More Related Content
Similar to ความหมายของคอมพิวเตอร์
Similar to ความหมายของคอมพิวเตอร์ (20)
ความหมายของคอมพิวเตอร์
- 4. ค
สารบัญภาพ
ภาพที่ 1.................................................................................................................................................. 10
ภาพที่ 2.................................................................................................................................................. 11
ภาพที่ 3.................................................................................................................................................. 11
ภาพที่ 4.................................................................................................................................................. 13
ภาพที่ 5.................................................................................................................................................. 14
ภาพที่ 6.................................................................................................................................................. 15
ภาพที่ 7.................................................................................................................................................. 16
- 5. 1
คอมพิวเตอร์ (อังกฤษ: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์ เป็น
เครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดาเนินการกับลาดับตัวดาเนินการทาง
ตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้
คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจารูปแบบต่าง ๆ เพื่อ
เก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดาเนินการคานวณเกี่ยวกับตัวดาเนินการทาง
ตรรกศาสตร์ และตัวดาเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลง
ลาดับของตัวดาเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอม
ให้นาเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคานวณตัวดาเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดาเนินการกับคาสั่งต่างๆ ที่คอยสั่งให้
อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คาสั่งต่างๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคาสั่งให้ระบบและ
สิ่งแวดล้อมรอบๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่
20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้อง
ขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่
หลายร้อยเครื่องรวมกัน
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี
(Integrated circuit)โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และ
ขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาด
เล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงาน
จากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคาว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึง
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมี
คอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบิน
บังคับ และของเล่นชนิดต่างๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
- 6. 2
ประวัติของการคานวณโดยใช้คอมพิวเตอร์
มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คาว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่ง
หมายถึงบุคคลที่ทาหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคานวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมา
จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา
ความหมายของคาว่าคอมพิวเตอร์นี้เริ่มมีใช้กับเครื่องจักรที่ทาหน้าที่คิดคานวณมากขึ้น
คอมพิวเตอร์ยุคแรกที่มีฟังก์ชันจากัด
ประวัติของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้นเริ่มต้นจากเทคโนโลยีสองชนิดที่แตกต่างกัน
ได้แก่ การคานวณโดยอัตโนมัติ กับการคานวณที่สามารถโปรแกรมได้ (หมายถึงสร้าง
วิธีการทางานและปรับแต่งได้) แต่ระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าเทคโนโลยีชนิดใดเกิดขึ้นก่อน
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการคานวณแต่ละชนิดนั้นไม่มีความสอดคล้องกัน อุปกรณ์บาง
ชนิดก็มีความสาคัญที่จะเอ่ยถึง อย่างเช่นเครื่องมือเชิงกลเพื่อการคานวณบางชนิดที่
ประสบความสาเร็จและยังใช้กันอยู่หลายศตวรรษก่อนที่จะมีเครื่องคิดเลข
อิเล็กทรอนิกส์ อาทิลูกคิดของชาวสุเมเรียนที่ถูกออกแบบขึ้นราว 2,500 ปีก่อน
คริสตกาล ชนะการแข่งขันความเร็วในการคานวณต่อเครื่องคานวณตั้งโต๊ะเมื่อ ค.ศ.
