ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนาเครื่อง
คอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource)
ในเครือข่ายนั้น
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล
(Computer Network and Communication)
ปกรณ์สำหรับเครือข่ำยคอมพิวเตอร์
(Network Hardware)
เราท์เตอร์(Router) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายหลาย
ระบบ เข้าด้วยกัน คล้ายกับบริดจ์ แต่มีส่วนการ ทางานที่ซับซ้อนมากกว่า บริดจ์
มาก โดยเราท์เตอร์จะมีเส้นทางการเชื่อม โยงระหว่าง แต่ละเครือข่ายเก็บไว้เป็น
ตารางเส้นทาง เรียกว่า RoutingTable ทาให้เราท์เตอร์สามารถทาหน้าที่จัดหา
เส้นทางและ เลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทาง เพื่อการติดต่อระหว่าง
เครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้ำที่แปลงสัญญำณคอมพิวเตอร์ ให้สำมำรถส่งสัญญำณผ่ำน
สำยโทรศัพท์เพื่อติดต่อสื่อสำรกับคอมพิว เตอร์เครื่องอื่นในระบบเครือข่ำยคอมพิวเตอร์ได้
มเดมจะมีทั้งชนิดเชื่อมต่อภำยนอก(External Modem) และชนิดที่เป็นกำร์ดอยู่ภำย ใน
เครื่องคอมพิวเตอร์ (Internal Modem)
ที่มำ
โมเดม (Modem)
Network Interface Card หรือ Adapter Card
เป็นแผงวงจรทำงอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้ำที่แปลงสัญญำณที่ส่งออก และรับเข้ำ ระหว่ำงเครื่อง
คอมพิวเตอร์กับตัวกลำงในกำรสื่อสำร ให้อยู่ในรูปแบบสัญญำณ ที่จะส่งไปบนสำยสัญญำณ เพื่อ
ส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้รับได้ ส่วนใหญ่ จะออกแบบเป็นกำร์ด (Card) หรือ
แผงวงจรไฟฟ้ ำที่ใส่ลงในช่องสล็อต (Slot) ของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เรียกว่ำ
Network Interface Card (NIC)
Network Interface Card หรือ Adapter Card
เกตเวย์ (Gateway)
เป็นอุปกรณ์ฮำร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ำยต่ำงประเภทเข้ำด้วยกัน เช่น กำรใช้
เกตเวย์ในกำรเชื่อมต่อเครือข่ำย เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ำกับคอมพิวเตอร์
ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น
เกตเวย์ (Gateway)
มีกำรแบ่งประเภทของระบบเครือข่ำยไว้หลำยรูปแบบโดยมีหลักในกำรจัดแบ่งที่ แตกต่ำงกันออกไป ดังนี้
1. แบ่งตำมขนำดพื้นที่
LAN (Local Area Network) คือกลุ่มระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องอยู่
ในพื้นที่บริเวณเดียวกัน เช่น อาคารเดียวกัน ตึกเดียวกันเป็นเครือข่ายสาหรับผู้ใช้ตามบ้าน หรือสานักงาน
MAN (Metropolitan Area Network) การนา LAN มาเชื่อมต่อกัน ทาให้ระบบเครือข่ายมี
ขนาดใหญ่ขึ้น
WAN (Wide Area Network) เป็นการเชื่อมต่อหลาย ๆ LAN, MAN เข้าด้วยกัน มีพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง
เช่นทั้งประเทศ หรือติดต่อกันระหว่างประเทศเช่นกรุงเทพฯ กับนิวยอร์กด้วยการใช้สายสัญญาณ
โดยเฉพาะหรือผ่านทางดาวเทียม
2. แบ่งตำมลักษณะกำรทำงำน
ระบบ Server-Client คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะมีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกัน โดยจะแบ่ง
คอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย Server-Client เป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทระบบเครือข่ายคอมพิวเคอร์
1. เครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) จะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ทาหน้าที่ในการดูแลรักษา
ระบบความปลอดภัย จัดเก็บข้อมูล บริการทรัพยากรของเครือข่ายให้กับคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ใน
เครือข่ายเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายทาหน้าที่เป็นคล้ายๆ รักษากฎของกลุ่มจะเป็นผู้อนุญาตว่า
ใครมีสิทธิใช้ทรัพยากรใดๆ ได้บ้างและใช้ได้ในระดับไหนเป็นลักษณะการรวมอานาจเข้าสู่
