SlideShare a Scribd company logo
1 of 12
Download to read offline
1
วัมมิกสูตร
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนำ
พระสูตรเรื่องวัมมิกสูตร เป็นคาถามปริศนาเกี่ยวกับจอมปลวกที่กลางคืนพ่นควัน กลางวันพ่นไฟ
ที่พระพรหมองค์หนึ่ง (เป็นพระอริยเจ้าชั้นอนาคามี) ตั้งใจมาสงเคราะห์ท่านพระกุมารกัสสปะ เพราะใน
อดีตชาติเคยเป็นเพื่อนพระภิกษุด้วยกันมา ซึ่งคาถามทั้ง ๑๕ ข้อนี้ พระพรหมให้พระกุมารกัสสปะเถระจา
คาถามทั้งหมด แล้วให้มาทูลถามกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูรู้แจ้ง
อย่างสมบูรณ์ทุกเรื่อง ต่อมาท่านพระกุมารกัสสปะนาพระสูตรนี้ เป็นกัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระ
อรหัตต์ และได้เป็นเอตทัคคะผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร
วัมมิกสูตร มจร
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหำจุฬำฯ]
มัชฌิมนิกำย มูลปัณณำสก์
๓. วัมมิกสูตร
ว่ำด้วยจอมปลวกปริศนำ
[๒๔๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัต
ถี สมัยนั้น ท่านพระกุมารกัสสปะพักอยู่ที่ป่าอันธวัน ครั้งนั้น เมื่อราตรี (ราตรี ในที่นี้ หมายถึงปฐมยาม
ความนี้ มีความหมายว่า เมื่อสิ้นปฐมยามกาลังอยู่ในช่วงมัชฌิมยาม เทวดาก็ปรากฏ) ผ่านไป เทวดาองค์
หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนักได้เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วป่าอันธวัน เข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะถึงที่อยู่ แล้วได้
ยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กล่าวกับท่านพระกุมารกัสสปะว่า
“พระคุณเจ้า จอมปลวกนี้ ย่อมพ่นควันในเวลากลางคืน ย่อมลุกโพลงในเวลากลางวัน พราหมณ์
ได้กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงนาศัสตราไปขุดดู’
สุเมธใช้ศัสตราไปขุดก็ได้เห็นลิ่มสลัก จึงกล่าวว่า ‘ลิ่มสลัก ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกลิ่มสลักขึ้นแล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
สุเมธใช้ศัสตราขุดลงไปก็ได้เห็นอึ่ง จึงกล่าวว่า ‘อึ่ง ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงนาอึ่งขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นทางสองแพร่ง จึงกล่าวว่า ‘ทางสองแพร่ง ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงถากทางสองแพร่งออกเสีย แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นหม้อกรองน้าด่าง จึงกล่าวว่า ‘หม้อกรองน้าด่างขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกหม้อกรองน้าด่างขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
2
สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นเต่า จึงกล่าวว่า ‘เต่า ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงนาเต่าขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นเขียงหั่นเนื้ อ จึงกล่าวว่า ‘เขียงหั่นเนื้ อ ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกเขียงหั่นเนื้ อขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นชิ้นเนื้ อ จึงกล่าวว่า ‘ชิ้นเนื้ อ ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงหยิบชิ้นเนื้ อขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นนาค จึงกล่าวว่า ‘นาค ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘นาคจงดารงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทาความนอบน้อม
นาค’
พระคุณเจ้า ท่านควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหาทั้ง ๑๕ ข้อนี้ ท่านควรทรงจาคา
เฉลยปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสตอบเถิด ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน
หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ยกเว้นพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หรือบุคคล
ผู้ฟังจากสานัก(ของข้าพเจ้า) นี้ เสียแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เห็นบุคคลผู้จะทาจิต(ของข้าพเจ้า) ให้ยินดีด้วยการ
ตอบปัญหาเหล่านี้ ได้”
เทวดานั้นได้กล่าวคานี้ แล้วก็อันตรธานไปจากที่นั้น
พระกุมำรกัสสปะทูลถำมปริศนำธรรม
[๒๕๐] ครั้นคืนนั้นผ่านไป ท่านพระกุมารกัสสปะก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อคืนนี้ เมื่อราตรีผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก เปล่ง
รัศมีให้สว่างทั่วป่าอันธวัน เข้ามาหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่ ยืน ณ ที่สมควรแล้วได้กล่าวกับข้าพระองค์ว่า
‘พระคุณเจ้า จอมปลวกนี้ พ่นควันในเวลากลางคืน ลุกโพลงในเวลากลางวัน พราหมณ์ได้กล่าว
อย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงนาศัสตราไปขุดดู’
สุเมธใช้ศัสตราขุดลงไปได้เห็นลิ่มสลัก จึงกล่าวว่า ‘ลิ่มสลัก ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกลิ่มสลักขึ้นแล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปก็ได้เห็นอึ่ง จึงกล่าวว่า ‘อึ่ง ขอรับ’ ฯลฯ ได้เห็นนาค จึงกล่าวว่า ‘นาค
ขอรับ’
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘นาคจงดารงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทาความนอบน้อม
นาค’
พระคุณเจ้า ท่านควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหาทั้ง ๑๕ ข้อนี้ ท่านควรทรงจาคา
เฉลยปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสตอบเถิด ในโลก พร้อมทั้งเทวดาโลก มารโลก พรหมโลก ใน
หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ยกเว้นพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หรือบุคคล
3
ผู้ฟังจากสานัก(ของข้าพเจ้า)นี้ เสียแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เห็นบุคคลผู้จะทาจิต(ของข้าพเจ้า)ให้ยินดีด้วยการตอบ
ปัญหาเหล่านี้ ’
เทวดานั้นได้กล่าวคานี้ แล้วก็อันตรธานไปจากที่นั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
๑. อะไรหนอ ชื่อว่าจอมปลวก
๒. อย่างไร ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน
๓. อย่างไร ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน
๔. ใคร ชื่อว่าพราหมณ์
๕. ใคร ชื่อว่าสุเมธ
๖. อะไร ชื่อว่าศัสตรา
๗. อย่างไร ชื่อว่าการขุด
๘. อะไร ชื่อว่าลิ่มสลัก
๙. อะไร ชื่อว่าอึ่ง
๑๐. อะไร ชื่อว่าทางสองแพร่ง
๑๑. อะไร ชื่อว่าหม้อกรองน้าด่าง
๑๒. อะไร ชื่อว่าเต่า
๑๓. อะไร ชื่อว่าเขียงหั่นเนื้ อ
๑๔. อะไร ชื่อว่าชิ้นเนื้ อ
๑๕. อะไร ชื่อว่านาค”
พระผู้มีพระภำคทรงเฉลยปริศนำธรรม
[๒๕๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ภิกษุ
๑. คาว่า จอมปลวก นั้น เป็นชื่อของร่างกายนี้ ซึ่งประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ มีมารดาบิดาเป็น
แดนเกิด เติบโตด้วยข้าวสุกและขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องบริหาร ต้องนวดฟั้น จะต้องแตกสลาย และกระจัด
กระจายไปเป็นธรรมดา
๒. คาว่า อย่างไร ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน นั้น ได้แก่การที่บุคคลทาการงานในเวลา
กลางวัน แล้วตรึกตรองถึงในเวลากลางคืน นี้ ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน
๓. คาว่า อย่างไร ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน นั้น ได้แก่การที่บุคคลตรึกตรองถึงบ่อยๆ ใน
เวลากลางคืน แล้วประกอบการงานในเวลากลางวัน ด้วยกายและวาจา นี้ ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน
๔. คาว่า พราหมณ์ นั้น เป็นชื่อของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๕. คาว่า สุเมธ นั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นเสขะ
๖. คาว่า ศัสตรา นั้น เป็นชื่อแห่งปัญญาอันประเสริฐ
๗. คาว่า จงขุด นั้น เป็นชื่อของการปรารภความเพียร
4
๘. คาว่า ลิ่มสลัก นั้น เป็นชื่อแห่งอวิชชา คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธเธอจงใช้ศัสตรายกลิ่มสลักขึ้น
คือ จงละอวิชชา จงขุดขึ้นมา’
๙. คาว่า อึ่ง นั้น เป็นชื่อของความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ
เธอจงใช้ศัสตรานาอึ่งขึ้นมา คือ จงละความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ จงขุดขึ้นมา’
๑๐. คาว่า ทางสองแพร่ง นั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราถาก
ทางสองแพร่ง คือ จงละวิจิกิจฉา จงขุดขึ้นมา’
๑๑. คาว่า หม้อกรองน้าด่าง นั้น เป็นชื่อแห่งนิวรณ์ ๕ ประการ คือ
กามฉันทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความพอใจในกาม)
พยาบาทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความขัดเคืองใจ)
ถีนมิทธนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความหดหู่และเซื่องซึม)
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความฟุ้งซ่านและร้อนใจ)
วิจิกิจฉานิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความลังเลสงสัย)
คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกหม้อกรองน้าด่างขึ้นมา คือจงละนิวรณ์ ๕ ประการ
จงขุดขึ้นมา’
๑๒. คาว่า เต่า นั้น เป็นชื่อแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ คือ
รูปูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือรูป)
เวทนูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือเวทนา)
สัญญูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสัญญา)
สังขารูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสังขาร)
วิญญาณูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ)
คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานาเต่าขึ้นมา คือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ จงขุด
ขึ้นมา’
๑๓. คาว่า เขียงหั่นเนื้ อ นั้น เป็นชื่อแห่งกามคุณ ๕ ประการ คือ
รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กาหนัด
เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ฯลฯ
กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก ฯลฯ
รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น ฯลฯ
โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้
กาหนัด
คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกเขียงหั่นเนื้ อขึ้นมา คือ จงละกามคุณ ๕ ประการ จง
ขุดขึ้นมา’
๑๔. คาว่า ชิ้นเนื้ อ นั้น เป็นชื่อแห่งนันทิราคะ(ความกาหนัดด้วยอานาจ ความเพลิดเพลิน) คา
นั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราหยิบชิ้นเนื้ อขึ้นมา คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นมา’
5
๑๕. คาว่า นาค นั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นขีณาสพ คานั้นมีอธิบายว่า ‘นาคจงดารงอยู่เถิด เธอ
อย่าเบียดเบียนนาคเลย เธอจงทาความนอบน้อมนาค”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้ แล้ว ท่านพระกุมารกัสสปะมีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มี
พระภาค ดังนี้ แล
วัมมิกสูตรที่ ๓ จบ
-----------------------------------------
6
คำอธิบำยนี้ นำมำจำกบำงส่วนของอรรถกถำวัมมิกสูตร
อรรถกถำ มัชฌิมนิกำย มูลปัณณำสก์ โอปัมมวรรค
วัมมิกสูตร ว่ำด้วยปริศนำจอมปลวก
วัมมิกสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
กุมารกสฺสโป เป็นชื่อของท่าน. แต่เพราะท่านบวชในเวลายังเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
จงเรียกกัสสปมา จงให้ผลไม้หรือของเคี้ยวนี้ แก่กัสสป เพราะภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า กัสสปองค์ไหน จึงขนาน
นามท่านอย่างนี้ ว่า กุมารกัสสป ตั้งแต่นั้นมา ในเวลาที่ท่านแก่เฒ่าก็ยังเรียกว่า กุมารกัสสปอยู่นั้นเอง. อีก
