บทที่ 3
- 1. บทที่ 3
ประเภทของหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
การจัดประเภทของหลักสูตรว่าเป็นประเภทใดนั้นขึ้นอยู่กับการตอบสนองผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการ
สอน และสถาน การณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมแต่ละประเภ ทและแต่ละ ระดับการศึกษาเป็ น สาคัญ
ประเภทของหลักสูตรสามารถแบ่งได้เป็นหลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรกว้าง หลักสูตรเสริมประสบการณ์
หลักสูตรรายวิชาหลักสูตรแกน หลักสูตรแฝง หลักสูตรสัมพันธ์วิชา หลักสูตรเกลียวสว่าน และหลักสูตรสูญ
เ ป็ น ต้ น
ซึ่งจะช่วยให้นักหลักสูตรได้นาจุดเด่นจุดด้อยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์ภายใต้
ทรัพยากรที่มีจากัด
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
บทเรียนนี้ออกแบบไว้ให้เรียนรู้ร่วมกันเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถ ดังนี้
1. มีความรู้ในการจัดจาแนกประเภทของหลักสูตร
2. สามารถบอกลักษณะสาคัญของหลักสูตรแต่ละประเภทได้
สาระเนื้อหา(Content)
1. หลักสูตรบูรณาการ
ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร ( The Integrated Curriculum)
เป็ น หลักสู ตรที่พัฒ น ามาจากหลักสู ตรกว้างโดยน าเอาเนื้ อห าของวิช าต่าง ๆ มาหลอมรวม
ทาใ ห้ เป็ น เอกลักษณ์ ของ แต่ละ วิช าห มด ไป การผส มผส าน เนื้ อห าขอ งวิช าต่าง ๆ
เ ข้ า เ ป็ น เ นื้ อ เ ดี ย ว กั น ท า ไ ด้ ห ล า ย วิ ธี
ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นต่อไปอย่างไรก็ตามที่มีการจัดทาหลักสูตรบูรณาการขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของห
ลักสูตรหลายวิชาเท่านั้นมีเหตุผลและความคิดพื้นฐานซึ่งสนับสนุนอยู่ด้วยจะขออธิบายให้ทราบโดยสังเขปดังต่
อไปนี้
- 2. 1. เหตุผลและพื้นฐานความคิด
1.1 เหตุผลทางจิตวิทยาและวิชาการ
ก . โ ด ย ธ ร ร ม ช า ติ เ ด็ ก ห รื อ ผู้ เ รี ย น จ ะ มี ค ว า ม ส น ใ จ
ฉงนสนเทห์และมีความกระตือรือร้นในการที่จะแสวงหาความรู้และสร้างความเข้าใจในสิ่งต่างๆ
อยู่เส มอ ส มอ ง ขอ ง เด็กจ ะ ไม่จากัดอ ยู่กับ ก ารเรี ยน รู้ วิช าใ ด วิช าห นึ่ ง เป็ น ส่วน ๆ
โ ด ย เฉ พ าะ เมื่ อ มี ก า ร แ ส ว ง ห า ค ว า ม รู้ ก็ จ ะ เรี ย น รู้ ห ล า ย ๆ อ ย่ า ง พ ร้ อ ม ๆ กั น
ด้วยเหตุนี้หลักสูตรบูรณาการจึงเป็นหลักสูตรที่เหมาะสมเพราะจะสามารถสนองความต้องการของเด็กหรือผู้เรีย
นได้
ข. จากผ ลก ารวิจัยเรื่ อง พั ฒ น าก ารท าง ปั ญ ญ าของ เด็ กใ น ชั้ น ประ ถม ศึก ษ า
แ ส ด ง ว่ า พั ฒ น า ก า ร ท า ง ปั ญ ญ า จ ะ ด า เ นิ น ไ ป เ ป็ น ขั้ น ๆ
แต่ละ ขั้น จะ แตกต่าง กัน ไป และ พัฒ น าการของแต่ละ คน ก็จะ มีอัตราความเจริญ ต่างกัน
แต่ที่สาคัญคือพัฒนาการนั้นจะดาเนินไปด้วยดีในเมื่อเด็กหรือผู้เรียนได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง
ยิ่งประส บการณ์มีความห ลากห ลายเพียงใด โอกาสใ น การพัฒ น าการก็ยิ่งมีมากเพียงนั้ น
เมื่อมาพิจารณาดูหลักสูตรบูรณาการที่มีลักษณะครอบคลุมวิชาหลายวิชาก็จะเห็นว่าเป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เ
รียนได้มีประสบการณ์หลายด้าน
ค.หลักสู ตรบูรณาการส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้สัมผัสกับสื่อการเรียนการสอนหลายๆ
อ ย่าง แ ล ะ ใ ห้ ไ ด้มีโอ ก าส แ ก้ปั ญ ห าด้ว ยต น เอ ง ซึ่ ง เป็ น ก าร ส นั บ ส นุ น ก ารเรี ยน รู้
อนึ่ งแบบฉบับของหลักสูตรยังกระ ตุ้นและสนองความต้องการทางปัญญาและอารมณ์ของผู้เรียนได้
ช่วยใ ห้เกิดการเรียน รู้ต่อเนื่ อง กัน ไปการเรียน การสอน จะ ต้อง ดาเนิ น ไปอย่างมีชีวิตชีวา
โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมความคิดริเริ่มหลักสูตรแบบนี้ทาได้ดีมากส่วนดีอีกประการหนึ่งของหลักสูตรคือช่
วยลดภาวะที่จะต้องท่องจาลงไปอย่างมาก
1.2 เหตุผลทางสังคมวิทยา
ก . เ ป็ น ที่ ย อ ม รั บ กั น แ ล้ ว ว่ า
การศึกษ าจะ เกิดผลดี ที่สุ ดก็ต่อเมื่อใ ห้ ผู้เรี ยน ส ามารถตอบ ปั ญ ห าใ น ชีวิตป ระ จาวัน ได้
ด้วยเหตุนี้หลักสูตรจึงต้องเป็นหลักสูตรสนับสนุนสิ่งดังกล่าวซึ่งคุณสมบัตินี้มีอยู่ในหลักสูตรบูรณาการกล่าวคือ
ป ร ะ ส า น สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ส า ข า วิ ช า ต่ า ง ๆ
ใช้ปัญหาหรือกิจกรรมเป็นศูนย์กลางของหลักสูตรอันจะมีผลให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทักษะและเจคติความต้องกา
รของชีวิต
1.3 เหตุผลทางการบริหาร
- 3. ก.หลักสูตรบูรณาการช่วยให้ลดตาราเรียนได้คือแทนที่จะแยกเป็นตาราสาหรับ แต่ละวิชา
ซึ่ ง ท า ใ ห้ ต้ อ ง ใ ช้ ต า ร า ห ล า ย เ ล่ ม
ก็อาจรวมเนื้อหาของหลายวิชาไว้ในตาราเล่มเดียวกันและยังสามารถทาให้เป็นที่น่าสนใจมากขึ้นด้วย
น อ ก จ า ก นี้ ใ น ก ร ณี ที่ ข า ด แ ค ล น ค รู
หลักสูตรบูรณาการซึ่งอาศัยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นหลักจะช่วยให้ครูหนึ่งคนสามารถสอนได้มากกว่าหนึ่ง
ชั้นในเวลาเดียวกัน
การผสมผสานวิชาเพื่อให้ได้ห ลักสูตรบูรณาการ ทาได้ห ลายวิธีหลายรูปแบบ ดังนั้ น
ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ห ลั ก สู ต ร จึ ง ท า ไ ด้ อ ย า ก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นเด่นชัดประการหนึ่งก็คือหลักสูตรนี้ก้าวข้ามขั้นจากวิธีการที่รวมวิชาเข้าด้วยกันแบบธรรม
ดา ที่ยังทิ้งร่องรอยของวิชาเดิมไว้แต่เป็นการหลอมรวมในลักษณะที่เอกลักษณ์ของวิชาเดิมไม่คงเหลืออยู่เลย
ดังนั้นความรู้หรือทักษะที่ผู้เรียนได้รับจึงเกิดจากการเรียนรู้หลายวิชาในขณะเดียวกัน
ต า ม แ น ว ค ว า ม คิ ด ข้ า ง บ น นี้ อ า จ ก ล่ า ว ไ ด้ ว่ า
หลักสูตรบูรณาการคือหลักสูตรที่โครงสร้างของเนื้อหาวิชามีลักษณะเป็นสหวิทยาการ(Inter-disciplinary)
คือมีการผสมผสานอย่างกลมกลืน แนบแน่นระหว่างองค์ประกอบการเรียนรู้ทุกด้านอันได้แก่พุทธิพิสัย
จิตพิสัย และทักษะพิสัยและ มีกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นสหวิทยาการ (Inter-disciplinary Learning) ด้วย
ใ น บ า ง ต า ร า ก ล่ า ว ว่ า ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร
คือห ลักสู ตรที่โครง สร้างของ เนื้ อห าวิช ามีลักษณ ะ เป็ น หั วข้อห รื อกิจกรรม ห รื อปั ญ ห า
ซึ่งจาเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้แบบสหวิทยาการ
ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร ที่ มี ใ ช้ อ ยู่ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ต่ า ง ๆ ใ น เ อ เ ชี ย