ส่วนกลาง เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเมื่อมีความต้องการใช้ทรัพยากรของ เครือข่ายจะต้องขอ
อนุญาตจากเซิร์ฟเวอร์เสียก่อนในเครือข่ายอาจจะมี เครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว หรือ
หลายเครื่องที่ทาหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ ถ้าเป็นระบบเครือข่ายมีขนาดใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่
ทาหน้าที่เป็นเซิร์ฟ เวอร์นั้นจะต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากต้องทางานหนัก
ต้องคอยแจกจ่ายทรัพยากรให้กับเครื่องอื่น ๆ
ระบบเครือข่าย Server-Client เป็น 2 ประเภท คือ
2. เครื่องไคลเอนต์ (Client) หรือ เวิร์คสเตชั่น (Workstation) เป็นคอมพิวเตอร์
ในกลุ่มที่เป็นผู้ร้องขอใช้ทรัพยากรต่างๆจาก เซิร์ฟเวอร์
ระบบ Peer to Peer การทางานของคอมพิวเตอร์ในลักษณะนี้
จะไม่มีการแบ่งกลุ่มไม่มีเครื่องใดทาหน้าที่เป็นศูนย์กลาง เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง
จะมีฐานะเท่ากันหมด เราสามารถติดต่อใช้ทรัพยากรกับเครื่อง ๆ อื่นภายในกลุ่มได้
โดยตรง ไม่ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ตัวกลาง ทรัพยากรแต่ละอย่างจะถูกเก็บไว้ที่คอมพิวเตอร์
ในแต่ละเครื่อง เจ้าของทรัพยากรแต่ละเครื่องจะเป็นคนกาหนดว่าใครในกลุ่มจะสามารถ
เข้ามาใช้ทรัพยากรของเขาได้บ้าง และใช้ได้ในระดับไหนดังนั้นในระบบนี้ เครื่อง
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะเป็นทั้งผู้ใช้ทรัพยากรและถูกใช้ในเวลาเดียวกันเหมาะสาหรับ
เครือข่ายขนาดเล็กที่มีจานวนคอมพิวเตอร์ไม่มาก
3. แบ่งตำมสถำปัตยกรรมของเครือข่ำย
เป็นการกาหนดลักษณะและวิธีการรับส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ในเครือข่าย
โดยในแต่ ละสถาปัตยกรรมจะมีฮาร์ดแวร์ และ ซอร์ฟแวร์ ที่เป็นมาตรฐานของตนเอง
โดยเฉพาะเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา
โทเค็นริง(Token Ring) เป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่นิยมแล้วในปัจจุบันเนื่องจาก
ใช้งานยาก มีค่าใช้จ่ายมากและมีความเร็วที่ไม่เพียงพอสาหรับการรับส่งข้อมูลในปัจจุบัน
ซึ่งข้อมูลในระบบมี
แนวโน้มว่าจะมีขนาด ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีความเร็วสูงสุดประมาณ 16 Mbps
อีเทอร์เน็ต (Ethernet ) เป็นสถาปัตยกรรมหรือาจเรียกว่า เป็นเทคโนโลยีของ
เครือข่ายที่ได้รับความนิยม ในทุกวันนี้เวลาที่ เราพูดถึง LAN เครือข่ายขนาดเล็กหรือโฮม
เน็ตเวิร์คเราก็จะหมายถึงเครือข่าย แบบ Ethernetในปัจจุบันมีอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์
ซอร์ฟแวร์ สายสัญญาณต่าง ๆ มากมาย ที่สนับสนุนสถาปัตย กรรมแบบนี้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็
มีราคาถูกและสามารถทางานได้กับวินโดวส์ทุกรุ่น
แบ่งตำมโครงสร้ำงของระบบเครือข่ำย (Network Topology)
เครือข่ายโทโพโลยีเป็นวิธีในการจัดวางสายสัญญาณ วางตาแหน่งของคอมพิวเตอร์ให้
ทางานตามที่เราได้วางแผนไว้ซึ่งโครงสร้างเครือข่ายของแต่ละแบบก็จะมีการใช้อุปกรณ์ที่
แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ คือ
แบบบัส ( Bus )
แบบดำว ( Star)
แบบวงแหวน (Ring)
ประเภทระบบเครือข่ำยคอมพิวเคอร์
แบบบัส ( Bus )
แบบบัส ( Bus ) เป็นวิธีการต่อคอมพิวเตอร์เป็นแนวเดียวออกไปเรื่อย ๆ โดย
อาศัยสายเพียงเส้นเดียวเป็นสายหลักเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
แบบดาว ( Star)
แบบดาว ( Star) เป็นโทโพโลยีที่นิยมที่สุด เพราะอุปกรณ์หาซื้อได้ง่ายประกอบด้วย
เครือข่ายการ์ด ฮับ และสาย UTP สะดวกในการติดตั้ง เป็นลักษณะการเชื่อมต่อโดยเชื่อมต่อ
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเข้าสู่อุปกรณ์ส่วนกลาง ที่เรียกว่า ฮับ (HUB) ข้อมูลหรือสัญญาณจะ
เดินทางจากเครื่องส่งไปสู่ผู้รับโดยผ่านฮับ โดยใช้สาย UTP ในการเชื่อมต่อทั้งหมดเราอาจจะเรียก
การต่อแบบนี้ว่าเป็นแบบ 10 / 100baseT เหมาะกับเครือข่ายขนาดเล็กและขนาดใหญ่
