SlideShare a Scribd company logo
1 of 34
๑
ชาดก
ความหมาย – ประเภทชาดก
ชาดกแปลว่าประวัติการทาความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีมาในชาติก่อนๆ
นิทาน ตามพจนานุกรมมาจาก(มค.นิทาน) น. เหตุ ; เรื่องเดิม; คาเล่าเรื่อง,เรื่องนิยาย
นิทานแปลว่าเหตุเป็นเครื่องมอบให้ซึ่งผล,มูลเค้า,เรื่องเดิม,สมุฏฐาน
ชาดกแปลว่าผู้เกิด คือเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิดถือเอากาเนิดในชาติต่างๆ
ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้างแต่ก็ได้พยายามทาความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา
จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
กล่าวอีกอย่างหนึ่งจะถือว่า เรื่องชาดกเป็นวิวัฒนาการแห่งการบาเพ็ญคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ได้
นิทานชาดก มิใช่เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสอนคุณธรรมแต่นิทานชาดก คือ เรื่องในอดีตชาติของ พระพุทธเจ้า
ที่พระองค์ทรงแสดงแก่พระภิกษุในโอกาสต่างๆบางครั้งก็เพื่อแสดงภูมิหลังของผู้ที่พระองค์ต้องการแสดงธรรมให้ฟัง
บางครั้งก็เพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ชาดก เป็นเรื่องที่มีมาก่อนพุทธกาล เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์
ชาดกมี2 ประเภท คือ
1. นิบาตชาดก เป็นชาดกในพระไตรปิฎกมี500เรื่อง แบ่งออกเป็นหมวดๆ ตามจานวนคาถา
นับตั้งแต่ 1 คาถาถึง80คาถา
ชาดกที่มี1 คาถาเรียกว่าเอกนิบาต
ชาดกที่มี2 คาถาเรียกว่า ทุกนิบาต
ชาดกที่มี 3 คาถาเรียกว่าตักนิบาต
ชาดกที่มี 4 คาถาเรียกว่า จตุคนิบาต
ชาดกที่มี 5 คาถาเรียกว่า ปัญจกนิบาต
ชาดกที่มีเกิน80 คาถาขึ้นไปเรียกว่า มหานิบาตชาดก ซึ่งมี 10 เรื่อง เรียก ทศชาติ หรือ พระเจ้าสิบชาติ
2. ปัญญาสชาติชาดก คาว่าปัญญาสชาดก(ปัน-ยาด-สะ-ชา-ดก) ประกอบด้วยคาว่าปัญญาสแปลว่าห้าสิบกับคาว่าชาดก
ซึ่งหมายถึงเรื่องราวชีวิตของพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าในอดีตชาติก่อนที่จะทรงบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ๕๐เรื่อง
เขียนเป็นภาษาบาลีเป็นชีวิตของพระโพธิสัตว์ในพระชาติต่างๆที่ได้บาเพ็ญบารมีคือทาความดีด้วยประการต่างๆอย่างแน่วแน่
เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและบาเพ็ญเพียรเพื่อให้พ้นความทุกข์ยากต่าง
ๆ การบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เป็นตัวอย่างให้พุทธศาสนิกชนได้ทาตามคิดตามยึดถือตาม
เพื่อให้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิต
และพยายามหาวิธีพ้นจากความทุกข์ได้อย่างถูกต้องตามทานองคลองธรรม ปัญญาสชาติชาดก ที่แต่งขึ้นจากนิทานพื้นเมืองนี้ ไ
ม่มีในพระไตรปิฎก หรือเรียกว่า ชาดกนอกนิบาตมีจานวน50 เรื่อง พระภิกษุชาวเชียงใหม่แต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2000-
2200 เป็นภาษามคธ โดยเลียนแบบนิบาตชาดก ครั้นเมื่อ พ.ศ.2443-
2448 พระบรมวงศ์เธอกรมพระสมมตอมรพันธ์ ดารงตาแหน่งองค์สภานายก หอพระสมุดสาหรับพระนคร ได้ทรงแปลเป็นภาษาไท
ย เรื่องปัญญาสชาดกจึงแพร่หลาย
องค์ประกอบของชาดก
ชาดกทุกเรื่องจะมีองค์ประกอบ3ประเภท คือ
1. ปรารภเรื่อง คือบทนาเรื่องหรือ อุบัติเหตุ จะกล่าวถึงมูลเหตุหรือที่มาของชาดกเรื่องนั้น เช่น มหาเวสสันดรชาดก
๒
2. อดีตนิทาน หรือ ชาดก หมายถึงเรื่องราวนิทานที่พระพุทธองค์ตรัสเล่า
3. ประชุมชาดก ประมวลชาดก เป็นเนื้อความสุดท้ายของชาดกกล่าวถึงบุคคลในชาดก คือผู้ใดที่กลับชาติเป็นใครบ้างในปัจจุบัน
รายชื่อชาดกเรื่องต่าง ๆ
นิบาตชาดก
เป็นเรื่องชาดกที่ปรากฏในพระไตรปิฎกภาษาบาลีในส่วนพระสุตตันตปิฎกขุททกนิกายชาดกมีทั้งหมด547เรื่อง
ปรากฏในเล่มที่27 มี 525 เรื่อง ในเล่มที่ 28 มี 22 เรื่อง รวมทั้งสิ้นจึงเป็น547 เรื่อง ซึ่งจาแนกในแต่ละหมวดแต่ละเรื่องได้ คือ
 เล่มที่ 27 อปัณณกวรรคหมวดว่าด้วยการปฏิบัติไม่ผิด10เรื่อง
 1.ปัณณิกชาดก2.วัณณุปถชาดก3.เสริววาณิชชาดก4.จูฬเสฏฐิชาดก5.ตัณฑุลนาฬิชาดก6.เทวธัมมชาดก7.กัฏฐ
หาริชาดก8.คามณิชาดก9.มฆเทวชาดก10.สุขวิหาริชาดก
 เล่มที่ 27 สีลวรรคหมวดว่าด้วยศีล10เรื่อง
 1.ลักขณชาดก2.นิโครธมิคชาดก3.กัณฑิชาดก4.วาตมิคชาดก5.ขราทิยชาดก6.ติปัลลัตถมิคชาดก7.มาลุตชาดก
8.มตกภัตตชาดก9.อายาจิตภัตตชาดก10.นฬปานชาดก
 เล่มที่ 27 กุรุงควรรคหมวดว่าด้วยกวาง10เรื่อง
 1.กุรุงคมิคชาดก2.กุกกุรชาดก3.โภชาชานียชาดก4.อาชัญญชาดก5.ติตถชาดก6.มหิฬามุขชาดก7.อภิณหชาดก
8.นันทิวิสาลชาดก9.กัณหชาดก10.มุนิกชาดก
 เล่มที่ 27 กุลาวกวรรคหมวดว่าด้วยลูกนกครุฑ10เรื่อง
 1.กุลาวกชาดก2.นัจจชาดก3.สัมโมทมานชาดก4.มัจฉชาดก5.วัฏฏกชาดก6.สกุณชาดก7.ติตติรชาดก8.พกชาด
ก 9.นันทชาดก10.ขทิรังคารชาดก
 อัตถกามวรรคหมวดว่าด้วยผู้ใคร่ประโยชน์10เรื่อง
ทศชาติชาดก
1. เตมิยชาดก
2. ชนกชาดก
3. สุวรรณสามชาดก
4. เนมิราชชาดก
5. มโหสถชาดก
6. ภูริทัตชาดก
7. จันทชาดก
8. นารทชาดก
9. วิธูรชาดก
10. มหาเวสสันดรชาดก
ปัญญาสชาดก50 เรื่อง
ปัญญาสชาดกเป็นชาดกที่ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกไม่ปรากฏชัดเจนถึงชื่อผู้แต่งหรือปีที่แต่งแต่ก็มีผู้สันนิษฐาน
และทราบเพียงแต่ว่าผู้แต่งคือภิกษุชาวเชียงใหม่ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร
กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าน่าจะแต่งขึ้นระหว่างพ.ศ.๒๐๐๐- ๒๒๐๐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ลิขิต
๓
ลิขิตานนท์คาดว่าน่าจะแต่งขึ้นประมาณพ.ศ.๒๐๓๘- ๒๐๖๘แต่ศาสตราจารย์ดร.นิยะดา
สาริกภูติให้ข้อมูลเสริมต่อชาดกชุดนี้ว่าน่าจะเก่ากว่านั้นเพราะมีหลักฐานเป็นศิลาจารึกหลักหนึ่งของพม่าซึ่งจารึกเมื่อจ.ศ.๖๒๗
(พ.ศ. ๑๘๐๘) ตั้งอยู่ที่วัดKusa-samutiหมู่บ้าน
Pwasawปัญญาสชาดกแต่งเลียนแบบชาตกัฏฐกถาเพื่อเป็นการสอนศาสนาโดยใช้ชาดกและแต่งเป็นชาดกนอกนิบาต ๕๐เรื่อง
ผนวกกับปัจฉิมภาคอีก๑๑เรื่อง ดังนี้
1. สมุททโฆสชาดกเป็นที่มาของสมุทรโฆษคาฉันท์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
2. สุธนชาดกมีผู้นาไปแต่งเป็นบทละครนอกในสมัยกรุงศรีอยุธยา
3. สุธนุชาดก
4. รัตนปโชตชาดก
5. สิริวิบุลกิตติชาดก
6. วิบุลราชชาดกเป็นเรื่องที่หลวงศรีปรีชา(เซ่ง)
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนาไปแต่งเป็นโครงเรื่องของกลอนกลบทชนิดต่างๆเรียกรวมว่ากลบทศิริวิบุลกิตติ
7. สิริจุฑามณิชาดก
8. จันทราชชาดก
9. สุภมิตตชาดก
10. สิริธรชาดก
