More Related Content
Similar to เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 27
Similar to เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 27 (20)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 27
- 2. คานา
รายงานเล่มนี้เป็ นส่ วนหนึ่งของรายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี มีเนื้อหาเกี่ยวกับเครื อข่าย
่
คอมพิวเตอร์ ไม่วาจะเป็ นเรื่ อง ความหมาย ความสาคัญของเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ชนิดเครื อข่าย เทคโนโลยี
เครื อข่ายแลน การใช้งานเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของเครื อข่าย
คอมพิวเตอร์ ข้อจากัดของเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ จดทาขึ้นเพื่อให้ผที่อ่าน ผูที่ตองการจะศึกษาได้มีความรู้
ั
ู้
้ ้
เกี่ยวกับเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ มากขึ้น ถ้าหากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ดวย
้
นางสาว ธิดารัตน์ รอดกูล
ผู้จัดทา
- 4. 1
ระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
ความหมายของระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ต้ งแต่ 2
ั
ั
เครื่ องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรื อสื่ ออื่นๆ ทาให้คอมพิวเตอร์ สามารถรับส่ งข้อมูลแก่กนและกันได้
ในกรณี ที่เป็ นการเชื่ อมต่อระหว่างเครื่ องคอมพิวเตอร์ หลายๆ เครื่ องเข้ากับเครื่ องคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ที่
่
เป็ นศูนย์กลาง เราเรี ยกคอมพิวเตอร์ ที่เป็ นศูนย์กลางนี้วา โฮสต์ (Host) และเรี ยกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้า
มาเชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)ระบบเครื อข่าย (Network) จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ เข้าด้วยกันเพื่อการ
ติดต่อสื่ อสาร เราสามารถส่ งข้อมูลภายในอาคาร หรื อข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก ซึ่ง
ข้อมูลต่างๆ อาจเป็ นทั้งข้อความ รู ปภาพ เสี ยง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็ วแก่ผใช้ ซึ่ งความสามารถ
ู้
เหล่านี้ทาให้เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ มีความสาคัญ และจาเป็ นต่อการใช้งานในแวดวงต่างๆ
ความสาคัญของเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
ธรรมชาติมนุษย์ตองอยูรวมกันเป็ นกลุ่ม มีการติดต่อสื่ อสารระหว่างกัน ร่ วมกันทางานสร้างสรรค์
้ ่
่
สังคมเพื่อให้ ความเป็ นอยูโดยรวมดีข้ ึน จากการดาเนินชีวิตร่ วมกันทั้งในด้านครอบครัว การทางาน
ตลอดจนสังคมและการเมือง ทาให้ตองมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เมื่อมนุษย์มีความจาเป็ นที่
้
จะติดต่อสื่ อสารระหว่างกัน พัฒนาการ ทางด้านคอมพิวเตอร์จึงต้องตอบสนองเพื่อให้ใช้งานได้ตามความ
ต้องการ แรกเริ่ มมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์ แบบ รวมศูนย์ เช่น มินิคอมพิวเตอร์ หรื อ เมนเฟรม โดยให้
ผูใช้งานใช้พร้อมกันได้หลายคน แต่ละคนเปรี ยบเสมือน เป็ นสถานีปลายทาง ที่เรี ยกใช้ทรัพยากร การ
้
คานวณจากศูนย์คอมพิวเตอร์ และให้คอมพิวเตอร์ ตอบสนองต่อ การทางานนั้น ต่อมามีการพัฒนา
ไมโครคอมพิวเตอร์ ที่ทาให้สะดวกต่อการใช้งานส่ วนบุคคล จนมีการเรี ยกไมโครคอมพิวเตอร์ ว่า พีซี
(Personal Competer:PC) การใช้งานคอมพิวเตอร์ จึงแพร่ หลายอย่างรวดเร็ ว เพราะการใช้งานง่ายราคา ไม่