แบบวงแหวน (Ring) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน
ไม่นิยมใช้ในปัจจุบัน ระบบนี้ถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในระบบเสียจะไม่
สามารถใช้งานได้ทั้งหมด
แบบวงแหวน (Ring)
วิธีการประมวลผลข้อมูล
การประมวลผลข้อมูลเป็นกิจกรรมที่มีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะข้อมูลรอบ ๆ ตัวเรามี
จานวนมาก ก่อนนาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ จาเป็นต้องมีการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ
ก่อนจึงจะนาไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งวิธีการประมวลผลข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
แบ่งเป็น 2 วิธี ดังนี้ (สานิตย์ กายาผาด, 2542, หน้า 94)
เป็นเทคนิคการประมวลผลแบบสุ่ม จะประมวลผลตามเวลาที่เกิด การ
ประมวลผลออนไลน์นี้จัดว่าเป็นการประมวลผลแบบ Real-Time Processing หมายความว่า
จะทาการประมวลผลทันทีโดยไม่ต้องรอรวบรวมข้อมูล รายการจะถูกนาไปประมวลผล
และได้ผลลัพธ์ทันที การประมวลผลแบบ Real-Time นี้ จะมีเทอร์มินัลต่อเข้ากับ CPU
โดยตรง ข้อมูลจะมีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ระบบลักษณะนี้เรียกว่า Online
System เช่น การฝาก-ถอนเงินของธนาคารด้วย ATM
1. กำรประมวลผลออนไลน์ (Online Processing)
 คือ การประมวลผลโดยมีการรวบรวมข้อมูลไว้ช่วงเวลาหนึ่งก่อนทาการประมวลผล
การประมวลผลจะทาตามช่วงเวลาที่กาหนดอาจทาทุกวันหรือทุกสิ้นเดือน ผู้ใช้ไม่สามารถ
เห็นผลลัพธ์ทันทีและไม่สามารถโต้ตอบกับระบบได้ แต่การประมวลผลแบบนี้จะช่วยลด
ค่าใช้จ่ายในการประมวลผลได้มากกว่าการประมวลผลแบบอื่น ข้อมูลจะเป็นแบบ
Transaction file ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการประมวลผลนี้เรียกว่า Off-line System เช่น
ระบบคิดดอกเบี้ยของธนาคาร การคิดค่าน้า-ค่าไฟ เป็นต้น
2. กำรประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing)
โครงสร้ำงข้อมูล
โครงสร้างข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1 โครงสร้างเชิงกายภาพ (Physical
Data Structure) หมายถึง วิธีการจัดเก็บข้อมูลในสื่อต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก
ดิสก์เก็ต เป็นต้น
2 โครงสร้างเชิงตรรกะ (LogicalData Structure)หมายถึง การจัดเก็บข้อมูลและ
ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของข้อมูลในระบบฐานข้อมูล
สาหรับโครงสร้างเชิงตรรกะ จะแสดงให้เข้าใจถึงการจัดระเบียบการทางาน และ
การมีปฏิสัมพันธ์ภายในระบบฐานข้อมูล ซึ่งระดับโครงสร้างของข้อมูลที่เรานาไปใช้งานนั้น
สามารถแบ่งได้ ดัง
บิต (Bit) เป็นโครงสร้างข้อมูลที่เล็กที่สุดที่เครื่องรู้จัก อยู่ในรูปของ
สัญญาณไฟฟ้า ประกอบด้วยเลข 0 กับ 1 ถ้าเป็นเลข 0 แสดงว่าไม่มีสัญญาณไฟฟ้า แต่ถ้า
เป็นเลข 1 แสดงว่ามีสัญญาณไฟฟ้า
ไบต์ (Byte) คือ กลุ่มของบิตที่เป็นรหัสใช้แทนตัวอักษร 1 ตัว โดยปกติแล้ว 8
บิต คือ 1 ไบต์หรือ 1 ตัวอักษร (Character) ดังนั้นตัวอักษร 1 ตัว อาจจะเรียกว่า 1 ไบต์ก็
ได้
เขตข้อมูล/ฟิลด์(Field) คือ หน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนาตัวอักษรหลาย ๆ
ตัวมารวมกัน เป็นคาที่มีความหมาย เช่น ฟิลด์ชื่อนักศึกษา ฟิลด์ตัวเลขเงินเดือน ฟิลด์รหัส
ประจาตัวพนักงาน ฟิลด์คะแนนแต่ละวิชา เป็นต้น
ระเบียน/เรคคอร์ด (Record) คือ รายการข้อมูลแต่ละรายการประกอบไปด้วย
ฟิลด์ต่าง ๆ มารวมกัน เช่น รายการข้อมูลของพนักงานแต่ละคน รายการของสินค้าแต่ละ
ชิ้น รายการของนักศึกษาแต่ละคน เป็นต้น
แฟ้มข้อมูล/ ไฟล์ (File) คือ กลุ่มของรายการข้อมูลที่เหมือนกันมารวมกัน เช่น
แฟ้มเก็บข้อมูลทะเบียนประวัตินักศึกษา แฟ้มเก็บข้อมูลรายชื่อสินค้า แฟ้มเก็บข้อมูล
รายชื่อหนังสือในห้องสมุด แฟ้มเก็บข้อมูลประวัติพนักงานในบริษัท เป็นต้น
ฐานข้อมูล (Database) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการนาแฟ้มข้อมูลหลาย ๆ
