More Related Content
More from sangkeetwittaya stourajini
More from sangkeetwittaya stourajini (20)
ชาดก
- 1. ๑
ชาดก
ความหมาย – ประเภทชาดก
ชาดกแปลว่าประวัติการทาความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีมาในชาติก่อนๆ
นิทาน ตามพจนานุกรมมาจาก(มค.นิทาน) น. เหตุ ; เรื่องเดิม; คาเล่าเรื่อง,เรื่องนิยาย
นิทานแปลว่าเหตุเป็นเครื่องมอบให้ซึ่งผล,มูลเค้า,เรื่องเดิม,สมุฏฐาน
ชาดกแปลว่าผู้เกิด คือเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิดถือเอากาเนิดในชาติต่างๆ
ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้างแต่ก็ได้พยายามทาความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา
จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
กล่าวอีกอย่างหนึ่งจะถือว่า เรื่องชาดกเป็นวิวัฒนาการแห่งการบาเพ็ญคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ได้
นิทานชาดก มิใช่เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสอนคุณธรรมแต่นิทานชาดก คือ เรื่องในอดีตชาติของ พระพุทธเจ้า
ที่พระองค์ทรงแสดงแก่พระภิกษุในโอกาสต่างๆบางครั้งก็เพื่อแสดงภูมิหลังของผู้ที่พระองค์ต้องการแสดงธรรมให้ฟัง
บางครั้งก็เพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ชาดก เป็นเรื่องที่มีมาก่อนพุทธกาล เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์
ชาดกมี2 ประเภท คือ
1. นิบาตชาดก เป็นชาดกในพระไตรปิฎกมี500เรื่อง แบ่งออกเป็นหมวดๆ ตามจานวนคาถา
นับตั้งแต่ 1 คาถาถึง80คาถา
ชาดกที่มี1 คาถาเรียกว่าเอกนิบาต
ชาดกที่มี2 คาถาเรียกว่า ทุกนิบาต
ชาดกที่มี 3 คาถาเรียกว่าตักนิบาต
ชาดกที่มี 4 คาถาเรียกว่า จตุคนิบาต
ชาดกที่มี 5 คาถาเรียกว่า ปัญจกนิบาต
ชาดกที่มีเกิน80 คาถาขึ้นไปเรียกว่า มหานิบาตชาดก ซึ่งมี 10 เรื่อง เรียก ทศชาติ หรือ พระเจ้าสิบชาติ
2. ปัญญาสชาติชาดก คาว่าปัญญาสชาดก(ปัน-ยาด-สะ-ชา-ดก) ประกอบด้วยคาว่าปัญญาสแปลว่าห้าสิบกับคาว่าชาดก
ซึ่งหมายถึงเรื่องราวชีวิตของพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าในอดีตชาติก่อนที่จะทรงบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ๕๐เรื่อง
เขียนเป็นภาษาบาลีเป็นชีวิตของพระโพธิสัตว์ในพระชาติต่างๆที่ได้บาเพ็ญบารมีคือทาความดีด้วยประการต่างๆอย่างแน่วแน่
เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและบาเพ็ญเพียรเพื่อให้พ้นความทุกข์ยากต่าง
ๆ การบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เป็นตัวอย่างให้พุทธศาสนิกชนได้ทาตามคิดตามยึดถือตาม
เพื่อให้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิต
และพยายามหาวิธีพ้นจากความทุกข์ได้อย่างถูกต้องตามทานองคลองธรรม ปัญญาสชาติชาดก ที่แต่งขึ้นจากนิทานพื้นเมืองนี้ ไ