1946 ที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในคริสต์ทศวรรษ 1620 มีการประดิษฐ์สไลด์รูลซึ่ง
ถูกนาขึ้นยานอวกาศในภารกิจของโครงการอะพอลโลถึง 5 ครั้ง รวมถึงเมื่อครั้งที่
สารวจดวงจันทร์ด้วยนอกจากนี้ยังมี เครื่องทานายตาแหน่งดาว
ฤกษ์ (Astrolabe) และ กลไกอันติคือเธรา ซึ่งเป็นเครื่องคานวณ (คอมพิวเตอร์)
- 7. 3
เกี่ยวกับดาราศาสตร์ยุคโบราณที่ชาวกรีกเป็นผู้สร้างขึ้นราว 80 คริสตกาล ที่มาของ
ระบบการสั่งการโปรแกรมเกิดขึ้นเมื่อ ฮีโรแห่งอเล็กซานเดรีย (c.10-70 AD)
นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกสร้างโรงละครที่ประกอบด้วยเครื่องจักร ใช้แสดงละครความ
ยาว 10 นาที และทางานโดยมีกลไกเชือกและอิฐบล็อกทรงกระบอกที่ซับซ้อน ซึ่ง
สามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะชิ้นส่วนกลไกใดใช้ในการแสดงฉากใดและเมื่อใด
ราวๆ ปลายศตวรรษที่ 10 สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 นักบวชชาว
ฝรั่งเศส ได้นาลิ้นชักบรรจุอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จะตอบคาถามได้ว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ เมื่อ
ถูกถามคาถาม (ด้วยเลขฐานสอง) ซึ่งชาวมัวร์ประดิษฐ์ไว้กลับมาจากประเทศสเปน
ในศตวรรษที่ 13 นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส และโรเจอร์ เบคอน นักปราชญ์ชาว
อังกฤษ ได้สร้างหุ่นยนต์แอนดรอยด์ (android) พูดได้ โดยไม่ได้พัฒนาใดๆ ต่อ
อีก (นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส บ่นออกมาว่าเขาเสียเวลาเปล่าไป 40 ปีในชีวิต เมื่อ
นักบุญโทมัส อควีนาสตกใจกับเครื่องนี้และได้ทาลายมันเสีย)
บังเอิญ ระหว่างการพัฒนาเครื่องคานวณอิเล็กทรอนิกส์ บิซิคอม ที่พัฒนาสืบต่อ
จากเครื่องคานวณเชิงกลโดยตรงในปี ค.ศ. 1642 แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มีการ
ประดิษฐ์เครื่องคานวณของปาสคาลซึ่งเป็นเครื่องคานวณตัวเลขเชิงกล เป็นอุปกรณ์ที่
จะสามารถคานวณโดยใช้ตัวดาเนินการทางคณิตศาสตร์โดยไม่ต้องพึ่งสติปัญญามนุษย์
[
เครื่องคานวณเชิงกลนี้ยังถือเป็นรากฐานของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในสองทาง
แรกเริ่มนั้น ความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องคานวณที่มีสมรรถภาพสูงและยืดหยุ่น ซึ่ง
ทฤษฎีนี้ถูกสร้างโดยชาร์ลส แบบเบจ และได้รับการพัฒนาในเวลาต่อมา นาไปสู่การ
พัฒนาเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่) ขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960
และในขณะเดียวกัน อินเทล ก็สามารถประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งถือเป็นจุด
กาเนิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเป็นหัวใจสาคัญของ
ระบบคอมพิวเตอร์หากไม่คานึงถึงขนาดและวัตถุประสงค์ ขึ้นได้โดย
- 8. 4
ประเภทของคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale
integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถ
แบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพ
สูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพง
มาก มีขนาดใหญ่ สามารถคานวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และ
ได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทาง
วิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน
การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ
แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคานวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น
ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจาสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
จึงมีหน่วยความจาที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วย
ประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผล
หลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทางานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน
- 9. 5
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ากว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมี
ความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จานวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น
จึงสามารถใช้โปรแกรมจานวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่อง
เข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น
ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทาบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจาก
เครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine)
เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจาที่ใหญ่มาก
มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)
มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งาน
ได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจานวนที่
เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้จึงทาให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสาหรับองค์กรขนาด
กลาง หรือสาหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น
ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal
computer หรือ PC)
ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop
computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook
computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer)
ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้
- 10. 6
จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกะทัดรัด
ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสาหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบ
สาหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสานักงานสาหรับที่บ้าน เราสามารถใช้
ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทางบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทาการบ้าน
ของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์
(electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต
(internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทาง
บันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สาหรับที่โรงเรียน เราสามารถ
ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสาหรับ
ที่สานักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูล
อื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทานายยอดซื้อขายล่วงหน้า
โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)
โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อ
นาติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้าหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุด
ที่ทาด้วยกระดาษ
เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)
เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค
ถูกออกแบบไว้เพื่อนาติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้าหนักเบา
- 11. 7
อัลตร้าบุ๊ค (Ultrabook)
อัลตร้าบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และมีขนาด
เท่ากับโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนาติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ และน้าหนักเบากว่า
โน้ตบุ๊ค และเน้นความสวยงาม ทันสมัย แปลกใหม่
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)
แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถ
ใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทางานเป็นอันดับแรก มี
คีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมี
ความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมี
แป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม
ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
1.การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่
การทาบัตรประจาตัวประชาชน งานภาษี เช่น ยื่นแบบประเมินภาษีภาษีผ่าน
อินเทอร์เน็ต เก็บทะเบียนประวัติผู้เสียภาษี ตรวจสอบการเสียภาษี
2.งานสายการบิน การสารองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
3.ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่
อยู่ห่างไกล
4.ธุรกิจการนาเข้าสินค้าและส่งออก การทาธุรกิจแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
5.ธุรกิจธนาคาร ช่วยด้านงานข้อมูลธนาคาร รับ-จ่ายเงิน เก็บประวัติลูกค้า ธนาคาร
อิเล็กทรอนิกส์ การทาธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
- 12. 8
6.วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้
วิจัย คานวณ และ การจาลองแบบ
7.งานสถาปนิก ช่วยออกแบบ เขียนแบบ หรือทาแบบจาลองสามมิติ
8.งานภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชัน ช่วยสร้างตัวการ์ตูนเคลื่อนไหว ออกแบบตัว
การ์ตูน จาลองตัวการ์ตูนสามมิติ การตัดต่อภาพยนตร์
9.งานด้านสถิติ ช่วยเก็บบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ จาลองแบบข้อมูล และการเผยแพร่
ข้อมูล
คอมพิวเตอร์
คือเครื่องมือหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (computer นิยมอ่านใน
ภาษาไทยว่า คอม-พิ้ว-เต้ออิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสามารถในการคานวณอัตโนมัติ
ตามคาสั่ง ส่วนที่ใช้ประมวลผลเรียกว่าหน่วยประมวลผล ชุดของคาสั่งที่ระบุขั้นตอน
การคานวณเรียกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นอาจเป็นได้
ทั้ง ตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง หรืออยู่ในรูปอื่น ๆ อีกมากมาย
ลักษณะทางกายภาพของคอมพิวเตอร์นั้นมีหลากหลาย มีทั้งขนาดที่ใหญ่มาก
จนต้องใช้ห้องทั้งห้องในการบรรจุ และขนาดเล็กจนวางได้บนฝ่ามือ การจัดแบ่ง
ประเภทของคอมพิวเตอร์สามารถจัดแบ่งได้ตามขนาดทางกายภาพเป็นสาคัญ ซึ่งมักจะ
แปลผันกับประสิทธิภาพความเร็วในการประมวลผล โดยขนาดคอมพิวเตอร์ที่มีขนาด
ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ใช้กับการคานวณผลทางวิทยาศาสตร์ ขนาด
รองลงมาเรียกว่า เมนเฟรม มักใชัในบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องมีการประมวลผลธุรกรรม
ทางธุรกิจจานวนมากๆ สาหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในระดับบุคคล
- 13. 9
เรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่พกพาได้
เรียกว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ส่วนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถวางบนฝ่ามือได้
เรียกว่า พีดีเอ อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์มีใช้กันอย่างกว้างขวางมาก ซึ่งมีอุปกรณ์
หลายๆชนิดได้นาคอมพิวเตอร์ไปใช้เป็นกลไกหลักในการทางาน เช่น กล้อง
ดิจิทัล เครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือในรถยนต์เองก็มีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ช่วยในการ
ตรวจสอบระบบการทางานของเครื่องยนต์
ยุคของคอมพิวเตอร์
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็น
คอมพิวเตอร์ที่ใช ้หลอดสุญญากาศซึ่งใช ้กาลังไฟฟ้าสูง
จึงมีปัญหาเรื่องความร ้อนและไส ้หลอดขาดบ่อย ถึงแม ้จะ
มีระบบระบายความร ้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช ้ภาษาเครื่อง
ซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยาก
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็น
คอมพิวเตอร์ที่ใช ้หลอดสุญญากาศซึ่งใช ้กาลังไฟฟ้าสูง
จึงมีปัญหาเรื่องความร ้อนและไส ้หลอดขาดบ่อย ถึงแม ้จะ
มีระบบระบายความร ้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช ้ภาษาเครื่อง
ซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์
ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิ
แอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
- 16. 12
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ.
2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช ้
ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจา
มีอุปกรณ์เก็บข ้อมูลสารองในรูปของสื่อบันทึก
แม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด ้านซอฟต์แวร์
ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด ้วย
ภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คน
สามารถเข ้าใจได ้เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล
เป็นต ้น ภาษาระดับสูงนี้ได ้มีการพัฒนาและใช ้งานมา
จนถึงปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหย่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ.
