บทคัดย่อ
- 4. การผลิตแอลกอฮอล์จากข้าวเหนียวให้ได้ 95 % ภายในเวลา 3 เดือน โดยอาศัยวัสดุภายในท้องถิ่น
ประโยชน์ทีคาดว่าจะได้รับ
1. ได้แอลกอฮอล์ที่เกิดจากข้าวเหนียวไว้ใช้ประโยชน์
2. ได้รับความรู้ความเข้าใจในกระบวนการผลิตแอลกอฮอล์
3. รู้จักแยกแยะประโยชน์และโทษของแอลกอฮอล์
- 5. บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
น้า
นิยาม
น้า เป็นทรัพยากรที่สาคัญที่สุดต่อการดารงชีวิตของมนุษย์และเพื่อประกอบกิจกรรมต่างๆ
ในปัจจุบันความต้องการใช้น้าเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา ทั้งการใช้น้าเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรม
การอุปโภคและการบริโภคในขณะที่ปริมาณน้านั้นมีอยู่อย่างจากัดประกอบกับปริมาณน้าที่เก็บกักไว้ตามแหล่งน้าต่างๆ
นั้นยังไม่เพียงพอแก่ความต้องการปริมาณน้าบางส่วนยังสูญเสียไปเพราะมีการปนเปื้อนจากน้าเน่าเสียและกากของเสีย
ทาให้ไม่สามารถใช้น้าที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่จึงก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้าในฤดูแล้ง
โดยเฉพาะการเกษตรกรรมซึ่งต้องอาศัยน้าเพื่อการเพาะปลูก
ความหมายของน้า
น้า (Water) เป็นสารประกอบที่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน(Hydrogen) และออกซิเจน(Oxygen)
ในอัตราส่วน1 ต่อ8 โดยน้าหนักพบ3 สถานะคือของเหลว ของแข็ง (น้าแข็งขั้วโลก)และก๊าซ(น้าในบรรยากาศ)
สูตรทางเคมีคือH2O น้าที่บริสุทธิ์จะเป็นของเหลวใสไหลเทได้ ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น
วัฏจักรของน้า
เริ่มต้นจากการระเหย(Evaporation) ของน้าที่อยู่ตามแหล่งน้าต่างๆตั้งแต่มหาสมุทรทะเลลาน้าคลองต่างๆ
รวมทั้งจากพื้นดินด้วยและยังจากการคายน้าของพืช(Transpiration) กลายเป็นไอน้า(WaterVaper)
ซึ่งอุณหภูมิของไอน้าจะสูงกว่าจุดเดือดและเมื่ออากาศมีอุณหภูมิต่าไอน้าจะเข้ามารวมตัวกัน(Condensation)
จากน้าที่ตกสู่ผิวโลกส่วนใหญ่มาจากมหาสมุทรที่มีพื้นที่ประมาณ 70% ของพื้นที่ทั้งโลก
และเมื่อมีการตกสู่พื้นโลกประมาณ 10% ในรูปของฝนและหิมะ จากนั้นบางส่วนก็จะซึมลงดินและลงสู่แหล่งน้าต่างๆ
และเกิดการระเหยอีกครั้งหนึ่งน้าที่ตกมาจากฟ้ าจะกระจายไปยังแหล่งน้าต่างๆและบางส่วนจะซึมลงสู่ดินโดยมีสัดส่วน
ดังนี้
- 6. ประเภทของแหล่งน้า
น้าจากแหล่งน้าธรรมชาติที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆของมนุษย์นั้นอาจจะเป็นทั้งน้าจืดจากแหล่งต่างๆ
และน้าทะเลสามารถจาแนกรายละเอียดได้ดังต่อนี้
1. แหล่งน้าผิวดินได้แก่ น้าจากแม่น้าต่างๆลาน้าธรรมชาติต่างๆห้วยหนองน้าคลอง บึง ตลอดจนอ่างเก็บน้า
บริเวณดังกล่าวนับว่าเป็นแหล่งน้าจืดที่สาคัญที่สุดน้าจืดที่แช่ขังอยู่ตามแอ่งน้าบนผิวโลกมาจากน้าฝนหิมะ
การไหลซึมออกมาจากน้าใต้ดินแล้วไหลไปรวมกันตามแม่น้าลาคลอง
ปริมาณน้าที่มีอยู่ในแม่น้าลาคลองของแต่ละแห่งบนพื้นโลกมีมากน้อยแตกต่างกันออกไป
ลาน้าอาจจะมีมากในช่วงฤดูหนึ่งแต่ในช่วงฤดูอื่นๆปริมาณน้าจะลดน้อยลงไปทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยสาคัญดังนี้
(1) สภาพความผันแปรของปริมาณน้าฝน
(2) ลักษณะภูมิประเทศ
(3) โครงสร้างของดิน
เท่าที่ผ่านมาแหล่งน้าผิวดินเป็นทรัพยากรสาธารณะที่ไม่ต้องมีการซื้อขายจึงทาให้มีการใช้น้าอย่างฟุ่มเฟือย
ประกอบกับจานวนประชากรซึ่งใช้น้าสาหรับการอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
กิจการอุตสาหกรรมและการเกษตรกรรมซึ่งใช้น้าในกระบวนการผลิตเป็นจานวนมาก
และส่วนใหญ่ไม่มีการนาน้าที่ใช้แล้วกลับไปใช้อีกแต่จะระบายน้าทิ้งลงสู่แหล่งน้าโดยตรง
ซึ่งทาให้เกิดภาวะขาดแคลนน้าเช่นเดียวกับคุณภาพของน้าผิวดินก็เสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด
ภาครัฐบาลและเอกชนได้ตระหนักถึงความสาคัญในเรื่องนี้จึงมีแนวความคิดที่จะพัฒนาแหล่งน้าผิวดิน
2. แหล่งน้าใต้ดิน(Undergroundwater) น้าใต้ดินเกิดจากน้าผิวดินซึมผ่านดินชั้นต่างๆ
ลงไปถึงชั้นดินหรือหินที่น้าซึมผ่านไม่ได้ (Imperviousrocks) น้าใต้ดินนี้จะไปสะสมตัวอยู่ระหว่างช่องว่างของเนื้อดิน
โดยเฉพาะชั้นดินเป็นกรวดทรายหินปริมาณของน้าที่ขังอยู่ในชั้นของดินหรือชั้นของหินดังกล่าวจะค่อยๆ
เพิ่มปริมาณมากขึ้นในฤดูฝนและลดปริมาณลงในฤดูแล้งปกติน้าใต้ดินจะมีการไหล(run-off)
- 7. ถ่ายเทระดับได้เช่นเดียวกับน้าผิวดินในเขตชนบทได้อาศัยน้าใต้ดินเป็นน้าดื่ม
เนื่องจากแหล่งน้าใต้ดินเป็นแหล่งน้าที่สะอาดโดยน้าที่ขังอยู่ใต้ดินมาจากน้าฝนที่ซึมผ่านการกรองของชั้นดินหินกรวด