ม่มีในพระไตรปิฎก หรือเรียกว่า ชาดกนอกนิบาตมีจานวน50 เรื่อง พระภิกษุชาวเชียงใหม่แต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2000-
2200 เป็นภาษามคธ โดยเลียนแบบนิบาตชาดก ครั้นเมื่อ พ.ศ.2443-
2448 พระบรมวงศ์เธอกรมพระสมมตอมรพันธ์ ดารงตาแหน่งองค์สภานายก หอพระสมุดสาหรับพระนคร ได้ทรงแปลเป็นภาษาไท
ย เรื่องปัญญาสชาดกจึงแพร่หลาย
องค์ประกอบของชาดก
ชาดกทุกเรื่องจะมีองค์ประกอบ3ประเภท คือ
1. ปรารภเรื่อง คือบทนาเรื่องหรือ อุบัติเหตุ จะกล่าวถึงมูลเหตุหรือที่มาของชาดกเรื่องนั้น เช่น มหาเวสสันดรชาดก
- 2. ๒
2. อดีตนิทาน หรือ ชาดก หมายถึงเรื่องราวนิทานที่พระพุทธองค์ตรัสเล่า
3. ประชุมชาดก ประมวลชาดก เป็นเนื้อความสุดท้ายของชาดกกล่าวถึงบุคคลในชาดก คือผู้ใดที่กลับชาติเป็นใครบ้างในปัจจุบัน
รายชื่อชาดกเรื่องต่าง ๆ
นิบาตชาดก
เป็นเรื่องชาดกที่ปรากฏในพระไตรปิฎกภาษาบาลีในส่วนพระสุตตันตปิฎกขุททกนิกายชาดกมีทั้งหมด547เรื่อง
ปรากฏในเล่มที่27 มี 525 เรื่อง ในเล่มที่ 28 มี 22 เรื่อง รวมทั้งสิ้นจึงเป็น547 เรื่อง ซึ่งจาแนกในแต่ละหมวดแต่ละเรื่องได้ คือ
เล่มที่ 27 อปัณณกวรรคหมวดว่าด้วยการปฏิบัติไม่ผิด10เรื่อง
1.ปัณณิกชาดก2.วัณณุปถชาดก3.เสริววาณิชชาดก4.จูฬเสฏฐิชาดก5.ตัณฑุลนาฬิชาดก6.เทวธัมมชาดก7.กัฏฐ
หาริชาดก8.คามณิชาดก9.มฆเทวชาดก10.สุขวิหาริชาดก
เล่มที่ 27 สีลวรรคหมวดว่าด้วยศีล10เรื่อง
1.ลักขณชาดก2.นิโครธมิคชาดก3.กัณฑิชาดก4.วาตมิคชาดก5.ขราทิยชาดก6.ติปัลลัตถมิคชาดก7.มาลุตชาดก
8.มตกภัตตชาดก9.อายาจิตภัตตชาดก10.นฬปานชาดก
เล่มที่ 27 กุรุงควรรคหมวดว่าด้วยกวาง10เรื่อง
1.กุรุงคมิคชาดก2.กุกกุรชาดก3.โภชาชานียชาดก4.อาชัญญชาดก5.ติตถชาดก6.มหิฬามุขชาดก7.อภิณหชาดก
8.นันทิวิสาลชาดก9.กัณหชาดก10.มุนิกชาดก
เล่มที่ 27 กุลาวกวรรคหมวดว่าด้วยลูกนกครุฑ10เรื่อง
1.กุลาวกชาดก2.นัจจชาดก3.สัมโมทมานชาดก4.มัจฉชาดก5.วัฏฏกชาดก6.สกุณชาดก7.ติตติรชาดก8.พกชาด
ก 9.นันทชาดก10.ขทิรังคารชาดก
อัตถกามวรรคหมวดว่าด้วยผู้ใคร่ประโยชน์10เรื่อง
ทศชาติชาดก
1. เตมิยชาดก
2. ชนกชาดก
3. สุวรรณสามชาดก
4. เนมิราชชาดก
5. มโหสถชาดก
6. ภูริทัตชาดก
7. จันทชาดก
8. นารทชาดก
9. วิธูรชาดก
10. มหาเวสสันดรชาดก
ปัญญาสชาดก50 เรื่อง
ปัญญาสชาดกเป็นชาดกที่ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกไม่ปรากฏชัดเจนถึงชื่อผู้แต่งหรือปีที่แต่งแต่ก็มีผู้สันนิษฐาน
และทราบเพียงแต่ว่าผู้แต่งคือภิกษุชาวเชียงใหม่ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร
กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าน่าจะแต่งขึ้นระหว่างพ.ศ.๒๐๐๐- ๒๒๐๐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ลิขิต
- 3. ๓
ลิขิตานนท์คาดว่าน่าจะแต่งขึ้นประมาณพ.ศ.๒๐๓๘- ๒๐๖๘แต่ศาสตราจารย์ดร.นิยะดา