อย่างหนึ่ง คนทั้งหลายจาหมายท่านว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา.
จะกล่าวให้แจ่มแจ้งตั้งแต่บุพพประโยคของท่าน ดังต่อไปนี้ .
ดังได้สดับมา พระเถระเป็นบุตรเศรษฐี ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ต่อมาวันหนึ่ง
พระเถระเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาสาวกของพระองค์รูปหนึ่ง ผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรไว้ในฐานันดร
ถวายทาน ๗ วันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทาความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์ก็พึง
เป็นสาวกผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรเหมือนพระเถระรูปนี้ ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ดังนี้ แล้ว
กระทาบุญทั้งหลาย บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป ไม่อาจทาคุณวิเศษให้
บังเกิดได้.
ได้ยินว่า ครั้งนั้นเมื่อพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วเสื่อมลง ภิกษุ ๕
รูปผูกบันไดขึ้นภูเขากระทาสมณธรรม. พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตต์วันที่ ๓. พระอนุเถระเป็นพระ
อนาคามีวันที่ ๔. ฝ่ายพระเถระอีก ๓ รูปไม่อาจทาคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ไปบังเกิดในเทวโลก.
เมื่อเทพเหล่านั้นเสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง องค์หนึ่งก็ไปเกิดในราช
ตระกูล กรุงตักกสิลา เป็นพระราชาพระนามว่าปุกกุสาติ บวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า มาสู่กรุงราชคฤห์ ฟัง
พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โรงช่างหม้อ บรรลุอนาคามิผล.
องค์หนึ่งบังเกิดในเรือนสกุลใกล้ท่าเรือแห่งสุปารกะแห่งหนึ่ง ขึ้นเรือ เรืออับปาง นุ่งท่อนไม้แทน
ผ้า ถึงลาภสมบัติเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าเป็นพระอรหันต์ ถูกเทวดาผู้หวังดีตักเตือนว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์
ดอก ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดาเถิด ได้กระทาเหมือนอย่างนั้น บรรลุอรหัตตผล.
องค์หนึ่งเกิดในท้องของหญิงผู้มีสกุลคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. นางได้อ้อนวอนมารดาบิดา เมื่อ
ไม่ได้บรรพชาก็แต่งงาน ไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ อ้อนวอนสามี สามีอนุญาตก็บวชในสานักภิกษุณี. ภิกษุณี
ทั้งหลายเห็นนางตั้งครรภ์จึงถามพระเทวทัตต์. พระเทวทัตต์ตอบว่า นางไม่เป็นสมณะแล้ว. เหล่าภิกษุณีจึง
ไปทูลถามพระทศพล.
พระศาสดาโปรดให้พระอุบาลีรับเรื่องไว้พิจารณา พระเถระให้เชิญสกุลชาวพระนครสาวัตถีและ
นางวิสาขาอุบาสิกา ให้ช่วยกันชาระ (ได้ข้อเท็จจริงแล้ว) จึงกล่าวว่า นางมีครรภ์มาก่อน บรรพชาจึงไม่เสีย.
พระศาสดาประทานสาธุการแก่พระเถระว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ชอบแล้ว. ภิกษุณีนั้นคลอดบุตรมี
ประพิมประพายดังแท่งทอง. พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรับเด็กนั้นมาชุบเลี้ยง ประทานนามเด็กนั้นว่า กัสสป.
7
ต่อมาทรงเลี้ยงเจริญวัยแล้วนาไปยังสานักพระศาสดา ให้บรรพชา. ดังนั้น คนทั้งหลายจึงหมายชื่อเด็กนั้นว่า
กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชาแล.
จริงอยู่ สรีรธาตุของพระพุทธเจ้าผู้มีชนมายุน้อย ไม่เป็นแท่งเดียวกัน ย่อมกระจัดกระจายไป
ด้วยอานุภาพแห่งการอธิษฐาน. ด้วยเหตุนั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงอธิษฐานว่า เรา
ดารงอยู่ได้ไม่ยั่งยืน เหล่าสัตว์เป็นจานวนน้อยเห็นเรา ที่ไม่เห็นเราจานวนมากกว่า สัตว์เหล่านั้นถือเอาธาตุ
ของเราบูชาอยู่ในที่นั้น จักมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น คราวปรินิพพาน ขอสรีรธาตุของเราจง
กระจัดกระจายไป.
ส่วนพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืน พระสรีรธาตุตั้งอยู่เป็นแห่งเดียวกัน เหมือนแท่งทองคา.
พระสรีรธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้พระนามว่ากัสสปะ ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน.
แต่นั้น มหาชนก็ประชุมปรึกษากันว่า เราไม่อาจจะแยกพระธาตุที่เป็นแท่งเดียวกันได้ พวกเรา
จะทาอย่างไร จึงตกลงกันว่า เราจักทาพระธาตุแท่งเดียวนั้นแล ให้เป็นพระเจดีย์ จะมีขนาดเท่าไหร่. พวก
หนึ่งบอกว่า เอา ๗ โยชน์ แต่ตกลงกันว่า นั่นใหญ่เกินไป ใครๆ ไม่อาจจะบารุงได้ในอนาคตกาล เอา ๖
โยชน์ ๕ โยชน์ ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ ๒ โยชน์ ๑ โยชน์ ปรึกษากันว่า จะใช้อิฐเช่นไร ตกลงกันว่า ภายนอกเป็น
อิฐแท่งเดียวทาด้วยทองสีแดงมีค่า ๑๐๐,๐๐๐ ภายในมีค่า ๕๐,๐๐๐ ฉาบด้วยหรดาล และมโนสิลาแทนดิน
ชะโลมด้วยน้ามันแทนน้า แยกมุขทั้ง ๔ ออกด้านละ ๔. พระราชาทรงรับมุขหนึ่ง ปฐวินธรกุมารราชบุตรรับ
มุขหนึ่ง เสนาบดีหัวหน้าอามาตย์รับมุขหนึ่ง เศรษฐีหัวหน้าชาวชนบทรับมุขหนึ่ง.
บรรดาชนเหล่านั้น เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ แม้พระราชาให้ขนทองมา ทรงเริ่มงานที่มุข
ที่พระองค์รับไว้ ทั้งอุปราชทั้งเสนาบดีก็เหมือนกัน. ส่วนงานที่มุขที่เศรษฐีรับไว้หย่อนไป.
ครั้งนั้น อุบาสกคนหนึ่งชื่อยโสธร เป็นอริยสาวกชั้นอนาคามีทรงพระไตรปิฏก รู้ว่าเศรษฐีนั้น
ทางานหย่อนไป จึงให้เทียมเกวียน ๕๐๐ เล่มไปในชนบทชักชวนคนทั้งหลายว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพระชนม์ ๒๐,๐๐๐ ปี ปรินิพพานนานแล้ว พวกเราจักทารัตนเจดีย์โยชน์หนึ่งของพระองค์ ผู้ใดจะ
สามารถจะให้สิ่งใด จะเป็นทองหรือเงิน แก้ว ๗ ประการ หรดาลหรือมโนสิลาก็ตามที ผู้นั้นจงให้สิ่งนั้น.
ชนทั้งหลายได้ให้เงินและทองเป็นต้นตามกาลังของตนๆ เมื่อไม่สามารถจะให้ก็ให้น้ามันและ
ข้าวสารเป็นต้นเท่านั้น. อุบาสกส่งน้ามันและข้าวสารเป็นต้นเพื่อเป็นอาหารประจาวันแก่กรรมกรทั้งหลาย ที่
เหลือจงใจจะให้ทองส่งไป ได้ป่าวร้องไปทั่วชมพูทวีปด้วยอาการอย่างนี้ . งานที่พระเจดีย์เสร็จแล้ว
เพราะฉะนั้น พวกเขาส่งหนังสือไปจากเจดีย์สถานว่า การงานเสร็จแล้ว ขออาจารย์จงมาไหว้พระเจดีย์. แม้
อาจารย์ก็ส่งหนังสือไปว่า เราชักชวนชมพูทวีปทั่วแล้ว สิ่งใดที่มีอยู่ จงถือเอาสิ่งนั้นทาการงานให้สาเร็จ.
หนังสือ ๒ ฉบับมาประจวบกันระหว่างทาง แต่หนังสือจากเจดีย์สถานมาถึงมือของอาจารย์ก่อนหนังสือของ
อาจารย์. อาจารย์นั้นอ่านหนังสือแล้วก็คิดว่า จักไหว้พระเจดีย์ ก็ออกไปตามลาพัง. ระหว่างทาง โจร ๕๐๐ ก็
ปรากฏขึ้นที่ดง.
บรรดาโจรเหล่านั้นบางพวกเห็นอาจารย์นั้น คิดว่า คนผู้นี้ รวบรวมเงินและทองจากชมพูทวีป
ทั้งสิ้น คนทั้งหลายผู้รักษาขุมทรัพย์คงมากันแล้ว จึงบอกแก่โจรที่เหลือแล้ว จับอาจารย์นั้น.
อาจารย์ถามว่า พ่อเอ๋ย เหตุไรพวกเจ้าจึงจับเรา. พวกโจรตอบว่า ท่านรวบรวมเงินและทอง
8
ทั้งหมดจากชมพูทวีป ท่านจงให้ทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ แก่พวกเราเถอะ.
อาจารย์ถามว่า พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปปรินิพพานแล้ว พวก
เรากาลังสร้างพระรตนเจดีย์โยชน์หนึ่งสาหรับพระองค์ ก็ข้าชักชวนเขาเพื่อประโยชน์นั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์
ของตน ฉะนั้น จาส่งของที่เก็บไว้ๆ แล้วไปในที่นั้นแหละ ส่วนผ้านอกจากที่นุ่งมา ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นแม้แต่
กากณึกหนึ่ง.
โจรพวกหนึ่งกล่าวว่า ข้อนั้นจริงอย่างนั้น ก็จงปล่อยอาจารย์ไปเสีย. โจรพวกหนึ่งกล่าวว่า
อาจารย์ผู้นี้ พระราชาก็บูชา อามาตย์ก็บูชา เห็นบางคนในพวกเราที่ถนนพระนคร พึงบอกพระราชาและ
มหาอามาตย์ของพระราชาเป็นต้น จะทาให้พวกเราถึงความย่อยยับได้. อุบาสกกล่าวว่า พ่อเอ๋ย ข้าจักไม่ทา
อย่างนั้นแน่ ก็ข้อนั้นแล มีด้วยความกรุณาในโจรเหล่านั้น ไม่ใช่มีด้วยความรักในชีวิตของตน.
เมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาโจรเหล่านั้นซึ่งกาลังทุ่มเถียงกันว่า ควรจับไว้ ควรปล่อยไป พวกโจร
เหล่าที่มีความเห็นว่าควรจับ มีจานวนมากกว่า ก็ฆ่าอาจารย์นั้นเสีย. ดวงตาของโจรเหล่านั้น ก็อันตรธานไป
เหมือนประทีปด้ามที่ดับ เพราะผิดในพระอริยสาวกผู้มีพลังคุณ. โจรเหล่านั้นราพันว่า ดวงตาอยู่ไหน ดวงตา
อยู่ไหน บางพวกญาติก็นากลับบ้าน บางพวกไม่มีญาติก็กลายเป็นเป็นคนอนาถา เพราะฉะนั้น จึงอาศัยอยู่ที่
บรรณศาลาที่โคนไม้ในดงนั้นเอง. เหล่ามนุษย์ที่มาในดง ก็ให้ข้าวสารบ้าง ห่อข้าวบ้าง เสบียงบ้างแก่โจร
เหล่านั้นด้วยความความกรุณา. เหล่ามนุษย์ที่ไปแสวงหาไม้และใบไม้เป็นต้นกลับมากันแล้ว เมื่อถูกถามว่า
พวกท่านไปไหนกัน ตอบว่าพวกเราไปป่าคนตาบอด. ป่านั้นปรากฏชื่อว่าอันธวัน ครั้งพระพุทธเจ้า ๒
พระองค์ด้วยประการฉะนี้ .
ก็ป่านั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ได้กลายเป็นดงในชนบทที่ร้างไป. แต่ครั้งพระผู้มี
พระภาคเจ้าของเรา ได้กลายเป็นเรือนสาหรับทาความเพียร เป็นสถานที่อยู่ของเหล่ากุลบุตรผู้ต้องการความ
สงัด อยู่หลังพระเชตวันไม่ไกลกรุงสาวัตถี.
สมัยนั้น ท่านกุมารกัสสปก็บาเพ็ญเสกขปฏิปทาอยู่ที่อันธวันนั้น.
ท่านจึงอธิบายว่า เมื่อราตรีสิ้นไปแล้ว. ในข้อนั้นพึงทราบว่า เทพบุตรนี้ มาในระหว่างมัชฌิมยาม.
จริงอยู่ เทวดาทั้งหลาย เมื่อมาสู่มนุษย์โลกละผิวอย่างปกติฤทธิ์ปกติ ทาอัตตภาพให้หยาบ
เนรมิตรผิวเกินปกติ ฤทธิ์เกินปกติ มาด้วยกายที่ปรุงแต่งแล้ว เหมือนมนุษย์ไปสู่ที่ชุมนุมฟ้อนราเป็นต้น.
เทพบุตรแม้นี้ ก็มาโดยอาการอย่างนั่นนั้นแล.
ได้ยินว่า เทพบุตรได้มีความคิดอย่างนี้ ว่า ผู้นี้ อยู่ในระหว่างกามาวจรภูมิ ส่วนเราเป็นพรหมจารี
ตั้งแต่กาลนั้นในเวลานั้น. แม้สมณสัญญาของเทพบุตรนั้นยังปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้น เทพบุตรนั้นจึงไม่ไหว้
กล่าวโดยสมณโวหารอย่างเดียว.
ถามว่า ได้ยินว่า เทพบุตรนั้นเป็นบุรพสหายของพระเถระ ตั้งแต่ครั้งไหน.
ตอบว่า ตั้งแต่กาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสปะ.
จริงอยู่ บรรดาสหายทั้ง ๕ ที่มาในครั้งก่อน สหายนั้นใดที่ท่านกล่าวว่าพระอนุเถระได้เป็นพระ
อนาคามี ในวันที่ ๔ สหายนั้นก็คือผู้นี้ .
ได้ยินว่า ครั้งนั้นบรรดาพระเถระเหล่านั้น อภิญญากับพระอรหัตต์นั้นแลมาถึงแก่สังฆเถระ.
9
พระสังฆเถระนั้นคิดว่า กิจของเราถึงที่สุดแล้ว จึงเหาะสู่นภากาศ บ้วนปากที่สระอโนดาด รับบิณฑบาตจาก
อุตตรกุรุทวีป กลับมาแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุจงฉันบิณฑบาตนี้ อย่าประมาท กระทาสมณธรรม. เหล่าภิกษุ
นอกนี้ กล่าวว่า ผู้มีอายุ พวกเราไม่มีกติกาอย่างนี้ ว่า ผู้ใดบังเกิดคุณวิเศษก่อนก็นาบิณฑบาตมา พวกที่เหลือ
ฉันบิณฑบาตที่ผู้นั้นนามากระทาสมณธรรม พวกท่านบรรลุที่สุดกิจด้วยอุปนิสสัยของตน ถ้าว่าพวกเราจักมี
อุปนิสสัยก็จักบรรลุที่สุดกิจ นั่นเป็นความชักช้าของพวกเราเอง พวกท่านจงไปเถิด.
สังฆเถระนั้นไปตามความผาสุก ปรินิพพานเมื่อสิ้นอายุ.
วันรุ่งขึ้น พระอนุเถระกระทาให้แจ้งพระอนาคามิผล อภิญญาทั้งหลายก็มาถึงท่าน. แม้ท่านก็นา
บิณฑบาตมาเหมือนอย่างนั้นเหมือนกัน ถูกภิกษุเหล่านั้นปฏิเสธ ก็ไปตามความผาสุก เมื่อสิ้นอายุก็บังเกิด
ในชั้นสุทธาวาส. พระอนุเถระนั้นครั้นดารงอยู่ในชั้นสุทธาวาสแล้ว ตรวจดูสหายเหล่านั้น ก็เห็นว่า สหายผู้
หนึ่งปรินิพพานในครั้งนั้นแล ผู้หนึ่งบรรลุอริยภูมิในสานักของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยไม่นาน ผู้หนึ่งอาศัย
ลาภสักการะเกิดความคิดขึ้นว่า เราเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ท่าเรือชื่อสุปปารกะนั่นแล แล้วเข้าไปหาเขา สั่งเขา
ไปด้วยกล่าวว่า ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ยังปฏิบัติไม่ถึงพระอรหัตตมรรค จงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าฟัง