ทรายมาหลายชั้นแล้วแหล่งน้าใต้ดินมี2 ประเภท
(1) น้าใต้ดินชั้นบนหรือน้าในดินพบในชั้นดินตื้น ๆ
น้าจะขังตัวอยู่ระหว่างชั้นดินที่เนื้อแน่นเกือบไม่ซึมน้าอยู่ไม่ลึกจากผิวดินมากนัก
น้าใต้ดินประเภทนี้จะมีปริมาณมากในฤดูฝนและลดลงในฤดูแล้งน้าในชั้นนี้มีออกซิเจนละลายอยู่พอประมาณ
จะมีสารแขวนลอยอยู่มากความขุ่นมาก
(2) น้าบาดาลเป็นน้าใต้ดินที่อยู่ลึกลงไปโดยซึมผ่านชั้นดินและชั้นหินต่างๆ
ไปขังตัวอยู่ช่องว่างระหว่างชั้นดินหรือชั้นหินซึ่งไม่ยอมให้น้าผ่านไปได้อีกน้าใต้ดินประเภทนี้เป็นน้าใต้ดินที่แท้จริงเรียกว่า
Undergroundwaterหรือที่เรียกว่าน้าบาดาลน้าบาดาลจะเป็นน้าที่มีคุณภาพดีเพราะไหลผ่านชั้นดินและชั้นหิน
ซึ่งทาหน้าที่คล้ายการกรองน้าธรรมชาติมีลักษณะเป็นระบบท่อประปาที่สมบูรณ์
3. แหล่งน้าจากทะเลทะเลและมหาสมุทรเป็นแหล่งกาเนิดใหญ่ของวงจรน้าในโลก
ซึ่งหากขาดวงจรดังกล่าวแล้วพื้นดินก็จะขาดความอุดมชุ่มชื้น
ขณะเดียวกันกระแสน้าในมหาสมุทรก็เป็นปัจจัยสาคัญที่กาหนดสภาพภูมิอากาศรอบโลกด้วยเช่น
กระแสน้าอุ่นกัลฟ์ สตรีมทาให้ยุโรปตะวันตกตอนเหนือมีสภาพภูมิอากาศอบอุ่นแทนที่จะเย็นมากๆเหมือนกับพื้นที่อื่นๆ
ที่อยู่ใกล้เขตขั้วโลกเหนือหรือกระแสน้าเย็นเบงกิวลาทาให้บริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา
กลายเป็นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแพลงก์ตอนซึ่งเป็นอาหารสาหรับปลานานาชนิด
เช่นเดียวกับบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ที่มีกระแสน้าเย็นและน้าอุ่นมาบรรจบกัน
ทาให้บริเวณดังกล่าวมีสารอาหารสมบูรณ์ มีแพลงก์ตอนพืชและแพลงค์ตอนสัตว์
ซึ่งเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่จานวนมาก
มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์มากมายจากทะเลไม่ว่าจะเป็นอาหารจาพวกโปรตีน
การใช้เป็นเส้นทางคมนาคมที่สะดวกและประหยัดหรือทรัพยากรใต้ทะเลจาพวกน้ามันก๊าซธรรมชาติและแร่ธาตุอื่นๆ
ที่ขุดเจาะมาใช้ประโยชน์เช่นแมงกานีสดีบุก อย่างไรก็ตามแม้ว่าทะเลจะเป็นแหล่งน้าขนาดใหญ่
สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างแต่เนื่องจากมีแร่ธาตุสะสมอยู่เป็นจานวนมากจึงทาให้น้าทะเลมีรสเค็ม
ดังนั้นบริเวณที่ขาดแคลนน้าจืดที่อยู่ใกล้กับทะเล
จึงพยายามนาน้าทะเลมาแปรสภาพให้กลายเป็นน้าจืดเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคในครัวเรือนกิจการอุตสาหกรรม
การชลประทานแต่ค่าใช้จ่ายในการทาน้าทะเลให้เป็นน้าจืดนั้นราคาแพงกว่าการทาน้าจืดให้บริสุทธิ์
4. แหล่งน้าจากฟ้ าน้าจากฟ้ าหรือน้าฝนเป็นน้าโดยตรงที่ได้รับจากการกลั่นของไอน้าในบรรยากาศ
น้าฝนเป็นแหล่งน้าจืดที่สาคัญที่มนุษย์ใช้ในการอุปโภคบริโภคอีกชนิดหนึ่งในประเทศไทยพบว่า
- 8. ปริมาณน้าฝนที่ตกในแต่ละปีประมาณ 800,000 ล้านลูกบาศก์เมตรและเป็นน้าท่าประมาณ 200,000
ล้านลูกบาศก์เมตรที่เหลือไหลลงสู่ใต้ดินและระเหยคืนสู่บรรยากาศปริมาณน้าที่สามารถเก็บกักไว้ได้ในรูปของอ่างเก็บน้า
ทั้งที่เป็นของกรมชลประทานและการไฟฟ้ าฝ่ายผลิตรวมกันประมาณ 60,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
(สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม,2536) ปริมาณน้าจืดที่ได้จากน้าฝนในแต่ละบริเวณจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ
(1) สภาพลมฟ้ าอากาศ
(2) ลักษณะภูมิประเทศ
(3) ทิศทางของลม
(4) ความสม่าเสมอของฝนที่ตก
(5) การกระจายของปริมาณน้าฝน
(6) อิทธิพลอื่นๆ เช่นฤดูกาลพื้นที่ป่าไม้
ประโยชน์ของน้า
1. เพื่อการอุปโภคและบริโภค
น้ามีความจาเป็นสาหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้าประมาณ 60- 70 %
โดยต้องใช้ในการดื่มประมาณ 2ลิตรต่อวันและใช้ในการบริโภคประมาณ 3ลิตรต่อวันร่างกายของเรายังใช้น้าเพื่อพา
สารอาหารต่างๆไปยังเซลล์เพื่อรักษาโครงสร้างของร่างกายและเพื่อการขับถ่ายของเสีย
รวมทั้งเพื่อระบายความร้อนออกจากความร้อนออกจากร่างกายด้วยนอกจากนี้เรายังใช้น้าในการอุปโภค
ทั้งการทาความสะอาดซักล้างและกิจกรรมอื่นๆองค์การสหประชาชาติประมาณการว่ามีประชากรโลกอีกประมาณ
2,000,000 ล้านคนทั่วโลกที่ขาดแคลนน้าใช้อย่างเพียงพอ
2. เพื่อการเกษตรกรรม
การใช้น้าในการเกษตรกรรมนั้นประมาณว่ามนุษย์ใช้น้าเพื่อการเพาะปลูก70% ของปริมาณน้าที่มนุษย์ใช้ทั้งหมด
เพื่อการผลิตธัญพืชสาหรับการบริโภคส่วนน้าที่ใช้สาหรับการเลี้ยงสัตว์แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันไปเช่นโคนมม้า
