More Related Content Similar to การพัฒนาระบบความคิดเพื่อการสื่อสาร (20) การพัฒนาระบบความคิดเพื่อการสื่อสาร2. 2
การพัฒนาระบบความคิดเพื่อการสื่อสารอย่างเป็นองค์รวม
ความเป็นมาของปัญหา
เป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจุบันปัญหาที่ผู้คนต้องเผชิญกันส่วนใหญ่ประเด็นหนึ่งนั้นเกิดจากการคิดและ
กระทำอย่างแยกส่วน ความคิดและการกระทำมักไม่มีความสัมพันธ์เชิงตรรกะ เป็นความคิดจากความคุ้นเคยที่
ผนวกกับประสบการณ์จากสภาวะแวดล้อมของการรับรู้ระดับปัจเจกบุคคล ส่วนการกระทำมักโน้มนำด้วย
อารมณ์และจินตนาการที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานตามหลักของธรรมชาติที่ทุกอย่างเกี่ยวข้องกันข้อเขียนต่อไปนี้มุ่ง
ให้แง่คิดและวิธีการพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหลายที่จะนำมาสังเคราะห์ให้เข้าใจได้อย่างเป็นรูปธรรม การบอก
เล่าเรื่องราวต่างๆในรูปของเรียงความจะต้องอยู่ในกรอบของความเป็นหนึ่งเดียวกัน ผู้ที่รับรู้เรื่องราว(reader)
จึงจะสามารถสื่อสารได้ตามเจตนารมณ์ของผู้ส่งสาสน์
แนวคิดองค์รวม
แนวคิดองค์รวม (Holistic approach) หรือที่บางครั้งเรียกว่า แนวคิดระบบ (System approach)
และแนวคิดการหน้าที่ (Functionalism) คือ แนวคิดพื้นฐานในการทำความเข้าใจเรื่องราวของมนุษย์กับสิ่งที่
มนุษย์ได้สร้างสรรค์ไว้ แนวคิดดังกล่าวมีสาระอยู่ที่ว่าสิ่งทั้งหลายในโลกล้วนสัมพันธ์กันเป็นความสัมพันธ์ทั้งใน
เชิงเกื้อกูลและแก่งแย่งแข่งขัน ได้มีความพยายามที่จะนำแนวคิดซึ่งเป็นดั่งปรัชญานามธรรมนี้ไปอธิบาย
เปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆที่เป็นรูปธรรมสามารถสัมผัสได้หลากหลายเช่น ในแง่ของสถาปัตยกรรมอาจพิจารณาที่
อาคารบ้านเรือน ก็จะพบว่าอาคารบ้านเรือนล้วนมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆที่โยงยึดแบกรับน้ำหนัก
ซึ่งกันและกันตามหน้าที่ของแต่ละส่วนไม่ว่าจะเป็นเสา พื้น รอด ขื่อ แป หน้าจั่ว หลังคา หน้าต่าง และประตู
ฯลฯ นักชีววิทยาอธิบายแนวคิดองค์รวมด้วยด้วยการหยิบยกร่างกายมนุษย์มาเป็นตัวอย่างโดยเน้นให้เห็นว่า
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ 32 ประการ อวัยวะแต่ละส่วนทำหน้าเฉพาะที่ต้องสอดคล้องกับ
อวัยวะส่วนอื่นๆ ชีวิตมนุษย์จึงดำรงอยู่ได้ ตามนัยของแนวคิดเช่นนี้เมื่อพิจารณาวัฒนธรรมเช่นการแสดงหนัง
ใหญ่จะซึ่งจะประกอบด้วยตัวหนัง (ที่ปรุจากหนังวัว) คนเชิด คนพากย์ คนให้แสงหลังฉาก นักดนตรีที่บรรเลง
ในวงปีพาทย์ อันได้แก่คนเป่าปี่ คนตีกลองใหญ่ คนตีตะโพน คนตีระนาด คนตีฆ้องวง และคนตีฉิ่ง ตลอดทั้ง
ผู้ชมที่ช่วยเพิ่มความคึกคักเป็นกำลังใจให้กับการแสดง ณ ขณะนั้น ฉันท์ใดก็ตามประดิษฐกรรมที่เรียกว่า
รถยนต์จะขับเคลื่อนใช้งานได้ก็ต้องมีส่วนประกอบหลักๆ นับตั้งแต่เครื่องยนต์ แบตเตอร์รี่ หม้อน้ำ ไดชาร์จ ได
สตาร์ท ล้อ ลูกหมาก คันชัก คันส่ง เกียร์ เบรก คัช เพลา โช๊ค ตัวถัง น้ำมัน(เชื้อเพลิง) ประตูข้างทั้งหน้าและ
หลัง ฝากระโปรงและคอมแอร์(กรณีรถติดเครื่องปรับอากาศ) ฯลฯ การที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกสัมพันธ์กัน
3. 3
ดังตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นเช่นนี้ย่อมหมายความว่าหากส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบโครงสร้างนั้นขาดหายไป