11. ทุลกบัณฑิตชาดก
12. อาทิตชาดก
13. ทุกัมมานิกชาดก
14. มหาสุรเสนชาดก
15. สุวรรณกุมารชาดก
16. กนกวรรณราชชาดก
17. วิริยบัณฑิตชาดก
18. ธรรมโสณฑกชาดก
19. สุทัสนชาดก
20. วัฏกังคุลีราชชาดก
21. โบราณกบิลราชชาดก
22. ธรรมิกบัณฑิตราชชาดก
23. จาคทานชาดก
24. ธรรมราชชาดก
25. นรชีวชาดก
26. สุรูปชาดก
27. มหาปทุมชาดก
28. ภัณฑาคารชาดก
๔
29. พหลาคาวีชาดกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงนาไปเป็นต้นเรื่องของละครนอกเรื่องคาวี
และเรื่องพหลคาวีชาดกนี้พระมหาราชครูในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ได้นาไปแต่งเป็นเรื่องเสือโคคาฉันท์ด้วย
30. เสตบัณฑิตชาดก
31. ปุปผชาดก
32. พาราณสิราชชาดก
33. พรหมโฆสราชชาดก
34. เทวรุกขกุมารชาดก
35. สลภชาดก
36. สิทธิสารชาดก
37. นรชีวกฐินชาดก
38. อติเทวราชชาดก
39. ปาจิตตกุมารชาดก
40. สรรพสิทธิกุมารชาดกเป็นต้นเรื่องที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสนาไปเป็นพระนิพนธ์เรื่องสรรพสิทธิคาฉันท์
41. สังขปัตตชาดก
42. จันทเสนชาดก
43. สุวรรณกัจฉปชาดก
44. สิโสรชาดก
45. วรวงสชาดก
46. อรินทมชาดก
47. รถเสนชาดก
48. สุวรรณสิรสาชาดก
49. วนาวนชาดก
50. พากุลชาดก
ปัจฉิมภาคชาดก11 เรื่อง
1. โสนันทชาดก
2. สีหนาทชาดก
3. สุวรรณสังขชาดกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงนาไปแปลงและทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละครนอกเรื่องสังข์
ทอง
4. สุรัพภชาดก
5. สุวรรณกัจฉปชาดก
6. เทวันธชาดก
7. สุบินชาดก
8. สุวรรณวงศชาดก
9. วรนุชชาดก
๕
10. สิรสาชาดก
11. จันทคาธชาดก
อิทธิพลชาดกต่อสังคม
 อิทธิพลด้านคาสอน
 อิทธิพลด้านจิตรกรรม
 อิทธิพลด้านวรรณคดี/ภาษา
 อิทธิพลด้านความเชื่อ
ทศชาติชาดก
เ ต มี ย์ ช า ด ก - ( พระเตมีย์ใบ้ )
พระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้ากาสิกราชครองเมืองชื่อว่าพาราณสีมีพระมเหสีพระนามว่าจันทรเทวี
พระราชาไม่มีพระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์จึงโปรดให้ พระนางจันทรเทวีทาพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า
พระนางจันทรเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า
"ข้าพเจ้าได้รักษาศีลบริสุทธิ์ตลอดมาขอให้บุญกุศลนี้บันดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด"ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์
พระนางจันทรเทวีทรงครรภ์และประสูติพระโอรสสมดังความปราถนาพระโอรสมีรูปโฉมงดงามยิ่งนักทั้งพระราชาพระมเหสี
และประชาชนทั้งหลายมีความยินดีเป็นที่สุดพระราชาจึงตั้งพระนามโอรสว่าเตมีย์แปลว่าเป็นที่ยินดีของคนทั้งหลาย
บรรดาพราหมณ์ผู้รู้วิชาทานายลักษณะบุคคลได้กราบทูลพระราชาว่าพระโอรสองค์นี้มีลักษณะประเสริฐเมื่อเติบโตขึ้น
จะได้เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทั้งสี่พระราชาทรงยินดีเป็นอย่างยิ่งและทรงเลือกแม่นมที่มีลักษณะดีเลิศตามตาราจานวน
64 คนเป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดูพระเตมีย์กุมารวันหนึ่งพระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตักขณะที่กาลังพิพากษาโทษผู้ร้าย 4คน
พระราชาตรัสสั่งให้เอาหวายที่มีหนามแหลมคมมาเฆี่ยนผู้ร้ายคนหนึ่งแล้วส่งไปขังคุกให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนที่สาม
และให้ใช้หลาวเสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย
พระเตมีย์ซึ่งอยู่บนตักพระบิดาได้ยินคาพิพากษาดังนั้นก็มีความตกใจหวาดกลัวทรงคิดว่า
"ถ้าเราโตขึ้นได้เป็นพระราชาเราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้องทาบาปเช่นเดียวกันนี้เมื่อเราตายไป
ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน"
เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญจึงราลึกชาติได้และทรงทราบว่าในชาติก่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมืองและได้ตัดสินโทษ
ผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์จึงต้องตกนรกอยู่ถึง 7,000ปี ได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอันมาก
พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่งทรงราพึงว่า
"ทาอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่ต้องทาบาปและไม่ต้องตกนรกอีก"
ขณะนั้นเทพธิดาที่รักษาเศวตฉัตรได้ยินคาราพึงของพระเตมีย์จึงปรากฏกายให้พระองค์เห็นและแนะนาพระเตมีย์ว่า
"หากพระองค์ทรงหวั่นที่จะกระทาบาปทรงหวั่นเกรงว่าจะตกนรกก็จงทาเป็น หูหนวกเป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ย
อย่าให้ชนทั้งหลายรู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาดเป็นคนมีบุญพระองค์จะต้องมีความอดทน
ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใดก็ต้องแข็งพระทัยต้องทรงต่อสู้ กับพระทัยตนเองให้จงได้ อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาชักจูงใจ
พระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้"
พระเตมีย์กุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนั้นก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ต่อไปนี้เราจะทาตนเป็นคนใบ้หูหนวกและง่อยเปลี้ยไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเราก็จะไม่ละความตั้งใจเป็นอันขาด"
๖
นับแต่นั้นมา พระเตมีย์ก็ทาพระองค์เป็นคนหูหนวกเป็นใบ้ และเป็นง่อยไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะและไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย
พระราชาและพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวลในอาการของพระโอรสตรัสสั่งให้พี่เลี้ยงและแม่นมทดลองด้วยอุบายต่างๆเช่น
ให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทนไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหิวโหยครั้นพระราชาให้พี่เลี้ยงเอาขนมล่อพระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย
นิ่งเฉยตลอดเวลาพระราชาทรงมีความหวังว่าพระโอรสคงไม่ได้หูหนวกเป็นใบ้และง่อยเปลี้ยจริงจึงโปรดให้ทดลองด้วยวิธีต่างๆ
เป็นลาดับเมื่ออายุ 2 ขวบเอาผลไม้มาล่อพระกุมารก็ไม่สนพระทัยอายุ4ขวบเอาของเสวยรสอร่อยมาล่อ
พระกุมารก็ไม่สนพระทัยอายุ5ขวบพระราชาให้เอาไฟมาขู่พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความตกใจกลัวอายุ 6ขวบเอาช้างมาขู่อายุ 7
ขวบเอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัวไม่ถอยหนีเหมือนเด็กอื่นๆพระราชาทรงทดลองด้วยวิธีการต่างๆเรื่อยมาจนพระเตมีย์
อายุได้ 16 พรรษาก็ไม่ได้ผลพระเตมีย์ยังทรงทาเป็นหูหนวกทาเป็นใบ้และไม่เคลื่อนไหวเลยตลอดเวลา 16ปี
ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลายมาและตรัสถามว่า
"พวกเจ้าเคยทานายว่าลูกเราจะเป็นผู้มีบุญเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ และเป็น
ง่อยเช่นนี้เราจะทาอย่างไรดี"
พราหมณ์และที่ปรึกษาพากันกราบทูลว่า
"เมื่อตอนที่ประสูตินั้นพระโอรสมีลักษณะเป็นผู้มีบุญแต่บัดนี้เมื่อได้กลับกลายเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้เป็นง่อย
ก็กลายเป็นกาลกิณีจะทาให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อนขอให้พระองค์สั่งให้นาพระโอรสไปฝังที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ
จะได้สิ้นอันตราย"
พระราชาได้ยินดังนั้นก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรสแต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ เพราะเป็นห่วงบ้านเมืองและประชาชน
จึงต้องทรงทาตามคากราบของพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลายพระนางจันทเทวีทรงทราบว่าพระราชาให้นาพระโอรสไปฝังที่ป่าช้า
ก็ทรงร้องไห้คร่าครวญว่า
"พ่อเตมีย์ลูกรักของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ยไม่ใช่คนหูหนวกไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทาอย่างนี้เลยแม่เศร้าโศกมาตลอดเวลา
16 ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนาไปฝังแม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก"
พระเตมีย์ได้ยินดังนั้นก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมากทรงสานึกในพระคุณของพระมารดาแต่ในขณะเดียวกันก็ทรงราลึกว่า
พระองค์ตั้งพระทัยไว้ว่าจะไม่ทาการใดที่จะทาให้ต้องไปสู่นรกอีกจะไม่ทรงยอมละความตั้งใจที่จะทาเป็นใบ้หูหนวกและเป็นง่อย
จะไม่ยอมให้สิ่งใดมาชักจูงใจพระองค์ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด
พระราชาจึงตรัสสั่งให้นายสารถีชื่อสุนันทะนาพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบ
ให้ขุดหลุมแล้วเอาพระเตมีย์โยนลงไปในหลุมเอาดินกลบเสียให้ตาย
นายสุนันทะจึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบเมื่อไปถึงป่าช้านายสุนันทะก็เตรียมขุดหลุมจะฝังพระเตมีย์
พระเตมีย์กุมารประทับอยู่บนราชรถทรงราพึงว่า
"บัดนี้เราพ้นจากความทุกข์ว่าจะต้องเป็นพระราชาพ้นความทุกข์ว่าจะต้องทาบาปเราได้อดทนมาตลอดเวลา 16ปี
ไม่เคยเคลื่อนไหวร่างกายเลยเราจะลองดูว่าเรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่มีกาลังร่างกายสมบูรณ์หรือไม่"
ราพึงแล้วพระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถทรงเคลื่อนไหวร่างกายทดลองเดินไปมาก็ทราบว่ายังคงมีกาลังร่างกาย
สมบูรณ์เหมือนคนปกติจึงทดลองยกราชรถก็ปรากฏว่าทรงมีกาลังยกราชรถขึ้นกวัดแกว่งได้อย่างง่ายดายจึงทรงเดินไปหา
นายสุนันทะที่กาลังก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่พระเตมีย์ตรัสถามนายสุนันทะว่า
"ท่านเร่งรีบขุดหลุมไปทาไม"
นายสุนันทะตอบคาถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่า
"เราขุดหลุมจะฝังพระโอรสของพระราชาเพราะพระโอรสเป็นง่อยเป็นใบ้และหูหนวกพระราชาตรัสสั่งให้ฝังเสีย
จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง"
พระเตมีย์จึงตรัสว่า
"เราไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวกและไม่ง่อยเปลี้ยจงเงยขึ้นดูเราเถิดถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็จะประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม"
๗
นายสารถีเงยขึ้นดูเห็นพระเตมีย์ก็จาไม่ได้ จึงถามว่า
"ท่านเป็นใคร ท่านมีรูปร่างงามราวกับเทวดาท่านเป็นเทวดาหรือหรือว่าเป็นมนุษย์ท่านเป็นลูกใครทาอย่างไรเราจึงจะรู้จักท่าน"
พระเตมีย์ตอบว่า
"เราคือเตมีย์กุมารโอรสพระราชาผู้เป็นนายของท่านถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็จะได้ชื่อว่าทาสิ่งที่ไม่เป็นธรรม
พระราชาเปรียบเหมือนต้นไม้ ตัวเราเปรียบเหมือนกิ่งไม้ ท่านได้อาศัยร่มเงาไม้ ถ้าท่านฝังเราเสียท่านก็ได้ชื่อว่าทาสิ่งที่ไม่เป็นธรรม
นายสารถียังไม่เชื่อว่าเป็นพระกุมารที่ตนพามาพระเตมีย์ทรงประสงค์จะให้นายสารถีเชื่อจึงตรัสอธิบายให้เห็นว่าหาก
นายสารถีจะฝังพระองค์ก็ได้ชื่อว่าทาร้ายมิตรทรงอธิบายว่า"ผู้ไม่ทาร้ายมิตรจะไปที่ไดก็มีคนคบหามากจะไม่อดอยาก
ไปที่ใดก็มีผู้สรรเสริญบูชาโจรจะไม่ข่มเหงพระราชาไม่ดูหมิ่นจะเอาชนะศัตรูทั้งปวงได้ ผู้ไม่ทาร้ายมิตรเมื่อมาถึงบ้านเรือนของตน
หมู่ญาติและประชาชนจะพากันชื่นชมยกย่องผู้ไม่ทาร้ายมิตรย่อมได้รับการสักการะเพราะเมื่อสักการะท่านแล้ว
ย่อมได้รับการสักการะตอบเมื่อเคารพบูชาท่านแล้วย่อมได้รับการเคารพตอบผู้ไม่ทาร้ายมิตรย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟรุ่งโรจน์
ดังเทวดาเป็นผู้มีมิ่งขวัญสิริมงคลประจาตนอยู่เสมอผู้ไม่ทาร้ายมิตรจะทาการใดก็สาเร็จผลโคจะมีลูกมากหว่านพืชลงในนา
ก็จะงอกงามแม้จะพลัดตกเหวตกจากภูเขาตกจากต้นไม้ ก็จะไม่เป็นอันตรายผู้ไม่ทาร้ายมิตรศัตรูไม่อาจข่มเหงได้
เพราะเป็นผู้มีมิตรมากเปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่มีรากติดต่อพัวพันลมแรงก็ไม่อาจทาร้ายได้ "
นายสารถีได้ยินพระเตมีย์ตรัสยิ่งเกิดความสงสัยจึงเดินมาดูที่ราชรถก็ไม่เห็นพระกุมารที่ตนพามาครั้นเดิน
กลับมาพินิจพิจารณาพระเตมีย์อีกครั้งก็จาได้ จึงทูลว่า "ข้าพเจ้าจะพาพระองค์กลับวังขอเชิญเสด็จกลับไปครองพระนครเถิด"
พระเตมีย์ตรัสตอบว่า
" เราไม่กลับไปวังอีกแล้วเราได้ตัดขาดจากความยินดีในสมบัติทั้งหลายเราได้ตั้งความอดทนมาเป็นเวลาถึง 16ปี อันราชสมบัติทั้ง
พระนครและความสุขความรื่นเริงต่างๆเป็นของน่าเพลิดเพลินแต่าเราไม่ปรารถนาจะหลงอยู่ในความเพลิดเพลินนั้น
ไม่ปรารถนาจะกระทาบาปอีกเราจะไม่ก่อเวรให้เกิดขึ้นอีกแล้วบัดนี้เราพ้นจากภาระนั้นแล้วเพราะพระบิดาพระมารดา
ปล่อยเราให้พ้นจากราชสมบัติมาแล้วเราพ้นจากความหลงใหลในกิเลสทั้งหลายเราจะขอบวชอยู่ในป่านี้แต่ลาพัง
เราต่อสู้ได้ชัยชนะในจิตใจของเราแล้ว"
เมื่อตรัสดังนั้นพระเตมีย์กุมารมีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งราพึงกับพระองค์เองว่า
"ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทนย่อมได้รับผลสาเร็จด้วยดี"
