เป็นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคล โดยมี
การช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความสาเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม โดยที่สมาชิกทุกคนใน
กลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล
4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทางานกลุ่มย่อย (Interdependence
and Small Group Skills) ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทางานกลุ่มย่อย นักเรียนควร
ได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะสาคัญที่จะช่วยให้การทางานกลุ่มประสบ
ผลสาเร็จ นักเรียนควรได้รับการฝึกทักษะในการสื่อสาร การเป็นผู้นา การไว้วางใจผู้อื่น การตัดสินใจ
การแก้ปัญหา ครูควรจัดสถานการณ์ที่จะส่งเสริมให้นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถทางานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
5. กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เป็นกระบวนการทางานที่มีขั้นตอนหรือ
วิธีการที่จะช่วยให้การดาเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ สมาชิกทุกคนต้องทาความ
เข้าใจในเป้าหมายการทางาน วางแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ดาเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและ
ปรับปรุงงาน
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ ต่างมีความสัมพันธ์ซึ่ง
กันและกัน ในอันที่จะช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือดาเนินไปด้วยดี และบรรลุตามเป้าหมายที่กลุ่ม
กาหนด โดยเฉพาะทักษะทางสังคม ทักษะการทางานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่มซึ่งจาเป็นที่
จะต้องได้รับการฝึกฝน ทั้งนี้เพื่อให้สมาชิกกลุ่มเกิดความรู้ ความเข้าใจและสามารถนาทักษะเหล่านี้ไป
ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
ห น้ า | 14
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 122) กล่าวถึงองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือไว้ว่า ต้องคานึงถึงองค์ประกอบในการให้ผู้เรียนทางานกลุ่ม ดังข้อต่อไปนี้
1. มีการพึ่งพาอาศัยกัน (Positive Interdependence) หมายถึง สมาชิกในกลุ่ม
มีเป้าหมายร่วมกัน มีส่วนรับความสาเร็จร่วมกัน ใช้วัสดุอุปกรณ์ร่วมกัน มีบทบาทหน้าที่ทุกคนทั่วกัน
ทุกคนมีความรู้สึกว่างานจะสาเร็จได้ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
2. มีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ (Face to Face Promotive
Interaction) หมายถึง สมาชิกกลุ่มได้ทากิจกรรมอย่างใกล้ชิด เช่น แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อธิบาย
ความรู้แก่กัน ถามคาถาม ตอบคาถามกันและกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน
3. มีการตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual
Accountability) เป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องตรวจสอบว่า สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบต่องาน
กลุ่มหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เช่น การสุ่มถามสมาชิกในกลุ่ม สังเกตและบันทึกการทางานกลุ่ม ให้
ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่ตนเรียนรู้ให้เพื่อนฟัง ทดสอบรายบุคคล เป็นต้น
4. มีการฝึกทักษะการช่วยเหลือกันทางานและทักษะการทางานกลุ่มย่อย
(Interdependence and Small Groups Skills) ผู้เรียนควรได้ฝึกทักษะที่จะช่วยให้งานกลุ่ม
ประสบความสาเร็จ เช่น ทักษะการสื่อสาร การยอมรับและช่วยเหลือกัน การวิจารณ์ความคิดเห็น
โดยไม่วิจารณ์บุคคล การแก้ปัญหาความขัดแย้ง การให้ความช่วยเหลือ และการเอาใจใส่ต่อทุกคน
อย่างเท่าเทียมกัน การทาความรู้จักและไว้วางใจผู้อื่น เป็นต้น
5. มีการฝึกกระบวนการกลุ่ม (Group Process) สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อการ
ทางานของกลุ่ม ต้องสามารถประเมินการทางานของกลุ่มได้ว่า ประสบผลสาเร็จมากน้อยเพียงใด
เพราะเหตุใด ต้องแก้ไขปัญหาที่ใด และอย่างไร เพื่อให้การทางานกลุ่มมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม เป็น
การฝึกกระบวนการกลุ่มอย่างเป็นกระบวนการ
จากองค์ประกอบสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ จึงสรุปได้ว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือนั้นมี
องค์ประกอบ 5 ประการด้วยกัน คือ
1. มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยสมาชิกแต่ละคนมีเป้าหมายในการทางานกลุ่มร่วมกัน
ซึ่งจะต้องพึงพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อความสาเร็จของการทางานกลุ่ม
2. มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ เป็นการให้สมาชิกได้ร่วมกันทางานกลุ่มกัน
อย่างใกล้ชิด โดยการเสนอและแสดงความคิดเห็นกันของสมาชิกภายในกลุ่ม ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน
3. มีความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน หมายความว่า สมาชิกภายในกลุ่มแต่ละคนจะต้อง
มีความรับผิดในการทางาน โดยที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบ
เป็นรายบุคคล
4. มีการใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มย่อย ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทางานกลุ่มย่อย
นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะสาคัญที่จะช่วยให้การทางานกลุ่ม
ประสบผลสาเร็จ เพื่อให้นักเรียนจะสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. มีการใช้กระบวนการกลุ่ม ซึ่งเป็นกระบวนการทางานที่มีขั้นตอนหรือ วิธีการที่จะช่วยให้การ
ดาเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในการวางแผนปฏิบัติงานและเป้าหมายในการทางาน
ร่วมกัน โดยจะต้องดาเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและปรับปรุงงาน
ห น้ า | 15
2.๑.๕ ความแตกต่างระนว่างการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนเป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม
ไสว ฟักขาว ( 2544 : 195) ได้กล่าวว่า จากองค์ประกอบสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative Learning) ซึ่งได้แก่ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก การปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริม
กันและกัน ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล การใช้ทักษะระหว่างบุคคล การทางานกลุ่มย่อย
และกระบวนการกลุ่ม องค์ประกอบเหล่านี้ทาให้การเรียนรู้แบบร่วมมือแตกต่างออกไปจากการเรียนรู้
เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือ การเรียนเป็นกลุ่มแบบดั้งเดิมนั้น เป็นเพียง
การแบ่งกลุ่มการเรียนเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติงานร่วมกัน แบ่งงานกันทา สมาชิกในกลุ่มต่างทางาน
เพื่อให้งานสาเร็จ เน้นที่ผลงานมากกว่ากระบวนการในการทางาน ดังนั้นสมาชิกบางคนอาจมีความ
รับผิดชอบในตนเองสูง แต่สมาชิกบางคนอาจไม่มีความรับผิดชอบ ขอเพียงมีชื่อในกลุ่ม มีผลงาน
ออกมาเพื่อส่งครูเท่านั้น ซึ่งต่างจากการเรียนเป็นกลุ่มแบบร่วมมือที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความ
รับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อเพื่อนสมาชิกในกลุ่มด้วย จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and
Johnson, 1987 : 25 ) อ้างใน ไสว ฟักขาว (2544 : 195) ได้สรุปความแตกต่างระหว่างกลุ่มการ
เรียนรู้แบบร่วมมือกับกลุ่มการเรียนแบบดั้งเดิมไว้ดังนี้
ตารางที่ ๑ ความแตกต่างของการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนรู้แบบดั้งเดิม
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative Learning)
การเรียนรู้เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม
(Traditional Learning)
1. มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกระหว่างสมาชิก
2. สมาชิกเอาใจใส่รับผิดชอบต่อตนเอง
3. สมาชิกมีความสามารถแตกต่างกัน
4. สมาชิกผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้นา
5. รับผิดชอบร่วมกับสมาชิกด้วยกัน
6. เน้นผลงานและการคงอยู่ซึ่งความเป็นกลุ่ม
7. สอนทักษะทางสังคมโดยตรง
8. ครูคอยสังเกตและหาโอกาสแนะนา
9. สมาชิกกลุ่มมีกระบวนการทางานเพื่อ
ประสิทธิผลกลุ่ม
1. ขาดการพึ่งพากันระหว่างสมาชิก
2. สมาชิกขาดความรับผิดชอบในตนเอง
3. สมาชิกมีความสามารถเท่าเทียมกัน
4. มีผู้นาที่ได้รับการแต่งตั้งเพียงคนเดียว
5. รับผิดชอบเฉพาะตนเอง
6. เน้นที่ผลงานเพียงอย่างเดียว
7. ทักษะทางสังคมถูกละเลย
8. ครูขาดความสนใจหน้าที่ของกลุ่ม
9. ขาดกระบวนการในการทงานกลุ่ม
2.๑.๖ ขั้นตอนการจัดกิจกรรม
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 122-123) กล่าวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ ไว้ดังนี้
1. ขั้นเตรียมการ
ผู้สอนชี้แจงจุดประสงค์ของบทเรียน ผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณไม่เกิน
6 คน มีสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน ผู้สอนแนะนาวิธีการทางานกลุ่มและบทบาทของสมาชิก
ในกลุ่ม
2. ขั้นสอน
ห น้ า | 16
ผู้สอนนาเข้าสู่บทเรียน บอกปัญหาหรืองานที่ต้องการให้กลุ่มแก้ไขหรือคิด วิเคราะห์ หาคาตอบ
ผู้สอนแนะนาแหล่งข้อมูล ค้นคว้า หรือให้ข้อมูลพื้นฐานสาหรับการคิดวิเคราะห์ผู้สอนมอบหมายงานที่
กลุ่มต้องทาให้ชัดเจน
3. ขั้นทากิจกรรมกลุ่ม
ผู้เรียนร่วมมือกันทางานตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ ทุกคนร่วมรับผิดชอบ ร่วมคิด ร่วมแสดงความ
คิดเห็น การจัดกิจกรรในขั้นนี้ ครูควรใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ ที่น่าสนใจและเหมาะสม
กับผู้เรียน เช่น การเล่าเรื่องรอบวง มุมสนทนา คู่ตรวจสอบ คู่คิด ฯลฯผู้สอนสังเกตการณ์ทางาน
ของกลุ่ม คอยเป็นผู้อานวยความสะดวก ให้ความกระจ่างในกรณีที่ผู้เรียนสงสัยต้องการความช่วยเหลือ
4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นนี้ผู้เรียนจะรายงานผลการทางานกลุ่ม ผู้สอนและเพื่อนกลุ่ม
อื่นอาจซักถามเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดเจน เพื่อเป็นการตรวจสอบผลงานของกลุ่มและรายบุคคล
5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทางานกลุ่ม ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปบทเรียน
ผู้สอนควรช่วยเสริมเพิ่มเติมความรู้ ช่วยคิดให้ครบตามเป้าหมายการเรียนที่กาหนดไว้ และช่วยกัน
ประเมินผลการทางานกลุ่มทั้งส่วนที่เด่นและส่วนที่ควรปรับปรุงแก้ไข
2.๑.๗ เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 177 – 195) อ้างใน อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 123 –
125) กล่าวถึง เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ว่า เทคนิคที่นามาใช้ในการเรียนรู้แบบร่วมมือ
มีหลายวิธี ได้แนะนาไว้ดังนี้
1. ปริศนาความคิด (Jigsaw)
ปริศนาความคิด เป็นเทคนิคที่สมาชิกในกลุ่มแยกย้ายกันไปศึกษาหาความรู้ ในหัวข้อเนื้อหาที่
แตกต่างกัน แล้วกลับเข้ากลุ่มมาถ่ายทอดความรู้ที่ได้มาให้สมาชิกกลุ่มฟัง วิธีนี้คล้ายกับการต่อภาพจิก
ซอร์ จึงเรียกวิธีนี้ว่า Jigsaw หรือปริศนาการคิด ลักษณะการจัดกิจกรรมผู้เรียนที่มีความสามารถ
ต่างกันเข้ากลุ่มร่วมกันเรียกว่า กลุ่มบ้าน (Home Group) สมาชิกในกลุ่มบ้านจะรับผิดชอบศึกษา
หัวข้อที่แตกต่างกัน แล้วแยกย้ายไปเข้ากลุ่มใหม่ในหัวข้อเดียวกัน กลุ่มใหม่นี้เรียกว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
(Expert Group) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางานร่วมกันเสร็จ ก็จะย้ายกลับไปกลุ่มเดิมคือ กลุ่มบ้านของ
ตน นาความรู้ที่ได้จากการอภิปรายจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาสรุปให้กลุ่มบ้านฟัง ผู้สอนทดสอบและให้
คะแนน
2. กลุ่มร่วมมือแข่งขัน (Teams – Games – Toumaments : TGT)
เทคนิคกลุ่มร่วมมือแข่งขัน เป็นกิจกรรมที่สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้เนื้อหาสาระจากผู้สอนด้วยกัน
แล้วแต่ละคนแยกย้ายไปแข่งขันทดสอบความรู้ คะแนนที่ได้ของแต่ละคนจะนามารวมกันเป็นคะแนน
ของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนรวมสูงสุดได้รับรางวัล
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มจะช่วยกันเตรียมตัวเข้าแข่งขัน โดยผลัดกันถามตอบให้เกิดความแม่นยาในความรู้ที่
ผู้สอนจะทดสอบ เมื่อได้เวลาแข่งขัน แต่ละทีมจะเข้าประจาโต๊ะแข่งขัน แล้วเริ่มเล่นเกมพร้อมกันด้วย
ชุดคาถามที่เหมือนกัน เมื่อการแข่งขันจบลง ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะกลับไปเข้าทีมเดิมของตนพร้อม
คะแนนที่ได้รับ ทีมที่ได้คะแนนรวมสูงสุดถือว่าเป็นทีมชนะเลิศ
3. กลุ่มร่วมมือช่วยเหลือ (Team Assisted Individualization : TAT)
ห น้ า | 17
เทคนิคการเรียนรู้วิธีนี้ เป็นการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้แสดงความสามารถเฉพาะตน
ก่อน แล้วจึงจับคู่ตรวจสอบกันและกัน ช่วยเหลือกันทาใบงานจนสามารถผ่านได้ ต่อจากนั้นจึงนา
คะแนนของแต่ละคนมารวมเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นฝ่ายได้รับรางวัล
ลักษณะการจัดกิจกรรม
กลุ่มจะมีสมาชิก 2 – 4 คน จับคู่กันทางานตามใบงานที่ได้รับมอบหมาย แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจ
ผลงาน ถ้าผลงานยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ต้องแก้ไขจนกว่าจะผ่าน ต่อจากนั้นทุกคนจะทาข้อทดสอบ
คะแนนของทุกคนจะมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับรางวัล
4. กลุ่มสืบค้น (Group Investigation : GI)
กลุ่มสืบค้น เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้
ด้วยตนเอง ผู้เรียนแต่ละกลุ่มได้รับมอบหมายให้ค้นคว้าหาความรู้มานาเสนอ ประกอบเนื้อหาที่เรียน
อาจเป็นการทางานตามใบงานที่กาหนด โดยที่ทุกคนในกลุ่มรับรู้และช่วยกันทางาน
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มจะช่วยกันศึกษาค้นคว้าหาคาตอบ หรือความรู้มานาเสนอต่อชั้นเรียน โดยผู้สอนแบ่ง
เนื้อหาเป็นหัวข้อย่อย แต่ละกลุ่มศึกษากลุ่มละ 1 หัวข้อ เมื่อพร้อม ผู้เรียนจะนาเสนอผลงานทีละกลุ่ม
แล้วร่วมกันประเมินผลงาน
5. กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together : LT)
กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ มีบทบาทหน้าที่
ทุกคน เช่น เป็นผู้อ่าน เป็นผู้จดบันทึก เป็นผู้รายงานนาเสนอ เป็นต้น ทุกคนช่วยกันทางาน จนได้
ผลงานสาเร็จ ส่งและนาเสนอผู้สอน
ลักษณะการจัดกิจกรรม
กลุ่มผู้เรียนจะแบ่งหน้าที่กันทางาน เช่น เป็นผู้อ่านคาสั่งใบงาน เป็นผู้จดบันทึกงาน เป็นผู้หา
คาตอบ เป็นผู้ตรวจคาตอบ กลุ่มจะได้ผลงานที่เกิดจากการทางานของทุกคน
6. กลุ่มร่วมกันคิด (Numbered Heads Together : NHT)
กิจกรรมนี้เหมาะสาหรับการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ สมาชิกกลุ่มจะประกอบด้วย
ผู้เรียนที่มีความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อนคละกัน จะช่วยกันค้นคว้าเตรียมตัวตอบคาถามที่
ผู้สอนจะทดสอบ ผู้สอนจะเรียกถามทีละคน กลุ่มที่สมาชิกสามารถตอบคาถามได้มากแสดงว่าได้
ช่วยเหลือกันดี
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน จะร่วมกันอภิปรายปัญหาที่ได้รับเพื่อให้เกิดความพร้อม
และความมั่นใจที่จะตอบคาถามผู้สอน ผู้สอนจะเรียกสมาชิกกลุ่มให้ตอบทีละคน แล้วนาคะแนนของ
แต่ละคนมารวมเป็นคะแนนของกลุ่ม
7. กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
กลุ่มร่วมมือเป็นเทคนิคการทางานกลุ่มวิธีหนึ่ง โดยสมาชิกในกลุ่มที่มีความสามารถและความถนัด
แตกต่างกันได้ แสดงบทบาทตามหน้าที่ที่ตนถนัดอย่างเต็มที่ ทาให้งานประสบผลสาเร็จ วิธีนี้ทาให้
ผู้เรียนได้ฝึกความรับผิดชอบการทางานกลุ่มร่วมกัน และสนองต่อหลักการของการเรียนรู้ และร่วมมือ
ที่ว่า “ความสาเร็จแต่ละคน คือ ความสาเร็จของกลุ่ม ความสาเร็จของกลุ่ม คือ ความสาเร็จของทุกคน”
ห น้ า | 18
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันจะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบไปศึกษาหัวข้อย่อยทีได้รับ
มอบหมาย แล้วนางานจากการศึกษาค้นคว้ามารวมกันเป็นงานกลุ่มปรับปรุงให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง มี
ความสละสลวย เสร็จแล้วจึงนาเสนอต่อชั้นเรียน ทุกกลุ่มจะช่วยกันประเมินผลงาน
จากที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นวิธีการที่ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการมี
ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างแท้จริง ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกเป็นผู้นา ผู้ตามกลุ่มฝึกการทางานให้
ประสบผลสาเร็จ และฝึกทักษะทางสังคม ผู้สอนควรเลือกใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ดังกล่ามาให้เหมาะสม
กับเนื้อหาสาระ และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดไว้
2.๑.๘ วิธีการเรียนแบบร่วมมือ
วันเพ็ญ จันทร์เจริญ (2542 : 119-128) กล่าวถึง วิธีการเรียนแบบร่วมมือที่นิยมใช้กันมี
เทคนิคสาคัญ 2 แบบ คือ แบบเป็นทางการ (Formal cooperative learning) และแบบไม่เป็น
ทางการ (Informal cooperative learning)
1. การเรียนแบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ มีดังนี้
1.1 เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม (Team – Games – Tournament
หรือ TGT) คือ การจัดกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มละ 4 คน ระดับความสามารถต่างกัน
(Heterogeneous teams) คือ นักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ครู
กาหนดบทเรียนและการทางานของกลุ่มเอาไว้ ครูทาการสอนบทเรียนให้นักเรียนทั้งชั้นแล้วให้กลุ่ม
ทางานตามที่กาหนด นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือกัน เด็กเก่งช่วยและตรวจงานของเพื่อนให้ถูกต้องก่อน
นาส่งครู แล้วจัดกลุ่มใหม่เป็นกลุ่มแข่งขันที่มีความสามารถเท่า ๆ กัน (Homogeneous
tournament teams) มาแข่งขันตอบปัญหาซึ่งจะมีการจัดกลุ่มใหม่ทุกสัปดาห์ โดยพิจารณาจาก
ความสามารถของแต่ละบุคคล คะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของสมาชิกที่เข้าแข่งขันร่วมกับกลุ่ม
อื่น ๆ ร่วมกัน แล้วมีการมอบรางวัลให้แก่กลุ่มที่ได้คะแนนสูงถึงเกณฑ์ที่กาหนดไว้
1.2 เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธิ์ (Student Teams Achievement
Divisions หรือ STAD) คือ การจัดกลุ่มเหมือน TGT แต่ไม่มีการแข่งขัน โดยให้นักเรียนทุกคนต่าง
คนต่างทาข้อสอบ แล้วนาคะแนนพัฒนาการ (คะแนนที่ดีกว่าเดิมในการสอบครั้งก่อน) ของแต่ละคนมา
รวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม และมีการให้รางวัล
1.3 เทคนิคการจัดกลุ่มแบบช่วยรายบุคคล (Team Assisted Individualization
หรือ TA) เทคนิคนี้เหมาะกับวิชาคณิตศาสตร์ ใช้สาหรับระดับประถมปีที่ 3 – 6 วิธีนี้สมาชิกกลุ่มมี
4 คน มีระดับความรู้ต่างกัน ครูเรียกเด็กที่มีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอนตามความยาก
ง่ายของเนื้อหา วิธีที่สอนจะแตกต่างกัน เด็กกลับไปยังกลุ่มของตน และต่างคนต่างทางานที่ได้รับ
มอบหมายแต่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการให้รางวัลกลุ่มที่ทาคะแนนได้ดีกว่าเดิม
1.4 เทคนิคโปรแกรมการร่วมมือในการอ่านและเขียน (Cooperative Integrated
Reading and Composition หรือ CIRC) เทคนิคนี้ใช้สาหรับวิชา อ่าน เขียน และทักษะอื่น ๆ
ทางภาษา สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน มีพื้นความรู้เท่ากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เท่ากัน แต่ต่างระดับ
ความรู้กับ 2 คนแรก ครูจะเรียกคู่ที่มีความรู้ระดับเท่ากันจากกลุ่มทุกกลุ่มมาสอน ให้กับเข้ากลุ่ม
ห น้ า | 19
แล้วเรียกคู่ต่อไปจากทุกกลุ่มมาสอน คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชิกกลุ่มเป็น
รายบุคคล
1.5 เทคนิคการต่อภาพ (Jigsaw) เทคนิคนี้ใช้สาหรับนักเรียนชั้นประถมปีที่ 3 - 6
สมาชิกในกลุ่มมี 6 คน ความรู้ต่างระดับกัน สมาชิกแต่ละคนไปเรียนร่วมกันกับสมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ
ในหัวข้อที่ต่างกันออกไป แล้วทุกคนกลับมากลุ่มของตน สอนเพื่อนในสิ่งที่ตนไปเรียนร่วมกับสมาชิก
ของกลุ่มอื่นๆ มา การประเมินผลเป็นรายบุคคลแล้วรวมเป็นคะแนนของกลุ่ม
1.6 เทคนิคการต่อภาพ 2 (Jigsaw II) เทคนิคนี้สมาชิกในกลุ่ม 4 – 5 คน นักเรียนทุกคนสนใจ
เรียนบทเรียนเดียวกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้ความสนใจในหัวข้อย่อยของบทเรียนต่างกัน ใครที่
สนใจหัวข้อเดียวกันจะไปประชุมกัน ค้นคว้าและอภิปราย แล้วกลับมาที่กลุ่มเดิมของตนสอนเพื่อนใน
เรื่องที่ตนเองไปประชุมกับสมาชิกของกลุ่มอื่นมา ผลการสอบของแต่ละคนเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่
ทาคะแนนรวมได้ดีกว่าครั้งก่อน (คิดคะแนนเหมือน STAD) จะได้รับรางวัล ขั้นตอนการเรียนมีดังนี้
1) ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยๆให้เท่ากับจานวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม
2) จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่มเป็นกลุ่มบ้าน (Home
group) สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนได้รับมอบหมายเท่านั้น โดยใช้เวลาตามที่ครู
กาหนด
3) จากนั้นนักเรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพื่อทางาน ซักถามและ
ทากิจกรรม ซึ่งเรียกว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert group) สมาชิกทุก ๆ คน ร่วมมือกันอภิปรายหรือ
ทางานอย่างเท่าเทียมกัน โดยใช้เวลาตามที่ครูกาหนด
4) นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน (Home group) ของตน
จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันอธิบายให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากหัวข้อย่อยที่ 1, 2, 3และ 4 เป็นต้น
5) ทาการทดสอบหัวข้อย่อย 1 – 4 กับนักเรียนทั้งห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละคน
ในกลุ่มรวมเป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการติดประกาศ
1.7 เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม (Group Investigation) เทคนิคนี้สมาชิกใน
กลุ่มมี 2 – 6 คน เป็นรูปแบบที่ซับซ้อน แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้า สมาชิก
ในกลุ่มแบ่งงานกันทั้งกลุ่มมีการวางแผนการดาเนินงานตามแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์งานที่ทา
การนาเสนอผลงานหรือรายงานต่อหน้าชั้น การให้รางวัลหรือให้คะแนนเป็นกลุ่ม
1.8 เทคนิคการเรียนร่วมกัน (Learning Together) วิธีนี้สมาชิกในกลุ่มมี 4 – 5
คน ระดับความรู้ความสามารถต่างกัน ใช้สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 – 6 โดยครูทาการสอน
ทั้งชั้น เด็กแต่ละกลุ่มทางานตามที่ครูมอบหมาย คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากผลงานของกลุ่ม
1.9 เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมกลุ่ม (Co – op – Co - op) ซึ่งเทคนิคนี้ประกอบด้วย
ขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้คือ นักเรียนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษา แบ่งหัวข้อใหญ่เป็นหัวข้อย่อย แล้ว
จัดนักเรียนเข้ากลุ่มตามความสามารถที่แตกต่างกัน กลุ่มเลือกหัวข้อที่จะศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม
กลุ่มแบ่งหัวข้อย่อยออกเป็นหัวข้อเล็ก ๆ เพื่อนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไปศึกษา และมีการกาหนด
บทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนภายในกลุ่ม แล้วนักเรียนเลือกศึกษาเรื่องที่ตนเลือกและนาเสนอต่อ
กลุ่ม กลุ่มรวบรวมหัวข้อต่าง ๆ จากนักเรียนทุกคนภายในกลุ่ม แล้วรายงานผลงานต่อชั้นและมีการ
ประเมินผลงานของกลุ่ม
ห น้ า | 20
เทคนิคทั้ง 9 ดังกล่าวข้างต้นนี้ ส่วนมากจะใช้ตลอดคาบการเรียนหรือตลอด
กิจกรรมการเรียนในแต่ละคาบ เรียกการเรียนแบบร่วมมือประเภทนี้ว่า การเรียนแบบร่วมมืออย่างเป็น
ทางการ (Formal cooperative Learning) แต่ยังมีเทคนิคอื่น ๆ อีกจานวนมากที่ไม่จาเป็นต้องใช้
ตลอดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละคาบ อาจใช้ในขั้นนา สอดแทรกในขั้นสอนตอนใด ๆ ก็ได้
หรือใช้ในขั้นสรุป หรือขั้นทบทวน หรือขั้นวัดผล เรียกการเรียนแบบร่วมมือประเภทนี้ว่า การเรียน
แบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ (Informal cooperative learning) ดังนี้
2. การเรียนแบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ มีดังนี้
คาเกน (Kagan 1994 อ้างใน พิมพันธ์ เดชะคุปต์, 2541 : 43)) ได้ออกแบบเทคนิคการ
เรียนแบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการไว้ถึง 52 เทคนิค ในที่นี้จะขอแนะนาเทคนิคของการเรียนแบบ
ร่วมมือแบบไม่เป็นทางการจานวน 9 เทคนิค ซึ่งเป็นเทคนิคที่กระทาได้ง่ายจึงสะดวกที่จะนาไปใช้
ดังนี้
2.1 การพูดเป็นคู่ (Rally Robin) เป็นเทคนิคเปิดโอกาสให้นักเรียนพูด ตอบแสดงความ
คิดเห็นเป็นคู่ ๆ โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนใช้เวลาเท่า ๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น กลุ่ม
มีสมาชิก 4 คน แบ่งเป็น 2 คู่ คู่หนึ่งประกอบด้วยสมาชิกคนที่ 1 และคนที่ 2 แต่ละคู่จะพูด
พร้อมๆ กันไป โดย 1 พูด 2 ฟัง ในเวลาที่กาหนด จากนั้น 2 พูด 1 ฟัง ในเวลาที่กาหนด
เช่นกัน
2.2 การเขียนเป็นคู่ (Rally Table) เป็นเทคนิคคล้ายกับการพูดเป็นคู่ ทุกประการต่างกัน
เพียงการเขียนเป็นคู่ เป็นการร่วมมือเป็นคู่ ๆ โดยผลัดกันเขียน หรือวาด (ใช้อุปกรณ์ กระดาษ 2
แผ่นและปากกา 2 ด้ามต่อกลุ่ม)
2.3 การพูดรอบวง (Round Robin) เป็นเทคนิคที่สมาชิกของกลุ่มผลัดกันพูด ตอบ เล่า
อธิบาย โดยไม่ใช้การเขียน การวาด และเป็นการพูดที่ผลัดกันทีละคนตามเวลาที่กาหนด จนครบ 4
คน
2.4 การเขียนรอบวง (Roundtable) เป็นเทคนิคที่เหมือนกับการพูดรอบวง แตกต่างกันที่
เน้นการเขียน การวาด (ใช้อุปกรณ์ กระดาษ 1 แผ่น และปากกา 1 ด้ามต่อกลุ่ม) วิธีการคือ
ผลัดกันเขียนลงในกระดาษที่เตรียมไว้ทีละคนตามเวลาที่กาหนด
เทคนิคนี้อาจดัดแปลงให้สมาชิกทุกคนเขียนคาตอบ หรือบันทึกผลการคิดพร้อม ๆ กันทั้ง 4
คน ต่างคนต่างเขียนในเวลาที่กาหนด (ใช้อุปกรณ์ : กระดาษ 4 แผ่น และปากกา 4 ด้าม) เรียก
เทคนิคนี้ว่าการเขียนพร้อมกันรอบวง (Simultaneous Roundtable)
2.5 การแก้ปัญหาด้วยการต่อภาพ (Jigsaw Problem Solving) เป็นเทคนิคที่สมาชิกแต่ละคน
คิดคาตอบของตนเองไว้จากนั้นกลุ่มนาคาตอบของทุก ๆ คนมาร่วมกันอภิปราย เพื่อหาคาตอบที่ดีที่สุด
2.6 คิดเดี่ยว คิดคู่ ร่วมกันคิด (Think Pair Share) เป็นเทคนิคโดยเริ่มจากปัญหาหรือ
โจทย์คาถาม โดยสมาชิกแต่ละคนคิดหาคาตอบด้วยตนเองก่อน แล้วนาคาตอบไปอภิปรายกับเพื่อน
เป็นคู่ จากนั้นจึงนาคาตอบของแต่ละคู่มาอภิปรายพร้อมกัน 4 คน เมื่อมั่นใจว่าคาตอบของตน
ถูกต้องหรือดีที่สุด จึงนาคาตอบเล่าให้เพื่อนฟัง
2.7 อภิปรายเป็นคู่ (Pair Discussion) เป็นเทคนิคที่เมื่อครูถามคาถาม หรือกาหนดโจทย์แล้ว
ให้สมาชิกที่นั่งใกล้กันร่วมกันคิด และอภิปรายเป็นคู่
ห น้ า | 21
2.8 อภิปรายเป็นทีม (Team Discussion) เป็นเทคนิคที่เมื่อครูตั้งคาถามแล้ว ให้สมาชิก
ของกลุ่มทุก ๆ คน ร่วมกันคิด พูด อภิปรายพร้อมกัน
2.9 ทาเป็นกลุ่ม ทาเป็นคู่ และทาคนเดียว (Team - pair - Solo) เป็นเทคนิคที่เมื่อครูกาหนด
ปัญหา หรือโจทย์ หรืองานให้ทา แล้วสมาชิกจะทางานร่วมกันทั้งกลุ่มจนงานแล้วเสร็จ จากนั้นจะ
แบ่งสมาชิกเป็นคู่ให้ทางานร่วมกันเป็นคู่จนงานสาเร็จแล้วถึงขั้นสุดท้าย ให้สมาชิกแต่ละคนทางานคน
เดียวจนสาเร็จ
การเรียนแบบร่วมมือกาลังได้รับความสนใจในหมู่นักการศึกษา ครู อาจารย์ ในปัจจุบันเป็น
อย่างยิ่ง การเรียนแบบร่วมมือมีทั้งเทคนิคที่นามาใช้ได้โดยตรงโดยไม่ต้องปรับและเทคนิคที่ต้องปรับ
เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเนื้อหาวิชา อย่างไรก็ตาม การเรียนแบบร่วมมือก็นับเป็นวิธีการสอน
อย่างหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเองได้เป็นอย่างดี
2.๑.๙ รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ไสว ฟักขาว ( 2544 : 195 - 217) กล่าวถึง รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือที่นิยมใช้ใน
ปัจจุบัน มี 7 รูปแบบ ดังนี้
1. รูปแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ ผู้เสนอวิธีการนี้คนแรก คือ อา
รอนสันและคณะ (Aronson and Others, 1978 : 22 - 25) ต่อมามีการปรับและเพิ่มเติมขั้นตอน
แต่วิธีการหลักยังคงเดิม การสอนแบบนี้นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วนหนึ่งหรือหัวข้อย่อย ของ
เนื้อหาทั้งหมด โดยการศึกษาเรื่องนั้น ๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้ ในตอนที่ศึกษาหัวข้อ
ย่อยนั้น นักเรียนจะทางานเป็นกลุ่มกับเพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกัน และ
เตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง Jigsaw มีองค์ประกอบ
ที่สาคัญ 3 ส่วน คือ
1) การเตรียมสื่อการเรียนการสอน (Preparation of Materials) ครูสร้างใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญ
แต่ละคนของกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบย่อยในแต่ละหน่วยการเรียน แต่ถ้ามีหนังสือเรียนอยู่แล้วยิ่งทา
ให้ง่ายขึ้นได้ โดยแบ่งเนื้อหาในแต่ละหัวข้อเรื่องที่จะสอนเพื่อทาใบงานสาหรับผู้เชี่ยวชาญ ในใบงานควร
บอกว่านักเรียนต้องทาอะไร เช่น ให้อ่านหนังสือหน้าอะไร อ่านหัวข้ออะไร จากหนังสือหน้าไหนถึงหน้า
ไหน หรือให้ดูวีดีทัศน์ หรือให้ลงมือปฏิบัติการทดลองพร้อมกับคาถามให้ตอบตอนท้ายของกิจกรรมที่ทา
ด้วย
2) การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Teams And Expert Groups)
ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ (Home Groups) แต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องตามใบ
งานที่ครูสร้างขึ้น ครูแจกใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนในกลุ่ม และให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนศึกษาใบ
งานของตนก่อนที่จะแยกไปตามกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) เพื่อทางานตามใบงานนั้น ๆ
เมื่อนักเรียนพร้อมที่จะทากิจกรรม ครูแยกกลุ่มนักเรียนใหม่ตามใบงาน กิจกรรมในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่
ละกลุ่มอาจแตกต่างกัน ครูพยายามกระตุ้นให้นักเรียนศึกษาหัวข้อตามใบงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นใบ
งานที่ครูสร้างขึ้นจึงมีความสาคัญมาก เพราะในใบงานจะนาเสนอด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่ง
ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มอาจจะลงมือปฏิบัติการทดลองศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับมอบหมาย พร้อมกับ
เตรียมการนาเสนอสิ่งนั้นอย่างสั้น ๆ เพื่อว่าเขาจะได้นากลับไปสอนสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษา
ในหัวข้อดังกล่าว
ห น้ า | 22
3) การรายงานและการทดสอบย่อย (Reports And Quizzes) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
แต่ละกลุ่มทางานเสร็จแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนก็จะกลับไปยังกลุ่มเดิมของตัวเอง (Home Group)
แล้วสอนเรื่องที่ตัวเองทาให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มครู กระตุ้นให้นักเรียนใช้วิธีการต่าง ๆ ในการ
นาเสนอสิ่งที่จะสอน นักเรียนอาจใช้วิธีการสาธิต อ่านรายงาน ใช้คอมพิวเตอร์ รูปถ่าย ไดอะแกรม
แผนภูมิหรือภาพวาดในการนาเสนอความคิดเห็น ครูกระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มได้มีการอภิปรายและ
ซักถามปัญหาต่าง ๆ โดยที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้แต่ละเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญ
แต่ละคนนาเสน อเมื่อผู้เชี่ยวชาญได้รายงานผลงานกับกลุ่มของตัวเองแล้ว ควรมีการอภิปราย
ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนได้ศึกษา หลังจากนั้นครูก็ทาการทดสอบย่อย เกณฑ์การประเมินการให้คะแนน
เหมือนกับวิธีการของ STAD
วิธีการของ Jigsaw จะดีกว่า STAD ตรงที่ว่า เป็นการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนมีความรับผิดชอบ
ในการเรียนมากขึ้น และนักเรียนยังรับผิดชอบกับการสอนสมาชิกคนอื่น ๆ ของกลุ่มอีกด้วย นักเรียนไม่
ว่าจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนจะต้องรับผิดชอบเหมือน ๆ กัน ถึงแม้ว่าความลึกความกว้างหรือ
คุณภาพของรายงานจะแตกต่างกันก็ตาม ขั้นตอนการสอนแบบ Jigsaw มีดังนี้
ขั้นที่ 1 : ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยเท่าจานวนสมาชิกของแต่ละ กลุ่ม ถ้ากลุ่ม
ขนาด 3 คน ให้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน
ขั้นที่ 2 : จัดกลุ่มนักเรียนให้มีสมาชิกที่มีความสามารถคละกัน เป็นกลุ่มพื้นฐานหรือ Home
Groups จานวนสมาชิกในกลุ่มอาจเป็น 3 หรือ 4 คนก็ได้ จากนั้นแจกเอกสารหรืออุปกรณ์การสอน
ให้กลุ่มละ 1 ชุด หรือให้คนละชุดก็ได้กาหนดให้สมาชิกแต่ละคนรับผิดชอบอ่านเอกสารเพียง 1 ส่วน
ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น หากแต่ละกลุ่มได้รับเอกสารเพียงชุดเดียว
ให้นักเรียนแยกเอกสารออกเป็นส่วน ๆ ตามหัวข้อย่อยดังนี้
ในแต่ละกลุ่ม นักเรียนคนที่ 1 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 1
นักเรียนคนที่ 2 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2
นักเรียนคนที่ 3 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 3
ขั้นที่ 3 : เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) นักเรียนจะแยกย้ายจาก
กลุ่มพื้นฐาน ไปจับกลุ่มใหม่เพื่อทาการศึกษาเอกสารส่วนที่ได้รับมอบหมาย โดยคนที่ได้รับมอบหมาย
ให้ศึกษาเอกสารหัวข้อย่อยเดียวกัน จะไปนั่งเป็นกลุ่มด้วยกัน กลุ่มละ 3 หรือ 4 คน แล้วแต่จานวน
สมาชิกของกลุ่มที่ครูกาหนดในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกจะอ่านเอกสาร สรุปเนื้อหาสาระ จัดลาดับ
ขั้นตอน การนาเสนอ เพื่อเตรียมทุกคนให้พร้อมที่จะไปสอนหัวข้อนั้น ที่กลุ่มเดิมของตนเอง
ขั้นที่ 4 : นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับกลุ่มเดิมของตน แล้วผลัดเปลี่ยนเวียนกัน
อธิบายให้เพื่อนในกลุ่มฟังทีละหัวข้อ มีการซักถามข้อสงสัย ตอบปัญหา ทบทวนให้เข้าใจชัดเจน
ขั้นที่ 5 : นักเรียนแต่ละคนทาแบบทดสอบเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมดทุกหัวข้อ แล้วนาคะแนนของ
สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม
ขั้นที่ 6 : กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้รับรางวัล หรือการชมเชยการสอนแบบ Jigsaw
เป็นการสอนที่อาจนาไปใช้ในการทบทวนเนื้อหาที่มีหลาย ๆ หัวข้อหรือใช้กับบทเรียนที่เนื้อหาแบ่งแยก
เป็นส่วน ๆ ได้ และเป็นเนื้อหาที่นักเรียนศึกษาจากเอกสารและสื่อการสอนได้
2. รูปแบบ STAD (Student Teams – Achievement Division) (8. : 208-211)
ห น้ า | 23
สลาวิน (Slavin : 1980) ได้เสนอรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีม (Student Teams Learning
Method) ซึ่งมี 4 รูปแบบ คือ student Teams – Achievement Divisions (STAD) และ
Teams – Games – Toumaments (TGT) ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถปรับใช้กับทุกวิชาและระดับชั้น
Team Assisted Individualization (TAI) เป็นรูปแบบที่เหมาะกับการสอนวิชาคณิตศาสตร์ และ
Cooperative Integrated Reading and Composition (CIRC) ซึ่งเป็นรูปแบบในการสอนอ่าน
และการเขียน
หลักการพื้นฐานของรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีมของสลาวิน ประกอบด้วย
1 .การให้รางวัลเป็นทีม (Team Rewards) ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในการวางเงื่อนไขให้นักเรียน
พึ่งพากัน จัดว่าเป็น Positive Interdependence
2. การจัดสภาพการณ์ให้เกิดความรับผิดชอบในส่วนบุคคลที่จะเรียนรู้ (Individual
Accountability) ความสาเร็จของทีมหรือกลุ่ม อยู่ที่การเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละคนในทีม
3. การจัดให้มีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะประสบความสาเร็จ (Equal Opportunities For
Success) นักเรียนมีส่วนช่วยให้ทีมประสบความสาเร็จด้วยการพยายามทาผลงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมในรูป
ของคะแนนปรับปรุง ดังนั้น แม้แต่คนที่เรียนอ่อนก็สามารถมีส่วนช่วยทีมได้ ด้วยการพยายามทา
คะแนนให้ดีกว่าครั้งก่อน ๆ นักเรียนทั้งเก่ง ปานกลาง และอ่อน ต่างได้รับการส่งเสริมให้ตั้งใจเรียนให้
ดีที่สุด ผลงานของทุกคนในทีมมีค่าภายใต้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนแบบนี้
สาหรับรูปแบบ STAD เป็นรูปแบบหนึ่งที่ สลาวิน (Slavin) ได้เสนอไว้ เมื่อปี ค.ศ. 1980 นั้น
มีองค์ประกอบที่สาคัญ 5 ประการ คือ
1. การนาเสนอสิ่งที่ต้องเรียน (Class Presentation) ครูเป็นผู้นาเสนอสิ่งที่นักเรียนต้องเรียน ไม่ว่าจะ
เป็นมโนมติ ทักษะและ/หรือกระบวนการ การนาเสนอสิ่งที่ต้องเรียนนี้อาจใช้การบรรยาย การสาธิต
ประกอบการบรรยาย การใช้วีดีทัศน์หรือแม้แต่การให้นักเรียนลงมือปฏิบัติการทดลองตามหนังสือเรียน
2. การทางานเป็นกลุ่ม (Teams) ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วย
นักเรียนประมาณ 4 – 5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย และมีหลาย
เชื้อชาติ ครูต้องชี้แจงให้นักเรียนในกลุ่มได้ทราบถึงหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มว่านักเรียนต้องช่วยเหลือ
กัน เรียนร่วมกัน อภิปรายปัญหาร่วมกัน ตรวจสอบคาตอบของงานที่ได้รับมอบหมายและแก้ไข
คาตอบร่วมกัน สมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องทางานให้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ให้กาลังใจและทางาน
ร่วมกันได้
3. การทดสอบย่อย (Quizzes) หลังจากที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทางานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครูก็ทาการ
ทดสอบย่อยนักเรียน โดยนักเรียนต่างคนต่างทา เพื่อเป็นการประเมินความรู้ที่นักเรียนได้เรียนมา สิ่งนี้
จะเป็นตัวกระตุ้นความรับผิดชอบของนักเรียน
4. คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคน (Individual Improvement Score) คะแนน
พัฒนาการของนักเรียนจะเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนทางานหนักขึ้น ในการทดสอบแต่ละครั้งครูจะมี
คะแนนฐาน (Base Score) ซึ่งเป็นคะแนนต่าสุดของนักเรียนในการทดสอบย่อยแต่ละครั้ง ซึ่งคะแนน
พัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนได้จากความแตกต่างระหว่างคะแนนพื้นฐาน (คะแนนต่าสุดในการ
ทดสอบ) กับคะแนนที่นักเรียนสอบได้ในการทดสอบย่อยนั้น ๆ ส่วนคะแนนของกลุ่ม (Team Score)
ได้จากการรวมคะแนนพัฒนาการของนักเรียนทุกคนในกลุ่มเข้าด้วยกัน
ห น้ า | 24
5. การรับรองผลงานของกลุ่ม (Team Recognition) โดยการประกาศคะแนน ของกลุ่มแต่ละ
กลุ่มให้ทราบ พร้อมกับให้คาชมเชย หรือให้ประกาศนียบัตรหรือให้รางวัลกับกลุ่มที่มีคะแนน
พัฒนาการของกลุ่มสูงสุด โปรดจาไว้ว่า คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนมีความสาคัญเท่า
เทียมกับคะแนนที่นักเรียนแต่ละคนได้รับจากการทดสอบ
สาหรับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นดังนี้
ขั้นที่ 1 : ขั้นสอน ครูดาเนินการสอนเนื้อหา ทักษะหรือวิธีการเกี่ยวกับบทเรียนนั้น ๆ อาจเป็น
กิจกรรมที่ครูบรรยาย สาธิต ใช้สื่อประกอบการสอน หรือให้นักเรียนทากิจกรรม
ขั้นที่ 2 : ขั้นทบทวนความรู้เป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิก 4 – 5 คน ที่มี
ความสามารถทางการเรียนต่างกัน สมาชิกในกลุ่มต้องมีความเข้าใจกัน สมาชิกทุกคนจะต้องทางาน
ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือกันและกันในการศึกษาเอกสารและทบทวนความรู้เพื่อเตรียมพร้อมสาหรับการ
สอบย่อย ครูเน้นให้นักเรียนทาดังนี้
ขั้นที่ 3 : ขั้นทดสอบย่อย ครูจัดให้นักเรียนทาแบบทดสอบย่อย หลังจากนักเรียน เรียนและ
ทบทวนเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่กาหนด นักเรียนทาแบบทดสอบคนเดียว
ขั้นที่ 4 : ขั้นหาคะแนนพัฒนาการ คะแนนพัฒนาการเป็นคะแนนที่ได้จากการพิจารณาความ
แตกต่างระหว่างคะแนนการทดสอบครั้งก่อน ๆ กับคะแนนการทดสอบครั้งปัจจุบัน ซึ่งมีเกณฑ์การให้
คะแนนกาหนดไว้ ดังนั้น จะต้องมีการกาหนดคะแนนฐานของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งอาจได้จากค่าเฉลี่ย
ของคะแนนทดสอบ 3 ครั้งก่อน หรืออาจใช้คะแนนทดสอบครั้งก่อนหากเป็นการหาคะแนนปรับปรุง
โดยใช้รูปแบบการสอน STAD เป็นครั้งแรก
ขั้นที่ 5 : ขั้นให้รางวัลกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนพัฒนาการตามเกณฑ์ที่กาหนดจะ ได้รับคาชมเชยหรือ
ติดประกาศที่บอร์ดในห้องเรียน
การจัดกิจกรรมรูปแบบ STAD อาจนาไปใช้กับบทเรียนใด ๆ ก็ได้ เนื่องจากขั้นแรกเป็นการสอน
ที่ครูดาเนินการตามปกติ แล้วจึงจัดให้มีการทบทวนเป็นกลุ่ม
3. รูปแบบ LT (Learning Together) รูปแบบ LT (Learning Together) นี้ จอห์นสัน
และจอห์นสัน (Johnson and Johnson) เป็นผู้เสนอในปี ค.ศ. 1975 ต่อมาในปี ค.ศ. 1984
เขาเรียกรูปแบบนี้ว่า วงกลมการเรียนรู้ (Circles of Learning) รูปแบบนี้มีการกาหนดสถานการณ์
และเงื่อนไขให้นักเรียนทาผลงานเป็นกลุ่ม ให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร การ
แบ่งงานที่เหมาะสม และการให้รางวัลกลุ่ม ซึ่งจอห์นสันและจอห์นสันได้เสนอหลักการจัดกิจกรรมการ
เรียนแบบร่วมมือไว้ว่า
การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือตามรูปแบบ LT จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้
1.สร้างความรู้สึกพึ่งพากัน (Positive Interdependence) ให้เกิดขึ้นในกลุ่มนักเรียน ซึ่งอาจ
ทาได้หลายวิธี
2.จัดให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน (Face – To – Face Interaction) ให้นักเรียนทางาน
ด้วยกันภายใต้บรรยากาศของความช่วยเหลือและส่งเสริมกัน
3.จัดให้มีความรับผิดชอบในส่วนบุคคลที่จะเรียนรู้ (Individual Accountability) เป็นการ
ทาให้นักเรียนแต่ละคนตั้งใจเรียนและช่วยกันทางาน ไม่กินแรงเพื่อน
ห น้ า | 25
4.ให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะสังคม(Social Skills) การทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี นักเรียน
ต้องมีทักษะทางสังคมที่จาเป็น ได้แก่ ความเป็นผู้นา การตัดสินใจ การสร้าง ความไว้ใจ การ
สื่อสาร และทักษะการจัดการกับข้อขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
5.จัดให้มีกระบวนการกลุ่ม (Group Processing) เป็นการเปิดโอกาสให้ นักเรียนประเมิน
การทางานของสมาชิกในกลุ่ม ให้กาลังใจซึ่งกันและกัน และหาทางปรับปรุงการทางานกลุ่มให้ดีขึ้น
จากหลักการดังกล่าวทาให้ได้รูปแบบการเรียนรู้ร่วมกัน หรือ Learning Together
ที่นักเรียนทางานเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม ในขณะทางานนักเรียนช่วยกันคิดและช่วยกันตอบ
คาถาม พยายามทาให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมและทุกคนเข้าใจที่มาของคาตอบ ให้นักเรียนขอความ
ช่วยเหลือจากเพื่อนก่อนที่จะถามครู และครูชมเชยหรือให้รางวัลกลุ่มตามผลงานของกลุ่มเป็นหลัก
ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนแบบ LT
1.ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาเดิม หรือความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
2.ครูแจกแบบฝึกหรืองานให้ทุกกลุ่ม กลุ่มละ 1 ชุดเหมือนเดิม นักเรียนช่วยทางานโดยแบ่ง
หน้าที่แต่ละคน เช่น
นักเรียนคนที่ 1 อ่านคาแนะนา คาสั่งหรือโจทย์ในการดาเนินงาน
นักเรียนคนที่ 2 ฟังขั้นตอนและรวบรวมข้อมูล
นักเรียนคนที่ 3 อ่านสิ่งที่โจทย์ต้องการทราบแล้วหาคาตอบ
นักเรียนคนที่ 4 ตรวจคาตอบ
เมื่อนักเรียนทาแต่ละข้อหรือแต่ละส่วนเสร็จแล้ว ให้นักเรียนหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่ กันในการทาโจทย์
ข้อถัดไปทุกครั้งจนเสร็จแบบฝึกทั้งหมด
3.แต่ละกลุ่มส่งกระดาษคาตอบหรือผลงานเพียงชุดเดียว ถือว่าเป็นผลงานที่ สมาชิกทุคน
ยอมรับ และเข้าใจแบบฝึกหรือการทางานชิ้นนี้แล้ว
4.ตรวจคาตอบหือผลงานให้คะแนนด้วยกลุ่มเองหรือครูก็ได้ กลุ่มที่ได้คะแนน สูงสุดจะได้
รางวัลหรือติดประกาศไว้ในบอร์ด
4. รูปแบบ TAI (Team Assisted Individualization) TAI (Team Assisted
Individualization) คือ วิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative
Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือ
ทากิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนและส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มี
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
1.จัดนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน ประกอบด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน
2.ทดสอบจัดระดับ (Placement Test) ตามคะแนนที่ได้
3.นักเรียนศึกษาเอกสารแนะนาบทเรียน ทากิจกรรมจากสื่อที่ได้รับ จบแล้วส่งให้เพื่อนในกลุ่ม
4.เมื่อนักเรียนทาแบบฝึกหัดทักษะในสื่อที่ได้เรียนจบแล้ว
5.รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments) การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ
ตามรูปแบบ TGT เป็นการเรียนแบบร่วมมือ
กันแข่งขันทากิจกรรม โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมดังนี้
ห น้ า | 26
ขั้นที่ 1 : ครูทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้วครั้งก่อน ด้วยการซักถามและอธิบาย ตอบข้อ
สงสัยของนักเรียน
ขั้นที่ 2 : จัดกลุ่มแบบคละกัน (Home Team) กลุ่ม 3 – 4 คน
ขั้นที่ 3 : แต่ละทีมศึกษาหัวข้อที่เรียนในวันนี้จากแบบฝึก
นักเรียนแต่ละคนทาหน้าที่และปฏิบัติตามกติกาของ Cooperative Learning เช่น เป็นผู้
จดบันทึก ผู้คานวณ ผู้สนับสนุนเมื่อสมาชิกทุกคน เข้าใจและสามารถทา แบบฝึกหัดได้ ถูกต้องทุกข้อ
ทีมจะเริ่มทาการแข่งขันตอบปัญหา
ขั้นที่ 4 : การแข่งขันตอบปัญหา (Academic Games Tournament)
ขั้นที่ 5 : นักเรียนกลับมาสู่เดิม (Home Team) รวมแต้มโบนัสของทุกคน ทีมใดที มีแต้ม
โบนัสสูงสุด จะให้รางวัลหรือติดประกาศไว้ในมุมข่าวของห้อง
6.รูปแบบ GI (Group Investigation) GI (Group Investigation) พัฒนาโดย Sharan
และคณะ เป็นรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือที่มีความซับซ้อนและกว้างมาก ปรัชญาของรูปแบบ GI ก็
คือ ต้องการปลูกฝังการร่วมมือกันอย่างมีประชาธิปไตย มีการกระจายภาระงานและสิทธิในการแสดง
ความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม GI มีการกระตุ้นบทบาทที่แตกต่างกันทั้งภายในกลุ่มและ
ระหว่างกลุ่ม แนวคิดในการจัดการเรียนการสอน
1.นักเรียนแต่ละคนจะได้แสดงความสามารถของตน ในการแสวงหาความรู้
2.นักเรียนแต่ละคน ต้องถ่ายทอดความรู้หรือวิธีการทางานให้เพื่อนนักเรียนเข้าใจด้วย
3.ทุกคนต้องร่วมแสดงความคิดเห็นอภิปรายซักถามจนเข้าใจในทุกเรื่อง (หรือทุกงาน)
4.ทุกคนต้องร่วมมือกันสรุปความเข้าใจที่ได้ (สูตรหรือความสัมพันธ์หรือผลงาน) นาส่ง
อาจารย์เพียง 1 ฉบับเท่านั้น
5.เหมาะกับการสอนความรู้ที่สามารถแยกเป็นอิสระได้เป็นส่วน ๆ หรือแยกทาได้หลายวิธี
หรือการทบทวนเรื่องใดที่แบ่งเป็นเรื่องย่อย ๆ ได้ หรือการทางานที่แยกออกเป็นชิ้น ๆ ได้
GI มีองค์ประกอบอยู่ด้วยกัน 6 ประการ คือ
1.การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา (Topic Selection) นักเรียนเลือกหัวข้อที่ เฉพาะเจาะจง
ของปัญหาที่เลือก แล้วกลุ่มจะแบ่งภาระงานออกเป็นงานย่อย ๆ ที่มีสมาชิก 2 – 5 คน ร่วมกัน
ทางาน
2.การวางแผนร่วมมือกันในการทางาน (Cooperative Planning) ครูและนักเรียนวางแผน
ร่วมกันในวิธีดาเนินการ ภาระงานที่ทา และเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อยตามปัญหาที่เลือก
3.การดาเนินงานตามแผนการที่วางไว้ (Implementation) นักเรียนดาเนินงานตามแผนการ
ที่วางไว้ในขั้นที่ 2 กิจกรรมและทักษะต่าง ๆ ที่นักเรียนจะต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูลทั้งภายใน
และภายนอกโรงเรียน ครูจะให้คาปรึกษากับกลุ่มพร้อมกับติดตามความก้าวหน้าในการทางานของ
นักเรียนและช่วยเหลือนักเรียนเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ
4.การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทา (Analysis and Synthesis) นักเรียนวิเคราะห์และ
ประเมินข้อมูลที่เขารวบรวมได้ในขั้นที่ 3 และวางแผนหรือลงข้อสรุปในรูปแบบที่น่าสนใจเพื่อนาเสนอ
ต่อชั้นเรียน
ห น้ า | 27
5.การนาเสนอผลงาน (Presentation of Final Report) กลุ่มนาเสนอผลงาน ตามหัวข้อ
เรื่องที่เลือก ครูต้องพยายามให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมขณะที่มีการนาเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน
เพื่อเป็นการขยายความคิดของตัวนักเรียนเองให้กว้างไกล โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่องที่กลุ่มไม่ได้ศึกษาครู
จะทาหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในระหว่างการเสนผลงาน
6.การประเมินผล (Evaluation) ครูและนักเรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนาเสนอ พร้อมทั้ง
แสดงความคิดเห็นที่มีต่อผลงานทุกชิ้น การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมินเป็นรายบุคคลและเป็น
กลุ่ม
GI เป็นการเรียนแบบร่วมมือที่มอบหมายความรับผิดชอบอย่างสูงให้กับนักเรียน ในการที่จะบ่งชี้
ว่าเรียนอะไรและเรียนอย่างไร ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และตีความหมายของสิ่งที่ศึกษา โดย
เน้นการสื่อความหมายและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกันในการทางาน
7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) CIRC คือ โปรแกรม
สาหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language arts) ใช้กับนักเรียนระดับ
ประถมศึกษาตอนปลาย โดยเน้นที่หลักสูตรและวิธีการสอน ในการพยายามนาการเรียนรู้แบบร่วมมือ
มาใช้ โปรแกรม CIRC พัฒนาขึ้นโดย Madden, Slavin และ Stevens ในปี 1986 นับว่าเป็น
โปรแกรมที่ใหม่ที่สุดของวิธีการเรียนรู้เป็นทีม ซึ่งเป็นโปรแกรมการเรียนแบบร่วมมือที่น่าสนใจยิ่ง
เนื่องจากเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นาการเรียนแบบร่วมมือมาใช้กับการอ่านและการเขียน
โครงการ CIRC – Writing/Language Arts สาหรับการเขียน วิธีการที่ใช้ขึ้นอยู่กับรูปแบบ
กระบวนการเขียน ซึ่งใช้รูปแบบทีมเหมือนกับโปรกรม CIRC สาหรับการอ่าน วิธีการนี้นักเรียน
ทางานร่วมกันเพื่อวางแผน (plan) ร่างต้นฉบับ (draft) ทบทวนแก้ไข (revise) รวบรวมและลาดับ
เรื่อง (edit) และพิมพ์หรือแสดงผลงาน (publish) เรื่องที่แต่งออกมา โดยครูเป็นผู้เสนอเนื้อหาเพียง
เล็กน้อยเกี่ยวกับแนวทางเนื้อหา และกลวิธีของการเขียน
CIRC สาหรับการอ่านและการเขียนนั้น โดยปกติแล้วจะใช้ควบคู่ไปด้วยกัน แต่กระนั้นก็สามารถใช้
โปรแกรมนี้แยกในการสอนอ่าน หรือสอนการเขียนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้โปรแกรมการเรียนแบบ
ร่วมมือ มีลักษณะกิจกรรมโดยรวมดังนี้คือ
1.การสอนเริ่มต้นจากครูเสมอ (Teacher Instruction)
2.การฝึกปฏิบัติภายในทีม (Team Practice) นักเรียนทางานในกลุ่มซึ่งมีสมาชิก 4 – 5 คน
โดยมีความสามารถแตกต่างกัน เรียนรู้กันจากที่ครูได้มอบหมายให้โดยการใช้ Worksheet หรือ
อุปกรณ์การฝึกอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่เรียน นักเรียนจะได้ประเมินเพื่อนสมาชิกในกลุ่มซึ่งกันและกัน
3.นักเรียนได้ประเมินการเรียนรู้ของตนเอง (Individual Assessment) ในเรื่องของข้อความรู้
หรือทักษะที่เขาได้รับในบทเรียน
4.คะแนนจากการประเมินนักเรียนแต่ละคน จะรวมเป็นคะแนนของทีม (Team
Recognition) ทีมใดที่ได้คะแนนถึงเกณฑ์ที่กาหนดไว้ จะได้รับใบประกาศนียบัตรหรือรางวัลอื่น ๆ การ
สังเกตพฤติกรรมการร่วมมือในชั้นเรียน ารสังเกตเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่เปิดโอกาสให้ผู้
รวบรวมข้อมูลสัมผัสกับความเป็นจริงและสิ่งที่ต้องการจะรวบรวมด้วยตัวเอง ทาให้มีโอกาสที่จะ
รวบรวมข้อมูลได้ตรงสภาพความเป็นจริงได้มากและสามารถที่จะรวบรวมรายละเอียดของข้อมูลในแนว
ห น้ า | 28
ลึกได้ การสังเกตพฤติกรรมการร่วมมือในชั้นเรียนของนักเรียนโดยใช้วิธีการสังเกต จะช่วยให้ได้
รายละเอียดของพฤติกรรมที่แสดงถึงการร่วมมือของนักเรียนในชั้นเรียนได้ชัดเจนขึ้น
การสังเกตเป็นวิธีการพื้นฐานที่จะได้ข้อมูลมาตามต้องการ ซึ่งการที่จะได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้นั้น ผู้
สังเกตต้องมีลักษณะดังนี้
1. ความตั้งใจของผู้สังเกต (Attention) ในการสังเกตพฤติกรรมของสิ่งใด ผู้สังเกตต้องมีเป้าหมาย
ที่จะสังเกตว่าศึกษาสิ่งใด ต้องสะกดใจอย่างแน่วแน่ในการสังเกตแต่สิ่งนั้น จิตใจไม่ไขว้เขวไปมา และ
จะต้องสังเกตไปทีละอย่างอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ผู้สังเกตยังต้องขจัดปัญหาส่วนตัวหรือความลาเอียง
ส่วนตัวของตนเองออกในระยะที่ทาการสังเกต เพื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นจริงหรือใกล้เคียงกับความเป็นจริง
2. ประสาทสัมผัส (Sensation) ทางด้านประสาทสัมผัสต้องแน่ใจว่าประสาท
สัมผัสของผู้สังเกตจะต้องทางานปกติหรือสภาพร่างกายต้องปกติด้วย เพราะถ้าหากว่าสภาพร่างกาย
ปกติแล้ว จะมีผลต่อประสาทสัมผัสอยู่ในสภาพดี และว่องไวต่อการสัมผัสสิ่งที่กาลังสังเกต
3. การรับรู้ (Perception) ในการสังเกตสิ่งที่กาลังศึกษา ผู้สังเกตจะต้องมีการรับรู้ที่ดี เมื่อรับรู้
มาแล้วสามารถแปลความหมายออกมาได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
หลักการสังเกต ผู้สังเกตที่ดี คือ ผู้ที่ทาการสังเกตแล้วได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งผู้
สังเกตจะเป็นผู้สังเกตที่ดีได้นั้นต้องมีหลักในการสังเกต ดังนี้
- กาหนดการสังเกตให้จากัดเฉพาะเป็นเรื่องๆไปไม่ใช่เห็นสิ่งใดมา กระทบแล้วรับไวหมด
- สังเกตอย่างมีความมุ่งหมาย มิใช่ว่าสังเกตไปเรื่อย ๆ คือ ต้องมีจุดมุ่งหมายที่จะดู เมื่อพบเห็น
แล้วแปลความหมายออกมาว่าคืออะไร
- สังเกตด้วยความพินิจพิเคราะห์จนสามารถมองเห็นรายละเอียดของเรื่องนั้นได้อย่างลึกซึ้ง มิใช่
ว่ามองเห็นแต่ผิว หรือลักษณะของภายนอกเท่านั้น
- เมื่อสังเกตแล้วต้องมีการบันทึกไว้เพื่อเตือนความจา จะได้ไม่หลงลืมรายละเอียดที่ได้สังเกตมา
- ผู้สังเกตควรใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือเครื่องมือวัดอื่น ๆ ประกอบในการ
สังเกตนี้ด้วยประเภทของการสังเกต การรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต แบ่งได้เป็น 2
ประเภท คือ
1. การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้วิจัยเข้าไปมี
ส่วนร่วมอยู่ในกลุ่มที่ตนศึกษา และมีการทากิจกรรมร่วมกัน โดยผู้วิจัยเป็นสมาชิกผู้หนึ่งของกลุ่มหรือ
สถานการณ์ที่ศึกษา เช่น เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนนั้น เมื่อต้องการศึกษาถึงชีวิตของคนในชุมชนนั้น
ข้อดีคือ จะได้ข้อมูลที่แท้จริง จุดด้อยคือ อาจเกิดจากผู้สังเกต ซึ่งจะทาให้ข้อมูลที่ได้ขาดความ
เที่ยงตรง
2. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non - participant Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้วิจัย
กระทาตนเป็นบุคคลภายนอก ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่กลุ่มกาลังทากันอยู่ การไม่เข้าไปมีส่วน
ร่วมในความหมายนี้ หมายถึง ไม่เข้าไปร่วมในกิจกรรมของกลุ่มนั้นเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการไม่เข้าไป
อยู่ในบริเวณสถานที่ด้วย มักใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการให้ผู้ถูกสังเกตรู้สึก รบกวนจากตัวผู้สังเกต ผู้สังเกต
เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น
2.๒.1๐ ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ
วันเพ็ญ จันเจริญ (2542 : 119) กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ มีดังนี้
ห น้ า | 29
1.สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก เพราะทุก ๆ คนร่วมมือในการทางานกลุ่ม ทุก ๆ คน
มีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน
2.สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูดแสดงออก แสดงความคิดเห็น ลงมือกระทาอย่างเท่าเทียม
กัน
3.เสริมให้มีความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรียนไม่เก่ง ทาให้เด็กเก่งภาคภูมิใจ
รู้จักสละเวลา ส่วนเด็กที่ไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งในน้าใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน
4.ร่วมกันคิดทุกคน ทาให้เกิดการระดมความคิด นาข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อ
ประเมินคาตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็นการส่งเสริมให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลให้มาก และวิเคราะห์และ
ตัดสินใจเลือก
5.ส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เข้าใจกันและกัน
อีกทั้งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการทางานเป็นกลุ่ม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ให้สูงขึ้น
๒.๒ การเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructionism)
Constructionism เป็นทฤษฎีทางการศึกษาที่พัฒนาขึ้นโดย Professor Seymour Papert
แห่ง M.I.T. (Massachusette Institute of Technology) ทฤษฎี Constructionism หรือทฤษฎีการ
สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองซึ่ง
ธรรมชาติของมนุษย์จะบริโภคข้อมูลผ่านสื่อต่างๆแล้วนามาใคร่ครวญและสื่อสารภายในตนเองจนเกิด
ความเข้าใจและพัฒนาความคิดนั้นจนเป็นความรู้เมื่อแน่ใจในความรู้นั้นแล้วจึงถ่ายทอดต่อไปยังผู้อื่น
เพื่อให้รับรู้ต่อไปดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 ระดับความรู้ในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองของ Seymour Papert
หลักการที่ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามหลักการเรียนรู้ตามทฤษฎี
Constructionism คือการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองโดยให้ผู้เรียนประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
ตนเองหรือสร้างปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกการเรียนรู้จะได้ผลดีถ้าหากว่าผู้เรียนเข้าใจในตนเอง
มองเห็นความสาคัญในสิ่งที่เรียนรู้และสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่า (รู้ว่า
ห น้ า | 30
ตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้าง) และสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาและเมื่อพิจารณาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นใน
การเรียนการสอนโดยปกติที่เกิดขึ้นในห้องเรียนนั้น
ผู้สอนต้องยึดหลักการที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้โดยผู้สอนควรพยายามจัดบรรยากาศ
การเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนด้วยตนเองโดยมีทางเลือกในการ
เรียนรู้ที่หลากหลายและเรียนรู้อย่างมีความสุขสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่า
ได้ส่วนผู้สอนเป็นผู้ช่วยเหลือและคอยอานวยความสะดวกโดยเน้นให้เห็นความสาคัญของการเรียนรู้
ร่วมกันทาให้ผู้เรียนเห็นว่า คนเป็นแหล่งความรู้อีกแหล่งหนึ่งที่สาคัญการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือการ
รู้จักแสวงหาคาตอบจากแหล่งความรู้ต่างๆด้วยตนเองเป็นผลให้เกิดพฤติกรรมที่ฝังแน่นเมื่อผู้เรียน
“เรียนรู้ว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไร(Learn how to Learn)” ด้วย (ศูนย์จัดการความรู้สานักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 4, 2553)
2.๓. ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอน
2.๓.1 ความนมายของความพึงพอใจ
การจัดการเรียนการสอนให้ประสบความสาเร็จนอกจากจะวัดลักษณะด้านพุทธิพิสัยของ
นักเรียนแล้วผู้สอนจะต้องคานึงถึงผลทางด้านจิตพิสัยซึ่งเป็นความพึงพอใจของนักเรียนด้วยเพราะถ้า
ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนแล้วย่อมส่งผลถึงประสิทธิภาพในการเรียนการสอนด้วยซึ่ง
จากการศึกษาเกี่ยวกับความพึงพอใจนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ได้
ดังนี้
(วอลเลอร์สเตน (Wallerstein, 1971: 112) ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า “ความ
พึงพอใจหมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับผลสาเร็จตามความมุ่งหมาย”
(กู๊ด (Good, 1973: 518) ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า “ความพึงพอใจหมายถึง
คุณภาพสภาพหรือระดับความพึงพอใจซึ่งเป็นผลจากความสนใจต่างๆและทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใด
สิ่งหนึ่ง”
(โวแมน (Wolman, 1973 : 217) ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า “ความพึงพอใจ
หมายถึงความรู้สึกเมื่อได้รับผลสาเร็จตามความมุ่งหมายความต้องการหรือแรงจูงใจ” จากความหมาย
ของความพึงพอใจข้างต้นสรุปได้ว่าความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกของบุคคลต่อผลของสิ่งเร้าต่างๆที่
บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้รับและอาจจะมีความรู้สึกหรือทัศนคติในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ดังนั้นความพึงพอใจ
ต่อการเรียนการสอนจึงหมายถึงความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบและกิจกรรมการเรียนการสอนใน
ด้านต่าง ๆ เช่นบรรยากาศการเรียนการสอนลักษณะของกิจกรรมวิธีการประเมินผลเป็นต้น
2.๓.2 บรรยากาศในการเรียนการสอนกับความพึงพอใจ
ห น้ า | 31
การสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนซึ่งบรรยากาศที่ดี
อาจส่งเสริมให้ผู้เรียนมีสุขภาพจิตที่ดีมีความพึงพอใจและตั้งใจที่จะเรียนบรรยากาศในการเรียนการสอน
โดยเน้นชั้นเรียนเป็นตัวแปรที่สาคัญที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้การเรียนดีขึ้น
[พิมพันธ์เดชะคุปต์ (2544: 257)] ได้ให้ความหมายความสาคัญของบรรยากาศในการเรียน
การสอนไว้ 2 ประเภทคือ
1. บรรยากาศทางกายภาพคือการสร้างบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียนมีผลต่อการเรียน
การสอนและต่อเจตคติที่ดีของผู้เรียนซึ่งลักษณะของห้องเรียนที่มีบรรยากาศทางกายภาพเหมาะสมควร
มีรูปแบบคือมีสีสันน่าดูและเหมาะสมสบายตาอากาศถ่ายเทได้ดีปราศจากเสียงรบกวนและมีขนาดกว้าง
เพียงพอกับจานวนนักเรียน
2. บรรยากาศทางจิตใจคือการเรียนการสอนจะดำเนินอย่างมีชีวิตชีวาและราบรื่นนั้นผู้เรียนกับ
ผู้เรียนและผู้สอนกับผู้เรียนต้องมีความสัมพันธ์และร่วมมือกันอย่างไม่มีความหวาดระแวงกันสิ่งดังกล่าว
ครูผู้สอนต้องมีวิธีการเสริมแรงอย่างเช่นการเสริมแรงทางด้านภาษาและท่าทางคือการกล่าวชมดีดีมาก
น่าสนใจถูกต้องควรปรับปรุงการตั้งใจฟังการปรบมือการใช้สายตาแสดงความสนใจความพึงพอใจและอีก
อย่างหนึ่งคือการเสริมแรงด้วยการให้รางวัลและสัญลักษณ์ต่างๆคือการให้วัตถุสิ่งของการนาผลงานมา
แสดงยกย่องและการใช้เครื่องหมายดีเด่น
ดังนั้นผู้สอนจะต้องจัดหาสิ่งจูงใจต่างๆเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนให้ได้รับความพึง
พอใจเช่นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่จะส่งผลให้บรรยากาศการเรียนการสอนไม่น่าเบื่อหน่ายเป็นต้น
จะเห็นได้ว่าในการจัดการเรียนการสอนที่จะทาให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนจนทาให้
ประสิทธิภาพในการเรียนสูงขึ้นผู้สอนจะต้องคานึงถึงความต้องการของผู้เรียนด้านความรู้สึกทัศนคติที่
เป็นเรื่องของจิตใจควบคู่ไปด้วยในการวัดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนสามารถวัดได้หลายวิธีเช่น
การสังเกตการสัมภาษณ์การใช้แบบสอบถามเป็นต้น สาหรับการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามใน
การวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op
Co - op)
ห น้ า | 32
บทที่ 3 วิธีการดาเนินงานวิจัย
งานวิจัยครั้งนี้ การจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co
- op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาประสิทธิภาพ
ของวิธีการสอนและความพึงพอใจในการใช้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ
(Co – op Co - op) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ผู้วิจัยได้ดาเนินตามขั้นตอนดังนี้
3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
3.2 กาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3.4 การดาเนินการทดลองและเก็บรวมรวมข้อมูล
3.5 การวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.1 ศึกษาข้อมูลหนังสือเอกสารวารสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับทฤษฏีความพึงพอใจ
และการสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ
1.2 ศึกษาหลักสูตรวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นปีที่ ๑ และหนังสือคู่มือประกอบการเรียนเรื่องการบริหารงานคุณภาพ
1.3 ศึกษาข้อมูลหนังสือ, เว็บไซต์ เกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค
กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
1.4 ศึกษาหลักการและวิธีการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนโดยใช้การ
สอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
3.2 การกานนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนแผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่าง
นครราชสีมา
กลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยได้เลือกแบบเจาะจงโดยเลือกนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3
แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จานวน
15 คน
3.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค กลุ่ม
ร่วมมือ (Co – op Co - op) แบบสอบถามความพึงพอใจใจของผู้เรียนที่มีต่อวิธีการเรียนโดยใช้เทคนิค
กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ใช้รางวัลคือ คะแนนการทางานกลุ่มเป็นตัวเสริมแรง ซึ่งมีขั้นตอนใน
การสร้างดังนี้
3.3.1 การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้
มีจานวน ๑ แผนการเรียนรู้ เวลา 4 ชั่วโมง ประกอบด้วย
ห น้ า | 33
แผนการจัดการเรียนรู้ที 4: เรื่องการสร้างแบบสอบถาม
ซึ่งผู้วิจัยได้ ดาเนินตามขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ศึกษาหลักสูตร คาอธิบายรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเพื่อกาหนด
จุดประสงค์การเรียนรู้และขอบข่ายเนื้อหา
ขั้นที่ 2 ศึกษาขั้นตอนการจัดกิจกรรมตามรูปแบบกลุ่มร่วมมือ (โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ
Co – op Co - op)
ขั้นที่ 3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามขั้นตอนของรูปแบบกลุ่มร่วมมือ (Cooperative
Learning) โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ขั้นที่ 4 นาแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างเสร็จแล้วไปนาเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน เพื่อ
ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาและกิจกรรม
ขั้นที่ 5 เมื่อปรับแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว
จึงนาไปใช้งานจริงนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที 3 วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
3.3.2 แบบทดสอบสานรับนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เป็นแบบทดสอบเพื่อหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาหรับกลุ่มตัวอย่างจากแบบทดสอบ เรื่อง การ
สร้างแบบสอบถามโดยใช้เทคนิคทางการศึกษาคือ
- แบบทดสอบก่อนเรียน เป็นข้อสอบแบบปรนัย จานวน 1๐ ข้อ แบบ 4 ตัวเลือก
- แบบทดสอบหลังเรียน เป็นข้อสอบแบบปรนัย จานวน 1๐ ข้อ แบบ 4 ตัวเลือก
3.3.3 สร้างแบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้
เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ลักษณะของแบบวัดเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับจานวน ๑๒ ข้อใช้แบบมาตราส่วน
ประมาณค่า (Rating scale) โดยกาหนดค่าของคาตอบเป็น 5 ระดับ [Likert Scale] คือ
เกณฑ์การใน้คะแนน
ถ้าเลือกตอบพึงพอใจระดับมากที่สุด ให้ 5 คะแนน
พึงพอใจระดับมาก ให้ 4 คะแนน
พึงพอใจระดับปานกลาง ให้ 3 คะแนน
พึงพอใจระดับน้อย ให้ 2 คะแนน
พึงพอใจระดับน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การประเมินผล
ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับมากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับน้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับน้อยที่สุด
ห น้ า | 34
3.3.4 นาแบบวัดความพึงพอใจที่สร้างขึ้นใน้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ
ตรวจสอบภาษาและความครอบคลุมในด้านต่างๆที่กาหนดไว้แล้วนาไปปรับปรุงแก้ไขตาม
ข้อเสนอแนะให้เหมาะสมที่จะสามารถนาไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างได้
3.4 การดาเนินการทดลองและเก็บรวมรวมข้อมูล
งานวิจัยการจัดการเรียนการสอน โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา
โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามครั้งนี้ผู้วิจัยดาเนินการทดสองกับกลุ่ม
ตัวอย่าง การทดลองใช้แบบแผนการทดลองกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
(One-Group Pretest-Posttest Design) โดยแนะนากิจกรรมการเรียนให้กลุ่มตัวอย่างทราบ
รายละเอียดที่สาคัญเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการทากิจกรรม ให้กลุ่มตัวอย่างทราบก่อน
3.4.1 แบบแผนการทดลอง
การทดลองใช้แบบแผนการทดลอง กลุ่มทดสอบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
(One-Group Pretest-Posttest Design)
ตารางที่ ๒ แสดงการทดลองใช้แบบแผนการทดลอง กลุ่มทดสอบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียน
และหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Design)
สอบก่อนเรียน การจัดการกระทา สอบหลังเรียน
T1 X T2
ความหมายของสัญลักษณ์
X แทน การจัดการกระทา (Treatment) เป็นช่วงการจัดการเรียนการสอน โดยใช้
เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การ
บริหารงานคุณภาพและสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในการทางาน
T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest)
T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest)
วิธีการดาเนินการวิจัยมีราละเอียด ดังนี้
1. ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) เมื่อกลุ่มตัวอย่างผ่านการแนะนาก่อนเข้าสู่บทเรียน แล้วผู้วิจัยจะ
ให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนทาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) เพื่อให้ทราบว่ากลุ่มตัวอย่างก่อน
เรียนมีความสามารถอยู่ในระดับใดและทาการเก็บผลคะแนนจากการทดสอบจากกลุ่มตัวอย่าง
ไว้
2. การจัดการกระทา (Treatment)ให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนทากิจกรรม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ
(Co – op Co - op) ซึ่งมีวิธีการดังนี้
1. ขั้นการเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา (Topic selection) ผู้เรียนเลือกหัวข้อเรื่องที่
เฉพาะเจาะจงของปัญหาที่เลือก แล้วกลุ่มจะแบ่งภาระงานออกเป็นงานย่อย ๆ ที่มีสมาชิก 2-5
คน ร่วมกันทางาน
ห น้ า | 35
2. ขั้นการวางแผนร่วมมือกันในการทางาน (Cooperative planning) ผู้สอนและผู้เรียน
วางแผนร่วมกันในวิธีดาเนินงาน ภาระงานที่ทา และเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อยตาม
ปัญหาที่เลือก
3. ขั้นการดาเนินงานตามแผนที่วางไว้ (Implementation) ผู้เรียนดาเนินงานตามแผนการที่
วางไว้ในขั้นที่ 2 กิจกรรมและทักษะต่าง ๆ ที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูล ทั้ง
ภายในและภายนอกโรงเรียน ผู้สอนจะให้คาปรึกษากับทุกกลุ่มพร้อมกับติดตามความก้าวหน้า
ในการทางานของผู้เรียน
4. ขั้นการวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทา (Analysis and synthesis) ผู้เรียนวิเคราะห์และ
ประเมินข้อมูลที่ผู้เรียนรวบรวมมาได้ในขั้นที่ 2 และวางแผนหรือลงข้อสรุปในรูปแบบที่น่าสนใจ
เพื่อนาเสนอต่อชั้นเรียน
5. ขั้นการนาเสนอผลงาน (Presentation of final report) กลุ่มนาเสนอผลงานตามหัวข้อ
เรื่องที่เลือก ผู้สอนต้องพยายามให้ผู้เรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมขณะที่มีการนาเสนอผลงานหน้าชั้น
เรียน เพื่อเป็นการขยายความคิดของตัวผู้เรียนเองให้กว้างไกล โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่องที่กลุ่ม
ไม่ได้ศึกษา ผู้สอนจะทาหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในระหว่างการนาเสนอผลงาน
6. ขั้นการประเมินผล (Evaluation) ผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนาเสนอ
พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นที่มีต่อผลงานทุกชิ้น การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมินผลเป็น
รายบุคคลและเป็นกลุ่ม
3. ทดสอบนลังเรียน (Posttest) หลังจากที่กลุ่มตัวอย่างได้ทากิจกรรมโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ
(Co – op Co - op) เรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยจะให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนทาแบบทดสอบหลังเรียน
เพื่อให้ทราบว่ากลุ่มตัวอย่างเกิดความรู้หลังจากเรียนผ่านกิจกรรมการเรียน โดยใช้เทคนิค กลุ่ม
ร่วมมือ (Co – op Co - op) เพิ่มขึ้นในระดับใดและทาการเก็บผลคะแนนจากการทดสอบจาก
กลุ่มตัวอย่างไว้
4. การประเมินความพึงพอใจ หลังจากที่กลุ่มตัวอย่างได้ทาแบทดสอบหลังเรียนเพื่อหาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่าง ทาแบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อโดย
การเรียนการสอนใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
3.5 การวิเคราะน์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะน์ข้อมูล
หลังจากทาการเรียนการสอนใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ได้นาผลที่ได้จากการทา
แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน แบบประเมินความพึงพอใจโดยกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ตาม
หลักสถิติ ดังนี้
3.5.1 การวิเคราะน์ผลการประเมินความพึงพอใจ
ใช้กรรมวิธีในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาค่าเฉลี่ยและการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
โดยคานวณจากค่าการประเมินความพึงพอใจที่มีการเรียนการสอนใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co
- op) ใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) โดยกาหนดค่าของคาตอบเป็น 5 ระดับ [Likert
Scale] คือ เกณฑ์การใน้คะแนน
ห น้ า | 36
ถ้าเลือกตอบพึงพอใจระดับมากที่สุด ให้ 5 คะแนน
พึงพอใจระดับมาก ให้ 4 คะแนน
พึงพอใจระดับปานกลาง ให้ 3 คะแนน
พึงพอใจระดับน้อย ให้ 2 คะแนน
พึงพอใจระดับน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน
นาคะแนนที่ได้มาเปรียบเทียบกับระดับค่าน้าหนักคะแนนดังต่อไปนี้
เกณฑ์การประเมินผล
ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับมากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับน้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับน้อยที่สุด
ค่าที่ยอมรับได้คือ 3.5 ขึ้นไป
3.1.1 การวิเคราะน์ผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มตัวอย่างที่ทาแบบทกสอบ
ในระดับการให้คะแนนการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มตัวอย่าง โดยวิเคราะห์ค่านัยสาคัญไว้ที่
ระดับ 0.05 ซึ่งให้เปรียบเทียบค่าที่เปิดตารางค่าวิกฤติที่ t=1.725 ถ้าหากค่าt ที่หาได้นั้นมากกว่า t ที่
กาหนดไว้สรุปได้ว่ากลุ่มตัวอย่างเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3.1.2 สถิติที่ใช้ในการวิจัย
1. วิธีการการวิเคราะน์ผลจากแบบประเมินความพึงพอใจ
- วิธีการวิเคราะห์ผลโดยการคานวณหาค่าเฉลี่ยแบบแจกแจงความถี่ ของกลุ่ม
ตัวอย่างตามหลักสถิติ ซึ่งอาศัยสูตรคานวณดังนี้
สูตร 𝒙
̅ =
∑ 𝒇𝒙
∑ 𝐟
เมื่อ 𝒙
̅ = ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง
𝒇 = ค่าความถี่ของแต่ละคะแนน
𝑥 = คะแนนที่ได้ของแต่ละกลุ่มตัวอย่าง
- วิธีการการวิเคราะห์ผลโดยการคานวณหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของกลุ่มตัวอย่าง
สูตร 𝒔 =
√∑ 𝒇(𝒙−𝒙)
̅̅̅𝟐
𝒏
𝒊=𝒍
𝒏
เมื่อ 𝒔= ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
∑𝒏
𝒊=𝒍 = ผลรวมของข้อมูลตั้งแต่ 1 ถึง n
𝑥̅ = คะแนนที่ได้ของแต่ละกลุ่มของกลุ่มตัวอย่าง
𝑓 = ความถี่ของคะแนน
ห น้ า | 37
𝑛 = จานวนผู้ทาแบบประเมิน
2. การนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
สูตร t –test แบบ Dependent
นาผลต่างระหว่างการทดสอบหลังเรียนและก่อนเนียนไปเปรียบเทียบกับตาราง
นัยสาคัญที่ระดับ 0.05 ด้วยการคานวณจากสูตรดังนี้
สูตร 𝑡 =
∑ 𝐷
√𝑛 ∑ 𝐷2−(∑ 𝐷)
2
𝑛−1
df(V) = N-1
เมื่อ
T = ทดสอบความแตกต่างของข้อมูลก่อนเรียนและหลังเรียน
D = ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่
N = จานวนผู้เรียน
ห น้ า | 38
บทที่ 4 ผลการดาเนินงานวิจัย
จากการวิจัย เรื่องการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co -
op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การสร้างแบบสอบถาม เพื่อศึกษาประสิทธิภาพ
ของวิธีการสอนและความพึงพอใจในการใช้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ
(Co – op Co - op) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 เมื่อทาการทดลองเสร็จ
กระบวนการแล้วได้ผลดังต่อไปนี้
1.1ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
1.2ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ที่ได้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้
เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา ความรู้เกี่ยวกับงานอาชีพ
1.3ผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง ที่มีต่อการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดย
ใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา ความรู้เกี่ยวกับงานอาชีพ
๔.๑ ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
ตารางที่ ๓ จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามเพศ
น้องเรียน
เพศชาย เพศนญิง
จานวน (คน) ร้อยละ จานวน (คน) ร้อยละ
ปวช. 3 ๗ 53.84 ๔ 30.76
รวม 13 ๑๐๐%
จากตารางที่ ๓ พบว่า จานวนของกลุ่มตัวอย่าง ผู้ทาแบบทดสอบ มีจานวนทั้งหมด ๑3 คน โดย
ประชากรส่วนใหญ่ในการศึกษาวิจัยเป็นเพศหญิง จานวน 8 คน (ร้อยละ 80) และเป็นเพศชาย จานวน
๒ คน (ร้อยละ 20)
4.1.1 ผลการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
จากการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้
แผนการจัดการเรียนรู้ที 4 : เรื่องการสร้างแบบสอบถาม (ภาคผนวก ช)
- ใบงานการปฏิบัติเรื่อง การสร้างแบบสอบถาม
๔.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม
โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
จากการให้กลุ่มตัวอย่างทากิจกรรมจากการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ
(Co – op Co - op) มีผลการเปรียบเทียบผลต่างที่ได้จาการทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับ
ห น้ า | 39
ผลที่ได้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และได้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
โดยใช้ค่าสถิติ t-Test: Paired Two Sample for Means ในการวิเคราะห์ปรากฏดังตารางที่ 4
ตารางที่ ๔ แสดงประสิทธิภาพทางด้านการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
ผลการทดสอบ n df คะแนนเต็ม 𝑥̅ S.D ∑ 𝐷2
t
Pre - test 10 9 10 3.50 1.80
335 *9.15
Post - test 10 9 10 9.00 0.67
* t ( 0.05,df=17,sig.(2-tailed) =.00) มีนัยสาคัญ 0.05 = 1.83
จากตารางที่ ๔ พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจาก การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้
เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ที่ได้สร้างขึ้น มีคะแนนเฉลี่ยนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน
เรียน 3.50 และหลังเรียน 9.00 ดังนั้นนักเรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 5.50 มีความแตกต่างกัน
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ก่อนได้รับการสอน แสดงให้เห็นว่าผลการเรียนรู้นี้นักเรียนมีการพัฒนสูงขึ้นในระดับที่รับได้
๔.๓ ผลจากการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการเรียนการสอนแบบ
กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
จากการทดลองโดยให้กลุ่มตัวอย่าง ทาแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนการสอนแบบ
กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) สามารถสรุปผลการประเมินได้ดังนี้
ตารางที่ ๕ แสดงระดับค่าเฉลี่ย ( 𝒙
̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ความพึงพอใจต่อการเรียนการ
สอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ข้อ รายการประเมิน
ผลการวิเคราะน์
𝑥̅ S.D ความหมาย
ด้านเนื้อนาการสอน
1 มีความน่าสนใจและมีความสาคัญ 4.92 0.28 มากที่สุด
2 ได้รับความรู้ใหม่ๆ 4.85 0.38 มากที่สุด
ด้านเนื้อนาการสอน
3 มีความถูกต้อง และสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา 4.92 0.28 มากที่สุด
4 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ 4.69 0.48 มากที่สุด
5 สอดคล้องกับกิจกรรม การเรียนการสอน 4.85 0.38 มากที่สุด
6 ช่วยให้ผู้เรียนได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง 4.69 0.48 มากที่สุด
7 กระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิด 4.85 0.38 มากที่สุด
ห น้ า | 40
ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน
8 มีการจัดแบ่งนักเรียนโดยคละความสามารถและเพศอย่าง
เหมาะสม
4.69 0.48 มากที่สุด
9 มีการชี้แจงกิจกรรมของการเรียนแบบร่วมมือให้นักเรียนเข้าใจ
อย่างชัดเจน
4.77 0.44 มากที่สุด
10 ให้คาปรึกษา แนะนา อย่างทั่วถึง 4.77 0.44 มากที่สุด
๑๑ นักเรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน 4.85 0.38 มากที่สุด
๑๒ ส่งเสริมการทางานเป็นทีม 4.85 0.38 มากที่สุด
รวม 4.80 0.39 มากที่สุด
จากตารางที่ ๕ พบว่าผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบกลุ่ม
ร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) โดยกลุ่มตัวอย่าง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
ที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.80 ระดับความพึงพอใจมากที่สุดได้แก่ มีความน่าสนใจและมีความสาคัญและมีความ
ถูกต้อง และสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา มีค่าเฉลี่ย 4.92 ,ระดับความพึงพอใจรอง ลงมาคือ ได้รับความรู้
ใหม่ๆ, สอดคล้องกับกิจกรรม การเรียนการสอน, กระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิด, นักเรียนมีส่วนร่วมใน
การกาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน, และส่งเสริมการทางานเป็นทีม มีค่าเฉลี่ย 4.85 และระดับความ
พึงพอใจน้อยที่สุด คือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ และสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา, ช่วยให้ผู้เรียน
ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและมีการจัดแบ่งนักเรียนโดยคละความสามารถและเพศอย่างเหมาะสม ค่าเฉลี่ย
4.69 แสดงดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 กราฟแสดงความพึงพอใจของนักเรียนที่มีการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ
โดยใช้เทคนิค (Co – op Co - op)
ห น้ า | 41
บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผล
จากการวิจัยการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
และได้นาเทคนิคการเรียนการสอนนี้ มาศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและประเมินความพึงพอใจ
สามารถสรุปการศึกษาได้ดังนี้
5.1 สรุปผลการวิจัย
5.2 อภิปรายผลการวิจัย
5.3 ข้อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลการวิจัย
5.1.1 ผลจากการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ผลที่ได้คือ การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มี
เนื้อหาและกิจกรรมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในด้านต่างๆ ของวิชาโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล
วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ที่มีการสอนผ่านเทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มีแผนการ
จัดการเรียนรู้ทั้งหมด 1 แผนการเรียนรู้ และใบงานการปฏิบัติ จานวน 1 ใบงาน
แผนการจัดการเรียนรู้ที 4 : เรื่องการสร้างแบบสอบถาม (ภาคผนวก ช)
ใบงานการปฏิบัติเรื่อง การสร้างแบบสอบถามเนื้อหาประกอบด้วย (สามารถดูได้ใน
ภาคผนวก ช)
นอกจากได้แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การสร้างแบบสอบถามแล้วยังมีเครื่องมือที่นามาใช้ใน
การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง คือแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน
จานวน 10 ข้อและแบบประเมินความพึงพอใจสาหรับกลุ่มตัวอย่างในการหาความพึงพอใจต่อการใช้
กิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
5.1.2 ผลของการนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
ได้จากคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าหลังจากได้เรียนผ่านการเรียนการสอนแบบกลุ่ม
ร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ทาให้คะแนนหลังเรียนมากกว่าคะแนนก่อนเรียน
โดยมีค่า t – test เท่ากับ 9.15 เมื่อเทียบกับนัยสาคัญที่ 0.05 แล้ว กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ
กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ที่สร้างขึ้นก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจมาก
ขึ้น ซึ่งแสดงว่ากลุ่มตัวอย่างเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจริง ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
5.1.3 ผลของการประเมินความพึงพอใจ
จากกลุ่มตัวอย่างในการใช้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ
(Co – op Co - op) ผลที่ได้คือ การประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเฉลี่ยเท่ากับ 0.39 เมื่อนามาเปรียบเทียบเกณฑ์ที่ได้กาหนด 3.5 พบว่า ผ่าน
เกณฑ์ที่กาหนด
ห น้ า | 42
5.2 อภิปรายผลการวิจัย
ผลของการวิจัยการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตร
วิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน
การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในระดับมากและมีผ่าน
เกณฑ์การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากที่ก่อนเรียนได้คะแนนน้อย เมื่อทาข้อสอบหลังเรียนก็ได้คะแนน
เพิ่มมากขึ้น จากข้อค้นพบดังกล่าวอาจเนื่องมาจากกระบวนการเรียนรู้ด้วยการเรียนการสอนแบบกลุ่ม
ร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) แตกต่างจากกระบวนการเรียนรู้แบบเดิมที่มี
ลักษณะครูอ่านเนื้อหาและอธิบายให้นักเรียนฟังอย่างเดียวส่วนวิธีสอน เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op
Co - op) ไม่มีผู้สอนที่คอยป้อนความรู้ให้อย่างเดียวแต่นักเรียนเองจะต้องมีความรับผิดชอบและตั้งใจ
ดังนั้นผู้เรียนจะต้องมีสานึกในเรื่องของความรับผิดชอบและการถูกตรวจสอบกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน
มากกว่าครู โดยให้นักเรียนฝึกฝนการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันในกลุ่มเพื่อน โดยพยายามจัดให้เด็กที่มี
ลักษณะเป็นผู้นา 1 คนกระจายอยู่ในแต่ละกลุ่ม เป็นต้น และพบว่านักเรียนมีแนวโน้มที่จะสร้าง
แรงจูงใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกลุ่ม โดยนักเรียน แต่ละคนจะมีจุดแข็งหรือความรู้สึก
ท้าทายเฉพาะตัว ซึ่งหากไม่มีสิ่งนี้จะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายของกลุ่มได้
ดังนั้นผู้วิจัยคิดว่าการศึกษาในอนาคตควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้และ
เรียนรู้การเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ มากขึ้น ซึ่งกรับวนการต่างๆที่เกิดขึ้นก็จะช่วยส่งเสริมความรู้ความ
เข้าใจและสามารถปฏิบัติกิจกรรมต่างๆตามที่กาหนดให้ได้ จากการวิจัยนี้เองจึงเป็นประโยชน์กับทาง
ผู้วิจัยและผู้สอนท่านอื่นในการนาความรู้จากการวิจัยนี้ไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอนได้
5.3 ข้อเสนอแนะ
5.3.1 ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้งาน
1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมกลุ่ม ควรมีระยะเวลาที่ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป และควรระบุวันที่ส่ง
ผลงงานให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการประเมินผล
2. การจัดการระบบการเรียนรู้แบบร่วมกลุ่มควรตกลงกับนักเรียนในการกระจายกลุ่มเด็กเก่ง
และอ่อนปะปนกัน
ห น้ า | 43
เอกสารอ้างอิง
[1] ไมตรี ฉลาดธรรม, โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล, กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ ปีที่พิมพ์:
2556
[2] การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
www.api.ning.com/files
[3] สุชิน เพ็ชรักษ์. รายงานการวิจัย เรื่อง การจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วย
ปัญญาในประเทศไทย.พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2548
[4] การนาค่า t-test [2553]. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จากhttp://www.ksv.ac.th
/tb/cai/excelExam/Pack8.htm
ห น้ า | 44
ภาคผนวก
ห น้ า | 45
ภาคผนวก ก.