สู งมาก สามารถจัดหามาใช้ได้ไม่ยาก เมื่อ มีการใช้งานกันมาก บริ ษทผูผลิตคอมพิวเตอร์ ต่างๆ ก็ปรับปรุ ง
ั ้
- 5. 2
และพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการที่จะทางานร่ วมกันเป็ นกลุ่มในรู ปแบบเครื อข่าย
คอมพิวเตอร์ จึงเป็ นวิธีการหนึ่ง และกาลังได้รับความนิยมสู งมาก เพราะทาให้ตอบสนองตรงความ
ต้องการที่จะติดต่อสื่ อสาร ข้อมูลระหว่างกัน เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได้รับการพัฒนาเรื่ อยมาจากเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ได้แก่ เมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์ มาเป็ นไมโครคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดเล็กลงแต่มี
ประสิ ทธิ ภาพสู งขึ้นไมโครคอมพิวเตอร์ ก็ได้รับ การพัฒนาให้มีขีดความสามารถและทางานได้มาก
ขึ้น จนกระทังคอมพิวเตอร์ สามารถทางานร่ วมกันเป็ นกลุ่มได้ ดังนั้นจึงมีการพัฒนาให้คอมพิวเตอร์ ทางาน
่
ในรู ปแบบ เครือข่ ายคอมพิวเตอร์ คือนาเอาเครื่ องคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่มาเป็ นสถานี บริ การ หรื อที่
เรี ยกว่า เครื่ องให้บริ การ (Server ) และให้ไมโครคอมพิวเตอร์ ตาม หน่วยงานต่างๆ เป็ นเครื่ องใช้บริ การ
(Client) โดยมีเครื อข่าย(Network) เป็ นเส้นทางเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ จาก จุดต่างๆ
ในที่สุดระบบเครื อข่ายก็จะเข้ามาแทนระบบคอมพิวเตอร์ เดิมที่เป็ นแบบรวมศูนย์ได้ เครื อข่ายคอมพิวเตอร์
ทวีความสาคัญและได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะสามารถสร้างระบบคอมพิวเตอร์ ให้ พอเหมาะกับงาน ใน
ธุ รกิจขนาดเล็กที่ไม่มีกาลังในการลงทุนซื้ อเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่มีราคาสู งเช่น มินิคอมพิวเตอร์ ก็สามารถใช้
ไมโครคอมพิวเตอร์ หลายเครื่ องต่อเชื่อมโยงกันเป็ นเครื อข่าย โดยให้ไมโครคอมพิวเตอร์เครื่ องหนึ่ง เป็ น
สถานีบริ การที่ทาให้ใช้งานข้อมูลร่ วมกันได้ เมื่อกิจการเจริ ญก้าวหน้าขึ้นก็สามารถขยายเครื อข่ายการใช้
คอมพิวเตอร์ โดยเพิ่มจานวนเครื่ องหรื อขยายความจุขอมูลให้พอเหมาะกับองค์กร ในปัจจุบนองค์การขนาด
้
ั
ใหญ่ก็สามารถลดการลงทุนลงได้ โดยใช้เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เชื่อมโยงจากกลุ่มเล็ก ๆ หลาย ๆ กลุ่ม
รวมกันเป็ นเครื อข่ายขององค์การ โดยสภาพการใช้ขอมูลสามารถทาได้ดีเหมือน เช่นในอดีตที่ตองลงทุน
้
้
จานวนมาก เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ มีบทบาทที่สาคัญต่อหน่วยงานต่างๆ ดังนี้
1. ทาให้เกิดการทางานร่ วมกันเป็ นกลุ่ม และสามารถทางานพร้อมกัน
2. ให้สามารถใช้ขอมูลต่างๆ ร่ วมกัน ซึ่ งทาให้องค์การได้รับประโยชน์มากขึ้น
้
- 6. 3
3. ทาให้สามารถใช้ทรัพยากรได้คุมค่า เช่น ใช้เครื่ องประมวลผลร่ วมกัน แบ่งกันใช้แฟ้ มข้อมูลใช้
้
เครื่ องพิมพ์ และอุปกรณ์ที่มีราคาแพงร่ วมกัน
4. ทาให้ลดต้นทุน เพราะการลงทุนสามารถลงทุนให้เหมาะสมกับหน่วยงานได้
ชนิดของเครือข่ าย
เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ แบ่งแยกตามสภาพการเชื่ อมโยงได้ 2 ชนิด
- เครื อข่ายแลน (Local Area Network : LAN)
- เครื อข่ายแวน (Wide Area Network : WAN
1.เครื อข่ายแลน
หรื อเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ทองถิ่นเป็ นเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ซ่ ึ งเชื่ อมโยงคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์
