SlideShare a Scribd company logo
1 of 39
Download to read offline
1
รศ. ชนัญ วงษ์วิภาค
2
ความนา
วัฒนธรรมมีขอบเขตที่กว้างขวางด้วยคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างทาขึ้น มนุษย์สร้างสรรค์วัฒนธรรม
มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ผ่านสมัยประวัติศาสตร์เข้าสู่ยุคปัจจุบัน โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์โลกมีความ
ต้องการทางร่างกาย 4 อย่างคือ ความหิวโหย ความร้อน หนาว ความหวาดกลัว และความป่วยไข้การสร้างสรรค์
ปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นการกระทาที่ช่วยให้ร่างกายอยู่รอดและเจริญ
พันธุ์ต่อไป กระนั้นตลอดชีวิตมนุษย์ยังต้องการพักผ่อนและเพลิดเพลิน เพราะการเดินทางท่องเที่ยวเป็นโอกาส
หนึ่งที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับชีวิตจากประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามา สิ่งที่พบอาจได้แก่ ธรรมชาติ หรือสิ่งที่เกิด
จากการกระทาของมนุษย์ที่เรียกตามศัพท์บัญญัติว่าวัฒนธรรม คือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น มนุษย์สร้างสิ่ง
ต่างๆ เพื่ออานวยความสะดวกสบายให้กับชีวิต สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์มีทั้งวัตถุที่สามารถหยิบถือหรือลองชิม
เพื่อรู้ผลได้โดยเร็ว และส่วนที่ไม่ใช่วัตถุแต่ก็สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ความคิด และจินตนาการ อาหาร บ้านเรือน
เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยปัจจัยจาเป็นต่อการดาเนินชีวิต เป็นของที่
ทาความคุ้นเคยได้ไม่ยากนัก แต่คงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรับรู้เรื่องราวที่รังสรรค์ออกมาในรูปของศิลปะ
ประเพณี และพิธีกรรม ซึ่งแฝงไว้ซึ่งค่านิยมอุดมการณ์ และปรัชญานานาประการ ปกติระหว่างการเดินทาง
ท่องเที่ยว ผู้มาเยือนจะได้มีประสบการณ์กับธรรมชาติและวัฒนธรรมในถิ่นที่ไปเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ จะได้
ประสบการณ์ใหม่ๆมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อย่างแรก คือ ความอยากรู้อยากเห็นที่จะ
กระตุ้นให้ตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ อย่างที่สอง คือ ความแปลกแตกต่าง สิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากประสบการณ์เก่าโดย
สิ้นเชิงย่อมเร้าให้อยากรู้จักมากเป็นพิเศษ ยิ่งสามารถทาความคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ได้เร็วและเห็นว่าเป็นของมี
ประโยชน์ก็อาจรับประสบการณ์ใหม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การเดินทางเพื่อหาประสบการณ์ในต่างถิ่นเป็น
ความต้องการที่มีอยู่ตลอด เพราะความซ้าซากผลักดันให้ใฝ่หาสิ่งใหม่เพื่อเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็น
โดยทั่วไปมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยการเรียนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาและการลอกเลียนแบบอย่าง
ผู้อื่นด้วยการลองผิดลองถูก รู้เรื่องนี้แล้วก็อยากรู้อยากทาอย่างอื่นอีกการได้เดินทางท่องเที่ยวเปิดโอกาสให้ได้รู้
เห็นความเป็นไปของโลกรอบตัวเพิ่มขึ้น การเดินทางท่องเที่ยวเป็นหนทางนาไปสู่การเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ
อย่างมาก คือทั้งได้เห็น ได้ฟัง และอาจได้ลองทาในสิ่งที่ประสบอยู่ ความสนุกเพลิดเพลินและการได้พักผ่อน
ระหว่างเดินทาง ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้อย่างน่าพึงพอใจ อย่างน้อยก็ทาให้ห่างออกไปจากความจาเจระยะหนึ่ง
3
ข้อเขียนนี้มีเป้ าหมายนาเสนอเรื่องราวของการท่องเที่ยววัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับมิติต่างๆของศาสนา
ความเชื่อโดยแบ่งเนื้อหาอกเป็นส่วนๆ กล่าวคือ ส่วนที่หนึ่ง อภิปรายแนวคิดองค์รวม(Holistic approach)และ
แนวคิดวัฒนธรรมซึ่งเป็นแนวคิดสาคัญที่ใช้อรรถธิบายความเกี่ยวข้องระหว่างการท่องเที่ยวกับศาสนาความเชื่อ
ส่วนที่สอง นาเสนอข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนาความเชื่อตามที่ปรากฏในสังคมต่างๆ ซึ่งจาเป็นต้องทราบถึง
ความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมที่เข้าข่ายไสยศาสตร์(magic)และพฤติกรรมที่จัดว่าอยู่ในความหมายของศาสนา
(religion) รวมทั้งบทบาทหน้าที่ศาสนาความเชื่อต่อสังคม ส่วนที่สาม เป็นข้อมูลสาคัญที่ชี้ให้เห็นการท่องเที่ยว
เชิงศาสนาความเชื่อตามที่ปรากฏในโอกาสต่างๆ เช่นการท่องเที่ยวเชิงศาสนาความเชื่อยามปกติทั่วไป การ
ท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่จัดขึ้นในเทศกาลงานประจาปี และการท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่จัดขึ้นในโอกาสพิเศษ(event
tourism and invented tradition) ส่วนที่สี่ ว่าด้วยการจัดการท่องเที่ยวเชิงศาสนาอย่างยั่งยืน พร้อมเสนอแนวทาง
การศึกษาวิจัยการท่องเที่ยวเชิงศาสนา เพื่ออภิปรายถึงความเป็นสากลของการท่องเที่ยวเชิงศาสนา ผู้เขียนได้นา
ตัวอย่างการท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่ปรากฏในแหล่งท่องเที่ยวเด่นๆของโลกควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่
มีอยู่ในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย อนึ่งข้อเขียนนี้ได้ปรับบางส่วนมาจาก ตาราการท่องเที่ยววัฒนธรรม
(พ.ศ.2552)ที่เป็นเอกสารใช้ในการเรียนการวิชาสอน การจัดการท่องเที่ยววัฒนธรรม ระดับบัณฑิตศึกษา และ
ระดับมหาบัณฑิต ในคณะวิทยาการจัดการ และคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
รศ. ชนัญ วงษ์วิภาค
มหาวิทยาลัยศิลปากร
4
1. กรอบแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรม
วัฒนธรรมคือเรื่องราวของมนุษย์จึงย่อมมีแง่มุมด้านต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวตนหรือเป็น
เอกลักษณ์ หากจะจัดกลุ่มการกระทาของมนุษย์ออกเป็น 7 หมวดหมู่ก็พอรวมได้ว่าเป็นการกระทาที่ว่าด้วยเรื่อง
ของการทามาหากิน (เศรษฐกิจ) การจัดระเบียบความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและเครือญาติ การศึกษา
การเมืองการปกครอง การสาธารณสุข นันทนาการ และศาสนาความเชื่อนักสังคมศาสตร์ชอบเปรียบเทียบการ
ทางานของส่วนประกอบวัฒนธรรมดังกล่าวว่าคล้ายกันกับการทางานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่ทุกส่วน
ต้องสัมพันธ์เกื้อกูลกันในอันที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในส่วนใดส่วนหนึ่งขององค์ประกอบ
ก็จะส่งผลกระทบส่วนประกอบอื่นๆ ของโครงสร้างเดิม การพิจารณาวัฒนธรรมด้วยแนวคิดองค์รวม (holistic
approach) หรือแนวคิดระบบ(system approach) ตามที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงปี ค.ศ.1930 (Leiper,
1995) อย่างที่กล่าวมานี้สาคัญอย่างมากต่อการกระทาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม โดยเฉพาะการจัดวัฒนธรรม
ให้เป็นทรัพยากรสาหรับธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งเป็นการกระทาที่เข้าข่ายการประยุกต์วัฒนธรรมเพื่อให้เป็นไป
ตามเป้าหมายของการพัฒนาขีดความสามารถของการท่องเที่ยว ดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าธุรกิจการท่องเที่ยว
ต้องอาศัยการบริการจากงานด้านต่างๆ เป็นจานวนมาก อธิบายด้วยแนวคิดองค์รวมหรือระบบจึงเห็นได้ว่าการ
ท่องเที่ยวเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ตลอดเวลา หากเปรียบระหว่างการ
ท่องเที่ยวภายในประเทศและการท่องเที่ยวนานาชาติก็ยิ่งปรากฏชัดว่าการท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศจะมี
ภารกิจที่ซับซ้อนที่ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันอย่างมากเพื่อให้การท่องเที่ยวก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ ในทานอง
เดียวกัน ถ้าจะลองพิจารณาการท่องเที่ยววัฒนธรรมอย่างเป็นองค์รวมหรือเป็นระบบก็จะได้ภาพเครือข่ายที่โยง
ใยบริบทของวัฒนธรรมด้านต่างๆที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนเช่นกัน
บริบทวัฒนธรรมประการแรกที่ควรรับทราบคือแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมใหญ่และวัฒนธรรมย่อย
เวลากล่าวถึงวัฒนธรรมของประเทศชาติใดๆ เช่น วัฒนธรรมจีน ญี่ปุ่น ลังกา พม่าขอม ฯลฯ ก็จะหมายความถึง
แบบแผนการดาเนินชีวิตของคนในประเทศนั้นๆ โดยรวม เราจึงพอทราบว่ารัฐชาติแต่ละรัฐชาติมีเอกภาพทาง
วัฒนธรรมอย่างไรที่พอระบุได้ในเบื้องต้นว่าแตกต่างไปจาเอกภาพทางวัฒนธรรมของคนในรัฐชาติอื่น
บุคคลภายนอกเช่นชาวตะวันตกจึงพอเห็นในเบื้องต้นว่าวัฒนธรรมพม่า ลาว กัมพูชา และไทย ระดับรัฐชาตินั้น
เป็นแบบแผนชีวิตที่มีอิทธิพลของความเชื่อที่เนื่องในพุทธศาสนาอยู่มาก อย่างไรก็ตามในรัฐชาติต่างๆ ก็มักจะ
5
ประกอบด้วยคนกลุ่มต่างๆ ที่ยังดาเนินชีวิตตามครรลองที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษเมื่ออยู่เฉพาะในกลุ่มคนพวก
เดียวกันพุทธศาสนาแบบชาวบ้านมีอิทธิพลอยู่ในความคิดปรัชญาชีวิตของชาวพม่า ลาว กัมพูชา และไทย
ขณะเดียวกันผู้คนในกลุ่มประเทศแถบนี้ก็ยังมีความเชื่อในภูตผีวิญญาณระดับต่างๆ อยู่ด้วยเช่นกันเฉพาะในเขต
ประเทศไทยที่ประกอบด้วยผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ขุนเขาและในที่ราบลุ่มก็คงมีความเชื่อในอานาจเหนือ
ธรรมชาติแตกต่างกันออกไป ความเชื่อในภูตผีวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายแฝงอยู่ในวงจรชีวิตทั้งใน
ยามปกติและในภาวะวิกฤติรูปแบบต่างๆ ความมีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมใหญ่ท่ามกลางความหลากหลายแห่ง
วัฒนธรรมย่อยของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากต่างแดนยิ่งนัก แต่ด้วย
ข้อจากัดในแง่ของขนาดกลุ่มนักท่องเที่ยวและระยะเวลาที่ท่องเที่ยว จึงเป็นที่น่าสังเกตว่านักท่องเที่ยวที่มาเป็น
หมู่คณะใหญ่ (mass tour) จะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของรัฐชาติขณะที่นักท่องเที่ยวทางเลือกซึ่งมาเป็นกลุ่มเล็กๆ
และมีเวลามากพอที่จะไปเยือนตามแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่นก็ย่อมมีโอกาสได้รับรู้และซึมซับวัฒนธรรม
ระดับชาติและระดับท้องถิ่นได้ ความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวและทรัพยากรท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมคือ
สาระสาคัญที่ได้พิจารณาไว้ในบทที่ 3
บริบทวัฒนธรรมประการที่ 2 ที่สัมพันธ์กับการท่องเที่ยว คือแนวคิดที่ว่าด้วยวัฒนธรรมหลวงและ
วัฒนธรรมราษฎร์ ตามพัฒนาการทางประวัติศาสตร์นั้นการจัดระเบียบทางสังคมได้แบ่งคนออกเป็น 2 ส่วน
ใหญ่ๆ คือ ชนชั้นเจ้าขุนมูลนาย และชนชั้นบ่าวไพร่หรือสามัญชนทั่วไป ในอดีตชนชั้นเจ้านายมักมีโอกาสใน
เรื่องต่างๆ และมาตรฐานการดาเนินชีวิตดีกว่าคนอื่นๆ ในสังคม การกระจุกตัวอยู่ท่ามกลางศูนย์รวมของประเทศ
ชนชั้นเจ้านายจึงได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมที่มาจากภายนอก(ประเทศ) ไว้มาก มีประเพณีพิธีกรรมที่บ่งย้าความ
เป็นทางการและความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งของความเป็นผู้นาอยู่เสมอ ประเพณีในราชสานักที่จัดขึ้นในโอกาสต่างๆ
คือตัวอย่างยืนยันเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมหลวงส่วนหนึ่ง ส่วนวัฒนธรรมราษฎร์คือแบบอย่างการดาเนินชีวิต
ของประชากรส่วนใหญ่ของสังคมที่อาศัยการเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพเป็นสาคัญ การจัดระเบียบชีวิตจึง
สัมพันธ์กับดินฟ้ าอากาศและการทามาหากินอยู่มาก วัฒนธรรมราษฎร์น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนถึงการ
ปรับตัวของคนในท้องถิ่นต่อสภาพแวดล้อม ดังจะเห็นได้จากการสร้างสรรค์ปัจจัย 4 เพื่อสนองความต้องการ
จาเป็นของชีวิตส่วนใหญ่จะได้มาจากทรัพยากรธรรมชาติที่แวดล้อมผนวกกับภูมิปัญญาที่สืบสานมาแต่บรรพ
บุรุษ ปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยก้าวหน้าขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคแถบนี้ก็คือ ทรัพยากร
6
ท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมหลวงและวัฒนธรรมราษฎร์ ในช่วงของการรณรงค์ปีการท่องเที่ยวไทยหลายๆ
ครั้งที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะจัดให้มีพิธีประเพณีของหลวงและของราษฎร์เป็นกรณีพิเศษอยู่เนืองๆ ใน
โอกาสปกติที่มีพิธีประเพณีตามธรรมเนียมดั้งเดิมก็ชื่นชมกันว่าเป็นพิธีประเพณีที่เลิศหรูยิ่งในการจัดพิเศษเพื่อ
ดึงดูดนักท่องเที่ยวนานาชาติ ก็เห็นว่าจัดงานกันได้อลังการยิ่งนัก กระนั้นก็เป็นที่น่าสังเกตว่ายิ่งปรุงแต่ง
วัฒนธรรมมากเท่าไร ภาพที่ปรากฏออกมาก็ดูเหมือนจะเป็นของในอุดมคติมากกว่าที่เคยปรากฏจริงในยามปกติ
โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มาเป็นหมู่คณะใหญ่ก็น่าที่จะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมตามอุดมคติค่อนข้างมาก ขณะที่
นักท่องเที่ยวทางเลือกมีโอกาสที่จะได้รับรู้ความเป็นจริงจากเนื้อหาสาระของวัฒนธรรมมากกว่า
บริบทวัฒนธรรมประการที่ 3 เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงและการ
สืบเนื่อง วัฒนธรรมก่อเกิดจากมูลเหตุการประดิษฐ์คิดค้นและการรับแบบอย่างจากต่างถิ่น ความจาเป็นต่อความ
อยู่รอด และการตอบสนองการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นปัจจัยผลักดันให้มนุษย์ต้องคิดหาหนทางเพื่อปรับตัวให้
ผ่านพ้นภาวะที่กาลังเผชิญ สังคมโลกก้าวหน้ามีพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างที่เห็นทุกวันนี้ก็เพราะการคิดค้นสิ่ง
ใหม่ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น กระนั้นมนุษย์ทุกผู้ทุกนามก็มิได้มี
ความสามารถที่จะเป็นนักประดิษฐ์มาตั้งแต่เกิด แต่ได้อาศัยการเลียนแบบอย่างจากผู้อื่นเพื่อปรับผันตนให้เท่าทัน
ยุคสมัย พฤติกรรมเช่นนี้มีมาตั้งแต่บรรพกาลอย่างที่ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทยระบุไว้ว่า ในสมัยโบราณไทย
รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียและขอมผสมผสานไปกับรากเหง้าวัฒนธรรมท้องถิ่น พอมาถึงยุครัตนโกสินทร์
คนจีนที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในสยามได้นาแบบแผนชีวิตใหม่ๆ เข้ามาเผยแพร่ โดยเฉพาะการค้าขายการช่าง
อีกทั้งอาหารการกิน ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกที่ปรากฏอยู่ใน
วัฒนธรรมหลวงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ก็ขยายขอบเขตจากศูนย์กลางของประเทศสู่สามัญชน เห็นได้ชัดจาก
วัฒนธรรมการบริโภคที่เพิ่มปริมาณตามกระแสธารของโลกาภิวัตน์ กระนั้นหากพิจารณาแบบแผนชีวิตคนไทย
อย่างลุ่มลึกก็จะพบว่า คนรุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบันก็ยังคงสืบสานภูมิปัญญาหลายอย่างที่บรรพบุรุษเคยถือ
ปฏิบัติมาแต่กาลก่อน แม้ว่าความเป็นตัวตนของคนไทยสมัยใหม่จะไม่เข้มข้นเท่าคนยุคก่อนก็ตาม ในบรรดา
แบบแผนชีวิตทั้งมวลนั้น การสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีอัธยาศัยด้วยไมตรีนับเป็นเสน่ห์หนึ่งที่ยังคงสร้างความ
ประทับใจให้แก่แขกผู้มาเยือน การท่องเที่ยวพักผ่อนระยะยาว (long stay) ที่รัฐมีเป้ าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยว
7
ชาวต่างชาติผู้เกษียณอายุแล้วให้เข้ามาพานักในเมืองไทยได้ผลยิ่งขึ้นก็ด้วยวัฒนธรรมความเอื้ออารีแบบไทยๆ
นั่นเอง
1. 1 ลักษณะสังคมและวัฒนธรรมไทยในบริบทของการท่องเที่ยว
ดังได้กล่าวมาก่อนหน้านี้บ้างแล้วว่า วัฒนธรรมไทยมีพัฒนาการมายาวนานจากการผสมผสานพื้นฐาน
ของท้องถิ่นกับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียและขอม ต้นสมัยรัตนโกสินทร์วัฒนธรรมจีนเริ่มเข้ามามีบทบาท
ต่อวิถีชีวิตของคนไทยยิ่งขึ้นตามการอพยพเข้ามาของชาวจีนโพ้นทะเลช่วงต่างๆ (สกินเนอร์, 2548) พอมาถึง