2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช ้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดย
วงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายใน
มากมายทาให ้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ ้อน
มากขึ้น และสามารถสร ้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการ
กาหนดชุดคาสั่งต่าง ๆ ทางด ้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบ
ควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการ
ทางานให ้กับงานหลาย ๆ อย่าง
- 17. 13
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ.
2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช ้
ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจา
มีอุปกรณ์เก็บข ้อมูลสารองในรูปของสื่อบันทึก
แม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด ้านซอฟต์แวร์
ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด ้วย
ภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คน
สามารถเข ้าใจได ้เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล
เป็นต ้น ภาษาระดับสูงนี้ได ้มีการพัฒนาและใช ้งานมา
จนถึงปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหย่าง
ปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็น
คอมพิวเตอร์ที่ใช ้วงจรรวม (Integrated
Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมี
ทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายใน
มากมายทาให ้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบ
ซับซ ้อนมากขึ้น และสามารถสร ้างเป็นโปรแกรมย่อย
ๆ ในการกาหนดชุดคาสั่งต่าง ๆ ทางด ้านซอฟต์แวร์ก็
มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่ง
เวลาการทางานให ้กับงานหลาย ๆ อย่าง
ภาพที่ 4
- 18. 14
ภาพที่ 5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน
เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช ้วงจรรวมความจุสูงมาก
(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์
ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทาให ้ขนาด
เครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะ
ในสานักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋ าหิ้วไปในที่ต่าง
ๆ ได ้ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได ้พัฒนาขีด
ความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสาเร็จให ้
เลือกใช ้กันมากทาให ้เกิดความสะดวกในการใช ้งาน
อย่างกว ้างขวาง
- 19. 15
ภาพที่ 6
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห ้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์
พยายามนามาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก ้ปัญหา
ให ้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข ้าไว ้
ในเครื่อง สามารถเรียกค ้นและดึงความรู้ที่สะสมไว ้มา
ใช ้งานให ้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจาก
วิชาการด ้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence :
AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา
ญี่ปุ่ น และประเทศในทวีปยุโรปกาลังสนใจค ้นคว ้า
และพัฒนาทางด ้านนี้กันอย่างจริงจัง
คอมพิวเตอร์ ยุค 5
- 20. 16
ภาพที่ 7
คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจาวัน
ประมาณปี พ.ศ. 2500 คอมพิวเตอร์มีอยู่ในโลกนี้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะ
เป็นเครื่องในระบบเมนเฟรม ซึ่งมีขนาดใหญ่และราคาแพง ส่วนมากจะใช้งาน
ทางด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้น ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันมากนัก แต่ใน
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้มีขนาดเล็กลง และ ราคาก็ไม่แพงนัก คนทั่วไปสามารถ
ซื้อหามาใช้ได้เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไป
ในหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ก็มีการนาคอมพิวเตอร์มาใช้ใน
หน่วยงานขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีการใช้สูงขึ้น เหตุผลที่มีการนาคอมพิวเตอร์
มาใช้ในชีวิตประจาวันเพิ่มมากขึ้น คือ
1 . คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจานวนมาก เช่น เก็บข้อมูลงาน
ทะเบียนราษฏฐ์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยซึ่งสามารถ
ตรวจสอบประ วัติของบุคคลต่างๆได้เป็นต้น
- 21. 17
2 . คอมพิวเตอร์สามารถทางานได้รวดเร็ว งานบางอย่างคอมพิวเตอร์จะทาได้
ในพริบตาในขณะที่ถ้าให้คนทาอาจจะต้องใช้เวลานา น
3 . คอมพิวเตอร์สามารถทางานได้โดยไม่ต้องหยุดพัก คือทางานได้ตลอดเวลา
ในขณะที่ยังต้องมีไฟฟ้าอยู่
4 . คอมพิวเตอร์สามารถทางานได้อย่างถูกต้องและแม่นยา ถ้ามีการกาหนด
โปรแกรมทางานที่ถูกต้อง จะไม่มีการทางานผิดพลาดขึ้นมา
5 .คอมพิวเตอร์สามารถทางานแบบคนได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อ
สุขภาพร่างกาย เช่น ที่มีก๊าซพิษ กัมมันตภาพรังสี หรือในงานที่มีความเสี่ยงสูง
ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น บทบาทของคอมพิวเตอร์ในงานต่างๆ