สาริกภูติให้ข้อมูลเสริมต่อชาดกชุดนี้ว่าน่าจะเก่ากว่านั้นเพราะมีหลักฐานเป็นศิลาจารึกหลักหนึ่งของพม่าซึ่งจารึกเมื่อจ.ศ.๖๒๗
(พ.ศ. ๑๘๐๘) ตั้งอยู่ที่วัดKusa-samutiหมู่บ้าน
Pwasawปัญญาสชาดกแต่งเลียนแบบชาตกัฏฐกถาเพื่อเป็นการสอนศาสนาโดยใช้ชาดกและแต่งเป็นชาดกนอกนิบาต ๕๐เรื่อง
ผนวกกับปัจฉิมภาคอีก๑๑เรื่อง ดังนี้
1. สมุททโฆสชาดกเป็นที่มาของสมุทรโฆษคาฉันท์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
2. สุธนชาดกมีผู้นาไปแต่งเป็นบทละครนอกในสมัยกรุงศรีอยุธยา
3. สุธนุชาดก
4. รัตนปโชตชาดก
5. สิริวิบุลกิตติชาดก
6. วิบุลราชชาดกเป็นเรื่องที่หลวงศรีปรีชา(เซ่ง)
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนาไปแต่งเป็นโครงเรื่องของกลอนกลบทชนิดต่างๆเรียกรวมว่ากลบทศิริวิบุลกิตติ
7. สิริจุฑามณิชาดก
8. จันทราชชาดก
9. สุภมิตตชาดก
10. สิริธรชาดก
11. ทุลกบัณฑิตชาดก
12. อาทิตชาดก
13. ทุกัมมานิกชาดก
14. มหาสุรเสนชาดก
15. สุวรรณกุมารชาดก
16. กนกวรรณราชชาดก
17. วิริยบัณฑิตชาดก
18. ธรรมโสณฑกชาดก
19. สุทัสนชาดก
20. วัฏกังคุลีราชชาดก
21. โบราณกบิลราชชาดก
22. ธรรมิกบัณฑิตราชชาดก
23. จาคทานชาดก
24. ธรรมราชชาดก
25. นรชีวชาดก
26. สุรูปชาดก
27. มหาปทุมชาดก
28. ภัณฑาคารชาดก
- 5. ๕
10. สิรสาชาดก
11. จันทคาธชาดก
อิทธิพลชาดกต่อสังคม
อิทธิพลด้านคาสอน
อิทธิพลด้านจิตรกรรม
อิทธิพลด้านวรรณคดี/ภาษา
อิทธิพลด้านความเชื่อ
ทศชาติชาดก
เ ต มี ย์ ช า ด ก - ( พระเตมีย์ใบ้ )
พระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้ากาสิกราชครองเมืองชื่อว่าพาราณสีมีพระมเหสีพระนามว่าจันทรเทวี
พระราชาไม่มีพระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์จึงโปรดให้ พระนางจันทรเทวีทาพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า
พระนางจันทรเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า
"ข้าพเจ้าได้รักษาศีลบริสุทธิ์ตลอดมาขอให้บุญกุศลนี้บันดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด"ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์
พระนางจันทรเทวีทรงครรภ์และประสูติพระโอรสสมดังความปราถนาพระโอรสมีรูปโฉมงดงามยิ่งนักทั้งพระราชาพระมเหสี
และประชาชนทั้งหลายมีความยินดีเป็นที่สุดพระราชาจึงตั้งพระนามโอรสว่าเตมีย์แปลว่าเป็นที่ยินดีของคนทั้งหลาย
บรรดาพราหมณ์ผู้รู้วิชาทานายลักษณะบุคคลได้กราบทูลพระราชาว่าพระโอรสองค์นี้มีลักษณะประเสริฐเมื่อเติบโตขึ้น
จะได้เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทั้งสี่พระราชาทรงยินดีเป็นอย่างยิ่งและทรงเลือกแม่นมที่มีลักษณะดีเลิศตามตาราจานวน
64 คนเป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดูพระเตมีย์กุมารวันหนึ่งพระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตักขณะที่กาลังพิพากษาโทษผู้ร้าย 4คน