นายสุนันทะสารถีได้ฟังก็เกิดความยินดีทูลพระเตมีย์ว่าจะขอบวชอยู่กับพระเตมีย์ในป่าแต่พระองค์เห็นว่า
หากนายสารถีไม่กลับไปเมืองจะเกิดความสงสัยว่าพระองค์หายไปไหนทั้งนายสารถี ราชรถเครื่องประดับทั้งปวงก็สูญหายไป
ควรที่นายสารถีจะนาสิ่งของทั้งหลายกับไปพระราชวังทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงทราบเสียก่อนแล้วจึงค่อยกลับมา
บวชเมื่อหมดภาระ นายสุนันทะจึงกลับไปกราบทูลพระราชาว่าพระเตมีย์กุมารมิได้วิกลวิการ แต่ทรงมีรูปโฉมงดงามและ
ตรัสได้ไพเราะเหตุที่แสร้งทาเป็นคนพิการก็เพราะไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติไม่ปรารถนาจะก่อเวรทาบาปอีกต่อไป
เมื่อพระราชาและพระมเหสีได้ทรงทราบก็ทรงปลื้มปิติยินดีโปรดให้จัดกระบวนไปรับพระเตมีย์กลับจากป่าขณะนั้น
พระเตมีย์ทรงผนวชแล้วประทับอยู่ในบรรณศาลาซึ่งเทวดาเนรมิตไว้ให้ เมื่อพระบิดาพระมารดาเสด็จไปถึง
พระเตมีย์จึงเสด็จมาต้อนรับทักทายปราศรัยกันด้วยความยินดีพระราชาเห็นพระโอรสผนวชเป็นฤาษีเสวยใบไม้ลวกเป็นอาหาร
และประทับอยู่ลาพังในป่าจึงตรัสถามว่าเหตุใดจึงยังมีผิวพรรณผ่องใสร่างกายแข็งแรงพระเตมีย์ตรัสตอบพระบิดาว่า
"อาตมามีร่างกายแข็งแรงผิวพรรณผ่องใสเพราะไม่ต้องเศร้าโศกถึงอดีตไม่ต้องรอคอยอนาคต
อาตมาใช้ชีวิตให้เป็นไปตามที่สมควรในปัจจุบันคนพาลนั้นย่อมซูบซีดเพราะมัวโศกเศร้าถึงอดีตเพราะมัวรอคอยอนาคต"
พระราชาตรัสตอบว่า
"ลูกยังหนุ่มยังแน่นแข็งแรงจะมามัวอยู่ทาอะไรในป่ากลับไปบ้านเมืองเถิดกลับไปครองราชสมบัติมีโอรสธิดา
เมื่อชราแล้วจึงค่อยมาบวช"
๘
พระเตมีย์ตรัสตอบว่า"การบวชของคนหนุ่มย่อมเป็นที่สรรเสริญใครเล่าจะนอนใจได้ว่ายังเป็นหนุ่มยังอยู่ไกลจากความตาย
อายุคนนั้นสั้นนักเหมือนอายุของปลาในเวลาที่น้าน้อย"
พระราชาตรัสขอให้พระเตมีย์กลับไปครองราชสมบัติทรงกล่าวชักชวนให้นึกถึงความสุขสบายต่างๆ
พระเตมีย์จึงตรัสตอบว่า"วันคืนมีแต่จะล่วงเลยไปผู้คนมีแต่จะแก่ เจ็บและตายจะเอาสมบัติไปทาอะไรทรัพย์สมบัติและ
ความสุขทั้งหลายเอาชนะความตายไม่ได้ อาตมาพ้นจากความผูกพันทั้งหลายแล้วไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอีกแล้ว"
เมื่อพระราชาได้ยินดังนั้นจึงเห็นประโยชน์อันใหญ่ยิ่งในการออกบวชทรงประสงค์ที่จะละทิ้งราชสมบัติออกบวชพระมเหสี
และเสนาข้าราชบริพารทั้งปวงรวมทั้งบรรดาประชาชนทั้งหลายในเมืองพาราณสีก็พร้อมใจกันออกบวช
บาเพ็ญเพียรโดยทั่วหน้ากันเมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดในสวรรค์พ้นจากความผูกพันในโลกมนุษย์ทั้งนี้เป็นด้วยพระเตมีย์กุมาร
ทรงมีความอดทนมีความตั้งใจอันมั่นคงแน่วแน่ในการที่ไม่ก่อเวรทาบาปทรงมุ่งมั่นอดทน จนประสบผลสาเร็จดังที่หวัง
เหมือนดังที่ทรงราพึงว่า
" ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทนย่อมได้รับผลสาเร็จด้วยดี"
คติธรรม : บาเพ็ญเนกขัมมบารมี
"เมื่อมีประสงค์ในสิ่งใดก็สมควรมุ่งมั่นตั้งใจกระทาตามความมุ่งหมายนั้นอย่างหนักแน่นอดทนอย่างเพียรพยายามเป็นที่สุด
และความพากเพียรอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้นย่อมนาบุคคลนั้นไปสู่ความสาเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง"
ช น ก ช า ด ก - ( พระมหาชนก)
ณ เมืองมิถิลาแห่งรัฐวิเทหะพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าพระเจ้ามหาชนกทรงมีพระโอรสสององค์คือเจ้าอริฏฐชนกและ
เจ้าโปลชนกเจ้าอริฏฐชนกทรงเป็นอุปราชส่วนเจ้าโปลชนกทรงเป็นเสนาบดีเมื่อพระราชบิดาสวรรคตเจ้าอริฏฐชนกผู้เป็นอุปราช
ก็ได้ครองบ้านเมืองต่อมาเจ้าโปลชนกทรงเป็นอุปราชทรงเอาใจใส่ดูแลบ้านเมืองช่วยเหลือพระเชษฐาอย่างดียิ่ง
มีอามาตย์คนหนึ่งไม่พอใจพระเจ้าโปลชนกจึงหาอุบายให้ พระราชาอริฏฐชนกระแวงพระอนุชาโดยทูลพระราชาว่า
เจ้าโปลชนกคิดขบถจะปลงพระชนม์พระราชาพระราชาทรงเชื่อคาอามาตย์จึงให้จับเจ้าโปลชนกไปขังไว้ เจ้าโปลชนกเสด็จหนี
ไปจากที่คุมขังได้หลบไปอยู่ที่ชายแดนเมืองมิถิลาเจ้าโปลชนกทรงคิดว่าเมื่อครั้งที่ยังเป็นอุปราชนั้นมิได้เคยคิดร้ายต่อพระราชา
ผู้เป็นพี่เลยแต่ก็ยังถูกระแวงจนต้องหนีมาถ้าพระราชาทรงรู้ว่าอยู่ที่ไหนก็คงให้ทหารมาจับไปอีกจนได้ บัดนี้ผู้คนมากมาย
ที่ชายแดนที่เห็นใจและพร้อมที่จะเข้าเป็นพวกด้วยควรที่จะรวบรวมผู้คนไปโจมตีเมืองมิถิลาเสียก่อนจึงจะดีกว่า
เมื่อคิดดังนั้นแล้วเจ้าโปลชนกก็พาสมัครพรรคพวกยกเป็นกองทัพไปล้อมเมืองมิถิลาบรรดาทหารแห่งเมืองมิถิลาพากัน
เข้ากับเจ้าโปลชนกอีกเป็นจานวนมากเพราะเห็นว่าเจ้าโปลชนกเป็นผู้ซื่อสัตย์และมีความสามารถแต่กลับถูกพระราชาระแวง
และจับไปขังไว้โดยไม่ยุติธรรมครั้นเมื่อเจ้าโปลชนกมีผู้คนไพร่พลเข้าสมทบด้วยเป็นจานวนมากมายเช่นนี้
พระเจ้าอริฏฐชนกทรงเห็นว่าไม่มีทางจะเอาชนะได้ จึงตรัสสั่งพระมเหสีซึ่งกาลังทรงครรภ์แก่ ให้ทรงหลบหนีเอาตัวรอด
ส่วนพระองค์เองทรงออกทาสงครามและสิ้นพระชนม์ในสนามรบเจ้าโปลชนกจึงทรงได้เป็นกษัตริย์ครองเมืองมิถิลาสืบต่อมา
ฝ่ายพระมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนกเสด็จหนีออกจากเมืองมาตั้งพระทัยจะเสด็จไปอยู่เมืองกาลจัมปากะแต่กาลังทรงครรภ์แก่
เดินทางไม่ไหวด้วยเดชานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์พระอินทร์จึงเสด็จมาช่วย
ทรงแปลงกายเป็นชายชราขับเกวียนมาที่ศาลาที่พระนางพักอยู่และถามขึ้นว่า
"มีใครจะไปเมืองกาลจัมปากะบ้าง"พระนางดีพระทัยรีบตอบว่า"ลุงจ๋าฉันจะไปจ๊ะ"พระอินทร์แปลงจึงรับพระนางขึ้นเกวียน
พาเดินทางไปเมืองกาลจัมปากะด้วยอานุภาพเทวดาแม้ระยะทางไกลถึง 60โยชน์เกวียนนั้นก็เดินทางไปถึงเมืองในชั่ววันเดียว
พระมเหสีเสด็จไปนั่งพักอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งในเมืองนั้น
บังเอิญมีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ผู้หนึ่งเดินผ่านมาเห็นพระนางเข้าก็เกิดความเอ็นดูสงสารจึงเข้าไปไต่ถาม
พระนางก็ตอบว่าหนีมาจากเมืองมิถิลาและไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่เมืองนี้เลยพราหมาณ์ทิศาปาโมกข์จึงรับพระนางไปอยู่ด้วย
ที่บ้านของตนอุปการะเลี้ยงดูพระนางเหมือนเป็นน้องสาวไม่นานนักพระนางก็ประสูติพระโอรสทรงตั้งพระนามว่ามหาชนกกุมาร
๙
ซึ่งเป็นพระนามของพระอัยกาของพระกุมารมหาชนกกุมารทรงเติบโตขึ้นในเมืองกาลจัมปากะมีเพื่อนเล่นเด็กๆ
วัยเดียวกันเป็นจานวนมากวันหนึ่งมหาชนกกุมารโกรธกับเพื่อนเล่นจึงลากเด็กคนนั้นไปด้วยกาลังมหาศาล
เด็กก็ร้องไห้บอกกับคนอื่นๆว่าลูกหญิงม่ายรังแกเอามหาชนกกุมารได้ยินก็แปลกพระทัยจึงไปถามพระมารดาว่า"ทาไมเพื่อนๆ