หมู ไก่ ต้องการน้า20 , 12, 4 , 0.04 แกลลอนต่อตัวต่อวันน้าจึงมีความสาคัญมากในการผลิตอาหารของมนุษย์
3. เพื่อการอุตสาหกรรม
น้าเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆทั้งในส่วนของกระบวนการผลิตโดยตรง
คือ เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ล้างวัตถุดิบและกิจกรรมต่างๆที่สนับสนุนการผลิตเช่นใช้ในการล้างเครื่องจักร
- 10. - ลักษณะพื้นที่ไม่เหมาะสมเช่นไม่มีแหล่งน้าดินไม่ดูดซับน้า
- ขาดการวางแผนการใช้และอนุรักษ์น้าที่เหมาะสม
- ฝนตกน้อยและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน
2) การเกิดน้าท่วมอาจเกิดจากสาเหตุหนึ่งหรือหลายสาเหตุร่วมกันดังต่อไปนี้
- ฝนตกหนักติดต่อกันนานๆ
- ป่าไม้ถูกทาลายมากทาให้ไม่มีสิ่งใดจะช่วยดูดซับน้าไว้
- ภูมิประเทศเป็นที่ลุ่มและการระบายน้าไม่ดี
- น้าทะเลหนุนสูงกว่าปกติทาให้น้าจากแผ่นดินระบายลงสู่ทะเลไม่ได้
- แหล่งเก็บกักน้าตื้นเขินหรือได้รับความเสียหายจึงเก็บน้าได้น้อยลง
2. ปัญหาด้านคุณภาพของน้าไม่เหมาะสมสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่
1) การทิ้งสิ่งของและการระบายน้าทิ้งลงสู่แหล่งน้าทาให้แหล่งน้าสกปรกและเน่าเหม็นจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
มักเกิดตามชุมชนใหญ่ๆที่อยู่ใกล้แหล่งน้าหรือท้องถิ่นที่มีโรงงานอุตสาหกรรม
2) สิ่งที่ปกคลุมผิวดินถูกชะล้างและไหลลงสู่แหล่งน้ามากกว่าปกติ มีทั้งสารอินทรีย์สารอนินทรีย์และสารเคมีต่างๆ
ที่ใช้ในกิจการต่างๆซึ่งทาให้น้าขุ่นได้ง่ายโดยเฉพาะในฤดูฝน
3) มีแร่ธาตุเจือปนอยู่มากจนไม่เหมาะแก่การใช้ประโยชน์น้าที่มีแร่ธาตุปนอยู่เกินกว่า 50
พีพีเอ็มนั้นเมื่อนามาดื่มจะทาให้เกิดโรคนิ่วและโรคอื่นได้
4) การใช้สารเคมีที่มีพิษตกค้างเช่นสารที่ใช้ป้ องกันหรือกาจัดศัตรูพืชหรือสัตว์
ซึ่งเมื่อถูกฝนชะล้างลงสู่แหล่งน้าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
- 11. 3. ปัญหาการใช้ทรัพยากรน้าอย่างไม่เหมาะสมเช่นใช้มากเกินความจาเป็นโดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะขาดแคลนน้า
หรือการสูบน้าใต้ดินขึ้นมาใช้มากจนดินทรุดเป็นต้น
ปี พ.ศ. 2541 ธนาคารโลกพยากรณ์ว่าน้าในโลกลดลง1ใน 3 ของปริมาณน้าที่เคยมีเมื่อ25 ปีก่อน และในปี
ค.ศ. 2525 หรืออีก 25 ปีข้างหน้า การใช้น้าจะเพิ่มอีกประมาณร้อยละ65 เนื่องจากจานวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น
การใช้น้าอย่างไม่ถูกต้องและขาดการดูแลรักษาทรัยากรน้าซึ่งจะเป็นผลให้ประชากรโลกกว่า 3,000 ล้านคนใน 52
ประเทศประสบปัญหาการขาดแคลนน้า
4. ปัญหาความเปลี่ยนแปลงของฟ้ าอากาศ
เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนิโน(El Nino) และลานินา(La Nina)
โดยปรากฎการณ์เอลนิโนเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดธรรมชาติจะเกิดขึ้นประมาณ 5ปีต่อครั้ง นานครั้งละ8 - 10 เดือน
โดยกระแสน้าอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกบริเวณเส้นศูนย์สูตรไหลย้อนกลับไปแทนที่กระแสน้าเย็นในมหาสมุทร
แปซิฟิกตะวันออกลงไปถึงชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ (ประเทศเปรู เอกวาดอร์ และชิลีตอนเหนือ)
ทาให้ผิวน้าที่เคยเย็นกลับอุ่นขึ้นและที่เคยอุ่นกลับเย็นลง
เมื่ออุณหภูมิของผิวน้าเปลี่ยนแปลงไปก็จะส่งผลทาให้อุณหภูมิเหนือน้าเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
เป็นผลให้เกิดความร้อนและความแห้งแล้งในบริเวณที่เคยมีฝนชุก
และเกิดฝนตกหนักในบริเวณที่เคยแห้งแล้งลมและพายุเปลี่ยนทิศทาง
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดเป็นบริเวณกว้างจึงส่งผลกระทบต่อโลกอย่างกว้างขวาง
สามารถทาลายระบบนิเวศในซีกโลกใต้ รวมทั้งพื้นที่บางส่วนเหนือเส้นศูนย์สูตรได้
สาหร่ายทะเลบางแห่งตายเพราะอุณหภูมิสูง
ปลาที่เคยอาศัยในน้าอุ่นต้องว่ายหนีไปหาน้าเย็นทาให้มีปลาแปลกชนิดเพิ่มขึ้นและหลังการเกิดปรากฎการณ์เอลนิโน
แล้วก็จะเกิดปรากฏการณ์ลานินาซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามตามมา
โดยจะเกิดเมื่อกระแสน้าอุ่นและคลื่นความร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้เคลื่อนย้อนไปทางตะวันตก
ทาให้บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกที่อุณหภูมิเริ่มเย็นจะมีการรวมตัวของไอน้าปริมาณมากทาให้อากาศเย็นลง
เกิดพายุและฝนตกหนักโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน
- 12. เอล นิโนเคยก่อตัวครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2525 - 2526 ซึ่งส่งผลทาให้อุณหภูมิผิวน้าสูงกว่าปกติถึง9
องศาฟาเรนไฮต์ทาลายชีวิตมนุษย์ทั่วโลกถึง2,000 คนค่าเสียหายประมาณ481,000 ล้านบาท
ปะการังในทะเลแคริบเบียนเสียความสมดุลไปร้อยละ 50- 97 แต่ในปี พ.ศ. 2540 กลับก่อตัวกว้างกว่าเดิม
ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ได้กว้างใหญ่กว่าประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเขตน้าอุ่นนอกชายฝั่งประเทศเปรูขยายออกไปไกลกว่า 6,000
ไมล์ หรือประมาณ1 ใน4 ของเส้นรอบโลกอุณหภูมิผิวน้าวัดได้เท่ากันและมีความหนาของน้าถึง 6นิ้ว
ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เลวร้ายที่สุดในรอบ150 ปี โดยเริ่มแสดงผลตั้งแต่เดือนเมษายน2541
นอกจากนี้ปรากฏการณ์เรือนกระจกและการลดลงของพื้นที่ป่ายังส่งเสริมความรุนแรงของปัญหาอีกด้วย
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) ประเทศไทยประสบความร้อนและแห้งแล้งรุนแรงทั่วประเทศฝนตกน้อยหรือตกล่าช้ากว่าปกติ
(ยกเว้นภาคใต้ที่กลางเดือนสิงหาคมเกิดฝนตกหนักจนน้าท่วม)ปริมาณน้าในแม่น้าอ่างเก็บน้าและเขื่อนลดน้อยลงมาก
รวมทั้งบางจังหวัดมีอุณหภูมิในฤดูร้อนสูงมากและเกิดติดต่อกันหลายวันเช่นจังหวัดตากมีอุณหภูมิในเดือนเมษายนพ.ศ.
2541 สูงถึง43.7 องศาเซลเซียสซึ่งนับว่าสูงที่สุดในรอบ67 ปี
นอกจากนี้ยังทาให้ผลผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะไม้ผลลดลง
2) ประเทศอินโดนีเซียประสบความแห้งแล้งทั้งที่อยู่ในเขตมรสุมและมีป่าฝน
เมื่อฝนไม่ตกจึงทาให้ไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้นในเกาะสุมาตราและบอร์เนีบวเผาผลาญป่าไปประมาณ 14ล้านไร่
พร้อมทั้งก่อปัญหามลพิษทางอากาศเป็นบริเวณกว้างมีผู้คนป่วยไข้นับหมื่น
ทัศนวิสัยไม่ดีจนทาให้เครื่องบินสายการบินการูดาตกและมีผู้เสียชีวิต 234คน อีกทั้ง ยังทาให้ผลิตผลการเกษตรตกต่า
โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟโรบัสตาที่ส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งได้รับความเสียหายมากเป็นประวัติการณ์
3) ประเทศปาปัวนิวกินีได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีคนตายจากภัยแล้ง 80
คนและประสบปัญหาแล้งอีกประมาณ 1,000,000 คน
4) ประเทศออสเตรเลียอากาศแห้งแล้งรุนแรงจนต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงเพราะขาดแคลนน้าและอาหารซึ่งคาดว่า
ผลผลิตการเกษตรจะเสียหายประมาณ432ล้านเหรียญ
- 13. 5) ประเทศเกาหลีเหนือปัญหาความแห้งแล้งรุนแรงและอดอยากรุนแรงมากพืชไร่เสียหายมาก
6) ประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดพายุเฮอร์ริเคนทางด้านฝั่งตะวันตกมากขึ้น
โดยเฉพาะภาคใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียได้รับภัยพิบัติมากที่สุดส่วนทางฝั่งตะวันออกซึ่งมีเฮอร์ริเคนค่อนข้างมาก
คลื่นลมกลับสงบกว่าปกติ
7) ประเทศเปรูและชิลีเกิดฝนตกหนักและจับปลาได้น้อยลง
(เคยเกิดฝนตกหนักและน้าท่วมในทะเลทรายอะตาคามาประเทศชิลีอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนทั้งๆ
ที่บริเวณนี้แห้งแล้งมากจนประเทศสหรัฐอเมริกาขอใช้เป็นสถานที่ฝึกนักอวกาศโดยสมมติว่าเป็นพื้นผิวดาวอังคาร)
8) ทวีปแอฟริกาแห้งแล้งรุนแรงพืชไร่อาจเสียหายประมาณครึ่งหนึ่ง
ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้าในประเทศไทย
1. การขาดแคลนน้าหรือภัยแล้ง
ในหน้าแล้ง ประชากรไทยจะขาดแคลนน้าดื่มน้าใช้จานวน13,000 - 24,000 หมู่บ้านประชากรประมาณ6 -
10 ล้านคนซึ่งโดยส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างการขาดแคลนน้าในระดับวิกฤตจะเกิดเป็นระยะๆ
และรุนแรงขึ้นน้าในเขื่อนสาคัญต่างๆ
โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลมีปริมาณเหลือน้อยจนเกือบจะมีผลกระทบต่อการผลิตกระแสไฟฟ้ า
และการผลิตน้าประปาสาหรับใช้ในหลายจังหวัดการลดปริมาณของฝนและน้าที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้า
และการเกิดฝนมีแนวโน้มลดลงทุกภาคประมาณะร้อยละ 0.42 ต่อปี
เป็นสิ่งบอกเหตุสาคัญที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความรุนแรงของภัยแล้ง
สาหรับปริมาณน้าที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้าของเขื่อนและแม่น้าสาคัญเช่นเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์และแม่น้าเจ้าพระยา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา ก็มีปริมาณลดลงเช่นกันเนื่องจากต้นน้าลาธารถูกทาลายทาให้ฝนและน้าท่าน้อยละ