สมัยรัชกาลที่ 4 ภัยคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยมทาให้ไทยต้องเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมให้แบบแผนความ
เป็นอยู่ของชาวตะวันตกเข้ามาแทรกตัวอยู่ในแวดวงสังคมไทย การผสมเอาลักษณะทางวัฒนธรรมต่างๆ เข้ามา
รับใช้ผู้คนในสังคมไทยมีปรากฏอยู่ในเรื่องต่างๆ ตามที่ผู้รับวัฒนธรรมอย่างคนไทยจะเห็นเหมาะสม อาทิ ใน
เรื่องของศาสนาก็เห็นได้ว่าพุทธศาสนานิกายเถรวาทและศาสนาพราหมณ์จากอินเดียได้เข้ามาฝังรกรากใน
ดินแดนแถบนี้ตั้งแต่สมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ 9-11 ผนวกเข้ากับความเชื่อในผีสางเทวดาที่มีอยู่ในท้องถิ่นมา
แต่ดั้งเดิม สิ่งเหล่านี้สะท้อนอยู่ในปรัชญา ความเชื่อ และการคิดพิจารณาชีวิตในหมู่ชาวไทย นอกจากนี้ยังปรากฏ
อยู่ในศิลปะแบบประเพณีซึ่งก็คือพุทธศิลป์ นั่นเอง รูปแบบสถาปัตยกรรม วัดวาอารามโบสถ์ วิหาร ศาลาการ
เปรียญ หอไตร ตู้พระธรรม ธรรมมาสน์ พระพุทธรูป จิตรกรรมฝาผนัง งานปูนปั้นและงานแกะสลักไม้เพื่อ
ประดับตกแต่งอารามทั้งหลาย เหล่านี้คือผลรวมของการสังเคราะห์ศาสนาความเชื่อดังกล่าวเข้าด้วยกัน อิทธิพล
ของอารยธรรมขอมหรือเขมรโบราณเด่นชัดอยู่ในเรื่องของภาษา นาฏศิลป์ และสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะคา
ราชาศัพท์ทั้งหลายและรูปทรงของพระปรางค์ เช่นพระปรางค์ 3 ยอด จังหวัดลพบุรี และพระปรางค์วัดอรุณ
ราชวรารามฯ ตามคติความเชื่อเดิมพระมหากษัตริย์คือเทวราชาผู้มีบารมีที่ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ปรางค์คือ
สัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุที่สถิตแห่งเทวะผู้ยิ่งใหญ่ ในราชธานีสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ จึงพบว่ามี
การสร้างพระปรางค์เพื่อแสดงสถานภาพของผู้ปกครองอยู่เสมอ ย้อนอดีตไปเก่าแก่กว่ายุคของการตั้งราชธานี
ไทย นักโบราณคดีพบว่าอิทธิพลของอารยธรรมเขมรโบราณได้แผ่ขยายทั่วไปในดินแดนอาณาเขตประเทศไทย
ตั้งแต่ภาคอีสานลงมายังภาคกลางและไปสิ้นสุดอยู่ทางภาคตะวันตกและภาคกลางตอนล่าง ทั้งนี้ดังพอจะแสดง
ได้ด้วยหลักฐานจากเขาพระวิหาร (ซึ่งอยู่ในดินแดนประเทศไทย) ปราสาทเขาพนมรุ้งปราสาทหินพิมาย
ปราสาทเมืองสิงห์ และโบราณสถานที่วัดกาแพงแลง อาเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรีวัฒนธรรมจีนนั้นแฝงอยู่ในวิถี
8
ชีวิตชาวไทยทุกระดับ เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างและปฏิสังขรณ์วัดเป็น
จานวนมากด้วยรูปลักษณ์ศิลปะและการตกแต่งแบบจีน อาทิ วัดกัลยาณมิตร พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมแบบ
จีน อาคารก่ออิฐถือปูน หน้าบันเป็นปูนปั้นลวดลายดอกไม้ ประดับกระเบื้องเคลือบสลับสีลายจีน พระอุโบสถ
วัดนางนอง เขตจอมทองเป็นศิลปะในสมัยรัชกาลที่ 3 บานประตูด้านนอกประดับมุก บานประตูและผนังด้านใน
เขียนเรื่องจีนเช่น สามก๊ก ฮกลกซิ่ว พระวิหารก็เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน หน้าบันประดับปูนปั้นเป็นรูปมังกร
ส่วนเจดีย์รูปลักษณ์แบบจีนประดับด้วยกระเบื้องสี สถาปัตยกรรมที่วัดเทพธิดาราม วัดบวรนิเวศวิหารวัดสุทัศน
เทพวราราม วัดพิชยญาติการาม และวัดราชโอรสาราม ฯลฯ ก็มีศิลปะจีนปรากฏอยู่เช่นกันการใช้กระจกสี หอย
มุก และศิลปะลายรดน้าปิดทอง รวมทั้งการใช้แล็กเกอร์เคลือบเงาล้วนเป็นศาสตร์ในศิลปะจีนทั้งสิ้น สมัยรัชกาล
ที่ 5 ลงมาอิทธิพลของศิลปะจีนที่มีต่องานสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์อาจน้อยลง ตัวอย่างศิลปะจีนที่สะดุดตา
เช่น พระที่นั่งเวหาสน์จารูญ ในพระราชวังบางปะอินแต่กระนั้นก็มีการสั่งเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้นจากประเทศจีน
เข้ามาเป็นเครื่องใช้ในพระราชวัง ตาหนักเจ้านายและบ้านขุนนางกันอย่างแพร่หลาย (แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, 2536 :
11) การรับวัฒนธรรมแบบแผนวัฒนธรรมจากแหล่งต่างๆมาปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับชีวิตแบบไทยๆที่
ประจักษ์ในมรดกวัฒนธรรมทั้งหลายเป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นกับสังคมวัฒนธรรมในภูมิภาคอื่นๆของโลก
เช่นกัน สิ่งทั้งหลายทั้งมวลจึงโยงใยอย่างแยกไม่ออกดังที่จะอภิปรายในการท่องเที่ยวเชิงศาสนาต่อไปนี้
2. ศาสนาและความเชื่อ
ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ประกอบด้วยความเชื่อและแบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ
ความเชื่อ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อจะควบคุมจักวาลที่ในความเป็นจริงแล้วอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ใน
ความหมายอย่างกว้างๆแล้วการกระทาในศาสนาความเชื่อมักเกี่ยวข้องกับการเซ่นสรวงบูชา หรือการสร้างสรรค์
สัมพันธภาพ ระหว่างมนุษย์กับอานาจศักดิ์สิทธิทั้งหลาย ซึ่งมนุษย์เชื่อว่าสามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลเหนือ
วิถีทางของธรรมชาติ และวิถีชีวิตของมนุษย์ ศาสนาความเชื่อเป็นสิ่งสากลที่พบได้ในสังคมวัฒนธรรมทุกแห่ง
หนทั่วโลกตั้งแต่เริ่มมีเผ่าพันธุ์มนุษย์กระทั่งปัจจุบัน ในสังคมที่ดารงชีวิตด้วยการหาของป่าล่าสัตว์ศาสนาคือ
องค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตประจาวันทุกแง่มุม ครั้นสังคมพัฒนาไปสู่ความซับซ้อนยิ่งขึ้นศาสนาก็ค่อยๆลด
บทบาทการครอบงาชีวิตประจาวัน และมีแนวโน้มที่จากัดอยู่ในโอกาสพิเศษต่างๆ ความเชื่อในอานาจเหนือ
ธรรมชาติและพลังต่างๆคือลักษณะเด่นของศาสนาความเชื่อ โดยการสวดอ้อนวอนเซ่นสรวงบูชา และประกอบ
9
พิธีโดยเป็นช่องทางที่ผู้คนใช้เพื่อวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อโลกเหนือธรรมชาติ เราอาจจะจัดกลุ่มสิ่งเหนือ
ธรรมชาติออกเป็นสามประเภทคือ 1.เทพเจ้า เทวดา ภูตผี และวิญญานบรรพบุรุษ พระเจ้า และเทพทั้งหลายเป็น
สิ่งเหนือธรรมชาติที่ห่างไกลมนุษย์ และเชื่อว่ามีอานาจควบคุมจักวาล หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของจักรวาล เช่น
เทพเจ้าแห่งทะเล เช่น โพไซดอน เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า เช่น ซุส เทพเจ้าสายน้า เช่น เจ้าแม่ทับทิม และเทพเจ้าแห่ง
ความรู้และสุนทรียทั้งหลาย เช่น พระพิฆเณศ ส่วนความเชื่อในผีสางเทวดา เป็นความเชื่อที่เป็นส่วนหนึ่งของ
ธรรมชาติ 2.ความเชื่อในผีบรรพบุรุษเป็นความคิดความเชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจากร่างกายและวิญญานเชื่อกันว่า
เมื่อตายไปแล้ววิญญานจะละจากสังขาร และยังคงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการกระทาต่างๆของมนุษย์ 3.ความเชื่อ
ในวิญญานบรรพบุรุษจะปรากฏอยู่ในกลุ่มสังคมที่จัดระเบียบครอบครัวและเครือญาติที่ให้ความสาคัญกับบรรพ
บุรุษ ดังจะพบได้ในสังคมของชาวจีน ชาวเวียดนาม ชาวมอญ และลาวโซ่ง
พฤติกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาความเชื่อส่วนใหญ่มีเป้ าประสงค์อยู่ บุคคลย่อมมีเป้ าหมายอย่างใด
อย่างหนี่งในใจขณะประกอบพิธีกรรม ผู้ดาเนินพิธีกรรมจะปราถนาผลลัพธ์ของการกระทานั้น เช่น ขอฝน หยุด
ฝน หรือหวังความอุดมสมบูรณ์ของพืชผล ตัวเช่น ชาวคะฉิ่นและชาวพม่าเซ่นใหว้ผีนัท เพื่อความมั่นใจว่าพืชผล
จะเจริญงอกงามและได้ผลเก็บเกี่ยวสมบูรณ์ ในหลายวัฒนธรรมผู้หญิงประกอบพิธีกรรมความเชื่อเพื่อให้
ตั้งครรภ์ เช่นในประเทศโปรแลนด์ สตรีชาวคาทอลิกไปที่หลุมฝังศพของนักบุญคาทอลิก และอาจารย์ชาวยิว
สวดอ้อนวอนพื่อให้สตรีได้ตั้งครรภ์ สตรีชาวยิวออโธะดอคซิ ไปสวดใหว้ที่หลุมศพของนักบุญราเชล ในเมือง
ฮิบรอนเพื่อจุดประสงค์ของการตั้งครรภ์เช่นเดียวกัน เป้ าหมายและแรงกระตุ้นของการประกอบพิธีกรรมเหล่านี้
ก็เพื่อหวังผลลัพธ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะในการที่จะทาให้พลังธรรมชาติและอานาจธรรมชาติ
ตอบสนองความต้องการของมนุษย์
การกระทาทางศาสนาบางอย่างมุ่งเน้นการชี้นาการกระทาของมนุษย์และสามารถทาให้ผู้คนตัดสินใจว่า
จะมีพฤติกรรมอย่างไร ผู้คนจะไปปรึกษาหารือโหรและหมอดูเพื่อกาหนดหนทางว่าจะกระทาอย่างไรเมื่อเผชิญ
กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า อะไรเป็นเหตุกระตุ้นให้ปัจเจกต้องกระทาเช่นนั้น คาตอบก็คือเมื่อสงสัยว่าจะ
ตัดสินใจให้ถูก การไปปรึกษาหารือผู้ประกอบพิธีกรรมดังกล่าว ก็ให้หนทางที่สร้างความเชื่อมั่นที่จะได้รับ
คาตอบ ในหลายสังคมพฤติกรรมความเชื่อเน้นไปที่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในสังคมที่หมอผีมีบทบาท เช่น ใน
หมู่ชาวเขาเมื่อป่วยไข้ก็จะต้องหาสาเหตุที่มักเกี่ยวข้องสิ่งเหนือธรรมชาติ เชื่อกันว่าผู้คนที่ชั่วร้ายได้ใช้สิ่งเหนือ
10
ธรรมชาติเพื่อสร้างความป่วยไข้ให้กับคนอื่น ดังจะเห็นได้จากชาวคริสเตียนบางกลุ่มปฏิเสธการรักษาพยาบาล
จากการแพทย์แผนปัจจุบัน หากแต่ใช้การสวดอ้อนวอนเพื่อรักษาความป่วยไข้
เมื่อพิจารณาความเกี่ยวข้องระหว่างศาสนาวิทยาศาสตร์ และไสยศาสตร์ ก็พบว่ามีความเหมือนกัน และ
แตกต่างกันพอสมควร ในสังคมยุโรปแต่เดิมมานั้นเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในอานาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใน
ศตวรรษที่ 17 ชาวคาทอลิคเชื่อว่าโลกคือศูนย์กลางของจักวาล และสั่งประหารชีวิตกาลิเลโอ เพราะผลการ
ศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของกาลิเลโอได้แสดงให้เห็นว่าการวิจัยของโคเปอร์นิคัสถูกต้อง ที่เสนอว่าโลกไม่ใช่
ศูนย์กลางของจักวาลแต่ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักวาล นับเป็นเวลาหลายร้อยปี
ต่อมาที่นิกายคาทอลิกได้ยอมรับความผิดพลาดนั้น การคิดค้นคว้าตามแนวทางทฤษฎีวิวัฒนาการก็เป็นอีก
ตัวอย่างหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนคาอธิบายทางศาสนาด้วยคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อว่าจากเดิมพระเจ้าเป็น
ผู้สร้างมนุษย์มาสู่คาอธิบายที่ว่ามนุษย์ในปัจจุบันคือผลพลวงของการปรับตัวต่อกระบวนการวิวัฒนาการตาม
แนวคิดทฤษฎีชาล์ดาวิน
ทั้งวิทยาศาสตร์ ศาสนาและไสยศาสตร์ล้วนเป็นวิธีการสร้างความเข้าใจและพยายามจะสร้างอิทธิพลต่อ
โลกธรรมชาติ ไสยศาสตร์และศาสนาต่างไปจากวิทยาศาสตร์ตรงที่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบางอย่างไม่
สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้ ไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์มีลักษณะที่คล้ายกันตรงที่ทั้งคู่มีเป้ าหมาย
เฉพาะเจาะจง ไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่างอยูบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า หากเรากระทาการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็จะได้รับผลที่น่าพึงปรารณา การทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็ดีและการประกอบพิธีกรรมทาคุณไสย์ก็ดีต่างหวัง
ได้ผลลัพธ์ในปัจจุบันทันด่วน กระนั้นไสยศาสตร์ก็แตกต่างไปจากวิทยาศาสตร์ตรงที่ทั้งสองอยู่บนพื้นฐาน
ทฤษฎีความรู้ที่แตกต่างกัน กล่าวคือไสยศาสตร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อนั้นอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ
ที่ว่าถ้าได้เป่าคาถาอาคมหรือประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้องสิ่งเหนือธรรมชาติก็จะปรากฏผลออกมาเป็นที่พึง
พอใจ ไสยศาสตร์ตั้งอยู่บนความคิดที่ว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหนือธรรมชาติ และโลกธรรมชาติ ส่วน
วิทยาศาสตร์อยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุผลอันเกิดจากการสังเกตระหว่างแง่มุมต่างๆของโลก
ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ได้ความรู้มาจากสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และ ผิวกาย ขณะที่ศาสนานั้นเป็นเรื่อง
ของเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์แตกต่างไปจากแง่มุมอื่นของศาสนาในประเด็นที่ว่า ผู้คนพยายามที่จะควบคุม
เหนือธรรมชาติด้วยคุณไสย์ถ้าประกอบพิธีกรรมที่ถูกต้องก็จะได้ผลลัพธ์อย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าไสยศาสตร์
11
สามารถโน้มนาสิ่งเหนือธรรมชาติได้ตามประสงค์ของผู้ประกอบพิธี ส่วนการประกอบกิจพิธีทางศาสนา มิได้มี
เป้ าประสงค์เป็นการเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง พิธีทางศาสนาเน้นถึงอัตราของความไร้อานาจของมนุษย์ และ
ศาสนาก็ไม่ได้บังคับผลลัพธ์ทางตรงอย่างเช่นไสยศาสตร์ พิธีทางศาสนาจะชักนาผู้คนให้วิงวอนต่อเทพเจ้าซึ่ง
เทพผู้มีอานาจทั้งปวงอาจจะบรรดารหรือไม่บรรดารให้ตามที่มนุษย์ร้องขอ ดังนั้นไสยศาสตร์จึงเป็นการกระทา
ที่แสดงการควบคุม และศาสนาเป็นเรื่องของการวิงวอนขอความเมตตาปราณี ความรู้ทางไสยศาสตร์มักนามาใช้
เพื่อผลประโยชน์ของบุคคล ส่วนศาสนาเป็นระบบความเชื่อและการประกอบพิธีของสังคมชุมชน อาจกล่าว
โดยสรุป ณ ที่นี้ได้ว่า การกระทาที่เข้าข่ายไสยศาสตร์นั้นเป็นการกระทาที่หวังผลในระยะอันไกล้ ขณะที่แบบ
แผนความเชื่อที่เข้าข่ายศาสนาเป็นการกระทาที่หวังผลระยะยาว เช่นในเรื่องของโลกหน้า นรกสวรรค์ ตามนัยยะ
นี้พอเห็นได้ว่ากิจจกรรมการท่องเที่ยวศาสนาที่พบทุกแห่งหนอาจนับเนื่องเป็นการท่องเที่ยวที่มีเป้ าหมายที่เป็น
ไสยศาสตร์ หรือจุดประสงค์ที่เป็นศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีลักษณะทั้งไสยศาสตร์และศาสนาในเวลา
เดียวกัน
เป็นที่น่าสังเกตว่าศาสนาใหญ่ๆมีผู้นาที่จัดว่าเป็นศาสดาเผยแพร่ลัทธิความเชื่อนั้นๆ เช่น ศาสนาคริสต์
นิกายต่างๆ ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและ ศาสนาอิสลาม ที่เป็นศาสนาความเชื่อซึ่งมีอิทธิพลต่อผู้คนในประเทศแถบ
ตะวันออกกลาง และชาวมุสลิมประเทศอื่นๆอย่างเด่นชัด ในเดือนที่ถือศีลอด เมืองเมกกะซึ่งเป็นที่ตั้งของแท่น
บูชาหินดาหรือที่ตามภาษามุสลิมว่า “คะบาห์” ซึ่งประกอบด้วยหินศักดิ์สิทธิ์ 360 แท่งและกฎข้อบังคับต่างๆทาง
ศาสนา จะมีผู้แสวงบุญจากดินแดนอาราเบียและผู้แสวงบุญจากประเทศอื่นๆมุ่งมาร่วมสักการะและบาเพ็ญบุญ
ณ สถานที่แห่งนี้ ส่วนศาสนาอินดูแม้จะเป็นศาสนาใหญ่ที่ปรากฏมาตั้งแต่อารยธรรมอินเดียโบราณมาจนถึง
ปัจจุบัน แม้จะไม่มีศาสดาเพราะศาสนาฮินดูคือแนวทางการดาเนินชีวิตจึงได้รับการผสมผสานไปกับศาสนา
อื่นๆโดยเฉพาะศาสนาพุทธหินยานในสังคมวัฒนธรรมอุษาอาคเนย์ อย่างเช่นที่ชาวไทยพุทธถือปฏิบัติกันอยู่
ส่วนศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกมีบทบาทสาคัญในทุกแง่มุมชีวิตของคนยุโรปยุคกลาง การเผชิญต่อความทุกข์
ยากในชีวิตทาให้ผู้คนต่างฝากความหวังไว้กับคาสอนของคริสต์ศาสนา คริสต์ศาสนาสอนให้มีหลักนาทางชีวิต
เพื่อเพิ่มความสุขสบายใจ ผู้คนสร้างโบสถ์เพื่อการสารภาพบาปและเพื่อหวังความสุขนิรันดร นอกจากนี้ ศาสน
จักรยังทาหน้าที่ในกิจการบ้านเมือง เนื่องจากพระผู้ทางานให้กับโบสถ์เป็นผู้ที่มีการศึกษาเหตุนี้กษัตริย์และขุน
นางต่างต้องขอคาปรึกษาจากศาสนจักร ศาสนจักรจึงมีอิทธิพลสาคัญต่อการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ยิ่งกว่านั้นศา
12
สนจักรยังมีอิทธิพลครอบคลุมผู้คนที่อาศัยพื้นที่ของโบสถ์เป็นแหล่งทามาหากินอีกด้วย สันตะปาปาพานักอยู่ที่
วาติกันในกรุงโรม เป็นผู้มีตาแหน่งสูงสุด มีอานาจทั้งทางจิตวิญญาณและทางการเมือง ในโอกาสสาคัญๆเช่นใน
การทาพิธีมิซซากรุงวาติกันจึงเป็นที่ชุมนุมผู้มาเดินทางท่องเที่ยวเพื่อร่วมประกอบพิธีอย่างล้นหลาม
การศึกษาทางมานุษยวิทยาพบว่าผู้คนในสังคมวัฒนธรรมต่างๆมีแบบแผนในการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
โดยทั่วไป 12 วิธีด้วยกัน กล่าวคือ 1.การสวดมนต์ การสวดมนต์เป็นกิจกรรมของปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มคน บาง
ศาสนามีบทสวดมนต์ที่เขียนขึ้นโดยเฉพาะสาหรับพิธีกรรมต่างๆ 2.การร้องเพลง เต้นราหรือการใช้ดนตรีขับ
กล่อมเพื่อสร้างความโปรดปรานให้แก่สิ่งศัดิ์สิทธิ์ 3.การใช้ยาประสาทหรือการทรมานตนเองเพื่อให้ “เข้าถึงดวง
วิญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาสนาบางศาสนามีความเชื่อว่าเมื่อนักบวชทาการเทศน์เพื่อสั่งสอนศาสนิกชน พระผู้
เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาสถิตอยู่กับนักบวช 4.การฟังเทศน์จึงเป็นการฟังพระวาจาของพระเจ้าโดยผ่าน
นักบวชนั่นเอง 5.การถือศีล หรือการปฏิบัติตามกฏของศาสนาอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผู้ถือศีลมีจิตใจบริสุทธิ์และ
เป็นที่โปรดปรานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 6.การใช้เวทมนต์คาถาอาคม 7.การใช้เครื่องรางของขลัง 8.การกินเลี้ยงเฉลิม
ฉลอง เช่นการทาพิธีมิซซาในศาสนาคริสต์เพื่อระลึกถึงอาหารค่าเมื้อสุดท้ายของพระเยซูและเหล่าสาวก 9.การ
ทาพิธีบูชายัญเซ่นสังเวยอาหารหรือสัตว์เลี้ยง 10.การรวมกลุ่มเพื่อประกอบพิธีกรรมร่วมกัน 11.การเข้าทรงเพื่อ
ติดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยตรง และ12.การใช้สัญลักษณ์บางอย่างเช่น การนาเอาพระพุทธรูป เหรียญ หรือสาย
ประคา มาคล้องคอเพื่อให้เกิดความมั่นใจและความรู้สึกใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ
ศาสนาความเชื่อทั้งหลายมีบทบาทหน้าที่หลายประการในทางจิตวิทยาและในทางสังคมเพราะช่วยลด
ความวิตกกังวลในการอธิบายในสิ่งที่ไม่รู้นั้นให้เป็นที่เข้าใจ ขณะเดียวกันก็ให้ความอบอุ่นใจในความเชื่อที่ว่าสิ่ง
เหนือธรรมชาติที่ว่า การช่วยเหลือจากสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีอยู่ในเวลาวิกฤต นอกจากนี้ศาสนาความเชื่อยัง
ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ให้กระทาในสิ่งที่ถูกและลงโทษการกระทาที่ผิด พิธีกรรมที่จัดขึ้นตามศาสนาความเชื่อ
ยังเป็นประหนึ่งเครื่องส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับประเภณีจากคาบอกเล่าที่สาคัญที่สุด ศาสนาความเชื่อมีบทบาท
สาคัญในการดารงใว้ซึ่งความเป็นปึกแผ่นทางสังคม
13
3. การท่องเที่ยวเชิงศาสนาและความเชื่อ
ดังได้กล่าวใว้ในส่วนที่ 1 ของงานเขียนนี้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เป็นวัฒนธรรมสัมพันธ์เกื้อกูลต่อกัน
โดยเฉพาะการท่องเที่ยวนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยทรัพยากรหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการท่องเที่ยวได้
อย่างครอบคลุม หากพิจารณาแหล่งท่องเที่ยวทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่า ศาสนสถาน
ในศาสนาต่างๆ อาทิ โบสถ์คริสต์ มัสยิต วัดในพุทธศาสนา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในที่ต่างๆเช่น ศาลหลักเมือง ศาล
เจ้า และสถานที่สาคัญทางประวัติศาสตร์ อันมีอนุสาวรีย์ และสุสาน ฯลฯ เป็นปลายทางการท่องเที่ยวที่มีผู้มา
เยือนเสมอมา แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้จึงมีบทบาททับซ้อนกัน กล่าวคือ ในยามปกติผู้ที่เกี่ยวข้องใช้เป็นที่ประกอบ
กิจพิธี และผู้ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่มักได้แก่ชุมชนในละแวกนั้น แต่ความโดดเด่นมีชื่อเสียง มีเอกลักษณ์ทาง
ศิลปะ มีประวัติความเป็นมา และเป็นที่พานักของบุคคลสาคัญ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยดึงดูดให้มีผู้มาเยือน และ
เมื่อการท่องเที่ยวตามสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อกลายเป็นกระแสสถานที่เหล่านี้จึงต้องปรับ
บทบาทเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการมาเยือน โดยทั่วไปการปรับบทบาทเช่นนี้มักเป็นไปในเรื่องของการปรุง
แต่งทางกายภาพของสถานที่และการเพิ่มบริการด้านต่างๆ เช่น การให้ข้อมูลประวัติความเป็นมา ข้อมูลการ
เดินทาง ข้อมูลการติดต่อขอเยี่ยมชม และข้อมูลเกี่ยวกับที่พัก ในบางกรณีมีการใช้สื่อหลากหลายรูปแบบ เช่น
แผ่นพับ หนังสือคู่มือท่องเที่ยวท้องถิ่น และการประชาสัมพันธ์ผ่านอินเทอร์เนต และเมื่อจะมีการจัดงานครั้ง
สาคัญก็จะมีการประชาสัมพันธ์ในลักษณะโฆษณาทั้งทางวิทยุ และโทรทัศน์
ในแง่ของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวโดยทั่วไปแล้วมีเหตุผลหลายประการที่ผู้คนเดินทางท่องเที่ยว การ
เดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนดูจะเป็นเหตุผลของคนส่วนใหญ่ที่ประสงค์จะหลุดออกไปจาความเบื่อหน่ายจาเจ
ที่บ้าน ที่ทางานหรือถิ่นกาเนิด การเที่ยวด้วยเหตุผลเช่นนี้นอกจากจะได้พักผ่อนทั้งจิตใจและร่างกายแล้วยังได้
เติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆระหว่างการไปเยือน กระนั้นก็มีผู้คนอีกจานวนไม่น้อยที่ได้รับประโยชน์ด้วยเป็นผล
พลวงจากการท่องเที่ยวระหว่างการเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อประชุม เพื่อศึกษาต่อ เพื่อเยี่ยมญาติ และหรือเพื่อไป
ติดต่อค้าขาย ฯลฯ
ตามนัยยะนี้อาจกล่าวได้ว่าการท่องเที่ยวเชิงศาสนาความเชื่อก็เป็นพฤติกรรมที่คล้ายกันกับผู้คนในกลุ่ม
หลังด้วยมีจุดประสงค์หลักแน่ชัดในการเดินทางเพื่อเติมเต็มความต้องการในลักษณะที่เข้าข่ายไสยศาสตร์และ
14
หรือศาสนา ส่วนประโยชน์ท่องเที่ยวอื่นๆดังที่กล่าวมาข้างต้นจึงเป็นผลพลอยได้จากการไปเยือนปลายทาง
นอกจากนี้นักเดินทางท่องเที่ยวเชิงศาสนายังมีเป้ าหมายอื่นๆในการไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้น
นักท่องเที่ยวจานวนหนึ่งต้องการจะเชื่อมโยงการรับรู้เรื่องราวของสถานที่แห่งนั้นกับข้อมูลที่ตนเคยรับทราบมา
ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงพบว่าแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาแต่อดีตก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวทั้งเก่าและ
ใหม่มาเยือนอยู่เสมอ จึงไม่เป็นที่ประหลาดแต่อย่างใดที่จะพบว่าจานวนชาวคริสต์ และนักท่องเที่ยวทั่วไปต่าง
ให้ความสนใจไปเยือนนครวาติกันศูนย์กลางอันเก่าแก่ของศาสนาคริสในกรุงโรมประเทศอิตาลีเพิ่มขึ้นตลอดมา
ส่วนชาวมุสลิมทั่วภูมิภาคของโลกต่างก็ปรารถณาที่จะได้ไปประกอบกิจพิธีที่มหามัสยิด(Haram)นครเมกกะใน
เทศกาลถือศีลอดเพิ่มขึ้น ประมาณกันว่าปีหนึ่งๆมีผู้มาแสวงบุญถึง 3 ล้านคน ในช่วงเทศกาลเช่นนี้ธุรกิจการ
ท่องเที่ยวจึงคึกคักเป็นพิเศษ เห็นได้จากการเพิ่มเที่ยวบินและเพื่อรับนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น รัฐบาลซาอุดิอาร
เบียได้ใช้เงินจานวนพันๆล้านดอลลาร์จากรายได้การขายน้ามันเพื่อปรับปรุงสวัสดิการความสะดวกสบายด้าน
สาธารณสุข การคมนาคม และระบบน้าปะปาในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพิ่มขึ้น ตามความเชื่อของอิสลามการได้ไป
แสวงบุญ ณ สถานที่ดังกล่าวเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต การได้แสวงบุญที่นั่นเป็นหนึ่งในห้าหลักธรรม
ของศาสนาอิสลาม ผู้คนจึงพยายามจะได้ไปร่วมแสวงบุญแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงเท่าใดก็ตามเพราะเป็นการกระทาที่
จะนับเป็นคุณความดีในวันพิพากษาหลังความตายชาวไทยมุสลิมผู้ที่กลับจากการแสวงบุญจะได้รับการยกย่อง
เป็นพิเศษด้วยการเรียกผู้ชายว่า “ฮัจยี”และเรียกผู้หญิงผู้กลับจากแสวงบุญว่า “ฮัจยะ”นับเป็นสถานภาพทางสังคม
ที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก จุดประสงค์อื่นอีกประการหนึ่งของการเดินทางท่องเที่ยวเชิงศาสนาก็คือการได้ไประลึกถึง
ความดีงามในอดีตของสถานที่นั้นๆหรืออาจจะเรียกว่าการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อจุดประสงค์ “วันวานยังหวาน
อยู่”(nostalgia)ใครๆได้ไปเยือนพุกามต่างก็ระลึกชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ในอดีตของอาณาจักรแห่งนี้ที่เคยรุ่งเรือง
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาเถรวาทที่ยังคงอธิบายได้ด้วยทรากปรักหักพังของเจดีย์ทรงต่างๆอีกทั้ง
มณฑปและศาสนสถานอื่นๆโดยเฉพาะอานันทเจดีย์ที่ได้รับการบูรณะให้คงความงดงามอลังการตามอิทธิพล
ของศิลปะอินเดียอย่างครบถ้วน รายการท่องเที่ยวประเทศพม่าส่วนใหญ่พลาดไม่ได้ที่จะจัดให้นักท่องเที่ยวได้
ไปกราบใหว้เจดีย์ชเวดากอง เพราะเป็นตัวอย่างของความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแน่นแฟ้ นของพุทธศาสนิกชน
กรมศิลปากรของประเทศพม่าถือเป็นนโยบายที่จะต้องปฏิสังขรศาสนสถานหลักๆอย่างเจดีย์ชเวดากองให้ดูเด่น
เป็นสง่าดังทองสุกปลั่งอยู่เสมอ ผู้ไปเยือนประเทศพม่าในช่วงที่กาลังบูรณะเจดีย์แห่งนี้อาจต้องผิดหวังที่ไม่ได้
เห็นความอลังการและความอิ่มเอิบในบุญที่ได้มาบูชาศาสนสถานแห่งนี้ หากติดอยู่ในรูปลักษณ์ของเจดีย์ชเวดา
15
กอง นักท่องเที่ยวจานวนไม่น้อยไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาความเชื่อก็เพื่อหวังเพิ่มบุญบารมีเพื่อชาตินี้
และชาติหน้า วัดที่โด่งดังด้วยพระศรีอริยเมตรัยมักเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวผู้ปวรณาจะได้รับความสุข
สบายในภพหน้า ส่วนการทาบุญทาทานด้วยการปล่อยโค กระบือ ปล่อยนก และกุ้งหอยปูปลา ในหลายๆโอกาส
เช่นในวันเกิดหรือในเทศกาลงานบุญที่จัดขึ้นตามวัดต่างๆ ของนักท่องเที่ยวบางรายอาจจะเนื่องด้วยประสงค์ที่
จะชาระชะล้างความไม่ดีงามที่เคยกระทามา
รายการท่องเที่ยววัฒนธรรมที่หลายบริษัทจัดขึ้นนอกจากจะให้ไปเยือนสถานที่สาคัญมีชื่อเสียงทั่วไป
แล้วปลายทางของการท่องเที่ยวอีกส่วนหนึ่งก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับศาสนาความเชื่อและมักเป็นเป็น
การท่องเที่ยวนานาชาติ บริษัททัวร์ชาวยิวส์ต่างก็จัดให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยือนวิหารในนครเยรูซาเล็ม ส่วนการ
ท่องเที่ยวเนื่องด้วยคริสศาสนาก็เน้นการไปเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่น กรุงเบธธิแรมที่อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในแคว้นจูเดียประมาณสิบกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ประสูตรของพระเยซู นอกจากนี้
ยังจัดให้ไปเยือนตาบลแนสอะเร็ธ(Nazareth) ที่ประทับของพระเยซูในปาเลสไตน์หลังหนีภัยมาจากกรุงเบธธิ
แรม และแหล่งท่องเที่ยวท้ายสุดก็คงไม่พ้นหมู่บ้านบีทานี(Bethany)ที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันของประเทศจอร์แดน ซึ่ง
เชื่อว่าเป็นที่ฟื้ นคืนชีพของพระเยซู สาหรับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาพุทธจากประเทศไทยหลายบริษัทได้
สนองตอบความต้องการนักท่องเที่ยวให้ได้ไปเยือนพุทธภูมิแดนพุทธองค์ เส้นทางแสวงบุญ ตามเส้นทางของ
สังเวชนียสถานต่างๆ ซึ่งเริ่มต้นที่ตาบลลุมพินีอันเป็นที่สถานที่ประสูติ ต่อด้วยพุทธคยาอันเป็นสถานที่ตรัสรู้
จากนั้นก็ไปเยือนสารนาถสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเทศนาสั่งสอนเป็นครั้งแรก และรายการทัวร์ก็จะจบลงที่
กุสินาราอันเป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า รายการท่องเที่ยวจากประเทศไทยให้ไปเยือนสาธารณรัฐ
ประชาธิไตยประชาชนลาวนอกจากจะจัดรายการให้ตรงกับเทศกาลงานบุญสาคัญๆ เช่น เข้าพรรษาและออก
พรรษาแล้วสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ยังคงนับเนื่องอยู่ในการท่องเที่ยวเชิงศาสนาเช่นกัน ทั้งนี้ดังจะ
ยกตัวอย่างของการท่องเที่ยวจากบริษัทแห่งหนึ่งดังข้อมูลต่อไปนี้
16
เยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3 วัน
หลวงพระบาง มรดกโลก
วันที่หนึ่ง กรุงเทพฯ-หลวงพระบาง-วัดใหม่-วัดวิชุน-วัดเชียงทอง
08.30 น. พร้อมคณะที่สนามบินดอนเมือง เคาน์เตอร์สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส 2 แถวที่ 10พบเจ้าหน้าที่
บริษัทคอยต้อนรับและอานวยความสะดวก
10.40 น. ออกเดินทางสู่เมืองหลวงพระบาง โดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส์ เที่ยวบินที่ PG632
12.30 น. ถึงสนามบินหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร
13.30 น. อาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
บ่าย นาชมวัดใหม่สุวรรณภูมาราม สร้างโดยพระเจ้าอนุรุทธ์ ในปี พ.ศ.2337 และบูรณะในสมัยพระเจ้า
มันตา ทุราช ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ทั้งโปรดให้เปลี่ยนชื่อจากเดิมว่า “วัดสุวรรณภุมมา
ราม” เป็น “วัดใหม่สุวรรณภูมาราม” วัดแห่งนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระบางระยะหนึ่งในสมัยของเจ้า
มหาชีวิตสักรินทร์ (คาสุก) ซึ่งครองราชย์ในช่วง พ.ศ.2431-2448,นาชมวัดวิชุน สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า
วิชุนราช ราว พ.ศ.2046-2047 มีพระเจดีย์องค์ใหญ่รูปทรงคล้ายแตงโม ชาวลาวเรียกว่า “พระธาตุหมาก
โม” และเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบางอีกทั้งเป็นแหล่งรวบรวมผลงานฝีมือสกุลช่างต่างๆ นาชมวัด
เชียงทอง วัดคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง บริเวณที่ตั้งของวัดอยู่ที่ดอนหัวโค้งของแผ่นดินที่มีแม่น้า
คานมาบรรจบกับแม่น้าโขง และเป็นศูนย์รวมของศิลปกรรมแห่งอาณาจักรล้านช้าง ความงามของวัดอยู่
ที่ความสงบ สง่า สะอาด มีการวางผัง ออกแบบ และการบารุงรักษาอย่างดีเยี่ยม ภายในพระอุโบสถ
ตกแต่งด้วยภาพเขียนสีทองบนพื้นชาดแดงด้วยลวดลายอันสูงส่งของราชสานักพระไชยเชษฐา ชมวิหาร
ประดับกระจก หอพระนอน ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปสาริดปางไสยาสน์อันงดงามที่สุดของเมือง
หลวงพระบางขนาดเท่าคนจริง ชมโรงราชรถและพระโกศที่ใช้ในพระราชพิธีศพของอดีตกษัตริย์ลาว
ชมฝีมือการแกะสลักไม้เล่าเรื่องภาพรามเกียรติ์นาชมวัดพระบาทใต้ นมัสการพระพุทธบาท อันเป็นที่มา
ของชื่อวัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้าโขงชมพระอาทิตย์อัสดงอันสวยงาม จากนั้นนาเข้าสู่ที่พัก
17
18.30 น. อาหารค่าที่ภัตตาคาร
วันที่สอง ตักบาตรข้าวเหนียว-น้าตกตาดกวงสี-ล่องเรือชมแม่น้าโขง-ถ้าติ่ง
05.30 น. เชิญท่านร่วมทาบุญตักบาตรร่วมกับชาวเมืองหลวงพระบาง ที่จะพากันออกมารอตักบาตรกับ
พระภิกษุสามเณรนับร้อยๆ รูป ซึ่งนับเป็นภาพอันน่าประทับใจและมีชีวิตชีวาของเมืองหลวง
พระบาง โดยสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของสังคมที่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา จากนั้นเชิญ
ท่านเดินชมตลาดเช้า ชมบรรยากาศของชาวบ้านที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภค
08.00 น. อาหารเช้าในโรงแรม
09.00 น. นาเดินทางสู่น้าตกตาดกวงสี น้าตกขนาดกลางที่มีความกว้างประมาณ 70 เมตร มี 2 ชั้นชั้นที่ 1
สูง 50 เมตร และชั้นที่ 2 สูง 30 เมตร ชมความสวยงามของน้าตกที่ใสสะอาดและมีสีเขียวคล้ายมรกต
จากนั้นนาเดินทางกลับสู่หลวงพระบาง
12.00 น. อาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
บ่าย นาชมหัตถกรรมพื้นบ้านที่หมู่บ้านผานม ซึ่งเป็นหมู่บ้านไทยลื้อที่อพยพมาจากสิบสอง
ปันนา มีชื่อเสียงในด้านการทอผ้าลวดลายสวยงามมากและราคาไม่แพง เชิญเลือกซื้อผ้าทอเป็นของฝาก
จากนั้นนาเดินทางสู่บ้านซ่างไห ชุมชนริมแม่น้าโขง ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้าโขงและ
มีอาชีพการหมักเหล้าสาโท ต้มเหล้าโรงจาหน่ายพร้อมกันนั้นยังเป็นแหล่งรวมสินค้าพื้นเมืองจาพวกผ้า
ทอลวดลายสวยงามมากมายจากนั้นนาท่านล่องเรือชมเกาะแก่งและทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้าโขงมุ่งหน้าสู่ถ้า
ติ่ง ซึ่งเป็นถ้าบนหน้าผาริมฝั่งแม่น้าโขงซึ่งมีอยู่ 2 ถ้า คือ ถ้าบนและถ้าล่าง เคยมีพระพุทธรูปทอง เงิน
นาก แต่ปัจจุบันเหลืออยู่แค่เพียงพระพุทธรูปไม้จานวนนับพันองค์ จากนั้นเชิญอิสระตามอัธยาศัยกับ
การเดินชมตลาดหลวงพระบาง เชิญเลือกซื้อของฝากคนทางบ้านที่เป็นผลงานศิลปหัตถกรรมของ
ท้องถิ่น เช่น เครื่องแกะสลักไม้ เครื่องเงิน และผ้าทอราคาถูก
18.00 น. อาหารค่าที่ภัตตาคาร แล้วนากลับสู่ที่พัก
วันที่สาม พระธาตุพูศรี-พระราชวังเก่าเจ้ามหาชีวิต-หลวงพระบาง-กรุงเทพฯ
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism
การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism

More Related Content

What's hot

Biology Lab: Plant DNA Extraction
Biology Lab:  Plant DNA ExtractionBiology Lab:  Plant DNA Extraction
Biology Lab: Plant DNA ExtractionNapasorn Juiin
 
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่Benjapron Seesukong
 
8ติวข้อสอบสสวทสารและแยกสาร
8ติวข้อสอบสสวทสารและแยกสาร8ติวข้อสอบสสวทสารและแยกสาร
8ติวข้อสอบสสวทสารและแยกสารWichai Likitponrak
 
ใบงานที่ 2-3 โครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 2-3 โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่ 2-3 โครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 2-3 โครงงานคอมพิวเตอร์ทาม ได้ไหมดาว
 
บทที่ 2 แสง ม.2
บทที่ 2 แสง ม.2บทที่ 2 แสง ม.2
บทที่ 2 แสง ม.2Wichai Likitponrak
 
การคำนวณกระจกเว้า
การคำนวณกระจกเว้าการคำนวณกระจกเว้า
การคำนวณกระจกเว้าsripai52
 
เกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน การประกวดนิทรรศการทางวิชาการ
เกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน การประกวดนิทรรศการทางวิชาการเกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน การประกวดนิทรรศการทางวิชาการ
เกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน การประกวดนิทรรศการทางวิชาการDuangnapa Inyayot
 
11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2
11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน211.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2
11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2Wichai Likitponrak
 
แฟ้มสะสมผลงานเสร็จแล้วจ้าDoc
แฟ้มสะสมผลงานเสร็จแล้วจ้าDocแฟ้มสะสมผลงานเสร็จแล้วจ้าDoc
แฟ้มสะสมผลงานเสร็จแล้วจ้าDocIsabelleBest
 
เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกBac.Gram+
เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกBac.Gram+เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกBac.Gram+
เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกBac.Gram+mekushi501
 
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศWan Kanlayarat
 
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียงเฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียงโรงเรียนเทพลีลา
 
ใบความรู้ การเก็บรักษาเสื้อผ้า
ใบความรู้  การเก็บรักษาเสื้อผ้าใบความรู้  การเก็บรักษาเสื้อผ้า
ใบความรู้ การเก็บรักษาเสื้อผ้าDuangsuwun Lasadang
 
แผนภาพกระบวนการผลิตขนมปัง
แผนภาพกระบวนการผลิตขนมปังแผนภาพกระบวนการผลิตขนมปัง
แผนภาพกระบวนการผลิตขนมปังPhisitasak Wisatsukun
 
โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 5
โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 5โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 5
โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 5suparada
 
สมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่นสมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่นbenjamars nutprasat
 

What's hot (20)

Biology Lab: Plant DNA Extraction
Biology Lab:  Plant DNA ExtractionBiology Lab:  Plant DNA Extraction
Biology Lab: Plant DNA Extraction
 
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
พืชใบเลี้ยงเดี่ยวและพืชใบเลี้ยงคู่
 
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
5แบบทดสอบส่วนประกอบของเซลล์
 
8ติวข้อสอบสสวทสารและแยกสาร
8ติวข้อสอบสสวทสารและแยกสาร8ติวข้อสอบสสวทสารและแยกสาร
8ติวข้อสอบสสวทสารและแยกสาร
 
ใบงานที่ 2-3 โครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 2-3 โครงงานคอมพิวเตอร์ใบงานที่ 2-3 โครงงานคอมพิวเตอร์
ใบงานที่ 2-3 โครงงานคอมพิวเตอร์
 
บทที่ 2 แสง ม.2
บทที่ 2 แสง ม.2บทที่ 2 แสง ม.2
บทที่ 2 แสง ม.2
 
Kingdom monera
Kingdom moneraKingdom monera
Kingdom monera
 
การคำนวณกระจกเว้า
การคำนวณกระจกเว้าการคำนวณกระจกเว้า
การคำนวณกระจกเว้า
 
เกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน การประกวดนิทรรศการทางวิชาการ
เกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน การประกวดนิทรรศการทางวิชาการเกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน การประกวดนิทรรศการทางวิชาการ
เกณฑ์การพิจารณาให้คะแนน การประกวดนิทรรศการทางวิชาการ
 
11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2
11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน211.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2
11.โครงสรา้งและหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ ตอน2
 
แฟ้มสะสมผลงานเสร็จแล้วจ้าDoc
แฟ้มสะสมผลงานเสร็จแล้วจ้าDocแฟ้มสะสมผลงานเสร็จแล้วจ้าDoc
แฟ้มสะสมผลงานเสร็จแล้วจ้าDoc
 
เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกBac.Gram+
เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกBac.Gram+เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกBac.Gram+
เชื้อแบคทีเรียแกรมบวกBac.Gram+
 
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
 
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียงเฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
เฉลยเอกสารประกอบสื่อสังคมออนไลน์เรื่องคลื่นกลและเสียง
 
ใบความรู้ การเก็บรักษาเสื้อผ้า
ใบความรู้  การเก็บรักษาเสื้อผ้าใบความรู้  การเก็บรักษาเสื้อผ้า
ใบความรู้ การเก็บรักษาเสื้อผ้า
 
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
 
การสืบพันธ์
การสืบพันธ์การสืบพันธ์
การสืบพันธ์
 
แผนภาพกระบวนการผลิตขนมปัง
แผนภาพกระบวนการผลิตขนมปังแผนภาพกระบวนการผลิตขนมปัง
แผนภาพกระบวนการผลิตขนมปัง
 
โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 5
โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 5โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 5
โครงงานพัฒนาเครื่องมือ 5
 
สมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่นสมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่น
 

Viewers also liked

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับวิถีไทย
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับวิถีไทยการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับวิถีไทย
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับวิถีไทยKorawan Sangkakorn
 
การท่องเที่ยวแบบ Slow Tourism สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ
การท่องเที่ยวแบบ Slow Tourism สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุการท่องเที่ยวแบบ Slow Tourism สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ
การท่องเที่ยวแบบ Slow Tourism สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุKorawan Sangkakorn
 
Sustainable tourism sheet 2558
Sustainable tourism sheet 2558Sustainable tourism sheet 2558
Sustainable tourism sheet 2558Somyot Ongkhluap
 
ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานการจัดการ Homestay
ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานการจัดการ Homestayความรู้พื้นฐาน มาตรฐานการจัดการ Homestay
ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานการจัดการ HomestayKorawan Sangkakorn
 
การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์Calvinlok
 
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศsuthata habsa
 
2015 Upload Campaigns Calendar - SlideShare
2015 Upload Campaigns Calendar - SlideShare2015 Upload Campaigns Calendar - SlideShare
2015 Upload Campaigns Calendar - SlideShareSlideShare
 
What to Upload to SlideShare
What to Upload to SlideShareWhat to Upload to SlideShare
What to Upload to SlideShareSlideShare
 