มีทั้งที่เป็นหลักสูตรบูรณาการเต็มรูปและไม่เต็มรูป มีหลายประเทศที่เห็นว่าวิชาประเภททักษะเช่น คณิตศาสตร์
และภาษาถ้าจะจัดการเรียนการสอนให้เกิดผลดี ควรจัดหลักสูตรเป็นแบบรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง
2. ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
ใน ก ารผส มผ สาน วิช าห รื อส าข าวิช าต่าง ๆ เพื่ อ ให้ ได้ห ลักสู ตรบู รณ าการนั้ น
ถ้าจะให้ดีจริงๆนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องพยายามให้เกิดบูรณาการในลักษณะต่อไปนี้โดยครบถ้วนคือ
1. บู ร ณ า ก า ร ร ะ ห ว่ า ง ค ว า ม รู้ แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น รู้
แต่เดิมเมื่อสภ าพ และ ปัญ หาสังคมยังไม่สลับซับซ้อน และ ปริมาณเนื้ อห าก็ยัง ไม่มีมากนั ก
การเรียนรู้ซึ่งใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่นการบอกเล่า การบรรยาย และการท่องจา
อาจทาได้โดยไม่มีปัญหาอะไรในกรณีนี้ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับกระบวนการเรียนรู้เกือบไม่มีอยู่เลยและ
การ เรี ย น รู้ก็นั บ ว่ามีป ระ สิ ท ธิ ภ าพ พ อ ส มค วร แ ต่ใ น ปั จจุ บัน ป ริ มาณ ค วามรู้ มีมาก
- 4. สภ าพ แ ละ ปั ญ ห าสั ง ค มส ลับ ซับ ซ้อน การเรี ยน รู้จะ กระ ท าอ ย่าง เดิ มย่อ มไ ม่ได้ผล ดี
ถ้าจะให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพเราจาเป็นต้องให้กระบวนการการเรียนรู้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรู้
ทั้งนี้หมายความว่าผู้เรียนจะต้องทราบว่าตนจะแสวงหาความรู้ได้อย่างไรและด้วยกระบวนการอย่างไร
2. บู ร ณ าก า รร ะ ห ว่าง พั ฒ น าก า รท า ง ค ว ามรู้ แ ล ะ พั ฒ น าก าร ท า ง จิต ใ จ
มีผู้ก ล่าว ต าห นิ ว่า ก าร ศึ ก ษ ามัก จ ะ ใ ห้ ค ว ามเอ าใ จ ใ ส่ ต่อ ก ารพั ฒ น าจิต ใ จ น้ อ ย ไ ป
คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัยอันได้แก่ความรู้ความคิดและการแก้ปัญหา มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม
ค ว า ม ส น ใ จ
และความสุนทรียภาพซึ่งตามความเป็นจริงแล้วทั้งพุทธิพิสัยและจิตพิสัยก็มีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แ ล ะ เ ป็ น สิ่ ง ที่ แ ย ก กั น ไ ม่ อ อ ก
เพราะการเรียนรู้วิชาการหรือทักษะในด้านหนึ่งด้านใดโดยปราศจากความรู้สึกในคุณค่าของสิ่งที่เรียน
ย่อมเป็นไปไม่ได้ในทางกลับกันถ้าผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่สร้างความรู้สึกพึงพอใจและประทับใจ
ก็จะมุ่งมั่นในการเรียนและเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเหตุนี้การสร้างบูรณาการระหว่างความรู้และจิตใจจึ
งเป็นสิ่งจาเป็น
3.บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทา การสร้างสหสัมพัน ธ์ระหว่างความรู้และ
การกระทามีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา
การเรียนรู้เรื่องค่านิยมและการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเลือกค่านิยมที่เหมาะสมจะปรากฏผลดีห
รื อ ไ ม่ ย อ ม ขึ้ น อ ยู่ กั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ห รื อ ก า ร แ ส ด ง อ อ ก ข อ ง ผู้ เ รี ย น
การแยกความรู้ออกจากการกระทาก็เหมือนกับการแยกหลักสู ตรออกเป็ นส่วนๆ ซึ่งเป็ นไปไม่ได้
ดังนั้นการบูรณาการความรู้และการกระทาเข้าด้วยกัน จึงเป็นสิ่งที่จาเป็น
4.
บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจาวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูต
รดีห รื อไม่ดี คือผลที่เกิดแก่คุณ ภ าพ ของ ชีวิตผู้เรี ยน ด้วยเห ตุนี้ การบู รณ าการวิช าต่าง ๆ
ในหลักสูตรเราจึงต้องแน่ใจว่าสิ่งที่สอนในห้องเรียนนั้นมีความหมายและมีคุณค่าต่อชีวิตของผู้เรียนไม่ว่าผู้เรียน
จ ะ อ ยู่ ที่ ใ ด ก า ร ที่ ใ ห้ เ กิ ด ผ ล ดั ง ก ล่ า ว ไ ด้
หลักสูตรจะต้องกาหนดให้ความสนใจและความต้องการมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของผู้เรียน
และให้เป็นศูนย์กลางของกระบวนการเรียนการสอน
5.บูรณาการระหว่างวิช าต่างๆ ถ้าเรายอมรับว่าบูรณ าการระหว่างความรู้กับจิตใจ
และระห ว่างความรู้กับการกระ ทาเป็ น สิ่ ง ที่จาเป็ น และสาคัญ และเป็ น สิ่ งที่สามารถทาได้
เราก็ย่อมจะ มอง เห็ น คว ามจาเป็ น แล ะ ค ว ามส าคัญ ขอ ง ก ารที่ จะ บู รณ าก าร วิช าต่าง ๆ
- 5. เข้า ด้ ว ย กัน ซึ่ ง อ าจ ท าไ ด้ โ ด ย น า เอ าเนื้ อ ห าข อ ง วิช าห นึ่ ง มา เส ริ ม อี ก วิช า ห นึ่ ง
เ พื่ อ ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ไ ด้ รั บ ค ว า ม รู้ แ ล ะ เ กิ ด เ จ ต ค ติ ต า ม ที่ ต้ อ ง ก า ร
หรือโดยกาหนดปัญหาหรือความต้องการของผู้เรียนเป็นหัวข้อแล้วกาหนดหลักสูตรหรือโปรแกรมการเรียนการ
สอนขึ้น โดยอาศัยเนื้อหาของหลายๆ วิชามาช่วยในการแก้ปัญหานั้น
3. รูปแบบของบูรณาการ
ห ลั ก สู ต ร บู ร ณ า ก า ร เ ท่ า ที่ มี อ ยู่ ใ น เ ว ล า นี้ มี 3 รู ป แ บ บ
แ ต่ ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ จ ริ ง มั ก จ ะ มี ก า ร ผ ส ม กั น ร ะ ห ว่ า ง รู ป แ บ บ ต่ า ง ๆ
ที่นามาจาแนกให้เห็นก็เพื่อความเข้าใจว่าพื้นฐานที่แท้จริงของแต่ละรูปแบบนั้นเป็นอย่างไร
1. บูรณาการภายในหมวดวิชา เราได้ทราบแล้วว่าหลักสูตรกว้างนั้นเป็ นหลักสูตรที่ได้มี
การนาเอาวิชาหลายๆ วิชามารวมกันในลักษณะที่ผสมกลมกลืน แทนที่จะนาเอาเนื้อวิชามาเรียงลาดับกันเฉยๆ
ตัวอย่างเช่น ใน วิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้มีการน าเอาเนื้ อหาวิช าฟิ สิ กส์ เคมี ชีววิทยา มารวมกัน
และต่อมาก็นาเอาวิชาโภชนาการ สุขศึกษา และสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานด้วย หรือในวิชาสังคมศึกษา
ก็ น า เ อ า ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ภู มิ ศ า ส ต ร์ ห น้ า ที่ พ ล เ มื อ ง จ ริ ย ศึ ก ษ า
ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับแนวความคิดของหลักสูตรที่ว่าการเรียนรู้ต้องมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ
2. บูรณาการ ภายในหัวข้อ และโครงการ หลายประเทศในเอเชียนิยมใช้วิธีการแบบนี้คือ
การนาเอาความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไป
ม า ผ ส ม ผ ส า น กั น ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ เ ป็ น หั ว ข้ อ ห รื อ โ ค ร ง ก า ร
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียนและในแต่ละหัวข้อจะมีการแบ่งเป็นหน่วยการเรียน (Unitsof Learning)
ด้วยทาให้เกิดหลักสูตรบูรณาการที่เราเรียกว่า หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม ( TheSocialProcessand Life