ธรรมเสีย. แม้สหายผู้นั้นทูลขอโอวาทกะพระผู้มีพระภาคเจ้าในละแวกบ้าน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาท
โดยสังเขปว่า พาหิยะ เพราะฉะนั้นแล เธอพึงศึกษาในสิ่งที่ท่านเห็นแล้ว จงเป็นสักแต่ว่าเห็น ก็บรรลุอริยภูมิ.
สหายผู้หนึ่งนอกจากนั้นมีอยู่ เขาตรวจดูว่าอยู่ที่ไหน ก็เห็นว่ากาลังบาเพ็ญเสกขปฏิปทาอยู่ใน
อันธวัน จึงคิดว่า เราจักไปยังสานักของสหาย แต่เมื่อไปไม่ไปมือเปล่า ควรจะถือเครื่องบรรณาการบางอย่าง
ไปด้วย แต่สหายของเราไม่มีอามิสอยู่บนยอดเขา แต่สหายนั้นจักไม่ฉันแม้บิณฑบาตที่เรายืนอยู่บนอากาศ
ถวาย ได้กระทาสมณธรรม บัดนี้ ท่านจักรับอามิสบรรณาการหรือจาเราจักถือธรรมบรรณาการไป แล้วดารง
ในพรหมโลกนั่นแล จาแนกปัญหา ๑๕ ข้อเหมือนร้อยรัตนวลีพวงแก้วถือธรรมบรรณาการนั้นมา ยืนอยู่ในที่
ไม่ไกลสหาย ไม่อภิวาทพระเถระนั้นโดยกล่าวด้วยสมณสัญญาเรียกว่า ภิกษุ ภิกษุ
กายนั้น ชื่อว่าวัมมิกะ กายอันตัวปลวกคายแล้ว เหตุนั้น จึงชื่อว่าวัมมิกะ. กายอันตัวปลวกก่อขึ้น
ด้วยผงฝุ่น ที่ตัวคายยกขึ้นด้วยจะงอยปากประมาณเพียงสะเอวบ้าง ชั่วบุรุษบ้าง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าวัมมิ
กะ. กายเมื่อฝนตก ๗ สัปดาห์อันตัวปลวกเกลี่ย เพราะเนื่องด้วยยางน้าลายที่คายออก แม้ในฤดูแล้งมันก็
คายเอาฝุ่นจากที่นั้น บีบที่นั้นให้เป็นกอง ยางเหนียวก็ออก แล้วก็ติดกันด้วยยางเหนียวที่คาย เหตุนั้นจึงชื่อ
ว่าวัมมิกะ ฉันใดนั้นแล แม้กายนี้ ก็ฉันนั้น ชื่อว่าวัมมิกะ เพราะคายของไม่สะอาด ของมีโทษและมลทินมี
ประการต่างๆ โดยนัยเป็นต้นว่าขี้ตาออกจากลูกตาเป็นต้น และชื่อว่าวัมมิกะ เพราะอันพระอริยเจ้าคายแล้ว
เหตุพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะและพระขีณาสพ ทิ้งอัตตภาพไป เพราะหมดความเยื่อใยในอัตตภาพนี้
ชื่อว่าวัมมิกะ เพราะคายหมดทั้งร่างที่ประชุมธาตุ ๔ เหตุที่พระอริยเจ้าคายร่างทั้งหมดที่กระดูก ๓๐๐ ท่อน
ยกขึ้นรัดด้วยเอ็น ฉาบด้วยเนื้ อ ห่อด้วยหนังสด ย้อมผิว ลวงสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าวัมมิกะ เพราะผูกด้วยเสน่หา
ที่คายเสียแล้ว เหตุกายนี้ ผูกด้วยใยยางคือตัณหาที่พระอริยทั้งหลายคายแล้ว เพราะตัณหาก่อให้เกิดตามพระ
บาลีอย่างนี้ ว่า ตัณหาทาคนให้เกิด จิตของคนนั้นย่อมแล่นไป.
อนึ่ง สัตว์เล็กๆ มีประการต่างๆ ภายในจอมปลวก ย่อมเกิด ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอนป่วย
ย่อมตายตกไปในจอมปลวกนั้นนั้นเอง ดังนั้น จอมปลวกนั้นจึงเป็นเรือนเกิด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาลและ
10
เป็นสุสานของสัตว์เล็กๆ เหล่านั้นฉันใด กายแม้ของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้นก็ฉันนั้น เหล่าสัตว์ที่อาศัย
ผิวหนัง เนื้ อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก มิได้คิดว่า กายนี้ ถูกคุ้มครองรักษาแล้ว ประดับตกแต่งแล้ว เป็นกาย
ของผู้มีอานุภาพใหญ่ รวมความว่า หมู่หนอนโดยการนับตระกูลมีประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตระกูล ย่อมเกิด ย่อม
ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอนกระสับกระส่าย เพราะความป่วยไข้ ตายตกคลักอยู่ในกายนี้ เอง เหตุนั้น จึงนับได้
ว่าเป็นจอมปลวก เพราะเป็นเรือนคลอด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาลและเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คาว่า วัมมิกะ นี้ เป็นชื่อของกายนี้ ที่เกิด
จากมหาภูตทั้ง ๔.
กายนี้ ชื่อว่ามีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา เพราะอรรถาว่ามีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่ามีการฉาบทาเป็น
ธรรมดา เพราะฉาบทาด้วยหนังบางเพื่อประโยชน์แก่การกาจัดกลิ่นเหม็น ชื่อว่ามีการนวดฟั้นเป็นธรรมดา
เพราะมีการนวดฟั้นเล็กๆ น้อยๆ เพื่อประโยชน์แก่การบรรเทาความเจ็บป่วยทางอวัยวะน้อยใหญ่.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามีการประคบประหงมเป็นธรรมดาโดยการหยอดยาตาและบีบเป็นต้น เพื่อ
ความสมบูรณ์แห่งทรวดทรงแห่งอวัยวะเหล่านั้นที่ตั้งอยู่ไม่ดี โดยให้นอนอยู่บนขาให้นอนแต่ในห้องในเวลา
เป็นเด็ก.
อธิบายว่า แม้ถึงจะถูกประคบประหงมอยู่อย่างนี้ ก็ยังมีอันแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา
กายมีสภาพอย่างนี้ .
ความโกรธเป็นดังควันไฟ โทษของโจรกรรมเป็นดังเถ้า. เป็นไปในตัณหา ในคานี้ ว่า สัตว์
ทั้งหลายมีตัณหาดังควันไฟ. เป็นไปในวิตก ได้ในคานี้ ว่า สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งนั่งตรึกดังควันไฟในที่ไม่ไกล
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
เล่ากันมาว่า พราหมณ์ชาวชนบทคนหนึ่งออกจากบ้านแต่เช้าตรู่พร้อมด้วยเหล่ามาณพ ตอน
กลางวันสอนมนต์ในป่า ตอนเย็นก็กลับบ้าน. ระหว่างทางมีจอมปลวกจอมหนึ่ง จอมปลวกนั้นกลางคืนเป็น
ควัน กลางวันเป็นไฟ พราหมณ์จึงพูดกะสุเมธมาณพศิษย์ว่า พ่อเอ๋ย จอมปลวกนี้ กลางคืนเป็นควัน กลางวัน
เป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอมปลวกนั้น เจ้าจงทาลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน ทิ้งไป. ศิษย์นั้นก็รับคา
จับจอบใช้ ๒ เท้าเหยียบเสมอกันยืนหยัดที่พื้นดินแล้วได้กระทาอย่างนั้น.
ใน ๒ อาจารย์และศิษย์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนพราหมณ์ผู้อาจารย์ เสกขภิกษุ
เปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์ กายเปรียบเหมือนจอมปลวก เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอจงแบ่งกายที่เกิดแต่มหาภูตรูปทั้ง ๔ ส่วน กาหนดถือเอาเป็นอารมณ์ ก็เปรียบเหมือนเวลาที่พราหมณ์ผู้
อาจารย์กล่าวว่า พ่อเอ๋ย จอมปลวกนี้ กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอม
ปลวกนั้น เจ้าจงทาลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วทิ้งไป.
พึงทราบกาหนดกายสาหรับเสกขภิกษุโดยกาหนดธาตุ ๔ เป็นอารมณ์ อย่างนี้ คือ ความที่กาย
เป็นของแข้น ๒๐ ส่วนจัดเป็นปฐวีธาตุ. ความที่กายเอิบอาบ ๑๒ ส่วนจัดเป็นอาโปธาตุ. ความที่กายอบอุ่น ๔
ส่วนจัดเป็นเตโชธาตุ. ความที่กายเคลื่อนไหว ๖ ส่วนจัดเป็นวาโยธาตุ. เปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์
รับคาแล้วจับจอบแล้วกระทาอย่างนั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอวิชชาชื่อว่ากลอนเหล็ก
11
ตอบว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อปิดประตูพระนคร ใส่ลิ่มสลัก มหาชนก็ขาดการไป เหล่าชนที่อยู่
ภายในพระนครก็คงอยู่ภายในนั้นเอง พวกที่อยู่ภายนอกพระนครก็อยู่ภายนอกฉันใด กลอนเหล็กคืออวิชชา
ตกไปในปากคือญาณของผู้ใด การไปคือญาณที่ให้ถึงพระนิพพานของผู้นั้นก็ขาด. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงแสดงอวิชชาให้เป็นดังกลอนเหล็ก.
ขึ้นชื่ออึ่งที่พองขึ้นไม่ใหญ่ประมาณเท่าหลังเล็บอยู่ในระหว่างใบไม้เก่าๆ ในระหว่างกอไม้ หรือ
ระหว่างเถาวัลย์ มันถูกปลายไม้ปลายเถาวัลย์หรือละอองฝุ่นเสียดสีขยายออกมีปริมณฑลใหญ่ ขนาดเท่าแว่น
มะตูม ๔ เท้าขวักไขว่ในอากาศขาดการไป (เดินไม่ได้) ตกอยู่ในอานาจของศัตรู เป็นเหยื่อของกาและนกเค้า
เป็นต้นฉันใด ความโกรธนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเกิดขึ้นคราวแรกก็เป็นเพียงความขุ่นมัวแห่งจิตเท่านั้น ไม่
ถูกข่มเสียในขณะนั้นก็ขยายให้ถึงการหน้านิ้ วคิ้วขมวด ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงคางสั่น ไม่ถูกข่มเสียใน
เวลานั้นก็ให้ถึงการเปล่งวาจาหยาบ ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ก็ให้ถึงการมองไม่เห็นทิศ ไม่ถูกข่มเสียในเวลา
นั้น ให้ถึงการยื้อกันมายื้อกันไป ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงการจับมือ ก้อนดิน ท่อนไม้และศาสตรา ไม่
ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการประหารด้วยท่อนไม้ และศาสตรา ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการฆ่าผู้อื่น
บ้าง ฆ่าตัวเองบ้าง.
สมจริงดังคาที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ความโกรธนี้ ฆ่าผู้อื่นแล้ว ฆ่าตนเพียงใด ความโกรธเพียงนี้ ก็จะหนาแน่นยิ่งขึ้น กาเริบเสิบสาน
อย่างยิ่ง.
ในข้อนั้น เมื่อเท้าทั้ง ๔ ของตัวอึ่งขวักไขว่ในอากาศ ก็ขาดการไป (เดินไม่ได้) ตัวอึ่งก็ตกอยู่ใน
อานาจของศัตรู เป็นเหยื่อของสัตว์มีกาเป็นต้นฉันใด บุคคลผู้ตกอยู่ในอานาจของความโกรธก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ไม่สามารถจะกาหนดกัมมัฏฐานให้ขยายไปได้ ตกอยู่ในอานาจของศัตรู เป็นผู้อันปวงมารพึงทา
ได้ตามความปรารถนา.
บุรุษผู้มีทรัพย์โภคะ เดินทางไกลอันกันดาร ถึงทาง ๒ แพร่ง ไม่อาจตัดสินใจว่า ควรไปทางนี้
หรือไม่ควรไปทางนี้ หยุดอยู่ในที่นั้นนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่าโจรปรากฏตัวขึ้นมาก็จะทาผู้นั้นให้ถึง
ความย่อยยับฉันใด ภิกษุผู้นั่งกาหนดกัมมัฏฐานเบื้องต้นก็ฉันนั้นนั่นแล เมื่อเกิดความสงสัยในพระพุทธเจ้า
เป็นต้นก็ไม่อาจเจริญกัมมัฏฐานได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ปวงมารมีกิเลสมารเป็นต้นย่อมทาภิกษุนั้นให้ถึงความ
ย่อยยับ วิจิกิจฉาจึงเสมอด้วยทาง ๒ แพร่งด้วยประการฉะนี้ .
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คาว่า ทาง ๒ แพร่งนี้ เป็นชื่อของ
วิจิกิจฉา.
เมื่อช่างย้อมใส่น้าลงในหม้อกรองน้าด่าง หม้อน้า ๑ หม้อ ๒ หม้อบ้าง ๑๐ หม้อบ้าง ๒๐ หม้อ
บ้าง ๑๐๐ หม้อบ้างก็ไหลออก น้าแม้ฟายมือเดียวก็ไม่ขังอยู่ฉันใด กุศลธรรมภายในของบุคคลผู้
ประกอบด้วยนีวรณ์ ย่อมไม่ตั้งอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน.
เต่ามีอวัยวะ ๕ คือ เท้า ๔ ศีรษะ ๑ ฉันใด สังขตธรรมทั้งหมด เมื่อรวบรัดก็มีขันธ์ ๕ เท่านั้นฉัน
นั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คาว่า เต่านี้ เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์
๕.
12
เอาเนื้ อวางบนเขียง เอามีดสับฉันใด สัตว์เหล่านี้ เมื่อถูกกามกิเลสกระทบ เพื่อประโยชน์แก่ทา
ไว้บนวัตถุกาม ถูกกิเลสกามตัดสับก็ฉันนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คาว่า
เขียงมีด นี้ เป็นชื่อของกามคุณทั้ง ๕.
ขึ้นชื่อว่าชิ้นเนื้ อนี้ คนเป็นอันมากปรารถนากันแล้ว ทั้งเหล่ามนุษย์มีกษัตริย์เป็นต้น ทั้งสัตว์
ดิรัจฉานมีกาเป็นต้น ต่างปรารถนามัน สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยอวิชชา อาศัยความกาหนัดด้วยอานาจ
ความเพลิดเพลิน ต่างก็ปรารถนาวัฏฏะ ชิ้นเนื้ อย่อมติดอยู่ในที่วางไว้ๆ ฉันใด สัตว์เหล่านี้ ถูกความกาหนัด
ด้วยอานาจความเพลิดเพลินผูกไว้ก็ติดอยู่ในวัฏฏะ แม้ประสบทุกข์ก็ไม่เบื่อฉันนั้น ความกาหนัดด้วยอานาจ
ความเพลิดเพลินย่อมเสมือนชิ้นเนื้ อด้วยประการฉะนี้ . ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุ คาว่า ชิ้นเนื้ อ นี้ เป็นชื่อของความกาหนัดด้วยอานาจความเพลิดเพลิน.
ท่านจงกระทาการนอบน้อมพระพุทธนาคผู้พระขีณาสพว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสรู้แล้ว
ย่อมแสดงธรรมเพื่อความรู้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงฝึกแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าพระองค์นั้นสงบแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงข้ามแล้ว แสดง
ธรรมเพื่อข้าม พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดับสนิทแล้ว แสดงธรรมเพื่อดับสนิท.
พระสูตรนี้ ได้เป็นกัมมัฏฐานของพระเถระด้วยประการฉะนี้ ฝ่ายพระเถระทาพระสูตรนี้ แลให้เป็น
กัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต์.
จบอรรถกถาวัมมิกสูตรที่ ๓
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to ๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf

๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdfmaruay songtanin
 
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนาเกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนาTongsamut vorasan
 
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลพุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลYota Bhikkhu
 
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนาเกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนาTongsamut vorasan
 
อนุพุทธประวัติ เจาะลึก
อนุพุทธประวัติ  เจาะลึกอนุพุทธประวัติ  เจาะลึก
อนุพุทธประวัติ เจาะลึกWataustin Austin
 
๐๐ ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน.pdf
๐๐ ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน.pdf๐๐ ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน.pdf
๐๐ ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน.pdfmaruay songtanin
 
27 มูคปักขจริยา มจร.pdf
27 มูคปักขจริยา มจร.pdf27 มูคปักขจริยา มจร.pdf
27 มูคปักขจริยา มจร.pdfmaruay songtanin
 
Tri91 10+ปริวาร+เล่ม+๘
Tri91 10+ปริวาร+เล่ม+๘Tri91 10+ปริวาร+เล่ม+๘
Tri91 10+ปริวาร+เล่ม+๘Tongsamut vorasan
 
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓Tongsamut vorasan
 
บาลี 21 80
บาลี 21 80บาลี 21 80
บาลี 21 80Rose Banioki
 
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓Tongsamut vorasan
 
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลพุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลYota Bhikkhu
 
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์Padvee Academy
 
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒Tongsamut vorasan
 
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒Wataustin Austin
 
บาลี 42 80
บาลี 42 80บาลี 42 80
บาลี 42 80Rose Banioki
 
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tongsamut vorasan
 

Similar to ๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf (20)

๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
๒๒ สามัญญผลสูตร มจร.pdf
 
45 พรรษา
45 พรรษา45 พรรษา
45 พรรษา
 
-------------- --- 1
 -------------- --- 1 -------------- --- 1
-------------- --- 1
 
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนาเกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
 
-------------- --- 4
 -------------- --- 4 -------------- --- 4
-------------- --- 4
 
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลพุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
 