พระราชาตรัสสั่งให้เอาหวายที่มีหนามแหลมคมมาเฆี่ยนผู้ร้ายคนหนึ่งแล้วส่งไปขังคุกให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนที่สาม
และให้ใช้หลาวเสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย
พระเตมีย์ซึ่งอยู่บนตักพระบิดาได้ยินคาพิพากษาดังนั้นก็มีความตกใจหวาดกลัวทรงคิดว่า
"ถ้าเราโตขึ้นได้เป็นพระราชาเราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้องทาบาปเช่นเดียวกันนี้เมื่อเราตายไป
ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน"
เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญจึงราลึกชาติได้และทรงทราบว่าในชาติก่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมืองและได้ตัดสินโทษ
ผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์จึงต้องตกนรกอยู่ถึง 7,000ปี ได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอันมาก
พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่งทรงราพึงว่า
"ทาอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่ต้องทาบาปและไม่ต้องตกนรกอีก"
ขณะนั้นเทพธิดาที่รักษาเศวตฉัตรได้ยินคาราพึงของพระเตมีย์จึงปรากฏกายให้พระองค์เห็นและแนะนาพระเตมีย์ว่า
"หากพระองค์ทรงหวั่นที่จะกระทาบาปทรงหวั่นเกรงว่าจะตกนรกก็จงทาเป็น หูหนวกเป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ย
อย่าให้ชนทั้งหลายรู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาดเป็นคนมีบุญพระองค์จะต้องมีความอดทน
ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใดก็ต้องแข็งพระทัยต้องทรงต่อสู้ กับพระทัยตนเองให้จงได้ อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาชักจูงใจ
พระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้"
พระเตมีย์กุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนั้นก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ต่อไปนี้เราจะทาตนเป็นคนใบ้หูหนวกและง่อยเปลี้ยไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเราก็จะไม่ละความตั้งใจเป็นอันขาด"
- 6. ๖
นับแต่นั้นมา พระเตมีย์ก็ทาพระองค์เป็นคนหูหนวกเป็นใบ้ และเป็นง่อยไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะและไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย
พระราชาและพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวลในอาการของพระโอรสตรัสสั่งให้พี่เลี้ยงและแม่นมทดลองด้วยอุบายต่างๆเช่น
ให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทนไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหิวโหยครั้นพระราชาให้พี่เลี้ยงเอาขนมล่อพระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย
นิ่งเฉยตลอดเวลาพระราชาทรงมีความหวังว่าพระโอรสคงไม่ได้หูหนวกเป็นใบ้และง่อยเปลี้ยจริงจึงโปรดให้ทดลองด้วยวิธีต่างๆ
เป็นลาดับเมื่ออายุ 2 ขวบเอาผลไม้มาล่อพระกุมารก็ไม่สนพระทัยอายุ4ขวบเอาของเสวยรสอร่อยมาล่อ
พระกุมารก็ไม่สนพระทัยอายุ5ขวบพระราชาให้เอาไฟมาขู่พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความตกใจกลัวอายุ 6ขวบเอาช้างมาขู่อายุ 7
ขวบเอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัวไม่ถอยหนีเหมือนเด็กอื่นๆพระราชาทรงทดลองด้วยวิธีการต่างๆเรื่อยมาจนพระเตมีย์
อายุได้ 16 พรรษาก็ไม่ได้ผลพระเตมีย์ยังทรงทาเป็นหูหนวกทาเป็นใบ้และไม่เคลื่อนไหวเลยตลอดเวลา 16ปี
ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลายมาและตรัสถามว่า
"พวกเจ้าเคยทานายว่าลูกเราจะเป็นผู้มีบุญเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ และเป็น
ง่อยเช่นนี้เราจะทาอย่างไรดี"
พราหมณ์และที่ปรึกษาพากันกราบทูลว่า
"เมื่อตอนที่ประสูตินั้นพระโอรสมีลักษณะเป็นผู้มีบุญแต่บัดนี้เมื่อได้กลับกลายเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้เป็นง่อย
ก็กลายเป็นกาลกิณีจะทาให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อนขอให้พระองค์สั่งให้นาพระโอรสไปฝังที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ
จะได้สิ้นอันตราย"
พระราชาได้ยินดังนั้นก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรสแต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ เพราะเป็นห่วงบ้านเมืองและประชาชน
จึงต้องทรงทาตามคากราบของพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลายพระนางจันทเทวีทรงทราบว่าพระราชาให้นาพระโอรสไปฝังที่ป่าช้า
ก็ทรงร้องไห้คร่าครวญว่า
"พ่อเตมีย์ลูกรักของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ยไม่ใช่คนหูหนวกไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทาอย่างนี้เลยแม่เศร้าโศกมาตลอดเวลา
16 ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนาไปฝังแม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก"
พระเตมีย์ได้ยินดังนั้นก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมากทรงสานึกในพระคุณของพระมารดาแต่ในขณะเดียวกันก็ทรงราลึกว่า
พระองค์ตั้งพระทัยไว้ว่าจะไม่ทาการใดที่จะทาให้ต้องไปสู่นรกอีกจะไม่ทรงยอมละความตั้งใจที่จะทาเป็นใบ้หูหนวกและเป็นง่อย
จะไม่ยอมให้สิ่งใดมาชักจูงใจพระองค์ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด
พระราชาจึงตรัสสั่งให้นายสารถีชื่อสุนันทะนาพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบ
ให้ขุดหลุมแล้วเอาพระเตมีย์โยนลงไปในหลุมเอาดินกลบเสียให้ตาย
นายสุนันทะจึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบเมื่อไปถึงป่าช้านายสุนันทะก็เตรียมขุดหลุมจะฝังพระเตมีย์