หรือไม่อาจดำเนินการได้อย่างที่เคยเป็นมาสภาพเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบให้ส่วนอื่นๆ ของระบบเดียวกันนั้นไม่
สามารถทำหน้าที่ได้ดังเดิม ทุกๆส่วนของระบบเดิมต้องปรับผันกันใหม่เพื่อให้ระบบใหญ่ (องค์รวมเดิม)
ขับเคลื่อนต่อไปได้ รถคันใหม่ดูหรู เครื่องแรงแต่คงเคลื่อนที่ไม่ได้หากไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิงหรือระหว่างวิ่งบน
ถนนบังเอิญเบรกแตกหรือยางระเบิดทุกอย่างก็จบสิ้น มนุษย์โดยทั่วไปก็เช่นกันที่ จะมีความรู้ความสามารถ
หลากหลายที่โยงใยอาศัยพึ่งพากันได้ในวาระต่างๆโดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะอย่างเช่น ลีโอนาร์โด
ดาวินชี่ ที่เริ่มมีประสบการณ์จากการเป็นลูกมือให้กับจิตรกรเวอร๊อคชิโอ ด้วยความเป็นคนช่างสังเกตและชอบ
ทดลองสิ่งใหม่ๆ ดาวินชี่ได้พัฒนาความสามารถโดดเด่นเกินกว่าศิลปินคนใด ดาวินชี่เชื่อว่าความสัมพันธ์
ระหว่างศิลปะและคณิตศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าพึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะยกสถานภาพของงานจิตรกรรมจากงาน
ฝีมือไปสู่ความเป็นเลิศทางเชาว์ปัญญา จึงให้ความสนใจที่จะนำวิธีทางคณิตศาสตร์มาใช้ในงานสร้างสรรค์งาน
ศิลปะเป็นที่สุดก่อนสร้างสรรค์งานศิลปะดา วินชี่จะศึกษากายวิภาคของของสิ่งนั้นว่ามีขนาดสัดส่วนเล็กใหญ่
ตามความเป็นจริงเท่าไร จึงพบว่างานจิตรกรรมและประติมากรรมของดาวินชี่มีสัดส่วนเหมือนจริงตาม
ธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็มีความงามที่สะท้อนผ่านจินตนาการด้วยความสามารถที่หลากหลายดาวินชี่จึงได้รับ
การยกย่องให้เป็นทั้งศิลปินเอกของโลกท่านหนึ่ง เป็นนักคิดวิทยาศาสตร์ เป็นนักกายวิภาควิทยา เป็นนักวางผัง
เมืองและเป็นวิศวกรผู้เกิดก่อนยุคสมัย นอกจากนี้ยังได้ออกแบบเครื่องกลไกที่ใช้ในการสงครามและออกแบบ
วิธีการแสดงละคร ผลงานศิลปะประเภทภาพจิตรกรรมที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังคือ ภาพโมนาลิซ่า และภาพเดอะ
ลาสซับเปอร์(อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู)
ข้อคิดพิจารณาเพื่อเตรียมการเขียน
การพัฒนาระบบความคิดเพื่อการสื่อสารก็เช่นกันที่จะต้องดำเนินการอย่างเป็นองค์รวมในลักษณะ
คล้ายกับตัวอย่างต่างๆข้างต้น กล่าวคือต้องเป็นไปตามหลักการพื้นฐานของการเขียนเรียงความ
(essay writing) ซึ่งมีโครงสร้างที่ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ส่วนนำ ส่วนของเนื้อเรื่อและส่วนสรุปการเขียน
เรียงความเป็นหัวใจของการศึกษา ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ต้องเขียนเรียงความด้วยการเขียนเรียงความเป็นเครื่อง
พิสูจน์ว่าผู้เรียนสามารถนำทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนรู้มาถักทอ(integrate)ให้เป็นหนึ่งเดียวที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
อย่างมีเหตุผล ในบรรดาศาสตร์ 3 กลุ่มใหญ่ๆคือมนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์นั้นเห็นได้ชัดว่า
การศึกษาทางมนุษย์ศาสตร์ต้องสื่อสารผลสรุปรวบยอดในการศึกษาเล่าเรียนด้วยการเขียนเรียงความ กระนั้น
นักสังคมศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์อย่างวิศวกรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเขียนเรียงความเพื่อนำเสนอผลงานของ