้
่
สื่ อสารที่อยูในท้องที่ บริ เวณเดียวกันเข้าด้วยกัน เช่น ภายในอาคาร หรื อภายในองค์การที่มีระยะทางไม่ไกล
่
มากนัก เครื อข่ายแลนจัดได้วาเป็ นเครื อข่ายเฉพาะขององค์การ การสร้างเครื อข่ายแลนนี้องค์การสามารถ
ดาเนินการทาเองได้ โดยวางสายสัญญาณสื่ อสารภายในอาคารหรื อภายในพื้นที่ของตนเอง เครื อข่ายแลน มี
ตั้งแต่เครื อข่ายขนาดเล็กที่เชื่ อมโยงคอมพิวเตอร์ ต้ งแต่สองเครื่ องขึ้นไปภายในห้องเดียวกันจนเชื่ อมโยง
ั
- 7. 4
ระหว่างห้อง หรื อองค์การขนาดใหญ่เช่นมหาวิทยาลัย มีการวางเครื อข่ายที่เชื่อมโยงระหว่างอาคารภายใน
มหาวิทยาลัย เครื อข่ายแลนจึงเป็ นเครื อข่ายที่รับผิดชอบโดยองค์การที่เป็ นเจ้าของ ลักษณะสาคัญของ
เครื อข่ายแลน คืออุปกรณ์ที่ประกอบภายในเครื อข่ายสามารถรับส่ งสัญญาณกันด้วยความเร็ วสู ง
มาก โดยทัวไปมีความเร็ วตั้งแต่ หลายสิ บล้านบิตต่อวินาที จนถึงร้อยล้านบิตต่อวินาที การสื่ อสารใน
่
ระยะใกล้จะมีความเร็ วในการสื่ อสารสู ง ทาให้การรับส่ งข้อมูลมีความผิดพลาดน้อยและสามารถรับส่ งข้อมูล
จานวนมากในเวลาจากัดได้
2.เครื อข่ายแวน
เป็ นเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ ในระยะไกล เช่น เชื่อมโยงระหว่าง
จังหวัด ระหว่างประเทศ การสร้างเครื อข่ายระยะไกล จึงต้องอาศัยระบบบริ การข่ายสายสาธารณะ เช่น สาย
วงจรเช่าจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยหรื อจากการสื่ อสารแห่งประเทศไทย ใช้วงจรสื่ อสารผ่าน
ั
ดาวเทียม ใช้วงจรสื่ อสารเฉพาะกิจที่มีให้บริ การแบบสาธารณะ เครื อข่ายแวนจึงเป็ นเครื อข่าย ที่ใช้กบ
องค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคารมีสาขาทัวประเทศ มี
่
บริ การ รับฝากเงินผ่านตูเ้ อทีเอ็ม เครื อข่ายแวนเชื่ อมโยงระยะไกลมาก จึงมีความเร็ วในการสื่ อสารจึงไม่สูง
เนื่องจาก มีสัญญาณรบกวนในสาย และการเชื่อมโยงระยะไกลจาเป็ นต้องใช้เทคนิคพิเศษในการลดปั ญหา
ข้อผิดพลาดของ การรับส่ งข้อมูล เครื อข่ายแวน เป็ นเครื อข่ายที่ทาให้เครื อข่ายแลนหลายๆ เครื อข่ายเชื่ อม
ถึงกันได้เช่นที่ทาการสาขาทุกแห่ง ของธนาคารแห่งหนึ่งมีเครื อข่ายแลนเพื่อใช้ทางานภายในสาขา
นั้นๆ และมีการเชื่อมโยงเครื อข่ายแลน ของทุกสาขาให้เป็ นระบบเดียวด้วยเครื อข่ายแวนในอนาคตอันใกล้น้ ี
บทบาทของเครื อข่ายแวนจะทาให้ทุกบริ ษท ทุกองค์การทุกหน่วยงานเชื่ อมโยงเครื อข่าย คอมพิวเตอร์ ของ
ั
ตนเองเข้าสู่ เครื อข่ายกลาง เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และการทางานร่ วมกัน ในระบบที่ตอง
้
ั
ติดต่อสื่ อสารระหว่างกัน เทคโนโลยีที่ใช้กบเครื อข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่ อมโยงระหว่าง
ประเทศด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม เส้นใยนาแสง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ สายเคเบิล ทั้งที่วางตามถนน
- 8. 5
และวางใต้น้ า เทคโนโลยีของการเชื่อมโยง ได้รับการพัฒนาไปมากแต่ยงไม่พอเพียงกับความต้องการที่เพิ่ม
ั
มากขึ้นอย่างรวดเร็ ว
เทคโนโลยีเครือข่ ายแลน
การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ เข้าเป็ นเครื อข่ายแลนนั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ ทุก
เครื่ องสื่ อสาร ข้อมูลระหว่างกันได้ท้ งหมดหากนาเครื่ องคอมพิวเตอร์ สองเครื่ องต่อสายสัญญาณเข้าหากันจะ
ั
ทาให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ ท้ งสอง นั้นส่ งข้อมูลถึงกันได้ครั้นจะนาเอาคอมพิวเตอร์ เครื่ องที่สามต่อรวมด้วย