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนาเกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
 
อนุพุทธประวัติ เจาะลึก
อนุพุทธประวัติ  เจาะลึกอนุพุทธประวัติ  เจาะลึก
อนุพุทธประวัติ เจาะลึก
 
๐๐ ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน.pdf
๐๐ ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน.pdf๐๐ ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน.pdf
๐๐ ปัญหาของพราหมณ์ ๑๖ คน.pdf
 
27 มูคปักขจริยา มจร.pdf
27 มูคปักขจริยา มจร.pdf27 มูคปักขจริยา มจร.pdf
27 มูคปักขจริยา มจร.pdf
 
Tri91 10+ปริวาร+เล่ม+๘
Tri91 10+ปริวาร+เล่ม+๘Tri91 10+ปริวาร+เล่ม+๘
Tri91 10+ปริวาร+เล่ม+๘
 
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
 
บาลี 21 80
บาลี 21 80บาลี 21 80
บาลี 21 80
 
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
2 21+พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๓
 
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลพุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
 
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
 
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
 
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
4 42+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๒
 
บาลี 42 80
บาลี 42 80บาลี 42 80
บาลี 42 80
 
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
 

More from maruay songtanin

7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdfmaruay songtanin
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docxmaruay songtanin
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfmaruay songtanin
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...maruay songtanin
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...maruay songtanin
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
7 proven leadership principles หลักการผู้นำ 7 ประการ.pdf
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
 
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๙. วิธุรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจ...
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๕. มโหสธชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐๔. เนมิราชชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๐๒. มหาชนกชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
๐๐ บทนำ มหานิบาตชาดก (พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย).docx
 
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdfOperational Resilience  ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
Operational Resilience ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน.pdf
 
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๘๕. สุนิกขิตตวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๘๓. มัฏฐกุณฑลีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๘๒. อเนกวัณณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๑. กัณฐกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๘๐. โคปาลวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๗๙. อัมพวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 