ตนต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้ หากผู้ศึกษาไม่สามารถเขียนเรียงความที่ดีได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสอบไล่นั่นก็
4. 4
หมายความว่าไม่ประสบความสำเร็จในการเล่าเรียนสาขานั้นๆ นักศึกษาบางรายไม่ประสบความสำเร็จในการ
เรียนทั้งๆที่มีศักยภาพอยู่ก็เพียงเพราะไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานของการเขียนเรียงความ ระหว่างเรียนก็อาจจะ
ตามทันแต่พอจะต้องเขียนหนังสือเพื่อเสนอความเข้าใจรวบยอดก็ไม่อาจทำได้ การพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ทราบยัง
ไม่เพียงพอ(แม้ว่าการพูดคุยอาจเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งของขบวนการเรียนรู้)ผู้ศึกษายังต้องสามารถเขียนและ
โต้แย้งประเด็นต่างๆในงานเขียนได้อย่างชัดเจนทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการค้นคว้าวิจัยที่เหมาะสมต่อจากนั้นก็
จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เข้าใจและแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่จะใช้สิ่งที่รู้นั้น
นักศึกษาจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในระดับมหาบัณฑิตเป็นต้นไปจำเป็นที่จะต้องเขียน
วิทยานิพนธ์ อาจจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวและหนักใจมากถ้าไม่คุ้นเคยกับการเขียนบางคนอาจจะดูเหมือนว่ามี
พรสวรรค์ในการเขียนและสามารถเขียนได้อย่างดีโดยไม่ต้องคิดถึงกระบวนการเขียนแต่คนส่วนใหญ่จำเป็นต้อง
อุทิศเวลาและแรงกายเพื่อการเขียนที่ดีเกือบทุกคนสามารถที่จะพัฒนาการเขียนได้อย่างเห็นได้ชัดความชำนาญ
ในการเขียนเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนและถ่ายทอดให้กันได้ ความชำนาญในการเขียนอย่างกระจ่างชัดอีกทั้งความ
ชำนาญในการพัฒนาการเขียนและความชำนาญในการสนับสนุนข้อโต้แย้งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการเขียน
ความรู้เชิงวิชาการ
การเขียนก็คือการคิดหมายความว่าการเขียนเรียงความไม่ใช่การลอกข้อมูลจากแหล่งใดแหล่งหนึ่ง
บางคนอาจรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนได้เลยถ้าหากไม่ได้มีเรียงความที่วางแผนไว้ในความคิดอย่างสมบูรณ์แล้วการ
คิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องเพราะสำหรับผู้คนส่วนใหญ่การลงมือเขียนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ก่อนที่จะเขียนสิ่งใดก็ควรที่
จะต้องมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องค้นคว้าประเด็นปัญหาดังกล่าวจากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่
หลากหลาย
การเตรียมตัวเพื่อการเขียน
จุดประสงค์ของการเขียนก็เพื่อความเข้าใจและหนทางที่เร็วที่สุดและดีที่สุดที่จะนำไปสู่จุดประสงค์
ดังกล่าว ก็คือการใช้ภาษาที่ชัดเจนและแน่นอนซึ่งก็ไม่เป็นเรื่องยากถ้าจะลองติดตามหลักการการเขียนที่จะ
แนะนำในตอนต่อไปนี้
ทราบข้อความที่ต้องการสื่อ
สิ่งสำคัญประการแรกในการเขียนก็คือ ผู้เขียนต้องถามตัวเองว่าต้องการจะสื่ออะไรให้ผู้อ่านทราบ
ฉะนั้นก่อนที่จะเขียนจึงต้องคิดถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อทั้งหมดที่จะให้ผู้รับสาสน์ได้ทราบอย่างกระจ่างชัดตรงตาม
6. 6
การพัฒนาสาสน์ที่จะส่ง
เคล็ดลับในการเขียนอย่างสัมฤทธิ์ผลคือการรู้อย่างแน่ชัดว่าต้องการจะบอกอะไรให้กับผู้รับสาสน์
ก่อนที่จะเริ่มลงมือเขียน หมายถึงการเริ่มต้นที่องค์ประกอบหลักๆของสาสน์โดยการถามคำถามเบื้องต้นบาง