ั
เริ่ มจะมีขอยุงยากเพิ่มขึ้น และยิงถ้ามีเครื่ องคอมพิวเตอร์ เป็ นจานวนมาก ก็ยงมีขอยุงยากที่จะทาให้เครื่ อง
้ ่
ิ่ ้ ่
่
คอมพิวเตอร์ ท้ งหมดสื่ อสารกันได้ ด้วยเหตุน้ ีผพฒนาเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ จึงต้องหาวิธีการและเทคนิคใน
ั
ู้ ั
่
การเชื่อมโยงเครื อข่ายแบบต่างๆ เพื่อลดข้อยุงยาก ในการเชื่อมโยงสายสัญญาณโดยใช้สายสัญญาณน้อยและ
เหมาะสมกับการนาไปใช้งานได้ ทั้งนี้เพราะข้อจากัดของการใช้ สายสัญญาณเป็ นเรื่ องสาคัญมาก บริ ษท
ั
ผูพฒนาระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ได้พยายามคิดหาวิธี และใช้เทคโนโลยีในการรับส่ งข้อมูลภายใน
้ ั
เครื อข่ายแลน ออกมาหลายระบบ ระบบใดได้รับการยอมรับก็มีการตั้งมาตรฐานกลาง เพื่อว่าจะได้มีผผลิตที่
ู้
สนใจการผลิตอุปกรณ์ เชื่ อมโยงเข้าสู่ เครื อข่าย เทคโนโลยีเครื อข่ายแลนจึงมีหลากหลาย เครือข่ ายแลนที่
น่ าสนใจ เช่ น อินเทอร์ เน็ต (Ethernet) โทเก็นริง (Token Ring) และ สวิตชิง (Switching)
อินเทอร์ เน็ต (Ethernet)
อินเทอร์ เน็ตเป็ นเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ที่พฒนามาจากโครงสร้างการเชื่ อมต่อแบบสายสัญญาณร่ วมที่
ั
เรี ยกว่า บัส (Bus)
โดยใช้สายสัญญาณแบบแกนร่ วม คือ สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) เป็ นตัวเชื่อม สาหรับระบบ
บัส เป็ นระบบ เทคโนโลยีที่คอมพิวเตอร์ ทุกเครื่ องเชื่ อมโยงเข้ากับสายสัญญาณเส้นเดียวกัน คือ เมื่อมีผู ้
ต้องการส่ งข้อมูล ก็ส่งข้อมูลได้เลย แต่เนื่ องจากไม่มีวธีการค้นหาเส้นทางที่ส่งว่างหรื อเปล่า จึงไม่ทราบว่า
ิ
มีอุปกรณ์ใดหรื อคอมพิวเตอร์ เครื่ องใดที่ส่งข้อมูลมาในช่วงเวลาเดียวกัน จะทาให้เกิดการชนกันขึ้นและเกิด
- 9. 6
การสู ญหายของข้อมูล ผูส่งต้องส่ งข้อมูล ไปยังปลายทางอีกครั้งหนึ่ง ทาให้เสี ยเวลามาก จึงมีการพัฒนา
้
่
ระบบการรับส่ งข้อมูลผ่านอุปกรณ์กลางที่เรี ยกว่า ฮับ (Hub) และเรี ยกระบบใหม่น้ ีวา เทนเบสที
(10 base t) โดยใช้สายสัญญาณที่มีขนาดเล็กลงและราคาถูกซึ่ งเรี ยกว่า สายคู่บิตเกลียวชนิดไม่หุมฉนวน
้
(Unshielded twisted pair : UTP) ทาให้การเชื่อมต่อนี้ มีลกษณะแบบดาว
ั
่ ั
วิธีการเชื่อมแบบนี้จะมีจุดศูนย์กลางอยูที่ฮบ ใช้สายสัญญาณไปยังอุปกรณ์หรื อคอมพิวเตอร์
่
อื่น ๆ จุดเด่นของดาวตัวนี้ จะอยูที่ เมื่อมีการส่ งข้อมูล จะมีการตรวจสอบความผิดพลาดว่า อุปกรณ์ใดจะส่ ง
ข้อมูลมาบ้างและจะมีการสับสวิตซ์ให้ส่ง ได้หรื อไม่ แต่เมื่อมีฮบเป็ นตัวแบกภาระทั้งหมด ก็มีจุดอ่อนได้คือ
ั
ถ้าฮับเกิดเป็ นอะไรขึ้นมา อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ หรื อคอมพิวเตอร์ ก็ไม่สามารถเชื่ อมต่อกันได้อีก ภายในฮับ
มีลกษณะเป็ นบัสที่เชื่อมสายทุกเส้นเข้าด้วยกัน ดังนั้นการใช้ฮบและบัสจะมีระบบการส่ งข้อมูลแบบ
ั
ั
่
เดียวกัน และมีการพัฒนาเป็ นมาตรฐาน กาหนดชื่อมาตรฐานนี้วา 802.3 ความเร็ วในการส่ งกาหนดไว้ที่ 10
ล้านบิตต่อ วินาที และกาลังมีมาตรฐานใหม่ให้สามารถรับส่ งสัญญาณได้ถึง 100 ล้านบิตต่อวินาที
โทเก็นริ ง
เป็ นเครื อข่ายที่บริ ษท ไอบีเอ็ม พัฒนาขึ้น รู ปแบบการเชื่อมโยงจะเป็ น วงแหวน โดยด้านหนึ่งเป็ น
ั
ตัวรับสัญญาณและอีกด้านหนึ่งเป็ นตัวส่ งสัญญาณ การเชื่ อมต่อแบบนี้ทาให้คอมพิวเตอร์ ทุกเครื่ องสามารถ
ส่ งข้อมูลถึงกันได้ โดยผ่านเส้นทางวงแหวนนี้ การติดต่อสื่ อสารแบบนี้จะมีการจัดลาดับให้ผลัดกันส่ งเพื่อ