Getting Started With SlideShare
Getting Started With SlideShareGetting Started With SlideShare
Getting Started With SlideShareSlideShare
 

Viewers also liked (10)

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับวิถีไทย
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับวิถีไทยการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับวิถีไทย
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับวิถีไทย
 
การท่องเที่ยวแบบ Slow Tourism สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ
การท่องเที่ยวแบบ Slow Tourism สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุการท่องเที่ยวแบบ Slow Tourism สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ
การท่องเที่ยวแบบ Slow Tourism สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ
 
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
 
Sustainable tourism sheet 2558
Sustainable tourism sheet 2558Sustainable tourism sheet 2558
Sustainable tourism sheet 2558
 
ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานการจัดการ Homestay
ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานการจัดการ Homestayความรู้พื้นฐาน มาตรฐานการจัดการ Homestay
ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานการจัดการ Homestay
 
การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
 
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
 
2015 Upload Campaigns Calendar - SlideShare
2015 Upload Campaigns Calendar - SlideShare2015 Upload Campaigns Calendar - SlideShare
2015 Upload Campaigns Calendar - SlideShare
 
What to Upload to SlideShare
What to Upload to SlideShareWhat to Upload to SlideShare
What to Upload to SlideShare
 
Getting Started With SlideShare
Getting Started With SlideShareGetting Started With SlideShare
Getting Started With SlideShare
 

Similar to การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism

วิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของโลก
วิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของโลกวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของโลก
วิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของโลกwathanasin38
 
หนังสือ ข้อมูลสมุนไพรจีน (เมชฌ สอดส่องกฤษ พ.ศ. 2558) สำนักงานส่งเสริมบริหารงา...
หนังสือ ข้อมูลสมุนไพรจีน (เมชฌ สอดส่องกฤษ พ.ศ. 2558) สำนักงานส่งเสริมบริหารงา...หนังสือ ข้อมูลสมุนไพรจีน (เมชฌ สอดส่องกฤษ พ.ศ. 2558) สำนักงานส่งเสริมบริหารงา...
หนังสือ ข้อมูลสมุนไพรจีน (เมชฌ สอดส่องกฤษ พ.ศ. 2558) สำนักงานส่งเสริมบริหารงา...Vorawut Wongumpornpinit
 
สุทธิวัสส์ คำภา นาฬิกาชีวิต
สุทธิวัสส์ คำภา   นาฬิกาชีวิตสุทธิวัสส์ คำภา   นาฬิกาชีวิต
สุทธิวัสส์ คำภา นาฬิกาชีวิตTongsamut vorasan
 
พื้นฐานชีวิต 15.pptx
พื้นฐานชีวิต 15.pptxพื้นฐานชีวิต 15.pptx
พื้นฐานชีวิต 15.pptxSunnyStrong
 
Biodiversity.pptkokokiojiojiojiojiojijkjkij
Biodiversity.pptkokokiojiojiojiojiojijkjkijBiodiversity.pptkokokiojiojiojiojiojijkjkij
Biodiversity.pptkokokiojiojiojiojiojijkjkijTonnhawKimpai
 
อาหารสุขภาพ 5
อาหารสุขภาพ 5อาหารสุขภาพ 5
อาหารสุขภาพ 5Utai Sukviwatsirikul
 
โภชนศาสตร์ ในภูมิปัญญาไทย.pdf
โภชนศาสตร์ ในภูมิปัญญาไทย.pdfโภชนศาสตร์ ในภูมิปัญญาไทย.pdf
โภชนศาสตร์ ในภูมิปัญญาไทย.pdfVorawut Wongumpornpinit
 
มรดกอารยธรรมโลก
มรดกอารยธรรมโลกมรดกอารยธรรมโลก
มรดกอารยธรรมโลกHeritagecivil Kasetsart
 
ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเบื้องต้น
 ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเบื้องต้น  ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเบื้องต้น
ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเบื้องต้น Utai Sukviwatsirikul
 
ปลิงบำบัด 4/5
ปลิงบำบัด 4/5ปลิงบำบัด 4/5
ปลิงบำบัด 4/5aeay555
 
อาหารสุขภาพ 1
อาหารสุขภาพ 1อาหารสุขภาพ 1
อาหารสุขภาพ 1Utai Sukviwatsirikul
 
ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
  ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok  ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartokpitsanu duangkartok
 

Similar to การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism (15)

วิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของโลก
วิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของโลกวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของโลก
วิวัฒนาการทางเศรษฐกิจของโลก
 
หนังสือ ข้อมูลสมุนไพรจีน (เมชฌ สอดส่องกฤษ พ.ศ. 2558) สำนักงานส่งเสริมบริหารงา...
หนังสือ ข้อมูลสมุนไพรจีน (เมชฌ สอดส่องกฤษ พ.ศ. 2558) สำนักงานส่งเสริมบริหารงา...หนังสือ ข้อมูลสมุนไพรจีน (เมชฌ สอดส่องกฤษ พ.ศ. 2558) สำนักงานส่งเสริมบริหารงา...
หนังสือ ข้อมูลสมุนไพรจีน (เมชฌ สอดส่องกฤษ พ.ศ. 2558) สำนักงานส่งเสริมบริหารงา...
 
สุทธิวัสส์ คำภา นาฬิกาชีวิต
สุทธิวัสส์ คำภา   นาฬิกาชีวิตสุทธิวัสส์ คำภา   นาฬิกาชีวิต
สุทธิวัสส์ คำภา นาฬิกาชีวิต
 
พื้นฐานชีวิต 15.pptx
พื้นฐานชีวิต 15.pptxพื้นฐานชีวิต 15.pptx
พื้นฐานชีวิต 15.pptx
 
Biodiversity.pptkokokiojiojiojiojiojijkjkij
Biodiversity.pptkokokiojiojiojiojiojijkjkijBiodiversity.pptkokokiojiojiojiojiojijkjkij
Biodiversity.pptkokokiojiojiojiojiojijkjkij
 
Biodiversity.ppt
Biodiversity.pptBiodiversity.ppt
Biodiversity.ppt
 
อาหารสุขภาพ 5
อาหารสุขภาพ 5อาหารสุขภาพ 5
อาหารสุขภาพ 5
 
โภชนศาสตร์ ในภูมิปัญญาไทย.pdf
โภชนศาสตร์ ในภูมิปัญญาไทย.pdfโภชนศาสตร์ ในภูมิปัญญาไทย.pdf
โภชนศาสตร์ ในภูมิปัญญาไทย.pdf
 
มรดกอารยธรรมโลก
มรดกอารยธรรมโลกมรดกอารยธรรมโลก
มรดกอารยธรรมโลก
 
ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเบื้องต้น
 ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเบื้องต้น  ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเบื้องต้น
ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเบื้องต้น
 
ปลิงบำบัด 4/5
ปลิงบำบัด 4/5ปลิงบำบัด 4/5
ปลิงบำบัด 4/5
 
02life
02life02life
02life
 
What is life
What is lifeWhat is life
What is life
 
อาหารสุขภาพ 1
อาหารสุขภาพ 1อาหารสุขภาพ 1
อาหารสุขภาพ 1
 
ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
  ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok  ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
ความหลากหลายของปรสิต ก่อให้เกิดโรคในคน by Pitsanu Duangkartok
 