ประการเช่น
• ต้องการจะบอกอะไรแก่ผู้รับสาสน์
• ต้องการจะทำอะไรให้สำเร็จกับสาสน์นี้
• ต้องการให้ผู้รับสาสน์ตอบโต้อย่างไร
• ต้องการให้ผู้รับสาสน์ทำอะไรหลังจากการติดต่อสื่อสารกันแล้ว
จากนั้นก็พัฒนาสาสน์ดังกล่าวให้มีรูปร่างโดยการพิจารณาอย่างใกล้ชิดถึงแรงกระตุ้นในการเขียนถาม
ตัวเองว่าต้องการจะให้สาสน์นั้นสัมฤทธิ์ผลในเรื่องใดต้องการจะบอกเล่าแก่ผู้รับสาสน์หรือเปล่า ข้อมูลข่าวสาร
อะไรที่ต้องการจะให้แก่ผู้รับสาสน์ ต้องการจะชักจูงผู้รับสาสน์หรือเปล่า สาสน์ที่ส่งออกไปจะกระตุ้นผู้รับให้มี
ท่าทีอย่างไร
เนื่องจากสาสน์ที่เขียนส่วนใหญ่จะเป็นการบอกเล่าหรือโน้มน้าวบางครั้งอาจจะต้องกระตุ้น ดังนั้นการ
คำนึงถึงสิ่งเล็กๆน้อยๆต่อไปนี้อาจจะช่วยให้สาสน์ที่จะส่งออกไปตรงใจผู้รับสาสน์ยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงควรมีความแน่
ชัดอย่างมากดังตัวอย่างที่คิดเกี่ยวกับข่าวสารและเขียนเป็นประโยคเดี่ยวๆ
• ท่านสามารถประหยัดเงินได้ถึง 4,500 ต่อเดือนถ้าใช้บริการฝากเงินของเรา
• ซื้อเครื่องกรองน้ำของเรารุ่น NB 401
• โปรดส่งข้อมูลที่สมบูรณ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ชนิดพกพา (Notebook) รุ่น L15 Wicker
Whacker
• ขอแนะนำให้ลงทุนกับเรา 2.5 ล้านในเครือข่ายผลิตภัณฑ์อย่างใหม่
• ต้องการคนงานเพื่อทำงานสายประกอบงานเป็นชายจำนวน 40 อัตรา และหญิง 30 อัตรา
จากนั้นนำข้อมูลข้างต้นมากลั่นกรองให้เป็นสาสน์หลักเพียงหนึ่งเดียว การใช้ประโยคที่แจ่มชัดจะช่วย
ให้เริ่มเขียนอย่างมีเป้าหมาย หมายความว่ากำลังจะเขียนในขั้นต่อไปจากตำแหน่งที่เจาะจงเอาไว้ และเมื่อ
เขียนเสร็จก็จะเป็นสาสน์ที่มีน้ำหนักชัดเจนอีกทั้งยังกระชับกว่าสาสน์ที่ไม่ได้เขียนด้วยขั้นตอนเช่นนี้
เพื่อการฝึกฝนที่ดีควรอ่านข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่อย่างหลากหลาย ก็จะพบว่าในสาสน์แต่ละอันมีแก่นอยู่
ด้วยกันทั้งนั้นและให้ลองพิจารณาต่อไปว่าสาสน์นั้นควรจะเป็นอย่างไร สาสน์แต่ละอันนั้นชัดเจนหรือไม่ สาสน์
นั้นบิดเบือนหรือเปล่า สาสน์นั้นพูดเกินความจริงหรือไม่ สาสน์นั้นสมบูรณ์หรือไม่
7. 7
คราวนี้ก็ได้ทราบแล้วว่า1ต้องการจะสื่อสารอะไร2ใครคือผู้ที่ต้องการจะสื่อสารด้วย 3จุดสำคัญของสิ่ง
ที่จะกล่าวถึงในสาสน์คืออะไรและ4ต้องการจะให้บังเกิดความสำเร็จในเรื่องใด ถ้าพิจารณาการเขียนเสมือนเป็น
การสนทนาสองทางแล้วการเขียนก็จะง่ายกว่าแลได้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ดีกว่า การเขียนในแนวทางที่กล่าวมาจะ
ช่วยให้ผู้เขียนได้ใช้น้ำเสียงและน้ำหนักที่ถูกต้อง จงทำให้การเขียนนั้นเป็นเช่นการสนทนาตัวต่อตัวระหว่างผู้ส่ง
สาสน์และผู้รับสาสน์
ใช้ความกระจ่างชัด และลำดับที่มีเหตุผลต่อกัน
เมื่อเริ่มคิดเกี่ยวกับการเขียนผู้เขียนก็จะมีแนวความคิดบางอย่างอยู่ในใจ การบันทึกย่อข้อมูลบาง
ประการก็จะเป็นการฝึกที่ดี
เขียนใจความสำคัญต่างๆของสาสน์ตามลำดับที่เป็นเหตุเป็นผลกันที่สุด การใส่ตำแหน่งใจความสำคัญ
หลักและใจความสำคัญรองดังตัวอย่างในเค้าโครงข้างล่างก็จะช่วยให้เห็นภาพความต่อเนื่องของประเด็นที่จะ
เขียนบางคนอาจจะใส่ความคิดหลักๆของตนลงในคอมพิวเตอร์หรือเขียนลงในสมุดบันทึกแต่ต้องเริ่มคิด
เกี่ยวกับการจัดระเบียบข้อมูลที่มีอยู่และจัดหัวเรื่องอย่างเป็นระเบียบและเป็นเหตุผลกันมากที่สุด จากนั้นจึง