แผนภูมินน่วยการเรียน
(Course Flow Chart)
ห น้ า | 46
แผนภูมินน่วยการเรียน (Course Flow Chart)
1
• เริ่มบทเรียน
2
• แบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest)
3
• แผนการเรียนรู้ที 4: การสร้างแบบสอบถาม (Query)
4
• แบบทดสอบหลังเรียน (Posttest)
5
• จบบทเรียน
ห น้ า | 47
ภาคผนวก ข.
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4
เรื่องการสร้างแบบสอบถาม
(Query)
ห น้ า | 48
แผนการสอน/แผนจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 4
วิชา 2004-2008 โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล สัปดาห์ที่ 6-7
ชื่อหน่วย การสร้างและใช้งานแบบสอบถาม (Query) รวม 6 คาบ
สาระสาคัญ
แบบสอบถามหรือ คิวรี (Query) คือ เครื่องมือที่โปรแกรม Microsoft Access นามาใช้เพื่อสร้าง
คาสั่งในการจัดการข้อมูล แทนการพิมพ์คาสั่งในภาษา SQL (Structure Query Language) และ
สามารถนามาใช้งานในบางที่ไม่สามารถดาเนินการโดยใช้ตาราง (Table) ได้
หัวข้อการเรียนรู้
1. ลักษณะงานของแบบสอบถาม
2. แบบสอบถามเลือก (Select Query)
3. แบบสอบถามแบบรับค่า (Parameter Query)
4. แบบสอบถามกระทาการ (Action Query)
สมรรถนะอาชีพที่พึงประสงค์
สร้างและใช้งานแบบสอบถาม (Query) ในโปรแกรม Microsoft Access ได้
จุดประสงค์การเรียนรู้
จุดประสงค์ทั่วไป
เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับการใช้งานแบบสอบถาม (Query) ในโปรแกรม Microsoft Access
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
1. บอกลักษณะงานที่ต้องใช้แบบสอบถามได้
2. สร้างและใช้งานแบบสอบถามเลือก (Select Query) ได้
3. สร้างและใช้งานแบบสอบถามรับค่าข้อมูล (Parameter Query) ได้
4. สร้างและใช้งานแบบสอบถามกระทาการ (Action Query) ได้
การบูรณาการตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
1) ความพอประมาณ : ตรวจความพร้อมของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนเรียน และปิดเครื่อง
เก็บเก้าอี้นั่งให้เรียบร้อยหลังเลิกเรียน เพื่อความเรียบร้อยและประหยัด
2) การมีเหตุผล : รับฟังความคิดเห็น และวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล
3) การมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง : ฝึกการค้นคว้าหาความรู้จากเพื่อน และระบบอินเทอร์เน็ต
เพื่อแก้ปัญหาในแบบฝึกปฏิบัติ และใบงาน
สาระการเรียนรู้
1. ลักษณะงานของแบบสอบถาม (Query)
ห น้ า | 49
1.1 การแสดงข้อมูลจากตารางหลายตารางที่สัมพันธ์กัน
1.2 การแสดงข้อมูลตามเงื่อนไขที่กาหนด
1.3 การแสดงผลการคานวณของเขตข้อมูลหรือนิพจน์
1.4 การสรุปผลข้อมูล
1.5 การกระทากับข้อมูลโดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่ต้องการ
2. แบบสอบถามเลือก (Select Query)
2.1 การสร้างแบบสอบถาม เพื่อแสดงข้อมูลในเขตข้อมูลเฉพาะที่ต้องการ
2.2 การการสร้างแบบสอบถาม เพื่อแสดงข้อมูลจากหลายตาราง
2.3 สร้างแบบสอบถาม เพื่อแสดงข้อมูลในลักษณะรวมข้อความหรือคานวณค่า
2.4 การสร้างแบบสอบถาม เพื่อแสดงข้อมูลตามเงื่อนไขที่กาหนด
1) การกาหนดเงื่อนไขแบบเจาะจง
2) การกาหนดเงื่อนไขแบบเปรียบเทียบค่า
2.5 การสร้างแบบสอบถาม เพื่อเรียงลาดับข้อมูล
2.6 การสร้างแบบสอบถาม เพื่อสรุปผล
3. แบบสอบถามแบบรับค่า (Parameter Query)
3.1 การพิมพ์แบบลาดับเลข
3.2 การเปลี่ยนรูปแบบจากลาดับเลขเป็นสัญลักษณ์
4. แบบสอบถามกระทาการ (Action Query)
4.1 แบบ สร้างตารางใหม่ (Make Table Query)
4.2 แบบ ปรับปรุงข้อมูล (Update Query)
4.3 แบบ ผนวกข้อมูล (Append Query)
4.4 แบบ ลบข้อมูล (Delete Query)
สื่อและแหล่งเรียนรู้
1. หนังสือประกอบการเรียน วิชา โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล สานักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ
2. ใบงานและแบบฝึกหัด
3. เครื่องคอมพิวเตอร์
4. เครื่องฉายภาพ Projector
5. ระบบอินเทอร์เน็ตภายในห้องเรียน
6. หนังสือและเอกสารความรู้ในห้องเรียน
กิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูอธิบายลักษณะและประโยชน์ของแบบสอบถาม (Query)
ห น้ า | 50
2. ครูผู้สอนสาธิตวิธีสร้างแบบสอบถามแบบต่างๆ แล้วให้นักเรียนฝึกปฏิบัติตามทีละขั้นตอน
3. ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเองตามใบงาน โดยครูเป็นผู้ช่วยเหลือและให้คาแนะนา
หลักฐานการเรียนรู้
1. ข้อมูลการทากิจกรรมการเรียนรู้
2. คะแนนที่ได้จากการทาใบงาน
การประเมินผลการเรียนรู้
- สังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียน
- ใช้คาถามตรวจสอบความรู้
- การทาใบงาน
- การทากิจกรรมการเรียนรู้ท้ายบทเรียน
กิจกรรมเสนอแนะ/งานที่มอบหมาย
ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ท้ายบทเรียน
เอกสารอ้างอิง
หนังสือประกอบการเรียนวิชา โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล รหัส 2004-2008 เรียบเรียงโดย
โกมล ศิริสมบูรณ์เวช สานักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ
บันทึกหลังการเรียนรู้
1 ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหาและอุปสรรคที่พบ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.แนวทางพัฒนา/แก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ห น้ า | 51
ใบงานการปฏิบัติ
1. จุดประสงค์การเรียนรู้
1.1 ความหมายของ Query (แบบสอบถาม)
1.2 การออกแบบ Query
1.3 การสร้างฟิลด์ใหม่บน Query
2. สมรรถนะประจานน่วย
2.1 อธิบายสาระสาคัญประจาหน่วยได้
2.2 อธิบายและเข้าใจความหมายของ Query ได้
2.3 สามารถออกแบบตาราง Query เบื้องต้นได้
2.4 สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่รูปแบบต่าง ๆ ได้
- สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการคานวณได้
- สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการรวมฟิลด์ได้
- สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการสร้างเงื่อนไขได้
- สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการคานวณวันที่/เวลาได้
- สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการคานวณตารางที่มีความสัมพันธ์ได้
-----------------------------------------------
1. จงทาตามคาสั่งต่อไปนี้ (โจทย์เกี่ยวกับสต็อคสินค้าและการสั่งซื้อ)
1.1เปิดฐานข้อมูล Northwind
1.2เปิดตาราง Products แล้วสร้างรายการคาถาม (Query by Enter SQL) ต่อไปนี้
 แสดงข้อมูลทั้งหมดของสินค้าทั้งหมดที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว S
 แสดงข้อมูลทั้งหมดของสินค้าที่มีราคาสูงกว่า $20
 แสดงรายการสินค้าที่มีสต็อคต่ากว่า 20 หน่วย
2. จงดาเนินการตามคาสั่งต่อไปนี้ (โจทย์เกี่ยวกับ Profile ของกิจการ)
2.1เปิดฐานข้อมูล Northwind  เปิดตาราง Customers
2.2สร้างรายการคาถาม (Query by Enter SQL) ต่อไปนี้
 แสดงข้อมูลทั้งหมดของบริษัทลูกค้าที่ไม่ได้อยู่ใน ประเทศ Mexico และ Brazil
 แสดงชื่อผู้ที่ติดต่อด้วยและรหัสบริษัทที่ชื่อบริษัทขึ้นต้นด้วยอักษร M และ O
 แสดงชื่อของผู้ที่ติดต่อด้วยพร้อมเบอร์โทรศัพท์เฉพาะบุคคลที่มีตาแหน่ง Marketing
Manager (เจ้าของกิจการ)
ห น้ า | 52
ภาคผนวก ค.
แบบทดสอบ
ก่อนเรียน – นลังเรียน
ห น้ า | 53
แบบทดสอบก่อนเรียน
คาชี้แจง 1. ข้อสอบเป็นแบบปรนัยมีทั้งหมด 10 ข้อ 10 คะแนน
2. ห้ามขีดเขียนข้อความใดๆ ลงในข้อสอบโดยเด็ดขาด
3. จงเลือกคาตอบที่ถูกต้องเพียงคาตอบเดียวลงในกระดาษคาตอบที่แจกให้
******************************************************************
คาชี้แจง ปรนัย 10 ข้อ ให้เลือกคาตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว
1) ส่วนใดของแฟ้มข้อมูลที่สามารถนาข้อมูลมาคานวณค่าตามสูตรเพื่อหาผลลัพธ์ที่ต้องการ
ก. ตาราง(Table) ข. แบบสอบถาม(Queries)
ค. ฟอร์ม(Form) ง. รายงาน(Reoprt)
2) ส่วนใดของข้อมูลที่สามารถนามาออกแบบตารางแบบสอบถามได้
ก. ตาราง(Table) ข. แบบสอบถาม(Queries)
ค. ฟอร์ม(Form) ง. ข้อ ก และ ข
3) คาสั่ง sort ในตารางออกแบบ แบบสอบถามมีหน้าที่กาหนดอะไร
ก. การซ่อนเขตข้อมูล ข. การกาหนดเงื่อนไข
ค. การจัดเรียงลาดับ ง. การกาหนดเงื่อนไขร่วม
4) ถ้าต้องกาหนดข้อมูลบางรายการตามเงื่อนไขที่ต้องการ จะต้องกาหนดที่ใด
ก. ตาราง(Table) ข. จัดเรียง(Sort)
ค. แสดง(Show) ง. เกณฑ์(Critrria)
5) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลเฉพาะนักเรียนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย สม จะต้องกาหนดเงื่อนไขอย่างไร
ก. เขตข้อมูล ชื่อ ข. เขตข้อมูล ชื่อ
เกณฑ์ *ส เกณฑ์ สม*
ค. เขตข้อมูล ชื่อ ง. เขตข้อมูล ชื่อ
เกณฑ์ *สม* เกณฑ์ สม?
6) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลเฉพาะนักเรียนที่เรียนแผนก คอมพิวเตอร์ และ บัญชี
ก. เขตข้อมูล แผนกวิชา ข. เขตข้อมูล แผนกวิชา
เกณฑ์ “คอมพิวเตอร์” or “บัญชี” เกณฑ์
“คอมพิวเตอร์” and
“บัญชี”
ค. เขตข้อมูล แผนกวิชา ง. เขตข้อมูล แผนกวิชา
เกณฑ์ คอมพิวเตอร์ & บัญชี เกณฑ์
[คอมพิวเตอร์]
or [บัญชี]
ห น้ า | 54
แบบทดสอบหลังเรียน
7) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลเฉพาะนักเรียนที่เกิดระหว่างปี 2510-2511
ก. เขตข้อมูล วันเกิด ข. เขตข้อมูล วันเกิด
เกณฑ์ Between 2510 and 2511 เกณฑ์
>=1/1/2510 and
>=31/12/2511
ค. เขตข้อมูล วันเกิด ง. เขตข้อมูล วันเกิด
เกณฑ์
Between 1/1/2510 and
31/12/2511
เกณฑ์
Between 1/1/2510 and
1/1/2511
8) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลเฉพาะนักเรียนที่มีค่าใช้จ่าย/เดือน ระหว่าง 1000-2000 บาท
ก. เขตข้อมูล ค่าใช้จ่าย/เดือน ข. เขตข้อมูล ค่าใช้จ่าย/เดือน
เกณฑ์ >=1000 and >=2000 เกณฑ์ Between 1000 and 2000
ค. เขตข้อมูล ค่าใช้จ่าย/เดือน ง. เขตข้อมูล ค่าใช้จ่าย/เดือน
เกณฑ์ 1000 and 2000 เกณฑ์ Between 1000 or 2000
9) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลโดยให้ผุ้ใช้ระบุแผนกที่ต้องการผ่านทางแป้นพิมพ์ กาหนดอย่างไร
ก. เขตข้อมูล แผนกวิชา ข. เขตข้อมูล แผนกวิชา
เกณฑ์ [ระบุแผนก] เกณฑ์ /ระบุแผนก/
ค. เขตข้อมูล แผนกวิชา ง. เขตข้อมูล แผนกวิชา
เกณฑ์ (ระบุแผนก) เกณฑ์ {ระบุแผนก}
10) ถ้าต้องการนาเขตข้อมูล ชื่อสินค้า และ ราคา มารวมเป็นเขตข้อมูลเดียวกัน กาหนดอย่างไร
ก. ชื่อ(ราคา):[ชื่อสินค้า] + [ราคา] ข. ชื่อ(ราคา):[ชื่อสินค้า] +”(“+[ราคา]+”)”
ค. ชื่อ(ราคา):[ชื่อสินค้า] & [ราคา] ง. ชื่อ(ราคา):[ชื่อสินค้า]&”(”&[ราคา]&”)”
คาชี้แจง 1. ข้อสอบเป็นแบบปรนัยมีทั้งหมด 10 ข้อ 10 คะแนน
ห น้ า | 55
2. ห้ามขีดเขียนข้อความใดๆ ลงในข้อสอบโดยเด็ดขาด
3. จงเลือกคาตอบที่ถูกต้องเพียงคาตอบเดียวลงในกระดาษคาตอบที่แจกให้
******************************************************************
คาสั่ง ให้นักศึกษาเลือกกากบาท (X) ทับข้อที่เห็นว่าถูกที่สุดเพียงข้อเดียวลงในกระดาษคาตอบที่
แจกให้
1. การสร้างแบบสอบถามมีกี่แบบ อะไรบ้าง
ก. 2 คือ Select Query, Parameter Query
ข. 3 คือ Select Query, Parameter Query, Crosstab Query
ค. 4 คือ Select Query, Parameter Query, Crosstab Query, Action Query
ง. 5 คือ Select Query, Parameter Query, Crosstab Query, Action Query,
SQL Query
2. ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่ แบบสอบถาม แบบใช้เลือกข้อมูล
ก. Select Query
ข. Crosstab Query
ค. Parameter Query
ง. Simple Query Wizard
3. วิธีการสร้างแบบสอบถามวิธีใด ที่เป็นการค้นหารายการที่ไม่ตรงกัน
ก. Simple Query Wizard
ค. Find Duplicated Query Wizard
ง. Find Unmatched Query Wizard
4. ถ้าต้องการให้แบบสอบถามแสดงข้อมูลบุคลากร ที่มีรหัสบุคลากรอยู่ระหว่าง 1001 -1005
ก.
ชื่อเขตข้อมูล PersonalID
เงื่อนไข Between 1001 and
1005
ข.
ชื่อเขตข้อมูล PersonalID
เงื่อนไข Between 1001 or
ห น้ า | 56
1005
ค.
ชื่อเขตข้อมูล PersonalID
เงื่อนไข 1001 or 1005
ง.
ชื่อเขตข้อมูล PersonalID
เงื่อนไข 1001 and 1005
5. ถ้าต้องการแสดงเฉพาะบุคลากรที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว ป
ก.
ชื่อเขตข้อมูล FirstName
เงื่อนไข ป*
ข.
ชื่อเขตข้อมูล FirstName
เงื่อนไข *ป
ค.
ชื่อเขตข้อมูล FirstName
เงื่อนไข ?ป
ง.
ชื่อเขตข้อมูล FirstName
เงื่อนไข ป?
6. ถ้าต้องการให้แบบสอบถามรับข้อมูลแบบพารามิเตอร์ จะต้องใช้สัญลักษณ์ใด
ก. “ป้อนชื่อลูกค้า”
ข. [ป้อนชื่อลูกค้า]
ค. {ป้อนชื่อลูกค้า}
ง. (ป้อนชื่อลูกค้า)
7.
ชื่อเขตข้อมูล FirstName LastName
เงื่อนไข [ป้อนชื่อพนักงาน]
ห น้ า | 57
จากข้อมูลที่กาหนด เป็นการสร้างแบบสอบถามชนิดใด
ก. SQL Query
ข. Append Query
ค. Crosstab Query
ง. Parameter Query
8.
ชื่อเขตข้อมูล เงินเดือน รายได้อื่น รายได้สุทธิ
เงื่อนไข
จากตาราง ถ้าต้องการสร้างเขตข้อมูลใหม่ เพื่อคานวณหารายได้สุทธิ กาหนดได้อย่างไร
ก. รายได้สุทธิ: เงินเดือน+รายได้อื่น
ข. รายได้สุทธิ: [เงินเดือน]+รายได้อื่น
ค. รายได้สุทธิ: [เงินเดือน]+[รายได้อื่น]
ง. รายได้สุทธิ: {เงินเดือน}+[รายได้อื่น]
9. ถ้าต้องการนาเขตข้อมูล คานาหน้าชื่อและชื่อมารวมเป็นเขตข้อมูลเดียวกัน กาหนดอย่างไร
ก. ชื่อ:([คานาหน้าชื่อ]+[ชื่อ])
ข. ชื่อ:[คานาหน้าชื่อ]+“(“[ชื่อ]”)”
ค. ชื่อ:[คานาหน้าชื่อ]&[ชื่อ]
ง. ชื่อ:{[คานาหน้าชื่อ]&(&[ชื่อ]&”)”}
10. เครื่องหมาย & ในแบบสอบถามจะหมายถึงสิ่งใด
ก. การบวก
ข. การกาหนดค่า
ค. การเปรียบเทียบ
ง. การเชื่อมข้อความ
ห น้ า | 58
ภาคผนวก ง.
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของกลุ่มตัวอย่าง
ห น้ า | 59
ห น้ า | 60
ภาคผนวก จ.
แบบประเมินความพึงพอใจ
ห น้ า | 61
ตารางที่ ๖ แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค
กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
คาชี้แจง โปรดทาเครื่องหมาย  ลงใน ช่องระดับคะแนนตามความเป็นจริง
5 หมายถึง มากที่สุด
4 หมายถึง มาก
3 หมายถึง ปานกลาง
2 หมายถึง น้อย
1 หมายถึง น้อยที่สุด
ข้อ รายการประเมิน
ระดับคะแนน
5 4 3 2 1
ด้านเนื้อนาการสอน
1 มีความน่าสนใจและมีความสาคัญ
2 ได้รับความรู้ใหม่ๆ
ด้านเนื้อนาการสอน
3 มีความถูกต้อง และสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา
4 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้
5 สอดคล้องกับกิจกรรม การเรียนการสอน
6 ช่วยให้ผู้เรียนได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง
7 กระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิด
ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน
8 มีการจัดแบ่งนักเรียนโดยคละความสามารถและเพศอย่าง
เหมาะสม
9 มีการชี้แจงกิจกรรมของการเรียนแบบร่วมมือให้นักเรียนเข้าใจ
อย่างชัดเจน
10 ให้คาปรึกษา แนะนา อย่างทั่วถึง
๑๑ นักเรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดกิจกรรมการ
เรียนการสอน
๑๒ ส่งเสริมการทางานเป็นทีม
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
ห น้ า | 62
ภาคผนวก ฉ.
ผลการประเมินความพึงพอใจ
ห น้ า | 63
ห น้ า | 64
ภาคผนวก ช.
ภาพการจัดกิจกรรม
ห น้ า | 65
รูปที่ 3-4 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาแบบทดสอบก่อนเรียน
ห น้ า | 66
รูปที่ 5-6 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาใบงานการปฏิบัติแข่งกัน
ห น้ า | 67
รูปที่ 7-8 นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาจากใบงานการปฏิบัติ
ห น้ า | 68
รูปที่ 9-10 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาข้อสอบหลังเรียนผ่านเว็บไซต์ Kahoot
ห น้ า | 69
รูปที่ 11-12 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาข้อสอบหลังเรียนผ่านเว็บไซต์ Kahoot
ห น้ า | 70
รูปที่ 13-14 ประกาศชื่อกลุ่มที่ได้คะแนนสูงที่สุด
ห น้ า | 71
ประวัติย่อผู้วิจัย
ชื่อ-สกุล นางสาวศรารัตน์ วรรณแจ่ม ตาแหน่ง ครูค.ศ.1
 ประวัติการศึกษา
จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนชุมชนบ้านหนองเรือ จ.ขอนแก่น
จบชั้นมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น
จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จาก คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ภาควิชา
วิศวกรรมไฟฟ้า สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หลักสูตร ๕ ปี
จบการศึกษาระดับปริญญาโท จากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ
 ข้อมูลรายละเอียดของสถานศึกษา
แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา
 เป้านมาย/ปรัชญาการสอน
การศึกษาต้องมุ่งพัฒนาและเพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการศึกษาควร
จัดการศึกษาด้านวิชาการโดยการต่อยอด ความรู้ควบคู่ไปกับการฝึกฝนขัดเกลาทางความคิด ความ
ประพฤติ และคุณธรรม

การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม (Query) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3

  • 1.
    รายงานวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิคกลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม (Query) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 โดย นางสาวศรารัตน์ วรรณแจ่ม ตาแนน่ง ครูค.ศ.1 ประจาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
  • 2.
    ห น้ า| ก บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อหาศึกษา ระดับความรู้ของนักเรียน ก่อนเรียนหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้าง แบบสอบถามสาหรับนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 และเพื่อหาความพึงพอใจ ใน การจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การสร้างแบบสอบถามเครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องการสร้างแบบสอบถาม 2) แบบทดสอบหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง เรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2/2561 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา จานวน 13 คน ผลการวิจัย พบว่า กิจกรรมการเรียนการสอนที่สร้างขึ้น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียน (𝑥̅ = 3.5, S.D. = 1.8) และค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียน (𝑥̅ = 9.0, S.D. = 0.67) และผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยการทดสอบ ค่า t – test พบว่าได้ ค่า t เท่ากับ 9.15 ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ .05 แสดง ว่าผู้เรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงขึ้นและความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อจัดการ เรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80 อยู่ในระดับมากที่สุด สรุปได้ว่าการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) สามารถที่จะนาไปใช้ในการเรียนการสอนต่อไปได้ คาสาคัญ : การจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม / เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
  • 3.
    ห น้ า| ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สาเร็จลุล่วงด้วยดี เนื่องด้วยความกรุณา และการให้การสนับสนุนเกี่ยวกับ งานวิจัยอย่างดียิ่งจากฝ่ายงานวิจัยและพัฒนา วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ทั้งหลักการทฤษฎี แนวคิด และให้คาปรึกษา รวมทั้งข้อปฏิบัติต่างๆ สาหรับการดาเนินการวิจัย ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่อง ต่าง จนงานวิจัยเสร็จสมบูรณ์และถูกต้องที่สุด อันเป็นประโยชน์ต่องานวิจัย ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็น อย่างสูง ขอขอบพระคุณอาจารย์สุทัศน์ สังข์สนิท หัวหน้าแผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่าง นครราชสีมา ที่ให้คาปรึกษา แนวทางและคาแนะนาต่างๆ ช่วยเหลือในการตรวจสอบความสมบูรณ์และ ความถูกต้อง เพื่อให้งานวิจัยมีคุณภาพมากขึ้น และสุดท้ายนี้ผู้วิจัย ขอขอบพระคุณบิดา มารดา ที่ให้การ อุปการะส่งเสริมสนับสนุน จนทาให้งานวิจัยเล่มนี้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ นางสาวศรารัตน์ วรรณแจ่ม ผู้วิจัย
  • 4.
    ห น้ า| ค สารบัญ เรื่อง นน้า บทคัดย่อ ______________________________________________________________ ก กิตติกรรมประกาศ________________________________________________________ ข สารบัญ _______________________________________________________________ ค สารบัญตาราง __________________________________________________________ จ บทที่ 1 บทนา __________________________________________________________ 8 ๑.๑ ความสาคัญและความเป็นมาของปัญหา _______________________________________8 ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย__________________________________________________8 ๑.๓ คาถามเกี่ยวกับงานวิจัย___________________________________________________9 ๑.๔ สมมุติฐานของการวิจัย ___________________________________________________9 ๑.๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยครั้งนี้____________________________________9 ๑.๖ กรอบแนวคิดในการวิจัย __________________________________________________9 ๑.๗ ขอบเขตของการวิจัย_____________________________________________________9 ๑.๘ นิยามศัพท์เฉพาะ _____________________________________________________ 10 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง _______________________________________11 2.๑ การเรียนแบบร่วมมือ___________________________________________________ 11 ๒.๒ การเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (CONSTRUCTIONISM) _______ 29 2.๓. ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอน ________________________________________ 30 บทที่ 3 วิธีการดาเนินงานวิจัย ______________________________________________32 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง_______________________________________ 32 3.2 การกาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ______________________________________ 32 3.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย__________________________________________ 32 3.4 การดาเนินการทดลองและเก็บรวมรวมข้อมูล _________________________________ 34 3.5 การวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล _______________________________ 35 บทที่ 4 ผลการดาเนินงานวิจัย______________________________________________38 ๔.๑ ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง _____________________________________________ 38 ๔.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (CO – OP CO - OP) ____________________________________ 38 ๔.๓ ผลจากการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (CO – OP CO - OP) ____________________________________ 39 บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผล _______________________________________________41 5.1 สรุปผลการวิจัย_______________________________________________________ 41 5.2 อภิปรายผลการวิจัย ___________________________________________________ 42 5.3 ข้อเสนอแนะ_________________________________________________________ 42 เอกสารอ้างอิง _________________________________________________________43 ภาคผนวก ____________________________________________________________44
  • 5.
    ห น้ า| ง ภาคผนวก ก.แผนภูมิหน่วยการเรียน(COURSE FLOW CHART) _________________________ 45 ภาคผนวก ข.แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4เรื่องการออกแบบสอบถาม (QUERY) ______________ 47 ภาคผนวก ค.แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน __________________________________ 52 ภาคผนวก ง.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ______________________________ 58 ภาคผนวก จ.แบบประเมินความพึงพอใจ________________________________________ 60 ภาคผนวก ฉ.ผลการประเมินความพึงพอใจ ______________________________________ 62 ภาคผนวก ช.ภาพการจัดกิจกรรม _____________________________________________ 64 ประวัติย่อผู้วิจัย ________________________________________________________67
  • 6.
    ห น้ า| จ สารบัญรูปภาพ เรื่อง นน้า รูปที่ 1 ระดับความรู้ในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองของ Seymour Papert 29 รูปที่ 2 กราฟแสดงความพึงพอใจของนักเรียนที่มีการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ 40 โดยใช้เทคนิค (Co – op Co - op) รูปที่ 3-4 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาแบบทดสอบก่อนเรียน 65 รูปที่ 5-6 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาใบงานการปฏิบัติแข่งกัน 66 รูปที่ 7-8 นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาจากใบงานการปฏิบัติ 67 รูปที่ 9-10 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาข้อสอบหลังเรียนผ่านเว็บไซต์ Kahoot 68 รูปที่ 11-12 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาข้อสอบหลังเรียนผ่านเว็บไซต์ Kahoot 69 รูปที่ 13-14 ประกาศชื่อกลุ่มที่ได้คะแนนสูงที่สุด 70
  • 7.
    ห น้ า| ฉ สารบัญตาราง เรื่อง นน้า ตารางที่ ๑ ความแตกต่างของการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนรู้แบบดั้งเดิม ______________ 15 ตารางที่ ๒ แสดงการทดลองใช้แบบแผนการทดลอง กลุ่มทดสอบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบ 34 ก่อนเรียนและหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Design) __________________________ ตารางที่ ๓ จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามเพศ _________________________ 38 ตารางที่ ๔ แสดงประสิทธิภาพทางด้านการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง _______________________ 39 ตารางที่ ๕ แสดงระดับค่าเฉลี่ย ( 𝐱) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ความพึงพอใจต่อ _____ 39 การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)_________________ ตารางที่ ๖ แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการสอนแบบกลุ่มร่วม ___ 61 โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ________________________________________
  • 8.
    ห น้ า| ช ชื่อเรื่องวิจัย เรื่องการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม ของนักเรียน ชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่าง นครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ผู้วิจัย นางสาวศรารัตน์ วรรณแจ่ม ตาแนน่ง ครูผู้ช่วย วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี (ครุศาสตร์อุสาหกรรมบัณฑิต สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า เอกวิศวกรรม คอมพิวเตอร์) ปริญญาโท (วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ) สถานที่ติดต่อ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ระยะเวลาในการดาเนินการวิจัย วันที่เริ่มโครงการ 15 ตุลาคม 2561 วันที่คาดว่าโครงการจะเสร็จสิ้น 15 กุมภาพันธ์ 2562 ลักษณะผลงาน วิจัยการเรียนการสอน
  • 9.