Function Curriculum)
3. บูรณาการโดยการผสมผสาน ปัญหาและความต้องการของผู้เรียน และของสังคม
ห ลั ก สู ต ร ที่ ใ ช้ ก า ร ผ ส ม ผ ส า น แ บ บ นี้
ความจริงก็มีรูปแบบเหมือนอย่างสองแบบแรกที่ได้กล่าวมาแล้วคืออาจผสมผสานภายในหมวดวิชาหรือภายในหั
ว ข้ อ แ ล ะ โ ค ร ง ก า ร ก็ ไ ด้ สิ่ ง ที่ แ ต ก ต่า ง อ อ ก ไ ป คื อ หั ว ข้ อ ห รื อ ห น่ ว ย ก า ร เ รี ย น
หรือโครงการจะเน้นการแก้ปัญหาชีวิตประจาวันของผู้เรียนไม่ว่าปัญหาส่วนตัว ปัญหาชุมชน ปัญหางานอาชีพ
ปัญหาสังคม ฯลฯ ตัวอย่างของหัวข้อหรือหน่วยการเรียนได้แก่ “มลภาวะจากอากาศ น้ าและเสียง”
“การตกต่าของผลผลิตทางการเกษตรกรรม” “การตัดไม้ทาลายป่าและการทาลายทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ”
“สภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ” “โรคที่สาคัญ” ฯลฯ
- 6. ในการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาข้างต้นนี้ ผู้เรียนจาเป็นต้องศึกษาหาความรู้จากวิทยาการต่างๆหลายสาขา
ร ว ม ทั้ ง ต้ อ ง มี ทั ก ษ ะ ที่ จ า เ ป็ น ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ด้ ว ย
ก า ร เ รี ย น รู้ จึ ง มี ลั ก ษ ณ ะ เป็ น บู ร ณ า ก า ร เนื่ อ ง จ า ก ต้ อ ง ผ ส ม ผ ส า น วิช า ต่า ง ๆ
ในการแก้ปัญหาสิ่งที่ปรากฏชัดในการเรียนรู้
2. หลักสูตรกว้าง
ห ลั ก สู ต ร ก ว้ า ง ( The Broad-Field Curriculum)
เป็ น ห ลั ก สู ต ร อี ก แ บ บ ห นึ่ ง ที่ พ ย าย า ม แ ก้ไ ข จุ ด อ่อ น ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า
โด ยมี จุด มุ่ง ห มาย ที่ จ ะ ส่ ง เส ริ ม ก าร เรี ยน ก าร ส อ น ใ ห้ เป็ น ที่ น่ าส น ใ จ แ ล ะ เร้ าใ จ
ช่วยใ ห้ผู้เรี ยน มีความเข้าใจและ สามารถปรับตน ใ ห้เข้ากับสภ าวะ แวดล้อมได้เป็ น อย่าง ดี
ร ว ม ทั้ ง ใ ห้ มี พั ฒ น า ก า ร ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ ทุ ก ด้ า น
ก ล่า ว อี ก นั ย ห นึ่ ง ก็ คื อ พ ย า ย า ม จ ะ ห นี จ า ก ห ลั ก สู ต ร ที่ ยึ ด วิ ช า เ ป็ น พื้ น ฐ า น
มีค รู ห รื อผู้ส อน เป็ น ผู้สั่ ง การ แต่เพี ยง ผู้เดี ยว วิช าต่าง ๆ ที่ แ ยก จ าก กัน เป็ น เอก เท ศ
จ น ท า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ม อ ง ไ ม่ เ ห็ น ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่า ง วิ ช า เ ห ล่ า นั้ น
ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถนาเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ จากวิชาที่โทมัส ฮุกซเลย์ (Thomas Huxicy)
ส อ น เด็ ก ที่ เรี ยน อ ยู่ใ น โ รง เรี ยน ใ น ราช ส านั ก ( The Royal Insutunon) ที่ น ค รล อ น ด อ น
วิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้าเทมส์และกิจกรรมต่างๆ ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น
เป็นการนาเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน
สหรัฐอเมริกาเริ่มนาเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1914 โดยวิทยาลัยแอมเฮิรส (Amherst
Collge) จัดทาเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่า สถาบันสังคมและเศรษฐกิจ (Socialand EconomicInstitions) ต่อมาในปี
ค.ศ.1923 มหาวิทยาลัยชิคาโก (Universityof Chicago) ก็ได้จัดหลักสูตรกว้าง มีการสอนวิชาที่รวมวิชาหลายๆ
วิช าเข้าด้วยกัน ได้แ ก่ วิช าการคิ ดแบบ แก้ปั ญ ห าขั้น น า (Introduction to Reflective Thinking)
ธรรมชาติของโลกและมนุษย์ (The Natureof the World and of Man) มนุษย์ในสังคม (Man in Society)
แ ล ะ ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ ค่ า นิ ย ม ข อ ง ศิ ล ป ะ ( The Meaning and Value of the Arts)
ใน ช่วงเวลาเดียวกัน นั้น โรงเรียนมัธยมของสห รัฐอเมริกาเริ่มน าเอาห ลักสูตรแบบกว้างมาใช้
ทาใ ห้ เกิดห มวดวิช าต่าง ๆ ขึ้ น เช่น สั งคม ศึกษา วิทยาศาส ตร์ ทั่วไป พ ลศึ กษา ศิลป ะ
คณิ ต ศาส ตร์ ทั่ว ไป แ ล ะ ภ าษ าใ น ต อ น แ รก ๆ ก ารจัด เนื้ อ ห าใ ช้ วิธี จัด เรี ย ง กัน เฉ ย ๆ
- 7. ไม่มีก าร ผ ส มผ ส าน กัน แต่อ ย่าง ใ ด ท าใ ห้ การ เรี ยน ก าร ส อ น ไม่บ ร รลุ จุด ป ร ะ ส ง ค์
เพราะแต่ละเนื้อหาวิชาต่างก็มีจุดประสงค์ของตน ต่อมาภายหลังจึงได้มีการแก้ไขโดยกาหนดหัวข้อขึ้นก่อน
แล้วจึงคัดเลือกเนื้ อหาที่สามารถสน องจุดประสงค์จากวิช าต่าง ๆ น ามาเรียง กัน อีกต่อหนึ่ ง
วิธี นี้ ทาให้ การเรียน การสอน บ รรลุจุดประ สง ค์ได้ ขณ ะ เดียวกัน ก็มีผลพ วงตามมา คื อ
เ อ ก ลั ก ษ ณ์ ข อ ง แ ต่ ล ะ วิ ช า ห ม ด ไ ป เ นื้ อ ห า วิ ช า ผ ส ม ผ ส า น กั น ม า ก ขึ้ น
ซึ่งในที่สุดได้นาไปสู่หลักสูตรใหม่ที่เราเรียกกันว่า หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Cumculum)
ประเทศไทยได้นาห ลักสูตรมาใช้เป็ นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503โดยเรียงลาดับเนื้ อหาต่างๆ
ที่ มี ค ว า ม ค ล้ า ย ค ลึ ง กั น เ ข้ า ไ ว้ ใ น ห ลั ก สู ต ร
แล ะ ใ ห้ ชื่ อ วิช าเสี ยใ ห ม่ใ ห้ มีค วามห มายก ว้าง ค รอ บ ค ลุ มวิช าที่ น ามาเรี ยง ล าดับ ไ ว้
ตัวอย่างเช่นในหลักสูตรประถมศึกษาพ.ศ.2503ได้มีการนาเอาเนื้อหาบางส่วนของวิชาศีลธรรมหน้าที่พลเมือง
ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มาเรียงลาดับเข้าเป็นหมวดวิชา เรียกว่า สังคมศึกษา เป็นต้น
2. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร
1. จุ ด ห ม าย ข อ งห ลั กสู ต ร มี ข อบ ข่ าย ก ว้ างข ว างก ว่ าห ลั ก สู ต รร าย วิ ช า
ขอบข่ายอาจครอบคลุมไปถึงสังคมด้วย จะเห็นได้จากการที่จุดหมายของหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2503
ค ร อ บ ค ลุ มก าร ฝึ ก อ บ ร มเ พื่ อ น า ไป สู่ คุณ ลั ก ษ ณ ะ ที่ เกี่ย ว กับ ก าร ต ร ะ ห นั ก ใ น ต น
มนุษย์สัมพันธ์ความสามารถในการครองชีพ และความรับผิดชอบตามหน้าที่พลเมือง
2.จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นามารวมกันไว้
ตัวอย่าง เช่น ในหมวดของสังคมศึกษาของประถมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.2503ซึ่งประกอบด้วยวิชาศีลธรรม
ห น้ า ที่ พ ล เ มื อ ง ภู มิ ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์
ได้กาหนดจุดประสงค์ของหมวดวิชาครอบคลุมวิชาทั้งสี่นี้เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขอนาเอาจุดประสงค์ทั้งหมด
(ซึ่งในหลักสูตรเรียกว่าความมุ่งหมาย) มาเสนอไว้ในที่นี้ด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2503หน้าที่ 1)
1.
ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและทางสังคม
2.ให้เด็กมีความรู้และความรู้สึ กซาบซึ้ งใน ความเป็ น มาใน การเมืองของ สังคม
และทางวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละชาติได้สร้างสมกันมาตามประวัติศาสตร์
3. ให้เด็กยอมรับคุณค่าในทางศีลธรรมและวัฒนธรรม และยินดีปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ
4. ใ ห้ เ ด็ ก มี ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ว่ า
ส มาชิ ก ข อ ง สั ง ค มย่อ มมีห น้ าที่ อ าน วย ป ร ะ โยช น์ ใ ห้ แ ก่สั ง ค มตามวิถี ท าง ข อ ง เข า
- 8. สอนให้เด็กได้รู้จักเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่น โดยไม่คานึงถึง เชื้อชาติศาสนา ฐานะทางเศรษฐกิจ
และฐานะทางสังคมของบุคคลนั้น
5. ใ ห้ เ ด็ ก มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ น ค ว า ม สั ม พั น ธ์
ระหว่างบุคคลกับระบอบการปกครองในปัจจุบัน
6. ใ ห้ เด็ ก รู้จัก สิ ท ธิ แ ล ะ ห น้ าที่ ต ล อ ด จน ค ว ามรับ ผิ ด ช อ บ ซึ่ ง พ ล เมือ ง
แ ต่ ล ะ ค น พึ ง มี ต่อ สั ง ค ม ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย โ ด ย เ ฉ พ า ะ ใ น เ รื่ อ ง ค ว า ม มั่ น ค ง
และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศชาติ
7.ให้เด็กมีความรู้ ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับการผลิต การบริโภค
และการสงวนทรัพยากรของสังคม
8. ใ ห้ เ ด็ ก รู้ จั ก เ ห ตุ ผ ล รู้ จั ก ป ร ะ เ มิ น ผ ล
ยอมรับหลักการและกระบวนการที่ถูกต้องในการแก้ปัญหา
3.
โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนาเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้ วมาเรียงลาดับกันเข้า
โ ด ย ไ ม่ มี ก า ร ผ ส ม ผ ส า น กั น แ ต่ อ ย่ า ง ใ ด ห รื อ ถ้ า มี ก็ น้ อ ย ม า ก
อย่างไรก็ตามห ลักสู ต รนี้ เมื่อได้รับการดัด แปลง ใ ห้ เป็ น ห ลักสู ต รบู รณ าการ วิช าต่าง ๆ
จะผสมผสานกันกันจนหมดความเป็นเอกลักษณ์
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ก.ส่วนดี
1. เป็นหลักสูตรที่ทาให้วิชาต่างๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีความสัมพันธ์กันดีขึ้น
2. ในการสอนทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดวามเข้าใจ และมีทัศนะคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น
3.เป็ นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง
เป็นการเอื้ออานวยต่อการจัดกิจกรรม ที่มีประโยชน์ในชีวิตประจาวัน
ข.ส่วนเสีย
1. ห ลัก สู ต รนี้ ถึง แม้ว่าพ ย าย ามจะ ใ ห้ เอ ก ลัก ษ ณ์ ข อ ง แต่ล ะ วิช าห มดไ ป
แต่ก็ยัง ไม่ส ามารถท าใ ห้เนื้ อห าของ วิช าต่าง ๆ เห ล่านั้ น ผส มผส าน กัน จน เป็ น เนื้ อเดียว
ดั ง นั้ น ใ น ก า ร ผู้ ส อ น จึ ง มี แ น ว โ น้ ม ที่ จ ะ รั ก ษ า เอ ก ลั ก ษ ณ์ ข อ ง แ ต่ล ะ วิช า ไ ว้
ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างวิชาขาดหายไป
2.ลักษณะของหลักสูตรทาให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง
เข้าทานองรู้รอบมากกว่ารู้สึก
- 9. 3. เ นื่ อ ง จ า ก ห ลั ก สู ต ร ค ร อ บ ค ลุ ม วิ ช า ต่ า ง ๆ ห ล า ย วิ ช า
ผู้สอนจึงอาจสอนไม่ดีเพราะขาดความรู้บางวิชานอกจากนี้ในการเตรียมการเรียนการสอนจะต้องใช้เวลามาก
เพราะเท่ากับต้องเตรียมสอนหลายวิชา แทนที่จะสอนวิชาเดียวอย่างที่สอนหลักสูตรรายวิชา
4. การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์ เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน
3. หลักสูตรประสบการณ์
หลักสูตรประสบการณ์ (TheExperienceCurriculum) เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่
ไ ม่ ว่ า จ ะ เ ป็ น ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า ห รื อ ห ลั ก สู ต ร ก ว้ า ง
ล้ ว น ไ ม่ส่ ง เส ริ ม ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ส น ใ จ แ ล ะ ก ร ะ ตื อ รื อ ร้ น ใ น ก า ร เ รี ย น เท่ า ที่ ค ว ร
พื้ น ฐ าน ค วาม คิ ด ขอ ง ห ลัก สู ต รนี้ มีมาตั้ ง แ ต่ส มัยรุ ซ โซ (Rousseau) แ ละ เพ ล โต ( Plato)
แต่ได้นามาปฏิบัติจริงเมื่อต้นศตวรรษที่ 20นี้เองนับเป็นก้าวแรกที่ยึดเด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
แ ร ก ที่ เดี ย ว ห ลั ก สู ต ร นี้ มี ชื่ อ ว่า ห ลั ก สู ต ร กิ จ ก ร ร ม ( The Activity Curriculum)
ที่เปลี่ยน ชื่อไปก็เนื่ องจากได้มีการแป ลเจตน ารมณ์ ของห ลักสู ตรผิดไ ป จากเดิม กล่าวคือ
มี บุ ค ค ล บ า ง ก ลุ่ ม คิ ด ว่า ถ้ า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ท า กิ จ ก ร ร ม ต่ า ง ๆ ด้ ว ย ต น เ อ ง แ ล้ ว
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรผู้เรียนก็จะเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ เข้าทานองว่าขอให้ทากิจกรรมก็เป็นใช้ได้
( Activity for activity sake) ด้ ว ย เ ห ตุ นี้ จึ ง ไ ด้ มี ก า ร คิ ด ว่า ค ว ร เ ป ลี่ ย น ชื่ อ เ สี ย ใ ห ม่
ประกอบกันในระยะนั้นทฤษฎีเปลี่ยนชื่อเป็นหลักสูตรประสบการณ์ ต่อมาภายหลังเมื่อ วิลเลี่ยมคิลแพทริก
( William Kilpatrick)
นาเอาความคิดเรื่องการจัดประสบการณ์ในรูปการสอนแบบโครงการเข้ามาหลักสูตรนี้ก็ได้ชื่อเพิ่มขึ้นอีกชื่อหนึ่ง
ว่ า ห ลั ก สู ต ร โ ค ร ง ก า ร ( The Project Curriculum)
อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในที่นี้เราจะใช้ชื่อหลักสูตรประสบการณ์เพียงชื่อเดียว
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
ห ลักสู ตรป ระ สบ การณ์ ถูกน ามาใช้ครั้ งแรกที่ โรงเรียน ทดลอง (Laboratory School)
ของ มหาวิทยาลัยซิคาโก ป ระ เทศส หรัฐอเมริ กา เมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยจอห์ น และ แมรีดิวอี้
พื้นฐานของหลักสูตรตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน
จะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4 อย่างคือ
1. แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ท า ง สั ง ค ม ( Social Impulse)
ซึ่งเห็นได้จากการที่ผู้เรียนมีความปรารถนาที่จะคบหาสมาคมกับเพื่อน
- 10. 2. แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ท า ง ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ( Constructive Impulse)
ซึ่งสังเกตได้จากการที่ผู้เรียนไม่อยู่นิ่งชอบเล่น ชอบทากิจกรรม ชอบเล่นสมมุติ ชอบประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ฯลฯ