แยกเป็นประเด็นย่อยโดยคำนึงถึง 1.ความสัมพันธ์กับข้อมูลและความสัมพันธ์กับภูมิหลังผู้รับสาสน์ 2.จัดลำดับ
เค้าโครงตามแนวทางที่ผู้รับสาสน์ส่วนใหญ่มักคิดถึงเรื่องนั้นๆหรือ 3.จัดลำดับเรื่องที่จะเขียนให้สัมพันธ์กัน
ตามลำดับก่อนหลังโดยการจัดระเบียบความคิดบนพื้นฐานว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้รับสาสน์จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับเนื้อ
เรื่องดังกล่าวและโดยการจัดระเบียบความคิดบนพื้นฐานว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะให้ผู้รับสาสน์ทำ
หลังจากอ่านสาสน์ที่สื่อแล้ว ผู้เขียนจะทำงานได้ง่ายมากขึ้นจากนั้นให้ย้อนกลับไปดูข้อความที่กำหนดไว้ การ
กระทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้เขียนไม่ออกนอกลู่นอกทางประเด็นต่างๆที่จะเขียนควรจะเชื่อมโยงกันภายใต้ส่วน
ต่างๆดังต่อไปนี้
ส่วนนำ/ระบุจุดประสงค์
เหตุใดจึงเขียนสาสน์นี้และ/หรือกำลังเขียนเกี่ยวกับอะไร
ภูมิหลัง/การอธิบาย
ใช้ประเด็นย่อยกำหนดขั้นตอนเพื่อการสื่อสาร
ถกเถียง/ข้อเสนอ
ทำให้การเขียนครั้งนี้มีการอภิปรายโต้แย้ง
9. 9
• การพิจารณาจากหลักทั่วไปสู่เรื่องเฉพาะ การพิจารณาจากความเฉพาะไปสู่หลักทั่วไป
(Deduction) (Induction)
• เหตุและผล ลำดับของความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้น
• ลำดับความสำคัญที่ลดลง
คิดระหว่างเขียนด้วยว่าการใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่งประกอบจะทำให้สาสน์ชัดเจนกว่าและน่าสนใจยิ่งขึ้น
ขยายเนื้อหาในเค้าโครง
จงจำอยู่เสมอว่าเค้าโครงที่มีน้ำหนักย่อมช่วยให้ผู้เขียนเริ่มต้นเขียนได้อย่างมีกรอบคล้ายกับแผนที่บอก
ทางความซับซ้อนของสาสน์ผู้รับสาสน์และวิธีทำงานของผู้เขียนจะคอยกำกับเมื่อเขียนเค้าโครงเรื่องเสร็จ
สมบูรณ์และจำไว้ด้วยอีกเช่นกันว่าไม่จำเป็นจะต้องดำเนินงานตามลำดับเสมอไป บางขั้นตอนที่สำคัญใน
กระบวนการเขียนอาจจะทำกลับไปกลับได้เช่น ระหว่างตอนทำเค้าโครงผู้เขียนอาจะเริ่มเขียนบางส่วนของ
สาสน์นั้นได้และข้ามไปเขียนขั้นตอนถัดไป จากนั้นจึงย้อนกลับมาเขียนส่วนก่อนหน้าของสิ่งที่จะสื่อสารนั้น
ทำการวิจัยค้นคว้าให้เสร็จสมบูรณ์
การจะเขียนสาสน์ใดๆก็ตามจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยผู้เขียนอาจจะ
ดูบันทึกต่างๆซึ่งทำไว้ระหว่างเขียนเค้าโครงผู้เขียนอาจต้องสัมภาษณ์คนอื่นๆเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงปัจจัยนำเข้า
(Input)นอกจากนี้ยังอาจต้องค้นงานวิจัยที่พิมพ์เผยแพร่แล้วและข้อมูลเอกสารที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์หรือบางกรณี
ผู้เขียนอาจต้องสำรวจหรือพัฒนาแบบสอบถามเพื่อเป็นเครื่องมือหาข้อเท็จจริงทำให้แน่ใจว่าการวิจัยนั้น
ละเอียดลออและถ้าผู้เขียนพัฒนาเครื่องมือการวิจัยเช่น แบบสำรวจก็ต้องใช้ความระมัดระวังสร้างเครื่องมือ
วิจัยที่จะช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงวัตถุวิสัยและมีเหตุผล
ผู้เขียนอาจจำเป็นต้องจัดสาสน์ลงในรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้เช่นนำเสนอสาสน์ในรูปของ
• รายงานอย่างเป็นทางการ
• รายงานอย่างไม่เป็นทางการ
• บันทึก
• ข้อเสนอ
• จดหมาย
หลังจากเลือกแบบที่จะบรรจุสาสน์แล้วจากนี้ก็เริ่มเขียนร่างแรกของสาสน์
11. 11
การทำสาสน์ให้กระจ่างชัด