ขณะเดียวกันความต้องการใช้น้ากลับมีมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่น
การผลักดันน้าเค็มบริเวณปากแม่น้าเจ้าพระยาและแม่น้าท่าจีนจะต้องใช้น้าจืดประมาณ 2,500 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
- 14. การทานาปีใช้ประมาณ4,000 ล้านลูกบาศก์เมตรและการทานาปรังจะใช้ประมาณ 6,000
ล้านลูกบาศก์เมตรโดยมีแนวโน้มของการใช้เพิ่มมากขึ้นทุกปี
2. ปัญหาน้าท่วมหรืออุทกภัย
เกิดจากฝนตกหนักหรือตกติดต่อกันเป็นเวลานานๆเนื่องจากการตัดไม้ทาลายป่า
แหล่งน้าตื้นเขินทาให้รองรับน้าได้น้อยลงการก่อสร้างที่ทาให้น้าไหลได้น้อยลงเช่นการก่อสร้างสะพาน
นอกจากนี้น้าท่วมอาจเกิดจากน้าทะเลหนุนสูงขึ้นพื้นดินทรุดตัวเนื่องจากการสูบน้าใต้ดินไปใช้มากเกินไป
พื้นที่เป็นที่ต่าและการระบายน้าไม่ดีและการสูญเสียพื้นที่น้าท่วมขังตัวอย่างได้แก่ การถมคลองเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัย
รวมทั้งการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้าเช่นกว๊านพะเยาบึงบอระเพ็ดทะเลสาบสงขลาและหนองหาร
จังหวัดสกลนครเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น
3. เกิดมลพิษทางน้าและระบบนิเวศถูกทาลาย
โดยส่วนใหญ่แล้วน้าจะเกิดการเน่าเสียเพราะการเจือปนของอินทรียสารสารพิษตะกอน
สิ่งปฏิกูลและน้ามันเชื้อเพลิงลงสู่แหล่งน้าซึ่งมีผลให้พืชและสัตว์น้าเป็นอันตรายเช่นการที่ปะการังตัวอ่อนของสัตว์น้า
และปลาที่เลี้ยงตามชายฝั่งบริเวณเกาะภูเก็ตตายหรือเจริญเติบโตผิดปกติเพราะถูกตะกอนจากการทาเหมืองแร่ทับถม
เนื่องจากตะกอนจะไปอุดตันช่องเหงือกทาให้ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
4. แหล่งน้าตื้นเขิน
ดินและตะกอนดินที่ถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้านั้นทาให้แหล่งน้าตื้นเขินและเกิดน้าท่วมได้ง่าย
ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือและยังเป็นผลเสียต่อการดารงชีวิตของสัตว์น้าโดยเฉพาะบริเวณอ่าวไทยตอนบน
โดยในแต่ละปีตะกอนดินถูกพัดพาไปทับถมกันมากถึงประมาณ 1.5ล้านตัน
5. การสูบน้าใต้ดินไปใช้มากจนแผ่นดินทรุดตัว
- 15. ชาวกรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้ง6จังหวัดใช้น้าบาดาลจานวนมากเมื่อปี 2538 พบว่า
ใช้ประมาณวันละ1.5 ล้านลูกบาศก์เมตรภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจใช้ประมาณวันละ 1.2ล้านลูกบาศก์เมตร
ทาให้ดินทรุดตัวลงทีละน้อยและทาให้เกิดน้าท่วมขังได้ง่ายขึ้น
หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรน้า
การอนุรักษ์น้าหมายถึงการป้ องกันปัญหาที่พึงจะเกิดขึ้นกับน้า
และการนาน้ามาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดารงชีพของมนุษย์
การแก้ปัญหาการสูญเสียทรัพยากรน้า
1.การปลูกป่า
โดยเฉพาะการปลูกป่าบริเวณพื้นที่ต้นน้าหรือบริเวณพื้นที่ภูเขาเพื่อให้ต้นไม้เป็นตัวกักเก็บน้าตามธรรมชาติ
ทั้งบนดินและใต้ดินแล้วปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดปี รวมทั้งยังสามารถป้ องกันปัญหาอื่นๆได้ เช่น
ปัญหาการพังทลายของดินปัญหาการขาดแคลนน้าและการเกิดน้าท่วม
2.การพัฒนาแหล่งน้า
เนื่องจากปัจจุบันแหล่งน้าธรรมชาติต่างๆเกิดสภาพตื้นเขินเป็นส่วนใหญ่
ทาให้ปริมาณน้าที่จะกักขังไว้มีปริมาณลดลง
การพัฒนาแหล่งน้าเพื่อให้มีน้าเพียงพอจึงจาเป็นต้องทาการขุดลอกแหล่งน้าให้กว้างและลึกใกล้เคียงกับสภาพเดิมหรือมา
กกว่าตลอดจนการจัดหาแหล่งน้าเพิ่มเติมอาจจะกระทาโดยการขุดเจาะน้าบาดาลมาใช้
ซึ่งต้องระวังปัญหาการเกิดแผ่นดินทรุดหรือการขุดเจาะแหล่งน้าผิวดินเพิ่มเติม
3.การสงวนน้าไว้ใช้
เป็นการวางแผนการใช้น้าเพื่อให้มีปริมาณน้าที่มีคุณภาพมาใช้ประโยชน์ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง
ด้วยวิธีการต่างๆเช่นการทาบ่อหรือสระเก็บน้าการหาภาชนะขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้าฝน(เช่นโอ่งหรือแท็งก์น้า)
รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้าและระบบชลประทาน
4.การใช้น้าอย่างประหยัด
เป็นการนาน้ามาใช้ประโยชน์หลายอย่างอย่างต่อเนื่องและเกิดประโยชน์สูงสูด
ทั้งด้านการอนุรักษ์น้าและตัวผู้ใช้น้าเองกล่าวคือสามารถลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้าลงได้
ปริมาณน้าเสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ามีปริมาณน้อยลงและป้ องกันปัญหาการขาดแคลนน้า
