ระบบการประมวลผลทางธุรกิจ มักเป็นการประมวลผลต่อวัน เช่น การรับ – จ่ายบิล ระบบควบคุมสินค้าคงคลัง
ระบบรายรับ – จ่ายสินค้า ระบบนี้เป็นระบบสารสนเทศลาดับแรกที่ได้รับ การพัฒนาให้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ลักษณะเด่นของระบบ TPS คือ การทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน ซึ่งระบบนี้เกือบทั้งหมดใช้การ
ประมวลผลแบบออนไลน์ และสิ่งที่องค์กรจะได้รับเมื่อใช้ระบบนี้ คือ
    - ลดจานวนพนักงาน
    - องค์กรจะมีการบริการที่สะดวกรวดเร็ว
    - ลูกค้ามีจานวนเพิ่มมากขึ้น


    ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารที่ต้องการ การประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่
ให้ประโยชน์มากกว่าการช่วยงานแบบต่อวัน MIS จึงมีความสามารถในการคานวณเปรียบเทียบข้อมูล ซึ่งมีความหมายต่อ
การจัดการและบริหารงานเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นระบบนี้ยังสามารถสร้างสารสนเทศที่ถูกต้องทันสมัย

   - ระบบ MIS สนับสนุนการทางานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวัน
   - ระบบ MIS จะใช้ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทางานของฝ่ายต่างๆ ในองค์กร
   - ระบบ MIS จะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูงเรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้างได้ตามเวลาที่ต้องการ
   - ระบบ MIS จะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงขององค์กร
   - ระบบ MIS ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล และจากัดการใช้งานของบุคคลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น


     ระบบช่วยตัดสินใจ หมายถึง ระบบที่ทาหน้าที่จัดเตรียมสารสนเทศ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ หากเป็นการใช้โดย
ผู้บริหารระดับสูง เรียกว่า “ระบบสนับสนุนการตัดสินในเพื่อผู้บริหารระดับสูง” (Executive Support System : ESS)
บางครั้งสารสนเทศที่ TPS และ MIS ไม่สามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้จาเป็นต้องพัฒนาระบบช่วยตัดสินใจ DSS ขึ้น
เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ผลสรุปและการเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งอื่น ทั้งภายในและนอกองค์กร โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับการรวมบริษัท การขยายโรงงานใหม่ เป็นต้น

    - ระบบ DSS จะต้องช่วยผู้บริหารในกระบวนการการตัดสินใจ
    - ระบบ DSS จะต้องถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้ทั้งข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอนได้
    - ระบบ DSS จะต้องสามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้ในทุกระดับแต่จะเน้นที่ระดับวางแผนบริหารและวางแผน
ยุทธศาสตร์

                                                                                                                    1
- ระบบ DSS มีรูปแบบการใช้งานอเนกประสงค์ มีความสามารถในการจาลองสถานการณ์และมีเครื่องมือในการ
วิเคราะห์สาหรับช่วยเหลือผู้ทาการตัดสินใจ
    - ระบบ DSS ต้องเป็นระบบที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้ สามารถใช้งานได้ง่ายผู้บริหารต้องสามารถใช้งานโดยพึ่งความ
ช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุดหรือไม่ต้องพึ่งเลย
    - ระบบ DSS ต้องสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการข่าวสารในสภาพการณ์ต่างๆ
    - ระบบ DSS ต้องมีกลไกช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
    - ระบบ DSS ต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้
    - ระบบ DSS ต้องทางานโดยไม่ขึ้นกับระบบการทางานตามตารางเวลาขององค์กร
    - ระบบ DSS มีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับรูปแบบการบริหารแบบต่าง ๆ


     ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง คือ MIS ประเภทพิเศษที่ถูกพัฒนาสาหรับผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะช่วยให้
ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่คุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถใช้ระบบสารสนเทศได้ง่ายขึ้น โดยใช้เมาส์เลื่อนหรือจอภาพ
แบบสัมผัส เพื่อเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างกันทาให้ผู้บริหารไม่ต้องจาคาสั่ง