๐๖ วัมมิกสูตร มจร.pdf

  • 1. 1 วัมมิกสูตร พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนำ พระสูตรเรื่องวัมมิกสูตร เป็นคาถามปริศนาเกี่ยวกับจอมปลวกที่กลางคืนพ่นควัน กลางวันพ่นไฟ ที่พระพรหมองค์หนึ่ง (เป็นพระอริยเจ้าชั้นอนาคามี) ตั้งใจมาสงเคราะห์ท่านพระกุมารกัสสปะ เพราะใน อดีตชาติเคยเป็นเพื่อนพระภิกษุด้วยกันมา ซึ่งคาถามทั้ง ๑๕ ข้อนี้ พระพรหมให้พระกุมารกัสสปะเถระจา คาถามทั้งหมด แล้วให้มาทูลถามกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูรู้แจ้ง อย่างสมบูรณ์ทุกเรื่อง ต่อมาท่านพระกุมารกัสสปะนาพระสูตรนี้ เป็นกัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระ อรหัตต์ และได้เป็นเอตทัคคะผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร วัมมิกสูตร มจร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหำจุฬำฯ] มัชฌิมนิกำย มูลปัณณำสก์ ๓. วัมมิกสูตร ว่ำด้วยจอมปลวกปริศนำ [๒๔๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัต ถี สมัยนั้น ท่านพระกุมารกัสสปะพักอยู่ที่ป่าอันธวัน ครั้งนั้น เมื่อราตรี (ราตรี ในที่นี้ หมายถึงปฐมยาม ความนี้ มีความหมายว่า เมื่อสิ้นปฐมยามกาลังอยู่ในช่วงมัชฌิมยาม เทวดาก็ปรากฏ) ผ่านไป เทวดาองค์ หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนักได้เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วป่าอันธวัน เข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะถึงที่อยู่ แล้วได้ ยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กล่าวกับท่านพระกุมารกัสสปะว่า “พระคุณเจ้า จอมปลวกนี้ ย่อมพ่นควันในเวลากลางคืน ย่อมลุกโพลงในเวลากลางวัน พราหมณ์ ได้กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงนาศัสตราไปขุดดู’ สุเมธใช้ศัสตราไปขุดก็ได้เห็นลิ่มสลัก จึงกล่าวว่า ‘ลิ่มสลัก ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกลิ่มสลักขึ้นแล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศัสตราขุดลงไปก็ได้เห็นอึ่ง จึงกล่าวว่า ‘อึ่ง ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงนาอึ่งขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นทางสองแพร่ง จึงกล่าวว่า ‘ทางสองแพร่ง ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงถากทางสองแพร่งออกเสีย แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นหม้อกรองน้าด่าง จึงกล่าวว่า ‘หม้อกรองน้าด่างขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกหม้อกรองน้าด่างขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’
  • 2. 2 สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นเต่า จึงกล่าวว่า ‘เต่า ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงนาเต่าขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นเขียงหั่นเนื้ อ จึงกล่าวว่า ‘เขียงหั่นเนื้ อ ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกเขียงหั่นเนื้ อขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นชิ้นเนื้ อ จึงกล่าวว่า ‘ชิ้นเนื้ อ ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงหยิบชิ้นเนื้ อขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็นนาค จึงกล่าวว่า ‘นาค ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘นาคจงดารงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทาความนอบน้อม นาค’ พระคุณเจ้า ท่านควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหาทั้ง ๑๕ ข้อนี้ ท่านควรทรงจาคา เฉลยปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสตอบเถิด ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ยกเว้นพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หรือบุคคล ผู้ฟังจากสานัก(ของข้าพเจ้า) นี้ เสียแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เห็นบุคคลผู้จะทาจิต(ของข้าพเจ้า) ให้ยินดีด้วยการ ตอบปัญหาเหล่านี้ ได้” เทวดานั้นได้กล่าวคานี้ แล้วก็อันตรธานไปจากที่นั้น พระกุมำรกัสสปะทูลถำมปริศนำธรรม [๒๕๐] ครั้นคืนนั้นผ่านไป ท่านพระกุมารกัสสปะก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อคืนนี้ เมื่อราตรีผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก เปล่ง รัศมีให้สว่างทั่วป่าอันธวัน เข้ามาหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่ ยืน ณ ที่สมควรแล้วได้กล่าวกับข้าพระองค์ว่า ‘พระคุณเจ้า จอมปลวกนี้ พ่นควันในเวลากลางคืน ลุกโพลงในเวลากลางวัน พราหมณ์ได้กล่าว อย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงนาศัสตราไปขุดดู’ สุเมธใช้ศัสตราขุดลงไปได้เห็นลิ่มสลัก จึงกล่าวว่า ‘ลิ่มสลัก ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘สุเมธ เธอจงยกลิ่มสลักขึ้นแล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปก็ได้เห็นอึ่ง จึงกล่าวว่า ‘อึ่ง ขอรับ’ ฯลฯ ได้เห็นนาค จึงกล่าวว่า ‘นาค ขอรับ’ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ ว่า ‘นาคจงดารงอยู่เถิด เธออย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทาความนอบน้อม นาค’ พระคุณเจ้า ท่านควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหาทั้ง ๑๕ ข้อนี้ ท่านควรทรงจาคา เฉลยปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสตอบเถิด ในโลก พร้อมทั้งเทวดาโลก มารโลก พรหมโลก ใน หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ยกเว้นพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หรือบุคคล
  • 3. 3 ผู้ฟังจากสานัก(ของข้าพเจ้า)นี้ เสียแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เห็นบุคคลผู้จะทาจิต(ของข้าพเจ้า)ให้ยินดีด้วยการตอบ ปัญหาเหล่านี้ ’ เทวดานั้นได้กล่าวคานี้ แล้วก็อันตรธานไปจากที่นั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ๑. อะไรหนอ ชื่อว่าจอมปลวก ๒. อย่างไร ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน ๓. อย่างไร ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน ๔. ใคร ชื่อว่าพราหมณ์ ๕. ใคร ชื่อว่าสุเมธ ๖. อะไร ชื่อว่าศัสตรา ๗. อย่างไร ชื่อว่าการขุด ๘. อะไร ชื่อว่าลิ่มสลัก ๙. อะไร ชื่อว่าอึ่ง ๑๐. อะไร ชื่อว่าทางสองแพร่ง ๑๑. อะไร ชื่อว่าหม้อกรองน้าด่าง ๑๒. อะไร ชื่อว่าเต่า ๑๓. อะไร ชื่อว่าเขียงหั่นเนื้ อ ๑๔. อะไร ชื่อว่าชิ้นเนื้ อ ๑๕. อะไร ชื่อว่านาค” พระผู้มีพระภำคทรงเฉลยปริศนำธรรม [๒๕๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ภิกษุ ๑. คาว่า จอมปลวก นั้น เป็นชื่อของร่างกายนี้ ซึ่งประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ มีมารดาบิดาเป็น แดนเกิด เติบโตด้วยข้าวสุกและขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องบริหาร ต้องนวดฟั้น จะต้องแตกสลาย และกระจัด กระจายไปเป็นธรรมดา ๒. คาว่า อย่างไร ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน นั้น ได้แก่การที่บุคคลทาการงานในเวลา กลางวัน แล้วตรึกตรองถึงในเวลากลางคืน นี้ ชื่อว่าการพ่นควันในเวลากลางคืน ๓. คาว่า อย่างไร ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน นั้น ได้แก่การที่บุคคลตรึกตรองถึงบ่อยๆ ใน เวลากลางคืน แล้วประกอบการงานในเวลากลางวัน ด้วยกายและวาจา นี้ ชื่อว่าการลุกโพลงในเวลากลางวัน ๔. คาว่า พราหมณ์ นั้น เป็นชื่อของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕. คาว่า สุเมธ นั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นเสขะ ๖. คาว่า ศัสตรา นั้น เป็นชื่อแห่งปัญญาอันประเสริฐ ๗. คาว่า จงขุด นั้น เป็นชื่อของการปรารภความเพียร
  • 4. 4 ๘. คาว่า ลิ่มสลัก นั้น เป็นชื่อแห่งอวิชชา คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธเธอจงใช้ศัสตรายกลิ่มสลักขึ้น คือ จงละอวิชชา จงขุดขึ้นมา’ ๙. คาว่า อึ่ง นั้น เป็นชื่อของความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานาอึ่งขึ้นมา คือ จงละความคับแค้นใจเนื่องมาจากความโกรธ จงขุดขึ้นมา’ ๑๐. คาว่า ทางสองแพร่ง นั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราถาก ทางสองแพร่ง คือ จงละวิจิกิจฉา จงขุดขึ้นมา’ ๑๑. คาว่า หม้อกรองน้าด่าง นั้น เป็นชื่อแห่งนิวรณ์ ๕ ประการ คือ กามฉันทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความพอใจในกาม) พยาบาทนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความขัดเคืองใจ) ถีนมิทธนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความหดหู่และเซื่องซึม) อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความฟุ้งซ่านและร้อนใจ) วิจิกิจฉานิวรณ์ (สิ่งที่กั้นจิตคือความลังเลสงสัย) คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกหม้อกรองน้าด่างขึ้นมา คือจงละนิวรณ์ ๕ ประการ จงขุดขึ้นมา’ ๑๒. คาว่า เต่า นั้น เป็นชื่อแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ คือ รูปูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือรูป) เวทนูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือเวทนา) สัญญูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสัญญา) สังขารูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสังขาร) วิญญาณูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ) คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรานาเต่าขึ้นมา คือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ จงขุด ขึ้นมา’ ๑๓. คาว่า เขียงหั่นเนื้ อ นั้น เป็นชื่อแห่งกามคุณ ๕ ประการ คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กาหนัด เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ฯลฯ กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก ฯลฯ รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้ กาหนัด คานั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรายกเขียงหั่นเนื้ อขึ้นมา คือ จงละกามคุณ ๕ ประการ จง ขุดขึ้นมา’ ๑๔. คาว่า ชิ้นเนื้ อ นั้น เป็นชื่อแห่งนันทิราคะ(ความกาหนัดด้วยอานาจ ความเพลิดเพลิน) คา นั้นมีอธิบายว่า ‘สุเมธ เธอจงใช้ศัสตราหยิบชิ้นเนื้ อขึ้นมา คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นมา’
  • 5. 5 ๑๕. คาว่า นาค นั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้เป็นขีณาสพ คานั้นมีอธิบายว่า ‘นาคจงดารงอยู่เถิด เธอ อย่าเบียดเบียนนาคเลย เธอจงทาความนอบน้อมนาค” พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้ แล้ว ท่านพระกุมารกัสสปะมีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มี พระภาค ดังนี้ แล วัมมิกสูตรที่ ๓ จบ -----------------------------------------