5.การป้ องกันการเกิดมลพิษของน้า
- 18. 3. การปลูก
3.1 ฤดูปลูก
• เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพดีจาเป็นต้องวางแผนการปลูกที่เหมาะสมดังนี้
ภาคเหนือ ควรปลูกตั้งแต่เดือนกรกฎาคมและเก็บเกี่ยวถึงเดือนพฤศจิกายน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรปลูกตั้งแต่เดือนกรกฎาคมและเก็บเกี่ยวถึงเดือนพฤศจิกายน
ภาคกลาง ควรปลูกตั้งแต่เดือนมิถุนายนและเก็บเกี่ยวถึงเดือนธันวาคม
ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ควรปลูกตั้งแต่เดือนกันยายนและเก็บเกี่ยวถึงเดือนกุมภาพันธ์
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก ควรปลูกตั้งแต่เดือนกรกฎาคมและเก็บเกี่ยวถึงเดือนพฤศจิกายน
3.2 การเตรียมเมล็ดพันธุ์
• ใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่นศูนย์บริการวิชาการและปัจจัยการผลิต(สถานีทดลองข้าวเดิม)ศูนย์วิจัยข้าว
ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวกรมการข้าวและศูนย์ขยายพันธุ์พืชกรมส่งเสริมการเกษตร
• หากใช้เมล็ดพันธุ์ของเกษตรกรต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บริสุทธิ์ตรงตามพันธุ์สะอาดมีความงอกไม่น้อยกว่า 80เปอร์เซ็นต์
ปราศจากเมล็ดวัชพืชและไม่มีโรคแมลงทาลาย
• ปลูกโดยวิธีปักดาใช้เมล็ดพันธุ์5-7 กิโลกรัมตกกล้าเพื่อปักดาในพื้นที่1ไร่
• ปลูกโดยวิธีหว่านข้าวแห้งใช้อัตราเมล็ดพันธุ์15-20กิโลกรัมต่อไร่
• ปลูกวิธีหว่านน้าตมใช้เมล็ดพันธุ์15-20 กิโลกรัมต่อไร่
• สาหรับการปลูกโดยวิธีปักดาหรือหว่านน้าตมนาเมล็ดพันธุ์ใส่ถุงผ้าดิบหรือกระสอบป่านแช่น้า 24 ชั่วโมงแล้วนาไปหุ้ม
36-48 ชั่วโมงโดยวางกลางแดดคลุมด้วยกระสอบป่านหมั่นรถน้าให้กระสอบเปียก
3.3 การเตรียมดินและวิธีปลูก
• ปรับระดับผิวดินให้เรียบสม่าเสมอเสริมคันนาให้แข็งแรงสามารถเก็บกักน้าฝนได้ดี
ถ้าต้องการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
• ไม่เผาฟางข้าวควรไถกลบตอซังและฟางข้าวหลังเก็บเกี่ยว
- 19. • หว่านปุ๋ ยหมักหรือปุ๋ ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้วอัตรา 500-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนเตรียมดิน
• ควรปลูกพืชปุ๋ ยสดเช่นโสนอัฟริกันอัตราเมล็ดพันธุ์5กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนปลูกข้าวประมาณ 2เดือน
ไถกลบเมื่อพืชปุ๋ ยสดมีอายุประมาณ50 วัน
3.3.1 การปลูกโดยวิธีปักดามี2 ขั้นตอน
การตกกล้า
• เตรียมแปลงตกกล้าโดยไถดะทิ้งไว้ 7-15 วันไถแปร เอาน้าเข้าแช่ขี้ไถคราดปรับระดับผิวดินแล้วทาเทือก
• แบ่งแปลงย่อยกว้างประมาณ1-2เมตร ยาวตามความยาวของแปลงทาร่องน้าระหว่างแปลงกว้างประมาณ30
เซนติเมตรแล้วระบายน้าออก
• หว่านเมล็ดข้าวที่เตรียมไว้ (ตามข้อ3.2) บนแปลงให้สม่าเสมอใช้อัตราเมล็ดพันธุ์50-70 กรัมต่อตารางเมตร
• อย่าให้น้าท่วมแปลงกล้าแต่ให้มีความชื้นเพียงพอสาหรับการงอกเพิ่มระดับน้าตามการเจริญเติบโตของต้นข้าว
อย่าให้น้าท่วมต้นข้าวและไม่เกิน5เซนติเมตร จากระดับผิวดิน
การปักดา
• เตรียมแปลงปักดาโดยไถดะทิ้งไว้ 7-15 วันไถแปร เอาน้าเข้าแช่ขี้ไถคราดปรับระดับผิวดินแล้วทาเทือก
รักษาระดับน้าในแปลงปักดาประมาณ5เซนติเมตรจากผิวดิน
• ปักดาโดยใช้ต้นกล้าอายุประมาณ25 วัน
• ไม่ควรตัดใบกล้ายกเว้นในกรณีจาเป็นเช่นปักดากล้าอายุมาก
• ระยะปักดา20 x 20 เซนติเมตรจานวน 3-5 ต้นต่อกอ ถ้าใช้กล้าอายุมากกว่า30วันควรใช้กล้า5-6 ต้นต่อกอ
• อย่าปล่อยให้ต้นข้าวขาดน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกาเนิดช่อดอกถึงออกรวง
• ก่อนเก็บเกี่ยว10 วันถ้ามีน้าขังให้ระบายน้าออก
3.3.2 การปลูกโดยวิธีหว่านข้าวแห้ง
- 20. • เตรียมแปลงหว่านข้าวแห้งโดยการไถดะทิ้งไว้ 7-15 วันไถแปร 1-2 ครั้งให้ขี้ไถสม่าเสมอปราศจากวัชพืช
• หว่านเมล็ดข้าวแห้งให้สม่าเสมอทั่วแปลงใช้อัตราเมล็ดพันธุ์20-25 กิโลกรัมต่อไร่แล้วคราดกลบ
3.3.3 การปลูกโดยวิธีหยอด
หยอดเป็นหลุม
• เตรียมแปลงนาหยอดโดยการไถดะทิ้งไว้ 7-15 วันไถแปร1-2 ครั้ง ให้ขี้ไถ สม่าเสมอปราศจากวัชพืช
เช่นเดียวกับวิธีหว่านข้าวแห้ง
• ใช้ไม้กระทุ่งดินให้ลึก4-5 ซม. ระยะห่างระหว่างหลุม20-25 ซม. หลุมหนึ่งหยอด4-5 เมล็ด แล้วกลบอัตราเมล็ดพันธุ์
8-10 กิโลกรัมต่อไร่ การหยอดเป็นหลุมอาจใช้เครื่องหยอดที่ใช้คนลากหรือติดกับรถไถเดินตามหยอดเป็นแถว
• เตรียมดินเช่นเดียวกับวิธีหยอดหลุมหรือวิธีหว่านข้าวแห้งทาร่องลึกประมาณ 4-5ซม.ให้ห่างกันประมาณ4-5 ซม.