พูด ว่าลูกเป็นลูกแม่ม่ายพ่อของลูกไปไหน"พระมารดาตอบว่า"ก็ท่านพราหมณ์ทิศาปาโมกข์นั่นแหล่ะเป็นพ่อของลูก"
เมื่อมหาชนกกุมารไปบอกเพื่อนเล่นทั้งหลายเด็กเหล่านั้นก็หัวเราะเยาะบอกว่า"ไม่จริงท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่พ่อของเจ้า"
มหาชนกก็กลับมาทูลพระมารดาอ้อนวอนให้บอกความจริงพระมารดาขัดไม่ได้ จึงตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระโอรสทรงทราบ
เมื่อพระกุมารทราบว่าพระองค์ทรงมีความเป็นมาอย่างไรก็ทรงตั้งพระทัยว่าจะร่าเรียนวิชาการเพื่อให้มีความรู้ความสามารถ
จะได้เสด็จไปเอาราชสมบัติเมืองมิถิลาคืนมาครั้นมหาชนกกุมารร่าเรียนวิชาในสานักพราหมณ์จนเติบใหญ่ พระชนม์ได้ 16
พรรษาจึงทูลพระมารดาว่า"หม่อมฉันจะเดินทางไปค้าขายเมื่อมีทรัพย์สินมากพอแล้วจะได้คิดอ่านเอาบ้านเมืองคืนมา"
พระมารดาทรงนาเอาทรัพย์สินมีค่ามาจากมิถิลา3สิ่งคือ แก้วมณี แก้วมุกดาและแก้ววิเชียรอันมีราคามหาศาล
จึงประทานแก้วนั้นให้พระมหาชนกเพื่อนาไปซื้อสินค้าพระมหาชนกทรงจัดซื้อสินค้าบรรทุกลงเรือร่วมไปกับพ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ
ในระหว่างทางเกิดพายุใหญ่ โหมกระหน่าคลื่นซัดจนเรือจวนจะแตกบรรดาพ่อค้าและลูกเรือพากันตระหนกตกใจบวงสรวงอ้อน
วอนเทพยดาขอให้รอดชีวิตฝ่ายมหาชนกกุมารเมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้วก็เสวยอาหารจนอิ่มหนา
ทรงนาผ้ามาชุบน้ามันจนชุ่มแล้วนุ่งผ้านั้นอย่างแน่นหนาครั้นเมื่อเรือจมลงเหล่าพ่อค้ากลาสีเรือทั้งปวงก็จมน้า
กลายเป็นอาหารของสัตว์น้าไปหมดแต่พระมหาชนกทรงมีกาลังจากอาหารที่เสวยมีผ้าชุบน้ามันช่วยไล่สัตว์น้า
และช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้าได้ดีจึงทรงแหวกว่ายอยู่ในทะเลได้นานถึง7วันฝ่ายนางมณีเมขลาเทพธิดาผู้รักษามหาสมุทร
เห็นพระมหาชนกว่ายน้าอยู่เช่นนั้นจึงลองพระทัยพระมหาชนก"ใครหนอว่ายน้าอยู่ได้ถึง 7วัน ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง
จะทนว่ายไปทาไมกัน"พระมหาชนกทรงตอบว่า"ความเพียรย่อมมีประโยชน์แม้จะมองไม่เห็นฝั่งเราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึง
ฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง"นางมณีเมขลากล่าวว่า"มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นักท่านจะพยายามว่ายสักเท่าไรก็คงไม่ถึงฝั่งท่านคงจะ
ตายเสียก่อนเป็นแน่"พระมหาชนกตรัสตอบว่า"คนที่ทาความเพียรนั้นแม้จะต้องตายไปในขณะกาลังทาความเพียรพยายามอยู่
ก็จะไม่มีผู้ใดมาตาหนิติเตียนได้ เพราะได้ทาหน้าที่เต็มกาลังแล้ว"นางมณีเมขลาถามต่อว่า"การทาความพยายามโดยมองไม่เห็น
ทางบรรลุเป้าหมายนั้นมีแต่ความยากลาบากอาจถึงตายได้ จะต้องเพียรพยายามไปทาไมกัน"พระมหาชนกตรัสตอบว่า
"แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เรากาลังกระทานั้นอาจไม่สาเร็จก็ตามถ้าไม่เพียรพยายามแต่กลับหมดมานะเสียแต่ต้นมือย่อมได้รับ
ผลร้ายของความเกียจคร้านอย่างแน่นอนย่อมไม่มีวันบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการบุคคลควรตั้งความเพียรพยายาม
แม้การนั้นอาจไม่สาเร็จก็ตามเพราะเรามีความพยายามไม่ละความตั้งใจเราจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ในทะเลนี้
เมื่อคนอื่นได้ตายกันไปหมดแล้วเราจะพยายามสุดกาลังเพื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้"นางมณีเมขลาได้ยินดังนั้น
ก็เอ่ยสรรเสริญความเพียรของมหาชนกกุมารและช่วยอุ้มพามหาชนกกุมารไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา
วางพระองค์ไว้ที่ศาลาในสวนแห่งหนึ่ง
ในเมืองมิถิลาพระราชาโปลชนกไม่มีพระโอรสทรงมีแต่พระธิดาผู้ฉลาดเฉลียวเป็นอย่างยิ่งพระนามว่าเจ้าหญิงสิวลี
ครั้นเมื่อพระองค์ประชวรหนักใกล้จะสวรรคตบรรดาเสนาทั้งปวงจึงทูลถามขึ้นว่าเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วราชสมบัติ
ควรจะตกเป็นของผู้ใดในเมื่อไม่ทรงมีพระโอรสพระเจ้าโปลชนกตรัสสั่งเสนาว่า"ท่านทั้งหลายจงมอบ
ราชสมบัติให้แก่ผู้มีความสามารถดังต่อไปนี้ประการแรกเป็นผู้ที่ทาให้พระราชธิดาของเราพอพระทัยได้ ประการที่สอง
สามารถรู้ว่าด้านไหนเป็นด้านหัวนอนของบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยมประการที่สามสามารถยกธนูใหญ่ ซึ่งต้องใช้แรงคนธรรมดา
ถึงพันคนจึงจะยกขึ้นได้ ประการที่สี่สามารถชี้บอกขุมทรัพย์มหาศาลทั้ง 13แห่งได้"แล้วจึงตรัสบอกปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง13แห่ง
แก่เหล่าอามาตย์เช่นขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตกขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในขุมทรัพย์ที่อยู่ภายนอก
ขุมทรัพย์ที่ไม่ใช่ภายในและภายนอกขุมทรัพย์ที่ปลายไม้ ขุมทรัพย์ที่ปลายงาขุมทรัพย์ที่ปลายหางเป็นต้น
เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์บรรดาเสนาบดีทหารพลเรือนและประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างพยายามที่จะเป็นผู้สืบราชสมบัติ
แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทาให้เจ้าหญิงสีวลีพอพระทัยได้ เพราะล้วนแต่พยายามเอาพระทัยเจ้าหญิงมากเกินไป
๑๐
จนเสียลักษณะของผู้ที่จะปกครองบ้านเมืองไม่มีผู้ใดสามารถยกมหาธนูใหญ่ได้ ไม่มีผู้ใดรู้ทิศหัวนอนของบัลลังก์สี่เหลี่ยม
และไม่มีผู้ใดไขปริศนาขุมทรัพย์ได้
ในที่สุดบรรดาเสนาข้าราชบริพารจึงควรตั้งพิธีเสี่ยงราชรถเพื่อหาตัวบุคคลผู้มีบุญญาธิการสมควรครองเมือง
บุษยราชรถเสี่ยงทายนั้นก็แล่นออกจากพระราชวังตรงไปที่สวนแล้วหยุดอยู่หน้าศาลาที่พระมหาชนกทรงนอนอยู่
ปุโรหิตที่ตามราชรถจึงให้ประโคมดนตรีขึ้นพระมหาชนกได้ยินเสียงประโคมจึงลืมพระเนตรขึ้นเห็นราชรถก็ทรงดาริว่า
คงเป็นราชรถเสี่ยงทายพระราชาผู้มีบุญเป็นแน่แต่ก็มิได้แสดงอาการอย่างใดกลับบรรทมต่อไปปุโรหิตเห็นดังนั้นก็คิดว่า
บุรุษผู้นี้เป็นผู้มีสติปัญญาไม่ตื่นเต้นตกใจกับสิ่งใดโดยง่ายจึงเข้าไปตรวจดูพระบาทพระมหาชนกเห็นลักษณะต้องตาม
คาโบราณว่าเป็นผู้มีบุญจึงให้ประโคมดนตรีขึ้นอีกครั้งแล้วเข้าไปทูลอัญเชิญพระมหาชนกให้ทรงเป็นพระราชาเมืองมิถิลา
พระมหาชนกตรัสถามว่าพระราชาไปไหนเสียปุโรหิตก็กราบทูลว่าพระราชาสวรรคตไม่มีพระโอรสมีแต่พระธิดาคือเจ้าหญิงสิวลี
แต่องค์เดียวพระมหาชนกจึงทรงรับเป็นกษัตริย์ครองมิถิลาฝ่ายเจ้าหญิงสิวลีได้ทรงทราบว่าพระมหาชนกได้ราชสมบัติ
ก็ประสงค์จะทดลองว่าพระมหาชนกสมควรเป็นกษัตริย์หรือไม่จึงให้ราชบุรุษไปทูลเชิญเสด็จมาที่ปราสาทของพระองค์