แฟ้มข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น ฐานข้อมูลในระบบทะเบียนนักศึกษา
ประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลรายวิชา แฟ้มข้อมูลนักศึกษา แฟ้มข้อมูลการลงทะเบียน และ
แฟ้มข้อมูลผลการเรียน เป็นต้น
ภำพแสดงตัวอย่ำงแฟ้ มข้อมูลพนักงำน
ตัวอย่ำงแฟ้ มข้อมูลพนักงำน ประกอบไปด้วยฟิลด์รหัส ฟิลด์ชื่อ-นำมสกุล
ฟิลด์ตำแหน่งและฟิลด์เงินเดือน มีข้อมูลพนักงำนจำนวน 5 ระเบียน
1. แฟ้ มข้อมูลหลัก (Master File) เป็นแฟ้มที่เก็บข้อมูลอย่างถาวรแฟ้มนี้จะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
ข้อมูลบ่อยนัก เพราะการปรับปรุงข้อมูลจะกระทาจากแฟ้มรายการ(TransactionFile) ดังนั้นข้อมูลที่เก็บอยู่ใน
แฟ้มข้อมูลหลักจะเป็นข้อมูลที่ทันสมัย (Up to date) อยู่เสมอ สามารถนาไปอ้างอิงได้เช่น แฟ้มข้อมูลพนักงานแฟ้ม
รายการสินค้า แฟ้มข้อมูลนักศึกษาแฟ้มข้อมูลภาควิชา
2. แฟ้ มรำยกำร (Transaction File)เป็นแฟ้มข้อมูลชั่วคราว ที่รวบรวมการเปลี่ยนแปลง ของแฟ้มข้อมูล
หลักหรือทาหน้าที่รายงานการเปลี่ยนแปลงของแฟ้มข้อมูลหลักมีการเก็บเป็นรายการย่อย ๆ โดยอาจจัดเรียงข้อมูลให้
เหมือนแฟ้มข้อมูลหลักเพื่อนาไปปรับปรุงแฟ้มข้อมูลหลักให้ทันสมัยเมื่อปฏิบัติงานเสร็จสิ้นก็จะถูกลบทิ้งโดย
อัตโนมัติ ส่วนใหญ่จะเก็บข้อมูลที่ใช้ในธุรกิจประจาวัน เช่น แฟ้มข้อมูลรายการขายสินค้าประจาวัน รายการฝากถอน
เงิน ฯลฯ
3.แฟ้ มดัชนี (Index File)เป็นแฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยในการประมวลผลข้อมูลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
โดยส่วนใหญ่ถูกสร้างมาจากแฟ้มข้อมูลหลักคือ เป็นแฟ้มดัชนีของแฟ้มข้อมูลหลักนั่นเองเพื่อช่วยในการค้นหาข้อมูล
ในแฟ้มข้อมูลหลักให้รวดเร็วยิ่งขึ้น แฟ้มดัชนีเป็นแฟ้มข้อมูลที่ผ่านการจัดเรียงแล้วโดยการจัดเรียงตาม คีย์หลักของ
แฟ้มข้อมูลหลักโดยปกติแล้วแฟ้มดัชนีประกอบด้วยฟิลด์2 ฟิลด์ด้วยกันคือ ฟิลด์ที่เป็นคีย์หลักของแฟ้มข้อมูลหลัก
และ ฟิลด์ที่เก็บตาแหน่งระเบียนของคีย์หลักในแฟ้มข้อมูลหลัก
ประเภทของแฟ้ มข้อมูล
4.แฟ้ มงำน (Work File) เป็นแฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างในระหว่างการทางานของ
โปรแกรมระบบงาน เมื่อสิ้นสุดการทางานของโปรแกรม แฟ้มข้อมูลปะเภทนี้จะถูกลบทิ้ง
ทันที เช่น Temp File ที่ถูกสร้างโดย ระบบวินโดว์ เป็นต้น
5.แฟ้ มรำยงำน (Report File) เป็นแฟ้มข้อมูลที่ใช้สาหรับรายงานผลออกทาง
จอภาพ (Monitor) หรือทางเครื่องพิมพ์(Printer) ซึ่งเราสามารถจัดรูปแบบของรายงานได้
ตามต้องการ
6.แฟ้ มสำรอง (Backup File) เป็นแฟ้มข้อมูลที่คัดลอกข้อมูลจากแฟ้ มข้อมูล
หลักเพื่อสารองเก็บไว้เมื่อเกิดปัญหากับแฟ้มข้อมูลหลัก ก็สามารถนาแฟ้มสารองกลับมาใช้
งานได้ถือว่าเป็นแฟ้มที่มีความสาคัญมากประเภทหนึ่ง
ประเภทของแฟ้ มข้มูล
ประโยชน์ของสำรสนเทศ
ข้อมูลและสารสนเทศนับว่ามีประโยชน์ต่อการนาไปใช้บริหารงานด้านต่าง ๆ มากมาย
อาทิเช่นน
1. ด้านการวางแผน สามารถนาสารสนเทศไปใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับการจัดการ
องค์การ การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ กระบวนการผลิตสินค้า การตลาด เป็นต้น
2. ด้านการดาเนินงาน สามารถนาสารสนเทศไปใช้ในการดาเนินงานต่าง ๆ เช่น ใช้
เพื่อควบคุมหรือติดตามผลการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ วัตถุประสงค์และ
เป้าหมายขององค์การ
3. ด้านการตัดสินใจ สามารถนาสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกแนวทาง
หรือ ทางเลือกที่มีปัญหาน้อยที่สุด ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การมีสารสนเทศที่สมบูรณ์ ทันสมัย
และครบถ้วนจะช่วยให้การตัดสินใจถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จบการนาเสนอ

กลุ่ม7 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ

  • 2.
    ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network)หมายถึงการนาเครื่อง คอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล (Computer Network and Communication)
  • 3.
    ปกรณ์สำหรับเครือข่ำยคอมพิวเตอร์ (Network Hardware) เราท์เตอร์(Router) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายหลาย ระบบเข้าด้วยกัน คล้ายกับบริดจ์ แต่มีส่วนการ ทางานที่ซับซ้อนมากกว่า บริดจ์ มาก โดยเราท์เตอร์จะมีเส้นทางการเชื่อม โยงระหว่าง แต่ละเครือข่ายเก็บไว้เป็น ตารางเส้นทาง เรียกว่า RoutingTable ทาให้เราท์เตอร์สามารถทาหน้าที่จัดหา เส้นทางและ เลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทาง เพื่อการติดต่อระหว่าง เครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • 4.
  • 5.
    Network Interface Cardหรือ Adapter Card เป็นแผงวงจรทำงอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้ำที่แปลงสัญญำณที่ส่งออก และรับเข้ำ ระหว่ำงเครื่อง คอมพิวเตอร์กับตัวกลำงในกำรสื่อสำร ให้อยู่ในรูปแบบสัญญำณ ที่จะส่งไปบนสำยสัญญำณ เพื่อ ส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้รับได้ ส่วนใหญ่ จะออกแบบเป็นกำร์ด (Card) หรือ แผงวงจรไฟฟ้ ำที่ใส่ลงในช่องสล็อต (Slot) ของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เรียกว่ำ Network Interface Card (NIC) Network Interface Card หรือ Adapter Card
  • 6.
    เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ฮำร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อเครือข่ำยต่ำงประเภทเข้ำด้วยกัน เช่นกำรใช้ เกตเวย์ในกำรเชื่อมต่อเครือข่ำย เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี (PC) เข้ำกับคอมพิวเตอร์ ประเภทแมคอินทอช (MAC) เป็นต้น เกตเวย์ (Gateway)
  • 7.
    มีกำรแบ่งประเภทของระบบเครือข่ำยไว้หลำยรูปแบบโดยมีหลักในกำรจัดแบ่งที่ แตกต่ำงกันออกไป ดังนี้ 1.แบ่งตำมขนำดพื้นที่ LAN (Local Area Network) คือกลุ่มระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องอยู่ ในพื้นที่บริเวณเดียวกัน เช่น อาคารเดียวกัน ตึกเดียวกันเป็นเครือข่ายสาหรับผู้ใช้ตามบ้าน หรือสานักงาน MAN (Metropolitan Area Network) การนา LAN มาเชื่อมต่อกัน ทาให้ระบบเครือข่ายมี ขนาดใหญ่ขึ้น WAN (Wide Area Network) เป็นการเชื่อมต่อหลาย ๆ LAN, MAN เข้าด้วยกัน มีพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง เช่นทั้งประเทศ หรือติดต่อกันระหว่างประเทศเช่นกรุงเทพฯ กับนิวยอร์กด้วยการใช้สายสัญญาณ โดยเฉพาะหรือผ่านทางดาวเทียม 2. แบ่งตำมลักษณะกำรทำงำน ระบบ Server-Client คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะมีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกัน โดยจะแบ่ง คอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย Server-Client เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทระบบเครือข่ายคอมพิวเคอร์
  • 8.
    1. เครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server)จะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ทาหน้าที่ในการดูแลรักษา ระบบความปลอดภัย จัดเก็บข้อมูล บริการทรัพยากรของเครือข่ายให้กับคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ใน เครือข่ายเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายทาหน้าที่เป็นคล้ายๆ รักษากฎของกลุ่มจะเป็นผู้อนุญาตว่า ใครมีสิทธิใช้ทรัพยากรใดๆ ได้บ้างและใช้ได้ในระดับไหนเป็นลักษณะการรวมอานาจเข้าสู่ ส่วนกลาง เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเมื่อมีความต้องการใช้ทรัพยากรของ เครือข่ายจะต้องขอ อนุญาตจากเซิร์ฟเวอร์เสียก่อนในเครือข่ายอาจจะมี เครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว หรือ หลายเครื่องที่ทาหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ ถ้าเป็นระบบเครือข่ายมีขนาดใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ ทาหน้าที่เป็นเซิร์ฟ เวอร์นั้นจะต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากต้องทางานหนัก ต้องคอยแจกจ่ายทรัพยากรให้กับเครื่องอื่น ๆ ระบบเครือข่าย Server-Client เป็น 2 ประเภท คือ
  • 9.