    ห น้ า| 8 บทที่ 1 บทนา ๑.๑ ความสาคัญและความเป็นมาของปัญนา การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ก็คือการจัดการเรียนรู้ที่คานึงถึงประโยชน์สูงสุดของ ผู้เรียน โดยครูผู้สอนหรือผู้จัดการเรียนรู้ พยายามหารูปแบบวิธีการที่เหมาะสมกับผู้เรียนที่จะให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนาและเกิดการเรียนรู้ได้มากที่สุด การสอนแบบต่าง ๆ โดยครูผู้สอนอธิบายหรือป้อนความรู้ ให้ฝ่ายเดียว คงเป็นแบบอย่างหรือแนวทางที่ค่อนข้างเก่าและล้าสมัยไปแล้ว ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้คิดสร้าง ความรู้ใหม่ ๆ เลย ครูผู้สอนมีความรู้แค่ไหนก็ถ่ายทอดให้แค่นั้น ส่วนผู้เรียนจะได้แค่ไหนก็สุดแล้วแต่ ความสามารถของแต่ละคน การเรียนการสอนก็รู้สึกเบื่อหน่ายทั้งครูผู้สอนและผู้เรียน เพราะมีขั้นตอน แบบเดิม ๆ เก่า ๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมเดิม ๆ แต่ในปัจจุบันนี้หมดยุคสมัยดังกล่าวแล้ว ครูพันธุ์ใหม่และ นักเรียนพันธุ์ใหม่ ต้องร่วมกันเรียนรู้พร้อมกัน คิดสร้างสรรค์สิ่งแปลก ๆ ใหม่ร่วมกัน ร่วมคิดร่วมเรียนรู้ ในสิ่งใหม่ ๆ แต่ก่อนอื่นจะต้องมาเรียนรู้กันก่อนว่า การออกแบบและการวางแผนการจัดการเรียนรู้แบบ ใหม่ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ มีกระบวนการขั้นตอนอย่างไร จะได้นาวิธีการหลักการและแนวคิดไป ประยุกต์ใช้และพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับตัวครูผู้สอน และตัวผู้เรียนต่อไป (สุรพล เอี่ยมอู่ทรัพย์, 2558) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือนับว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยใช้ กระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทางานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์และเกิดความสาเร็จร่วมกันของ กลุ่ม ซึ่งการเรียนแบบร่วมมือมิใช่เป็นเพียงจัดให้ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่ม เช่น ทารายงาน ทากิจกรรม ประดิษฐ์หรือสร้างชิ้นงาน อภิปราย ตลอดจนปฏิบัติการทดลองแล้ว ผู้สอนทาหน้าที่สรุปความรู้ด้วย ตนเองเท่านั้น แต่ผู้สอนจะต้องพยายามใช้กลยุทธ์วิธีให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการประมวลสิ่งที่มาจากการ ทากิจกรรมต่างๆ จัดระบบความรู้สรุปเป็นองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นหลักการสาคัญ (พิมพันธ์ เดชะคุปต์ , 2544 :15 ) และจากปัญหาที่ผู้เรียนบางคนยังไม่สามารถวิเคราะห์โจทย์ฐานข้อมูลเกี่ยวกับการสร้าง แบบสอบถาม ในรายวิชาโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล ดังนั้นผู้วิจัย จึงเลือกการจัดการเรียนรู้แบบเทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) เพื่อให้ ผู้เรียนฝึกวิเคราะห์โจทย์การสร้างแบบสอบถาม จากฐานข้อมูลที่กาหนดให้เป็นกลุ่ม เพื่อเป็นการฝึก รับผิดชอบงานของกลุ่มร่วมกัน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนกระทั่งเกิดเป็นการเรียนเป็นกลุ่ม หรือเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง โดยเน้นให้ผู้เรียนมองเห็นความสาคัญในสิ่งที่เรียนรู้และสามารถ เชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่าจนเชื่อมโยงเข้ากับเป้าประสงค์ของการเรียนในบทนั้นๆ รวมถึงผู้สอนมีวิธีการสอนที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพเพื่อนาไปใช้ต่อไป ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อหาความมีประสิทธิภาพของวิธีการสอนโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม ของนักเรียนชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 1.2.2 เพื่อหาความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่ม ร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถาม
  • 10.
    ห น้ า| 9 ๑.๓ คาถามเกี่ยวกับงานวิจัย เทคนิคการจัดการเรียนรู้กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มีผลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบ สอบถามของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 อย่างไร ๑.๔ สมมุติฐานของการวิจัย การศึกษาระดับความรู้ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนในการจัดการเรียนการสอนแบบ กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) รายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบสอบถามของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยสารพัดช่าง นครราชสีมา ทาให้มีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 ๑.๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัยครั้งนี้ 1.5.1 ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การออกแบบ สอบถาม ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 หลังเรียนผ่านเกณฑ์ที่กาหนด 1.5.2 ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนการเรียน ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล 1.5.3 ครูผู้สอนได้แนวทางการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน ที่ผ่านการวิจัยทดลองใช้แล้ว เป็นแนวทางในการพัฒนาการการสอนต่อไป ๑.๖ กรอบแนวคิดในการวิจัย 1.6.1 ยึดหลักการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามหลักการ เรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism 1.6.2 ใช้วิธีการสอนให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่าและ สร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาเมื่อพิจารณาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอนโดยปกติที่เกิดขึ้นใน ห้องเรียนนั้น ๑.๗ ขอบเขตของการวิจัย - ขอบเขตด้านเนื้อนา - ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนระดับชั้นคธ.3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จานวน 13 คน - ตัวแปรที่ใช้ศึกษา ตัวแปรต้นได้แก่ การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การสร้างแบบสอบถาม
  • 11.
    ห น้ า| 10 ตัวแปรตามได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามหลังเรียน ของ นักศึกษาผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 ๑.๘ นิยามศัพท์เฉพาะ 1.8.1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การ จัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยการทางานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้เกิดเป็นความสาเร็จของกลุ่ม 1.8.2. กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co – op ) หมายถึง เป็นวิธีการที่ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการมี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างแท้จริง ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกเป็นผู้นา ผู้ตามกลุ่มฝึกการทางานให้ ประสบผลสาเร็จ และฝึกทักษะทางสังคม ผู้สอนควรเลือกใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ดังกล่ามาให้เหมาะสม กับเนื้อหาสาระ และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดไว้ 1.8.3. นักเรียน หมายถึง นักศึกษาระดับชั้นคธ.3 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัย สารพัดช่างนครราชสีมา จานวน 13 คน 1.8.4. ประสิทธิภาพของวิธีการสอน หมายถึง ประสิทธิภาพที่ได้จากการประเมินตามเกณฑ์ E1/E2 ที่ระดับ 80/80 1.8.5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงผลการวิเคราะห์คะแนนที่ได้จากนักเรียนระดับชั้น คธ. 3 ที่มีผลต่อการสอบโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการ จัดการฐานข้อมูล เรื่อง การสร้างแบบสอบถามโดยนาคะแนนการสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมา เปรียบเทียบกัน ซึ่งคานวณจากสูตรการทดสอบการหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน t – test แบบ Dependent โดยมีนัยสาคัญที่ 0.05 1.8.6. ความพึงพอใจ หมายถึงระดับความรู้สึกของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนการสอนโดยใช้ เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้าง แบบสอบถาม ซึ่งได้มาจากผู้เรียนตอบแบบสอบถาม ความพึงพอใจ ซึ่งค่าที่ยอมรับได้คือ 3.5 ขึ้นไป
  • 12.
    ห น้ า| 11 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยเรื่องการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของ วิธีการสอนและความพึงพอใจในการใช้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัย สารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ 2.๑ การเรียนแบบร่วมมือ ๒.๑.๑ ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ 2.๑.๒ วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.๑.๓ ลักษณะของการเรียนแบบร่วมมือ 2.๑.๔. องค์ประกอบสาคัญของการเรียนแบบร่วมมือ 2.1.๕ ความแตกต่างระหว่างการเรียนแบบร่วมมือกับการเรียนแบบดั้งเดิม 2.๑.๖ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ 2.๑.๗ เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.๑.๘ วิธีการเรียนรู้แบบรู้แบบร่วมมือ 2.๑.๙ รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2.๑.๑๐ ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ 2.๒ การเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructionism) 2.๓ ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอน 2.๓.1 ความหมายของความพึงพอใจ 2.๓.2 บรรยากาศในการเรียนการสอนกับความพึงพอใจ 2.๑ การเรียนแบบร่วมมือ 2.๑.1 ความนมายของการเรียนแบบร่วมมือ สาหรับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือได้มีนักวิชาการให้ความหมายไว้หลายท่าน ดังนี้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือหรือแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกัน ได้ร่วมมือกันทางานกลุ่มด้วย ความตั้งใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ทาให้งานของกลุ่มดาเนินไปสู่เป้าหมาย ของงานได้ สลาวิน (Slavin, 1987 : 7-13) อ้างใน ไสว ฟักขาว (2544 : 192) ได้ให้ความหมายของ การเรียนรู้แบบร่วมมือว่า หมายถึง วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนทางานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยทั่วไปมีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน สมาชิกกลุ่มมีความสามารถในการเรียนต่างกัน สมาชิกในกลุ่มจะ รับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับการสอน และช่วยเพื่อนสมาชิกให้เกิดการเรียนรู้ด้วย มีการช่วยเหลือซึ่งกันและ กัน โดยมีเป้าหมายในการทางานร่วมกัน คือ เป้าหมายของกลุ่ม
  • 13.
    ห น้ า| 12 ไสว ฟักขาว (2544 : 193) กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตน และส่วนรวม เพื่อให้กลุ่มได้รับความสาเร็จตามเป้าหมายที่กาหนด จากความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการทางานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับ มอบหมาย เพื่อให้เกิดเป็นความสาเร็จของกลุ่ม 2.๑.2 วัตถุประสงค์ สาหรับวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121) ได้กล่าวว่า ดังนี้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มได้ฝึกบทบาทหน้าที่และความ รับผิดชอบในการทางานกลุ่ม 2. เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดค้นคว้า ทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองทักษะ การคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การตั้งคาถาม ตอบคาถาม การใช้ภาษา การพูด ฯลฯ 3. เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การมีน้าใจช่วยเหลือผู้อื่น การ เสียสละ การยอมรับกันและกัน การไว้วางใจ การเป็นผู้นา ผู้ตาม ฯลฯ 2.๑.3 ลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121) ได้กล่าวถึง การจัดกิจกรรมแบบร่วมแรงร่วมใจว่า มีลักษณะ ดังนี้ 1. มีการทางานกลุ่มร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม 2. สมาชิกในกลุ่มมีจานวนไม่ควรเกิน 6 คน 3. สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือกัน 4. สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น - เป็นผู้นากลุ่ม (Leader) - เป็นผู้อธิบาย (Explainer) - เป็นผู้จดบันทึก (Recorder) - เป็นผู้ตรวจสอบ (Checker) - เป็นผู้สังเกตการณ์ (Observer) - เป็นผู้ให้กาลังใจ (Encourager) ฯลฯ สมาชิกในกลุ่มมีความรับผิดชอบร่วมกัน ยึดหลักว่า “ความสาเร็จของแต่ละคน คือ ความสาเร็จของกลุ่ม ความสาเร็จของกลุ่ม คือ ความสาเร็จของทุกคน”
  • 14.
    ห น้ า| 13 2.๑.4 องค์ประกอบสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้ จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson,1987 : 13 - 14)อ้างใน ไสว-ฟักขาว (2544 : 193-194) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่สาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้ 1. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่มทางานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการทางานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม ในการทางานนั้น มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ข้อมูลต่าง ๆ ในการทางาน ทุกคนมีบทบาท หน้าที่ และประสบความสาเร็จร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มจะมีความรู้สึกว่าตนประสบความสาเร็จได้ก็๖อเมื่อ สมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสาเร็จด้วย สมาชิกทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ หรือรางวัลผลงาน กลุ่มโดยเท่าเทียมกัน เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนช่วยกัน ทาให้กลุ่มได้คะแนน 90 % แล้ว สมาชิกแต่ละ คนจะได้คะแนนพิเศษเพิ่มอีก 5 คะแนน เป็นรางวัล เป็นต้น 2. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Face To Face Promotive Interaction) เป็นการติดต่อสัมพันธ์กัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่ เพื่อนในกลุ่มฟัง เป็นลักษณะสาคัญของการติดต่อปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบร่วมมือ ดังนั้น จึงควรมีการแลกเปลี่ยน ให้ข้อมูลย้อนกลับ เปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนวความคิดใหม่ ๆ เพื่อเลือกใน สิ่งที่เหมาะสมที่สุด 3. ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) ความ รับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล เป็นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคล โดยมี การช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความสาเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม โดยที่สมาชิกทุกคนใน กลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล 4. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทางานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skills) ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทางานกลุ่มย่อย นักเรียนควร ได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะสาคัญที่จะช่วยให้การทางานกลุ่มประสบ ผลสาเร็จ นักเรียนควรได้รับการฝึกทักษะในการสื่อสาร การเป็นผู้นา การไว้วางใจผู้อื่น การตัดสินใจ การแก้ปัญหา ครูควรจัดสถานการณ์ที่จะส่งเสริมให้นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถทางานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 5. กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เป็นกระบวนการทางานที่มีขั้นตอนหรือ วิธีการที่จะช่วยให้การดาเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ สมาชิกทุกคนต้องทาความ เข้าใจในเป้าหมายการทางาน วางแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ดาเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและ ปรับปรุงงาน องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ ต่างมีความสัมพันธ์ซึ่ง กันและกัน ในอันที่จะช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือดาเนินไปด้วยดี และบรรลุตามเป้าหมายที่กลุ่ม กาหนด โดยเฉพาะทักษะทางสังคม ทักษะการทางานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่มซึ่งจาเป็นที่ จะต้องได้รับการฝึกฝน ทั้งนี้เพื่อให้สมาชิกกลุ่มเกิดความรู้ ความเข้าใจและสามารถนาทักษะเหล่านี้ไป ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
  • 15.
    ห น้ า| 14 อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 122) กล่าวถึงองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือไว้ว่า ต้องคานึงถึงองค์ประกอบในการให้ผู้เรียนทางานกลุ่ม ดังข้อต่อไปนี้ 1. มีการพึ่งพาอาศัยกัน (Positive Interdependence) หมายถึง สมาชิกในกลุ่ม มีเป้าหมายร่วมกัน มีส่วนรับความสาเร็จร่วมกัน ใช้วัสดุอุปกรณ์ร่วมกัน มีบทบาทหน้าที่ทุกคนทั่วกัน ทุกคนมีความรู้สึกว่างานจะสาเร็จได้ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 2. มีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ (Face to Face Promotive Interaction) หมายถึง สมาชิกกลุ่มได้ทากิจกรรมอย่างใกล้ชิด เช่น แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อธิบาย ความรู้แก่กัน ถามคาถาม ตอบคาถามกันและกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน 3. มีการตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (Individual Accountability) เป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องตรวจสอบว่า สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบต่องาน กลุ่มหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เช่น การสุ่มถามสมาชิกในกลุ่ม สังเกตและบันทึกการทางานกลุ่ม ให้ ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่ตนเรียนรู้ให้เพื่อนฟัง ทดสอบรายบุคคล เป็นต้น 4. มีการฝึกทักษะการช่วยเหลือกันทางานและทักษะการทางานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Groups Skills) ผู้เรียนควรได้ฝึกทักษะที่จะช่วยให้งานกลุ่ม ประสบความสาเร็จ เช่น ทักษะการสื่อสาร การยอมรับและช่วยเหลือกัน การวิจารณ์ความคิดเห็น โดยไม่วิจารณ์บุคคล การแก้ปัญหาความขัดแย้ง การให้ความช่วยเหลือ และการเอาใจใส่ต่อทุกคน อย่างเท่าเทียมกัน การทาความรู้จักและไว้วางใจผู้อื่น เป็นต้น 5. มีการฝึกกระบวนการกลุ่ม (Group Process) สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อการ ทางานของกลุ่ม ต้องสามารถประเมินการทางานของกลุ่มได้ว่า ประสบผลสาเร็จมากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใด ต้องแก้ไขปัญหาที่ใด และอย่างไร เพื่อให้การทางานกลุ่มมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม เป็น การฝึกกระบวนการกลุ่มอย่างเป็นกระบวนการ จากองค์ประกอบสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ จึงสรุปได้ว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือนั้นมี องค์ประกอบ 5 ประการด้วยกัน คือ 1. มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยสมาชิกแต่ละคนมีเป้าหมายในการทางานกลุ่มร่วมกัน ซึ่งจะต้องพึงพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อความสาเร็จของการทางานกลุ่ม 2. มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ เป็นการให้สมาชิกได้ร่วมกันทางานกลุ่มกัน อย่างใกล้ชิด โดยการเสนอและแสดงความคิดเห็นกันของสมาชิกภายในกลุ่ม ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน 3. มีความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน หมายความว่า สมาชิกภายในกลุ่มแต่ละคนจะต้อง มีความรับผิดในการทางาน โดยที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบ เป็นรายบุคคล 4. มีการใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มย่อย ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทางานกลุ่มย่อย นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะสาคัญที่จะช่วยให้การทางานกลุ่ม ประสบผลสาเร็จ เพื่อให้นักเรียนจะสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. มีการใช้กระบวนการกลุ่ม ซึ่งเป็นกระบวนการทางานที่มีขั้นตอนหรือ วิธีการที่จะช่วยให้การ ดาเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในการวางแผนปฏิบัติงานและเป้าหมายในการทางาน ร่วมกัน โดยจะต้องดาเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและปรับปรุงงาน
  • 16.
    ห น้ า| 15 2.๑.๕ ความแตกต่างระนว่างการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนเป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม ไสว ฟักขาว ( 2544 : 195) ได้กล่าวว่า จากองค์ประกอบสาคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ซึ่งได้แก่ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก การปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริม กันและกัน ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล การใช้ทักษะระหว่างบุคคล การทางานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่ม องค์ประกอบเหล่านี้ทาให้การเรียนรู้แบบร่วมมือแตกต่างออกไปจากการเรียนรู้ เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือ การเรียนเป็นกลุ่มแบบดั้งเดิมนั้น เป็นเพียง การแบ่งกลุ่มการเรียนเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติงานร่วมกัน แบ่งงานกันทา สมาชิกในกลุ่มต่างทางาน เพื่อให้งานสาเร็จ เน้นที่ผลงานมากกว่ากระบวนการในการทางาน ดังนั้นสมาชิกบางคนอาจมีความ รับผิดชอบในตนเองสูง แต่สมาชิกบางคนอาจไม่มีความรับผิดชอบ ขอเพียงมีชื่อในกลุ่ม มีผลงาน ออกมาเพื่อส่งครูเท่านั้น ซึ่งต่างจากการเรียนเป็นกลุ่มแบบร่วมมือที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความ รับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อเพื่อนสมาชิกในกลุ่มด้วย จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1987 : 25 ) อ้างใน ไสว ฟักขาว (2544 : 195) ได้สรุปความแตกต่างระหว่างกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือกับกลุ่มการเรียนแบบดั้งเดิมไว้ดังนี้ ตารางที่ ๑ ความแตกต่างของการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนรู้แบบดั้งเดิม การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) การเรียนรู้เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม (Traditional Learning) 1. มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกระหว่างสมาชิก 2. สมาชิกเอาใจใส่รับผิดชอบต่อตนเอง 3. สมาชิกมีความสามารถแตกต่างกัน 4. สมาชิกผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้นา 5. รับผิดชอบร่วมกับสมาชิกด้วยกัน 6. เน้นผลงานและการคงอยู่ซึ่งความเป็นกลุ่ม 7. สอนทักษะทางสังคมโดยตรง 8. ครูคอยสังเกตและหาโอกาสแนะนา 9. สมาชิกกลุ่มมีกระบวนการทางานเพื่อ ประสิทธิผลกลุ่ม 1. ขาดการพึ่งพากันระหว่างสมาชิก 2. สมาชิกขาดความรับผิดชอบในตนเอง 3. สมาชิกมีความสามารถเท่าเทียมกัน 4. มีผู้นาที่ได้รับการแต่งตั้งเพียงคนเดียว 5. รับผิดชอบเฉพาะตนเอง 6. เน้นที่ผลงานเพียงอย่างเดียว 7. ทักษะทางสังคมถูกละเลย 8. ครูขาดความสนใจหน้าที่ของกลุ่ม 9. ขาดกระบวนการในการทงานกลุ่ม 2.๑.๖ ขั้นตอนการจัดกิจกรรม อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 122-123) กล่าวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ ไว้ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ ผู้สอนชี้แจงจุดประสงค์ของบทเรียน ผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณไม่เกิน 6 คน มีสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน ผู้สอนแนะนาวิธีการทางานกลุ่มและบทบาทของสมาชิก ในกลุ่ม 2. ขั้นสอน
  • 17.
    ห น้ า| 16 ผู้สอนนาเข้าสู่บทเรียน บอกปัญหาหรืองานที่ต้องการให้กลุ่มแก้ไขหรือคิด วิเคราะห์ หาคาตอบ ผู้สอนแนะนาแหล่งข้อมูล ค้นคว้า หรือให้ข้อมูลพื้นฐานสาหรับการคิดวิเคราะห์ผู้สอนมอบหมายงานที่ กลุ่มต้องทาให้ชัดเจน 3. ขั้นทากิจกรรมกลุ่ม ผู้เรียนร่วมมือกันทางานตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ ทุกคนร่วมรับผิดชอบ ร่วมคิด ร่วมแสดงความ คิดเห็น การจัดกิจกรรในขั้นนี้ ครูควรใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ ที่น่าสนใจและเหมาะสม กับผู้เรียน เช่น การเล่าเรื่องรอบวง มุมสนทนา คู่ตรวจสอบ คู่คิด ฯลฯผู้สอนสังเกตการณ์ทางาน ของกลุ่ม คอยเป็นผู้อานวยความสะดวก ให้ความกระจ่างในกรณีที่ผู้เรียนสงสัยต้องการความช่วยเหลือ 4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นนี้ผู้เรียนจะรายงานผลการทางานกลุ่ม ผู้สอนและเพื่อนกลุ่ม อื่นอาจซักถามเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดเจน เพื่อเป็นการตรวจสอบผลงานของกลุ่มและรายบุคคล 5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทางานกลุ่ม ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปบทเรียน ผู้สอนควรช่วยเสริมเพิ่มเติมความรู้ ช่วยคิดให้ครบตามเป้าหมายการเรียนที่กาหนดไว้ และช่วยกัน ประเมินผลการทางานกลุ่มทั้งส่วนที่เด่นและส่วนที่ควรปรับปรุงแก้ไข 2.๑.๗ เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 177 – 195) อ้างใน อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 123 – 125) กล่าวถึง เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ว่า เทคนิคที่นามาใช้ในการเรียนรู้แบบร่วมมือ มีหลายวิธี ได้แนะนาไว้ดังนี้ 1. ปริศนาความคิด (Jigsaw) ปริศนาความคิด เป็นเทคนิคที่สมาชิกในกลุ่มแยกย้ายกันไปศึกษาหาความรู้ ในหัวข้อเนื้อหาที่ แตกต่างกัน แล้วกลับเข้ากลุ่มมาถ่ายทอดความรู้ที่ได้มาให้สมาชิกกลุ่มฟัง วิธีนี้คล้ายกับการต่อภาพจิก ซอร์ จึงเรียกวิธีนี้ว่า Jigsaw หรือปริศนาการคิด ลักษณะการจัดกิจกรรมผู้เรียนที่มีความสามารถ ต่างกันเข้ากลุ่มร่วมกันเรียกว่า กลุ่มบ้าน (Home Group) สมาชิกในกลุ่มบ้านจะรับผิดชอบศึกษา หัวข้อที่แตกต่างกัน แล้วแยกย้ายไปเข้ากลุ่มใหม่ในหัวข้อเดียวกัน กลุ่มใหม่นี้เรียกว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางานร่วมกันเสร็จ ก็จะย้ายกลับไปกลุ่มเดิมคือ กลุ่มบ้านของ ตน นาความรู้ที่ได้จากการอภิปรายจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาสรุปให้กลุ่มบ้านฟัง ผู้สอนทดสอบและให้ คะแนน 2. กลุ่มร่วมมือแข่งขัน (Teams – Games – Toumaments : TGT) เทคนิคกลุ่มร่วมมือแข่งขัน เป็นกิจกรรมที่สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้เนื้อหาสาระจากผู้สอนด้วยกัน แล้วแต่ละคนแยกย้ายไปแข่งขันทดสอบความรู้ คะแนนที่ได้ของแต่ละคนจะนามารวมกันเป็นคะแนน ของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนรวมสูงสุดได้รับรางวัล ลักษณะการจัดกิจกรรม สมาชิกกลุ่มจะช่วยกันเตรียมตัวเข้าแข่งขัน โดยผลัดกันถามตอบให้เกิดความแม่นยาในความรู้ที่ ผู้สอนจะทดสอบ เมื่อได้เวลาแข่งขัน แต่ละทีมจะเข้าประจาโต๊ะแข่งขัน แล้วเริ่มเล่นเกมพร้อมกันด้วย ชุดคาถามที่เหมือนกัน เมื่อการแข่งขันจบลง ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะกลับไปเข้าทีมเดิมของตนพร้อม คะแนนที่ได้รับ ทีมที่ได้คะแนนรวมสูงสุดถือว่าเป็นทีมชนะเลิศ 3. กลุ่มร่วมมือช่วยเหลือ (Team Assisted Individualization : TAT)
  • 18.
    ห น้ า| 17 เทคนิคการเรียนรู้วิธีนี้ เป็นการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้แสดงความสามารถเฉพาะตน ก่อน แล้วจึงจับคู่ตรวจสอบกันและกัน ช่วยเหลือกันทาใบงานจนสามารถผ่านได้ ต่อจากนั้นจึงนา คะแนนของแต่ละคนมารวมเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นฝ่ายได้รับรางวัล ลักษณะการจัดกิจกรรม กลุ่มจะมีสมาชิก 2 – 4 คน จับคู่กันทางานตามใบงานที่ได้รับมอบหมาย แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจ ผลงาน ถ้าผลงานยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ต้องแก้ไขจนกว่าจะผ่าน ต่อจากนั้นทุกคนจะทาข้อทดสอบ คะแนนของทุกคนจะมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับรางวัล 4. กลุ่มสืบค้น (Group Investigation : GI) กลุ่มสืบค้น เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้ ด้วยตนเอง ผู้เรียนแต่ละกลุ่มได้รับมอบหมายให้ค้นคว้าหาความรู้มานาเสนอ ประกอบเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นการทางานตามใบงานที่กาหนด โดยที่ทุกคนในกลุ่มรับรู้และช่วยกันทางาน ลักษณะการจัดกิจกรรม สมาชิกกลุ่มจะช่วยกันศึกษาค้นคว้าหาคาตอบ หรือความรู้มานาเสนอต่อชั้นเรียน โดยผู้สอนแบ่ง เนื้อหาเป็นหัวข้อย่อย แต่ละกลุ่มศึกษากลุ่มละ 1 หัวข้อ เมื่อพร้อม ผู้เรียนจะนาเสนอผลงานทีละกลุ่ม แล้วร่วมกันประเมินผลงาน 5. กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together : LT) กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ มีบทบาทหน้าที่ ทุกคน เช่น เป็นผู้อ่าน เป็นผู้จดบันทึก เป็นผู้รายงานนาเสนอ เป็นต้น ทุกคนช่วยกันทางาน จนได้ ผลงานสาเร็จ ส่งและนาเสนอผู้สอน ลักษณะการจัดกิจกรรม กลุ่มผู้เรียนจะแบ่งหน้าที่กันทางาน เช่น เป็นผู้อ่านคาสั่งใบงาน เป็นผู้จดบันทึกงาน เป็นผู้หา คาตอบ เป็นผู้ตรวจคาตอบ กลุ่มจะได้ผลงานที่เกิดจากการทางานของทุกคน 6. กลุ่มร่วมกันคิด (Numbered Heads Together : NHT) กิจกรรมนี้เหมาะสาหรับการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ สมาชิกกลุ่มจะประกอบด้วย ผู้เรียนที่มีความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อนคละกัน จะช่วยกันค้นคว้าเตรียมตัวตอบคาถามที่ ผู้สอนจะทดสอบ ผู้สอนจะเรียกถามทีละคน กลุ่มที่สมาชิกสามารถตอบคาถามได้มากแสดงว่าได้ ช่วยเหลือกันดี ลักษณะการจัดกิจกรรม สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน จะร่วมกันอภิปรายปัญหาที่ได้รับเพื่อให้เกิดความพร้อม และความมั่นใจที่จะตอบคาถามผู้สอน ผู้สอนจะเรียกสมาชิกกลุ่มให้ตอบทีละคน แล้วนาคะแนนของ แต่ละคนมารวมเป็นคะแนนของกลุ่ม 7. กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) กลุ่มร่วมมือเป็นเทคนิคการทางานกลุ่มวิธีหนึ่ง โดยสมาชิกในกลุ่มที่มีความสามารถและความถนัด แตกต่างกันได้ แสดงบทบาทตามหน้าที่ที่ตนถนัดอย่างเต็มที่ ทาให้งานประสบผลสาเร็จ วิธีนี้ทาให้ ผู้เรียนได้ฝึกความรับผิดชอบการทางานกลุ่มร่วมกัน และสนองต่อหลักการของการเรียนรู้ และร่วมมือ ที่ว่า “ความสาเร็จแต่ละคน คือ ความสาเร็จของกลุ่ม ความสาเร็จของกลุ่ม คือ ความสาเร็จของทุกคน”
  • 19.
    ห น้ า| 18 ลักษณะการจัดกิจกรรม สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันจะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบไปศึกษาหัวข้อย่อยทีได้รับ มอบหมาย แล้วนางานจากการศึกษาค้นคว้ามารวมกันเป็นงานกลุ่มปรับปรุงให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง มี ความสละสลวย เสร็จแล้วจึงนาเสนอต่อชั้นเรียน ทุกกลุ่มจะช่วยกันประเมินผลงาน จากที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นวิธีการที่ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการมี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างแท้จริง ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกเป็นผู้นา ผู้ตามกลุ่มฝึกการทางานให้ ประสบผลสาเร็จ และฝึกทักษะทางสังคม ผู้สอนควรเลือกใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ ดังกล่ามาให้เหมาะสม กับเนื้อหาสาระ และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กาหนดไว้ 2.๑.๘ วิธีการเรียนแบบร่วมมือ วันเพ็ญ จันทร์เจริญ (2542 : 119-128) กล่าวถึง วิธีการเรียนแบบร่วมมือที่นิยมใช้กันมี เทคนิคสาคัญ 2 แบบ คือ แบบเป็นทางการ (Formal cooperative learning) และแบบไม่เป็น ทางการ (Informal cooperative learning) 1. การเรียนแบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ มีดังนี้ 1.1 เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม (Team – Games – Tournament หรือ TGT) คือ การจัดกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มละ 4 คน ระดับความสามารถต่างกัน (Heterogeneous teams) คือ นักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ครู กาหนดบทเรียนและการทางานของกลุ่มเอาไว้ ครูทาการสอนบทเรียนให้นักเรียนทั้งชั้นแล้วให้กลุ่ม ทางานตามที่กาหนด นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือกัน เด็กเก่งช่วยและตรวจงานของเพื่อนให้ถูกต้องก่อน นาส่งครู แล้วจัดกลุ่มใหม่เป็นกลุ่มแข่งขันที่มีความสามารถเท่า ๆ กัน (Homogeneous tournament teams) มาแข่งขันตอบปัญหาซึ่งจะมีการจัดกลุ่มใหม่ทุกสัปดาห์ โดยพิจารณาจาก ความสามารถของแต่ละบุคคล คะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของสมาชิกที่เข้าแข่งขันร่วมกับกลุ่ม อื่น ๆ ร่วมกัน แล้วมีการมอบรางวัลให้แก่กลุ่มที่ได้คะแนนสูงถึงเกณฑ์ที่กาหนดไว้ 1.2 เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธิ์ (Student Teams Achievement Divisions หรือ STAD) คือ การจัดกลุ่มเหมือน TGT แต่ไม่มีการแข่งขัน โดยให้นักเรียนทุกคนต่าง คนต่างทาข้อสอบ แล้วนาคะแนนพัฒนาการ (คะแนนที่ดีกว่าเดิมในการสอบครั้งก่อน) ของแต่ละคนมา รวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม และมีการให้รางวัล 1.3 เทคนิคการจัดกลุ่มแบบช่วยรายบุคคล (Team Assisted Individualization หรือ TA) เทคนิคนี้เหมาะกับวิชาคณิตศาสตร์ ใช้สาหรับระดับประถมปีที่ 3 – 6 วิธีนี้สมาชิกกลุ่มมี 4 คน มีระดับความรู้ต่างกัน ครูเรียกเด็กที่มีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอนตามความยาก ง่ายของเนื้อหา วิธีที่สอนจะแตกต่างกัน เด็กกลับไปยังกลุ่มของตน และต่างคนต่างทางานที่ได้รับ มอบหมายแต่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการให้รางวัลกลุ่มที่ทาคะแนนได้ดีกว่าเดิม 1.4 เทคนิคโปรแกรมการร่วมมือในการอ่านและเขียน (Cooperative Integrated Reading and Composition หรือ CIRC) เทคนิคนี้ใช้สาหรับวิชา อ่าน เขียน และทักษะอื่น ๆ ทางภาษา สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน มีพื้นความรู้เท่ากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เท่ากัน แต่ต่างระดับ ความรู้กับ 2 คนแรก ครูจะเรียกคู่ที่มีความรู้ระดับเท่ากันจากกลุ่มทุกกลุ่มมาสอน ให้กับเข้ากลุ่ม
  • 20.
