More Related Content
Similar to ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง พัฒนาการทางเศรษฐกิจสมัยอยุธยา
Similar to ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง พัฒนาการทางเศรษฐกิจสมัยอยุธยา (7)
More from Princess Chulabhon's College Chonburi
More from Princess Chulabhon's College Chonburi (20)
ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง พัฒนาการทางเศรษฐกิจสมัยอยุธยา
- 1. จัดทำโดย : ครูอรวรรณ เสืออ่วม
ใบความรู้ที่ 3 เรื่อง พัฒนาการทางเศรษฐกิจสมัยอยุธยา
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย 3 รหัสวิชา ส22103
ชื่อ................................................................................................................................ห้อง..............เลขที่.............
ปัจจัยที่ส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจสมัยอยุธยา
เศรษฐกิจของอาณาจักรอยุธยาขึ้นอยู่กับการประกอบอาชีพหลัก 3 อย่าง คือ การเกษตรกรรม หัตถกรรม และ
พาณิชยกรรม ปัจจัยสนับสนุนการประกอบกิจกรรมเศรษฐกิจดังกล่าว มีดังนี้
1. ทาเลที่ตั้ง อยู่ใกล้ปากอ่าวไทย จึงเดินเรือค้าขายกับต่างประเทศได้สะดวก
2. ลักษณะภูมิประเทศ เหมาะสมเป็นแหล่งเกษตรกรรม อาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้้า
เจ้าพระยาตอนล่าง มีแม่น้้าสาขาต่าง ๆ อีกหลายสาย มีดินดีราษฎรส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกรรม
3. นโยบายส่งเสริมการค้ากับต่างประเทศ มีพ่อค้าชาวต่างชาติเข้ามาตั้งสถานีการค้าและหมู่บ้านอยู่อาศัยใน
บริเวณรอบ ๆ ราชธานีหลายกลุ่ม
ระบบเงินตรา
เงิน หรือเงินตรา เป็นปัจจัยส้าคัญในการเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้าให้เกิดการหมุนเวียนและกระจายได้ดีขึ้น
จึงจัดว่ามี่วนช่วยพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้มีความคล่องตัวขยายตัวได้และเป็นผลดี อยุธยาใช้เงินตราเป็นมาตรฐาน เงินในรูป
เงินพดด้วง เช่นเดียวกับสุโขทัย พระคลังเป็นผู้ผูกขาดการท้าเงินตรา ซึ่งมี 4 ชนิดคือ
1. เงินพดด้วง มีตราประทับหลายแบบราคาที่ใช้กันมากคือ 1 บาท กึ่งบาท 1 สลึง 1 เฟื้อง
2. เบี้ย เป็นเงินปลีก หรือเงินย่อย ท้าจากหอย
3. ไพ และกล่้า ท้าจากโลหะซึ่งไม่ใช่เงิน
4. เงินประกับ เป็นดินเผาตีตราประทับ ใช้แทนเบี้ยที่ขาดแคลนเริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2287
การเกษตรกรรมสมัยอยุธยา
1. การเกษตรกรรม เป็นอาชีพหลักของประชากรส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นรากฐานของการพัฒนาอาณาจักร และเป็น
พื้นฐานของเศรษฐกิจอยุธยา ที่ส้าคัญได้แก่
- การทานา แหล่งปลูกข้าวที่ส้าคัญ ได้แก่ ที่ราบลุ่มตอนล่างของแม่น้้าเจ้าพระยา
- การทาสวน เช่น สวนมะพร้าว มะม่วง หมาก ทุเรียน มังคุด ขนุน ส้ม
- การทาไร่ เช่น ไร่อ้อย พริกไทย สับปะรด
- การประมง มีการจัดปลาน้้าจืด และน้้าเค็ม
- การหาของป่า เช่น สัตว์ป่า ช้าง แรด นก กวาง เสือ หนังสัตว์ นอแรด ไม้ฝาง ยางไม้ ชัน ครั่ง