ั ่
ว่าจะได้ไม่สับสน และมีรูปแบบ ที่ชดเจนโทเก็นริ งที่ใช้กนอยูในขณะนี้มีความเร็ วในการรับส่ งสัญญาณได้
ั
16 ล้านบิตต่อวินาที ข้อมูลแต่ละชุดจะมี การกาหนดตาแหน่งแน่นอนว่ามาจากสถานีใด และจะส่ งไปที่
สถานีใด
- 10. 7
สวิตชิง
สวิตชิง เป็ นเทคโนโลยีที่พฒนามาเพื่อให้สามารถรับส่ งข้อมูลระหว่างสถานีทาได้เร็ วยิ่งขึ้น การ
ั
คัดเลือกชุดข้อมูล ที่ส่งมาและส่ งต่อไปยังสถานีปลายทาง จะกระทาที่ชุมสายกลางที่เรี ยกว่า สวิต
ชิง รู ปแบบของเครื อข่ายแบบนี้จะมีลกษณะ เป็ นแบบดาว ซึ่ งโครงสร้างนี้จะเหมือนกันกับแบบอีเทอร์ เน็ตที่
ั
มีฮบเป็ นศูนย์กลาง แต่แตกต่างกันที่ฮบเป็ นจุดร่ วมของสาย สัญญาณที่จะต่อกระจายไปยังทุกสาย แต่สวิ
ั
ั
ตชิงจะเลือกการสลับสัญญาณไปยังตาแหน่งที่ตองการเท่านั้น สวิตชิงจึงมีขอดี กว่าฮับเนื่องจากแต่ละ
้
้
สายสัญญาณจะมีความเป็ นอิสระต่อกันมาก ทาให้รับส่ งสัญญาณไม่มีปัญหาเรื่ องการชนกัน ของ
ข้อมูล อุปกรณ์ที่ใช้ในการสวิตชิงมีหลายแบบ เช่น อีเทอร์ เน็ตสวิตซ์ และเอทีเอ็มสวิตซ์ เอทีเอ็มสวิตซ์เป็ น
อุปกรณ์การสลับสายสัญญาณในการรับส่ งข้อมูลที่มีการรับส่ งกันเป็ นชุด ๆ ข้อมูลแต่ละชุดเรี ยกว่า เซล มี
ขนาดจากัด การสวิตชิงแบบเอทีเอ็มทาให้ขอมูลจากสถานีหนึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่งดาเนินไปอย่าง
้
รวดเร็ ว ซึ่ งกาลังได้รับความสนใจและมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งนี้เพราะการประยุกต์งาน
สมัยใหม่หลายอย่าง ต้องการความเร็ วสู ง โดยเฉพาะการสื่ อสารที่มีการผสมหลายสื่ อรวมทั้งข้อความ
รู ปภาพ เสี ยงและวีดิโอ
- 11. 8
การใช้ งานเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
เครื อข่ายแลนหนึ่งเครื อข่ายจะมีการทางานกันเป็ นกลุ่ม เรี ยกว่า กลุ่มงาน (workgroup) แต่เมื่อ
เชื่อมโยงหลาย ๆ กลุ่มงานเข้าด้วยกันก็จะเป็ นเครื อข่ายขององค์กร และถ้าเชื่อมโยงระหว่างองค์กรผ่าน
เครื อข่ายแวน ก็จะได้เครื อข่าย ขนาดใหญ่ ตัวอย่างการใช้งานเครื อข่าย
1. การใช้ฐานข้อมูลร่ วมกัน
งานขององค์กรบางอย่างมีความจาเป็ นต้องใช้ขอมูลชุดเดียวกัน ถ้าแต่ละฝ่ ายทาการหาหรื อรวบรวม
้
ข้อมูลเอง ข้อมูลอาจ จะมีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันก็ได้ นอกจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วยังทาให้
สิ้ นเปลืองทรัพยากรบุคคลและวัสดุอุปกรณ์ สิ้ นเปลืองเวลาอีกด้วย แต่ถาองค์กรนั้นมีระบบการจัดเก็บ
้
ข้อมูลที่ดี มีสถานีให้บริ การเก็บข้อมูล แล้วให้ผใช้บริ การในองค์กร นั้นดึงข้อมูลผ่านระบบเครื อข่ายไป
ู้
ใช้ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นยังสามารถใช้ทรัพยากรร่ วมกันได้
เช่น เครื่ องพิมพ์ เครื่ องสแกน กล้องดิจิตอล ฯลฯ การดาเนินงานก็เป็ นไปในทิศทางเดียวกันเนื่ องจากใช้
ฐานข้อมูลร่ วมกัน
่
2. การติดต่อสื่ อสารระหว่างกันบนเครื อข่าย เมื่อมีการเชื่อมโยงอุปกรณ์เข้าด้วยกัน ผูใช้ทุกคนที่อยูบน
้
เครื อข่าย จะสามารถ ติดต่อสื่ อสารระหว่างกัน สามารถส่ ง ไปรษณี ยอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน ตลอดจน
์
สามารถโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันได้
3. สานักงานอัตโนมัติ
แนวคิดของสานักงานสมัยใหม่ ก็คือ ลดการใช้กระดาษ หันมาใช้ระบบการทางาน ด้วยคอมพิวเตอร์ที่
สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ทนทีทนใด ระบบสานักงานอัตโนมัติจึงเป็ นระบบการทางานที่ทุก