    ห น้ า| 19 แล้วเรียกคู่ต่อไปจากทุกกลุ่มมาสอน คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชิกกลุ่มเป็น รายบุคคล 1.5 เทคนิคการต่อภาพ (Jigsaw) เทคนิคนี้ใช้สาหรับนักเรียนชั้นประถมปีที่ 3 - 6 สมาชิกในกลุ่มมี 6 คน ความรู้ต่างระดับกัน สมาชิกแต่ละคนไปเรียนร่วมกันกับสมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ ในหัวข้อที่ต่างกันออกไป แล้วทุกคนกลับมากลุ่มของตน สอนเพื่อนในสิ่งที่ตนไปเรียนร่วมกับสมาชิก ของกลุ่มอื่นๆ มา การประเมินผลเป็นรายบุคคลแล้วรวมเป็นคะแนนของกลุ่ม 1.6 เทคนิคการต่อภาพ 2 (Jigsaw II) เทคนิคนี้สมาชิกในกลุ่ม 4 – 5 คน นักเรียนทุกคนสนใจ เรียนบทเรียนเดียวกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้ความสนใจในหัวข้อย่อยของบทเรียนต่างกัน ใครที่ สนใจหัวข้อเดียวกันจะไปประชุมกัน ค้นคว้าและอภิปราย แล้วกลับมาที่กลุ่มเดิมของตนสอนเพื่อนใน เรื่องที่ตนเองไปประชุมกับสมาชิกของกลุ่มอื่นมา ผลการสอบของแต่ละคนเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ ทาคะแนนรวมได้ดีกว่าครั้งก่อน (คิดคะแนนเหมือน STAD) จะได้รับรางวัล ขั้นตอนการเรียนมีดังนี้ 1) ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยๆให้เท่ากับจานวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม 2) จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่มเป็นกลุ่มบ้าน (Home group) สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนได้รับมอบหมายเท่านั้น โดยใช้เวลาตามที่ครู กาหนด 3) จากนั้นนักเรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพื่อทางาน ซักถามและ ทากิจกรรม ซึ่งเรียกว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert group) สมาชิกทุก ๆ คน ร่วมมือกันอภิปรายหรือ ทางานอย่างเท่าเทียมกัน โดยใช้เวลาตามที่ครูกาหนด 4) นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน (Home group) ของตน จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันอธิบายให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากหัวข้อย่อยที่ 1, 2, 3และ 4 เป็นต้น 5) ทาการทดสอบหัวข้อย่อย 1 – 4 กับนักเรียนทั้งห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละคน ในกลุ่มรวมเป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการติดประกาศ 1.7 เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม (Group Investigation) เทคนิคนี้สมาชิกใน กลุ่มมี 2 – 6 คน เป็นรูปแบบที่ซับซ้อน แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้า สมาชิก ในกลุ่มแบ่งงานกันทั้งกลุ่มมีการวางแผนการดาเนินงานตามแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์งานที่ทา การนาเสนอผลงานหรือรายงานต่อหน้าชั้น การให้รางวัลหรือให้คะแนนเป็นกลุ่ม 1.8 เทคนิคการเรียนร่วมกัน (Learning Together) วิธีนี้สมาชิกในกลุ่มมี 4 – 5 คน ระดับความรู้ความสามารถต่างกัน ใช้สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 – 6 โดยครูทาการสอน ทั้งชั้น เด็กแต่ละกลุ่มทางานตามที่ครูมอบหมาย คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากผลงานของกลุ่ม 1.9 เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมกลุ่ม (Co – op – Co - op) ซึ่งเทคนิคนี้ประกอบด้วย ขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้คือ นักเรียนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษา แบ่งหัวข้อใหญ่เป็นหัวข้อย่อย แล้ว จัดนักเรียนเข้ากลุ่มตามความสามารถที่แตกต่างกัน กลุ่มเลือกหัวข้อที่จะศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม กลุ่มแบ่งหัวข้อย่อยออกเป็นหัวข้อเล็ก ๆ เพื่อนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไปศึกษา และมีการกาหนด บทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนภายในกลุ่ม แล้วนักเรียนเลือกศึกษาเรื่องที่ตนเลือกและนาเสนอต่อ กลุ่ม กลุ่มรวบรวมหัวข้อต่าง ๆ จากนักเรียนทุกคนภายในกลุ่ม แล้วรายงานผลงานต่อชั้นและมีการ ประเมินผลงานของกลุ่ม
  • 21.
    ห น้ า| 20 เทคนิคทั้ง 9 ดังกล่าวข้างต้นนี้ ส่วนมากจะใช้ตลอดคาบการเรียนหรือตลอด กิจกรรมการเรียนในแต่ละคาบ เรียกการเรียนแบบร่วมมือประเภทนี้ว่า การเรียนแบบร่วมมืออย่างเป็น ทางการ (Formal cooperative Learning) แต่ยังมีเทคนิคอื่น ๆ อีกจานวนมากที่ไม่จาเป็นต้องใช้ ตลอดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละคาบ อาจใช้ในขั้นนา สอดแทรกในขั้นสอนตอนใด ๆ ก็ได้ หรือใช้ในขั้นสรุป หรือขั้นทบทวน หรือขั้นวัดผล เรียกการเรียนแบบร่วมมือประเภทนี้ว่า การเรียน แบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ (Informal cooperative learning) ดังนี้ 2. การเรียนแบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ มีดังนี้ คาเกน (Kagan 1994 อ้างใน พิมพันธ์ เดชะคุปต์, 2541 : 43)) ได้ออกแบบเทคนิคการ เรียนแบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการไว้ถึง 52 เทคนิค ในที่นี้จะขอแนะนาเทคนิคของการเรียนแบบ ร่วมมือแบบไม่เป็นทางการจานวน 9 เทคนิค ซึ่งเป็นเทคนิคที่กระทาได้ง่ายจึงสะดวกที่จะนาไปใช้ ดังนี้ 2.1 การพูดเป็นคู่ (Rally Robin) เป็นเทคนิคเปิดโอกาสให้นักเรียนพูด ตอบแสดงความ คิดเห็นเป็นคู่ ๆ โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนใช้เวลาเท่า ๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น กลุ่ม มีสมาชิก 4 คน แบ่งเป็น 2 คู่ คู่หนึ่งประกอบด้วยสมาชิกคนที่ 1 และคนที่ 2 แต่ละคู่จะพูด พร้อมๆ กันไป โดย 1 พูด 2 ฟัง ในเวลาที่กาหนด จากนั้น 2 พูด 1 ฟัง ในเวลาที่กาหนด เช่นกัน 2.2 การเขียนเป็นคู่ (Rally Table) เป็นเทคนิคคล้ายกับการพูดเป็นคู่ ทุกประการต่างกัน เพียงการเขียนเป็นคู่ เป็นการร่วมมือเป็นคู่ ๆ โดยผลัดกันเขียน หรือวาด (ใช้อุปกรณ์ กระดาษ 2 แผ่นและปากกา 2 ด้ามต่อกลุ่ม) 2.3 การพูดรอบวง (Round Robin) เป็นเทคนิคที่สมาชิกของกลุ่มผลัดกันพูด ตอบ เล่า อธิบาย โดยไม่ใช้การเขียน การวาด และเป็นการพูดที่ผลัดกันทีละคนตามเวลาที่กาหนด จนครบ 4 คน 2.4 การเขียนรอบวง (Roundtable) เป็นเทคนิคที่เหมือนกับการพูดรอบวง แตกต่างกันที่ เน้นการเขียน การวาด (ใช้อุปกรณ์ กระดาษ 1 แผ่น และปากกา 1 ด้ามต่อกลุ่ม) วิธีการคือ ผลัดกันเขียนลงในกระดาษที่เตรียมไว้ทีละคนตามเวลาที่กาหนด เทคนิคนี้อาจดัดแปลงให้สมาชิกทุกคนเขียนคาตอบ หรือบันทึกผลการคิดพร้อม ๆ กันทั้ง 4 คน ต่างคนต่างเขียนในเวลาที่กาหนด (ใช้อุปกรณ์ : กระดาษ 4 แผ่น และปากกา 4 ด้าม) เรียก เทคนิคนี้ว่าการเขียนพร้อมกันรอบวง (Simultaneous Roundtable) 2.5 การแก้ปัญหาด้วยการต่อภาพ (Jigsaw Problem Solving) เป็นเทคนิคที่สมาชิกแต่ละคน คิดคาตอบของตนเองไว้จากนั้นกลุ่มนาคาตอบของทุก ๆ คนมาร่วมกันอภิปราย เพื่อหาคาตอบที่ดีที่สุด 2.6 คิดเดี่ยว คิดคู่ ร่วมกันคิด (Think Pair Share) เป็นเทคนิคโดยเริ่มจากปัญหาหรือ โจทย์คาถาม โดยสมาชิกแต่ละคนคิดหาคาตอบด้วยตนเองก่อน แล้วนาคาตอบไปอภิปรายกับเพื่อน เป็นคู่ จากนั้นจึงนาคาตอบของแต่ละคู่มาอภิปรายพร้อมกัน 4 คน เมื่อมั่นใจว่าคาตอบของตน ถูกต้องหรือดีที่สุด จึงนาคาตอบเล่าให้เพื่อนฟัง 2.7 อภิปรายเป็นคู่ (Pair Discussion) เป็นเทคนิคที่เมื่อครูถามคาถาม หรือกาหนดโจทย์แล้ว ให้สมาชิกที่นั่งใกล้กันร่วมกันคิด และอภิปรายเป็นคู่
  • 22.
    ห น้ า| 21 2.8 อภิปรายเป็นทีม (Team Discussion) เป็นเทคนิคที่เมื่อครูตั้งคาถามแล้ว ให้สมาชิก ของกลุ่มทุก ๆ คน ร่วมกันคิด พูด อภิปรายพร้อมกัน 2.9 ทาเป็นกลุ่ม ทาเป็นคู่ และทาคนเดียว (Team - pair - Solo) เป็นเทคนิคที่เมื่อครูกาหนด ปัญหา หรือโจทย์ หรืองานให้ทา แล้วสมาชิกจะทางานร่วมกันทั้งกลุ่มจนงานแล้วเสร็จ จากนั้นจะ แบ่งสมาชิกเป็นคู่ให้ทางานร่วมกันเป็นคู่จนงานสาเร็จแล้วถึงขั้นสุดท้าย ให้สมาชิกแต่ละคนทางานคน เดียวจนสาเร็จ การเรียนแบบร่วมมือกาลังได้รับความสนใจในหมู่นักการศึกษา ครู อาจารย์ ในปัจจุบันเป็น อย่างยิ่ง การเรียนแบบร่วมมือมีทั้งเทคนิคที่นามาใช้ได้โดยตรงโดยไม่ต้องปรับและเทคนิคที่ต้องปรับ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเนื้อหาวิชา อย่างไรก็ตาม การเรียนแบบร่วมมือก็นับเป็นวิธีการสอน อย่างหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเองได้เป็นอย่างดี 2.๑.๙ รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไสว ฟักขาว ( 2544 : 195 - 217) กล่าวถึง รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือที่นิยมใช้ใน ปัจจุบัน มี 7 รูปแบบ ดังนี้ 1. รูปแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ ผู้เสนอวิธีการนี้คนแรก คือ อา รอนสันและคณะ (Aronson and Others, 1978 : 22 - 25) ต่อมามีการปรับและเพิ่มเติมขั้นตอน แต่วิธีการหลักยังคงเดิม การสอนแบบนี้นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วนหนึ่งหรือหัวข้อย่อย ของ เนื้อหาทั้งหมด โดยการศึกษาเรื่องนั้น ๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้ ในตอนที่ศึกษาหัวข้อ ย่อยนั้น นักเรียนจะทางานเป็นกลุ่มกับเพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกัน และ เตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง Jigsaw มีองค์ประกอบ ที่สาคัญ 3 ส่วน คือ 1) การเตรียมสื่อการเรียนการสอน (Preparation of Materials) ครูสร้างใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญ แต่ละคนของกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบย่อยในแต่ละหน่วยการเรียน แต่ถ้ามีหนังสือเรียนอยู่แล้วยิ่งทา ให้ง่ายขึ้นได้ โดยแบ่งเนื้อหาในแต่ละหัวข้อเรื่องที่จะสอนเพื่อทาใบงานสาหรับผู้เชี่ยวชาญ ในใบงานควร บอกว่านักเรียนต้องทาอะไร เช่น ให้อ่านหนังสือหน้าอะไร อ่านหัวข้ออะไร จากหนังสือหน้าไหนถึงหน้า ไหน หรือให้ดูวีดีทัศน์ หรือให้ลงมือปฏิบัติการทดลองพร้อมกับคาถามให้ตอบตอนท้ายของกิจกรรมที่ทา ด้วย 2) การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Teams And Expert Groups) ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ (Home Groups) แต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องตามใบ งานที่ครูสร้างขึ้น ครูแจกใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนในกลุ่ม และให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนศึกษาใบ งานของตนก่อนที่จะแยกไปตามกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) เพื่อทางานตามใบงานนั้น ๆ เมื่อนักเรียนพร้อมที่จะทากิจกรรม ครูแยกกลุ่มนักเรียนใหม่ตามใบงาน กิจกรรมในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่ ละกลุ่มอาจแตกต่างกัน ครูพยายามกระตุ้นให้นักเรียนศึกษาหัวข้อตามใบงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นใบ งานที่ครูสร้างขึ้นจึงมีความสาคัญมาก เพราะในใบงานจะนาเสนอด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่ง ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มอาจจะลงมือปฏิบัติการทดลองศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับมอบหมาย พร้อมกับ เตรียมการนาเสนอสิ่งนั้นอย่างสั้น ๆ เพื่อว่าเขาจะได้นากลับไปสอนสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษา ในหัวข้อดังกล่าว
  • 23.
    ห น้ า| 22 3) การรายงานและการทดสอบย่อย (Reports And Quizzes) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ แต่ละกลุ่มทางานเสร็จแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนก็จะกลับไปยังกลุ่มเดิมของตัวเอง (Home Group) แล้วสอนเรื่องที่ตัวเองทาให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มครู กระตุ้นให้นักเรียนใช้วิธีการต่าง ๆ ในการ นาเสนอสิ่งที่จะสอน นักเรียนอาจใช้วิธีการสาธิต อ่านรายงาน ใช้คอมพิวเตอร์ รูปถ่าย ไดอะแกรม แผนภูมิหรือภาพวาดในการนาเสนอความคิดเห็น ครูกระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มได้มีการอภิปรายและ ซักถามปัญหาต่าง ๆ โดยที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้แต่ละเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ละคนนาเสน อเมื่อผู้เชี่ยวชาญได้รายงานผลงานกับกลุ่มของตัวเองแล้ว ควรมีการอภิปราย ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนได้ศึกษา หลังจากนั้นครูก็ทาการทดสอบย่อย เกณฑ์การประเมินการให้คะแนน เหมือนกับวิธีการของ STAD วิธีการของ Jigsaw จะดีกว่า STAD ตรงที่ว่า เป็นการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนมีความรับผิดชอบ ในการเรียนมากขึ้น และนักเรียนยังรับผิดชอบกับการสอนสมาชิกคนอื่น ๆ ของกลุ่มอีกด้วย นักเรียนไม่ ว่าจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนจะต้องรับผิดชอบเหมือน ๆ กัน ถึงแม้ว่าความลึกความกว้างหรือ คุณภาพของรายงานจะแตกต่างกันก็ตาม ขั้นตอนการสอนแบบ Jigsaw มีดังนี้ ขั้นที่ 1 : ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยเท่าจานวนสมาชิกของแต่ละ กลุ่ม ถ้ากลุ่ม ขนาด 3 คน ให้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน ขั้นที่ 2 : จัดกลุ่มนักเรียนให้มีสมาชิกที่มีความสามารถคละกัน เป็นกลุ่มพื้นฐานหรือ Home Groups จานวนสมาชิกในกลุ่มอาจเป็น 3 หรือ 4 คนก็ได้ จากนั้นแจกเอกสารหรืออุปกรณ์การสอน ให้กลุ่มละ 1 ชุด หรือให้คนละชุดก็ได้กาหนดให้สมาชิกแต่ละคนรับผิดชอบอ่านเอกสารเพียง 1 ส่วน ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น หากแต่ละกลุ่มได้รับเอกสารเพียงชุดเดียว ให้นักเรียนแยกเอกสารออกเป็นส่วน ๆ ตามหัวข้อย่อยดังนี้ ในแต่ละกลุ่ม นักเรียนคนที่ 1 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 1 นักเรียนคนที่ 2 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2 นักเรียนคนที่ 3 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 3 ขั้นที่ 3 : เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) นักเรียนจะแยกย้ายจาก กลุ่มพื้นฐาน ไปจับกลุ่มใหม่เพื่อทาการศึกษาเอกสารส่วนที่ได้รับมอบหมาย โดยคนที่ได้รับมอบหมาย ให้ศึกษาเอกสารหัวข้อย่อยเดียวกัน จะไปนั่งเป็นกลุ่มด้วยกัน กลุ่มละ 3 หรือ 4 คน แล้วแต่จานวน สมาชิกของกลุ่มที่ครูกาหนดในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกจะอ่านเอกสาร สรุปเนื้อหาสาระ จัดลาดับ ขั้นตอน การนาเสนอ เพื่อเตรียมทุกคนให้พร้อมที่จะไปสอนหัวข้อนั้น ที่กลุ่มเดิมของตนเอง ขั้นที่ 4 : นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับกลุ่มเดิมของตน แล้วผลัดเปลี่ยนเวียนกัน อธิบายให้เพื่อนในกลุ่มฟังทีละหัวข้อ มีการซักถามข้อสงสัย ตอบปัญหา ทบทวนให้เข้าใจชัดเจน ขั้นที่ 5 : นักเรียนแต่ละคนทาแบบทดสอบเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมดทุกหัวข้อ แล้วนาคะแนนของ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม ขั้นที่ 6 : กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้รับรางวัล หรือการชมเชยการสอนแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาจนาไปใช้ในการทบทวนเนื้อหาที่มีหลาย ๆ หัวข้อหรือใช้กับบทเรียนที่เนื้อหาแบ่งแยก เป็นส่วน ๆ ได้ และเป็นเนื้อหาที่นักเรียนศึกษาจากเอกสารและสื่อการสอนได้ 2. รูปแบบ STAD (Student Teams – Achievement Division) (8. : 208-211)
  • 24.
    ห น้ า| 23 สลาวิน (Slavin : 1980) ได้เสนอรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีม (Student Teams Learning Method) ซึ่งมี 4 รูปแบบ คือ student Teams – Achievement Divisions (STAD) และ Teams – Games – Toumaments (TGT) ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถปรับใช้กับทุกวิชาและระดับชั้น Team Assisted Individualization (TAI) เป็นรูปแบบที่เหมาะกับการสอนวิชาคณิตศาสตร์ และ Cooperative Integrated Reading and Composition (CIRC) ซึ่งเป็นรูปแบบในการสอนอ่าน และการเขียน หลักการพื้นฐานของรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีมของสลาวิน ประกอบด้วย 1 .การให้รางวัลเป็นทีม (Team Rewards) ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในการวางเงื่อนไขให้นักเรียน พึ่งพากัน จัดว่าเป็น Positive Interdependence 2. การจัดสภาพการณ์ให้เกิดความรับผิดชอบในส่วนบุคคลที่จะเรียนรู้ (Individual Accountability) ความสาเร็จของทีมหรือกลุ่ม อยู่ที่การเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละคนในทีม 3. การจัดให้มีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะประสบความสาเร็จ (Equal Opportunities For Success) นักเรียนมีส่วนช่วยให้ทีมประสบความสาเร็จด้วยการพยายามทาผลงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมในรูป ของคะแนนปรับปรุง ดังนั้น แม้แต่คนที่เรียนอ่อนก็สามารถมีส่วนช่วยทีมได้ ด้วยการพยายามทา คะแนนให้ดีกว่าครั้งก่อน ๆ นักเรียนทั้งเก่ง ปานกลาง และอ่อน ต่างได้รับการส่งเสริมให้ตั้งใจเรียนให้ ดีที่สุด ผลงานของทุกคนในทีมมีค่าภายใต้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนแบบนี้ สาหรับรูปแบบ STAD เป็นรูปแบบหนึ่งที่ สลาวิน (Slavin) ได้เสนอไว้ เมื่อปี ค.ศ. 1980 นั้น มีองค์ประกอบที่สาคัญ 5 ประการ คือ 1. การนาเสนอสิ่งที่ต้องเรียน (Class Presentation) ครูเป็นผู้นาเสนอสิ่งที่นักเรียนต้องเรียน ไม่ว่าจะ เป็นมโนมติ ทักษะและ/หรือกระบวนการ การนาเสนอสิ่งที่ต้องเรียนนี้อาจใช้การบรรยาย การสาธิต ประกอบการบรรยาย การใช้วีดีทัศน์หรือแม้แต่การให้นักเรียนลงมือปฏิบัติการทดลองตามหนังสือเรียน 2. การทางานเป็นกลุ่ม (Teams) ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มจะประกอบด้วย นักเรียนประมาณ 4 – 5 คน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย และมีหลาย เชื้อชาติ ครูต้องชี้แจงให้นักเรียนในกลุ่มได้ทราบถึงหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มว่านักเรียนต้องช่วยเหลือ กัน เรียนร่วมกัน อภิปรายปัญหาร่วมกัน ตรวจสอบคาตอบของงานที่ได้รับมอบหมายและแก้ไข คาตอบร่วมกัน สมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องทางานให้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ให้กาลังใจและทางาน ร่วมกันได้ 3. การทดสอบย่อย (Quizzes) หลังจากที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทางานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครูก็ทาการ ทดสอบย่อยนักเรียน โดยนักเรียนต่างคนต่างทา เพื่อเป็นการประเมินความรู้ที่นักเรียนได้เรียนมา สิ่งนี้ จะเป็นตัวกระตุ้นความรับผิดชอบของนักเรียน 4. คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคน (Individual Improvement Score) คะแนน พัฒนาการของนักเรียนจะเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนทางานหนักขึ้น ในการทดสอบแต่ละครั้งครูจะมี คะแนนฐาน (Base Score) ซึ่งเป็นคะแนนต่าสุดของนักเรียนในการทดสอบย่อยแต่ละครั้ง ซึ่งคะแนน พัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนได้จากความแตกต่างระหว่างคะแนนพื้นฐาน (คะแนนต่าสุดในการ ทดสอบ) กับคะแนนที่นักเรียนสอบได้ในการทดสอบย่อยนั้น ๆ ส่วนคะแนนของกลุ่ม (Team Score) ได้จากการรวมคะแนนพัฒนาการของนักเรียนทุกคนในกลุ่มเข้าด้วยกัน
  • 25.
    ห น้ า| 24 5. การรับรองผลงานของกลุ่ม (Team Recognition) โดยการประกาศคะแนน ของกลุ่มแต่ละ กลุ่มให้ทราบ พร้อมกับให้คาชมเชย หรือให้ประกาศนียบัตรหรือให้รางวัลกับกลุ่มที่มีคะแนน พัฒนาการของกลุ่มสูงสุด โปรดจาไว้ว่า คะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนมีความสาคัญเท่า เทียมกับคะแนนที่นักเรียนแต่ละคนได้รับจากการทดสอบ สาหรับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นดังนี้ ขั้นที่ 1 : ขั้นสอน ครูดาเนินการสอนเนื้อหา ทักษะหรือวิธีการเกี่ยวกับบทเรียนนั้น ๆ อาจเป็น กิจกรรมที่ครูบรรยาย สาธิต ใช้สื่อประกอบการสอน หรือให้นักเรียนทากิจกรรม ขั้นที่ 2 : ขั้นทบทวนความรู้เป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิก 4 – 5 คน ที่มี ความสามารถทางการเรียนต่างกัน สมาชิกในกลุ่มต้องมีความเข้าใจกัน สมาชิกทุกคนจะต้องทางาน ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือกันและกันในการศึกษาเอกสารและทบทวนความรู้เพื่อเตรียมพร้อมสาหรับการ สอบย่อย ครูเน้นให้นักเรียนทาดังนี้ ขั้นที่ 3 : ขั้นทดสอบย่อย ครูจัดให้นักเรียนทาแบบทดสอบย่อย หลังจากนักเรียน เรียนและ ทบทวนเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่กาหนด นักเรียนทาแบบทดสอบคนเดียว ขั้นที่ 4 : ขั้นหาคะแนนพัฒนาการ คะแนนพัฒนาการเป็นคะแนนที่ได้จากการพิจารณาความ แตกต่างระหว่างคะแนนการทดสอบครั้งก่อน ๆ กับคะแนนการทดสอบครั้งปัจจุบัน ซึ่งมีเกณฑ์การให้ คะแนนกาหนดไว้ ดังนั้น จะต้องมีการกาหนดคะแนนฐานของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งอาจได้จากค่าเฉลี่ย ของคะแนนทดสอบ 3 ครั้งก่อน หรืออาจใช้คะแนนทดสอบครั้งก่อนหากเป็นการหาคะแนนปรับปรุง โดยใช้รูปแบบการสอน STAD เป็นครั้งแรก ขั้นที่ 5 : ขั้นให้รางวัลกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนพัฒนาการตามเกณฑ์ที่กาหนดจะ ได้รับคาชมเชยหรือ ติดประกาศที่บอร์ดในห้องเรียน การจัดกิจกรรมรูปแบบ STAD อาจนาไปใช้กับบทเรียนใด ๆ ก็ได้ เนื่องจากขั้นแรกเป็นการสอน ที่ครูดาเนินการตามปกติ แล้วจึงจัดให้มีการทบทวนเป็นกลุ่ม 3. รูปแบบ LT (Learning Together) รูปแบบ LT (Learning Together) นี้ จอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson and Johnson) เป็นผู้เสนอในปี ค.ศ. 1975 ต่อมาในปี ค.ศ. 1984 เขาเรียกรูปแบบนี้ว่า วงกลมการเรียนรู้ (Circles of Learning) รูปแบบนี้มีการกาหนดสถานการณ์ และเงื่อนไขให้นักเรียนทาผลงานเป็นกลุ่ม ให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร การ แบ่งงานที่เหมาะสม และการให้รางวัลกลุ่ม ซึ่งจอห์นสันและจอห์นสันได้เสนอหลักการจัดกิจกรรมการ เรียนแบบร่วมมือไว้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือตามรูปแบบ LT จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้ 1.สร้างความรู้สึกพึ่งพากัน (Positive Interdependence) ให้เกิดขึ้นในกลุ่มนักเรียน ซึ่งอาจ ทาได้หลายวิธี 2.จัดให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน (Face – To – Face Interaction) ให้นักเรียนทางาน ด้วยกันภายใต้บรรยากาศของความช่วยเหลือและส่งเสริมกัน 3.จัดให้มีความรับผิดชอบในส่วนบุคคลที่จะเรียนรู้ (Individual Accountability) เป็นการ ทาให้นักเรียนแต่ละคนตั้งใจเรียนและช่วยกันทางาน ไม่กินแรงเพื่อน
  • 26.
    ห น้ า| 25 4.ให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะสังคม(Social Skills) การทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี นักเรียน ต้องมีทักษะทางสังคมที่จาเป็น ได้แก่ ความเป็นผู้นา การตัดสินใจ การสร้าง ความไว้ใจ การ สื่อสาร และทักษะการจัดการกับข้อขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ 5.จัดให้มีกระบวนการกลุ่ม (Group Processing) เป็นการเปิดโอกาสให้ นักเรียนประเมิน การทางานของสมาชิกในกลุ่ม ให้กาลังใจซึ่งกันและกัน และหาทางปรับปรุงการทางานกลุ่มให้ดีขึ้น จากหลักการดังกล่าวทาให้ได้รูปแบบการเรียนรู้ร่วมกัน หรือ Learning Together ที่นักเรียนทางานเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม ในขณะทางานนักเรียนช่วยกันคิดและช่วยกันตอบ คาถาม พยายามทาให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมและทุกคนเข้าใจที่มาของคาตอบ ให้นักเรียนขอความ ช่วยเหลือจากเพื่อนก่อนที่จะถามครู และครูชมเชยหรือให้รางวัลกลุ่มตามผลงานของกลุ่มเป็นหลัก ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนแบบ LT 1.ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาเดิม หรือความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้อง 2.ครูแจกแบบฝึกหรืองานให้ทุกกลุ่ม กลุ่มละ 1 ชุดเหมือนเดิม นักเรียนช่วยทางานโดยแบ่ง หน้าที่แต่ละคน เช่น นักเรียนคนที่ 1 อ่านคาแนะนา คาสั่งหรือโจทย์ในการดาเนินงาน นักเรียนคนที่ 2 ฟังขั้นตอนและรวบรวมข้อมูล นักเรียนคนที่ 3 อ่านสิ่งที่โจทย์ต้องการทราบแล้วหาคาตอบ นักเรียนคนที่ 4 ตรวจคาตอบ เมื่อนักเรียนทาแต่ละข้อหรือแต่ละส่วนเสร็จแล้ว ให้นักเรียนหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่ กันในการทาโจทย์ ข้อถัดไปทุกครั้งจนเสร็จแบบฝึกทั้งหมด 3.แต่ละกลุ่มส่งกระดาษคาตอบหรือผลงานเพียงชุดเดียว ถือว่าเป็นผลงานที่ สมาชิกทุคน ยอมรับ และเข้าใจแบบฝึกหรือการทางานชิ้นนี้แล้ว 4.ตรวจคาตอบหือผลงานให้คะแนนด้วยกลุ่มเองหรือครูก็ได้ กลุ่มที่ได้คะแนน สูงสุดจะได้ รางวัลหรือติดประกาศไว้ในบอร์ด 4. รูปแบบ TAI (Team Assisted Individualization) TAI (Team Assisted Individualization) คือ วิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือ ทากิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนและส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มี การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 1.จัดนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 – 5 คน ประกอบด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน 2.ทดสอบจัดระดับ (Placement Test) ตามคะแนนที่ได้ 3.นักเรียนศึกษาเอกสารแนะนาบทเรียน ทากิจกรรมจากสื่อที่ได้รับ จบแล้วส่งให้เพื่อนในกลุ่ม 4.เมื่อนักเรียนทาแบบฝึกหัดทักษะในสื่อที่ได้เรียนจบแล้ว 5.รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments) การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ ตามรูปแบบ TGT เป็นการเรียนแบบร่วมมือ กันแข่งขันทากิจกรรม โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมดังนี้
  • 27.