   - มีการใช้งานบ่อย
   - ไม่ต้องมีทักษะทางคอมพิวเตอร์สูง
   - ความยืดหยุ่นสูงสามารถเข้ากันได้กับรูปแบบการทางานของผู้บริหาร
   - การใช้งานใช้ในการตรวจสอบ ควบคุม
   - การสนับสนุนการตัดสินใจไม่มีโครงสร้างแน่นอน
   - ผลลัพธ์ที่แสดงจะเป็นตัวอักษร ตาราง ภาพและเสียง รวมทั้งระบบมัลติมีเดีย
   - การใช้งานภาพกราฟิกสูง จะใช้รูปแบบการนาเสนอต่างๆ
   - ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วทันทีทันใด


   1. ง่ายต่อผู้บริหารระดับสูงในการใช้งาน                   1. มีข้อจากัดในการใช้งาน
   2. การใช้งานไม่จาเป็นต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์      2. อาจทาให้ผู้บริหารจานวนมากรู้สึกว่าได้รับข้อมูล
   3. ให้สารสนเทศสรุปของบริษัทในเวลาที่ต้องการ           มากเกินไป
   4. ทาให้สามารถเข้าในสารสนเทศได้ดีขึ้น                    3. ยากต่อการประเมินผลประโยชน์ที่ได้จากระบบ
   5. มีการกรองข้อมูลให้ประหยัดเวลา                         4. ไม่สามารถทาการคานวณที่ซับซ้อนได้
   6. ทาให้ระบบสามารติดตามสารสนเทศได้ดีขึ้น                 5. ระบบอาจนะใหญ่เกินกว่าที่จะจัดการได้
                                                            6. ยากต่อการรักษาข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
                                                            7. ก่อให้เกิดปัญหาการรักษาความลับของข้อมูล



                                                                                                                 2
ระบบสานักงานอัตโนมัติ หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ใช้บุคลากรน้อยที่สุด โดยอาศัยเครื่องมือแบบอัตโนมัติและ
ระบบสื่อสารเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างเครื่องมือเหล่านั้นเข้าด้วยกัน OAS มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไม่ใช้กระดาษ
ข่าวสารถึงกันด้วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange) แทน ซึ่งมีรูปแบบในการใช้งาน 2 ลักษณะ
คือ
                                                                     ได้แก่ การสื่อสารด้วยข้อความ E – mail , FAX
                                                          เช่น การประชุมทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio
Conferencing) การประชุมทางไกลแบบมีทั้งภาพและเสียง (Video - Conferencing)
สานักงานที่จัดว่าเป็นสานักงานอัตโนมัติ ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสาคัญ คือ
     1. Networking System คือ ระบบข่ายงานที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างกันทั่วองค์กร
     2. Electronic Data Interchange คือ การสื่อสารข้อมูลข่าวสารระหว่างกน โดยอาศัยสัญญาณข้อมูลข่าวสารแบบ
อิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบข่ายงาน
     3. Internet Working (Internet) คือ การรวมตัวกันของระบบข่ายงาน ที่กระจายอยู่ทั่วโลกจนกลายเป็นเครือข่าย
ขนาดใหญ่
     4. Paperless System คือ ระบบที่ไม่ใช้กระดาษ อาทิ Post Of Sale (POS) เป็นการขายแบบมีการบันทึกรายการ
ขายและรายละเอียดอื่นที่เกี่ยวกับสินค้าทันทีที่มีการขาย ณ จุดขายนั้นๆ
Electronic Funds Transfer (EFT) เป็นระบบการโอนเงินอัตโนมัติของธนาคารโลก


     ระบบผู้เชี่ยวชาญ หมายถึง ระบบที่ทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งคล้ายกับมนุษย์
ระบบนี้ได้รับความรู้จากมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถ
วิเคราะห์เหตุผล เพื่อตัดสินใจ ความรู้ที่เก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์นี้ประกอบด้วย ฐานความรู้ (Knowledge Bass) และ
กฎข้อวินิจฉัย (Inference Rule) ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะที่ทาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถตัดสินใจได้เอง เช่น การ
วินิจฉัยความผิด
                                 ที่มา : http://samai101.multiply.com/journal/item/9?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem




                                                                                                                                3
สารสนเทศที่ดีจะต้องตรงกับความเป็นจริงและเชื่อถือได้ สารสนเทศ
บางอย่างมีความสาคัญ หากไม่ตรงกับความเป็นจริงแล้ว อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ สารสนเทศที่ถูกต้องแม่นยา
จะต้องเกิดจากการป้อนข้อมูลรวมถึงโปรแกรมที่ประมวลผลจะต้องถูกต้อง
                                     สารสนเทศที่ดีต้องทันต่อการใช้งาน หมายถึง ข้อมูลที่ป้อนให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ต้องมีความเป็นปัจจุบันทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อการนาไปใช้ประโยชน์ได้จริง ตัวอย่างเช่น ข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของ
ผู้ปกครองนักเรียน จะต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัย หากหมายเลขโทรศัพท์ล้าสมัยก็จะไม่สามารถติดต่อกับผู้ปกครองได้
หากเกิดกรณีฉุกเฉิน
                                                 สารสนเทศที่ดีจะต้องมีความครบถ้วน สารสนเทศที่มีความครบถ้วน
เกิดจากการเก็บข้อมูลได้ครบถ้วน หากเก็บข้อมูลเพียงบางส่วนก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้เต็ม
ประสิทธิภาพ ตัวอย่าง เช่น ข้อมูลนักเรียน ก็จะต้องมีการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับนักเรียนให้ได้มากที่สุด เช่น ชื่อ อายุ ที่
อยู่ ชื่อผู้ปกครอง หมายเลขโทรศัพท์ โรคประจาตัว คะแนนที่ได้รับในแต่ละวิชา เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ครูสามารถนาข้อมูล
ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หากไม่มีข้อมูลของหมายเลขโทรศัพท์ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็จะไม่สามารถติดต่อกับผู้ปกครอง
ได้เช่นเดียวกัน
                                                                สารสนเทศจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของผุ้
ใช้ กล่าวคือ การเก็บข้อมูลต้องมีการสอบถามการใช้งานของผู้ใช้ว่าต้องการในเรื่องใดบ้าง จึงจะสามารถสรุปสารสนเทศได้
ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากต้องการเก็บข้อมูลของนักเรียนก็ต้องถามครูว่าต้องการเก็บข้อมูล
ใดบ้าง เพื่อให้ครูสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้จริง
                                          สารสนเทศที่ดีจะต้องตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ตรวจสอบความ
ถูกต้องของสารสนเทศได้