พระมหาชนกก็เฉยเสียมิได้ไปตามคาทูลเจ้าหญิงให้คนไปทูลถึง 3ครั้ง พระมหาชนกก็ไม่สนพระทัยจนถึงเวลาหนึ่งก็
เสด็จไปที่ปราสาทของเจ้าหญิงเองโดยไม่ทรงบอกล่วงหน้าเจ้าหญิงตกพระทัยรีบเสด็จมาต้อนรับเชิญไปประทับบนบัลลังก์
พระมหาชนกจึงตรัสถามอามาตย์ว่าพระราชาที่สิ้นพระชนม์ตรัสสั่งอะไรไว้บ้างอามาตย์ก็ทูลตอบพระมหาชนกจึงตรัสสั่งว่า
ข้อที่ 1 "ที่ว่าทาให้เจ้าหญิงพอพระทัยเจ้าหญิงได้ แสดงแล้วว่าพอพระทัยเราจึงได้เสด็จมาต้อนรับเรา"ข้อที่ 2
เรื่องปริศนาทิศหัวนอนบัลลังก์นั้นพระมหาชนกทรงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอดเข็มทองคาที่กลัดผ้าโพกพระเศียรออก
ส่งให้เจ้าหญิงให้วางเข็มทองคาไว้ เจ้าหญิงทรงรับเข็มไปวางไว้ บนบัลลังก์สี่เหลี่ยมพระมหาชนกจึงทรงชี้บอกว่าตรงที่เข็มวาง
อยู่นั้นแหละคือทิศหัวนอนของบัลลังก์ โดยสังเกตจากการที่เจ้าหญิงทรงวางเข็มทองคาจากพระเศียรไว้ ข้อที่ 3
นั้นก็ตรัสสั่งให้นามหาธนูมาทรงยกขึ้นและน้าวอย่างง่ายดายข้อที่ 4 เมื่ออามาตย์กราบทูลถึงปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง13แห่ง
พระมหาชนกทรงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ ตรัสบอกคาแก้ปริศนาขุมทรัพย์ทั้ง 13แห่งได้หมดเมื่อสั่งให้คนไปขุดดู ก็พบขุมทรัพย์
ตามที่ตรัสบอกไว้ทุกแห่งผู้คนจึงพากันสรรเสริญปัญญาของพระมหาชนกกันทั่วทุกแห่งหน
พระมหาชนกโปรดให้เชิญพระมารดาและพราหมณ์ ทิศาปาโมกข์จากเมืองกาลจัมปากะทรงอุปถัมภ์บารุงให้สุขสบายตลอดมา
จากนั้นทรงสร้างโรงทานใหญ่ 6ทิศในเมืองมิถิลาทรงบริจาคมหาทานเป็นประจาเมืองมิถิลาจึงมีแต่ความผาสุกสมบูรณ์
เพราะพระราชาทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมต่อมาพระนางสิวลีประสูติพระโอรสทรงนามว่าทีฆาวุกุมารเมื่อเจริญวัยขึ้น
พระบิดาโปรดให้ดารงตาแหน่งอุปราชอยู่มาวันหนึ่งพระราชามหาชนกเสด็จอุทยานทอดพระเนตรเห็นมะม่วงต้นหนึ่งกิ่งหัก
ใบไม้ร่วง อีกต้นมีใบแน่นหนา ร่มเย็นเขียวชอุ่มจึงตรัสถามอามาตย์กราบทูลว่าต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักนั้นเป็นเพราะรสมีผลอร่อย
ผู้คนจึงพากันสอยบ้างเด็ดกิ่งและขว้างปาเพื่อเอาบ้างจนมีสภาพเช่นนั้นส่วนอีกต้นไม่มีผลจึงไม่มีคนสนใจ
ใบและกิ่งจึงสมบูรณ์เรียบร้อยดีพระราชาได้ฟังก็ทรงคิดว่าราชสมบัติเปรียบเหมือนต้นไม้มีผลอาจถูกทาลาย
แม้ไม่ถูกทาลายก็ต้องคอยระแวดระวังรักษาเกิดความกังวลเราจะทาตนเป็นผู้ ไม่มีกังวลเหมือนต้นไม้ไม่มีผลเราจะออกบรรพชา
สละราชสมบัติเสียมิให้เกิดกังวล
พระราชาเสด็จกลับมาปราสาทปลงพระเกศาพระมัสสุครองผ้ากาสาวพัสตร์ ครองอัฏฐบริขารครบถ้วน
แล้วเสด็จออกจากมหาปราสาทไปครั้นพระนางสิวลีทรงทราบก็รีบติดตามมาทรงอ้อนวอนให้ พระราชาเสด็จกลับ
พระองค์ก็ไม่ยินยอมพระนางสิวลีจึงทาอุบายให้อามาตย์เผาโรงเรือนเก่าๆและกองหญ้ากองใบไม้ เพื่อให้พระราชา
เข้าพระทัยว่าไฟไหม้พระคลังจะได้เสด็จกลับพระราชาตรัสว่าพระองค์เป็นผู้ไม่มีสมบัติแล้วสมบัติที่แม้จริงของพระองค์
คือความสุขสงบจากการบรรพชานั้นยังคงอยู่กับพระองค์ไม่มีผู้ใดทาลายได้ พระนางสิวลีทรงทาอุบายสักเท่าไร
พระราชาก็มิได้สนพระทัยและตรัสให้ประชาชนอภิเษกพระทีฆาวุราชกุมารขึ้นเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองมิถิลาต่อไป
พระนางสิวลีไม่ทรงละความเพียรพยายามติดตามพระมหาชนกต่อไปอีกวันรุ่งขึ้นมีสุนัขคาบเนื้อที่เจ้าของเผลอ
วิ่งหนีมาพบผู้คนเข้าก็ตกใจทิ้งชิ้นเนื้อไว้ พระมหาชนกคิดว่าก้อนเนื้อนี้เป็นของไม่มีเจ้าของสมควรที่จะเป็นอาหารของเราได้
๑๑
จึงเสวยก้อนเนื้อนั้นพระนางสิวลีทรงเห็นดังนั้นก็เสียพระทัยอย่างยิ่งที่พระสวามีเสวยเนื้อที่สุนัขทิ้งแล้วแต่พระมหาชนกว่า
นี่แหล่ะเป็นอาหารพิเศษต่อมาทั้งสองพระองค์ทรงพบเด็กหญิงสวมกาไลข้อมือข้างหนึ่งมีกาไลสองอันอีกข้างมีอันเดียว
พระราชาตรัสถามว่า"ทาไมกาไลข้างที่มีสองอันจึงมีเสียงดัง"เด็กหญิงตอบว่า"เพราะกาไลสองอันนั้นกระทบกันจึงเกิดเสียงดัง
ส่วนที่มี ข้างเดียวนั้นไม่ได้กระทบกับอะไรจึงไม่มีเสียง"พระราชาจึงตรัสแนะให้ พระนางคิดพิจารณาถ้อยคาของเด็กหญิง
กาไลนั้นเปรียบเหมือนคนที่อยู่สองคนย่อมกระทบกระทั่งกันถ้าอยู่คนเดียวก็จะสงบสุขแต่พระนางสิวลียังคงติดตาม
พระราชาไปอีกจนมาพบนายช่างทาลูกศรนายช่างทูลตอบคาถามพระราชาว่า"การที่ต้องหลับตาข้างหนึ่งเวลาดัดลูกศรนั้น
ก็เพราะถ้าลืมตาสองข้างจะไม่เห็นว่าข้างไหนคดข้างไหนตรงเหมือนคนอยู่สองคนก็จะขัดแย้งกันถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ขัดแย้ง
กับใคร"พระราชาตรัสเตือนพระนางสิวลีอีกครั้งหนึ่งว่าพระองค์ประสงค์จะเดินทางไปตามลาพังเพื่อแสวงหา
ความสงบไม่ประสงค์จะมีเรื่องขัดแย้งกระทบกระทั่งหรือความไม่สงบอันเกิดจากการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอีกต่อไป
พระนางสิวลีได้ฟังพระวาจาดังนั้นก็น้อยพระทัยจึงตรัสว่า"ต่อไปนี้หม่อมฉันหมดวาสนาจะได้อยู่ร่วมกับพระองค์อีกแล้ว"
พระราชาจึงเสด็จไปสู่ป่าใหญ่แต่ลาพังเพื่อบาเพ็ญสมาบัติมิได้กลับมาสู่พระนครอีกส่วนพระนางสิวลีเสด็จกลับเข้าสู่พระราชวัง
อภิเษกพระทีฆาวุกุมารขึ้นเป็นพระราชาแล้วพระนางโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นในที่ต่างๆเพื่อราลึกถึงพระราชามหาชนก
ผู้ทรงมีพระสติปัญญาและที่ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือทรงมีความเพียรพยายามเป็นเลิศมิได้เคยเสื่อมถอยจากความเพียร
ทรงตั้งพระทัยที่จะกระทาการโดยเต็มกาลังความสามารถเพราะทรงยึดมั่นว่าบุคคลควรตั้งความเพียรพยายามไม่ว่ากิจการนั้น
จะยากสักเพียงใดก็ตามคนมีปัญญาแม้ได้รับทุกข์ก็จะไม่สิ้นหวังไม่สิ้นความเพียรที่จะพาตนให้พ้นจากความทุกข์นั้นให้ ได้ในที่สุด
คติธรรม : บาเพ็ญวิริยบารมี
"เกิดเป็นคนควรมีความพากเพียรให้ถึงที่สุดเพื่อให้ถึงแก่สิ่งที่มุ่งหวังเพียรสุดกาลังจนชีวิตหาไม่ก็จงเพียร
แล้วความสาเร็จจะมาเยือน"
๓. สุ ว ร ร ณ ส าม ช า ด ก - ( พระสุวรรณสาม )
ครั้งหนึ่ง มีสหายสองคนรักใคร่กันมากต่างก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งสองคนตั้งใจว่า
ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวอีกฝ่ายหนึ่งมีลูกชายก็จะให้แต่งงานเพื่อครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะได้ ผูกพันใกล้ชิดกันไม่มีเสื่อมคลาย
อยู่ต่อมาฝ่ายหนึ่งก็มีลูกชายชื่อว่าทุกูลกุมารอีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวชื่อว่าปาริกากุมารี เด็กทั้งสองมีรูปร่างหน่าตางดงาม