ใช้คนโรยตามร่องอัตราเมล็ดพันธุ์10-15 กิโลกรัมต่อไร่
การหยอดเป็นแถวอาจใช้เครื่องหยอดติดรถไถเดินตามแล้วกลบเมล็ด
4. การดูแลรักษา
4.1 การให้ปุ๋ ยเคมี
4.1.1 นาดา
ข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสง
ครั้งที่ 1
สาหรับดินเหนียวใส่ปุ๋ ยสูตร16-20-0หรือ 18-22-0 หรือ 20-20-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านก่อนปักดา1
วันแล้วคราดกลบหรือหว่านหลังปักดา 15-20วันสาหรับดินร่วนและดินทรายใส่ปุ๋ ยสูตร 16-16-8 อัตรา 20
กิโลกรัมต่อไร่ หว่านก่อนปักดาแล้วคราดกลบหรือหว่านหลังปักดา15-20 วัน
ครั้งที่ 2
สาหรับดินทุกประเภทใส่ปุ๋ ยสูตร46-0-0 อัตรา5 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร21-0-0 อัตรา10 กิโลกรัมต่อไร่
ที่ระยะกาเนิดช่อดอกหรือ30 วันก่อนข้าวออกดอก
ข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง
- 21. ครั้งที่ 1
ใส่ปุ๋ ยสูตร16-20-0 หรือ18-22-0 หรือ20-20-0 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ สาหรับดินเหนียว
สาหรับดินร่วนและดินทรายใส่ปุ๋ ยสูตร16-16-8ในอัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านก่อนปักดาแล้วคราดกลบ
หรือหว่านหลังปักดา15-20 วัน
ครั้งที่ 2
สาหรับดินทุกประเภทใส่ปุ๋ ยสูตร46-0-0 อัตรา10 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร21-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่
ที่ระยะกาเนิดช่อดอกหรือ30 วันก่อนข้าวออกดอก
4.1.2 นาหว่านข้าวแห้งและนาหยอด
ข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสง
ครั้งที่ 1
สาหรับดินเหนียวใส่ปุ๋ ยสูตร16-20-0หรือ 18-22-0 หรือ 20-20-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่
หลังจากข้าวงอกแล้ว20-30วันหรือรอจนกว่ามีน้าพอละลายปุ๋ ยได้
สาหรับดินร่วนและดินทรายใส่ปุ๋ ยสูตร 16-16-8อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ หลังข้าวงอกแล้ว20-30วัน
หรือรอจนกว่ามีน้าละลายปุ๋ ยได้
ครั้งที่ 2
สาหรับดินทุกประเภทใส่ปุ๋ ยสูตร46-0-0 อัตรา5 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร21-0-0 อัตรา10 กิโลกรัมต่อไร่
ที่ระยะกาเนิดช่อดอกหรือ30 วันก่อนข้าวออกดอก
ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง
ครั้งที่ 1
สาหรับดินเหนียวใส่ปุ๋ ยสูตร16-20-0หรือ 18-22-0 หรือ 20-20-0 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ หลังข้าวงอก30
วันสาหรับดินร่วนและดินทรายใส่ปุ๋ ยสูตร 16-16-8หรือ 18-12-6 อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ หลังจากข้าวงอกแล้ว 30วัน
ครั้งที่ 2
- 22. สาหรับดินทุกประเภทให้ปุ๋ ยสูตร46-0-0 อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร21-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่
ที่ระยะกาเนิดช่อดอกหรือ30 วันก่อนข้าวออกดอก
4.2 การให้ปุ๋ ยอินทรีย์
ในดินทั่ว ๆ ไปการให้ปุ๋ ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ ยเคมีจะได้ผลดีที่สุดใช้ปุ๋ ยคอกหรือปุ๋ ยหมักอัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่
ขึ้นไป โดยให้ปุ๋ ยก่อนปลูกข้าว15-20 วันสาหรับปุ๋ ยพืชสด
• โสนอัฟริกันหรือโสนอินเดียปลูกก่อนปลูกข้าวในอัตรา5กิโลกรัมต่อไร่ ตัดหรือไถกลบเมื่อโสนอายุ 60-70
วัน (ยกเว้นนาหยอดและนาหว่านข้าวแห้ง) โดยไถกลบก่อนปักดา 15-20วัน
• กระถินยักษ์และแคฝรั่งใช้ใบและยอดอ่อนในอัตรา 600-1,200 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนปักดา15-20 วัน
• พืชตระกูลถั่วอัตรา10 กก./ไร่ ตัดหรือไถกลบหลังจากปลูก50วัน
4.3 การอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ
ศัตรูธรรมชาติในนาข้าวแบ่งออกเป็น3 กลุ่ม
1. ตัวเบียนเป็นพวกที่อาศัยและเกาะกินแมลงศัตรูข้าวเพื่อการดารงชีพ
แบ่งเป็นตัวเบียนภายนอกและตัวเบียนภายในตัวเบียนทาลายแมลงศัตรูข้าวมีทุกระยะการเติบโตไม่ว่าระยะไข่ตัวอ่อน
และตัวเต็มวัยตัวอย่างของศัตรูธรรมชาติในกลุ่มนี้ได้แก่ แตนเบียนไข่ของหนอนกอข้าวและแมลงบั่ว
แตนเบียนหนอนห่อใบข้าว และแมลงวันก้นขนทาลายหนอนกอข้าวเป็นต้น
2. ตัวห้าเป็นพวกที่จับกินหรือดูดกินแมลงศัตรูข้าวเพื่อการดารงชีพ
ตัวห้าทาลายแมลงศัตรูข้าวมีทุกระยะการเจริญเติบโตไม่ว่าระยะไข่ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย
ตัวอย่างของแมลงศัตรูข้าวในกลุ่มนี้ได้แก่ แมงมุมสุนัขป่ามวนเขียวดูดไข่และแมลงปอเป็นต้น
3. โรคของแมลงเป็นพวกเชื้อโรคได้แก่ เชื้อราบักเตรี ไวรัสไส้เดือนฝอยและโปรโตซัว
ซึ่งพบว่าทาให้แมลงศัตรูข้าวตาย
4.4 แนวทางในการปฏิบัติเพื่อใช้ประโยชน์จากศัตรูธรรมชาติในนาข้าวมีดังนี้
- 23. 1.ใช้วิธีการป้ องกันกาจัดแมลงศัตรูข้าวแบบผสมผสานคือการใช้วิธีการป้ องกันกาจัดหลายวิธีร่วมกัน
เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้สารฆ่าแมลงในการป้ องกันกาจัดแมลงศัตรูข้าวแต่เพียงวิธีเดียวควรใช้ วิธีการอย่างอื่นร่วมด้วยเช่น
ใช้ข้าวพันธุ์ต้านทานต่อแมลงศัตรูนั้นๆทาให้ลดการใช้สารฆ่าแมลงลงได้
หรืออาจไม่ต้องใช้เลยซึ่งมีผลทาให้ศัตรูธรรมชาติในนาเพิ่มมากขึ้นทั้งชนิดและปริมาณเกิดสมดุลทางธรรมชาติ
และไม่เกิดการระบาดของแมลงศัตรูในนาข้าว
2. ถ้าจาเป็นต้องใช้สารฆ่าแมลงเป็นทางเลือกสุดท้ายและใช้สารฆ่าแมลงที่มีพิษน้อยต่อศัตรูธรรมชาติ
ใช้เฉพาะพื้นที่ที่ถูกแมลงศัตรูข้าวทาลายไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงเพื่อป้ องกันไว้ก่อนทั้งๆที่ยังไม่มีแมลงทาลาย
หรือทาลายน้อยไม่ถึงระดับที่จะสูญเสียผลผลิตข้าว
เพื่อหลีกเลี่ยงการทาลายศัตรูธรรมชาติและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในนาข้าว
5. สุขลักษณะและความสะอาด
• กาจัดวัชพืชในนาและบนคันนา
• อุปกรณ์ต่างๆ เช่นมีด จอบ เคียวเครื่องพ่นสารป้ องกันกาจัดศัตรูพืชหลังใช้งานแล้วต้องทาความสะอาด
หากเกิดชารุดต้องซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
• เก็บสารเคมีป้ องกันกาจัดศัตรูพืชและปุ๋ ยเคมีในที่ปลอดภัยและใส่กุญแจ
• ภาชนะบรรจุสารเคมีและวัสดุการเกษตรที่ใช้แล้วควรทาลายหรือฝังดิน
6. ศัตรูของข้าวและการป้ องกันกาจัด
6.1 ศัตรูข้าวที่สาคัญและการป้ องกันกาจัด
6.1.1 โรคไหม้
สาเหตุ เชื้อรา
ลักษณะอาการ
ระยะกล้า ใบมีแผลจุดสีน้าตาลคล้ายรูปตาตรงกลางแผลมีสีเทากว้าง 2-5ม.ม. ยาว10-15 ม.ม.