3.แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง (Impulse to Investigateand Experiment) หมายถึง
ความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งอยากทดลองทาสิ่งที่ตนสงสัย จะเห็นได้จากการที่ผู้เรียนชอบรื้อค้นสิ่งต่างๆ
และเล่นกับสิ่งที่อาจจะเป็นอันตราย เช่น เอามือไปแหย่ไฟด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นต้น
4.แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคาพูด การกระทาและทางศิลปะ (Expressiveor Artistic
Impulse) ได้แก่การแสดงออกในด้านการขีดเขียน การพูด การวาดภาพ การเล่นดนตรี ฯลฯ
จ อ ห์ น ดิ ว อิ ถื อ ว่า แ ร ง ก ร ะ ตุ้ น ทั้ ง 4 อ ย่ า ง นี้ ผู้ เ รี ย น มี อ ยู่ พ ร้ อ ม
และจะนาออกมาใช้ตามขั้นของพัฒนาการของตน ดั้งนั้นถ้าจะให้ผู้เรียนรู้และมีทักษะในด้านหนึ่งด้านใด
ก็ควรเริ่มต้น จากกิจกรรมที่เป็ น แรงกระตุ้นอยู่แล้ว และถ้าจะ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น กิจกรรมต่างๆ
เ ห ล่ า นั้ น ค ว ร มี ป ร ะ โ ย ช น์ แ ก่ ผู้ เ รี ย น ด้ ว ย
โดยเฉพาะควรเป็นกิจกรรมประเภทการงานที่มีประโยชน์ต่อชีวิติประจาวัน เช่น งานประกอบอาหาร
งานเย็บปักถักร้อย และงานช่าง เป็ นต้น สาหรับทักษะต่างๆ เช่น การอ่าน การเขียนและการคิดเลข
ควรเป็นผลที่เกิดจากการกระทากิจกรรมต่างๆตามที่ได้กล่าวมาแล้วโดยที่เด็กหรือผู้เรียนมองเห็นด้วยตนเองว่า
ถ้าจะทากิจกรรมให้เกิดผลดีก็จาเป็นต้องเรียนรู้ทักษะต่างๆ ควบคู่ไปด้วย
ใ น ปี ค .ศ . 1904 นั ก ก า ร ศึ ก ษ า อี ก ท่ า น ห นึ่ ง ชื่ อ มิ เ รี ย ม ( J.L Meriam)
ได้ทดลองนาหลักสูตรประสบการณ์ไปใช้ในโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยมิสซูรี (Universityof Missouri)
โดยกาหนดขอบเขตของหลักสูตรให้คลอบคลุมกิจกรรม 4อย่างคือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการสังเกตพิจารณา
กิจกรรมที่เกี่ยวกับการเล่น กิจกรรมที่เกี่ยวกับนิ ยายและเรื่องราวต่างๆ และกิจกรรมที่เกี่ยวกับ
การทางานด้วยมือ หลักการของหลักสูตรก็เหมือนกันกับของจอห์น ดิวอี้ คือใช้ทักษะในการอ่าน เขียน คิดเลข
เป็นเครื่องส่งเสริมประสิทธิภาพในการทากิจกรรม
ในปี ค.ศ. 1918นักการศึกษาอเมริกันที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ งคือ วิลเลียมคิลแพทริก (W.H.
Kilpatrick) ไ ด้ เ ขี ย น บ ท ค ว า ม ชื่ อ วิ ธี ส อ น แ บ บ โ ค ร ง ก า ร ( The Project Method)
เป็นผลให้หลักสูตรประสบการณ์ในรูปแบบของโครงการถูกนามาใช้อย่างแพร่หลายในชั้นประถมศึกษาแต่ในชั้
น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ห ลั ก สู ต ร นี้ ไ ม่ ป ร ะ ส บ ผ ล ส า เ ร็ จ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าครูและผู้บริหารยังคงถูกอิทธิพลของหลักสูตรรายวิชาครอบงาอยู่
อย่าง ไรก็ตาม ห ลักสู ตรป ระ สบ ก ารณ์ ได้รับ ความนิ ยมอยู่ไม่น าน ก็ซ บเซ าไป
ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาของหลักสูตรนี้มีมาก และปัญหาบางอย่างก็ยังแก้กันไม่ตก ดังจะได้กล่าวต่อไป
- 11. สาหรับประเทศไทยได้มีการศึกษาเกี่ยวกับวิธีสอนแบบโครงการในสถานศึกษาฝึกหัดครูก่อน พ.ศ.
2500 เ สี ย อี ก แ ต่ ไ ม่ ไ ด้ มี ก า ร จั ด ท า ห ลั ก สู ต ร โ ค ร ง ก า ร ขึ้ น ใ ช้
ได้มีการนาเอาวิธีสอนแบบโครงการมาทดลองใช้บ้างในบางที่บางแห่ง แต่ก็เป็นเพียงการทดลองเท่านั้น
2. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร
1.ความสนใจของผู้เรียน เป็นตัวกาหนดเนื้อหาและเค้าโครงหลักสูตร ลักษณะข้อนี้หมายความว่า
จ ะ ส อ น อ ะ ไ ร เ มื่ อ ใ ด
และจะเรียงลาดับการสอนก่อน หลังอย่างไรขึ้นอยู่กับความสน ใจและความต้องการของผู้เรียน
ก ล่ า ว อี ก นั ย ห นึ่ ง ก็ คื อ
กิจกรรมที่ผู้เรียนกระทาเป็นกิจกรรมที่เขามองเห็นความจาเป็นและประโยชน์อย่างแท้จริงไม่ใช่สนใจเพราะเห็น
ว่าเป็นเรื่องสนุกสนานและไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่ผู้ใหญ่คิดเอาเองว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ
แ น ว ค ว า มคิ ด ข อ ง ห ลั ก สู ต ร นี้ มี ว่า เ ว ล า ที่ ผู้เ รี ย น ท า กิจ ก ร ร ม ใ ด ๆ ก็ ต า ม
ผู้เรี ยน ย่อมห วัง ผลอ ย่าง ใด อย่าง ห นึ่ ง ไม่ใ ช่ท าขึ้ น ลอยๆ โดยปราศ จากความมุ่ง ห มาย
คว ามส น ใ จข อ ง ผู้เรี ยน ย่อ มมีอ ยู่แ ล ะ เป็ น ห น้ าที่ ขอ ง ผู้ส อ น ที่ จะ ต้อ ง ค้น ห าใ ห้ พ บ
แล้ว ใ ช้เป็ น บัน ได ใ น ก าร ส ร้ าง กิจก รร มที่ เป็ น ป ระ โย ช น์ ท าง ก ารศึ ก ษ าแ ก่ผู้เรี ย น
แนวความคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรประสบการณ์ประกอบด้วยกิจกรรมอันจะนาไปสู่ความสนใจใหม่และกิจกร
รมใหม่ต่อเนื่องกัน ไป อย่างไรก็ตามปัญหาสาคัญ ที่ควรเอาใจใส่ก็คือความสน ใจของผู้เรียน
ในเรื่องนี้ เราจะต้องระวังอย่าเอาไปปะปน กับสิ่งที่เขาเห่อหรือนิยมชมชอบเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
พึงเข้าใจว่าความสนใจที่แท้จริงนั้นจะต้องประกอบด้วยจุดมุ่งหมายที่แน่นอนและเมื่อได้ทราบความสนใจที่แท้จ
ริงแล้ว จึงใช้เป็นพื้นฐานในการวางแผนการสอนต่อไป
ห ลัก ที่ ว่าแ ผน ก าร ส อ น ขึ้ น อยู่กับ คว าม ส น ใ จแ ล ะ คว าม ต้อ ง ก าร ขอ ง ผู้เรี ย น
ชี้ให้เห็นว่าเนื้อหาวิชาเปรียบเสมือนเครื่องมือที่จะสนองความมุ่งหมายหรือความใฝ่ฝันของแต่ละบุคคลและของ
ห มู่ ค ณ ะ เ ป็ น ก า ร ต ร ง กั น ข้ า ม กั บ ทั ศ น ะ ดั้ ง เ ดิ ม ที่ ว่ า
ความมุ่งหมายและความสนใจของผู้เรียนเปรียบเสมือนเครื่องช่วยให้ผู้เรียนสามารถเป็นวิชาที่ผู้ใหญ่กาหนดให้เรี
ย น ไ ด้ ดี ขึ้ น
ในที่นี้เนื้อวิชามีประโยชน์ในการกาหนดลักษณะของกิจกรรมที่จะตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจข
อ ง ผู้ เ รี ย น ซึ่ ง ห ม าย ค ว า ม ว่า ค ว า ม รู้ เกิ ด ขึ้ น จ าก ผ ล ข อ ง ก า ร ก ร ะ ท าข อ ง ผู้ เรี ย น
เ ป็ น ก า ร ก ร ะ ท า เ พื่ อ ใ ห้ บ ร ร ลุ ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ต น ก ล่ า ว คื อ
ในระหว่างที่ทากิจกรรมนั้นผู้เรียนจะเกิดความต้องการความรู้ และเมื่อได้ศึกษาเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้อง
ก็ทาให้เรียนสิ่งที่ต้องการ
- 12. อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ปั ญ ห า ที่ ผู้ ส อ น ยั ง ต้ อ ง เ ผ ชิ ญ อ ยู่ ก็ คื อ
จ ะ ท า อ ย่า ง ไ ร กั บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ผู้ เ รี ย น แ ต่ล ะ ค น แ ล ะ ทั้ ง ห ม ด ใ น ชั้ น
เป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องค้นหาความสนใจทั้งสองประเภทนี้เสียก่อนแล้วช่วยให้ผู้เรียนเลือกว่าอะไรคือควา
ม ส น ใ จ ที่ แ ท้ จ ริ ง
อะไรที่มีคุณค่าสาหรับส่วนรวมและแต่ละคนทั้งนี้เพื่อจะได้สามารถสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรี
ยนได้อย่างเต็มที่
2. วิ ช า ที่ผู้ เรี ย น ทุ ก ค น ต้ อ งเรี ย น คื อ วิช าที่ ผู้เรี ย น มี ค วาม ส น ใ จ ร วมกัน
ความสน ใ จรวมกัน จะ ต้อง อาศัยความรู้เรื่ อง พัฒ น าการของเด็ก รวมทั้งพื้ น ฐาน ครอบครัว
ซึ่ ง จ ะ ชี้ ถึ ง ค่ า นิ ย ม ล ะ ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ด้ ว ย
เมื่อทราบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่สนใจอะไรก็นาเอามาจัดเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนขึ้น
ก า ร ที่ ต้ อ ง อ า ศั ย ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ห ลั ก
ทาให้เห็นความแตกต่างระหว่างหลักสูตรประสบการณ์กับหลักสูตรรายวิชา และหลักสู ตรแกน
โ ด ย ที่ เ นื้ อ ข อ ง ห ลั ก สู ต ร แ บ บ ห ลั ง ทั้ ง ส อ ง แ บ บ จ ะ ถู ก ก า ห น ด ไ ว้ล่ว ง ห น้ า
แต่ห ลักสู ตรป ระ สบ ก ารณ์ กาห น ด เนื้ อห าจาก ความส น ใ จขอ ง ผู้เรี ยน เป็ น คราวๆ ไป
น อ ก จ า ก นี้ ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า ยั ง อ า ศั ย ค ว า ม รู้ เ ป็ น ก ร อ บ
และหลักสูตรแกนก็อาศัยปัญหาสังคมเป็นกรอบซึ่งต่างกับหลักสูตรประสบการณ์โดยสิ้นเชิง
3. โป รแกรมการสอน ไม่ ได้ กาห น ด ไว้ ล่ ว งห น้ า ที่กล่าวเช่น นี้ ห มายความว่า
ใ น ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ผู้ ส อ น ไ ม่ส าม า ร ถ ก า ห น ด กิ จ ก ร ร ม ก า ร เรี ย น ไ ว้ล่ว ง ห น้ า
แ ต่ ทั้ ง นี้ มิ ไ ด้ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ผู้ ส อ น ไ ม่ เ ต รี ย ม ตั ว ก า ร ส อ น เ ล ย
อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ผู้เรียนต้องกระทาก่อนการสอนก็คือ การสารวจความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนและทั้งชั้น
และ ช่วยผู้เรียน ใ น ก ารตัดสิ น ใ จว่าค วามส น ใ จเรื่ อง ใ ดมีคุณ ค่าควรแก่การศึ กษา อนึ่ ง
เมื่อ ล ง มือ ส อ น ห น้ า ที่ ข อ ง ผู้ ส อ น ก็ คื อ ก า ร ช่ว ย ผู้ เรี ย น ว่าง แ ผ น กิ จ ก ร ร มต่าง ๆ
และช่วยในการประเมินผลกิจกรรมที่ทาไปแล้ว
4 . ใ ช้ วิ ธี แ ก้ ปั ญ ห า เ ป็ น ห ลั ก ใ ห ญ่ ใ น ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น
ดังได้กล่าวแล้วว่าในหลักสูตรประสบการณ์ผู้สอนและผู้เรียนรวมกันพิจารณาตัดสินว่าควรจะทากิจกรรมอะไร
จึงเห็นได้ว่านับตั้งแต่เริ่มแรกก็มีปัญหาต้องขบคิดกันแล้ว คือปัญหาที่ว่าจะทาอะไร อย่างไร และเมื่อใด
จ ะ ต้ อ ง อ า ศั ย อ ะ ไ ร เ ป็ น เ ค รื่ อ ง ช่ ว ย เ พื่ อ ใ ห้ ก า ร ก ร ะ ท า ส า เ ร็ จ ผ ล
ปั ญ ห า แ ล ะ อุ ป ส ร ร ค ที่ จ าเ ป็ น ต้ อ ง แ ก้ไ ข เป็ น ก า ร ล่ว ง ห น้ า มี อ ะ ไ ร บ้ า ง ฯ ล ฯ
สิ่ ง ดัง ก ล่าว นี้ ชี้ ใ ห้ เห็ น ว่าก าร ส อ น ต ามห ลัก สู ต รป ร ะ ส บ ก าร ณ์ ไม่ใ ช่เป็ น เรื่ อ ง ง่าย
- 13. ไ ม่ ใ ช่ เ ป็ น ก า ร บ อ ก วิ ช า แ ก่ ผู้ เ รี ย น โ ด ย ต ร ง
จริ ง อยู่การบ อกวิช าอาจมีบ้าง เป็ น ค รั้ง คราวแ ต่ไม่ใ ช่เป็ น หั วใ จของ การเรี ยน ก ารสอ น
ถ้าผู้เรียนจะได้รับความรู้อะไรจากการบอกเล่าก็ควรเป็นในแง่ที่ความรู้นั้นจะช่วยกระตุ้นหรือส่งเสริมการแก้ปัญ
ห าที่ ก า ลัง ท าอ ยู่ คุ ณ ค่าข อ ง ห ลัก สู ต ร ไม่ได้ อ ยู่ที่ ค าต อ บ ที่ ไ ด้จ าก ก าร แ ก้ปั ญ ห า
แ ต่อ ยู่ที่ ผ ล ซึ่ ง ผู้ เรี ย น ไ ด้ รั บ จ า ก ก า ร ที่ มี ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า นั้ น
โ ด ย ใ น ดั ง ก ล่ า ว วิ ช า จึ ง เ ป็ น เ ค รื่ อ ง มื อ ส า ห รั บ ใ ช้ แ ก้ ปั ญ ห า
แ ล ะ ด้ ว ย เห ตุ ผ ล นี้ ห ลั ก สู ต ร ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ จึ ง ใ ช้ วิช า เ กื อ บ ทุ ก วิช า เ ข้ า ช่ ว ย
สุดแท้แต่ว่าปัญหาจะพาดพิงถึงหรือต้องอาศัยวิชาใด ขณะเดียวกันผู้เรียนก็จะได้เรียนรู้วิชาต่างๆ
และฝึกทักษะไปด้วยในระหว่างที่ทาการแก้ปัญหา เป็นการเรียนรู้และฝึกทักษะในเมื่อความสนใจได้เกิดขึ้นแล้ว
3. ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์
ดัง ได้กล่าวแล้วว่าห ลักสู ตรประ สบการณ์ อาศัยความสน ใ จของ ผู้เรียน เป็ น ห ลัก
ในการจัดเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนั้นจึงสร้างปัญหาแก่ผู้ใช้หลักสูตรอย่างมาก ที่สาคัญคือ
1. ปัญหาการกาหนดวิชาในหลักสูตร หลักสูตรประสบการณ์นาเอาแนวความคิดใหม่มาใช้
คือแทนที่จะคิดในรูปแบบของวิชาอย่างหลักสูตรรายวิชา กลับมองความสนใจปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลัก
เมื่อเป็ น ดังนี้ จึงเกิดปั ญ ห าว่าผู้เรียน จะ ได้เรี ยน อะ ไร การกาห น ดเนื้ อห าย่อมท าได้ยาก
ประสบการณ์ที่จัดให้ตามความสนใจอาจไม่ใช่ประสบการณ์ขั้นพื้นฐานที่จาเป็นก็ได้นอกจากนี้การที่ยึดความส
นใจเป็นหลักอาจเกิดปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของประสบการณ์รวมทั้งความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาที่เรียนด้วย
ปัญหาที่สาคัญอีกปัญหาหนึ่ งก็คือ ครูหรือผู้สอน อาจเผลอน าเอาความสนใจของตนมาสรุปว่า
เป็นความสนใจของผู้เรียน ถ้าหากเป็นดังว่าก็เท่ากับได้ทาลายหลักการของหลักสูตรนี้โดยสิ้นเชิง
2. ปัญ ห าการจัด แบ่ งวิชาเรีย น ใน ชั้ น ต่ างๆ ใ น การจัด แบ่ง เนื้ อห าใน ชั้ น ต่าง ๆ
หลักสูตรประสบการณ์ใช้หลักเดียวกันกับหลักสูตรรายวิชา คือพิจารณาจากวุฒิภาวะ ประสบการณ์เดิม
เนื้ อ ห าวิช าที่ เรี ย น มาแ ล้ว ค วา มส ม ใ จ ป ระ โ ย ช น์ แ ล ะ ค ว ามย าก ง่าย ข อ ง เนื้ อ ห า
ข้อแตกต่างมีว่าหลักสูตรประสบการณ์ไม่ได้คิดเพียงการนาเอาเนื้อหาวิชามาเรียนลาดับกันเท่านั้น
แต่จะพิจารณาด้วยว่าเนื้อหาอะไรที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด ปัญหานี้ยังหาคาตอบที่พอใจไม่ได้
แ ร ก ที เ ดี ย ว ก็ เ ข้ า ใ จ กั น ว่ า ก า ร จั ด แ บ่ ง วิ ช า ใ น ชั้ น ต่ า ง ๆ
ต า ม แ น ว คิ ด ข อ ง คิ ด ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ไ ม่น่ า จ ะ มี ปั ญ ห า อ ะ ไ ร
เพราะตราบใดที่ผู้สอนและผู้เรียนมีอิสรเสรีในการเลือกกิจกรรมด้วยตัวเองแล้วปัญหาก็ไม่น่าจะเกิดขึ้ น