  • 6. 6 คำอธิบำยนี้ นำมำจำกบำงส่วนของอรรถกถำวัมมิกสูตร อรรถกถำ มัชฌิมนิกำย มูลปัณณำสก์ โอปัมมวรรค วัมมิกสูตร ว่ำด้วยปริศนำจอมปลวก วัมมิกสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :- กุมารกสฺสโป เป็นชื่อของท่าน. แต่เพราะท่านบวชในเวลายังเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จงเรียกกัสสปมา จงให้ผลไม้หรือของเคี้ยวนี้ แก่กัสสป เพราะภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า กัสสปองค์ไหน จึงขนาน นามท่านอย่างนี้ ว่า กุมารกัสสป ตั้งแต่นั้นมา ในเวลาที่ท่านแก่เฒ่าก็ยังเรียกว่า กุมารกัสสปอยู่นั้นเอง. อีก อย่างหนึ่ง คนทั้งหลายจาหมายท่านว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา. จะกล่าวให้แจ่มแจ้งตั้งแต่บุพพประโยคของท่าน ดังต่อไปนี้ . ดังได้สดับมา พระเถระเป็นบุตรเศรษฐี ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ต่อมาวันหนึ่ง พระเถระเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาสาวกของพระองค์รูปหนึ่ง ผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรไว้ในฐานันดร ถวายทาน ๗ วันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทาความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์ก็พึง เป็นสาวกผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรเหมือนพระเถระรูปนี้ ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ดังนี้ แล้ว กระทาบุญทั้งหลาย บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป ไม่อาจทาคุณวิเศษให้ บังเกิดได้. ได้ยินว่า ครั้งนั้นเมื่อพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วเสื่อมลง ภิกษุ ๕ รูปผูกบันไดขึ้นภูเขากระทาสมณธรรม. พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตต์วันที่ ๓. พระอนุเถระเป็นพระ อนาคามีวันที่ ๔. ฝ่ายพระเถระอีก ๓ รูปไม่อาจทาคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ไปบังเกิดในเทวโลก. เมื่อเทพเหล่านั้นเสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง องค์หนึ่งก็ไปเกิดในราช ตระกูล กรุงตักกสิลา เป็นพระราชาพระนามว่าปุกกุสาติ บวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า มาสู่กรุงราชคฤห์ ฟัง พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โรงช่างหม้อ บรรลุอนาคามิผล. องค์หนึ่งบังเกิดในเรือนสกุลใกล้ท่าเรือแห่งสุปารกะแห่งหนึ่ง ขึ้นเรือ เรืออับปาง นุ่งท่อนไม้แทน ผ้า ถึงลาภสมบัติเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าเป็นพระอรหันต์ ถูกเทวดาผู้หวังดีตักเตือนว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ดอก ไปทูลถามปัญหากะพระศาสดาเถิด ได้กระทาเหมือนอย่างนั้น บรรลุอรหัตตผล. องค์หนึ่งเกิดในท้องของหญิงผู้มีสกุลคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. นางได้อ้อนวอนมารดาบิดา เมื่อ ไม่ได้บรรพชาก็แต่งงาน ไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ อ้อนวอนสามี สามีอนุญาตก็บวชในสานักภิกษุณี. ภิกษุณี ทั้งหลายเห็นนางตั้งครรภ์จึงถามพระเทวทัตต์. พระเทวทัตต์ตอบว่า นางไม่เป็นสมณะแล้ว. เหล่าภิกษุณีจึง ไปทูลถามพระทศพล. พระศาสดาโปรดให้พระอุบาลีรับเรื่องไว้พิจารณา พระเถระให้เชิญสกุลชาวพระนครสาวัตถีและ นางวิสาขาอุบาสิกา ให้ช่วยกันชาระ (ได้ข้อเท็จจริงแล้ว) จึงกล่าวว่า นางมีครรภ์มาก่อน บรรพชาจึงไม่เสีย. พระศาสดาประทานสาธุการแก่พระเถระว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ชอบแล้ว. ภิกษุณีนั้นคลอดบุตรมี ประพิมประพายดังแท่งทอง. พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรับเด็กนั้นมาชุบเลี้ยง ประทานนามเด็กนั้นว่า กัสสป.
  • 7. 7 ต่อมาทรงเลี้ยงเจริญวัยแล้วนาไปยังสานักพระศาสดา ให้บรรพชา. ดังนั้น คนทั้งหลายจึงหมายชื่อเด็กนั้นว่า กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชาแล. จริงอยู่ สรีรธาตุของพระพุทธเจ้าผู้มีชนมายุน้อย ไม่เป็นแท่งเดียวกัน ย่อมกระจัดกระจายไป ด้วยอานุภาพแห่งการอธิษฐาน. ด้วยเหตุนั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงอธิษฐานว่า เรา ดารงอยู่ได้ไม่ยั่งยืน เหล่าสัตว์เป็นจานวนน้อยเห็นเรา ที่ไม่เห็นเราจานวนมากกว่า สัตว์เหล่านั้นถือเอาธาตุ ของเราบูชาอยู่ในที่นั้น จักมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น คราวปรินิพพาน ขอสรีรธาตุของเราจง กระจัดกระจายไป. ส่วนพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืน พระสรีรธาตุตั้งอยู่เป็นแห่งเดียวกัน เหมือนแท่งทองคา. พระสรีรธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้พระนามว่ากัสสปะ ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน. แต่นั้น มหาชนก็ประชุมปรึกษากันว่า เราไม่อาจจะแยกพระธาตุที่เป็นแท่งเดียวกันได้ พวกเรา จะทาอย่างไร จึงตกลงกันว่า เราจักทาพระธาตุแท่งเดียวนั้นแล ให้เป็นพระเจดีย์ จะมีขนาดเท่าไหร่. พวก หนึ่งบอกว่า เอา ๗ โยชน์ แต่ตกลงกันว่า นั่นใหญ่เกินไป ใครๆ ไม่อาจจะบารุงได้ในอนาคตกาล เอา ๖ โยชน์ ๕ โยชน์ ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ ๒ โยชน์ ๑ โยชน์ ปรึกษากันว่า จะใช้อิฐเช่นไร ตกลงกันว่า ภายนอกเป็น อิฐแท่งเดียวทาด้วยทองสีแดงมีค่า ๑๐๐,๐๐๐ ภายในมีค่า ๕๐,๐๐๐ ฉาบด้วยหรดาล และมโนสิลาแทนดิน ชะโลมด้วยน้ามันแทนน้า แยกมุขทั้ง ๔ ออกด้านละ ๔. พระราชาทรงรับมุขหนึ่ง ปฐวินธรกุมารราชบุตรรับ มุขหนึ่ง เสนาบดีหัวหน้าอามาตย์รับมุขหนึ่ง เศรษฐีหัวหน้าชาวชนบทรับมุขหนึ่ง. บรรดาชนเหล่านั้น เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ แม้พระราชาให้ขนทองมา ทรงเริ่มงานที่มุข ที่พระองค์รับไว้ ทั้งอุปราชทั้งเสนาบดีก็เหมือนกัน. ส่วนงานที่มุขที่เศรษฐีรับไว้หย่อนไป. ครั้งนั้น อุบาสกคนหนึ่งชื่อยโสธร เป็นอริยสาวกชั้นอนาคามีทรงพระไตรปิฏก รู้ว่าเศรษฐีนั้น ทางานหย่อนไป จึงให้เทียมเกวียน ๕๐๐ เล่มไปในชนบทชักชวนคนทั้งหลายว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระชนม์ ๒๐,๐๐๐ ปี ปรินิพพานนานแล้ว พวกเราจักทารัตนเจดีย์โยชน์หนึ่งของพระองค์ ผู้ใดจะ สามารถจะให้สิ่งใด จะเป็นทองหรือเงิน แก้ว ๗ ประการ หรดาลหรือมโนสิลาก็ตามที ผู้นั้นจงให้สิ่งนั้น. ชนทั้งหลายได้ให้เงินและทองเป็นต้นตามกาลังของตนๆ เมื่อไม่สามารถจะให้ก็ให้น้ามันและ ข้าวสารเป็นต้นเท่านั้น. อุบาสกส่งน้ามันและข้าวสารเป็นต้นเพื่อเป็นอาหารประจาวันแก่กรรมกรทั้งหลาย ที่ เหลือจงใจจะให้ทองส่งไป ได้ป่าวร้องไปทั่วชมพูทวีปด้วยอาการอย่างนี้ . งานที่พระเจดีย์เสร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พวกเขาส่งหนังสือไปจากเจดีย์สถานว่า การงานเสร็จแล้ว ขออาจารย์จงมาไหว้พระเจดีย์. แม้ อาจารย์ก็ส่งหนังสือไปว่า เราชักชวนชมพูทวีปทั่วแล้ว สิ่งใดที่มีอยู่ จงถือเอาสิ่งนั้นทาการงานให้สาเร็จ. หนังสือ ๒ ฉบับมาประจวบกันระหว่างทาง แต่หนังสือจากเจดีย์สถานมาถึงมือของอาจารย์ก่อนหนังสือของ อาจารย์. อาจารย์นั้นอ่านหนังสือแล้วก็คิดว่า จักไหว้พระเจดีย์ ก็ออกไปตามลาพัง. ระหว่างทาง โจร ๕๐๐ ก็ ปรากฏขึ้นที่ดง. บรรดาโจรเหล่านั้นบางพวกเห็นอาจารย์นั้น คิดว่า คนผู้นี้ รวบรวมเงินและทองจากชมพูทวีป ทั้งสิ้น คนทั้งหลายผู้รักษาขุมทรัพย์คงมากันแล้ว จึงบอกแก่โจรที่เหลือแล้ว จับอาจารย์นั้น. อาจารย์ถามว่า พ่อเอ๋ย เหตุไรพวกเจ้าจึงจับเรา. พวกโจรตอบว่า ท่านรวบรวมเงินและทอง
  • 8. 8 ทั้งหมดจากชมพูทวีป ท่านจงให้ทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ แก่พวกเราเถอะ. อาจารย์ถามว่า พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปปรินิพพานแล้ว พวก เรากาลังสร้างพระรตนเจดีย์โยชน์หนึ่งสาหรับพระองค์ ก็ข้าชักชวนเขาเพื่อประโยชน์นั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ ของตน ฉะนั้น จาส่งของที่เก็บไว้ๆ แล้วไปในที่นั้นแหละ ส่วนผ้านอกจากที่นุ่งมา ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นแม้แต่ กากณึกหนึ่ง. โจรพวกหนึ่งกล่าวว่า ข้อนั้นจริงอย่างนั้น ก็จงปล่อยอาจารย์ไปเสีย. โจรพวกหนึ่งกล่าวว่า อาจารย์ผู้นี้ พระราชาก็บูชา อามาตย์ก็บูชา เห็นบางคนในพวกเราที่ถนนพระนคร พึงบอกพระราชาและ มหาอามาตย์ของพระราชาเป็นต้น จะทาให้พวกเราถึงความย่อยยับได้. อุบาสกกล่าวว่า พ่อเอ๋ย ข้าจักไม่ทา อย่างนั้นแน่ ก็ข้อนั้นแล มีด้วยความกรุณาในโจรเหล่านั้น ไม่ใช่มีด้วยความรักในชีวิตของตน. เมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาโจรเหล่านั้นซึ่งกาลังทุ่มเถียงกันว่า ควรจับไว้ ควรปล่อยไป พวกโจร เหล่าที่มีความเห็นว่าควรจับ มีจานวนมากกว่า ก็ฆ่าอาจารย์นั้นเสีย. ดวงตาของโจรเหล่านั้น ก็อันตรธานไป เหมือนประทีปด้ามที่ดับ เพราะผิดในพระอริยสาวกผู้มีพลังคุณ. โจรเหล่านั้นราพันว่า ดวงตาอยู่ไหน ดวงตา อยู่ไหน บางพวกญาติก็นากลับบ้าน บางพวกไม่มีญาติก็กลายเป็นเป็นคนอนาถา เพราะฉะนั้น จึงอาศัยอยู่ที่ บรรณศาลาที่โคนไม้ในดงนั้นเอง. เหล่ามนุษย์ที่มาในดง ก็ให้ข้าวสารบ้าง ห่อข้าวบ้าง เสบียงบ้างแก่โจร เหล่านั้นด้วยความความกรุณา. เหล่ามนุษย์ที่ไปแสวงหาไม้และใบไม้เป็นต้นกลับมากันแล้ว เมื่อถูกถามว่า พวกท่านไปไหนกัน ตอบว่าพวกเราไปป่าคนตาบอด. ป่านั้นปรากฏชื่อว่าอันธวัน ครั้งพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ด้วยประการฉะนี้ . ก็ป่านั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ได้กลายเป็นดงในชนบทที่ร้างไป. แต่ครั้งพระผู้มี พระภาคเจ้าของเรา ได้กลายเป็นเรือนสาหรับทาความเพียร เป็นสถานที่อยู่ของเหล่ากุลบุตรผู้ต้องการความ สงัด อยู่หลังพระเชตวันไม่ไกลกรุงสาวัตถี. สมัยนั้น ท่านกุมารกัสสปก็บาเพ็ญเสกขปฏิปทาอยู่ที่อันธวันนั้น. ท่านจึงอธิบายว่า เมื่อราตรีสิ้นไปแล้ว. ในข้อนั้นพึงทราบว่า เทพบุตรนี้ มาในระหว่างมัชฌิมยาม. จริงอยู่ เทวดาทั้งหลาย เมื่อมาสู่มนุษย์โลกละผิวอย่างปกติฤทธิ์ปกติ ทาอัตตภาพให้หยาบ เนรมิตรผิวเกินปกติ ฤทธิ์เกินปกติ มาด้วยกายที่ปรุงแต่งแล้ว เหมือนมนุษย์ไปสู่ที่ชุมนุมฟ้อนราเป็นต้น. เทพบุตรแม้นี้ ก็มาโดยอาการอย่างนั่นนั้นแล. ได้ยินว่า เทพบุตรได้มีความคิดอย่างนี้ ว่า ผู้นี้ อยู่ในระหว่างกามาวจรภูมิ ส่วนเราเป็นพรหมจารี ตั้งแต่กาลนั้นในเวลานั้น. แม้สมณสัญญาของเทพบุตรนั้นยังปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้น เทพบุตรนั้นจึงไม่ไหว้ กล่าวโดยสมณโวหารอย่างเดียว. ถามว่า ได้ยินว่า เทพบุตรนั้นเป็นบุรพสหายของพระเถระ ตั้งแต่ครั้งไหน. ตอบว่า ตั้งแต่กาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสปะ. จริงอยู่ บรรดาสหายทั้ง ๕ ที่มาในครั้งก่อน สหายนั้นใดที่ท่านกล่าวว่าพระอนุเถระได้เป็นพระ อนาคามี ในวันที่ ๔ สหายนั้นก็คือผู้นี้ . ได้ยินว่า ครั้งนั้นบรรดาพระเถระเหล่านั้น อภิญญากับพระอรหัตต์นั้นแลมาถึงแก่สังฆเถระ.