เป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อมโยงอะไรก็ตามที่เขียนแต่ในการทบทวนผู้เขียนต้องพินิจพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
ถามตัวเองว่าแต่ละคำมีความหมายที่แท้จริงหรือไม่ แต่ละคำมีหน้าที่ที่สำคัญหรือไม่ ถ้าได้คำตอบว่า “ไม่”ก็ให้
ตัดคำเหล่านั้นออก การกำจัดถ้อยคำที่ไม่จำเป็นในสาสน์เป็นงานหนักที่น่าเบื่อจึงต้องใช้ความพยายามที่แท้จริง
และความสันโดษอย่างที่มืออาชีพทำด้วยต้องอาศัยสมาธิเป็นหลัก
การทำสาสน์ให้สื่อสารได้ง่ายเพื่อผู้อ่านทั่วๆไป
ใช้คำง่ายๆถ้าคำนั้นเหมาะสม ใช้ศัพท์ทางเทคนิคเมื่อศัพท์เหล่านั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเมื่อผู้อ่าน
ทราบความหมายของคำเหล่านั้นและเมื่อศัพท์ทางเทคนิคดังกล่าวตรงไปตรงมาและแน่ชัดที่สุดนั่นไม่ได้
หมายความว่าสิ่งที่เขียนนั้นจะน่าเบื่อหน่ายหรือง่ายเกินไปงานเขียนที่ดีจะต้องมีน้ำหนัก ชัดเจน และเข้าใจได้
ง่าย
การทำสาสน์ให้สื่อกับผู้รับอย่างเป็นกันเอง
การเขียนที่เป็นกันเองกับผู้อ่านหมายถึงการเขียนที่ชัดเจนตรงไปตรงมานอกจากนี้ยังหมายถึง
รูปลักษณ์ของสาสน์ที่สามารถสื่อสารได้และเชื้อเชิญให้ผู้อ่านได้เข้ามาสัมผัสใช้กระดาษสีขาวเพื่อเขียนสาสน์จะ
ทำให้ดูเป็นมิตรและง่ายที่จะอ่านและใช้หัวข้อต่างๆเพื่อให้ดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านการใช้การนำเสนอด้วย
การแจกแจงรายการ กราฟและแผนภูมิประกอบจะช่วยให้สาสน์นั้นมีรูปลักษณ์ที่สื่อได้อีกระดับหนึ่ง
สำหรับการใช้วิธีการแจกแจงน่าจะได้คำนึงถึงกฎเกณฑ์บางประการต่อไปนี้
• เริ่มแต่ละขั้นตอนใช้ถ้อยคำอย่างตรงไปตรงมาแต่เลี่ยงการใช้ถ้อยคำซ้ำๆ
• แจกแจงแต่ละขั้นตอนต่างหากจากกัน
• ทำให้แน่ใจว่าแต่ละขั้นตอนนั้นอยู่ในลำดับต่อเนื่องกันอย่างมีเหตุผล
• เขียนแต่ละขั้นตอนในรูปของประโยคที่สมบูรณ์
• การใช้ถ้อยคำที่มีอำนาจในการอธิบาย
13. 13
ส่วนนำสำคัญมากหรือบางทีก็สำคัญที่สุดในการนำเสนอครั้งนั้น ด้วยเป็นโอกาสทองที่ผู้นำเสนอจะ
สร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังจึงควรที่จะทุ่มเทความสามารถในการเขียนและพูดให้สัมฤทธิ์ผลมากที่สุด
ข้อมูลในตารางข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างภาษาที่จะใช้พูดและขั้นตอนในการนำเสนอการจะนำแนวทางใน
ตัวอย่างไปใช้จริงอาจต้องปรับเปลี่ยนวลีให้เข้ากับสถานการณ์
ลำดับ ภาษาที่ใช้
1.กล่าวต้อนรับผู้ฟังและแนะนำตัวเอง -กล่าวสวัสดี
-กล่าวแนะนำตนเองด้วยชื่อนามสกุลและสถานภาพขณะนั้น เช่นเป็น น.ศ. พนักงานจาก......
2.กล่าวให้ผู้ฟังทราบถึงประเด็นที่จะพูดและบอกว่า
ประเด็นดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับผู้ฟังอย่างไรและ
ทำไม
-กระผมจะนำเสนอ
-ประเด็นที่จะนำเสนอวันนี้คือ
-ในการนำเสนอครั้งนี้สาระของเรื่องคือ...
-วันนี้กระผมจะได้นำเสนอสาระเกี่ยวกับ.....
3.ระบุโครงสร้างของการนำเสนอว่าจะมีกี่ตอน/มี
อะไรบ้าง
-บอกจุดประสงค์ของการนำเสนอ
-การนำเสนอครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ตอนใหญ่ๆคือ.......
-การนำเสนอจะแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลักคือ.....
4.ลำดับและเวลาที่เสนอ -การนำเสนอในตอนที่ 1 ว่าด้วย.............
ตอนที่ 2ว่าด้วย............ ตอนที่ 3 ว่าด้วย............
-ข้าพเจ้าจะเริ่มนำเสนอด้วย............
จากจากประเด็นนั้นจะนำเสนอเกี่ยวกับ............