- 14. ค รั้ น เ มื่ อ ล ง มื อ ป ฏิ บั ติ จ ริ ง ก ลั บ ป ร า ก ฏ ว่า มี ปั ญ ห า ม า ก เ ป็ น ต้ น ว่ า
ไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาระหว่างชั้นเรียนได้และบางทีก็มีการจัดกิจกรรมซ้าๆ กันทุกปี
ไ ด้ มี ก า ร แ ก้ ไ ข โ ด ย ก า ร จั ด ท า ต า ร า ง ส อ น ข อ ง แ ต่ ล ะ ปี ขึ้ น แ ต่ ก็ ไ ม่ไ ด้ ผ ล
เพราะตารางสอนเหล่านั้นเป็นเรื่องของเก่าไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าในปีใหม่ควรทาอะไรกัน
4. หลักสูตรรายวิชา
ห ลั ก สู ต ร ร า ย วิ ช า (The Subject Curriculum)
เป็ น ห ลักสู ต รที่ ใ ช้กัน ม าแ ต่ดั้ ง เดิม ไม่เฉ พ าะ แ ต่ใ น ยุโรป ห รื อส ห รัฐอ เมริ ก าเท่านั้ น
ป ร ะ เ ท ศ ใ น เ อ เชี ย ร ว ม ทั้ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ก็ ไ ด้ ใ ช้ ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ม า แ ต่ ต้ น
การที่ เรี ยน กว่าห ลักสู ต รรายวิช าก็เนื่ อ ง จากโค รง ส ร้าง ข อง เนื้ อ ห าวิช าใ น ห ลักสู ต ร
จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จาเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าในด้านเนื้อหาหรือการสอน
ส า ห รั บ เนื้ อ ห า ที่ คั ด ม า ถื อ ว่า เป็ น เ นื้ อ ห า ที่ ส า คั ญ แ ล ะ จ า เ ป็ น ต่อ ก า ร เรี ย น รู้
หลักสู ต รข อง ไท ยเราที่ ยัง เป็ น ห ลักสู ตรรายวิช า ได้แก่ ห ลัก สู ตรมัธยมแ ละ อุดมศึกษ า
แต่มีการปรับปรุงโครงสร้าง โดยนาเอาระบบหน่วยกิตมาใช้ ซึ่งจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป
1. ลักษณะสาคัญของหลักสูตร
1.จุดมุ่งหมายของหลักสูตร มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ เป็นเครื่องมือ
ดั ง นั้ น โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง ห ลั ก สู ต ร จึ ง ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย วิ ช า ต่ า ง ๆ ห ล า ย วิ ช า
ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรคิดว่าจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการตามที่ได้ดั่งจุดหมายไว้
2. จุ ด มุ่ง ห มาย ข อ ง ห ลัก สู ต ร อ าจ มีส่ ว น สั มพั น ธ์ กับ สั ง ค ม ห รื อ ไ ม่ก็ ไ ด้
และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คานึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
3. จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ข อ ง แ ต่ ล ะ วิ ช า ใ น ห ลั ก สู ต ร
เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ เป็นสาคัญ
4. โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง เ นื้ อ ห า วิ ช า
ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น และจะถูกจัดไว้อย่างมีระบบ
เป็นขั้นตอน เพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน
5.กิจกรรมการเรียนการสอน เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจาเนื้อหาวิชา
ก า ร ส่ ง เส ริ มพั ฒ น า ก า ร ใ น ด้ า น อื่ น ๆ ถื อ ว่า เป็ น เรื่ อ ง กิ จ ก ร ร ม น อ ก ห ลั ก สู ต ร
หรือไม่ก็เป็นผลพวงจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชา
6. การประเมินผลการเรียนรู้ มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมา
- 15. 2. ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ก.ส่วนดี
1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรซึ่งเน้นเนื้อหาวิชา ช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย
2. เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลาดับขั้นอย่างมีระบบ เป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน
3. การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบ ทาให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง
4. การประเมินผลการเรียนทาได้ง่ายเพราะมุ่งประเมินความรู้ที่ได้รับเป็นสาคัญ
ข.ส่วนเสีย
1.เนื่องจากจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเน้นการถ่ายทอดความรู้ตามเนื้ อหาที่กาหนดไว้
ดั ง นั้ น จึ ง มั ก ล ะ เ ล ย ต่ อ ส ภ า พ แ ล ะ ปั ญ ห า ข อ ง สั ง ค ม แ ล ะ ท้ อ ง ถิ่ น
ทาให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้
2.การเน้นเนื้อหา ทาให้ผู้เรียนไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านอารมณ์และสังคมเท่าที่ควร
น อ ก จ า ก นี้ ก า ร ที่ มุ่ ง ใ ห้ จ า เ นื้ อ ห า
ทาให้ผู้เรียนไม่ได้รับการฝึกฝนเรื่องการคิดทักษะในการแก้ปัญหาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จะหย่อนไป
3. ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้ ท า ใ ห้ ผู้ ส อ น ล ะ เ ล ย ก า ร เ รี ย น รู้ อื่ น ๆ
ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหาการเรียนดังกล่าวเรียกว่า การเรียนที่เป็นผลพวง (Concomitant Learning)
ซึ่งอาจเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ผู้เรียนก็ได้
4. ก า ร ที่ ห ลั ก สู ต ร จั ด แ ย ก วิ ช า ต่ า ง ๆ
ออกเป็ น เอกเทศโดยไม่สัมพันธ์กัน ทาให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เรียน
อัน จะ น าไป สู่ จุด ห ม ายข อง ห ลักสู ตรสิ่ ง ที่ ม อง เห็ น ก็คื อ จุด ป ระ ส ง ค์ ขอ ง แ ต่ละ วิช า
ซึ่ ง ก ร ะ จั ด ก ร ะ จ า ย แ ย ก กั น เ ป็ น อิ ส ร ะ เ ป็ น ก า ร ส ร้ า ง ทั ศ น ะ แ ค บ ๆ
ในด้านการเรียนรู้ซึ่งเท่ากับบั่นทอนความอยากรู้ไปในตัว
5.ถึงแม้ว่าหลักสูตรแบบนี้ จะมีการจัดโครงสร้างและลาดับของเนื้อหาอย่างมีระบบ
แ ต่ ก็ มั ก จ ะ ล ะ เ ล ย ค ว า ม ส น ใ จ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ทั้ ง นี้ ด้ ว ย เ ห ตุ ผ ล ที่ ว่ า
การจัดเนื้อหานั้นจะยึดหลักเหตุผลในด้านเนื้อหาสาระของวิชาเกณฑ์โดยไม่คานึงถึงหลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับ
พัฒนาการและความต้องการของผู้เรียนแต่อย่างใด ซึ่งเท่ากับการแยกความรู้และความสนใจออกจากกัน
ดังนั้นการเรียนจึงไม่เกิดผลสูงสุด เพราะผู้เรียนขาดความสนใจในสิ่งที่ผู้เรียนเรียนตั้งแต่ต้นแล้ว
6. กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ต า ม ห ลั ก สู ต ร แ บ บ นี้
จ ะ จ า กั ด อ ยู่ ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ ผู้ ส อ น เ ป็ น ผู้ ใ ห้ แ ล ะ ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ผู้ รั บ
ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนจากความเป็นประชาธิปไตยได้ง่าย