  • 9. 9 พระสังฆเถระนั้นคิดว่า กิจของเราถึงที่สุดแล้ว จึงเหาะสู่นภากาศ บ้วนปากที่สระอโนดาด รับบิณฑบาตจาก อุตตรกุรุทวีป กลับมาแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุจงฉันบิณฑบาตนี้ อย่าประมาท กระทาสมณธรรม. เหล่าภิกษุ นอกนี้ กล่าวว่า ผู้มีอายุ พวกเราไม่มีกติกาอย่างนี้ ว่า ผู้ใดบังเกิดคุณวิเศษก่อนก็นาบิณฑบาตมา พวกที่เหลือ ฉันบิณฑบาตที่ผู้นั้นนามากระทาสมณธรรม พวกท่านบรรลุที่สุดกิจด้วยอุปนิสสัยของตน ถ้าว่าพวกเราจักมี อุปนิสสัยก็จักบรรลุที่สุดกิจ นั่นเป็นความชักช้าของพวกเราเอง พวกท่านจงไปเถิด. สังฆเถระนั้นไปตามความผาสุก ปรินิพพานเมื่อสิ้นอายุ. วันรุ่งขึ้น พระอนุเถระกระทาให้แจ้งพระอนาคามิผล อภิญญาทั้งหลายก็มาถึงท่าน. แม้ท่านก็นา บิณฑบาตมาเหมือนอย่างนั้นเหมือนกัน ถูกภิกษุเหล่านั้นปฏิเสธ ก็ไปตามความผาสุก เมื่อสิ้นอายุก็บังเกิด ในชั้นสุทธาวาส. พระอนุเถระนั้นครั้นดารงอยู่ในชั้นสุทธาวาสแล้ว ตรวจดูสหายเหล่านั้น ก็เห็นว่า สหายผู้ หนึ่งปรินิพพานในครั้งนั้นแล ผู้หนึ่งบรรลุอริยภูมิในสานักของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยไม่นาน ผู้หนึ่งอาศัย ลาภสักการะเกิดความคิดขึ้นว่า เราเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ท่าเรือชื่อสุปปารกะนั่นแล แล้วเข้าไปหาเขา สั่งเขา ไปด้วยกล่าวว่า ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ยังปฏิบัติไม่ถึงพระอรหัตตมรรค จงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าฟัง ธรรมเสีย. แม้สหายผู้นั้นทูลขอโอวาทกะพระผู้มีพระภาคเจ้าในละแวกบ้าน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาท โดยสังเขปว่า พาหิยะ เพราะฉะนั้นแล เธอพึงศึกษาในสิ่งที่ท่านเห็นแล้ว จงเป็นสักแต่ว่าเห็น ก็บรรลุอริยภูมิ. สหายผู้หนึ่งนอกจากนั้นมีอยู่ เขาตรวจดูว่าอยู่ที่ไหน ก็เห็นว่ากาลังบาเพ็ญเสกขปฏิปทาอยู่ใน อันธวัน จึงคิดว่า เราจักไปยังสานักของสหาย แต่เมื่อไปไม่ไปมือเปล่า ควรจะถือเครื่องบรรณาการบางอย่าง ไปด้วย แต่สหายของเราไม่มีอามิสอยู่บนยอดเขา แต่สหายนั้นจักไม่ฉันแม้บิณฑบาตที่เรายืนอยู่บนอากาศ ถวาย ได้กระทาสมณธรรม บัดนี้ ท่านจักรับอามิสบรรณาการหรือจาเราจักถือธรรมบรรณาการไป แล้วดารง ในพรหมโลกนั่นแล จาแนกปัญหา ๑๕ ข้อเหมือนร้อยรัตนวลีพวงแก้วถือธรรมบรรณาการนั้นมา ยืนอยู่ในที่ ไม่ไกลสหาย ไม่อภิวาทพระเถระนั้นโดยกล่าวด้วยสมณสัญญาเรียกว่า ภิกษุ ภิกษุ กายนั้น ชื่อว่าวัมมิกะ กายอันตัวปลวกคายแล้ว เหตุนั้น จึงชื่อว่าวัมมิกะ. กายอันตัวปลวกก่อขึ้น ด้วยผงฝุ่น ที่ตัวคายยกขึ้นด้วยจะงอยปากประมาณเพียงสะเอวบ้าง ชั่วบุรุษบ้าง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าวัมมิ กะ. กายเมื่อฝนตก ๗ สัปดาห์อันตัวปลวกเกลี่ย เพราะเนื่องด้วยยางน้าลายที่คายออก แม้ในฤดูแล้งมันก็ คายเอาฝุ่นจากที่นั้น บีบที่นั้นให้เป็นกอง ยางเหนียวก็ออก แล้วก็ติดกันด้วยยางเหนียวที่คาย เหตุนั้นจึงชื่อ ว่าวัมมิกะ ฉันใดนั้นแล แม้กายนี้ ก็ฉันนั้น ชื่อว่าวัมมิกะ เพราะคายของไม่สะอาด ของมีโทษและมลทินมี ประการต่างๆ โดยนัยเป็นต้นว่าขี้ตาออกจากลูกตาเป็นต้น และชื่อว่าวัมมิกะ เพราะอันพระอริยเจ้าคายแล้ว เหตุพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะและพระขีณาสพ ทิ้งอัตตภาพไป เพราะหมดความเยื่อใยในอัตตภาพนี้ ชื่อว่าวัมมิกะ เพราะคายหมดทั้งร่างที่ประชุมธาตุ ๔ เหตุที่พระอริยเจ้าคายร่างทั้งหมดที่กระดูก ๓๐๐ ท่อน ยกขึ้นรัดด้วยเอ็น ฉาบด้วยเนื้ อ ห่อด้วยหนังสด ย้อมผิว ลวงสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าวัมมิกะ เพราะผูกด้วยเสน่หา ที่คายเสียแล้ว เหตุกายนี้ ผูกด้วยใยยางคือตัณหาที่พระอริยทั้งหลายคายแล้ว เพราะตัณหาก่อให้เกิดตามพระ บาลีอย่างนี้ ว่า ตัณหาทาคนให้เกิด จิตของคนนั้นย่อมแล่นไป. อนึ่ง สัตว์เล็กๆ มีประการต่างๆ ภายในจอมปลวก ย่อมเกิด ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอนป่วย ย่อมตายตกไปในจอมปลวกนั้นนั้นเอง ดังนั้น จอมปลวกนั้นจึงเป็นเรือนเกิด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาลและ
  • 10. 10 เป็นสุสานของสัตว์เล็กๆ เหล่านั้นฉันใด กายแม้ของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้นก็ฉันนั้น เหล่าสัตว์ที่อาศัย ผิวหนัง เนื้ อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก มิได้คิดว่า กายนี้ ถูกคุ้มครองรักษาแล้ว ประดับตกแต่งแล้ว เป็นกาย ของผู้มีอานุภาพใหญ่ รวมความว่า หมู่หนอนโดยการนับตระกูลมีประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตระกูล ย่อมเกิด ย่อม ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นอนกระสับกระส่าย เพราะความป่วยไข้ ตายตกคลักอยู่ในกายนี้ เอง เหตุนั้น จึงนับได้ ว่าเป็นจอมปลวก เพราะเป็นเรือนคลอด เป็นส้วม เป็นโรงพยาบาลและเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คาว่า วัมมิกะ นี้ เป็นชื่อของกายนี้ ที่เกิด จากมหาภูตทั้ง ๔. กายนี้ ชื่อว่ามีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา เพราะอรรถาว่ามีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่ามีการฉาบทาเป็น ธรรมดา เพราะฉาบทาด้วยหนังบางเพื่อประโยชน์แก่การกาจัดกลิ่นเหม็น ชื่อว่ามีการนวดฟั้นเป็นธรรมดา เพราะมีการนวดฟั้นเล็กๆ น้อยๆ เพื่อประโยชน์แก่การบรรเทาความเจ็บป่วยทางอวัยวะน้อยใหญ่. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามีการประคบประหงมเป็นธรรมดาโดยการหยอดยาตาและบีบเป็นต้น เพื่อ ความสมบูรณ์แห่งทรวดทรงแห่งอวัยวะเหล่านั้นที่ตั้งอยู่ไม่ดี โดยให้นอนอยู่บนขาให้นอนแต่ในห้องในเวลา เป็นเด็ก. อธิบายว่า แม้ถึงจะถูกประคบประหงมอยู่อย่างนี้ ก็ยังมีอันแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา กายมีสภาพอย่างนี้ . ความโกรธเป็นดังควันไฟ โทษของโจรกรรมเป็นดังเถ้า. เป็นไปในตัณหา ในคานี้ ว่า สัตว์ ทั้งหลายมีตัณหาดังควันไฟ. เป็นไปในวิตก ได้ในคานี้ ว่า สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งนั่งตรึกดังควันไฟในที่ไม่ไกล พระผู้มีพระภาคเจ้า. เล่ากันมาว่า พราหมณ์ชาวชนบทคนหนึ่งออกจากบ้านแต่เช้าตรู่พร้อมด้วยเหล่ามาณพ ตอน กลางวันสอนมนต์ในป่า ตอนเย็นก็กลับบ้าน. ระหว่างทางมีจอมปลวกจอมหนึ่ง จอมปลวกนั้นกลางคืนเป็น ควัน กลางวันเป็นไฟ พราหมณ์จึงพูดกะสุเมธมาณพศิษย์ว่า พ่อเอ๋ย จอมปลวกนี้ กลางคืนเป็นควัน กลางวัน เป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอมปลวกนั้น เจ้าจงทาลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน ทิ้งไป. ศิษย์นั้นก็รับคา จับจอบใช้ ๒ เท้าเหยียบเสมอกันยืนหยัดที่พื้นดินแล้วได้กระทาอย่างนั้น. ใน ๒ อาจารย์และศิษย์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนพราหมณ์ผู้อาจารย์ เสกขภิกษุ เปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์ กายเปรียบเหมือนจอมปลวก เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงแบ่งกายที่เกิดแต่มหาภูตรูปทั้ง ๔ ส่วน กาหนดถือเอาเป็นอารมณ์ ก็เปรียบเหมือนเวลาที่พราหมณ์ผู้ อาจารย์กล่าวว่า พ่อเอ๋ย จอมปลวกนี้ กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอม ปลวกนั้น เจ้าจงทาลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วทิ้งไป. พึงทราบกาหนดกายสาหรับเสกขภิกษุโดยกาหนดธาตุ ๔ เป็นอารมณ์ อย่างนี้ คือ ความที่กาย เป็นของแข้น ๒๐ ส่วนจัดเป็นปฐวีธาตุ. ความที่กายเอิบอาบ ๑๒ ส่วนจัดเป็นอาโปธาตุ. ความที่กายอบอุ่น ๔ ส่วนจัดเป็นเตโชธาตุ. ความที่กายเคลื่อนไหว ๖ ส่วนจัดเป็นวาโยธาตุ. เปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์ รับคาแล้วจับจอบแล้วกระทาอย่างนั้น. ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอวิชชาชื่อว่ากลอนเหล็ก
  • 11. 11 ตอบว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อปิดประตูพระนคร ใส่ลิ่มสลัก มหาชนก็ขาดการไป เหล่าชนที่อยู่ ภายในพระนครก็คงอยู่ภายในนั้นเอง พวกที่อยู่ภายนอกพระนครก็อยู่ภายนอกฉันใด กลอนเหล็กคืออวิชชา ตกไปในปากคือญาณของผู้ใด การไปคือญาณที่ให้ถึงพระนิพพานของผู้นั้นก็ขาด. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระ ภาคเจ้าทรงแสดงอวิชชาให้เป็นดังกลอนเหล็ก. ขึ้นชื่ออึ่งที่พองขึ้นไม่ใหญ่ประมาณเท่าหลังเล็บอยู่ในระหว่างใบไม้เก่าๆ ในระหว่างกอไม้ หรือ ระหว่างเถาวัลย์ มันถูกปลายไม้ปลายเถาวัลย์หรือละอองฝุ่นเสียดสีขยายออกมีปริมณฑลใหญ่ ขนาดเท่าแว่น มะตูม ๔ เท้าขวักไขว่ในอากาศขาดการไป (เดินไม่ได้) ตกอยู่ในอานาจของศัตรู เป็นเหยื่อของกาและนกเค้า เป็นต้นฉันใด ความโกรธนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเกิดขึ้นคราวแรกก็เป็นเพียงความขุ่นมัวแห่งจิตเท่านั้น ไม่ ถูกข่มเสียในขณะนั้นก็ขยายให้ถึงการหน้านิ้ วคิ้วขมวด ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงคางสั่น ไม่ถูกข่มเสียใน เวลานั้นก็ให้ถึงการเปล่งวาจาหยาบ ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ก็ให้ถึงการมองไม่เห็นทิศ ไม่ถูกข่มเสียในเวลา นั้น ให้ถึงการยื้อกันมายื้อกันไป ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงการจับมือ ก้อนดิน ท่อนไม้และศาสตรา ไม่ ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการประหารด้วยท่อนไม้ และศาสตรา ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการฆ่าผู้อื่น บ้าง ฆ่าตัวเองบ้าง. สมจริงดังคาที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความโกรธนี้ ฆ่าผู้อื่นแล้ว ฆ่าตนเพียงใด ความโกรธเพียงนี้ ก็จะหนาแน่นยิ่งขึ้น กาเริบเสิบสาน อย่างยิ่ง. ในข้อนั้น เมื่อเท้าทั้ง ๔ ของตัวอึ่งขวักไขว่ในอากาศ ก็ขาดการไป (เดินไม่ได้) ตัวอึ่งก็ตกอยู่ใน อานาจของศัตรู เป็นเหยื่อของสัตว์มีกาเป็นต้นฉันใด บุคคลผู้ตกอยู่ในอานาจของความโกรธก็ฉันนั้น เหมือนกัน ไม่สามารถจะกาหนดกัมมัฏฐานให้ขยายไปได้ ตกอยู่ในอานาจของศัตรู เป็นผู้อันปวงมารพึงทา ได้ตามความปรารถนา. บุรุษผู้มีทรัพย์โภคะ เดินทางไกลอันกันดาร ถึงทาง ๒ แพร่ง ไม่อาจตัดสินใจว่า ควรไปทางนี้ หรือไม่ควรไปทางนี้ หยุดอยู่ในที่นั้นนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่าโจรปรากฏตัวขึ้นมาก็จะทาผู้นั้นให้ถึง ความย่อยยับฉันใด ภิกษุผู้นั่งกาหนดกัมมัฏฐานเบื้องต้นก็ฉันนั้นนั่นแล เมื่อเกิดความสงสัยในพระพุทธเจ้า เป็นต้นก็ไม่อาจเจริญกัมมัฏฐานได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ปวงมารมีกิเลสมารเป็นต้นย่อมทาภิกษุนั้นให้ถึงความ ย่อยยับ วิจิกิจฉาจึงเสมอด้วยทาง ๒ แพร่งด้วยประการฉะนี้ . เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คาว่า ทาง ๒ แพร่งนี้ เป็นชื่อของ วิจิกิจฉา. เมื่อช่างย้อมใส่น้าลงในหม้อกรองน้าด่าง หม้อน้า ๑ หม้อ ๒ หม้อบ้าง ๑๐ หม้อบ้าง ๒๐ หม้อ บ้าง ๑๐๐ หม้อบ้างก็ไหลออก น้าแม้ฟายมือเดียวก็ไม่ขังอยู่ฉันใด กุศลธรรมภายในของบุคคลผู้ ประกอบด้วยนีวรณ์ ย่อมไม่ตั้งอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน. เต่ามีอวัยวะ ๕ คือ เท้า ๔ ศีรษะ ๑ ฉันใด สังขตธรรมทั้งหมด เมื่อรวบรัดก็มีขันธ์ ๕ เท่านั้นฉัน นั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คาว่า เต่านี้ เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕.
  • 12. 12 เอาเนื้ อวางบนเขียง เอามีดสับฉันใด สัตว์เหล่านี้ เมื่อถูกกามกิเลสกระทบ เพื่อประโยชน์แก่ทา ไว้บนวัตถุกาม ถูกกิเลสกามตัดสับก็ฉันนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คาว่า เขียงมีด นี้ เป็นชื่อของกามคุณทั้ง ๕. ขึ้นชื่อว่าชิ้นเนื้ อนี้ คนเป็นอันมากปรารถนากันแล้ว ทั้งเหล่ามนุษย์มีกษัตริย์เป็นต้น ทั้งสัตว์ ดิรัจฉานมีกาเป็นต้น ต่างปรารถนามัน สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยอวิชชา อาศัยความกาหนัดด้วยอานาจ ความเพลิดเพลิน ต่างก็ปรารถนาวัฏฏะ ชิ้นเนื้ อย่อมติดอยู่ในที่วางไว้ๆ ฉันใด สัตว์เหล่านี้ ถูกความกาหนัด ด้วยอานาจความเพลิดเพลินผูกไว้ก็ติดอยู่ในวัฏฏะ แม้ประสบทุกข์ก็ไม่เบื่อฉันนั้น ความกาหนัดด้วยอานาจ ความเพลิดเพลินย่อมเสมือนชิ้นเนื้ อด้วยประการฉะนี้ . ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุ คาว่า ชิ้นเนื้ อ นี้ เป็นชื่อของความกาหนัดด้วยอานาจความเพลิดเพลิน. ท่านจงกระทาการนอบน้อมพระพุทธนาคผู้พระขีณาสพว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสรู้แล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อความรู้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงฝึกแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก พระผู้มีพระ ภาคเจ้าพระองค์นั้นสงบแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงข้ามแล้ว แสดง ธรรมเพื่อข้าม พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดับสนิทแล้ว แสดงธรรมเพื่อดับสนิท. พระสูตรนี้ ได้เป็นกัมมัฏฐานของพระเถระด้วยประการฉะนี้ ฝ่ายพระเถระทาพระสูตรนี้ แลให้เป็น กัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต์. จบอรรถกถาวัมมิกสูตรที่ ๓ -----------------------------------------------------