    2. เครื่องไคลเอนต์ (Client)หรือ เวิร์คสเตชั่น (Workstation) เป็นคอมพิวเตอร์ ในกลุ่มที่เป็นผู้ร้องขอใช้ทรัพยากรต่างๆจาก เซิร์ฟเวอร์ ระบบ Peer to Peer การทางานของคอมพิวเตอร์ในลักษณะนี้ จะไม่มีการแบ่งกลุ่มไม่มีเครื่องใดทาหน้าที่เป็นศูนย์กลาง เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะมีฐานะเท่ากันหมด เราสามารถติดต่อใช้ทรัพยากรกับเครื่อง ๆ อื่นภายในกลุ่มได้ โดยตรง ไม่ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ตัวกลาง ทรัพยากรแต่ละอย่างจะถูกเก็บไว้ที่คอมพิวเตอร์ ในแต่ละเครื่อง เจ้าของทรัพยากรแต่ละเครื่องจะเป็นคนกาหนดว่าใครในกลุ่มจะสามารถ เข้ามาใช้ทรัพยากรของเขาได้บ้าง และใช้ได้ในระดับไหนดังนั้นในระบบนี้ เครื่อง คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะเป็นทั้งผู้ใช้ทรัพยากรและถูกใช้ในเวลาเดียวกันเหมาะสาหรับ เครือข่ายขนาดเล็กที่มีจานวนคอมพิวเตอร์ไม่มาก
  • 10.
    3. แบ่งตำมสถำปัตยกรรมของเครือข่ำย เป็นการกาหนดลักษณะและวิธีการรับส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ในเครือข่าย โดยในแต่ ละสถาปัตยกรรมจะมีฮาร์ดแวร์และ ซอร์ฟแวร์ ที่เป็นมาตรฐานของตนเอง โดยเฉพาะเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา โทเค็นริง(Token Ring) เป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่นิยมแล้วในปัจจุบันเนื่องจาก ใช้งานยาก มีค่าใช้จ่ายมากและมีความเร็วที่ไม่เพียงพอสาหรับการรับส่งข้อมูลในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลในระบบมี แนวโน้มว่าจะมีขนาด ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีความเร็วสูงสุดประมาณ 16 Mbps อีเทอร์เน็ต (Ethernet ) เป็นสถาปัตยกรรมหรือาจเรียกว่า เป็นเทคโนโลยีของ เครือข่ายที่ได้รับความนิยม ในทุกวันนี้เวลาที่ เราพูดถึง LAN เครือข่ายขนาดเล็กหรือโฮม เน็ตเวิร์คเราก็จะหมายถึงเครือข่าย แบบ Ethernetในปัจจุบันมีอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอร์ฟแวร์ สายสัญญาณต่าง ๆ มากมาย ที่สนับสนุนสถาปัตย กรรมแบบนี้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ มีราคาถูกและสามารถทางานได้กับวินโดวส์ทุกรุ่น
  • 11.
    แบ่งตำมโครงสร้ำงของระบบเครือข่ำย (Network Topology) เครือข่ายโทโพโลยีเป็นวิธีในการจัดวางสายสัญญาณวางตาแหน่งของคอมพิวเตอร์ให้ ทางานตามที่เราได้วางแผนไว้ซึ่งโครงสร้างเครือข่ายของแต่ละแบบก็จะมีการใช้อุปกรณ์ที่ แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ คือ แบบบัส ( Bus ) แบบดำว ( Star) แบบวงแหวน (Ring) ประเภทระบบเครือข่ำยคอมพิวเคอร์
  • 12.
    แบบบัส ( Bus) แบบบัส ( Bus ) เป็นวิธีการต่อคอมพิวเตอร์เป็นแนวเดียวออกไปเรื่อย ๆ โดย อาศัยสายเพียงเส้นเดียวเป็นสายหลักเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
  • 13.
    แบบดาว ( Star) แบบดาว( Star) เป็นโทโพโลยีที่นิยมที่สุด เพราะอุปกรณ์หาซื้อได้ง่ายประกอบด้วย เครือข่ายการ์ด ฮับ และสาย UTP สะดวกในการติดตั้ง เป็นลักษณะการเชื่อมต่อโดยเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเข้าสู่อุปกรณ์ส่วนกลาง ที่เรียกว่า ฮับ (HUB) ข้อมูลหรือสัญญาณจะ เดินทางจากเครื่องส่งไปสู่ผู้รับโดยผ่านฮับ โดยใช้สาย UTP ในการเชื่อมต่อทั้งหมดเราอาจจะเรียก การต่อแบบนี้ว่าเป็นแบบ 10 / 100baseT เหมาะกับเครือข่ายขนาดเล็กและขนาดใหญ่
  • 14.
    แบบวงแหวน (Ring) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน ไม่นิยมใช้ในปัจจุบันระบบนี้ถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในระบบเสียจะไม่ สามารถใช้งานได้ทั้งหมด แบบวงแหวน (Ring)
  • 15.
    วิธีการประมวลผลข้อมูล การประมวลผลข้อมูลเป็นกิจกรรมที่มีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะข้อมูลรอบ ๆตัวเรามี จานวนมาก ก่อนนาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ จาเป็นต้องมีการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ ก่อนจึงจะนาไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งวิธีการประมวลผลข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ แบ่งเป็น 2 วิธี ดังนี้ (สานิตย์ กายาผาด, 2542, หน้า 94)
  • 16.