                                                       ที่มา : https://sites.google.com/site/kroonom/laksna-khxng-sarsnthes-thi-di

                                                                                                                                     4

ใบความรู้ที่ 2 ระบบสารสนเทศ

  • 1.
    ระบบการประมวลผลทางธุรกิจ มักเป็นการประมวลผลต่อวัน เช่นการรับ – จ่ายบิล ระบบควบคุมสินค้าคงคลัง ระบบรายรับ – จ่ายสินค้า ระบบนี้เป็นระบบสารสนเทศลาดับแรกที่ได้รับ การพัฒนาให้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ลักษณะเด่นของระบบ TPS คือ การทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน ซึ่งระบบนี้เกือบทั้งหมดใช้การ ประมวลผลแบบออนไลน์ และสิ่งที่องค์กรจะได้รับเมื่อใช้ระบบนี้ คือ - ลดจานวนพนักงาน - องค์กรจะมีการบริการที่สะดวกรวดเร็ว - ลูกค้ามีจานวนเพิ่มมากขึ้น ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารที่ต้องการ การประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ ให้ประโยชน์มากกว่าการช่วยงานแบบต่อวัน MIS จึงมีความสามารถในการคานวณเปรียบเทียบข้อมูล ซึ่งมีความหมายต่อ การจัดการและบริหารงานเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นระบบนี้ยังสามารถสร้างสารสนเทศที่ถูกต้องทันสมัย - ระบบ MIS สนับสนุนการทางานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวัน - ระบบ MIS จะใช้ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทางานของฝ่ายต่างๆ ในองค์กร - ระบบ MIS จะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูงเรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้างได้ตามเวลาที่ต้องการ - ระบบ MIS จะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงขององค์กร - ระบบ MIS ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล และจากัดการใช้งานของบุคคลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ระบบช่วยตัดสินใจ หมายถึง ระบบที่ทาหน้าที่จัดเตรียมสารสนเทศ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ หากเป็นการใช้โดย ผู้บริหารระดับสูง เรียกว่า “ระบบสนับสนุนการตัดสินในเพื่อผู้บริหารระดับสูง” (Executive Support System : ESS) บางครั้งสารสนเทศที่ TPS และ MIS ไม่สามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้จาเป็นต้องพัฒนาระบบช่วยตัดสินใจ DSS ขึ้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ผลสรุปและการเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งอื่น ทั้งภายในและนอกองค์กร โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับการรวมบริษัท การขยายโรงงานใหม่ เป็นต้น - ระบบ DSS จะต้องช่วยผู้บริหารในกระบวนการการตัดสินใจ - ระบบ DSS จะต้องถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้ทั้งข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอนได้ - ระบบ DSS จะต้องสามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้ในทุกระดับแต่จะเน้นที่ระดับวางแผนบริหารและวางแผน ยุทธศาสตร์ 1
  • 2.
    - ระบบ DSSมีรูปแบบการใช้งานอเนกประสงค์ มีความสามารถในการจาลองสถานการณ์และมีเครื่องมือในการ วิเคราะห์สาหรับช่วยเหลือผู้ทาการตัดสินใจ - ระบบ DSS ต้องเป็นระบบที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้ สามารถใช้งานได้ง่ายผู้บริหารต้องสามารถใช้งานโดยพึ่งความ ช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุดหรือไม่ต้องพึ่งเลย - ระบบ DSS ต้องสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการข่าวสารในสภาพการณ์ต่างๆ - ระบบ DSS ต้องมีกลไกช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว - ระบบ DSS ต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้ - ระบบ DSS ต้องทางานโดยไม่ขึ้นกับระบบการทางานตามตารางเวลาขององค์กร - ระบบ DSS มีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับรูปแบบการบริหารแบบต่าง ๆ ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง คือ MIS ประเภทพิเศษที่ถูกพัฒนาสาหรับผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะช่วยให้ ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่คุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถใช้ระบบสารสนเทศได้ง่ายขึ้น โดยใช้เมาส์เลื่อนหรือจอภาพ แบบสัมผัส เพื่อเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างกันทาให้ผู้บริหารไม่ต้องจาคาสั่ง - มีการใช้งานบ่อย - ไม่ต้องมีทักษะทางคอมพิวเตอร์สูง - ความยืดหยุ่นสูงสามารถเข้ากันได้กับรูปแบบการทางานของผู้บริหาร - การใช้งานใช้ในการตรวจสอบ ควบคุม - การสนับสนุนการตัดสินใจไม่มีโครงสร้างแน่นอน - ผลลัพธ์ที่แสดงจะเป็นตัวอักษร ตาราง ภาพและเสียง รวมทั้งระบบมัลติมีเดีย - การใช้งานภาพกราฟิกสูง จะใช้รูปแบบการนาเสนอต่างๆ - ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วทันทีทันใด 1. ง่ายต่อผู้บริหารระดับสูงในการใช้งาน 1. มีข้อจากัดในการใช้งาน 2. การใช้งานไม่จาเป็นต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ 2. อาจทาให้ผู้บริหารจานวนมากรู้สึกว่าได้รับข้อมูล 3. ให้สารสนเทศสรุปของบริษัทในเวลาที่ต้องการ มากเกินไป 4. ทาให้สามารถเข้าในสารสนเทศได้ดีขึ้น 3. ยากต่อการประเมินผลประโยชน์ที่ได้จากระบบ 5. มีการกรองข้อมูลให้ประหยัดเวลา 4. ไม่สามารถทาการคานวณที่ซับซ้อนได้ 6. ทาให้ระบบสามารติดตามสารสนเทศได้ดีขึ้น 5. ระบบอาจนะใหญ่เกินกว่าที่จะจัดการได้ 6. ยากต่อการรักษาข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา 7. ก่อให้เกิดปัญหาการรักษาความลับของข้อมูล 2