พระเตมีย์กุมารประทับอยู่บนราชรถทรงราพึงว่า
"บัดนี้เราพ้นจากความทุกข์ว่าจะต้องเป็นพระราชาพ้นความทุกข์ว่าจะต้องทาบาปเราได้อดทนมาตลอดเวลา 16ปี
ไม่เคยเคลื่อนไหวร่างกายเลยเราจะลองดูว่าเรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่มีกาลังร่างกายสมบูรณ์หรือไม่"
ราพึงแล้วพระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถทรงเคลื่อนไหวร่างกายทดลองเดินไปมาก็ทราบว่ายังคงมีกาลังร่างกาย
สมบูรณ์เหมือนคนปกติจึงทดลองยกราชรถก็ปรากฏว่าทรงมีกาลังยกราชรถขึ้นกวัดแกว่งได้อย่างง่ายดายจึงทรงเดินไปหา
นายสุนันทะที่กาลังก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่พระเตมีย์ตรัสถามนายสุนันทะว่า
"ท่านเร่งรีบขุดหลุมไปทาไม"
นายสุนันทะตอบคาถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่า
"เราขุดหลุมจะฝังพระโอรสของพระราชาเพราะพระโอรสเป็นง่อยเป็นใบ้และหูหนวกพระราชาตรัสสั่งให้ฝังเสีย
จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง"
พระเตมีย์จึงตรัสว่า
"เราไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวกและไม่ง่อยเปลี้ยจงเงยขึ้นดูเราเถิดถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็จะประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม"
- 7. ๗
นายสารถีเงยขึ้นดูเห็นพระเตมีย์ก็จาไม่ได้ จึงถามว่า
"ท่านเป็นใคร ท่านมีรูปร่างงามราวกับเทวดาท่านเป็นเทวดาหรือหรือว่าเป็นมนุษย์ท่านเป็นลูกใครทาอย่างไรเราจึงจะรู้จักท่าน"
พระเตมีย์ตอบว่า
"เราคือเตมีย์กุมารโอรสพระราชาผู้เป็นนายของท่านถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็จะได้ชื่อว่าทาสิ่งที่ไม่เป็นธรรม
พระราชาเปรียบเหมือนต้นไม้ ตัวเราเปรียบเหมือนกิ่งไม้ ท่านได้อาศัยร่มเงาไม้ ถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็ได้ชื่อว่าทาสิ่งที่ไม่เป็นธรรม
นายสารถียังไม่เชื่อว่าเป็นพระกุมารที่ตนพามาพระเตมีย์ทรงประสงค์จะให้นายสารถีเชื่อจึงตรัสอธิบายให้เห็นว่าหาก
นายสารถีจะฝังพระองค์ก็ได้ชื่อว่าทาร้ายมิตรทรงอธิบายว่า"ผู้ไม่ทาร้ายมิตรจะไปที่ไดก็มีคนคบหามากจะไม่อดอยาก
ไปที่ใดก็มีผู้สรรเสริญบูชาโจรจะไม่ข่มเหงพระราชาไม่ดูหมิ่นจะเอาชนะศัตรูทั้งปวงได้ ผู้ไม่ทาร้ายมิตรเมื่อมาถึงบ้านเรือนของตน
หมู่ญาติและประชาชนจะพากันชื่นชมยกย่องผู้ไม่ทาร้ายมิตรย่อมได้รับการสักการะเพราะเมื่อสักการะท่านแล้ว
ย่อมได้รับการสักการะตอบเมื่อเคารพบูชาท่านแล้วย่อมได้รับการเคารพตอบผู้ไม่ทาร้ายมิตรย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟรุ่งโรจน์
ดังเทวดาเป็นผู้มีมิ่งขวัญสิริมงคลประจาตนอยู่เสมอผู้ไม่ทาร้ายมิตรจะทาการใดก็สาเร็จผลโคจะมีลูกมากหว่านพืชลงในนา
ก็จะงอกงามแม้จะพลัดตกเหวตกจากภูเขาตกจากต้นไม้ ก็จะไม่เป็นอันตรายผู้ไม่ทาร้ายมิตรศัตรูไม่อาจข่มเหงได้