ั ั
สถานีงานเปรี ยบเสมือน โต๊ะทางาน ทาให้เกิดความคล่องตัว และรวดเร็ ว
- 12. 9
ตัวอย่างเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
เมื่อเทคโนโลยีเครื อข่ายได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะมีการประยุกต์ใช้งานบนเครื อข่ายอย่าง
กว้างขวาง ทาให้เครื อข่าย คอมพิวเตอร์ สามารถเชื่ อมโยงกันเป็ นเครื อข่าย
เดียวกัน เรี ยกว่า อินเทอร์เน็ต ขณะเดียวกันในองค์กรแต่ละองค์กร ก็มีการพัฒนาเครื อข่ายของตนเองและ
ั
ประยุกต์ใช้กบงานเฉพาะในองค์กร เรี ยกว่าอินทราเน็ต ดังนั้น อินเทอร์ เน็ตจึง แตกต่างจากอินทราเน็ต
ตรงที่ขอบเขตของการเชื่ อมโยง ส่ วนมาตรฐานและวิธีการเชื่ อมโยงยังคงเป็ นมาตรฐานเดียวกัน
1. อินเทอร์ เน็ต
อินเทอร์ เน็ตพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 โดยกระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริ กาให้ทุนกับ
มหาวิทยาลัย ชั้นนาในสหรัฐฯ เพื่อเชื่อมโยงเครื่ องคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยเข้าเป็ นเครื อข่าย และใช้
ทรัพยากรเพื่อทางานวิจย เกี่ยวกับการเชื่อมโยงเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ร่วมกัน ซึ่ งสมัยแรกใช้ชื่อว่า อาร์ปา
ั
เน็ต และจึงมีการเปลี่ยนชื่อเป็ น อินเทอร์เน็ตในภายหลัง เครื อข่ายอินเทอร์ เน็ตได้รับการพัฒนาให้เป็ น
มาตรฐาน โดยมาตรฐานการรับส่ งข้อมูลมีชื่อว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP) ต่อมามีการเชื่ อมเครื อข่ายออกสู่
องค์กรเอกชน และแพร่ ขยายไปทัวโลก เครื อข่ายอินเทอร์ เน็ต ถือเป็ นเครื อข่ายของ
่
เครื อข่าย หมายความว่าในองค์กรได้สร้างเครื อข่ายภายในตนเองขึ้นมา และนามาเชื่อมต่อสู่ เครื อข่าย สากล
อินเทอร์ เน็ตนี้ โดยมีการกาหนดตาแหน่งอุปกรณ์ดวยรหัสหมายเลขที่เรี ยกว่า แอดเดรส ซึ่งอินเทอร์เน็ต
้
กาหนดรหัสแอดเดรสเรี ยกว่า ไอพีแอดเดรส และถือเป็ นรหัสสากลที่ไม่ซ้ ากันเลย ไอพีแอดเดรสจะ
ประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด โดยเน้นเป็ นรหัสของเครื อข่ายและรหัสของอุปกรณ์ เช่น รหัสแทนเครื อข่ายของ
ั
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใช้รหัส 158.108 ส่ วนรหัสของเครื่ องจะมีอีกสองพิกดตามมา เช่น 2.71 เมื่อ
ั
่
เขียนรวมกันจะได้ 158.108.2.71 เพื่อให้จดจาได้ง่ายจึงมีการตั้งชื่อคู่กบหมายเลข เราเรี ยกชื่อนี้วา
โดเมน เช่นโดเมนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ ใช้ชื่อ ku.ac.th โดย th หมายถึงประเทศไทย ac
่
หมายถึงสถาบันการศึกษา และ ku หมายถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และถ้ามีเครื่ องคอมพิวเตอร์ อยูใน
เครื อข่ายหลายเครื่ อง ก็ให้มีการตั้งชื่อเครื่ องด้วย เช่น nontri เมื่อมีการเรี ยกรวมกันก็ จะ
เป็ น nontri.ku.ac.th การใช้ชื่อนี้ทาให้ใช้งานง่ายกว่าตัวเลข เมื่อเครื อข่ายอินเทอร์ เน็ตเชื่ อมโยงกันได้ทว
ั่
โลก ทาให้โลกไร้พรมแดน ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ สามารถสื่ อถึงได้อย่าง รวดเร็ ว ตัวอย่างการใช้งานบน
ั
อินเทอร์ เน็ตที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็ นเพียงตัวอย่างที่แพร่ หลายและใช้กนมากเท่านั้น แต่ยงมีการใช้งานอื่น ๆ
ั
อีกมากที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาตลอดเวลา
1. การรับส่ งไปรษณี ยอิเล็กทรอนิกส์
์
เป็ นระบบการสื่ อสารทางจดหมายผ่านคอมพิวเตอร์ ถ้าเราต้องการส่ งข้อความถึงใครก็สามารถเขียนเป็ น