ฯลฯ
- 2. จัดทำโดย : ครูอรวรรณ เสืออ่วม
2. การหัตถกรรม (อุตสาหกรรมครัวเรือน) แม้จะมีความส้าคัญน้อยกว่าการเกษตรกรรมและการค้าก็ตาม แต่
หัตถกรรมก็มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจของอยุธยามีความเจริญรุ่ง สามารถผลิตสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ หัตถกรรมที่ส้าคัญได้แก่
เครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า เครื่องจักสาน เครื่องเงิน เครื่องทองเหลือง เครื่องเรือน
3. การพาณิชยกรรม เศรษฐกิจของอยุธยาขึ้นอยู่กับการค้าขายเป็นส้าคัญทั้งการค้าภายในและการค้ากับ
ต่างประเทศ
3.1 การค้าขายภายในประเทศ มี 2 ระบบ คือ
3.1.1 แลกเปลี่ยนโดยตรง เช่น น้าข้าวเปลือกแลกน้้าปลา น้าหม้อแลกกับข้าวหรือผลไม้
3.1.2 แลกเปลี่ยนด้วยเงินตรา คือ การซื้อขายด้วยระบบเงินตรา
3.2 การค้าขายกับต่างประเทศ อยุธยากลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่ส้าคัญทั้งของหัวเมืองทางเหนือ เช่น
สุโขทัย ล้านนา และของชาวต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย อาหรับ และชาติตะวันตก ลักษณะการค้าต่างประเทศที่ส้าคัญ
ได้แก่
3.2.1 รายแรกค้าขายได้อย่างเสรี ไม่ต้องผ่านหน่วยงานของรัฐ ระยะหลังรัฐควบคุมเป็นคนกลาง เพื่อ
หาก้าไร
3.2.2 สมัยพระบรมไตรโลกนาถ ส่วนใหญ่เป็นการค้าขายกับชาติเอเชียด้วยกัน เช่น จีน อินเดีย ชวา
มลายู ญี่ปุ่น
3.2.3 สมัยพระรามาธิบดีที่ 2 เริ่มมีการค้าขายกับชาติตะวันตก ได้แก่ โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา
อังกฤษ และฝรั่งเศส
3.2.4 สมัยพระมหาจักรพรรดิ มีการตั้งพระคลังสินค้า เพื่อผูกขาดการค้า หาก้าไรสู่แผ่นดิน
3.2.5 สมัยพระเจ้าปราสาททอง-สมัยพระนารายณ์มหาราช มีการผูกขาดสินค้ามากยิ่งขึ้น ท้าให้
เศรษฐกิจอยุธยาเจริญรุ่งเรือง
3.2.6 สมัยพระนารายณ์มหาราช ชาวตะวันตกไม่พอใจนโยบายผูกขาดการค้าของไทยมาก ฮอลันดา
จึงพยายามบีบบังคับให้ไทยยกเลิกพระคลังสินค้า แต่ไม่ส้าเร็จ
3.3 สินค้าออกที่สาคัญ ได้แก่ งาช้าง หนังสัตว์ ไม้กฤษณา พริกไทย กานพลู น้้าผึ้ง น้้าตาล ดินประสิว
น้้ามันสน ยางสน ครั่ง
3.4 สินค้าเข้าที่สาคัญ
3.4.1 สินค้าจากจีนและญี่ปุ่น เช่น ผ้าแพร ไหมดิบ ปรอท ทองค้า เครื่องเคลือบ และเครื่องลาย
คราม
3.4.2 สินค้าจากอินเดีย อาหรับ และเปอร์เซีย เช่น พรม ผ้าฝ้าย และน้้าหอม
3.4.3 สินค้าจากยุโรป เช่น อาวุธปืน เครื่องแก้ว และผ้าลูกไม้
พระคลังสินค้า
เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อควบคุมการค้ามีหน้าที่ คือ
1. ตรวจเรือสินค้าต่างประเทศ เพื่อเลือกซื้อสินค้าที่ราชการต้องการไว้ก่อน เช่น อาวุธ กระสุนปืน
2. กาหนดสินค้าต้องห้าม ส่วนมากเป็นของหายาก มีน้อย ราคาแพง เช่น ข้าว เกลือ รังนก ดีบุก งาช้าง
ดินประสิว ตะกั่ว ไม้หอม ไม้จันทร์ ฝาง กฤษณา นอแรด
3. ค้าส้าเภาของหลวง
4. เมืองท้าการค้ากับต่างประเทศที่ส้าคัญ ได้แก่ นครศรีธรรมราช ค้าดีบุก พริกไทย ปัตตานี ค้าพริกไทย