เพราะเป็นผู้มีมิตรมากเปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่มีรากติดต่อพัวพันลมแรงก็ไม่อาจทาร้ายได้ "
นายสารถีได้ยินพระเตมีย์ตรัสยิ่งเกิดความสงสัยจึงเดินมาดูที่ราชรถก็ไม่เห็นพระกุมารที่ตนพามาครั้นเดิน
กลับมาพินิจพิจารณาพระเตมีย์อีกครั้งก็จาได้ จึงทูลว่า "ข้าพเจ้าจะพาพระองค์กลับวังขอเชิญเสด็จกลับไปครองพระนครเถิด"
พระเตมีย์ตรัสตอบว่า
" เราไม่กลับไปวังอีกแล้วเราได้ตัดขาดจากความยินดีในสมบัติทั้งหลายเราได้ตั้งความอดทนมาเป็นเวลาถึง 16ปี อันราชสมบัติทั้ง
พระนครและความสุขความรื่นเริงต่างๆเป็นของน่าเพลิดเพลินแต่าเราไม่ปรารถนาจะหลงอยู่ในความเพลิดเพลินนั้น
ไม่ปรารถนาจะกระทาบาปอีกเราจะไม่ก่อเวรให้เกิดขึ้นอีกแล้วบัดนี้เราพ้นจากภาระนั้นแล้วเพราะพระบิดาพระมารดา
ปล่อยเราให้พ้นจากราชสมบัติมาแล้วเราพ้นจากความหลงใหลในกิเลสทั้งหลายเราจะขอบวชอยู่ในป่านี้แต่ลาพัง
เราต่อสู้ได้ชัยชนะในจิตใจของเราแล้ว"
เมื่อตรัสดังนั้นพระเตมีย์กุมารมีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งราพึงกับพระองค์เองว่า
"ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทนย่อมได้รับผลสาเร็จด้วยดี"
นายสุนันทะสารถีได้ฟังก็เกิดความยินดีทูลพระเตมีย์ว่าจะขอบวชอยู่กับพระเตมีย์ในป่าแต่พระองค์เห็นว่า
หากนายสารถีไม่กลับไปเมืองจะเกิดความสงสัยว่าพระองค์หายไปไหนทั้งนายสารถี ราชรถเครื่องประดับทั้งปวงก็สูญหายไป
ควรที่นายสารถีจะนาสิ่งของทั้งหลายกับไปพระราชวังทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงทราบเสียก่อนแล้วจึงค่อยกลับมา
บวชเมื่อหมดภาระ นายสุนันทะจึงกลับไปกราบทูลพระราชาว่าพระเตมีย์กุมารมิได้วิกลวิการ แต่ทรงมีรูปโฉมงดงามและ
ตรัสได้ไพเราะเหตุที่แสร้งทาเป็นคนพิการก็เพราะไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติไม่ปรารถนาจะก่อเวรทาบาปอีกต่อไป
เมื่อพระราชาและพระมเหสีได้ทรงทราบก็ทรงปลื้มปิติยินดีโปรดให้จัดกระบวนไปรับพระเตมีย์กลับจากป่าขณะนั้น
พระเตมีย์ทรงผนวชแล้วประทับอยู่ในบรรณศาลาซึ่งเทวดาเนรมิตไว้ให้ เมื่อพระบิดาพระมารดาเสด็จไปถึง
พระเตมีย์จึงเสด็จมาต้อนรับทักทายปราศรัยกันด้วยความยินดีพระราชาเห็นพระโอรสผนวชเป็นฤาษีเสวยใบไม้ลวกเป็นอาหาร
และประทับอยู่ลาพังในป่าจึงตรัสถามว่าเหตุใดจึงยังมีผิวพรรณผ่องใสร่างกายแข็งแรงพระเตมีย์ตรัสตอบพระบิดาว่า
"อาตมามีร่างกายแข็งแรงผิวพรรณผ่องใสเพราะไม่ต้องเศร้าโศกถึงอดีตไม่ต้องรอคอยอนาคต
อาตมาใช้ชีวิตให้เป็นไปตามที่สมควรในปัจจุบันคนพาลนั้นย่อมซูบซีดเพราะมัวโศกเศร้าถึงอดีตเพราะมัวรอคอยอนาคต"
พระราชาตรัสตอบว่า
"ลูกยังหนุ่มยังแน่นแข็งแรงจะมามัวอยู่ทาอะไรในป่ากลับไปบ้านเมืองเถิดกลับไปครองราชสมบัติมีโอรสธิดา
เมื่อชราแล้วจึงค่อยมาบวช"