การท่องเที่ยวทางเลือก: ศาสนาวัฒนธรรม Religion tourism

  • 2. 2 ความนา วัฒนธรรมมีขอบเขตที่กว้างขวางด้วยคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างทาขึ้น มนุษย์สร้างสรรค์วัฒนธรรม มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ผ่านสมัยประวัติศาสตร์เข้าสู่ยุคปัจจุบัน โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์โลกมีความ ต้องการทางร่างกาย 4 อย่างคือ ความหิวโหย ความร้อน หนาว ความหวาดกลัว และความป่วยไข้การสร้างสรรค์ ปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นการกระทาที่ช่วยให้ร่างกายอยู่รอดและเจริญ พันธุ์ต่อไป กระนั้นตลอดชีวิตมนุษย์ยังต้องการพักผ่อนและเพลิดเพลิน เพราะการเดินทางท่องเที่ยวเป็นโอกาส หนึ่งที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับชีวิตจากประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามา สิ่งที่พบอาจได้แก่ ธรรมชาติ หรือสิ่งที่เกิด จากการกระทาของมนุษย์ที่เรียกตามศัพท์บัญญัติว่าวัฒนธรรม คือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น มนุษย์สร้างสิ่ง ต่างๆ เพื่ออานวยความสะดวกสบายให้กับชีวิต สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์มีทั้งวัตถุที่สามารถหยิบถือหรือลองชิม เพื่อรู้ผลได้โดยเร็ว และส่วนที่ไม่ใช่วัตถุแต่ก็สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ความคิด และจินตนาการ อาหาร บ้านเรือน เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยปัจจัยจาเป็นต่อการดาเนินชีวิต เป็นของที่ ทาความคุ้นเคยได้ไม่ยากนัก แต่คงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรับรู้เรื่องราวที่รังสรรค์ออกมาในรูปของศิลปะ ประเพณี และพิธีกรรม ซึ่งแฝงไว้ซึ่งค่านิยมอุดมการณ์ และปรัชญานานาประการ ปกติระหว่างการเดินทาง ท่องเที่ยว ผู้มาเยือนจะได้มีประสบการณ์กับธรรมชาติและวัฒนธรรมในถิ่นที่ไปเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ จะได้ ประสบการณ์ใหม่ๆมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อย่างแรก คือ ความอยากรู้อยากเห็นที่จะ กระตุ้นให้ตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ อย่างที่สอง คือ ความแปลกแตกต่าง สิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากประสบการณ์เก่าโดย สิ้นเชิงย่อมเร้าให้อยากรู้จักมากเป็นพิเศษ ยิ่งสามารถทาความคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ได้เร็วและเห็นว่าเป็นของมี ประโยชน์ก็อาจรับประสบการณ์ใหม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การเดินทางเพื่อหาประสบการณ์ในต่างถิ่นเป็น ความต้องการที่มีอยู่ตลอด เพราะความซ้าซากผลักดันให้ใฝ่หาสิ่งใหม่เพื่อเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็น โดยทั่วไปมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยการเรียนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาและการลอกเลียนแบบอย่าง ผู้อื่นด้วยการลองผิดลองถูก รู้เรื่องนี้แล้วก็อยากรู้อยากทาอย่างอื่นอีกการได้เดินทางท่องเที่ยวเปิดโอกาสให้ได้รู้ เห็นความเป็นไปของโลกรอบตัวเพิ่มขึ้น การเดินทางท่องเที่ยวเป็นหนทางนาไปสู่การเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ อย่างมาก คือทั้งได้เห็น ได้ฟัง และอาจได้ลองทาในสิ่งที่ประสบอยู่ ความสนุกเพลิดเพลินและการได้พักผ่อน ระหว่างเดินทาง ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้อย่างน่าพึงพอใจ อย่างน้อยก็ทาให้ห่างออกไปจากความจาเจระยะหนึ่ง
  • 3. 3 ข้อเขียนนี้มีเป้ าหมายนาเสนอเรื่องราวของการท่องเที่ยววัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับมิติต่างๆของศาสนา ความเชื่อโดยแบ่งเนื้อหาอกเป็นส่วนๆ กล่าวคือ ส่วนที่หนึ่ง อภิปรายแนวคิดองค์รวม(Holistic approach)และ แนวคิดวัฒนธรรมซึ่งเป็นแนวคิดสาคัญที่ใช้อรรถธิบายความเกี่ยวข้องระหว่างการท่องเที่ยวกับศาสนาความเชื่อ ส่วนที่สอง นาเสนอข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนาความเชื่อตามที่ปรากฏในสังคมต่างๆ ซึ่งจาเป็นต้องทราบถึง ความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมที่เข้าข่ายไสยศาสตร์(magic)และพฤติกรรมที่จัดว่าอยู่ในความหมายของศาสนา (religion) รวมทั้งบทบาทหน้าที่ศาสนาความเชื่อต่อสังคม ส่วนที่สาม เป็นข้อมูลสาคัญที่ชี้ให้เห็นการท่องเที่ยว เชิงศาสนาความเชื่อตามที่ปรากฏในโอกาสต่างๆ เช่นการท่องเที่ยวเชิงศาสนาความเชื่อยามปกติทั่วไป การ ท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่จัดขึ้นในเทศกาลงานประจาปี และการท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่จัดขึ้นในโอกาสพิเศษ(event tourism and invented tradition) ส่วนที่สี่ ว่าด้วยการจัดการท่องเที่ยวเชิงศาสนาอย่างยั่งยืน พร้อมเสนอแนวทาง การศึกษาวิจัยการท่องเที่ยวเชิงศาสนา เพื่ออภิปรายถึงความเป็นสากลของการท่องเที่ยวเชิงศาสนา ผู้เขียนได้นา ตัวอย่างการท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่ปรากฏในแหล่งท่องเที่ยวเด่นๆของโลกควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่ มีอยู่ในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย อนึ่งข้อเขียนนี้ได้ปรับบางส่วนมาจาก ตาราการท่องเที่ยววัฒนธรรม (พ.ศ.2552)ที่เป็นเอกสารใช้ในการเรียนการวิชาสอน การจัดการท่องเที่ยววัฒนธรรม ระดับบัณฑิตศึกษา และ ระดับมหาบัณฑิต ในคณะวิทยาการจัดการ และคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร รศ. ชนัญ วงษ์วิภาค มหาวิทยาลัยศิลปากร
  • 4. 4 1. กรอบแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรม วัฒนธรรมคือเรื่องราวของมนุษย์จึงย่อมมีแง่มุมด้านต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวตนหรือเป็น เอกลักษณ์ หากจะจัดกลุ่มการกระทาของมนุษย์ออกเป็น 7 หมวดหมู่ก็พอรวมได้ว่าเป็นการกระทาที่ว่าด้วยเรื่อง ของการทามาหากิน (เศรษฐกิจ) การจัดระเบียบความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและเครือญาติ การศึกษา การเมืองการปกครอง การสาธารณสุข นันทนาการ และศาสนาความเชื่อนักสังคมศาสตร์ชอบเปรียบเทียบการ ทางานของส่วนประกอบวัฒนธรรมดังกล่าวว่าคล้ายกันกับการทางานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่ทุกส่วน ต้องสัมพันธ์เกื้อกูลกันในอันที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในส่วนใดส่วนหนึ่งขององค์ประกอบ ก็จะส่งผลกระทบส่วนประกอบอื่นๆ ของโครงสร้างเดิม การพิจารณาวัฒนธรรมด้วยแนวคิดองค์รวม (holistic approach) หรือแนวคิดระบบ(system approach) ตามที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงปี ค.ศ.1930 (Leiper, 1995) อย่างที่กล่าวมานี้สาคัญอย่างมากต่อการกระทาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม โดยเฉพาะการจัดวัฒนธรรม ให้เป็นทรัพยากรสาหรับธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งเป็นการกระทาที่เข้าข่ายการประยุกต์วัฒนธรรมเพื่อให้เป็นไป ตามเป้าหมายของการพัฒนาขีดความสามารถของการท่องเที่ยว ดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าธุรกิจการท่องเที่ยว ต้องอาศัยการบริการจากงานด้านต่างๆ เป็นจานวนมาก อธิบายด้วยแนวคิดองค์รวมหรือระบบจึงเห็นได้ว่าการ ท่องเที่ยวเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ตลอดเวลา หากเปรียบระหว่างการ ท่องเที่ยวภายในประเทศและการท่องเที่ยวนานาชาติก็ยิ่งปรากฏชัดว่าการท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศจะมี ภารกิจที่ซับซ้อนที่ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันอย่างมากเพื่อให้การท่องเที่ยวก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ ในทานอง เดียวกัน ถ้าจะลองพิจารณาการท่องเที่ยววัฒนธรรมอย่างเป็นองค์รวมหรือเป็นระบบก็จะได้ภาพเครือข่ายที่โยง ใยบริบทของวัฒนธรรมด้านต่างๆที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนเช่นกัน บริบทวัฒนธรรมประการแรกที่ควรรับทราบคือแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมใหญ่และวัฒนธรรมย่อย เวลากล่าวถึงวัฒนธรรมของประเทศชาติใดๆ เช่น วัฒนธรรมจีน ญี่ปุ่น ลังกา พม่าขอม ฯลฯ ก็จะหมายความถึง แบบแผนการดาเนินชีวิตของคนในประเทศนั้นๆ โดยรวม เราจึงพอทราบว่ารัฐชาติแต่ละรัฐชาติมีเอกภาพทาง วัฒนธรรมอย่างไรที่พอระบุได้ในเบื้องต้นว่าแตกต่างไปจาเอกภาพทางวัฒนธรรมของคนในรัฐชาติอื่น บุคคลภายนอกเช่นชาวตะวันตกจึงพอเห็นในเบื้องต้นว่าวัฒนธรรมพม่า ลาว กัมพูชา และไทย ระดับรัฐชาตินั้น เป็นแบบแผนชีวิตที่มีอิทธิพลของความเชื่อที่เนื่องในพุทธศาสนาอยู่มาก อย่างไรก็ตามในรัฐชาติต่างๆ ก็มักจะ
  • 5. 5 ประกอบด้วยคนกลุ่มต่างๆ ที่ยังดาเนินชีวิตตามครรลองที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษเมื่ออยู่เฉพาะในกลุ่มคนพวก เดียวกันพุทธศาสนาแบบชาวบ้านมีอิทธิพลอยู่ในความคิดปรัชญาชีวิตของชาวพม่า ลาว กัมพูชา และไทย ขณะเดียวกันผู้คนในกลุ่มประเทศแถบนี้ก็ยังมีความเชื่อในภูตผีวิญญาณระดับต่างๆ อยู่ด้วยเช่นกันเฉพาะในเขต ประเทศไทยที่ประกอบด้วยผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ขุนเขาและในที่ราบลุ่มก็คงมีความเชื่อในอานาจเหนือ ธรรมชาติแตกต่างกันออกไป ความเชื่อในภูตผีวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายแฝงอยู่ในวงจรชีวิตทั้งใน ยามปกติและในภาวะวิกฤติรูปแบบต่างๆ ความมีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมใหญ่ท่ามกลางความหลากหลายแห่ง วัฒนธรรมย่อยของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากต่างแดนยิ่งนัก แต่ด้วย ข้อจากัดในแง่ของขนาดกลุ่มนักท่องเที่ยวและระยะเวลาที่ท่องเที่ยว จึงเป็นที่น่าสังเกตว่านักท่องเที่ยวที่มาเป็น หมู่คณะใหญ่ (mass tour) จะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของรัฐชาติขณะที่นักท่องเที่ยวทางเลือกซึ่งมาเป็นกลุ่มเล็กๆ และมีเวลามากพอที่จะไปเยือนตามแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่นก็ย่อมมีโอกาสได้รับรู้และซึมซับวัฒนธรรม ระดับชาติและระดับท้องถิ่นได้ ความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวและทรัพยากรท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมคือ สาระสาคัญที่ได้พิจารณาไว้ในบทที่ 3 บริบทวัฒนธรรมประการที่ 2 ที่สัมพันธ์กับการท่องเที่ยว คือแนวคิดที่ว่าด้วยวัฒนธรรมหลวงและ วัฒนธรรมราษฎร์ ตามพัฒนาการทางประวัติศาสตร์นั้นการจัดระเบียบทางสังคมได้แบ่งคนออกเป็น 2 ส่วน ใหญ่ๆ คือ ชนชั้นเจ้าขุนมูลนาย และชนชั้นบ่าวไพร่หรือสามัญชนทั่วไป ในอดีตชนชั้นเจ้านายมักมีโอกาสใน เรื่องต่างๆ และมาตรฐานการดาเนินชีวิตดีกว่าคนอื่นๆ ในสังคม การกระจุกตัวอยู่ท่ามกลางศูนย์รวมของประเทศ ชนชั้นเจ้านายจึงได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมที่มาจากภายนอก(ประเทศ) ไว้มาก มีประเพณีพิธีกรรมที่บ่งย้าความ เป็นทางการและความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งของความเป็นผู้นาอยู่เสมอ ประเพณีในราชสานักที่จัดขึ้นในโอกาสต่างๆ คือตัวอย่างยืนยันเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมหลวงส่วนหนึ่ง ส่วนวัฒนธรรมราษฎร์คือแบบอย่างการดาเนินชีวิต ของประชากรส่วนใหญ่ของสังคมที่อาศัยการเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพเป็นสาคัญ การจัดระเบียบชีวิตจึง สัมพันธ์กับดินฟ้ าอากาศและการทามาหากินอยู่มาก วัฒนธรรมราษฎร์น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนถึงการ ปรับตัวของคนในท้องถิ่นต่อสภาพแวดล้อม ดังจะเห็นได้จากการสร้างสรรค์ปัจจัย 4 เพื่อสนองความต้องการ จาเป็นของชีวิตส่วนใหญ่จะได้มาจากทรัพยากรธรรมชาติที่แวดล้อมผนวกกับภูมิปัญญาที่สืบสานมาแต่บรรพ บุรุษ ปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยก้าวหน้าขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคแถบนี้ก็คือ ทรัพยากร
  • 6. 6 ท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมหลวงและวัฒนธรรมราษฎร์ ในช่วงของการรณรงค์ปีการท่องเที่ยวไทยหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะจัดให้มีพิธีประเพณีของหลวงและของราษฎร์เป็นกรณีพิเศษอยู่เนืองๆ ใน โอกาสปกติที่มีพิธีประเพณีตามธรรมเนียมดั้งเดิมก็ชื่นชมกันว่าเป็นพิธีประเพณีที่เลิศหรูยิ่งในการจัดพิเศษเพื่อ ดึงดูดนักท่องเที่ยวนานาชาติ ก็เห็นว่าจัดงานกันได้อลังการยิ่งนัก กระนั้นก็เป็นที่น่าสังเกตว่ายิ่งปรุงแต่ง วัฒนธรรมมากเท่าไร ภาพที่ปรากฏออกมาก็ดูเหมือนจะเป็นของในอุดมคติมากกว่าที่เคยปรากฏจริงในยามปกติ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มาเป็นหมู่คณะใหญ่ก็น่าที่จะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมตามอุดมคติค่อนข้างมาก ขณะที่ นักท่องเที่ยวทางเลือกมีโอกาสที่จะได้รับรู้ความเป็นจริงจากเนื้อหาสาระของวัฒนธรรมมากกว่า บริบทวัฒนธรรมประการที่ 3 เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงและการ สืบเนื่อง วัฒนธรรมก่อเกิดจากมูลเหตุการประดิษฐ์คิดค้นและการรับแบบอย่างจากต่างถิ่น ความจาเป็นต่อความ อยู่รอด และการตอบสนองการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นปัจจัยผลักดันให้มนุษย์ต้องคิดหาหนทางเพื่อปรับตัวให้ ผ่านพ้นภาวะที่กาลังเผชิญ สังคมโลกก้าวหน้ามีพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างที่เห็นทุกวันนี้ก็เพราะการคิดค้นสิ่ง ใหม่ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น กระนั้นมนุษย์ทุกผู้ทุกนามก็มิได้มี ความสามารถที่จะเป็นนักประดิษฐ์มาตั้งแต่เกิด แต่ได้อาศัยการเลียนแบบอย่างจากผู้อื่นเพื่อปรับผันตนให้เท่าทัน ยุคสมัย พฤติกรรมเช่นนี้มีมาตั้งแต่บรรพกาลอย่างที่ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทยระบุไว้ว่า ในสมัยโบราณไทย รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียและขอมผสมผสานไปกับรากเหง้าวัฒนธรรมท้องถิ่น พอมาถึงยุครัตนโกสินทร์ คนจีนที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในสยามได้นาแบบแผนชีวิตใหม่ๆ เข้ามาเผยแพร่ โดยเฉพาะการค้าขายการช่าง อีกทั้งอาหารการกิน ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกที่ปรากฏอยู่ใน วัฒนธรรมหลวงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ก็ขยายขอบเขตจากศูนย์กลางของประเทศสู่สามัญชน เห็นได้ชัดจาก วัฒนธรรมการบริโภคที่เพิ่มปริมาณตามกระแสธารของโลกาภิวัตน์ กระนั้นหากพิจารณาแบบแผนชีวิตคนไทย อย่างลุ่มลึกก็จะพบว่า คนรุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบันก็ยังคงสืบสานภูมิปัญญาหลายอย่างที่บรรพบุรุษเคยถือ ปฏิบัติมาแต่กาลก่อน แม้ว่าความเป็นตัวตนของคนไทยสมัยใหม่จะไม่เข้มข้นเท่าคนยุคก่อนก็ตาม ในบรรดา แบบแผนชีวิตทั้งมวลนั้น การสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีอัธยาศัยด้วยไมตรีนับเป็นเสน่ห์หนึ่งที่ยังคงสร้างความ ประทับใจให้แก่แขกผู้มาเยือน การท่องเที่ยวพักผ่อนระยะยาว (long stay) ที่รัฐมีเป้ าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยว
  • 7. 7 ชาวต่างชาติผู้เกษียณอายุแล้วให้เข้ามาพานักในเมืองไทยได้ผลยิ่งขึ้นก็ด้วยวัฒนธรรมความเอื้ออารีแบบไทยๆ นั่นเอง 1. 1 ลักษณะสังคมและวัฒนธรรมไทยในบริบทของการท่องเที่ยว ดังได้กล่าวมาก่อนหน้านี้บ้างแล้วว่า วัฒนธรรมไทยมีพัฒนาการมายาวนานจากการผสมผสานพื้นฐาน ของท้องถิ่นกับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียและขอม ต้นสมัยรัตนโกสินทร์วัฒนธรรมจีนเริ่มเข้ามามีบทบาท ต่อวิถีชีวิตของคนไทยยิ่งขึ้นตามการอพยพเข้ามาของชาวจีนโพ้นทะเลช่วงต่างๆ (สกินเนอร์, 2548) พอมาถึง สมัยรัชกาลที่ 4 ภัยคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยมทาให้ไทยต้องเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมให้แบบแผนความ เป็นอยู่ของชาวตะวันตกเข้ามาแทรกตัวอยู่ในแวดวงสังคมไทย การผสมเอาลักษณะทางวัฒนธรรมต่างๆ เข้ามา รับใช้ผู้คนในสังคมไทยมีปรากฏอยู่ในเรื่องต่างๆ ตามที่ผู้รับวัฒนธรรมอย่างคนไทยจะเห็นเหมาะสม อาทิ ใน เรื่องของศาสนาก็เห็นได้ว่าพุทธศาสนานิกายเถรวาทและศาสนาพราหมณ์จากอินเดียได้เข้ามาฝังรกรากใน ดินแดนแถบนี้ตั้งแต่สมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ 9-11 ผนวกเข้ากับความเชื่อในผีสางเทวดาที่มีอยู่ในท้องถิ่นมา แต่ดั้งเดิม สิ่งเหล่านี้สะท้อนอยู่ในปรัชญา ความเชื่อ และการคิดพิจารณาชีวิตในหมู่ชาวไทย นอกจากนี้ยังปรากฏ อยู่ในศิลปะแบบประเพณีซึ่งก็คือพุทธศิลป์ นั่นเอง รูปแบบสถาปัตยกรรม วัดวาอารามโบสถ์ วิหาร ศาลาการ เปรียญ หอไตร ตู้พระธรรม ธรรมมาสน์ พระพุทธรูป จิตรกรรมฝาผนัง งานปูนปั้นและงานแกะสลักไม้เพื่อ ประดับตกแต่งอารามทั้งหลาย เหล่านี้คือผลรวมของการสังเคราะห์ศาสนาความเชื่อดังกล่าวเข้าด้วยกัน อิทธิพล ของอารยธรรมขอมหรือเขมรโบราณเด่นชัดอยู่ในเรื่องของภาษา นาฏศิลป์ และสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะคา ราชาศัพท์ทั้งหลายและรูปทรงของพระปรางค์ เช่นพระปรางค์ 3 ยอด จังหวัดลพบุรี และพระปรางค์วัดอรุณ ราชวรารามฯ ตามคติความเชื่อเดิมพระมหากษัตริย์คือเทวราชาผู้มีบารมีที่ลงมาจุติในโลกมนุษย์ ปรางค์คือ สัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุที่สถิตแห่งเทวะผู้ยิ่งใหญ่ ในราชธานีสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ จึงพบว่ามี การสร้างพระปรางค์เพื่อแสดงสถานภาพของผู้ปกครองอยู่เสมอ ย้อนอดีตไปเก่าแก่กว่ายุคของการตั้งราชธานี ไทย นักโบราณคดีพบว่าอิทธิพลของอารยธรรมเขมรโบราณได้แผ่ขยายทั่วไปในดินแดนอาณาเขตประเทศไทย ตั้งแต่ภาคอีสานลงมายังภาคกลางและไปสิ้นสุดอยู่ทางภาคตะวันตกและภาคกลางตอนล่าง ทั้งนี้ดังพอจะแสดง ได้ด้วยหลักฐานจากเขาพระวิหาร (ซึ่งอยู่ในดินแดนประเทศไทย) ปราสาทเขาพนมรุ้งปราสาทหินพิมาย ปราสาทเมืองสิงห์ และโบราณสถานที่วัดกาแพงแลง อาเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรีวัฒนธรรมจีนนั้นแฝงอยู่ในวิถี
  • 8. 8 ชีวิตชาวไทยทุกระดับ เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างและปฏิสังขรณ์วัดเป็น จานวนมากด้วยรูปลักษณ์ศิลปะและการตกแต่งแบบจีน อาทิ วัดกัลยาณมิตร พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมแบบ จีน อาคารก่ออิฐถือปูน หน้าบันเป็นปูนปั้นลวดลายดอกไม้ ประดับกระเบื้องเคลือบสลับสีลายจีน พระอุโบสถ วัดนางนอง เขตจอมทองเป็นศิลปะในสมัยรัชกาลที่ 3 บานประตูด้านนอกประดับมุก บานประตูและผนังด้านใน เขียนเรื่องจีนเช่น สามก๊ก ฮกลกซิ่ว พระวิหารก็เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน หน้าบันประดับปูนปั้นเป็นรูปมังกร ส่วนเจดีย์รูปลักษณ์แบบจีนประดับด้วยกระเบื้องสี สถาปัตยกรรมที่วัดเทพธิดาราม วัดบวรนิเวศวิหารวัดสุทัศน เทพวราราม วัดพิชยญาติการาม และวัดราชโอรสาราม ฯลฯ ก็มีศิลปะจีนปรากฏอยู่เช่นกันการใช้กระจกสี หอย มุก และศิลปะลายรดน้าปิดทอง รวมทั้งการใช้แล็กเกอร์เคลือบเงาล้วนเป็นศาสตร์ในศิลปะจีนทั้งสิ้น สมัยรัชกาล ที่ 5 ลงมาอิทธิพลของศิลปะจีนที่มีต่องานสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์อาจน้อยลง ตัวอย่างศิลปะจีนที่สะดุดตา เช่น พระที่นั่งเวหาสน์จารูญ ในพระราชวังบางปะอินแต่กระนั้นก็มีการสั่งเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้นจากประเทศจีน เข้ามาเป็นเครื่องใช้ในพระราชวัง ตาหนักเจ้านายและบ้านขุนนางกันอย่างแพร่หลาย (แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, 2536 : 11) การรับวัฒนธรรมแบบแผนวัฒนธรรมจากแหล่งต่างๆมาปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับชีวิตแบบไทยๆที่ ประจักษ์ในมรดกวัฒนธรรมทั้งหลายเป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นกับสังคมวัฒนธรรมในภูมิภาคอื่นๆของโลก เช่นกัน สิ่งทั้งหลายทั้งมวลจึงโยงใยอย่างแยกไม่ออกดังที่จะอภิปรายในการท่องเที่ยวเชิงศาสนาต่อไปนี้ 2. ศาสนาและความเชื่อ ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ประกอบด้วยความเชื่อและแบบแผนพฤติกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ ความเชื่อ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อจะควบคุมจักวาลที่ในความเป็นจริงแล้วอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ใน ความหมายอย่างกว้างๆแล้วการกระทาในศาสนาความเชื่อมักเกี่ยวข้องกับการเซ่นสรวงบูชา หรือการสร้างสรรค์ สัมพันธภาพ ระหว่างมนุษย์กับอานาจศักดิ์สิทธิทั้งหลาย ซึ่งมนุษย์เชื่อว่าสามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลเหนือ วิถีทางของธรรมชาติ และวิถีชีวิตของมนุษย์ ศาสนาความเชื่อเป็นสิ่งสากลที่พบได้ในสังคมวัฒนธรรมทุกแห่ง หนทั่วโลกตั้งแต่เริ่มมีเผ่าพันธุ์มนุษย์กระทั่งปัจจุบัน ในสังคมที่ดารงชีวิตด้วยการหาของป่าล่าสัตว์ศาสนาคือ องค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตประจาวันทุกแง่มุม ครั้นสังคมพัฒนาไปสู่ความซับซ้อนยิ่งขึ้นศาสนาก็ค่อยๆลด บทบาทการครอบงาชีวิตประจาวัน และมีแนวโน้มที่จากัดอยู่ในโอกาสพิเศษต่างๆ ความเชื่อในอานาจเหนือ ธรรมชาติและพลังต่างๆคือลักษณะเด่นของศาสนาความเชื่อ โดยการสวดอ้อนวอนเซ่นสรวงบูชา และประกอบ
  • 9. 9 พิธีโดยเป็นช่องทางที่ผู้คนใช้เพื่อวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อโลกเหนือธรรมชาติ เราอาจจะจัดกลุ่มสิ่งเหนือ ธรรมชาติออกเป็นสามประเภทคือ 1.เทพเจ้า เทวดา ภูตผี และวิญญานบรรพบุรุษ พระเจ้า และเทพทั้งหลายเป็น สิ่งเหนือธรรมชาติที่ห่างไกลมนุษย์ และเชื่อว่ามีอานาจควบคุมจักวาล หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของจักรวาล เช่น เทพเจ้าแห่งทะเล เช่น โพไซดอน เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า เช่น ซุส เทพเจ้าสายน้า เช่น เจ้าแม่ทับทิม และเทพเจ้าแห่ง ความรู้และสุนทรียทั้งหลาย เช่น พระพิฆเณศ ส่วนความเชื่อในผีสางเทวดา เป็นความเชื่อที่เป็นส่วนหนึ่งของ ธรรมชาติ 2.ความเชื่อในผีบรรพบุรุษเป็นความคิดความเชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจากร่างกายและวิญญานเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้ววิญญานจะละจากสังขาร และยังคงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการกระทาต่างๆของมนุษย์ 3.ความเชื่อ ในวิญญานบรรพบุรุษจะปรากฏอยู่ในกลุ่มสังคมที่จัดระเบียบครอบครัวและเครือญาติที่ให้ความสาคัญกับบรรพ บุรุษ ดังจะพบได้ในสังคมของชาวจีน ชาวเวียดนาม ชาวมอญ และลาวโซ่ง พฤติกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาความเชื่อส่วนใหญ่มีเป้ าประสงค์อยู่ บุคคลย่อมมีเป้ าหมายอย่างใด อย่างหนี่งในใจขณะประกอบพิธีกรรม ผู้ดาเนินพิธีกรรมจะปราถนาผลลัพธ์ของการกระทานั้น เช่น ขอฝน หยุด ฝน หรือหวังความอุดมสมบูรณ์ของพืชผล ตัวเช่น ชาวคะฉิ่นและชาวพม่าเซ่นใหว้ผีนัท เพื่อความมั่นใจว่าพืชผล จะเจริญงอกงามและได้ผลเก็บเกี่ยวสมบูรณ์ ในหลายวัฒนธรรมผู้หญิงประกอบพิธีกรรมความเชื่อเพื่อให้ ตั้งครรภ์ เช่นในประเทศโปรแลนด์ สตรีชาวคาทอลิกไปที่หลุมฝังศพของนักบุญคาทอลิก และอาจารย์ชาวยิว สวดอ้อนวอนพื่อให้สตรีได้ตั้งครรภ์ สตรีชาวยิวออโธะดอคซิ ไปสวดใหว้ที่หลุมศพของนักบุญราเชล ในเมือง ฮิบรอนเพื่อจุดประสงค์ของการตั้งครรภ์เช่นเดียวกัน เป้ าหมายและแรงกระตุ้นของการประกอบพิธีกรรมเหล่านี้ ก็เพื่อหวังผลลัพธ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะในการที่จะทาให้พลังธรรมชาติและอานาจธรรมชาติ ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ การกระทาทางศาสนาบางอย่างมุ่งเน้นการชี้นาการกระทาของมนุษย์และสามารถทาให้ผู้คนตัดสินใจว่า จะมีพฤติกรรมอย่างไร ผู้คนจะไปปรึกษาหารือโหรและหมอดูเพื่อกาหนดหนทางว่าจะกระทาอย่างไรเมื่อเผชิญ กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า อะไรเป็นเหตุกระตุ้นให้ปัจเจกต้องกระทาเช่นนั้น คาตอบก็คือเมื่อสงสัยว่าจะ ตัดสินใจให้ถูก การไปปรึกษาหารือผู้ประกอบพิธีกรรมดังกล่าว ก็ให้หนทางที่สร้างความเชื่อมั่นที่จะได้รับ คาตอบ ในหลายสังคมพฤติกรรมความเชื่อเน้นไปที่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในสังคมที่หมอผีมีบทบาท เช่น ใน หมู่ชาวเขาเมื่อป่วยไข้ก็จะต้องหาสาเหตุที่มักเกี่ยวข้องสิ่งเหนือธรรมชาติ เชื่อกันว่าผู้คนที่ชั่วร้ายได้ใช้สิ่งเหนือ
  • 10. 10 ธรรมชาติเพื่อสร้างความป่วยไข้ให้กับคนอื่น ดังจะเห็นได้จากชาวคริสเตียนบางกลุ่มปฏิเสธการรักษาพยาบาล จากการแพทย์แผนปัจจุบัน หากแต่ใช้การสวดอ้อนวอนเพื่อรักษาความป่วยไข้ เมื่อพิจารณาความเกี่ยวข้องระหว่างศาสนาวิทยาศาสตร์ และไสยศาสตร์ ก็พบว่ามีความเหมือนกัน และ แตกต่างกันพอสมควร ในสังคมยุโรปแต่เดิมมานั้นเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในอานาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใน ศตวรรษที่ 17 ชาวคาทอลิคเชื่อว่าโลกคือศูนย์กลางของจักวาล และสั่งประหารชีวิตกาลิเลโอ เพราะผลการ ศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของกาลิเลโอได้แสดงให้เห็นว่าการวิจัยของโคเปอร์นิคัสถูกต้อง ที่เสนอว่าโลกไม่ใช่ ศูนย์กลางของจักวาลแต่ดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักวาล นับเป็นเวลาหลายร้อยปี ต่อมาที่นิกายคาทอลิกได้ยอมรับความผิดพลาดนั้น การคิดค้นคว้าตามแนวทางทฤษฎีวิวัฒนาการก็เป็นอีก ตัวอย่างหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนคาอธิบายทางศาสนาด้วยคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อว่าจากเดิมพระเจ้าเป็น ผู้สร้างมนุษย์มาสู่คาอธิบายที่ว่ามนุษย์ในปัจจุบันคือผลพลวงของการปรับตัวต่อกระบวนการวิวัฒนาการตาม แนวคิดทฤษฎีชาล์ดาวิน ทั้งวิทยาศาสตร์ ศาสนาและไสยศาสตร์ล้วนเป็นวิธีการสร้างความเข้าใจและพยายามจะสร้างอิทธิพลต่อ โลกธรรมชาติ ไสยศาสตร์และศาสนาต่างไปจากวิทยาศาสตร์ตรงที่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบางอย่างไม่ สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้ ไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์มีลักษณะที่คล้ายกันตรงที่ทั้งคู่มีเป้ าหมาย เฉพาะเจาะจง ไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่างอยูบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า หากเรากระทาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะได้รับผลที่น่าพึงปรารณา การทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็ดีและการประกอบพิธีกรรมทาคุณไสย์ก็ดีต่างหวัง ได้ผลลัพธ์ในปัจจุบันทันด่วน กระนั้นไสยศาสตร์ก็แตกต่างไปจากวิทยาศาสตร์ตรงที่ทั้งสองอยู่บนพื้นฐาน ทฤษฎีความรู้ที่แตกต่างกัน กล่าวคือไสยศาสตร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อนั้นอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ ที่ว่าถ้าได้เป่าคาถาอาคมหรือประกอบพิธีกรรมอย่างถูกต้องสิ่งเหนือธรรมชาติก็จะปรากฏผลออกมาเป็นที่พึง พอใจ ไสยศาสตร์ตั้งอยู่บนความคิดที่ว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหนือธรรมชาติ และโลกธรรมชาติ ส่วน วิทยาศาสตร์อยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุผลอันเกิดจากการสังเกตระหว่างแง่มุมต่างๆของโลก ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ได้ความรู้มาจากสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และ ผิวกาย ขณะที่ศาสนานั้นเป็นเรื่อง ของเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์แตกต่างไปจากแง่มุมอื่นของศาสนาในประเด็นที่ว่า ผู้คนพยายามที่จะควบคุม เหนือธรรมชาติด้วยคุณไสย์ถ้าประกอบพิธีกรรมที่ถูกต้องก็จะได้ผลลัพธ์อย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าไสยศาสตร์
  • 11. 11 สามารถโน้มนาสิ่งเหนือธรรมชาติได้ตามประสงค์ของผู้ประกอบพิธี ส่วนการประกอบกิจพิธีทางศาสนา มิได้มี เป้ าประสงค์เป็นการเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง พิธีทางศาสนาเน้นถึงอัตราของความไร้อานาจของมนุษย์ และ ศาสนาก็ไม่ได้บังคับผลลัพธ์ทางตรงอย่างเช่นไสยศาสตร์ พิธีทางศาสนาจะชักนาผู้คนให้วิงวอนต่อเทพเจ้าซึ่ง เทพผู้มีอานาจทั้งปวงอาจจะบรรดารหรือไม่บรรดารให้ตามที่มนุษย์ร้องขอ ดังนั้นไสยศาสตร์จึงเป็นการกระทา ที่แสดงการควบคุม และศาสนาเป็นเรื่องของการวิงวอนขอความเมตตาปราณี ความรู้ทางไสยศาสตร์มักนามาใช้ เพื่อผลประโยชน์ของบุคคล ส่วนศาสนาเป็นระบบความเชื่อและการประกอบพิธีของสังคมชุมชน อาจกล่าว โดยสรุป ณ ที่นี้ได้ว่า การกระทาที่เข้าข่ายไสยศาสตร์นั้นเป็นการกระทาที่หวังผลในระยะอันไกล้ ขณะที่แบบ แผนความเชื่อที่เข้าข่ายศาสนาเป็นการกระทาที่หวังผลระยะยาว เช่นในเรื่องของโลกหน้า นรกสวรรค์ ตามนัยยะ นี้พอเห็นได้ว่ากิจจกรรมการท่องเที่ยวศาสนาที่พบทุกแห่งหนอาจนับเนื่องเป็นการท่องเที่ยวที่มีเป้ าหมายที่เป็น ไสยศาสตร์ หรือจุดประสงค์ที่เป็นศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีลักษณะทั้งไสยศาสตร์และศาสนาในเวลา เดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าศาสนาใหญ่ๆมีผู้นาที่จัดว่าเป็นศาสดาเผยแพร่ลัทธิความเชื่อนั้นๆ เช่น ศาสนาคริสต์ นิกายต่างๆ ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและ ศาสนาอิสลาม ที่เป็นศาสนาความเชื่อซึ่งมีอิทธิพลต่อผู้คนในประเทศแถบ ตะวันออกกลาง และชาวมุสลิมประเทศอื่นๆอย่างเด่นชัด ในเดือนที่ถือศีลอด เมืองเมกกะซึ่งเป็นที่ตั้งของแท่น บูชาหินดาหรือที่ตามภาษามุสลิมว่า “คะบาห์” ซึ่งประกอบด้วยหินศักดิ์สิทธิ์ 360 แท่งและกฎข้อบังคับต่างๆทาง ศาสนา จะมีผู้แสวงบุญจากดินแดนอาราเบียและผู้แสวงบุญจากประเทศอื่นๆมุ่งมาร่วมสักการะและบาเพ็ญบุญ ณ สถานที่แห่งนี้ ส่วนศาสนาอินดูแม้จะเป็นศาสนาใหญ่ที่ปรากฏมาตั้งแต่อารยธรรมอินเดียโบราณมาจนถึง ปัจจุบัน แม้จะไม่มีศาสดาเพราะศาสนาฮินดูคือแนวทางการดาเนินชีวิตจึงได้รับการผสมผสานไปกับศาสนา อื่นๆโดยเฉพาะศาสนาพุทธหินยานในสังคมวัฒนธรรมอุษาอาคเนย์ อย่างเช่นที่ชาวไทยพุทธถือปฏิบัติกันอยู่ ส่วนศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกมีบทบาทสาคัญในทุกแง่มุมชีวิตของคนยุโรปยุคกลาง การเผชิญต่อความทุกข์ ยากในชีวิตทาให้ผู้คนต่างฝากความหวังไว้กับคาสอนของคริสต์ศาสนา คริสต์ศาสนาสอนให้มีหลักนาทางชีวิต เพื่อเพิ่มความสุขสบายใจ ผู้คนสร้างโบสถ์เพื่อการสารภาพบาปและเพื่อหวังความสุขนิรันดร นอกจากนี้ ศาสน จักรยังทาหน้าที่ในกิจการบ้านเมือง เนื่องจากพระผู้ทางานให้กับโบสถ์เป็นผู้ที่มีการศึกษาเหตุนี้กษัตริย์และขุน นางต่างต้องขอคาปรึกษาจากศาสนจักร ศาสนจักรจึงมีอิทธิพลสาคัญต่อการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ยิ่งกว่านั้นศา