ในกรณีที่โรครุนแรงต้นกล้าข้าวจะแห้งและฟุบตาย
ระยะแตกกอ อาการโรคพบได้บนใบกาบใบข้อต่อของใบและข้อต่อของลาต้น
ขนาดของแผลใหญ่กว่าระยะกล้าแผลลุกลามติดต่อกันได้
แผลบริเวณข้อต่อใบมีลักษณะแผลช้าสีน้าตาลดาและใบมักหลุดจากข้อต่อใบ
- 25. ช่วงเวลาระบาด
เมื่อฝนตกพราติดต่อกันหลายวันระดับน้าในนาสูงหรือเมื่อเกิดน้าท่วม
การป้ องกันกาจัด
• ในแปลงที่เป็นโรคไถกลบตอซังข้าวทันทีหลังการเก็บเกี่ยว
• กาจัดพืชอาศัยรอบคันนาเช่นข้าวป่าและหญ้าไซเป็นต้น
• ใช้พันธุ์ข้าวค่อนข้างต้านทานเช่นเหลืองประทิว 123 พัทลุง 60 พิษณุโลก60 -1
• ควรงดให้ปุ๋ ยไนโตรเจน
• ไม่ระบายน้าจากแปลงนาที่เป็นโรคสู่แปลงข้างเคียง
6.1.3 โรคเมล็ดด่าง
สาเหตุเชื้อราหลายชนิด
ลักษณะอาการ
อาการที่เด่นชัดคือรวงข้าวด่างดาเมล็ดมีรอยแผลเป็นจุดสีน้าตาลดาลายสีน้าตาลหรือเมล็ดมีสีเทาปนชมพู
บางเมล็ดลีบและมีสีน้าตาลดาทาให้ผลผลิตและคุณภาพของข้าวเสียหายมาก
ช่วงเวลาระบาดช่วงที่ดอกข้าวเริ่มโผล่จากกาบใบธงโดยเฉพาะเมื่อฝนตกชุก
ความชื้นในอากาศสูงมีหมอกจัดติดต่อกันหลายวัน
การป้ องกันกาจัด
• ในแหล่งที่มีโรคนี้ระบาดเป็นประจาควรหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวพันธุ์อ่อนแอ
• ใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่ไม่เป็นโรคหากไม่มีทางเลือก
ควรคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสารป้ องกันกาจัดโรคพืชตามคาแนะนาในตารางที่ 1
• ในระยะข้าวเริ่มออกรวงหากพบจุดบนใบประกอบกับมีฝนตกและความชื้นสูง
ควรพ่นสารป้ องกันกาจัดโรคพืชตามคาแนะนาในตารางที่1
- 26. 6.1.4 โรคกาบใบแห้ง
สาเหตุเชื้อรา
ลักษณะอาการ
พบตั้งแต่ระยะแตกกอถึงเก็บเกี่ยวแผลเกิดที่กาบใบใกล้ระดับน้ามีสีเขียวปนเทาขอบแผลมีสีน้าตาลขนาด 1-4x
2-10 ม.ม. แผลอาจขยายใหญ่มากขึ้นและลุกลามขึ้นไปตามกาบใบใบข้าวและกาบใบธง
ใบและกาบใบเหี่ยวและแห้งตายถ้าข้าวแตกกอมากต้นเบียดกันแน่นโรคจะระบาดรุนแรงมากขึ้น
ช่วงเวลาระบาด
เมื่อความชื้นและอุณหภูมิสูง
การป้ องกันกาจัด
• กาจัดวัชพืชตามคันนาและแหล่งน้าเพื่อลดแหล่งสะสมของเชื้อโรค
• ใช้ระยะปักดาและอัตราเมล็ดพันธุ์ตามคาแนะนา
• ให้ปุ๋ ยไนโตรเจนตามคาแนะนาในข้อ4.1
• เมื่อเริ่มพบแผลบนกาบใบที่5 นับจากยอดใช้สารป้ องกันกาจัดเชื้อราตามคาแนะนา
6.1.5 โรคถอดฝักดาบ
สาเหตุ เชื้อรา
ลักษณะอาการ
ในระยะกล้าต้นกล้าจะแห้งตายหลังจากปลูกได้ไม่เกิน7วันแต่มักพบกับข้าวอายุเกิน15 วัน
ข้าวเป็นโรคจะผอมสูงเด่นกว่ากล้าข้าวโดยทั่วๆไปต้นข้าวผอมมีสีเขียวอ่อนซีดมักย่างปล้อง
มีรากเกิดขึ้นที่ข้อต่อของลาต้นส่วนที่ย่างปล้อง
บางกรณีข้าวจะไม่ย่างปล้องแต่รากจะเน่าช้าเวลาถอนกล้ามักจะขาดตรงบริเวณโคนต้นถ้าเป็นรุนแรงกล้าข้าวจะแห้งตาย
หากไม่รุนแรงอาการจะแสดงหลังจากย้ายไปปักดาได้ 15-45วันโดยที่ต้นเป็นโรคจะสูงกว่าต้นข้าวปกติใบมีสีเขียวซีด
เกิดรากแขนงที่ข้อลาต้นตรงระดับน้าบางครั้งพบกลุ่มเส้นใยสีชมพูบริเวณข้อที่ย่างปล้องขึ้นมา