-การนำเสนอครั้งนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ............นาที
5.คำถามต่างๆ -ท่านผู้ฟังมีคำถามอะไรเชิญครับ
-ยังพอมีเวลา...........เพื่อการตอบคำถาม เชิญครับ
-คำถามของท่านจะช่วยให้ผู้ร่วมฟังได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้นขอเชิญครับ
ส่วนเนื้อหาสาระ
ส่วนนี้คือตัวจริงเสียงจริงของการนำเสนอ หากสามารถดำเนินการส่วนนำได้กระชับ สร้างความสนใจ
ให้กับผู้ฟังได้ระดับดีก็นับว่าช่วยลดความวิตกกังวลและตกประหม่าในการนำเสนอประเด็นหลักต่อไปได้ ผู้นำ
เสนอจะมีความมั่นคงในการนำเสนอได้อย่างมาก
จัดการนำเสนออย่างมีโครงสร้างที่ดีโดยการแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนๆอย่างมีความสัมพันธ์กันด้วยการ
เริ่มต้นที่เนื้อหาใหญ่เรื่อยลงไปสู่เนื้อหาย่อย การมีสรุป ภาพ ฯลฯ ประกอบของแต่ละส่วนของเนื้อหาช่วยให้
ผู้ฟังเห็นความชัดเจนและความต่อเนื่องของเนื้อที่นำเสนอได้มาก ตัวอย่างในตารางต่อไปนี้เป็นข้อมูลการ
นำเสนออย่างกว้างๆ ลองปรับแนวทางจากตัวอย่างให้เข้ากับการใช้งานจริงต่อไปนี้
การใช้งาน ถ้อยคำที่อาจนำไปใช้
1.ระบุตอนจบของส่วนเนื้อหา ส่วนแรกของเนื้อเรื่องจะจบลงตรงนี้
2.เขยิบไปยังส่วนถัดไป คราวนี้ก็กลับมาดูตอนต่อไปของเรื่อง
14. 14
3.กลับมาทบทวน ดังที่กล่าวไว้แต่แรกว่า.............
4.แนะนำภาพกราฟรูป ฯลฯ
ที่นำมาประกอบเรื่อง
-ลองมาดู Power point รูปแรกที่จะอธิบายว่า.............
-กราฟนี้แสดงให้เห็นว่า............
-อย่างที่ท่านเห็นในแผนภูมิพอจะบอกได้ว่า.............
5.ท ำ ให ้ข ้อ ม ูล โด ด เด ่น
น่าสนใจ
-กระผมอยากจะเน้นให้เห็นว่า.............
-สิ่งที่สำคัญ ณ ที่นี้ก็คือ.............
-พิจารณาให้ใกล้ชิดที่สุดก็จะพบว่า.............
ส่วนสรุป
เป็นส่วนสุดท้ายของการนำเสนอที่ต้องมีการ
-สรุปสาระทั้งหมดที่กล่าวมาอย่างย่นย่อที่สุดเพียง 2-3 ประโยค
-เชิญผู้ฟังถามข้อข้องใจ
-ขอบคุณผู้ฟัง
ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นแนวทางกว้างๆที่อาจใช้กล่าวตอนสรุปการนำเสนอเปลี่ยนแปลงคำพูดจากตัวอย่าง
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
การใช้งาน ถ้อยคำที่อาจนำไปใช้
1.สรุปประเด็นสำคัญ -อาจกล่าวสรุปประเด็นสำคัญๆของการนำเสนอได้ว่า...........
-โดยสรุปแล้วอาจกล่าวได้ว่า.............
2.เชิญฟังถามข้อข้องใจ -ยังพอมีเวลาให้คำถาม 2-3 คำถามครับ
3.ขอบคุณผู้ฟัง -ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมฟัง
-ขอบคุณท่านทั้งหลายที่ให้ความสนใจเข้าร่วมฟัง
การเตรียมการเพื่อนำเสนอ
ก่อนจะนำเสนอผลงานต่อที่ประชุมแบบเผชิญหน้าน่าจะได้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้คือ
1.เขียนข้อความที่จะนำเสนออย่างคร่าวๆเหมือนกับการเขียนร่างแรกของรายงานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
15. 15
2.ทบทวนสาระของต้นฉบับร่างแรกนั้น
3.เวลานำเสนอบนเวทีห้ามอ่านบทที่เตรียมมา แต่ต้องจดจำประเด็นหลักๆของการนำเสนอใว้ในใจ
4.ฝึกฝนการนำเสนอ ตอนแรกอาจนำเสนอกับตัวเองต่อหน้ากระจกส่อง และต่อไปลองนำเสนอต่อ
หน้าเพื่อนฝูง
5.แต่งกายเหมาะสมกับสถานการณ์
6.ต้องเตรียมบทนำเสนอไว้ให้พร้อมก่อนขึ้นเวที
ขั้นตอนของการนำเสนอ