    เป็นเทคนิคการประมวลผลแบบสุ่ม จะประมวลผลตามเวลาที่เกิด การ ประมวลผลออนไลน์นี้จัดว่าเป็นการประมวลผลแบบReal-Time Processing หมายความว่า จะทาการประมวลผลทันทีโดยไม่ต้องรอรวบรวมข้อมูล รายการจะถูกนาไปประมวลผล และได้ผลลัพธ์ทันที การประมวลผลแบบ Real-Time นี้ จะมีเทอร์มินัลต่อเข้ากับ CPU โดยตรง ข้อมูลจะมีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ระบบลักษณะนี้เรียกว่า Online System เช่น การฝาก-ถอนเงินของธนาคารด้วย ATM 1. กำรประมวลผลออนไลน์ (Online Processing)
  • 17.
     คือ การประมวลผลโดยมีการรวบรวมข้อมูลไว้ช่วงเวลาหนึ่งก่อนทาการประมวลผล การประมวลผลจะทาตามช่วงเวลาที่กาหนดอาจทาทุกวันหรือทุกสิ้นเดือนผู้ใช้ไม่สามารถ เห็นผลลัพธ์ทันทีและไม่สามารถโต้ตอบกับระบบได้ แต่การประมวลผลแบบนี้จะช่วยลด ค่าใช้จ่ายในการประมวลผลได้มากกว่าการประมวลผลแบบอื่น ข้อมูลจะเป็นแบบ Transaction file ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการประมวลผลนี้เรียกว่า Off-line System เช่น ระบบคิดดอกเบี้ยของธนาคาร การคิดค่าน้า-ค่าไฟ เป็นต้น 2. กำรประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing)
  • 18.
    โครงสร้ำงข้อมูล โครงสร้างข้อมูล แบ่งออกเป็น 2ลักษณะ คือ 1 โครงสร้างเชิงกายภาพ (Physical Data Structure) หมายถึง วิธีการจัดเก็บข้อมูลในสื่อต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก ดิสก์เก็ต เป็นต้น 2 โครงสร้างเชิงตรรกะ (LogicalData Structure)หมายถึง การจัดเก็บข้อมูลและ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของข้อมูลในระบบฐานข้อมูล สาหรับโครงสร้างเชิงตรรกะ จะแสดงให้เข้าใจถึงการจัดระเบียบการทางาน และ การมีปฏิสัมพันธ์ภายในระบบฐานข้อมูล ซึ่งระดับโครงสร้างของข้อมูลที่เรานาไปใช้งานนั้น สามารถแบ่งได้ ดัง
  • 19.
    บิต (Bit) เป็นโครงสร้างข้อมูลที่เล็กที่สุดที่เครื่องรู้จักอยู่ในรูปของ สัญญาณไฟฟ้า ประกอบด้วยเลข 0 กับ 1 ถ้าเป็นเลข 0 แสดงว่าไม่มีสัญญาณไฟฟ้า แต่ถ้า เป็นเลข 1 แสดงว่ามีสัญญาณไฟฟ้า ไบต์ (Byte) คือ กลุ่มของบิตที่เป็นรหัสใช้แทนตัวอักษร 1 ตัว โดยปกติแล้ว 8 บิต คือ 1 ไบต์หรือ 1 ตัวอักษร (Character) ดังนั้นตัวอักษร 1 ตัว อาจจะเรียกว่า 1 ไบต์ก็ ได้ เขตข้อมูล/ฟิลด์(Field) คือ หน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนาตัวอักษรหลาย ๆ ตัวมารวมกัน เป็นคาที่มีความหมาย เช่น ฟิลด์ชื่อนักศึกษา ฟิลด์ตัวเลขเงินเดือน ฟิลด์รหัส ประจาตัวพนักงาน ฟิลด์คะแนนแต่ละวิชา เป็นต้น
  • 20.
    ระเบียน/เรคคอร์ด (Record) คือรายการข้อมูลแต่ละรายการประกอบไปด้วย ฟิลด์ต่าง ๆ มารวมกัน เช่น รายการข้อมูลของพนักงานแต่ละคน รายการของสินค้าแต่ละ ชิ้น รายการของนักศึกษาแต่ละคน เป็นต้น แฟ้มข้อมูล/ ไฟล์ (File) คือ กลุ่มของรายการข้อมูลที่เหมือนกันมารวมกัน เช่น แฟ้มเก็บข้อมูลทะเบียนประวัตินักศึกษา แฟ้มเก็บข้อมูลรายชื่อสินค้า แฟ้มเก็บข้อมูล รายชื่อหนังสือในห้องสมุด แฟ้มเก็บข้อมูลประวัติพนักงานในบริษัท เป็นต้น ฐานข้อมูล (Database) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการนาแฟ้มข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น ฐานข้อมูลในระบบทะเบียนนักศึกษา ประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลรายวิชา แฟ้มข้อมูลนักศึกษา แฟ้มข้อมูลการลงทะเบียน และ แฟ้มข้อมูลผลการเรียน เป็นต้น
  • 21.