  • 12. 12 สนจักรยังมีอิทธิพลครอบคลุมผู้คนที่อาศัยพื้นที่ของโบสถ์เป็นแหล่งทามาหากินอีกด้วย สันตะปาปาพานักอยู่ที่ วาติกันในกรุงโรม เป็นผู้มีตาแหน่งสูงสุด มีอานาจทั้งทางจิตวิญญาณและทางการเมือง ในโอกาสสาคัญๆเช่นใน การทาพิธีมิซซากรุงวาติกันจึงเป็นที่ชุมนุมผู้มาเดินทางท่องเที่ยวเพื่อร่วมประกอบพิธีอย่างล้นหลาม การศึกษาทางมานุษยวิทยาพบว่าผู้คนในสังคมวัฒนธรรมต่างๆมีแบบแผนในการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไป 12 วิธีด้วยกัน กล่าวคือ 1.การสวดมนต์ การสวดมนต์เป็นกิจกรรมของปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มคน บาง ศาสนามีบทสวดมนต์ที่เขียนขึ้นโดยเฉพาะสาหรับพิธีกรรมต่างๆ 2.การร้องเพลง เต้นราหรือการใช้ดนตรีขับ กล่อมเพื่อสร้างความโปรดปรานให้แก่สิ่งศัดิ์สิทธิ์ 3.การใช้ยาประสาทหรือการทรมานตนเองเพื่อให้ “เข้าถึงดวง วิญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาสนาบางศาสนามีความเชื่อว่าเมื่อนักบวชทาการเทศน์เพื่อสั่งสอนศาสนิกชน พระผู้ เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาสถิตอยู่กับนักบวช 4.การฟังเทศน์จึงเป็นการฟังพระวาจาของพระเจ้าโดยผ่าน นักบวชนั่นเอง 5.การถือศีล หรือการปฏิบัติตามกฏของศาสนาอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผู้ถือศีลมีจิตใจบริสุทธิ์และ เป็นที่โปรดปรานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 6.การใช้เวทมนต์คาถาอาคม 7.การใช้เครื่องรางของขลัง 8.การกินเลี้ยงเฉลิม ฉลอง เช่นการทาพิธีมิซซาในศาสนาคริสต์เพื่อระลึกถึงอาหารค่าเมื้อสุดท้ายของพระเยซูและเหล่าสาวก 9.การ ทาพิธีบูชายัญเซ่นสังเวยอาหารหรือสัตว์เลี้ยง 10.การรวมกลุ่มเพื่อประกอบพิธีกรรมร่วมกัน 11.การเข้าทรงเพื่อ ติดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยตรง และ12.การใช้สัญลักษณ์บางอย่างเช่น การนาเอาพระพุทธรูป เหรียญ หรือสาย ประคา มาคล้องคอเพื่อให้เกิดความมั่นใจและความรู้สึกใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ ศาสนาความเชื่อทั้งหลายมีบทบาทหน้าที่หลายประการในทางจิตวิทยาและในทางสังคมเพราะช่วยลด ความวิตกกังวลในการอธิบายในสิ่งที่ไม่รู้นั้นให้เป็นที่เข้าใจ ขณะเดียวกันก็ให้ความอบอุ่นใจในความเชื่อที่ว่าสิ่ง เหนือธรรมชาติที่ว่า การช่วยเหลือจากสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีอยู่ในเวลาวิกฤต นอกจากนี้ศาสนาความเชื่อยัง ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ให้กระทาในสิ่งที่ถูกและลงโทษการกระทาที่ผิด พิธีกรรมที่จัดขึ้นตามศาสนาความเชื่อ ยังเป็นประหนึ่งเครื่องส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับประเภณีจากคาบอกเล่าที่สาคัญที่สุด ศาสนาความเชื่อมีบทบาท สาคัญในการดารงใว้ซึ่งความเป็นปึกแผ่นทางสังคม
  • 13. 13 3. การท่องเที่ยวเชิงศาสนาและความเชื่อ ดังได้กล่าวใว้ในส่วนที่ 1 ของงานเขียนนี้ว่า สิ่งทั้งหลายที่เป็นวัฒนธรรมสัมพันธ์เกื้อกูลต่อกัน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยทรัพยากรหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการท่องเที่ยวได้ อย่างครอบคลุม หากพิจารณาแหล่งท่องเที่ยวทางท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่า ศาสนสถาน ในศาสนาต่างๆ อาทิ โบสถ์คริสต์ มัสยิต วัดในพุทธศาสนา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในที่ต่างๆเช่น ศาลหลักเมือง ศาล เจ้า และสถานที่สาคัญทางประวัติศาสตร์ อันมีอนุสาวรีย์ และสุสาน ฯลฯ เป็นปลายทางการท่องเที่ยวที่มีผู้มา เยือนเสมอมา แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้จึงมีบทบาททับซ้อนกัน กล่าวคือ ในยามปกติผู้ที่เกี่ยวข้องใช้เป็นที่ประกอบ กิจพิธี และผู้ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่มักได้แก่ชุมชนในละแวกนั้น แต่ความโดดเด่นมีชื่อเสียง มีเอกลักษณ์ทาง ศิลปะ มีประวัติความเป็นมา และเป็นที่พานักของบุคคลสาคัญ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยดึงดูดให้มีผู้มาเยือน และ เมื่อการท่องเที่ยวตามสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อกลายเป็นกระแสสถานที่เหล่านี้จึงต้องปรับ บทบาทเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการมาเยือน โดยทั่วไปการปรับบทบาทเช่นนี้มักเป็นไปในเรื่องของการปรุง แต่งทางกายภาพของสถานที่และการเพิ่มบริการด้านต่างๆ เช่น การให้ข้อมูลประวัติความเป็นมา ข้อมูลการ เดินทาง ข้อมูลการติดต่อขอเยี่ยมชม และข้อมูลเกี่ยวกับที่พัก ในบางกรณีมีการใช้สื่อหลากหลายรูปแบบ เช่น แผ่นพับ หนังสือคู่มือท่องเที่ยวท้องถิ่น และการประชาสัมพันธ์ผ่านอินเทอร์เนต และเมื่อจะมีการจัดงานครั้ง สาคัญก็จะมีการประชาสัมพันธ์ในลักษณะโฆษณาทั้งทางวิทยุ และโทรทัศน์ ในแง่ของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวโดยทั่วไปแล้วมีเหตุผลหลายประการที่ผู้คนเดินทางท่องเที่ยว การ เดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนดูจะเป็นเหตุผลของคนส่วนใหญ่ที่ประสงค์จะหลุดออกไปจาความเบื่อหน่ายจาเจ ที่บ้าน ที่ทางานหรือถิ่นกาเนิด การเที่ยวด้วยเหตุผลเช่นนี้นอกจากจะได้พักผ่อนทั้งจิตใจและร่างกายแล้วยังได้ เติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆระหว่างการไปเยือน กระนั้นก็มีผู้คนอีกจานวนไม่น้อยที่ได้รับประโยชน์ด้วยเป็นผล พลวงจากการท่องเที่ยวระหว่างการเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อประชุม เพื่อศึกษาต่อ เพื่อเยี่ยมญาติ และหรือเพื่อไป ติดต่อค้าขาย ฯลฯ ตามนัยยะนี้อาจกล่าวได้ว่าการท่องเที่ยวเชิงศาสนาความเชื่อก็เป็นพฤติกรรมที่คล้ายกันกับผู้คนในกลุ่ม หลังด้วยมีจุดประสงค์หลักแน่ชัดในการเดินทางเพื่อเติมเต็มความต้องการในลักษณะที่เข้าข่ายไสยศาสตร์และ
  • 14. 14 หรือศาสนา ส่วนประโยชน์ท่องเที่ยวอื่นๆดังที่กล่าวมาข้างต้นจึงเป็นผลพลอยได้จากการไปเยือนปลายทาง นอกจากนี้นักเดินทางท่องเที่ยวเชิงศาสนายังมีเป้ าหมายอื่นๆในการไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้น นักท่องเที่ยวจานวนหนึ่งต้องการจะเชื่อมโยงการรับรู้เรื่องราวของสถานที่แห่งนั้นกับข้อมูลที่ตนเคยรับทราบมา ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงพบว่าแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาแต่อดีตก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวทั้งเก่าและ ใหม่มาเยือนอยู่เสมอ จึงไม่เป็นที่ประหลาดแต่อย่างใดที่จะพบว่าจานวนชาวคริสต์ และนักท่องเที่ยวทั่วไปต่าง ให้ความสนใจไปเยือนนครวาติกันศูนย์กลางอันเก่าแก่ของศาสนาคริสในกรุงโรมประเทศอิตาลีเพิ่มขึ้นตลอดมา ส่วนชาวมุสลิมทั่วภูมิภาคของโลกต่างก็ปรารถณาที่จะได้ไปประกอบกิจพิธีที่มหามัสยิด(Haram)นครเมกกะใน เทศกาลถือศีลอดเพิ่มขึ้น ประมาณกันว่าปีหนึ่งๆมีผู้มาแสวงบุญถึง 3 ล้านคน ในช่วงเทศกาลเช่นนี้ธุรกิจการ ท่องเที่ยวจึงคึกคักเป็นพิเศษ เห็นได้จากการเพิ่มเที่ยวบินและเพื่อรับนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น รัฐบาลซาอุดิอาร เบียได้ใช้เงินจานวนพันๆล้านดอลลาร์จากรายได้การขายน้ามันเพื่อปรับปรุงสวัสดิการความสะดวกสบายด้าน สาธารณสุข การคมนาคม และระบบน้าปะปาในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพิ่มขึ้น ตามความเชื่อของอิสลามการได้ไป แสวงบุญ ณ สถานที่ดังกล่าวเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต การได้แสวงบุญที่นั่นเป็นหนึ่งในห้าหลักธรรม ของศาสนาอิสลาม ผู้คนจึงพยายามจะได้ไปร่วมแสวงบุญแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงเท่าใดก็ตามเพราะเป็นการกระทาที่ จะนับเป็นคุณความดีในวันพิพากษาหลังความตายชาวไทยมุสลิมผู้ที่กลับจากการแสวงบุญจะได้รับการยกย่อง เป็นพิเศษด้วยการเรียกผู้ชายว่า “ฮัจยี”และเรียกผู้หญิงผู้กลับจากแสวงบุญว่า “ฮัจยะ”นับเป็นสถานภาพทางสังคม ที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก จุดประสงค์อื่นอีกประการหนึ่งของการเดินทางท่องเที่ยวเชิงศาสนาก็คือการได้ไประลึกถึง ความดีงามในอดีตของสถานที่นั้นๆหรืออาจจะเรียกว่าการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อจุดประสงค์ “วันวานยังหวาน อยู่”(nostalgia)ใครๆได้ไปเยือนพุกามต่างก็ระลึกชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ในอดีตของอาณาจักรแห่งนี้ที่เคยรุ่งเรือง ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาเถรวาทที่ยังคงอธิบายได้ด้วยทรากปรักหักพังของเจดีย์ทรงต่างๆอีกทั้ง มณฑปและศาสนสถานอื่นๆโดยเฉพาะอานันทเจดีย์ที่ได้รับการบูรณะให้คงความงดงามอลังการตามอิทธิพล ของศิลปะอินเดียอย่างครบถ้วน รายการท่องเที่ยวประเทศพม่าส่วนใหญ่พลาดไม่ได้ที่จะจัดให้นักท่องเที่ยวได้ ไปกราบใหว้เจดีย์ชเวดากอง เพราะเป็นตัวอย่างของความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแน่นแฟ้ นของพุทธศาสนิกชน กรมศิลปากรของประเทศพม่าถือเป็นนโยบายที่จะต้องปฏิสังขรศาสนสถานหลักๆอย่างเจดีย์ชเวดากองให้ดูเด่น เป็นสง่าดังทองสุกปลั่งอยู่เสมอ ผู้ไปเยือนประเทศพม่าในช่วงที่กาลังบูรณะเจดีย์แห่งนี้อาจต้องผิดหวังที่ไม่ได้ เห็นความอลังการและความอิ่มเอิบในบุญที่ได้มาบูชาศาสนสถานแห่งนี้ หากติดอยู่ในรูปลักษณ์ของเจดีย์ชเวดา
  • 15. 15 กอง นักท่องเที่ยวจานวนไม่น้อยไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาความเชื่อก็เพื่อหวังเพิ่มบุญบารมีเพื่อชาตินี้ และชาติหน้า วัดที่โด่งดังด้วยพระศรีอริยเมตรัยมักเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวผู้ปวรณาจะได้รับความสุข สบายในภพหน้า ส่วนการทาบุญทาทานด้วยการปล่อยโค กระบือ ปล่อยนก และกุ้งหอยปูปลา ในหลายๆโอกาส เช่นในวันเกิดหรือในเทศกาลงานบุญที่จัดขึ้นตามวัดต่างๆ ของนักท่องเที่ยวบางรายอาจจะเนื่องด้วยประสงค์ที่ จะชาระชะล้างความไม่ดีงามที่เคยกระทามา รายการท่องเที่ยววัฒนธรรมที่หลายบริษัทจัดขึ้นนอกจากจะให้ไปเยือนสถานที่สาคัญมีชื่อเสียงทั่วไป แล้วปลายทางของการท่องเที่ยวอีกส่วนหนึ่งก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับศาสนาความเชื่อและมักเป็นเป็น การท่องเที่ยวนานาชาติ บริษัททัวร์ชาวยิวส์ต่างก็จัดให้นักท่องเที่ยวได้ไปเยือนวิหารในนครเยรูซาเล็ม ส่วนการ ท่องเที่ยวเนื่องด้วยคริสศาสนาก็เน้นการไปเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่น กรุงเบธธิแรมที่อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในแคว้นจูเดียประมาณสิบกิโลเมตร ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ประสูตรของพระเยซู นอกจากนี้ ยังจัดให้ไปเยือนตาบลแนสอะเร็ธ(Nazareth) ที่ประทับของพระเยซูในปาเลสไตน์หลังหนีภัยมาจากกรุงเบธธิ แรม และแหล่งท่องเที่ยวท้ายสุดก็คงไม่พ้นหมู่บ้านบีทานี(Bethany)ที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันของประเทศจอร์แดน ซึ่ง เชื่อว่าเป็นที่ฟื้ นคืนชีพของพระเยซู สาหรับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาพุทธจากประเทศไทยหลายบริษัทได้ สนองตอบความต้องการนักท่องเที่ยวให้ได้ไปเยือนพุทธภูมิแดนพุทธองค์ เส้นทางแสวงบุญ ตามเส้นทางของ สังเวชนียสถานต่างๆ ซึ่งเริ่มต้นที่ตาบลลุมพินีอันเป็นที่สถานที่ประสูติ ต่อด้วยพุทธคยาอันเป็นสถานที่ตรัสรู้ จากนั้นก็ไปเยือนสารนาถสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเทศนาสั่งสอนเป็นครั้งแรก และรายการทัวร์ก็จะจบลงที่ กุสินาราอันเป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า รายการท่องเที่ยวจากประเทศไทยให้ไปเยือนสาธารณรัฐ ประชาธิไตยประชาชนลาวนอกจากจะจัดรายการให้ตรงกับเทศกาลงานบุญสาคัญๆ เช่น เข้าพรรษาและออก พรรษาแล้วสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ยังคงนับเนื่องอยู่ในการท่องเที่ยวเชิงศาสนาเช่นกัน ทั้งนี้ดังจะ ยกตัวอย่างของการท่องเที่ยวจากบริษัทแห่งหนึ่งดังข้อมูลต่อไปนี้
  • 16. 16 เยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3 วัน หลวงพระบาง มรดกโลก วันที่หนึ่ง กรุงเทพฯ-หลวงพระบาง-วัดใหม่-วัดวิชุน-วัดเชียงทอง 08.30 น. พร้อมคณะที่สนามบินดอนเมือง เคาน์เตอร์สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส 2 แถวที่ 10พบเจ้าหน้าที่ บริษัทคอยต้อนรับและอานวยความสะดวก 10.40 น. ออกเดินทางสู่เมืองหลวงพระบาง โดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส์ เที่ยวบินที่ PG632 12.30 น. ถึงสนามบินหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร 13.30 น. อาหารกลางวันที่ภัตตาคาร บ่าย นาชมวัดใหม่สุวรรณภูมาราม สร้างโดยพระเจ้าอนุรุทธ์ ในปี พ.ศ.2337 และบูรณะในสมัยพระเจ้า มันตา ทุราช ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ทั้งโปรดให้เปลี่ยนชื่อจากเดิมว่า “วัดสุวรรณภุมมา ราม” เป็น “วัดใหม่สุวรรณภูมาราม” วัดแห่งนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระบางระยะหนึ่งในสมัยของเจ้า มหาชีวิตสักรินทร์ (คาสุก) ซึ่งครองราชย์ในช่วง พ.ศ.2431-2448,นาชมวัดวิชุน สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า วิชุนราช ราว พ.ศ.2046-2047 มีพระเจดีย์องค์ใหญ่รูปทรงคล้ายแตงโม ชาวลาวเรียกว่า “พระธาตุหมาก โม” และเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบางอีกทั้งเป็นแหล่งรวบรวมผลงานฝีมือสกุลช่างต่างๆ นาชมวัด เชียงทอง วัดคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง บริเวณที่ตั้งของวัดอยู่ที่ดอนหัวโค้งของแผ่นดินที่มีแม่น้า คานมาบรรจบกับแม่น้าโขง และเป็นศูนย์รวมของศิลปกรรมแห่งอาณาจักรล้านช้าง ความงามของวัดอยู่ ที่ความสงบ สง่า สะอาด มีการวางผัง ออกแบบ และการบารุงรักษาอย่างดีเยี่ยม ภายในพระอุโบสถ ตกแต่งด้วยภาพเขียนสีทองบนพื้นชาดแดงด้วยลวดลายอันสูงส่งของราชสานักพระไชยเชษฐา ชมวิหาร ประดับกระจก หอพระนอน ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปสาริดปางไสยาสน์อันงดงามที่สุดของเมือง หลวงพระบางขนาดเท่าคนจริง ชมโรงราชรถและพระโกศที่ใช้ในพระราชพิธีศพของอดีตกษัตริย์ลาว ชมฝีมือการแกะสลักไม้เล่าเรื่องภาพรามเกียรติ์นาชมวัดพระบาทใต้ นมัสการพระพุทธบาท อันเป็นที่มา ของชื่อวัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้าโขงชมพระอาทิตย์อัสดงอันสวยงาม จากนั้นนาเข้าสู่ที่พัก
  • 17. 17 18.30 น. อาหารค่าที่ภัตตาคาร วันที่สอง ตักบาตรข้าวเหนียว-น้าตกตาดกวงสี-ล่องเรือชมแม่น้าโขง-ถ้าติ่ง 05.30 น. เชิญท่านร่วมทาบุญตักบาตรร่วมกับชาวเมืองหลวงพระบาง ที่จะพากันออกมารอตักบาตรกับ พระภิกษุสามเณรนับร้อยๆ รูป ซึ่งนับเป็นภาพอันน่าประทับใจและมีชีวิตชีวาของเมืองหลวง พระบาง โดยสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของสังคมที่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา จากนั้นเชิญ ท่านเดินชมตลาดเช้า ชมบรรยากาศของชาวบ้านที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภค 08.00 น. อาหารเช้าในโรงแรม 09.00 น. นาเดินทางสู่น้าตกตาดกวงสี น้าตกขนาดกลางที่มีความกว้างประมาณ 70 เมตร มี 2 ชั้นชั้นที่ 1 สูง 50 เมตร และชั้นที่ 2 สูง 30 เมตร ชมความสวยงามของน้าตกที่ใสสะอาดและมีสีเขียวคล้ายมรกต จากนั้นนาเดินทางกลับสู่หลวงพระบาง 12.00 น. อาหารกลางวันที่ภัตตาคาร บ่าย นาชมหัตถกรรมพื้นบ้านที่หมู่บ้านผานม ซึ่งเป็นหมู่บ้านไทยลื้อที่อพยพมาจากสิบสอง ปันนา มีชื่อเสียงในด้านการทอผ้าลวดลายสวยงามมากและราคาไม่แพง เชิญเลือกซื้อผ้าทอเป็นของฝาก จากนั้นนาเดินทางสู่บ้านซ่างไห ชุมชนริมแม่น้าโขง ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้าโขงและ มีอาชีพการหมักเหล้าสาโท ต้มเหล้าโรงจาหน่ายพร้อมกันนั้นยังเป็นแหล่งรวมสินค้าพื้นเมืองจาพวกผ้า ทอลวดลายสวยงามมากมายจากนั้นนาท่านล่องเรือชมเกาะแก่งและทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้าโขงมุ่งหน้าสู่ถ้า ติ่ง ซึ่งเป็นถ้าบนหน้าผาริมฝั่งแม่น้าโขงซึ่งมีอยู่ 2 ถ้า คือ ถ้าบนและถ้าล่าง เคยมีพระพุทธรูปทอง เงิน นาก แต่ปัจจุบันเหลืออยู่แค่เพียงพระพุทธรูปไม้จานวนนับพันองค์ จากนั้นเชิญอิสระตามอัธยาศัยกับ การเดินชมตลาดหลวงพระบาง เชิญเลือกซื้อของฝากคนทางบ้านที่เป็นผลงานศิลปหัตถกรรมของ ท้องถิ่น เช่น เครื่องแกะสลักไม้ เครื่องเงิน และผ้าทอราคาถูก 18.00 น. อาหารค่าที่ภัตตาคาร แล้วนากลับสู่ที่พัก วันที่สาม พระธาตุพูศรี-พระราชวังเก่าเจ้ามหาชีวิต-หลวงพระบาง-กรุงเทพฯ