ขี้ผึ้ง ภูเก็ต ค้าดีบุก อ้าพัน ไข่มุก มะริดและตะนาวศรี ค้าข้าว ผลไม้ เพชรบุรี ค้าข้าว ฝ้าย บางกอก เป็นศูนย์กลาง
การค้ารองจากอยุธยา จันทบุรี ค้าพริกไทย เครื่องเทศ ของป่า
- 3. จัดทำโดย : ครูอรวรรณ เสืออ่วม
การค้ากับประเทศคู่ค้าที่สาคัญ
จีน เป็นคู่ค้าส้าคัญที่สุดของอยุธยา มีการค้าภายใต้ระบบการทูตบรรณาการ สินค้าที่ไทยส่งไปขายในจีน ได้แก่
ข้าว ไม้ฝาง งาข้าว รังนก ดีบุก เกลือ ดินประสิว ก้ายาน ครั่ง
ญี่ปุ่น สินค้าที่ญี่ปุ่นนิยมซื้อ ได้แก่ ข้าว หนังกวาง ไม้แดง ไม้ฝาง งาช้าง สินค้าที่ญี่ปุ่นน้ามาขาย ได้แก่
ทองแดง ทองค้า ผ้าแพร
โปรตุเกส เข้ามาเป็นชาติแรก ได้ให้ความช่วยเหลือแก่อยุธยาด้านอาวุธปืน และกระสุนดินด้า
สเปน เข้ามาเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างฟิลิปปินส์กับอยุธยา
ฮอลันดา ต้องการสินค้าหนังสัตว์ พริกไทยและดีบุก
อังกฤษ มีจุดประสงค์เพื่อการค้าและเป็นหนทางติดต่อกับจีนและญี่ปุ่น
เดนมาร์ก มีสินค้ามีชื่อมาขาย คือ ปืนคาบศิลา
รายได้ของอาณาจักรอยุธยา
แหล่งที่มาของรายได้ของกรุงศรีอยุธยา อาจแบ่งเป็น 5 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1. รายได้จากค่าทดแทนการเกณฑ์แรงงาน ราษฎรต้องตอบแทนด้วยการอุทิศแรงงาน ท้างานให้หลวงปีละไม่
เกิน 6 เดือน ราษฎรที่ถูกเกณฑ์ไปท้างานตามก้าหนด เรียกว่า เข้าเวร ผู้เข้าเวรไม่ได้ต้องส่งเงินหรือสิ่งของที่หลวงต้องการมา
ให้ทดแทน เรียกว่า ส่งส่วย จึงเป็นรายได้จากส่วยในรูปเงินและสิ่งของ ถ้าเป็นเงิน เดือนละ 2 บาท สิ่งของเป็นสิ่งของหา
ยาก เช่น มูลค้างคาว ดีบุก งาช้าง
2. รายได้จากภาษีอากร
2.1 ภาษีสินค้าเข้า-สินค้าออก รวมทั้งภาษีที่เรียกว่า จังกอบ เช่น ภาษีปากเรือ (เรียกเก็บตามความกว้าง
ของเรือ)
2.2 อากรนา เก็บเป็นหางข้าว และเก็บเป็นเงินไร่ละ 1 สลึงต่อปี อากรสวน ตันละ 1 บาทต่อปี ทุเรียน
ตันละ 2 สลึงต่อปี อากรตลาด คือ ภาษีที่เก็บจากร้านค้าและผู้มาขายของในตลาด
2.3 อากรขนอน หรือภาษีผ่านด่าน เก็บจากผู้น้าสินค้าผ่านด่าน สิบหยิบหนึ่ง (คือ ร้อยละ 10)
3. รายได้จากการค้าของพระคลังสินค้า ผูกขาดการค้าศัสตราวุธไว้เพียงผู้เดียว เป็นผู้ก้าหนดสินค้าต้องห้าม
ก้าหนดราคาสินค้าเอง
4. รายได้จากค่าฤชา คือค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากราษฎรที่มาใช้บริการของรัฐ เช่น การออกโฉนดตราสาร
กรรมสิทธิ์ที่ดิน ที่นา
5. รายได้อื่น ๆ เช่น รายได้จากเครื่องราชบรรณาการของเจ้าประเทศราช หรือจากของขวัญของก้านัลที่เจ้าเมือง
ขุนนาง หรือพ่อค้าน้ามาถวาย
รายจ่ายของอาณาจักรอยุธยา
1. ด้านความมั่นคง จัดไว้เพื่อการป้องกันประเทศและขยายอาณาจักร
2. ด้านพระพุทธศาสนา จัดไว้เพื่อนิตยภัตแต่พระภิกษุสงฆ์ งานกฐิน งานปฏิสังขรณ์วัด
3. ด้านราชสานักและราชการทั่วไป จัดไว้เพื่อพระมหาอุปราช และพระราชวงศ์ชั้นสูง และข้าราชการฝ่ายหน้า
4. ด้านพระราชพิธี จัดไว้เพื่อการราชพิธีต่าง ๆ และค่าใช้จ่ายด้านการทูตและเครื่องบรรณาการ
5. ด้านบาเหน็จและเงินเบี้ยหวัดรายปี สมัยอยุธยาข้าราชการไม่มีเงินเดือน มีแต่เงินที่ทางการ จ่ายให้ เรียกว่า
เบี้ยหวัดรายปี