    ห น้ า| 26 ขั้นที่ 1 : ครูทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้วครั้งก่อน ด้วยการซักถามและอธิบาย ตอบข้อ สงสัยของนักเรียน ขั้นที่ 2 : จัดกลุ่มแบบคละกัน (Home Team) กลุ่ม 3 – 4 คน ขั้นที่ 3 : แต่ละทีมศึกษาหัวข้อที่เรียนในวันนี้จากแบบฝึก นักเรียนแต่ละคนทาหน้าที่และปฏิบัติตามกติกาของ Cooperative Learning เช่น เป็นผู้ จดบันทึก ผู้คานวณ ผู้สนับสนุนเมื่อสมาชิกทุกคน เข้าใจและสามารถทา แบบฝึกหัดได้ ถูกต้องทุกข้อ ทีมจะเริ่มทาการแข่งขันตอบปัญหา ขั้นที่ 4 : การแข่งขันตอบปัญหา (Academic Games Tournament) ขั้นที่ 5 : นักเรียนกลับมาสู่เดิม (Home Team) รวมแต้มโบนัสของทุกคน ทีมใดที มีแต้ม โบนัสสูงสุด จะให้รางวัลหรือติดประกาศไว้ในมุมข่าวของห้อง 6.รูปแบบ GI (Group Investigation) GI (Group Investigation) พัฒนาโดย Sharan และคณะ เป็นรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือที่มีความซับซ้อนและกว้างมาก ปรัชญาของรูปแบบ GI ก็ คือ ต้องการปลูกฝังการร่วมมือกันอย่างมีประชาธิปไตย มีการกระจายภาระงานและสิทธิในการแสดง ความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม GI มีการกระตุ้นบทบาทที่แตกต่างกันทั้งภายในกลุ่มและ ระหว่างกลุ่ม แนวคิดในการจัดการเรียนการสอน 1.นักเรียนแต่ละคนจะได้แสดงความสามารถของตน ในการแสวงหาความรู้ 2.นักเรียนแต่ละคน ต้องถ่ายทอดความรู้หรือวิธีการทางานให้เพื่อนนักเรียนเข้าใจด้วย 3.ทุกคนต้องร่วมแสดงความคิดเห็นอภิปรายซักถามจนเข้าใจในทุกเรื่อง (หรือทุกงาน) 4.ทุกคนต้องร่วมมือกันสรุปความเข้าใจที่ได้ (สูตรหรือความสัมพันธ์หรือผลงาน) นาส่ง อาจารย์เพียง 1 ฉบับเท่านั้น 5.เหมาะกับการสอนความรู้ที่สามารถแยกเป็นอิสระได้เป็นส่วน ๆ หรือแยกทาได้หลายวิธี หรือการทบทวนเรื่องใดที่แบ่งเป็นเรื่องย่อย ๆ ได้ หรือการทางานที่แยกออกเป็นชิ้น ๆ ได้ GI มีองค์ประกอบอยู่ด้วยกัน 6 ประการ คือ 1.การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา (Topic Selection) นักเรียนเลือกหัวข้อที่ เฉพาะเจาะจง ของปัญหาที่เลือก แล้วกลุ่มจะแบ่งภาระงานออกเป็นงานย่อย ๆ ที่มีสมาชิก 2 – 5 คน ร่วมกัน ทางาน 2.การวางแผนร่วมมือกันในการทางาน (Cooperative Planning) ครูและนักเรียนวางแผน ร่วมกันในวิธีดาเนินการ ภาระงานที่ทา และเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อยตามปัญหาที่เลือก 3.การดาเนินงานตามแผนการที่วางไว้ (Implementation) นักเรียนดาเนินงานตามแผนการ ที่วางไว้ในขั้นที่ 2 กิจกรรมและทักษะต่าง ๆ ที่นักเรียนจะต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูลทั้งภายใน และภายนอกโรงเรียน ครูจะให้คาปรึกษากับกลุ่มพร้อมกับติดตามความก้าวหน้าในการทางานของ นักเรียนและช่วยเหลือนักเรียนเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ 4.การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทา (Analysis and Synthesis) นักเรียนวิเคราะห์และ ประเมินข้อมูลที่เขารวบรวมได้ในขั้นที่ 3 และวางแผนหรือลงข้อสรุปในรูปแบบที่น่าสนใจเพื่อนาเสนอ ต่อชั้นเรียน
  • 28.
    ห น้ า| 27 5.การนาเสนอผลงาน (Presentation of Final Report) กลุ่มนาเสนอผลงาน ตามหัวข้อ เรื่องที่เลือก ครูต้องพยายามให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมขณะที่มีการนาเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน เพื่อเป็นการขยายความคิดของตัวนักเรียนเองให้กว้างไกล โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่องที่กลุ่มไม่ได้ศึกษาครู จะทาหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในระหว่างการเสนผลงาน 6.การประเมินผล (Evaluation) ครูและนักเรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนาเสนอ พร้อมทั้ง แสดงความคิดเห็นที่มีต่อผลงานทุกชิ้น การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมินเป็นรายบุคคลและเป็น กลุ่ม GI เป็นการเรียนแบบร่วมมือที่มอบหมายความรับผิดชอบอย่างสูงให้กับนักเรียน ในการที่จะบ่งชี้ ว่าเรียนอะไรและเรียนอย่างไร ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และตีความหมายของสิ่งที่ศึกษา โดย เน้นการสื่อความหมายและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกันในการทางาน 7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) CIRC คือ โปรแกรม สาหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language arts) ใช้กับนักเรียนระดับ ประถมศึกษาตอนปลาย โดยเน้นที่หลักสูตรและวิธีการสอน ในการพยายามนาการเรียนรู้แบบร่วมมือ มาใช้ โปรแกรม CIRC พัฒนาขึ้นโดย Madden, Slavin และ Stevens ในปี 1986 นับว่าเป็น โปรแกรมที่ใหม่ที่สุดของวิธีการเรียนรู้เป็นทีม ซึ่งเป็นโปรแกรมการเรียนแบบร่วมมือที่น่าสนใจยิ่ง เนื่องจากเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นาการเรียนแบบร่วมมือมาใช้กับการอ่านและการเขียน โครงการ CIRC – Writing/Language Arts สาหรับการเขียน วิธีการที่ใช้ขึ้นอยู่กับรูปแบบ กระบวนการเขียน ซึ่งใช้รูปแบบทีมเหมือนกับโปรกรม CIRC สาหรับการอ่าน วิธีการนี้นักเรียน ทางานร่วมกันเพื่อวางแผน (plan) ร่างต้นฉบับ (draft) ทบทวนแก้ไข (revise) รวบรวมและลาดับ เรื่อง (edit) และพิมพ์หรือแสดงผลงาน (publish) เรื่องที่แต่งออกมา โดยครูเป็นผู้เสนอเนื้อหาเพียง เล็กน้อยเกี่ยวกับแนวทางเนื้อหา และกลวิธีของการเขียน CIRC สาหรับการอ่านและการเขียนนั้น โดยปกติแล้วจะใช้ควบคู่ไปด้วยกัน แต่กระนั้นก็สามารถใช้ โปรแกรมนี้แยกในการสอนอ่าน หรือสอนการเขียนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้โปรแกรมการเรียนแบบ ร่วมมือ มีลักษณะกิจกรรมโดยรวมดังนี้คือ 1.การสอนเริ่มต้นจากครูเสมอ (Teacher Instruction) 2.การฝึกปฏิบัติภายในทีม (Team Practice) นักเรียนทางานในกลุ่มซึ่งมีสมาชิก 4 – 5 คน โดยมีความสามารถแตกต่างกัน เรียนรู้กันจากที่ครูได้มอบหมายให้โดยการใช้ Worksheet หรือ อุปกรณ์การฝึกอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่เรียน นักเรียนจะได้ประเมินเพื่อนสมาชิกในกลุ่มซึ่งกันและกัน 3.นักเรียนได้ประเมินการเรียนรู้ของตนเอง (Individual Assessment) ในเรื่องของข้อความรู้ หรือทักษะที่เขาได้รับในบทเรียน 4.คะแนนจากการประเมินนักเรียนแต่ละคน จะรวมเป็นคะแนนของทีม (Team Recognition) ทีมใดที่ได้คะแนนถึงเกณฑ์ที่กาหนดไว้ จะได้รับใบประกาศนียบัตรหรือรางวัลอื่น ๆ การ สังเกตพฤติกรรมการร่วมมือในชั้นเรียน ารสังเกตเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่เปิดโอกาสให้ผู้ รวบรวมข้อมูลสัมผัสกับความเป็นจริงและสิ่งที่ต้องการจะรวบรวมด้วยตัวเอง ทาให้มีโอกาสที่จะ รวบรวมข้อมูลได้ตรงสภาพความเป็นจริงได้มากและสามารถที่จะรวบรวมรายละเอียดของข้อมูลในแนว
  • 29.
    ห น้ า| 28 ลึกได้ การสังเกตพฤติกรรมการร่วมมือในชั้นเรียนของนักเรียนโดยใช้วิธีการสังเกต จะช่วยให้ได้ รายละเอียดของพฤติกรรมที่แสดงถึงการร่วมมือของนักเรียนในชั้นเรียนได้ชัดเจนขึ้น การสังเกตเป็นวิธีการพื้นฐานที่จะได้ข้อมูลมาตามต้องการ ซึ่งการที่จะได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้นั้น ผู้ สังเกตต้องมีลักษณะดังนี้ 1. ความตั้งใจของผู้สังเกต (Attention) ในการสังเกตพฤติกรรมของสิ่งใด ผู้สังเกตต้องมีเป้าหมาย ที่จะสังเกตว่าศึกษาสิ่งใด ต้องสะกดใจอย่างแน่วแน่ในการสังเกตแต่สิ่งนั้น จิตใจไม่ไขว้เขวไปมา และ จะต้องสังเกตไปทีละอย่างอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ผู้สังเกตยังต้องขจัดปัญหาส่วนตัวหรือความลาเอียง ส่วนตัวของตนเองออกในระยะที่ทาการสังเกต เพื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นจริงหรือใกล้เคียงกับความเป็นจริง 2. ประสาทสัมผัส (Sensation) ทางด้านประสาทสัมผัสต้องแน่ใจว่าประสาท สัมผัสของผู้สังเกตจะต้องทางานปกติหรือสภาพร่างกายต้องปกติด้วย เพราะถ้าหากว่าสภาพร่างกาย ปกติแล้ว จะมีผลต่อประสาทสัมผัสอยู่ในสภาพดี และว่องไวต่อการสัมผัสสิ่งที่กาลังสังเกต 3. การรับรู้ (Perception) ในการสังเกตสิ่งที่กาลังศึกษา ผู้สังเกตจะต้องมีการรับรู้ที่ดี เมื่อรับรู้ มาแล้วสามารถแปลความหมายออกมาได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง หลักการสังเกต ผู้สังเกตที่ดี คือ ผู้ที่ทาการสังเกตแล้วได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งผู้ สังเกตจะเป็นผู้สังเกตที่ดีได้นั้นต้องมีหลักในการสังเกต ดังนี้ - กาหนดการสังเกตให้จากัดเฉพาะเป็นเรื่องๆไปไม่ใช่เห็นสิ่งใดมา กระทบแล้วรับไวหมด - สังเกตอย่างมีความมุ่งหมาย มิใช่ว่าสังเกตไปเรื่อย ๆ คือ ต้องมีจุดมุ่งหมายที่จะดู เมื่อพบเห็น แล้วแปลความหมายออกมาว่าคืออะไร - สังเกตด้วยความพินิจพิเคราะห์จนสามารถมองเห็นรายละเอียดของเรื่องนั้นได้อย่างลึกซึ้ง มิใช่ ว่ามองเห็นแต่ผิว หรือลักษณะของภายนอกเท่านั้น - เมื่อสังเกตแล้วต้องมีการบันทึกไว้เพื่อเตือนความจา จะได้ไม่หลงลืมรายละเอียดที่ได้สังเกตมา - ผู้สังเกตควรใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือเครื่องมือวัดอื่น ๆ ประกอบในการ สังเกตนี้ด้วยประเภทของการสังเกต การรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้วิจัยเข้าไปมี ส่วนร่วมอยู่ในกลุ่มที่ตนศึกษา และมีการทากิจกรรมร่วมกัน โดยผู้วิจัยเป็นสมาชิกผู้หนึ่งของกลุ่มหรือ สถานการณ์ที่ศึกษา เช่น เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนนั้น เมื่อต้องการศึกษาถึงชีวิตของคนในชุมชนนั้น ข้อดีคือ จะได้ข้อมูลที่แท้จริง จุดด้อยคือ อาจเกิดจากผู้สังเกต ซึ่งจะทาให้ข้อมูลที่ได้ขาดความ เที่ยงตรง 2. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non - participant Observation) หมายถึง การสังเกตที่ผู้วิจัย กระทาตนเป็นบุคคลภายนอก ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่กลุ่มกาลังทากันอยู่ การไม่เข้าไปมีส่วน ร่วมในความหมายนี้ หมายถึง ไม่เข้าไปร่วมในกิจกรรมของกลุ่มนั้นเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการไม่เข้าไป อยู่ในบริเวณสถานที่ด้วย มักใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการให้ผู้ถูกสังเกตรู้สึก รบกวนจากตัวผู้สังเกต ผู้สังเกต เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น 2.๒.1๐ ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ วันเพ็ญ จันเจริญ (2542 : 119) กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ มีดังนี้
  • 30.
    ห น้ า| 29 1.สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก เพราะทุก ๆ คนร่วมมือในการทางานกลุ่ม ทุก ๆ คน มีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน 2.สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูดแสดงออก แสดงความคิดเห็น ลงมือกระทาอย่างเท่าเทียม กัน 3.เสริมให้มีความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรียนไม่เก่ง ทาให้เด็กเก่งภาคภูมิใจ รู้จักสละเวลา ส่วนเด็กที่ไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งในน้าใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน 4.ร่วมกันคิดทุกคน ทาให้เกิดการระดมความคิด นาข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อ ประเมินคาตอบที่เหมาะสมที่สุด เป็นการส่งเสริมให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลให้มาก และวิเคราะห์และ ตัดสินใจเลือก 5.ส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เข้าใจกันและกัน อีกทั้งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการทางานเป็นกลุ่ม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ให้สูงขึ้น ๒.๒ การเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructionism) Constructionism เป็นทฤษฎีทางการศึกษาที่พัฒนาขึ้นโดย Professor Seymour Papert แห่ง M.I.T. (Massachusette Institute of Technology) ทฤษฎี Constructionism หรือทฤษฎีการ สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองซึ่ง ธรรมชาติของมนุษย์จะบริโภคข้อมูลผ่านสื่อต่างๆแล้วนามาใคร่ครวญและสื่อสารภายในตนเองจนเกิด ความเข้าใจและพัฒนาความคิดนั้นจนเป็นความรู้เมื่อแน่ใจในความรู้นั้นแล้วจึงถ่ายทอดต่อไปยังผู้อื่น เพื่อให้รับรู้ต่อไปดังรูปที่ 1 รูปที่ 1 ระดับความรู้ในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองของ Seymour Papert หลักการที่ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามหลักการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism คือการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองโดยให้ผู้เรียนประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย ตนเองหรือสร้างปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกการเรียนรู้จะได้ผลดีถ้าหากว่าผู้เรียนเข้าใจในตนเอง มองเห็นความสาคัญในสิ่งที่เรียนรู้และสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่า (รู้ว่า
  • 31.
    ห น้ า| 30 ตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้าง) และสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาและเมื่อพิจารณาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นใน การเรียนการสอนโดยปกติที่เกิดขึ้นในห้องเรียนนั้น ผู้สอนต้องยึดหลักการที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้โดยผู้สอนควรพยายามจัดบรรยากาศ การเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนด้วยตนเองโดยมีทางเลือกในการ เรียนรู้ที่หลากหลายและเรียนรู้อย่างมีความสุขสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่า ได้ส่วนผู้สอนเป็นผู้ช่วยเหลือและคอยอานวยความสะดวกโดยเน้นให้เห็นความสาคัญของการเรียนรู้ ร่วมกันทาให้ผู้เรียนเห็นว่า คนเป็นแหล่งความรู้อีกแหล่งหนึ่งที่สาคัญการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือการ รู้จักแสวงหาคาตอบจากแหล่งความรู้ต่างๆด้วยตนเองเป็นผลให้เกิดพฤติกรรมที่ฝังแน่นเมื่อผู้เรียน “เรียนรู้ว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไร(Learn how to Learn)” ด้วย (ศูนย์จัดการความรู้สานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 4, 2553) 2.๓. ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอน 2.๓.1 ความนมายของความพึงพอใจ การจัดการเรียนการสอนให้ประสบความสาเร็จนอกจากจะวัดลักษณะด้านพุทธิพิสัยของ นักเรียนแล้วผู้สอนจะต้องคานึงถึงผลทางด้านจิตพิสัยซึ่งเป็นความพึงพอใจของนักเรียนด้วยเพราะถ้า ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนแล้วย่อมส่งผลถึงประสิทธิภาพในการเรียนการสอนด้วยซึ่ง จากการศึกษาเกี่ยวกับความพึงพอใจนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ได้ ดังนี้ (วอลเลอร์สเตน (Wallerstein, 1971: 112) ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า “ความ พึงพอใจหมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับผลสาเร็จตามความมุ่งหมาย” (กู๊ด (Good, 1973: 518) ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า “ความพึงพอใจหมายถึง คุณภาพสภาพหรือระดับความพึงพอใจซึ่งเป็นผลจากความสนใจต่างๆและทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใด สิ่งหนึ่ง” (โวแมน (Wolman, 1973 : 217) ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า “ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกเมื่อได้รับผลสาเร็จตามความมุ่งหมายความต้องการหรือแรงจูงใจ” จากความหมาย ของความพึงพอใจข้างต้นสรุปได้ว่าความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกของบุคคลต่อผลของสิ่งเร้าต่างๆที่ บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้รับและอาจจะมีความรู้สึกหรือทัศนคติในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ดังนั้นความพึงพอใจ ต่อการเรียนการสอนจึงหมายถึงความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบและกิจกรรมการเรียนการสอนใน ด้านต่าง ๆ เช่นบรรยากาศการเรียนการสอนลักษณะของกิจกรรมวิธีการประเมินผลเป็นต้น 2.๓.2 บรรยากาศในการเรียนการสอนกับความพึงพอใจ
  • 32.
    ห น้ า| 31 การสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนซึ่งบรรยากาศที่ดี อาจส่งเสริมให้ผู้เรียนมีสุขภาพจิตที่ดีมีความพึงพอใจและตั้งใจที่จะเรียนบรรยากาศในการเรียนการสอน โดยเน้นชั้นเรียนเป็นตัวแปรที่สาคัญที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้การเรียนดีขึ้น [พิมพันธ์เดชะคุปต์ (2544: 257)] ได้ให้ความหมายความสาคัญของบรรยากาศในการเรียน การสอนไว้ 2 ประเภทคือ 1. บรรยากาศทางกายภาพคือการสร้างบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ดีในห้องเรียนมีผลต่อการเรียน การสอนและต่อเจตคติที่ดีของผู้เรียนซึ่งลักษณะของห้องเรียนที่มีบรรยากาศทางกายภาพเหมาะสมควร มีรูปแบบคือมีสีสันน่าดูและเหมาะสมสบายตาอากาศถ่ายเทได้ดีปราศจากเสียงรบกวนและมีขนาดกว้าง เพียงพอกับจานวนนักเรียน 2. บรรยากาศทางจิตใจคือการเรียนการสอนจะดำเนินอย่างมีชีวิตชีวาและราบรื่นนั้นผู้เรียนกับ ผู้เรียนและผู้สอนกับผู้เรียนต้องมีความสัมพันธ์และร่วมมือกันอย่างไม่มีความหวาดระแวงกันสิ่งดังกล่าว ครูผู้สอนต้องมีวิธีการเสริมแรงอย่างเช่นการเสริมแรงทางด้านภาษาและท่าทางคือการกล่าวชมดีดีมาก น่าสนใจถูกต้องควรปรับปรุงการตั้งใจฟังการปรบมือการใช้สายตาแสดงความสนใจความพึงพอใจและอีก อย่างหนึ่งคือการเสริมแรงด้วยการให้รางวัลและสัญลักษณ์ต่างๆคือการให้วัตถุสิ่งของการนาผลงานมา แสดงยกย่องและการใช้เครื่องหมายดีเด่น ดังนั้นผู้สอนจะต้องจัดหาสิ่งจูงใจต่างๆเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนให้ได้รับความพึง พอใจเช่นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่จะส่งผลให้บรรยากาศการเรียนการสอนไม่น่าเบื่อหน่ายเป็นต้น จะเห็นได้ว่าในการจัดการเรียนการสอนที่จะทาให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนจนทาให้ ประสิทธิภาพในการเรียนสูงขึ้นผู้สอนจะต้องคานึงถึงความต้องการของผู้เรียนด้านความรู้สึกทัศนคติที่ เป็นเรื่องของจิตใจควบคู่ไปด้วยในการวัดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนสามารถวัดได้หลายวิธีเช่น การสังเกตการสัมภาษณ์การใช้แบบสอบถามเป็นต้น สาหรับการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามใน การวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op)
  • 33.
    ห น้ า| 32 บทที่ 3 วิธีการดาเนินงานวิจัย งานวิจัยครั้งนี้ การจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาประสิทธิภาพ ของวิธีการสอนและความพึงพอใจในการใช้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ผู้วิจัยได้ดาเนินตามขั้นตอนดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.2 กาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4 การดาเนินการทดลองและเก็บรวมรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.1 ศึกษาข้อมูลหนังสือเอกสารวารสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับทฤษฏีความพึงพอใจ และการสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ 1.2 ศึกษาหลักสูตรวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นปีที่ ๑ และหนังสือคู่มือประกอบการเรียนเรื่องการบริหารงานคุณภาพ 1.3 ศึกษาข้อมูลหนังสือ, เว็บไซต์ เกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) 1.4 ศึกษาหลักการและวิธีการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนโดยใช้การ สอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) 3.2 การกานนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนแผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่าง นครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยได้เลือกแบบเจาะจงโดยเลือกนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จานวน 15 คน 3.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค กลุ่ม ร่วมมือ (Co – op Co - op) แบบสอบถามความพึงพอใจใจของผู้เรียนที่มีต่อวิธีการเรียนโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ใช้รางวัลคือ คะแนนการทางานกลุ่มเป็นตัวเสริมแรง ซึ่งมีขั้นตอนใน การสร้างดังนี้ 3.3.1 การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ มีจานวน ๑ แผนการเรียนรู้ เวลา 4 ชั่วโมง ประกอบด้วย
  • 34.
    ห น้ า| 33 แผนการจัดการเรียนรู้ที 4: เรื่องการสร้างแบบสอบถาม ซึ่งผู้วิจัยได้ ดาเนินตามขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ศึกษาหลักสูตร คาอธิบายรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเพื่อกาหนด จุดประสงค์การเรียนรู้และขอบข่ายเนื้อหา ขั้นที่ 2 ศึกษาขั้นตอนการจัดกิจกรรมตามรูปแบบกลุ่มร่วมมือ (โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ Co – op Co - op) ขั้นที่ 3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามขั้นตอนของรูปแบบกลุ่มร่วมมือ (Cooperative Learning) โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ขั้นที่ 4 นาแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างเสร็จแล้วไปนาเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน เพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาและกิจกรรม ขั้นที่ 5 เมื่อปรับแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว จึงนาไปใช้งานจริงนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที 3 วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 3.3.2 แบบทดสอบสานรับนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบเพื่อหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาหรับกลุ่มตัวอย่างจากแบบทดสอบ เรื่อง การ สร้างแบบสอบถามโดยใช้เทคนิคทางการศึกษาคือ - แบบทดสอบก่อนเรียน เป็นข้อสอบแบบปรนัย จานวน 1๐ ข้อ แบบ 4 ตัวเลือก - แบบทดสอบหลังเรียน เป็นข้อสอบแบบปรนัย จานวน 1๐ ข้อ แบบ 4 ตัวเลือก 3.3.3 สร้างแบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้ เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ลักษณะของแบบวัดเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับจานวน ๑๒ ข้อใช้แบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating scale) โดยกาหนดค่าของคาตอบเป็น 5 ระดับ [Likert Scale] คือ เกณฑ์การใน้คะแนน ถ้าเลือกตอบพึงพอใจระดับมากที่สุด ให้ 5 คะแนน พึงพอใจระดับมาก ให้ 4 คะแนน พึงพอใจระดับปานกลาง ให้ 3 คะแนน พึงพอใจระดับน้อย ให้ 2 คะแนน พึงพอใจระดับน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การประเมินผล ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับน้อยที่สุด
  • 35.
    ห น้ า| 34 3.3.4 นาแบบวัดความพึงพอใจที่สร้างขึ้นใน้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ ตรวจสอบภาษาและความครอบคลุมในด้านต่างๆที่กาหนดไว้แล้วนาไปปรับปรุงแก้ไขตาม ข้อเสนอแนะให้เหมาะสมที่จะสามารถนาไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างได้ 3.4 การดาเนินการทดลองและเก็บรวมรวมข้อมูล งานวิจัยการจัดการเรียนการสอน โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามครั้งนี้ผู้วิจัยดาเนินการทดสองกับกลุ่ม ตัวอย่าง การทดลองใช้แบบแผนการทดลองกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Design) โดยแนะนากิจกรรมการเรียนให้กลุ่มตัวอย่างทราบ รายละเอียดที่สาคัญเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการทากิจกรรม ให้กลุ่มตัวอย่างทราบก่อน 3.4.1 แบบแผนการทดลอง การทดลองใช้แบบแผนการทดลอง กลุ่มทดสอบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Design) ตารางที่ ๒ แสดงการทดลองใช้แบบแผนการทดลอง กลุ่มทดสอบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน (One-Group Pretest-Posttest Design) สอบก่อนเรียน การจัดการกระทา สอบหลังเรียน T1 X T2 ความหมายของสัญลักษณ์ X แทน การจัดการกระทา (Treatment) เป็นช่วงการจัดการเรียนการสอน โดยใช้ เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การ บริหารงานคุณภาพและสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในการทางาน T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) วิธีการดาเนินการวิจัยมีราละเอียด ดังนี้ 1. ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) เมื่อกลุ่มตัวอย่างผ่านการแนะนาก่อนเข้าสู่บทเรียน แล้วผู้วิจัยจะ ให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนทาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) เพื่อให้ทราบว่ากลุ่มตัวอย่างก่อน เรียนมีความสามารถอยู่ในระดับใดและทาการเก็บผลคะแนนจากการทดสอบจากกลุ่มตัวอย่าง ไว้ 2. การจัดการกระทา (Treatment)ให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนทากิจกรรม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ซึ่งมีวิธีการดังนี้ 1. ขั้นการเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา (Topic selection) ผู้เรียนเลือกหัวข้อเรื่องที่ เฉพาะเจาะจงของปัญหาที่เลือก แล้วกลุ่มจะแบ่งภาระงานออกเป็นงานย่อย ๆ ที่มีสมาชิก 2-5 คน ร่วมกันทางาน
  • 36.
    ห น้ า| 35 2. ขั้นการวางแผนร่วมมือกันในการทางาน (Cooperative planning) ผู้สอนและผู้เรียน วางแผนร่วมกันในวิธีดาเนินงาน ภาระงานที่ทา และเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อยตาม ปัญหาที่เลือก 3. ขั้นการดาเนินงานตามแผนที่วางไว้ (Implementation) ผู้เรียนดาเนินงานตามแผนการที่ วางไว้ในขั้นที่ 2 กิจกรรมและทักษะต่าง ๆ ที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูล ทั้ง ภายในและภายนอกโรงเรียน ผู้สอนจะให้คาปรึกษากับทุกกลุ่มพร้อมกับติดตามความก้าวหน้า ในการทางานของผู้เรียน 4. ขั้นการวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทา (Analysis and synthesis) ผู้เรียนวิเคราะห์และ ประเมินข้อมูลที่ผู้เรียนรวบรวมมาได้ในขั้นที่ 2 และวางแผนหรือลงข้อสรุปในรูปแบบที่น่าสนใจ เพื่อนาเสนอต่อชั้นเรียน 5. ขั้นการนาเสนอผลงาน (Presentation of final report) กลุ่มนาเสนอผลงานตามหัวข้อ เรื่องที่เลือก ผู้สอนต้องพยายามให้ผู้เรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมขณะที่มีการนาเสนอผลงานหน้าชั้น เรียน เพื่อเป็นการขยายความคิดของตัวผู้เรียนเองให้กว้างไกล โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่องที่กลุ่ม ไม่ได้ศึกษา ผู้สอนจะทาหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในระหว่างการนาเสนอผลงาน 6. ขั้นการประเมินผล (Evaluation) ผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนาเสนอ พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นที่มีต่อผลงานทุกชิ้น การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมินผลเป็น รายบุคคลและเป็นกลุ่ม 3. ทดสอบนลังเรียน (Posttest) หลังจากที่กลุ่มตัวอย่างได้ทากิจกรรมโดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) เรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยจะให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนทาแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อให้ทราบว่ากลุ่มตัวอย่างเกิดความรู้หลังจากเรียนผ่านกิจกรรมการเรียน โดยใช้เทคนิค กลุ่ม ร่วมมือ (Co – op Co - op) เพิ่มขึ้นในระดับใดและทาการเก็บผลคะแนนจากการทดสอบจาก กลุ่มตัวอย่างไว้ 4. การประเมินความพึงพอใจ หลังจากที่กลุ่มตัวอย่างได้ทาแบทดสอบหลังเรียนเพื่อหาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่าง ทาแบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อโดย การเรียนการสอนใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) 3.5 การวิเคราะน์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะน์ข้อมูล หลังจากทาการเรียนการสอนใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ได้นาผลที่ได้จากการทา แบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน แบบประเมินความพึงพอใจโดยกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ตาม หลักสถิติ ดังนี้ 3.5.1 การวิเคราะน์ผลการประเมินความพึงพอใจ ใช้กรรมวิธีในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาค่าเฉลี่ยและการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยคานวณจากค่าการประเมินความพึงพอใจที่มีการเรียนการสอนใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) โดยกาหนดค่าของคาตอบเป็น 5 ระดับ [Likert Scale] คือ เกณฑ์การใน้คะแนน
  • 37.
    ห น้ า| 36 ถ้าเลือกตอบพึงพอใจระดับมากที่สุด ให้ 5 คะแนน พึงพอใจระดับมาก ให้ 4 คะแนน พึงพอใจระดับปานกลาง ให้ 3 คะแนน พึงพอใจระดับน้อย ให้ 2 คะแนน พึงพอใจระดับน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน นาคะแนนที่ได้มาเปรียบเทียบกับระดับค่าน้าหนักคะแนนดังต่อไปนี้ เกณฑ์การประเมินผล ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายความว่า มีพึงพอใจระดับน้อยที่สุด ค่าที่ยอมรับได้คือ 3.5 ขึ้นไป 3.1.1 การวิเคราะน์ผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มตัวอย่างที่ทาแบบทกสอบ ในระดับการให้คะแนนการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มตัวอย่าง โดยวิเคราะห์ค่านัยสาคัญไว้ที่ ระดับ 0.05 ซึ่งให้เปรียบเทียบค่าที่เปิดตารางค่าวิกฤติที่ t=1.725 ถ้าหากค่าt ที่หาได้นั้นมากกว่า t ที่ กาหนดไว้สรุปได้ว่ากลุ่มตัวอย่างเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1.2 สถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. วิธีการการวิเคราะน์ผลจากแบบประเมินความพึงพอใจ - วิธีการวิเคราะห์ผลโดยการคานวณหาค่าเฉลี่ยแบบแจกแจงความถี่ ของกลุ่ม ตัวอย่างตามหลักสถิติ ซึ่งอาศัยสูตรคานวณดังนี้ สูตร 𝒙 ̅ = ∑ 𝒇𝒙 ∑ 𝐟 เมื่อ 𝒙 ̅ = ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 𝒇 = ค่าความถี่ของแต่ละคะแนน 𝑥 = คะแนนที่ได้ของแต่ละกลุ่มตัวอย่าง - วิธีการการวิเคราะห์ผลโดยการคานวณหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของกลุ่มตัวอย่าง สูตร 𝒔 = √∑ 𝒇(𝒙−𝒙) ̅̅̅𝟐 𝒏 𝒊=𝒍 𝒏 เมื่อ 𝒔= ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑𝒏 𝒊=𝒍 = ผลรวมของข้อมูลตั้งแต่ 1 ถึง n 𝑥̅ = คะแนนที่ได้ของแต่ละกลุ่มของกลุ่มตัวอย่าง 𝑓 = ความถี่ของคะแนน
  • 38.
    ห น้ า| 37 𝑛 = จานวนผู้ทาแบบประเมิน 2. การนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง สูตร t –test แบบ Dependent นาผลต่างระหว่างการทดสอบหลังเรียนและก่อนเนียนไปเปรียบเทียบกับตาราง นัยสาคัญที่ระดับ 0.05 ด้วยการคานวณจากสูตรดังนี้ สูตร 𝑡 = ∑ 𝐷 √𝑛 ∑ 𝐷2−(∑ 𝐷) 2 𝑛−1 df(V) = N-1 เมื่อ T = ทดสอบความแตกต่างของข้อมูลก่อนเรียนและหลังเรียน D = ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ N = จานวนผู้เรียน
  • 39.