- 16. บรรยากาศในห้องเรียนมักจะมีความเคร่งเครียดและประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะได้รับจะถูกจากัดให้อยู่ในวงแคบ
ทาให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียน
3. การปรับปรุงหลักสูตร
เนื่องจากหลักสูตรรายวิชามีข้อบกพร่องหลายประการดังกล่าวแล้วจึงได้มีการปรับปรุงแก้ไข
วิธีการที่ทามี 2 วิธี คือ
1. จั ด เ รี ย ง ล า ดั บ เ นื้ อ ห า ใ ห้ ต่ อ เ นื่ อ ง กั น ( Articulation) คื อ
จัดเนื้อหาที่อยู่ในชั้นเดียวกันหรือระหว่างชั้น ให้ต่อเนื่องกัน โดยรักษาความเป็นวิชาของแต่ละวิชาไว้
การจัดมีอยู่ 2 แบบ คือ
ก . จั ด ใ ห้ ต่ อ เ นื่ อ ง ต า ม แ น ว น อ น ( Horizontal Articulation) ห ม า ย ถึ ง
การจัดเนื้อหาของวิชาหนึ่ งให้สัมพันธ์หรือต่อเนื่องกับของอีกวิชาหนึ่ ง ซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน เช่น
กาหนดเนื้อหาเรื่องปฏิภาคไว้ในวิชาคณิตศาสตร์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนาเอาความรู้ไปใช้ในการคานวณในเรื่อง
กฎของก๊าซ ซึ่งจัดไว้คู่ขนานกันในวิชาวิทยาศาสตร์ หรือจัดเนื้อหารายวิชาวรรณคดีไทยในกรุงศรีอยุธยา
ไว้คู่ขนานกับประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาในชั้นเดียวกัน และให้เรียนในเวลาใกล้เคียงกันด้วย
ข.จัดให้ต่อเนื่องในแนวตั้ง (VerticalArticulation) หมายถึง การจัดเนื้อหาที่อยู่ต่างชั้นกัน คือ
ระหว่างชั้นต่ากับชั้นสูงโดยทาให้เกิดความต่อเนื่องของวิชา ตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษา
แ ล ะ อ า จ ถึ ง ม ห า วิ ท ย า ลั ย ด้ ว ย ก็ ไ ด้
ถ้าการจัดใช้หลักอย่างเดียวกันการจัดความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาตามแบบนี้จะจัดภายในหลักสูตรเดียวกัน เช่น
ระ ห ว่าง ชั้ น ป .1 ถึ ง ป .6 ใ น ร ะ ดับ ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า ห รื อ ระ ห ว่าง ชั้ น ป .6 ถึ ง ชั้ น ม .1
ข อ ง ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ห รื อ ร ะ ห ว่า ง มั ธ ย ม ศึ ก ษ า กั บ ม ห า วิ ท ย า ลั ย ก็ ไ ด้
หลักในการจัดทานองเดียวกันกับการจัดลาดับเนื้อหาของแต่ละรายวิชา คือ อาศัยหลักความจาเป็นก่อนหลัง
ความยากง่ายของเนื้อหา และหลักอื่นๆ ที่เห็นว่าสาคัญ
2. จั ด โ ด ย ก า ร เ ชื่ อ ม โ ย ง เ นื้ อ ห า เ ข้ า ด้ ว ย กั น ( Coherence)
คือ จัด เนื้ อ ห าข อง แ ต่ล ะ วิช าใ ห้ เชื่ อ มโ ยง กัน ใ น ลัก ษ ณ ะ ที่ ส่ ง เส ริ มซึ่ ง กัน แ ล ะ กัน
ทาให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ผสมกลมกลืนไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน การเชื่อมโยงโดยวิธีการดังกล่าวนี้ทาได้2 ระดับ
คือ
ก. ระดับความคิด (Cognitive level) จุดหมายของหลักสูตรข้อหนึ่ งที่เราต่างก็ยอมรับกัน คือ
การพัฒนาความสามารถทางปัญญา อันได้แก่ความรู้ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ ความพึงพอใจ ฯลฯ สิ่งต่างๆ
เหล่านี้ต่างมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือความสามารถอย่างหนึ่ งจะส่งเสริมความสามารถอีกอย่างหนึ่ ง
และผลสัมฤทธิ์ทางปัญญาทั้งหมดทุกด้านย่อมมีผลต่อการพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลส่วนรวม
- 17. การจัดหลักสูตรตามหลักการเชื่อมโยงในระดับความคิดหมายถึงการจัดโดยให้เนื้อหาส่งผลให้ผู้เรียนมีความสาม
า ร ถ ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ ใ น ลั ก ษ ณ ะ ที่ ผ ส ม ก ล ม ก ลื น กั น
เป็ นการจัดที่เชื่อมโยงการเรียนรู้กับการพัฒน าการของบุคคลเข้าด้วยกัน เช่น จัดวิช าวรรณคดี
ไม่เพียงแต่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เท่านั้นแต่ให้เกิดเจตคติที่ดีต่อวิชานั้นด้วยหรือให้การเรียนวิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่
จ ะ พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ใ น ก า ร ท ด ล อ ง เ ท่ า นั้ น
แต่ให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในประโยชน์ที่วิทยาศาสตร์มีต่อมนุษย์ชาติอีกด้วย
ข . ร ะ ดั บ โ ค ร ง ส ร้ า ง (Organizational Level) ห ม า ย ถึ ง
การจัดให้เนื้อหาในแต่ละวิชาเอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน และเกิดประโยชน์ต่อวิชาอื่นๆ ด้วย
เป็ น การจัดที่เพ่งเล็ง ที่เนื้ อห าไม่ใ ช่ตัวบุคคลเห มือน กับระ ดับความคิด ดังนั้ น ผู้จัดจะดูว่า
เนื้ อห าของแต่ละวิช านั้ น จะเชื่อมโยงและอานวยประโยช น์ แก่วิชาอื่น อย่างไร ตัวอย่างเช่น
การอ่านในวิชาภาษาไทยจะกาหนดเนื้อหาให้มีเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาอยู่ด้วย เป็นต้น
วิธีการจัดโดยโยงเนื้อหาเข้าด้วยกันนี้ ทาให้เกิดหลักสูตรสัมพันธ์วิชา (The Correlated Curriculum)
5. หลักสูตรแกน
หลักสูตรแกน (TheCoreCurriculum) ถือกาเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900
ด้ ว ย เ ห ตุ ผ ล ส อ ง ป ร ะ ก า ร คื อ
ความพยายามที่จะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็ นรายวิชาย่อยๆ หรือพูดง่ายๆ
ก็คื อ ค วามพ ยาย ามที่ จ ะ ใ ห้ ห ลุ ด พ้ น จ าก ก ารเป็ น ห ลัก สู ต ร ราย วิช า ป ร ะ ก ารห นึ่ ง
และความพยายามที่จะดึงเอาความต้องการและปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร อีกประการหนึ่ง
แรกทีเดียวได้มีการนาเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ มารวมกันเข้าเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่าหมวดวิชา
ทาให้เกิดหลักสูตรแบบกว้างขึ้น แต่หลักสูตรนี้มิได้มีส่วนสัมพันธ์กับปัญหาและความต้องการของสังคมมากนัก
ดังนั้นจึงมีผู้คิดหลักสูตรแกนเพื่อสนองจุดหมายที่ต้องการ
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง แ น ว ค ว า ม คิ ด เ รื่ อ ง ห ลั ก สู ต ร แ ก น
เริ่มจากการใช้วิชาเป็ นแกนกลางโดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนามาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน
แล้วกาห น ดหัวข้อขึ้น ให้มีลักษณะ เห มือน เป็ น วิชาให ม่เช่น น าเอาเนื้อหาของวิช าชีววิทยา
สังคมศึกษาและสุขศึกษามาเชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อ “สุขภาพและอน ามัยของท้องถิ่น” เป็ นต้น
ต่อมาภ ายห ลัง มีผู้คิ ดป รับ ป รุ ง การเชื่ อมโยง อี ก โด ยยึดเอาวิช าใ ด วิช าห นึ่ ง เป็ น แก น
แล้วกาหน ดหัวข้อการเรียน การสอน ใ ห้ครอบคลุมวิช าอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง เป็ น ต้น ว่า