สติปัญญาฉลาดเฉลียวและมีจิตใจมั่นอยู่ในศีลเมื่อเติบโตขึ้นพ่อแม่ของทั้งสองก็ตกลงจะทาตามที่เคยตั้งใจไว้
คือให้ลูกของทั้งสองบ้านได้แต่งงานกันแต่ทั้งทุกูลกุมารและปาริกากุมารี ต่างบอกกับพ่อแม่ของตนว่าไม่ต้องการแต่งงานกัน
แม้จะรู้ดีว่าฝ่ายหนึ่งเป็นคนดี รูปร่างหน้าตางดงามและเป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่เด็กก็ตามในที่สุด
พ่อแม่ของทั้งสองก็จัดการแต่งงานให้จนได้ แต่แม้ว่าทุกูลและปาริกาจะแต่งงานกันแล้วต่างยังคงประพฤติ
ปฏิบัติเสมือนเป็นเพื่อนกันตลอดมาไม่เคยประพฤติต่อกันฉันสามีภรรยายิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนมีความปราถนาตรงกัน
คือประสงค์จะออกบวชไม่อยากดาเนินชีวิตอย่างชาวบ้านธรรมดาซึ่งจะต้องพัวพันอยู่กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อเป็นอาหารบ้าง
เพื่อป้องกันตัวเองบ้าง
เมื่อได้อ้อนวอนพ่อแม่ทั้งสองบ้านอยู่เป็นเวลานานในที่สุดทั้งสองก็ได้รับคาอนุญาตให้บวชได้ จึงพากันเดินทางไปสู่ป่าใหญ่
และอธิษฐานออกบวชนุ่งห่มผ้าย้อมเปลือกไม้และไว้มวยผมอย่างดาบสบาเพ็ญธรรมอยู่ณศาลาในป่านั้น
ด้วยความเมตตาอันมั่นคงของทั้งสองคนบรรดาสิงสาราสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต่างก็มีเมตตาจิตต่อกัน
ไม่ทาร้ายซึ่งกันและกันต่างหากินอยู่ด้วยความสุขสาราญต่อมาวันหนึ่งพระอินทร์เล็งเห็นอันตรายซึ่งจะบังเกิดแก่
ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินีจึงตรัสบอกแก่ ดาบสว่า"ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่าอันตรายจะเกิดขึ้นแก่ท่านขอให้ท่านจงมีบุตรเพื่อเป็น
๑๒
ผู้ช่วยเหลือปรนนิบัติในยามยากลาบากเถิด"ทุกูลดาบสจึงถามว่า"อาตมาบาเพ็ญพรตเพื่อความพ้นทุกข์อาตมาจะมีบุตรได้อย่างไร
อาตมาไม่ต้องการดาเนินชีวิตอย่างชาวโลกที่จะทาให้ต้องวนเวียนอยู่ในความทุกข์อีก"พระอินทร์ตรัสว่า
"ท่านไม่จาเป็นต้องประพฤติปฏิบัติอย่างชาวโลกแต่ท่านจาเป็นต้องมีบุตรไว้ช่วยเหลือปรนนิบัติขอให้เชื่อข้าพเจ้าเถิด
ท่านเพียงแต่เอามือลูบท้องนางปาริกาดาบสินีนางก็จะตั้งครรภ์ลูกในครรภ์นางจะได้เป็นผู้ดูแลท่านทั้งสองต่อไป"
เมื่อพระอินทร์ตรัสบอกดังนั้นทุกูลดาบสจึงทาตามต่อมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์ครั้นครบกาหนดก็คลอดบุตร
มีผิวพรรณงดงามราวทองคาบริสุทธิ์จึงได้ชื่อว่า"สุวรรณสาม"ปาริกาดาบสสินีเลี้ยงดูสุวรรณสามจนเติบใหญ่อยู่ในป่านั้น
มีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิดแวดล้อมเป็นเพื่อนเล่นตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่สุวรรณสามหมั่นสังเกตจดจาสิ่งที่พ่อและแม่ได้ปฏิบัติ
เช่นการไปตักน้าไปหาผลไม้เป็นอาหารเส้นทางที่ไปหาน้าและอาหารสุวรรณสามพยายามช่วยเหลือพ่อและแม่
กระทากิจกรรมต่างๆเท่าที่จะทาได้ เพื่อให้พ่อแม่ได้มีเวลาบาเพ็ญธรรมตามที่ประสงค์วันหนึ่งเมื่อทุกูลดาบสและนางปาริกา
ออกไปหาผลไม้ในป่าเผอิญฝนตกหนักทั้งสองจึงหลบฝนอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ จอมปลวกโดยไม่รู้ว่าที่จอมปลวกนั้นมีงูพิษอาศัยอยู่
น้าฝนที่ชุ่มเสื้อฝ้าและมุ่นผมของทั้งสองไหลหยดลงไปในรูงูงูตกใจจึงพ่นพิษออกมาป้องกันตัวพิษร้ายของงูเข้าตาทั้งสองคน
ความร้ายกาจของพิษทาให้ดวงตาบอดมืดมิดไปทันทีทุกูลดาบสและนางปาริกาดาบสินีจึงไม่สามารถจะกลับไปถึงศาลาที่พักได้
เพราะมองไม่เห็นทางต้องวนเวียนคลาทางอยู่แถวนั้นเอง
คนทั้งสองต้องเสียดวงตาเพราะกรรมในชาติก่อนเมื่อครั้งที่ทุกูลดาบสเกิดเป็นหมอรักษาตาปาริกาเกิดเป็นภรรยาของหมอนั้น
วันหนึ่งหมอได้รักษาตาของเศรษฐีคนหนึ่งจนหายขาดแล้วแต่เศรษฐีไม่ยอมจ่ายค่ารักษาภรรยาจึงบอกกับสามีว่า
"พี่จงทายาขึ้นอย่างหนึ่งให้มีฤทธิ์แรงแล้วเอาไปให้เศรษฐีผู้นั้นบอกว่าตายังไม่หายสนิทขอให้ใช้ยานี้ป้ายอีก"
หมอตาทาตามที่ภรรยาบอกฝ่ายเศรษฐีเชื่อในสรรพคุณยาของหมอก็ทาตามตาของเศรษฐีก็กลับบอดสนิทในไม่ช้าด้วย
บาปที่ทาไว้ในชาติก่อนส่งผลให้ทั้งสองคนต้องตาบอดไปในชาตินี้ฝ่ายสุวรรณสามคอยพ่อแม่อยู่ที่ศาลาไม่เห็นกลับมาตามเวลา
จึงออกเดินตามหาในที่สุดก็พบพ่อแม่ วนเวียนอยู่ข้างจอมปลวกเพราะนัยน์ตาบอดหาทางกลับไม่ได้ สุวรรณสามจึงถามว่า
เกิดอะไรขึ้นเมื่อพ่อแม่เล่าให้ฟังสุวรรณสามก็ร้องไห้ แล้วก็หัวเราะพ่อแม่จึงถามว่าเหตุใดจึงร้องไห้แล้วก็หัวเราะเช่นนั้น
สุวรรณสามตอบว่า"ลูกร้องไห้เพราะเสียใจที่พ่อแม่นัยน์ตาบอดแต่หัวเราะเพราะลูกดีใจที่ลูกจะได้ ปรนนิบัติดูแล
ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกมาพ่อแม่อย่าเป็นทุกข์ไปเลยลูกจะปรนนิบัติไม่ให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนแต่อย่างใด"จากนั้น
สุวรรณสามก็พาพ่อแม่กลับไปยังศาลาที่พักจัดหาเชือกมาผูกโยงไว้โดยรอบสาหรับพ่อแม่จะได้ใช้จับเป็นราวเดินไปทาอะไรๆ
ได้สะดวกในบริเวณศาลานั้นทุกๆวันสุวรรณสามจะไปตักน้ามาสาหรับพ่อแม่ได้ดื่มได้ใช้ และไปหา
ผลไม้ในป่ามาเป็นอาหารและตนเอง
เวลาที่สุวรรณสามออกป่าหาผลไม้ บรรดาสัตว์ทั้งหลายจะพากันมาแวดล้อมด้วยความไว้วางใจเพราะสุวรรณสาม
เป็นผู้มีเมตตาจิตไม่เคยทาอันตรายแก่ฝูงสัตว์สุวรรณสามจึงมีเพื่อนแวดล้อมเป็นบรรดาสัตว์นานาชนิด
พ่อแม่ลูกทั้งสามจึงมีแต่ความสุขสงบปราศจากความทุกข์ร้อนวุ่นวายทั้งปวงอยู่มาวันหนึ่งพระราชาแห่งเมืองพาราณสี
พระนามว่า"กบิลยักขราช"เป็นผู้ชอบออกป่าล่าสัตว์พระองค์เสด็จออกล่าสัตว์มาจนถึงท่าน้าที่สุวรรณสามมาตักน้าไปให้พ่อแม่
พระราชาสังเกตเห็นรอยเท้าสัตว์ชุกชุมในบริเวณนั้นจึงซุ่มคอยจะยิงสัตว์ที่ผ่านมากินน้าขณะนั้น
สุวรรณสามนาหม้อน้ามาตักน้าไปใช้ที่ศาลาดังเช่นเคยมีฝูงสัตว์เดินตามมาด้วยมากมายพระราชาทอดพระเนตรเห็น
ก็ทรงแปลกพระทัยว่าสุวรรณสามเป็นมนุษย์หรือเทวดาเหตุใดจึงเดินมากับฝูงสัตว์ครั้นจะเข้าไปถามก็เกรงว่าสุวรรณสาม
จะตกใจหนีไปก็จะไม่ได้ตัวจึงคิดจะยิงด้วยธนูให้หมดกาลังก่อนแล้วค่อยจับตัวไว้ซักถามเมื่อสุวรรณสามลงไปตักน้าแล้ว
กาลังจะเดินกลับไปศาลาพระราชากบิลยักขราชก็เล็งยิงด้วยธนูอาบยาถูกสุวรรณสามที่สาตัวทะลุจากขวาไปซ้าย
สุวรรณสามล้มลงกับพื้นแต่ยังไม่ถึงตายจึงเอ่ยขึ้นว่า"เนื้อของเรากินไม่ได้ หนังของเราเอาไปทาอะไรก็ไม่ได้ จะยิงเราทาไม
คนที่ยิงเราเป็นใครยิงแล้วจะซ่อนตัวอยู่ทาไม"กบิลยักขราชได้ยินวาจาอ่อนหวานเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกพระทัยทรงคิดว่า
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก
ชาดก