    ห น้ า| 38 บทที่ 4 ผลการดาเนินงานวิจัย จากการวิจัย เรื่องการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล เรื่อง การสร้างแบบสอบถาม เพื่อศึกษาประสิทธิภาพ ของวิธีการสอนและความพึงพอใจในการใช้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 เมื่อทาการทดลองเสร็จ กระบวนการแล้วได้ผลดังต่อไปนี้ 1.1ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง 1.2ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ที่ได้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้ เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา ความรู้เกี่ยวกับงานอาชีพ 1.3ผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง ที่มีต่อการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดย ใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา ความรู้เกี่ยวกับงานอาชีพ ๔.๑ ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ตารางที่ ๓ จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามเพศ น้องเรียน เพศชาย เพศนญิง จานวน (คน) ร้อยละ จานวน (คน) ร้อยละ ปวช. 3 ๗ 53.84 ๔ 30.76 รวม 13 ๑๐๐% จากตารางที่ ๓ พบว่า จานวนของกลุ่มตัวอย่าง ผู้ทาแบบทดสอบ มีจานวนทั้งหมด ๑3 คน โดย ประชากรส่วนใหญ่ในการศึกษาวิจัยเป็นเพศหญิง จานวน 8 คน (ร้อยละ 80) และเป็นเพศชาย จานวน ๒ คน (ร้อยละ 20) 4.1.1 ผลการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) จากการจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที 4 : เรื่องการสร้างแบบสอบถาม (ภาคผนวก ช) - ใบงานการปฏิบัติเรื่อง การสร้างแบบสอบถาม ๔.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) จากการให้กลุ่มตัวอย่างทากิจกรรมจากการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มีผลการเปรียบเทียบผลต่างที่ได้จาการทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับ
  • 40.
    ห น้ า| 39 ผลที่ได้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และได้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ค่าสถิติ t-Test: Paired Two Sample for Means ในการวิเคราะห์ปรากฏดังตารางที่ 4 ตารางที่ ๔ แสดงประสิทธิภาพทางด้านการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ผลการทดสอบ n df คะแนนเต็ม 𝑥̅ S.D ∑ 𝐷2 t Pre - test 10 9 10 3.50 1.80 335 *9.15 Post - test 10 9 10 9.00 0.67 * t ( 0.05,df=17,sig.(2-tailed) =.00) มีนัยสาคัญ 0.05 = 1.83 จากตารางที่ ๔ พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจาก การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้ เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ที่ได้สร้างขึ้น มีคะแนนเฉลี่ยนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เรียน 3.50 และหลังเรียน 9.00 ดังนั้นนักเรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 5.50 มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าค่าเฉลี่ย ก่อนได้รับการสอน แสดงให้เห็นว่าผลการเรียนรู้นี้นักเรียนมีการพัฒนสูงขึ้นในระดับที่รับได้ ๔.๓ ผลจากการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการเรียนการสอนแบบ กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) จากการทดลองโดยให้กลุ่มตัวอย่าง ทาแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนการสอนแบบ กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) สามารถสรุปผลการประเมินได้ดังนี้ ตารางที่ ๕ แสดงระดับค่าเฉลี่ย ( 𝒙 ̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ความพึงพอใจต่อการเรียนการ สอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ข้อ รายการประเมิน ผลการวิเคราะน์ 𝑥̅ S.D ความหมาย ด้านเนื้อนาการสอน 1 มีความน่าสนใจและมีความสาคัญ 4.92 0.28 มากที่สุด 2 ได้รับความรู้ใหม่ๆ 4.85 0.38 มากที่สุด ด้านเนื้อนาการสอน 3 มีความถูกต้อง และสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา 4.92 0.28 มากที่สุด 4 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ 4.69 0.48 มากที่สุด 5 สอดคล้องกับกิจกรรม การเรียนการสอน 4.85 0.38 มากที่สุด 6 ช่วยให้ผู้เรียนได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง 4.69 0.48 มากที่สุด 7 กระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิด 4.85 0.38 มากที่สุด
  • 41.
    ห น้ า| 40 ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 8 มีการจัดแบ่งนักเรียนโดยคละความสามารถและเพศอย่าง เหมาะสม 4.69 0.48 มากที่สุด 9 มีการชี้แจงกิจกรรมของการเรียนแบบร่วมมือให้นักเรียนเข้าใจ อย่างชัดเจน 4.77 0.44 มากที่สุด 10 ให้คาปรึกษา แนะนา อย่างทั่วถึง 4.77 0.44 มากที่สุด ๑๑ นักเรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน 4.85 0.38 มากที่สุด ๑๒ ส่งเสริมการทางานเป็นทีม 4.85 0.38 มากที่สุด รวม 4.80 0.39 มากที่สุด จากตารางที่ ๕ พบว่าผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบกลุ่ม ร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) โดยกลุ่มตัวอย่าง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.80 ระดับความพึงพอใจมากที่สุดได้แก่ มีความน่าสนใจและมีความสาคัญและมีความ ถูกต้อง และสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา มีค่าเฉลี่ย 4.92 ,ระดับความพึงพอใจรอง ลงมาคือ ได้รับความรู้ ใหม่ๆ, สอดคล้องกับกิจกรรม การเรียนการสอน, กระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิด, นักเรียนมีส่วนร่วมใน การกาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน, และส่งเสริมการทางานเป็นทีม มีค่าเฉลี่ย 4.85 และระดับความ พึงพอใจน้อยที่สุด คือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ และสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา, ช่วยให้ผู้เรียน ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและมีการจัดแบ่งนักเรียนโดยคละความสามารถและเพศอย่างเหมาะสม ค่าเฉลี่ย 4.69 แสดงดังรูปที่ 2 รูปที่ 2 กราฟแสดงความพึงพอใจของนักเรียนที่มีการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ โดยใช้เทคนิค (Co – op Co - op)
  • 42.
    ห น้ า| 41 บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผล จากการวิจัยการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) และได้นาเทคนิคการเรียนการสอนนี้ มาศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและประเมินความพึงพอใจ สามารถสรุปการศึกษาได้ดังนี้ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.2 อภิปรายผลการวิจัย 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.1.1 ผลจากการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ผลที่ได้คือ การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มี เนื้อหาและกิจกรรมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในด้านต่างๆ ของวิชาโปรแกรมการจัดการฐานข้อมูล วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา ที่มีการสอนผ่านเทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) มีแผนการ จัดการเรียนรู้ทั้งหมด 1 แผนการเรียนรู้ และใบงานการปฏิบัติ จานวน 1 ใบงาน แผนการจัดการเรียนรู้ที 4 : เรื่องการสร้างแบบสอบถาม (ภาคผนวก ช) ใบงานการปฏิบัติเรื่อง การสร้างแบบสอบถามเนื้อหาประกอบด้วย (สามารถดูได้ใน ภาคผนวก ช) นอกจากได้แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การสร้างแบบสอบถามแล้วยังมีเครื่องมือที่นามาใช้ใน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง คือแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน จานวน 10 ข้อและแบบประเมินความพึงพอใจสาหรับกลุ่มตัวอย่างในการหาความพึงพอใจต่อการใช้ กิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ 5.1.2 ผลของการนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ได้จากคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าหลังจากได้เรียนผ่านการเรียนการสอนแบบกลุ่ม ร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ทาให้คะแนนหลังเรียนมากกว่าคะแนนก่อนเรียน โดยมีค่า t – test เท่ากับ 9.15 เมื่อเทียบกับนัยสาคัญที่ 0.05 แล้ว กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ กลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ที่สร้างขึ้นก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจมาก ขึ้น ซึ่งแสดงว่ากลุ่มตัวอย่างเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจริง ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 5.1.3 ผลของการประเมินความพึงพอใจ จากกลุ่มตัวอย่างในการใช้การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ผลที่ได้คือ การประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเฉลี่ยเท่ากับ 0.39 เมื่อนามาเปรียบเทียบเกณฑ์ที่ได้กาหนด 3.5 พบว่า ผ่าน เกณฑ์ที่กาหนด
  • 43.
    ห น้ า| 42 5.2 อภิปรายผลการวิจัย ผลของการวิจัยการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในรายวิชา โปรแกรมการจัดการฐานข้อมูลเรื่อง การสร้างแบบสอบถามของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน การเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ในระดับมากและมีผ่าน เกณฑ์การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากที่ก่อนเรียนได้คะแนนน้อย เมื่อทาข้อสอบหลังเรียนก็ได้คะแนน เพิ่มมากขึ้น จากข้อค้นพบดังกล่าวอาจเนื่องมาจากกระบวนการเรียนรู้ด้วยการเรียนการสอนแบบกลุ่ม ร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) แตกต่างจากกระบวนการเรียนรู้แบบเดิมที่มี ลักษณะครูอ่านเนื้อหาและอธิบายให้นักเรียนฟังอย่างเดียวส่วนวิธีสอน เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) ไม่มีผู้สอนที่คอยป้อนความรู้ให้อย่างเดียวแต่นักเรียนเองจะต้องมีความรับผิดชอบและตั้งใจ ดังนั้นผู้เรียนจะต้องมีสานึกในเรื่องของความรับผิดชอบและการถูกตรวจสอบกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน มากกว่าครู โดยให้นักเรียนฝึกฝนการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันในกลุ่มเพื่อน โดยพยายามจัดให้เด็กที่มี ลักษณะเป็นผู้นา 1 คนกระจายอยู่ในแต่ละกลุ่ม เป็นต้น และพบว่านักเรียนมีแนวโน้มที่จะสร้าง แรงจูงใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกลุ่ม โดยนักเรียน แต่ละคนจะมีจุดแข็งหรือความรู้สึก ท้าทายเฉพาะตัว ซึ่งหากไม่มีสิ่งนี้จะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายของกลุ่มได้ ดังนั้นผู้วิจัยคิดว่าการศึกษาในอนาคตควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้และ เรียนรู้การเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ มากขึ้น ซึ่งกรับวนการต่างๆที่เกิดขึ้นก็จะช่วยส่งเสริมความรู้ความ เข้าใจและสามารถปฏิบัติกิจกรรมต่างๆตามที่กาหนดให้ได้ จากการวิจัยนี้เองจึงเป็นประโยชน์กับทาง ผู้วิจัยและผู้สอนท่านอื่นในการนาความรู้จากการวิจัยนี้ไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอนได้ 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้งาน 1. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมกลุ่ม ควรมีระยะเวลาที่ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป และควรระบุวันที่ส่ง ผลงงานให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการประเมินผล 2. การจัดการระบบการเรียนรู้แบบร่วมกลุ่มควรตกลงกับนักเรียนในการกระจายกลุ่มเด็กเก่ง และอ่อนปะปนกัน
  • 44.
    ห น้ า| 43 เอกสารอ้างอิง [1] ไมตรี ฉลาดธรรม, โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล, กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ ปีที่พิมพ์: 2556 [2] การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก www.api.ning.com/files [3] สุชิน เพ็ชรักษ์. รายงานการวิจัย เรื่อง การจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วย ปัญญาในประเทศไทย.พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2548 [4] การนาค่า t-test [2553]. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จากhttp://www.ksv.ac.th /tb/cai/excelExam/Pack8.htm
  • 45.
    ห น้ า| 44 ภาคผนวก
  • 46.
    ห น้ า| 45 ภาคผนวก ก. แผนภูมินน่วยการเรียน (Course Flow Chart)
  • 47.
    ห น้ า| 46 แผนภูมินน่วยการเรียน (Course Flow Chart) 1 • เริ่มบทเรียน 2 • แบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) 3 • แผนการเรียนรู้ที 4: การสร้างแบบสอบถาม (Query) 4 • แบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) 5 • จบบทเรียน
  • 48.
    ห น้ า| 47 ภาคผนวก ข. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องการสร้างแบบสอบถาม (Query)
  • 49.
    ห น้ า| 48 แผนการสอน/แผนจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 4 วิชา 2004-2008 โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล สัปดาห์ที่ 6-7 ชื่อหน่วย การสร้างและใช้งานแบบสอบถาม (Query) รวม 6 คาบ สาระสาคัญ แบบสอบถามหรือ คิวรี (Query) คือ เครื่องมือที่โปรแกรม Microsoft Access นามาใช้เพื่อสร้าง คาสั่งในการจัดการข้อมูล แทนการพิมพ์คาสั่งในภาษา SQL (Structure Query Language) และ สามารถนามาใช้งานในบางที่ไม่สามารถดาเนินการโดยใช้ตาราง (Table) ได้ หัวข้อการเรียนรู้ 1. ลักษณะงานของแบบสอบถาม 2. แบบสอบถามเลือก (Select Query) 3. แบบสอบถามแบบรับค่า (Parameter Query) 4. แบบสอบถามกระทาการ (Action Query) สมรรถนะอาชีพที่พึงประสงค์ สร้างและใช้งานแบบสอบถาม (Query) ในโปรแกรม Microsoft Access ได้ จุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์ทั่วไป เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับการใช้งานแบบสอบถาม (Query) ในโปรแกรม Microsoft Access จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. บอกลักษณะงานที่ต้องใช้แบบสอบถามได้ 2. สร้างและใช้งานแบบสอบถามเลือก (Select Query) ได้ 3. สร้างและใช้งานแบบสอบถามรับค่าข้อมูล (Parameter Query) ได้ 4. สร้างและใช้งานแบบสอบถามกระทาการ (Action Query) ได้ การบูรณาการตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1) ความพอประมาณ : ตรวจความพร้อมของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนเรียน และปิดเครื่อง เก็บเก้าอี้นั่งให้เรียบร้อยหลังเลิกเรียน เพื่อความเรียบร้อยและประหยัด 2) การมีเหตุผล : รับฟังความคิดเห็น และวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล 3) การมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง : ฝึกการค้นคว้าหาความรู้จากเพื่อน และระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อแก้ปัญหาในแบบฝึกปฏิบัติ และใบงาน สาระการเรียนรู้ 1. ลักษณะงานของแบบสอบถาม (Query)
  • 50.
    ห น้ า| 49 1.1 การแสดงข้อมูลจากตารางหลายตารางที่สัมพันธ์กัน 1.2 การแสดงข้อมูลตามเงื่อนไขที่กาหนด 1.3 การแสดงผลการคานวณของเขตข้อมูลหรือนิพจน์ 1.4 การสรุปผลข้อมูล 1.5 การกระทากับข้อมูลโดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่ต้องการ 2. แบบสอบถามเลือก (Select Query) 2.1 การสร้างแบบสอบถาม เพื่อแสดงข้อมูลในเขตข้อมูลเฉพาะที่ต้องการ 2.2 การการสร้างแบบสอบถาม เพื่อแสดงข้อมูลจากหลายตาราง 2.3 สร้างแบบสอบถาม เพื่อแสดงข้อมูลในลักษณะรวมข้อความหรือคานวณค่า 2.4 การสร้างแบบสอบถาม เพื่อแสดงข้อมูลตามเงื่อนไขที่กาหนด 1) การกาหนดเงื่อนไขแบบเจาะจง 2) การกาหนดเงื่อนไขแบบเปรียบเทียบค่า 2.5 การสร้างแบบสอบถาม เพื่อเรียงลาดับข้อมูล 2.6 การสร้างแบบสอบถาม เพื่อสรุปผล 3. แบบสอบถามแบบรับค่า (Parameter Query) 3.1 การพิมพ์แบบลาดับเลข 3.2 การเปลี่ยนรูปแบบจากลาดับเลขเป็นสัญลักษณ์ 4. แบบสอบถามกระทาการ (Action Query) 4.1 แบบ สร้างตารางใหม่ (Make Table Query) 4.2 แบบ ปรับปรุงข้อมูล (Update Query) 4.3 แบบ ผนวกข้อมูล (Append Query) 4.4 แบบ ลบข้อมูล (Delete Query) สื่อและแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือประกอบการเรียน วิชา โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล สานักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ 2. ใบงานและแบบฝึกหัด 3. เครื่องคอมพิวเตอร์ 4. เครื่องฉายภาพ Projector 5. ระบบอินเทอร์เน็ตภายในห้องเรียน 6. หนังสือและเอกสารความรู้ในห้องเรียน กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูอธิบายลักษณะและประโยชน์ของแบบสอบถาม (Query)
  • 51.
    ห น้ า| 50 2. ครูผู้สอนสาธิตวิธีสร้างแบบสอบถามแบบต่างๆ แล้วให้นักเรียนฝึกปฏิบัติตามทีละขั้นตอน 3. ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเองตามใบงาน โดยครูเป็นผู้ช่วยเหลือและให้คาแนะนา หลักฐานการเรียนรู้ 1. ข้อมูลการทากิจกรรมการเรียนรู้ 2. คะแนนที่ได้จากการทาใบงาน การประเมินผลการเรียนรู้ - สังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียน - ใช้คาถามตรวจสอบความรู้ - การทาใบงาน - การทากิจกรรมการเรียนรู้ท้ายบทเรียน กิจกรรมเสนอแนะ/งานที่มอบหมาย ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ท้ายบทเรียน เอกสารอ้างอิง หนังสือประกอบการเรียนวิชา โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล รหัส 2004-2008 เรียบเรียงโดย โกมล ศิริสมบูรณ์เวช สานักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ บันทึกหลังการเรียนรู้ 1 ข้อสรุปหลังการจัดการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ปัญหาและอุปสรรคที่พบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3.แนวทางพัฒนา/แก้ปัญหา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
  • 52.
    ห น้ า| 51 ใบงานการปฏิบัติ 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.1 ความหมายของ Query (แบบสอบถาม) 1.2 การออกแบบ Query 1.3 การสร้างฟิลด์ใหม่บน Query 2. สมรรถนะประจานน่วย 2.1 อธิบายสาระสาคัญประจาหน่วยได้ 2.2 อธิบายและเข้าใจความหมายของ Query ได้ 2.3 สามารถออกแบบตาราง Query เบื้องต้นได้ 2.4 สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่รูปแบบต่าง ๆ ได้ - สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการคานวณได้ - สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการรวมฟิลด์ได้ - สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการสร้างเงื่อนไขได้ - สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการคานวณวันที่/เวลาได้ - สามารถออกแบบฟิลด์ใหม่ที่เกิดจากการคานวณตารางที่มีความสัมพันธ์ได้ ----------------------------------------------- 1. จงทาตามคาสั่งต่อไปนี้ (โจทย์เกี่ยวกับสต็อคสินค้าและการสั่งซื้อ) 1.1เปิดฐานข้อมูล Northwind 1.2เปิดตาราง Products แล้วสร้างรายการคาถาม (Query by Enter SQL) ต่อไปนี้  แสดงข้อมูลทั้งหมดของสินค้าทั้งหมดที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว S  แสดงข้อมูลทั้งหมดของสินค้าที่มีราคาสูงกว่า $20  แสดงรายการสินค้าที่มีสต็อคต่ากว่า 20 หน่วย 2. จงดาเนินการตามคาสั่งต่อไปนี้ (โจทย์เกี่ยวกับ Profile ของกิจการ) 2.1เปิดฐานข้อมูล Northwind  เปิดตาราง Customers 2.2สร้างรายการคาถาม (Query by Enter SQL) ต่อไปนี้  แสดงข้อมูลทั้งหมดของบริษัทลูกค้าที่ไม่ได้อยู่ใน ประเทศ Mexico และ Brazil  แสดงชื่อผู้ที่ติดต่อด้วยและรหัสบริษัทที่ชื่อบริษัทขึ้นต้นด้วยอักษร M และ O  แสดงชื่อของผู้ที่ติดต่อด้วยพร้อมเบอร์โทรศัพท์เฉพาะบุคคลที่มีตาแหน่ง Marketing Manager (เจ้าของกิจการ)
  • 53.
    ห น้ า| 52 ภาคผนวก ค. แบบทดสอบ ก่อนเรียน – นลังเรียน
  • 54.
    ห น้ า| 53 แบบทดสอบก่อนเรียน คาชี้แจง 1. ข้อสอบเป็นแบบปรนัยมีทั้งหมด 10 ข้อ 10 คะแนน 2. ห้ามขีดเขียนข้อความใดๆ ลงในข้อสอบโดยเด็ดขาด 3. จงเลือกคาตอบที่ถูกต้องเพียงคาตอบเดียวลงในกระดาษคาตอบที่แจกให้ ****************************************************************** คาชี้แจง ปรนัย 10 ข้อ ให้เลือกคาตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว 1) ส่วนใดของแฟ้มข้อมูลที่สามารถนาข้อมูลมาคานวณค่าตามสูตรเพื่อหาผลลัพธ์ที่ต้องการ ก. ตาราง(Table) ข. แบบสอบถาม(Queries) ค. ฟอร์ม(Form) ง. รายงาน(Reoprt) 2) ส่วนใดของข้อมูลที่สามารถนามาออกแบบตารางแบบสอบถามได้ ก. ตาราง(Table) ข. แบบสอบถาม(Queries) ค. ฟอร์ม(Form) ง. ข้อ ก และ ข 3) คาสั่ง sort ในตารางออกแบบ แบบสอบถามมีหน้าที่กาหนดอะไร ก. การซ่อนเขตข้อมูล ข. การกาหนดเงื่อนไข ค. การจัดเรียงลาดับ ง. การกาหนดเงื่อนไขร่วม 4) ถ้าต้องกาหนดข้อมูลบางรายการตามเงื่อนไขที่ต้องการ จะต้องกาหนดที่ใด ก. ตาราง(Table) ข. จัดเรียง(Sort) ค. แสดง(Show) ง. เกณฑ์(Critrria) 5) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลเฉพาะนักเรียนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย สม จะต้องกาหนดเงื่อนไขอย่างไร ก. เขตข้อมูล ชื่อ ข. เขตข้อมูล ชื่อ เกณฑ์ *ส เกณฑ์ สม* ค. เขตข้อมูล ชื่อ ง. เขตข้อมูล ชื่อ เกณฑ์ *สม* เกณฑ์ สม? 6) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลเฉพาะนักเรียนที่เรียนแผนก คอมพิวเตอร์ และ บัญชี ก. เขตข้อมูล แผนกวิชา ข. เขตข้อมูล แผนกวิชา เกณฑ์ “คอมพิวเตอร์” or “บัญชี” เกณฑ์ “คอมพิวเตอร์” and “บัญชี” ค. เขตข้อมูล แผนกวิชา ง. เขตข้อมูล แผนกวิชา เกณฑ์ คอมพิวเตอร์ & บัญชี เกณฑ์ [คอมพิวเตอร์] or [บัญชี]
  • 55.
    ห น้ า| 54 แบบทดสอบหลังเรียน 7) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลเฉพาะนักเรียนที่เกิดระหว่างปี 2510-2511 ก. เขตข้อมูล วันเกิด ข. เขตข้อมูล วันเกิด เกณฑ์ Between 2510 and 2511 เกณฑ์ >=1/1/2510 and >=31/12/2511 ค. เขตข้อมูล วันเกิด ง. เขตข้อมูล วันเกิด เกณฑ์ Between 1/1/2510 and 31/12/2511 เกณฑ์ Between 1/1/2510 and 1/1/2511 8) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลเฉพาะนักเรียนที่มีค่าใช้จ่าย/เดือน ระหว่าง 1000-2000 บาท ก. เขตข้อมูล ค่าใช้จ่าย/เดือน ข. เขตข้อมูล ค่าใช้จ่าย/เดือน เกณฑ์ >=1000 and >=2000 เกณฑ์ Between 1000 and 2000 ค. เขตข้อมูล ค่าใช้จ่าย/เดือน ง. เขตข้อมูล ค่าใช้จ่าย/เดือน เกณฑ์ 1000 and 2000 เกณฑ์ Between 1000 or 2000 9) ถ้าต้องการแสดงข้อมูลโดยให้ผุ้ใช้ระบุแผนกที่ต้องการผ่านทางแป้นพิมพ์ กาหนดอย่างไร ก. เขตข้อมูล แผนกวิชา ข. เขตข้อมูล แผนกวิชา เกณฑ์ [ระบุแผนก] เกณฑ์ /ระบุแผนก/ ค. เขตข้อมูล แผนกวิชา ง. เขตข้อมูล แผนกวิชา เกณฑ์ (ระบุแผนก) เกณฑ์ {ระบุแผนก} 10) ถ้าต้องการนาเขตข้อมูล ชื่อสินค้า และ ราคา มารวมเป็นเขตข้อมูลเดียวกัน กาหนดอย่างไร ก. ชื่อ(ราคา):[ชื่อสินค้า] + [ราคา] ข. ชื่อ(ราคา):[ชื่อสินค้า] +”(“+[ราคา]+”)” ค. ชื่อ(ราคา):[ชื่อสินค้า] & [ราคา] ง. ชื่อ(ราคา):[ชื่อสินค้า]&”(”&[ราคา]&”)” คาชี้แจง 1. ข้อสอบเป็นแบบปรนัยมีทั้งหมด 10 ข้อ 10 คะแนน
  • 56.
    ห น้ า| 55 2. ห้ามขีดเขียนข้อความใดๆ ลงในข้อสอบโดยเด็ดขาด 3. จงเลือกคาตอบที่ถูกต้องเพียงคาตอบเดียวลงในกระดาษคาตอบที่แจกให้ ****************************************************************** คาสั่ง ให้นักศึกษาเลือกกากบาท (X) ทับข้อที่เห็นว่าถูกที่สุดเพียงข้อเดียวลงในกระดาษคาตอบที่ แจกให้ 1. การสร้างแบบสอบถามมีกี่แบบ อะไรบ้าง ก. 2 คือ Select Query, Parameter Query ข. 3 คือ Select Query, Parameter Query, Crosstab Query ค. 4 คือ Select Query, Parameter Query, Crosstab Query, Action Query ง. 5 คือ Select Query, Parameter Query, Crosstab Query, Action Query, SQL Query 2. ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่ แบบสอบถาม แบบใช้เลือกข้อมูล ก. Select Query ข. Crosstab Query ค. Parameter Query ง. Simple Query Wizard 3. วิธีการสร้างแบบสอบถามวิธีใด ที่เป็นการค้นหารายการที่ไม่ตรงกัน ก. Simple Query Wizard ค. Find Duplicated Query Wizard ง. Find Unmatched Query Wizard 4. ถ้าต้องการให้แบบสอบถามแสดงข้อมูลบุคลากร ที่มีรหัสบุคลากรอยู่ระหว่าง 1001 -1005 ก. ชื่อเขตข้อมูล PersonalID เงื่อนไข Between 1001 and 1005 ข. ชื่อเขตข้อมูล PersonalID เงื่อนไข Between 1001 or
  • 57.
    ห น้ า| 56 1005 ค. ชื่อเขตข้อมูล PersonalID เงื่อนไข 1001 or 1005 ง. ชื่อเขตข้อมูล PersonalID เงื่อนไข 1001 and 1005 5. ถ้าต้องการแสดงเฉพาะบุคลากรที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว ป ก. ชื่อเขตข้อมูล FirstName เงื่อนไข ป* ข. ชื่อเขตข้อมูล FirstName เงื่อนไข *ป ค. ชื่อเขตข้อมูล FirstName เงื่อนไข ?ป ง. ชื่อเขตข้อมูล FirstName เงื่อนไข ป? 6. ถ้าต้องการให้แบบสอบถามรับข้อมูลแบบพารามิเตอร์ จะต้องใช้สัญลักษณ์ใด ก. “ป้อนชื่อลูกค้า” ข. [ป้อนชื่อลูกค้า] ค. {ป้อนชื่อลูกค้า} ง. (ป้อนชื่อลูกค้า) 7. ชื่อเขตข้อมูล FirstName LastName เงื่อนไข [ป้อนชื่อพนักงาน]
  • 58.
    ห น้ า| 57 จากข้อมูลที่กาหนด เป็นการสร้างแบบสอบถามชนิดใด ก. SQL Query ข. Append Query ค. Crosstab Query ง. Parameter Query 8. ชื่อเขตข้อมูล เงินเดือน รายได้อื่น รายได้สุทธิ เงื่อนไข จากตาราง ถ้าต้องการสร้างเขตข้อมูลใหม่ เพื่อคานวณหารายได้สุทธิ กาหนดได้อย่างไร ก. รายได้สุทธิ: เงินเดือน+รายได้อื่น ข. รายได้สุทธิ: [เงินเดือน]+รายได้อื่น ค. รายได้สุทธิ: [เงินเดือน]+[รายได้อื่น] ง. รายได้สุทธิ: {เงินเดือน}+[รายได้อื่น] 9. ถ้าต้องการนาเขตข้อมูล คานาหน้าชื่อและชื่อมารวมเป็นเขตข้อมูลเดียวกัน กาหนดอย่างไร ก. ชื่อ:([คานาหน้าชื่อ]+[ชื่อ]) ข. ชื่อ:[คานาหน้าชื่อ]+“(“[ชื่อ]”)” ค. ชื่อ:[คานาหน้าชื่อ]&[ชื่อ] ง. ชื่อ:{[คานาหน้าชื่อ]&(&[ชื่อ]&”)”} 10. เครื่องหมาย & ในแบบสอบถามจะหมายถึงสิ่งใด ก. การบวก ข. การกาหนดค่า ค. การเปรียบเทียบ ง. การเชื่อมข้อความ
  • 59.
    ห น้ า| 58 ภาคผนวก ง. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของกลุ่มตัวอย่าง
  • 60.
  • 61.
    ห น้ า| 60 ภาคผนวก จ. แบบประเมินความพึงพอใจ
  • 62.
    ห น้ า| 61 ตารางที่ ๖ แบบประเมินความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการสอนแบบกลุ่มร่วม โดยใช้เทคนิค กลุ่มร่วมมือ (Co – op Co - op) คาชี้แจง โปรดทาเครื่องหมาย  ลงใน ช่องระดับคะแนนตามความเป็นจริง 5 หมายถึง มากที่สุด 4 หมายถึง มาก 3 หมายถึง ปานกลาง 2 หมายถึง น้อย 1 หมายถึง น้อยที่สุด ข้อ รายการประเมิน ระดับคะแนน 5 4 3 2 1 ด้านเนื้อนาการสอน 1 มีความน่าสนใจและมีความสาคัญ 2 ได้รับความรู้ใหม่ๆ ด้านเนื้อนาการสอน 3 มีความถูกต้อง และสอดคล้องกับเนื้อหาวิชา 4 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ 5 สอดคล้องกับกิจกรรม การเรียนการสอน 6 ช่วยให้ผู้เรียนได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง 7 กระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิด ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 8 มีการจัดแบ่งนักเรียนโดยคละความสามารถและเพศอย่าง เหมาะสม 9 มีการชี้แจงกิจกรรมของการเรียนแบบร่วมมือให้นักเรียนเข้าใจ อย่างชัดเจน 10 ให้คาปรึกษา แนะนา อย่างทั่วถึง ๑๑ นักเรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดกิจกรรมการ เรียนการสอน ๑๒ ส่งเสริมการทางานเป็นทีม ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................
  • 63.
    ห น้ า| 62 ภาคผนวก ฉ. ผลการประเมินความพึงพอใจ
  • 64.
  • 65.
    ห น้ า| 64 ภาคผนวก ช. ภาพการจัดกิจกรรม
  • 66.
    ห น้ า| 65 รูปที่ 3-4 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาแบบทดสอบก่อนเรียน
  • 67.
    ห น้ า| 66 รูปที่ 5-6 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาใบงานการปฏิบัติแข่งกัน
  • 68.
    ห น้ า| 67 รูปที่ 7-8 นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาจากใบงานการปฏิบัติ
  • 69.
    ห น้ า| 68 รูปที่ 9-10 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาข้อสอบหลังเรียนผ่านเว็บไซต์ Kahoot
  • 70.
    ห น้ า| 69 รูปที่ 11-12 นักเรียนแต่ละกลุ่มทาข้อสอบหลังเรียนผ่านเว็บไซต์ Kahoot
  • 71.
    ห น้ า| 70 รูปที่ 13-14 ประกาศชื่อกลุ่มที่ได้คะแนนสูงที่สุด
  • 72.
    ห น้ า| 71 ประวัติย่อผู้วิจัย ชื่อ-สกุล นางสาวศรารัตน์ วรรณแจ่ม ตาแหน่ง ครูค.ศ.1  ประวัติการศึกษา จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนชุมชนบ้านหนองเรือ จ.ขอนแก่น จบชั้นมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จาก คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ภาควิชา วิศวกรรมไฟฟ้า สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หลักสูตร ๕ ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท จากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ  ข้อมูลรายละเอียดของสถานศึกษา แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา  เป้านมาย/ปรัชญาการสอน การศึกษาต้องมุ่งพัฒนาและเพิ่มพูนองค์ความรู้ใหม่ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการศึกษาควร จัดการศึกษาด้านวิชาการโดยการต่อยอด ความรู้ควบคู่ไปกับการฝึกฝนขัดเกลาทางความคิด ความ ประพฤติ และคุณธรรม