่
เอกสาร แล้วจ่าหน้าซองที่อยูของผูรับที่เรี ยกว่า แอดเดรส ระบบจะนาส่ งให้ทนทีอย่างรวดเร็ ว ลักษณะ
้
ั
- 13. 10
ของแอดเดรสจะเป็ นชื่อรหัสผูใช้ และชื่อเครื่ องประกอบกัน เช่น sombat@nontri.ku.ac.th การติดต่อบน
้
อินเทอร์ เน็ตนี้ จะหาตาแหน่งให้เองโดยอัตโนมัติ และนาส่ งไปปลายทางได้อย่างถูกต้อง การรับส่ ง
ไปรษณี ยอิเล็กทรอนิกส์ (email) กาลังเป็ นที่นิยมอย่างแพร่ หลาย
์
2. การโอนย้ายแฟ้ มข้อมูลระหว่างกัน
่
เป็ นระบบที่ทาให้ผใช้สามารถรับส่ งแฟ้ มข้อมูลระหว่างกันหรื อมีสถานีให้บริ การ เก็บแฟ้ มข้อมูลที่อยูใน
ู้
ที่ต่าง ๆ และให้บริ การ ผูใช้สามารถเข้าไปคัดเลือกนาแฟ้ มข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้
้
3. การใช้เครื่ องคอมพิวเตอร์ ในที่ห่างไกล
การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ เข้ากับเครื อข่าย ทาให้เราสามารถ เรี ยกหาเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่เป็ นสถานี
่
บริ การใน ที่ห่างไกลได้ ผูใช้สามารถนาข้อมูลไปประมวลผลยังเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่อยูในเครื อข่าย โดย
้
ไม่ตองเดินทางไปเอง
้
4. การเรี ยกค้นข้อมูลข่าวสาร
ปั จจุบนมีฐานข้อมูลที่เก็บไว้ให้ใช้งานจานวนมาก ฐานข้อมูลบางแห่งเก็บข้อมูลในรู ปสิ่ งพิมพ์
ั
อิเล็กทรอนิกส์ที่ผใช้สามารถ เรี ยกอ่าน หรื อนามาพิมพ์ ลักษณะการเรี ยกค้นนี้ จึงมีลกษณะเหมือนเป็ น
ู้
ั
่
ห้องสมุดขนาดใหญ่อยูภายในเครื อข่าย ที่สามารถค้นหาข้อมูลใด ๆ ก็ได้ ฐานข้อมูล ในลักษณะนี้เรี ยกว่า
เครื อข่ายใยแมงมุมครอบคลุมทัวโลก(World Wide Web : WWW) เป็ นฐานข้อมูลที่เชื่ อมโยงกันทัวโลก
่
่
5. การอ่านจากกลุ่มข่าว
ภายในอินเทอร์ เน็ตมีกลุ่มข่าวเป็ นกลุ่ม ๆ แยกตามความสนใจ แต่ละกลุ่มข่าว อนุญาตให้ผใช้
ู้
อินเทอร์ เน็ตส่ งข้อความ ลงไปได้ และหากมีผตองการเขียนโต้ตอบก็สามารถเขียนตอบได้ กลุ่มข่าวนี้จึง
ู้ ้
แพร่ หลายกระจายข่าวได้รวดเร็ ว
6. การสนทนาบนเครื อข่าย
เครื อข่ายอินเทอร์ เน็ตเป็ นตัวกลาง ในการติดต่อสนทนากันได้ ในยุคแรกใช้วธีการสนทนาเป็ น
ิ
ตัวหนังสื อ ต่อมา พัฒนาให้ใช้เสี ยงได้ ปั จจุบนถ้าระบบสื่ อสารมีความเร็ วพอก็สามารถสนทนาโดยที่เห็น
ั
หน้ากันและกันบนจอภาพได้
7. การบริ การสถานีวทยุและโทรทัศน์บนเครื อข่าย
ิ
ปั จจุบนมีผต้ งสถานีวทยุบนเครื อข่ายอินเทอร์ เน็ตหลายร้อยสถานี ผูใช้สามารถเลือกสถานที่ตองการและ
ั ู้ ั
ิ
้
้
ได้ยนเสี ยงเหมือน การเปิ ดฟังวิทยุ ขณะเดียวกันก็มีการส่ งกระจายภาพวีดิโอบนเครื อข่ายด้วย
ิ
- 14. 11
ประโยชน์ ของเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
1. การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน (Sharing of peripheral devices) เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ทาให้ผใช้ สามารถใช้
ู้
อุปกรณ์ รอบข้างที่ต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์ ร่ วมกันได้อย่างมี ประสิ ทธิ ภาพ เช่นเครื่ องพิมพ์ ดิสก์
ไดร์ ฟ ซี ดีรอม สแกนเนอร์ โมเด็ม เป็ นต้น ทาให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ตองซื้ ออุปกรณ์ที่มีราคาแพง เชื่ อมต่อ
้
ั
พ่วงให้กบคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่ อง
2. แสดงการใช้อุปกรณ์ร่วมกันของระบบเครื อข่าย การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่ วมกัน (Sharing of program