More Related Content

More from sangkeetwittaya stourajini

ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาsangkeetwittaya stourajini
 
ประวัติพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้าประวัติพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้าsangkeetwittaya stourajini
 
รำไทย รำวง มาตรฐานไทย
รำไทย รำวง มาตรฐานไทยรำไทย รำวง มาตรฐานไทย
รำไทย รำวง มาตรฐานไทยsangkeetwittaya stourajini
 
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์sangkeetwittaya stourajini
 

More from sangkeetwittaya stourajini (20)

พระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา
 
พระไตรปิฏก
พระไตรปิฏกพระไตรปิฏก
พระไตรปิฏก
 
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
 
ประวัติพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้าประวัติพระพุทธเจ้า
ประวัติพระพุทธเจ้า
 
ละครรำ
ละครรำละครรำ
ละครรำ
 
รำไทย รำวง มาตรฐานไทย
รำไทย รำวง มาตรฐานไทยรำไทย รำวง มาตรฐานไทย
รำไทย รำวง มาตรฐานไทย
 
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์บรรณานุกรม  ดนตรี นาฎศิลป์
บรรณานุกรม ดนตรี นาฎศิลป์
 
โขน
โขนโขน
โขน
 
Dance
DanceDance
Dance
 
Thai music2
Thai music2Thai music2
Thai music2
 
Thai music3
Thai music3Thai music3
Thai music3
 
Thai music4
Thai music4Thai music4
Thai music4
 
Thai music5
Thai music5Thai music5
Thai music5
 
Thai music6
Thai music6Thai music6
Thai music6
 
Thai music7
Thai music7Thai music7
Thai music7
 
Thai music8
Thai music8Thai music8
Thai music8
 
Thai music9
Thai music9Thai music9
Thai music9
 
Thai music10
Thai music10Thai music10
Thai music10
 
Thai music11
Thai music11Thai music11
Thai music11
 
Thai music12
Thai music12Thai music12
Thai music12
 

ชาดก