    ภำพแสดงตัวอย่ำงแฟ้ มข้อมูลพนักงำน ตัวอย่ำงแฟ้ มข้อมูลพนักงำนประกอบไปด้วยฟิลด์รหัส ฟิลด์ชื่อ-นำมสกุล ฟิลด์ตำแหน่งและฟิลด์เงินเดือน มีข้อมูลพนักงำนจำนวน 5 ระเบียน
  • 22.
    1. แฟ้ มข้อมูลหลัก(Master File) เป็นแฟ้มที่เก็บข้อมูลอย่างถาวรแฟ้มนี้จะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง ข้อมูลบ่อยนัก เพราะการปรับปรุงข้อมูลจะกระทาจากแฟ้มรายการ(TransactionFile) ดังนั้นข้อมูลที่เก็บอยู่ใน แฟ้มข้อมูลหลักจะเป็นข้อมูลที่ทันสมัย (Up to date) อยู่เสมอ สามารถนาไปอ้างอิงได้เช่น แฟ้มข้อมูลพนักงานแฟ้ม รายการสินค้า แฟ้มข้อมูลนักศึกษาแฟ้มข้อมูลภาควิชา 2. แฟ้ มรำยกำร (Transaction File)เป็นแฟ้มข้อมูลชั่วคราว ที่รวบรวมการเปลี่ยนแปลง ของแฟ้มข้อมูล หลักหรือทาหน้าที่รายงานการเปลี่ยนแปลงของแฟ้มข้อมูลหลักมีการเก็บเป็นรายการย่อย ๆ โดยอาจจัดเรียงข้อมูลให้ เหมือนแฟ้มข้อมูลหลักเพื่อนาไปปรับปรุงแฟ้มข้อมูลหลักให้ทันสมัยเมื่อปฏิบัติงานเสร็จสิ้นก็จะถูกลบทิ้งโดย อัตโนมัติ ส่วนใหญ่จะเก็บข้อมูลที่ใช้ในธุรกิจประจาวัน เช่น แฟ้มข้อมูลรายการขายสินค้าประจาวัน รายการฝากถอน เงิน ฯลฯ 3.แฟ้ มดัชนี (Index File)เป็นแฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยในการประมวลผลข้อมูลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่ถูกสร้างมาจากแฟ้มข้อมูลหลักคือ เป็นแฟ้มดัชนีของแฟ้มข้อมูลหลักนั่นเองเพื่อช่วยในการค้นหาข้อมูล ในแฟ้มข้อมูลหลักให้รวดเร็วยิ่งขึ้น แฟ้มดัชนีเป็นแฟ้มข้อมูลที่ผ่านการจัดเรียงแล้วโดยการจัดเรียงตาม คีย์หลักของ แฟ้มข้อมูลหลักโดยปกติแล้วแฟ้มดัชนีประกอบด้วยฟิลด์2 ฟิลด์ด้วยกันคือ ฟิลด์ที่เป็นคีย์หลักของแฟ้มข้อมูลหลัก และ ฟิลด์ที่เก็บตาแหน่งระเบียนของคีย์หลักในแฟ้มข้อมูลหลัก ประเภทของแฟ้ มข้อมูล
  • 23.
    4.แฟ้ มงำน (WorkFile) เป็นแฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างในระหว่างการทางานของ โปรแกรมระบบงาน เมื่อสิ้นสุดการทางานของโปรแกรม แฟ้มข้อมูลปะเภทนี้จะถูกลบทิ้ง ทันที เช่น Temp File ที่ถูกสร้างโดย ระบบวินโดว์ เป็นต้น 5.แฟ้ มรำยงำน (Report File) เป็นแฟ้มข้อมูลที่ใช้สาหรับรายงานผลออกทาง จอภาพ (Monitor) หรือทางเครื่องพิมพ์(Printer) ซึ่งเราสามารถจัดรูปแบบของรายงานได้ ตามต้องการ 6.แฟ้ มสำรอง (Backup File) เป็นแฟ้มข้อมูลที่คัดลอกข้อมูลจากแฟ้ มข้อมูล หลักเพื่อสารองเก็บไว้เมื่อเกิดปัญหากับแฟ้มข้อมูลหลัก ก็สามารถนาแฟ้มสารองกลับมาใช้ งานได้ถือว่าเป็นแฟ้มที่มีความสาคัญมากประเภทหนึ่ง ประเภทของแฟ้ มข้มูล
  • 24.
    ประโยชน์ของสำรสนเทศ ข้อมูลและสารสนเทศนับว่ามีประโยชน์ต่อการนาไปใช้บริหารงานด้านต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่นน 1.ด้านการวางแผน สามารถนาสารสนเทศไปใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับการจัดการ องค์การ การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ กระบวนการผลิตสินค้า การตลาด เป็นต้น 2. ด้านการดาเนินงาน สามารถนาสารสนเทศไปใช้ในการดาเนินงานต่าง ๆ เช่น ใช้ เพื่อควบคุมหรือติดตามผลการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ วัตถุประสงค์และ เป้าหมายขององค์การ 3. ด้านการตัดสินใจ สามารถนาสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกแนวทาง หรือ ทางเลือกที่มีปัญหาน้อยที่สุด ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การมีสารสนเทศที่สมบูรณ์ ทันสมัย และครบถ้วนจะช่วยให้การตัดสินใจถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • 25.