and data) เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ทาให้ผใช้สามารถใช้โปรแกรม และข้อมูลร่ วมกันได้ โดยจัดเก็บโปรแกรม
ู้
ไว้แหล่งเก็บข้อมูล ที่เป็ นศูนย์กลาง เช่น ที่ฮาร์ ดดิสก์ของเครื่ อง File Server ผูใช้สามารถใช้โปรแกรมร่ วมกัน
้
ได้จากแหล่งเดียวกัน ไม่ตองเก็บโปรแกรมไว้ในแต่ละเครื่ อง ให้ซ้ าซ้อนกัน นอกจากนั้นยังสามารถรวบรวม
้
ข้อมูลต่าง ๆ จัดเก็บเป็ นฐานข้อมูล ผูใช้สามารถใช้สารสนเทศ จากฐานข้อมูลกลาง ผ่านระบบเครื อข่าย
้
คอมพิวเตอร์ ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ตองเดินทางไปสาเนาข้อมูลด้วยตนเอง เพราะใช้การ
้
เรี ยกใช้ขอมูล ผ่านระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ นนเอง
้
ั่
- 15. 12
3. แสดงการใช้โปรแกรมและข้อมูลร่ วมกันได้ สามารถติดต่อสื่ อสารระยะไกลได้
(Telecommunication) การเชื่ อมต่อคอมพิวเตอร์ เป็ นเครื อข่าย ทั้งประเภทเครื อข่าย LAN , MAN และ WAN
ทาให้คอมพิวเตอร์ สามารถสื่ อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล ระยะไกลได้โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ทางด้านการ
ติดต่อสื่ อสาร โดยเฉพาะอย่างยิง ในระบบเครื อข่าย อินเทอร์ เน็ต มีการให้บริ การต่าง ๆ มากมาย เช่น การ
่
โอนย้ายไฟล์ขอมูล การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การสื บค้นข้อมูล (Search Engine) เป็ น
้
ต้น
4. แสดงการใช้โปรแกรมติดต่อสื่ อสารระยะไกล สามารถประยุกต์ใช้ในงานด้านธุ รกิจได้ (Business
Applicability) องค์กรธุ รกิจ มีการเชื่อมโยงเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ทางธุ รกิจ เช่น เครื อข่ายของ
ธุ รกิจธนาคาร ธุ รกิจการบิน ธุ รกิจประกันภัย ธุ รกิจ การท่องเที่ยว ธุ รกิจหลักทรัพย์ สามารถดาเนิ นธุ รกิจ
ได้อย่างรวดเร็ ว ตอบสนองความพึงพอใจ ให้แก่ลูกค้าในปั จจุบน เริ่ มมีการใช้ประโยชน์จากเครื อข่าย
ั
Internet เพื่อทาธุ รกิจกันแล้ว เช่น การสั่งซื้ อสิ นค้า การจ่ายเงินผ่านระบบธนาคาร เป็ นต้น
- 16. 13
ข้ อจากัดของเครือข่ ายคอมพิวเตอร์
่
1. ลงทุนสู งและจัดการยุงยาก การเชื่ อมต่อเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ และการจัดการเครื อข่าย ต้องใช้
เทคโนโลยีที่ยงยากซับซ้อน ต้องอาศัยผูที่มีความรู ้ความชานาญ และมีประสบการณ์สูง จึงต้องใช้
ุ่
้
งบประมาณ การเริ่ มต้นลงทุนสู งมาก อีกทั้งเทคโนโลยีของ
เครื อข่ายคอมพิวเตอร์
เปลี่ยนแปลงไปเร็ วมาก จาเป็ นต้องมีงบประมาณ เพื่อปรับปรุ งระบบให้ทนสมัยอยูเ่ สมอ
ั
2. ขาดแคลนซอฟต์แวร์ประยุกต์ ระบบเครื อข่ายปั จจุบน ยังขาดแคลนซอฟต์แวร์ ประยุกต์ ด้านต่าง ๆ
ั
่
ทางานภายใต้สภาพแวดล้อม แบบเครื อข่ายอยูมาก เพราะการพัฒนา ต้องใช้ความรู ้ความชานาญสู ง
ต้องใช้เวลาในการพัฒนา จึงจะสามารถสร้างซอฟต์แวร์ ประยุกต์ใช้งานด้านต่าง ๆ ได้
3. การรักษาความปลอดภัย ในระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ยังขาดความปลอดภัยในด้านการรักษา
่
่
ข้อมูล อยูมาก หรื ออาจมีขอมูลสู ญหายได้ ในขณะติดต่อสื่ อสาร เนื่องจากมีข่าวสารในระบบอยูมาก
้
4. ความเร็ วในการรับส่ งข้อมูลต่า ในเครื อข่ายระยะไกล เช่น อินเทอร์ เน็ต ตัวกลางนาที่ใช้ ในการนา
สัญญาณ ยังมีอตราความเร็ วในการรับส่ งข้อมูลต่า เมื่อเทียบกับการสื่ อสารด้วยโทรศัพท์ หรื อ
ั
โทรทัศน์ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็ นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เพราะไฟล์จะโตมาก