  • 3.
    ระบบสานักงานอัตโนมัติ หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ใช้บุคลากรน้อยที่สุดโดยอาศัยเครื่องมือแบบอัตโนมัติและ ระบบสื่อสารเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างเครื่องมือเหล่านั้นเข้าด้วยกัน OAS มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไม่ใช้กระดาษ ข่าวสารถึงกันด้วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange) แทน ซึ่งมีรูปแบบในการใช้งาน 2 ลักษณะ คือ ได้แก่ การสื่อสารด้วยข้อความ E – mail , FAX เช่น การประชุมทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio Conferencing) การประชุมทางไกลแบบมีทั้งภาพและเสียง (Video - Conferencing) สานักงานที่จัดว่าเป็นสานักงานอัตโนมัติ ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสาคัญ คือ 1. Networking System คือ ระบบข่ายงานที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างกันทั่วองค์กร 2. Electronic Data Interchange คือ การสื่อสารข้อมูลข่าวสารระหว่างกน โดยอาศัยสัญญาณข้อมูลข่าวสารแบบ อิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบข่ายงาน 3. Internet Working (Internet) คือ การรวมตัวกันของระบบข่ายงาน ที่กระจายอยู่ทั่วโลกจนกลายเป็นเครือข่าย ขนาดใหญ่ 4. Paperless System คือ ระบบที่ไม่ใช้กระดาษ อาทิ Post Of Sale (POS) เป็นการขายแบบมีการบันทึกรายการ ขายและรายละเอียดอื่นที่เกี่ยวกับสินค้าทันทีที่มีการขาย ณ จุดขายนั้นๆ Electronic Funds Transfer (EFT) เป็นระบบการโอนเงินอัตโนมัติของธนาคารโลก ระบบผู้เชี่ยวชาญ หมายถึง ระบบที่ทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งคล้ายกับมนุษย์ ระบบนี้ได้รับความรู้จากมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถ วิเคราะห์เหตุผล เพื่อตัดสินใจ ความรู้ที่เก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์นี้ประกอบด้วย ฐานความรู้ (Knowledge Bass) และ กฎข้อวินิจฉัย (Inference Rule) ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะที่ทาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถตัดสินใจได้เอง เช่น การ วินิจฉัยความผิด ที่มา : http://samai101.multiply.com/journal/item/9?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem 3
  • 4.
    สารสนเทศที่ดีจะต้องตรงกับความเป็นจริงและเชื่อถือได้ สารสนเทศ บางอย่างมีความสาคัญ หากไม่ตรงกับความเป็นจริงแล้วอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ สารสนเทศที่ถูกต้องแม่นยา จะต้องเกิดจากการป้อนข้อมูลรวมถึงโปรแกรมที่ประมวลผลจะต้องถูกต้อง สารสนเทศที่ดีต้องทันต่อการใช้งาน หมายถึง ข้อมูลที่ป้อนให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ต้องมีความเป็นปัจจุบันทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพื่อการนาไปใช้ประโยชน์ได้จริง ตัวอย่างเช่น ข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ของ ผู้ปกครองนักเรียน จะต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัย หากหมายเลขโทรศัพท์ล้าสมัยก็จะไม่สามารถติดต่อกับผู้ปกครองได้ หากเกิดกรณีฉุกเฉิน สารสนเทศที่ดีจะต้องมีความครบถ้วน สารสนเทศที่มีความครบถ้วน เกิดจากการเก็บข้อมูลได้ครบถ้วน หากเก็บข้อมูลเพียงบางส่วนก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้เต็ม ประสิทธิภาพ ตัวอย่าง เช่น ข้อมูลนักเรียน ก็จะต้องมีการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับนักเรียนให้ได้มากที่สุด เช่น ชื่อ อายุ ที่ อยู่ ชื่อผู้ปกครอง หมายเลขโทรศัพท์ โรคประจาตัว คะแนนที่ได้รับในแต่ละวิชา เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ครูสามารถนาข้อมูล ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หากไม่มีข้อมูลของหมายเลขโทรศัพท์ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็จะไม่สามารถติดต่อกับผู้ปกครอง ได้เช่นเดียวกัน สารสนเทศจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของผุ้ ใช้ กล่าวคือ การเก็บข้อมูลต้องมีการสอบถามการใช้งานของผู้ใช้ว่าต้องการในเรื่องใดบ้าง จึงจะสามารถสรุปสารสนเทศได้ ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากต้องการเก็บข้อมูลของนักเรียนก็ต้องถามครูว่าต้องการเก็บข้อมูล ใดบ้าง เพื่อให้ครูสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้จริง สารสนเทศที่ดีจะต้องตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ตรวจสอบความ ถูกต้องของสารสนเทศได้ ที่มา : https://sites.google.com/site/kroonom/laksna-khxng-sarsnthes-thi-di 4