-นำเสนอเรื่องราว
-ทบทวนประเด็นที่สำคัญๆ
-ให้ผู้ฟังถามประเด็นที่สนใจและผู้นำเสนอก็ตอบประเด็นเป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้ร่วมฟังคนอื่นสื่อสารได้
อย่างต่อเนื่อง
การนำเสนอ(เพื่อส่งสาสน์)
-พูดชัดเจนในระดับเสียงที่ไม่ตะโกนและแผ่วเบาอย่างการกระซิบ ออกเสียงอักขระโดยเฉพาะคำควบ
กล้ำด้วย ร และ ล
-อย่าพูดเร่งเร็วหรือพูดเนิบนาบ พูดอย่างเป็นธรรมชาติแต่ก็ไม่ใช่พูดอย่างการสนทนา
-หยุดพูดเล็กน้อยก่อนจะขึ้นต้นตอนต่อไป
ตอนสำคัญๆ
-ใช้มือเคลื่อนไหว เช่น ชี้ไปยังจุดสำคัญๆ (ที่ปรากฏเป็นสื่อบนจอภาพหรือกระดาน)
-ไม่หันหน้าไปอ่านบนจอภาพและหันหลังให้ผู้ฟัง ต้องจำบทแม่นยำและหันหน้าพูดต่อผู้ฟังตลอดเวลา
-พูดโดยมองไปยังสายตา สื่อสารกับผู้ฟัง
การแสดงออกทาง(สี)หน้า
17. 17
ให้มีคำถาม 108 ท้าทายให้ต้องหาคำตอบอย่างไม่มีจบสิ้น เห็นได้ชัดอย่างกรณีของการเรียนการสอนใน
ระดับอุดมศึกษาที่ผู้สอนอย่างมีประสิทธิภาพแสวงหาโจทย์ให้ผู้เรียนได้ฝึกค้นคว้าหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือมา
ยืนยันตอบต่อคำถามต่างๆกัน บางโอกาสผู้เรียนอาจมีอิสระทางความคิดอย่างมากโดยการตั้งคำถามเป็นโจทย์
การวิจัยเอง นับเป็นโจทย์การวิจัยที่มีค่าต่อการสำรวจ ต่อการอ่านอย่างกว้างขวางในการแสวงหาคำตอบที่
เป็นไปได้ นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งมีค่าไปถึงการตีความจากสิ่งที่ผู้เรียนอ่านมา(เพื่อตอบโจทย์) มีค่าถึงการหา
ข้อสรุปอย่างมีเหตุผล เพราะมีคำตอบต่อการสนับสนุนข้อสรุปเหล่านั้นด้วยหลักฐานที่ดีและมีตรรกะน่าเชื่อถือ
เพื่อช่วยให้มีทักษะในการเขียน เรียงความตามปกติทั่วไปที่เริ่มตั้งแต่การตั้งคำถาม(โจทย์วิจัย)ไปถึงการหา
ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ คำแนะนำต่อไปนี้นับว่าช่วยฝึกฝนขั้นพื้นฐานได้มาก
การตั้งคำถามวิจัย
ในการเรียนการสอนที่ผู้ศึกษาต้องหาหัวข้อ(ประเด็น)วิจัยเองคงเริ่มที่การตั้งคำถาม 2-3 คำถาม ว่า
คำถามเหล่านั้นดูมีค่าควรต่อการค้นคว้าหรือไม่ ระหว่างที่สร้างคำถามที่คิดว่าพอจะเป็นไปได้เพื่อการค้นคว้าก็
ต้องให้แน่ใจว่าเป็นคำถามที่อยู่ในแนวทางของการค้นคว้าเพื่อการวิจัยหรือไม่ การตั้งโจทย์วิจัยหรือตั้งคำถามที่
ทำการวิจัยต้องเป็นคำถามที่ไม่กว้างจนเกินไป เป็นคำถามที่ท้าทายและเป็นคำถามที่อยู่บนพื้นฐานความเป็น
จริง(ไม่ใช่คำถามที่คาดคะเน)
การเลือกคำถามที่ไม่กว้างเกินไปและไม่เจาะจงลงลึก
การศึกษาค้นคว้าก็ไม่ต่างกับการลงทุนทางธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยเกี่ยวเนื่องที่สำคัญคือ ระยะที่จะ
ศึกษา เงินทุนที่มีอยู่และแรงงานที่จะใช้ในการศึกษาค้นคว้า หากคำถามวิจัยที่ตั้งไว้แต่แรกกว้างเกินไปอาจ
ดำเนินการไม่เสร็จทันในเวลาที่กำหนด ทุนที่มีอยู่ก็ไม่พอ อีกทั้งแรงคนที่จะร่วมค้นคว้าก็อาจน้อยเกินกว่าจะหา
คำตอบได้คลอบคลุมตามข้อปัญหา(ใหญ่)วิจัย จึงต้องหาหนทางทำประเด็นที่สนใจศึกษาให้เล็กลงและสามารถ
หาคำตอบได้อย่างลุ่มลึก ลองดูตัวอย่างข้างล่างนี้
โจทย์การวิจัยกว้างเกิน
-การศึกษาความเห็นของนักศึกษากับการฝ่าฝืนระเบียบการแต่งกายชุดนักศึกษาในสถานศึกษา
-การเที่ยวสถานบันเทิงละแวกมหาลัยของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต