16. พื้นฐานทางวิศวกรรมโฟโทนิกส์ 7
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 18 ส.ค. 2562
Joseph Fraunhofer (ค.ศ. 1787-1826) ได้ค้นพบเส้นมืดหลายๆ
เส้นจากสเปกตรัมของแสงอาทิตย์ เส้นมืดเหล่านี้สอดคล้องกันกับ
เส้นการดูดกลืนแสงซึ่งค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1862 โดย Roger
Wilhelm Bunsen (ค.ศ. 1811-1899) และ Gustav Kirchhoff
(ค.ศ. 1824-1827) การค้นพบสเปกตรัมของแสงอาทิตย์นี้ได้นาไปสู่
สาขาวิชาการวิเคราะห์สเปกตรัมขึ้น (Spectroscopy)
ค.ศ. 1828 William Nicol ได้ประดิษฐ์ปริซึม “Nicol Prism” จาก
Calcite สองชิ้น เพื่อใช้แยกแสงออกเป็นโพลาไรเซชันเชิงเส้นที่มี
ทิศทางตั้งฉากกัน
ค.ศ. 1832 William Rowan Hamilton (ค.ศ. 1805-1865) ได้
อาศัยกฎของ Fresnel ในการค้นคว้าการหักเหแบบกรวย (Conical
refraction) ซึ่งภายหลังต่อมา Humphrey Lloyd (ค.ศ. 1800-
1881) ได้ทาการทดลองเพื่อยืนยันปรากฏการณ์นี้
ค.ศ. 1839 William Tabot ได้ค้นพบกระบวนการอัดรูปลงบน
กระดาษที่เคลือบสารไวแสงไว้ เขายังได้บังเอิญพบว่าสารซิลเวอร์ฮา
ไรด์ก็มีความไวแสงและช่วยลดเวลาการฉายแสงจากเดิมใช้ 1 ชั่วโมง
ลงเหลือประมาณ 1-3 นาที เท่านั้น
ค.ศ. 1840 Giovanni Battista Amici ได้เสนอหลักการ “oil
immersion” เพื่อลดความบิดเบือนของภาพที่ดูจากกล้องไมโครส
โคป
ค.ศ. 1845 Michael Faraday ค้นพบปรากฎการณ์ “Faraday
Effect” ที่สนามแม่เหล็กสามารถนาไปใช้หมุนลักษณะโพลาไรเซชัน
ของแสงได้
ค.ศ. 1846 Michael Faraday ได้ตั้งสมมุติฐานที่ว่าแสงสามารถ
พิจารณาว่าเป็นแรงชนิดหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากเขาได้ค้นพบก่อน
หน้านี้ว่าสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กสามารถทาให้เกิดแรงขึ้นได้
และแสงเองก็มีทั้งสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก
John Tyndall (ค.ศ. 1820-1893) เป็นบุคคลแรกที่แสดงให้เห็น
ปรากฏการณ์การสะท้อนกลับหมดของแสงซึ่งเป็นพื้นฐานของการ
ส่งแสงผ่านท่อนาแสง (Waveguide) และ เส้นใยแก้วยาแสง
(Optical fiber)
Hamilton
Faraday
Tyndall
Maxwell
Rayleigh
Abbe
17. พื้นฐานทางวิศวกรรมโฟโทนิกส์ 8
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 18 ส.ค. 2562
ค.ศ. 1865 James Clerk Maxwell (ค.ศ. 1831-1879) ได้ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งภายหลังต่อมาเขาได้สรุปหลักการทางสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าเป็นชุดของ
สมการที่เรียกว่า สมการของ Maxell
ค.ศ. 1871 John William Strut (Lord Rayleigh) ได้เสนอสมการคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบาย
การกระเจิงของแสงที่ทาให้เราเห็นสีฟ้าของท้องฟ้า
ค.ศ. 1873 Ernst Abbe ได้เสนอสมการคณิตศาสตร์อย่างละเอียดที่ใช้อธิบายถึงการนาแสง
ไปใช้ในการประมวลผลภาพ และได้พบความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของรูที่ให้แสงผ่าน ความ
ยาวคลื่นแสง และ รายละเอียดของภาพที่มองผ่านกล้องไมโครสโคป
ค.ศ. 1875 John Kerr (ค.ศ. 1824-1907) ได้ค้นพบปรากฏการณ์อิเล็กโตรออปติกส์อันดับ
สอง (Quadratic electro-optics) และ ในปี ค.ศ. 1893 Friedrich Pockels (ค.ศ. 1865-
1913) ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์อิเล็กโตรออปติกส์เชิงเส้น (Linear electro-optics)
ค.ศ. 1878 Ernst Abbe และ Carl Zeiss ได้ปรับปรุงเลนส์วัตถุแบบ oil-immersion
ค.ศ. 1879 Thomas Alva Edison ได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
ค.ศ. 1880 Alexander Graham Bell ได้ประดิษฐ์โทรศัพท์แสง โดยใช้หลักการสะท้อนของ
แสงแทนการใช้สายส่งสัญญาณไฟฟ้า
ค.ศ. 1881 William Wheeler ได้จดสิทธิบัตรท่อนาแสงที่อาศัยการสะท้อนของแสงกลับไป
กลับมาภายในท่อ และ Albert Abraham Michelson ได้ประดิษฐ์เครื่องแทรกสอดกันของ
แสงเพื่อนามาใช้วัดความเร็วของโลก
Sir William Henry Bragg (ค.ศ. 1862-1942) ผู้พ่อ และ Sir William Lawrence Bragg
(ค.ศ. 1890-1971) ผู้เป็นลูกได้ศึกษาการหักเหของแสงอันเนื่องมาจากโครงสร้างแบบคาบ
(Periodic structure) ของวัสดุที่เกิดจากอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สาคัญ
ในการศึกษาการควบคุมแสงด้วยเสียง (Acousto-Optics)
ค.ศ. 1885 Henry Rowland ได้ประดิษฐ์เครื่องสลักที่สามารถสร้างลายเส้นจานวน 20,000
เส้นตลอดความยาวหนึ่งนิ้วได้ สาหรับใช้ทาเกรตติ้ง และ George Eastman เริ่มทาตลาด
ฟิล์มถ่ายรูป ซึ่งเรารู้จักกันในยี่ห้อ Kodak
18. พื้นฐานทางวิศวกรรมโฟโทนิกส์ 9
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 18 ส.ค. 2562
ค.ศ. 1893 Friedrich Pockels ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์อิเล็กโตรอ
อปติกส์เชิงเส้น (Linear Electro-Optics)
ค.ศ. 1895 Wilhelm Wien ศึกษาการแผ่รังสีของวัตถุดา
(Blackbody) และสามารถหาสมการคณิตศาสตร์ที่อธิบายถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิของวัตถุและรังสีที่ถูกปลดปล่อย
ออกมา นอกจากนี้ยังได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างสีของดวงดาว
กับอุณหภูมิของดวงดาวนั้น
ค.ศ. 1900 ทฤษฎีควอนตัมได้กาเนิดขึ้น โดย Max Planck (ค.ศ.
1858-1947) ทฤษฎีนี้สามารถอธิบายได้สั้นๆ ว่า การสั่นของระบบ
ไฟฟ้าจะก่อให้เกิดพลังงานในรูปของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแบบไม่
ต่อเนื่อง หรือ ควอนตา (Quanta) ขึ้น
ค.ศ. 1905 Albert Einstein (ค.ศ. 1879-1955) ได้ศึกษาทฤษฎี
อนุภาคของแสงอีกครั้ง ภายใต้สมมติฐานที่ว่า พลังงานแสง หรือ
ควอนตา นั้นอยู่ในอนุภาคของแสง หรือ เรียกว่า โฟตอน (Photon)
จากหลักการนี้ทาให้เขาค้นพบปรากฏการณ์การเหนี่ยวนาไฟฟ้าของ
แสง (Photoelectric effect) และ การเหนี่ยวนาทางเคมีของแสง
(Photochemical effect)
ค.ศ. 1913 Niels Bohr (ค.ศ. 1885-1962) ได้เสนอโครงสร้างของ
อะตอม โดยอธิบายด้วยว่าการดูดซับแสงและการปลดปล่อยแสงของ
อะตอมเกิดขึ้นเมื่ออิเล็กตรอนมีการเคลื่อนที่จากระดับพลังงานหนึ่ง
ไปยังอีกระดับพลังงานหนึ่ง แสงที่ถูกดูดซับหรือปลดปล่อยออกมาจะ
มีระดับพลังงานเป็นแบบควอนตา ซึ่งมีค่าเท่ากับพลังงานที่
อิเล็กตรอนดูดไปหรือสูญเสีย
ค.ศ. 1924 Louis de Broglie พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับคลื่นของ
อิเล็กตรอน และสรุปว่าอนุภาคมีพฤติกรรมแบบคลื่นได้เช่นกันขึ้นอยู่
กับสภาวะขณะนั้น ในปีเดียวกัน Satyendra Nath Bose ได้เสนอ
สมการคณิตศาสตร์ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นกับอนุภาค
ซึ่งภายหลังต่อมาเมื่อได้ร่วมงานกับ Albert Einstein เกิดเป็นทฤษฎี
ทางสถิติที่รู้จักกันว่า Bose-Einstein Statistics รวมไปถึงการ
ควบแน่นของสสารที่เรียกว่า Bose-Einstein Condensation
Edison
Bell
Michelson
W. H. Bragg
W. L. Bragg
Planck
19. พื้นฐานทางวิศวกรรมโฟโทนิกส์ 10
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 18 ส.ค. 2562
ค.ศ. 1926 Albert Michelson ใช้เครื่องแทรกสอดของแสงวัดความเร็ว
ของแสงที่มีความถูกต้องมากขึ้นกว่าที่เคยมีมา
ค.ศ. 1927 Dirac ได้ศึกษาทฤษฎีพื้นฐานของควอนตัมในด้านผลกระทบ
ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่อวัตถุ
ค.ศ. 1928 Chandrasekhara Raman สังเกตเห็นว่าเมื่อแสงเคลื่อนที่
ผ่านวัตถุโปร่งใส แสงบางส่วนจะเบี่ยงเบนไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนความ
ยาวคลื่นของแสง ปรากฏการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันว่า Raman Effect หรือ
การกระเจิงของแสงแบบ Raman (Raman Scattering)
ค.ศ. 1930 Frits Zernike ค้นพบหลักการของ Phase Contrast ซึ่งช่วย
ให้เห็นโครงสร้างภายในของวัตถุโปร่งใสได้ และในปี ค.ศ. 1938 ได้
ประดิษฐ์กล้องไมโครสโคปที่ใช้หลักการดังกล่าวนี้
ค.ศ. 1951 Charles Townes ได้จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับการขยายสัญญาณ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นพื้นฐานของเลเซอร์ นักวิทยาศาสตร์ที่ได้คิดค้น
หลักการของเลเซอร์รวมไปถึง Nikolai G. Basov, Aleksandr M.
Prokhorov, และ Arthur L. Schawlaw และ Theodore H. Maiman
ค.ศ. 1932 Edwin H. Land พัฒนาแผ่นกรองโพลาไรเซชันของแสงได้
และเป็นที่รู้จักกันว่า แผ่นโพลารอยด์ (Polaroid) และในปี ค.ศ. 1947 ได้
ประดิษฐ์กล้องโพลารอยด์ที่ได้รูปบนกระดาษออกมาในเวลาไม่กี่วินาที
ค.ศ. 1948 Denis Gabor ค้นพบหลักการฮอโลกราฟี (Holography) ที่
สามารถนามาสร้างภาพสามมิติ และ ฮอโลแกรม
ค.ศ. 1954 Abraham van Heel และ Harold H. Hopkins ตีพิมพ์
บทความเกี่ยวกับภาพที่ได้จากชุดของท่อนาแสง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการ
พัฒนาเส้นใยแก้วนาแสง
ค.ศ. 1955 Marvin Minsky ประดิษฐ์กล้องไมโครสโคปแบบคอนโฟคอล
สแกน (Confocal Scanning Microscope) ปีนี้ยังเป็นปีแรกที่ได้มีการ
ประดิษฐ์เส้นใยแก้วนาแสง
ค.ศ. 1958 Bell Labs ได้ประดิษฐ์โซลาร์เซลขึ้นเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1960 เส้นใยนาแสงได้ถูกเสนอขึ้นโดย Charles Kao และ George
Hockham เพื่อใช้ในการสื่อสารด้วยแสง และ ในต้นทศวรรษ 1970
Schultz, Keck และ Maurer ได้พัฒนาเทคนิคที่ใช้ในการผลิต
เส้นใยนาแสงที่มีค่าการสูญเสียต่า และ ใช้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
Einstein
Bohr
Dirac
Raman
Townes
Basov
20. พื้นฐานทางวิศวกรรมโฟโทนิกส์ 11
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 18 ส.ค. 2562
ค.ศ. 1961 David P. Gregg ได้จดสิทธิบัตรรูปแบบการเก็บข้อมูล
วีดีโอลงบนแผ่นดิสค์ ในปีเดียวกันนี้ยังได้มีการสร้างเลเซอร์ที่
ตัวกลางเป็นเส้นใยแก้วนาแสง
ค.ศ. 1962 เซมิคอนดักเตอร์เลเซอร์จาก GaAs ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้น
โดยทีมวิจัยจาก IBM, GE และ Lincoln Lab ของ MIT
ค.ศ. 1964 Emmett Leith และ Juris Upatnieks สร้างภาพฮอโล
แกรมสาเร็จเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1968 Veselago ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับวัสดุที่มีค่าดัชนีหักเห
ของแสงเป็นลบ (Negative refractive index materials)
ค.ศ. 1969 George Smith และ Willard Boyle ได้ประดิษฐ์ตัวรับ
ภาพสองมิติแบบ Charge Couple Device (CCD) ในปีเดียวกันนี้
นักบินอวกาศจากยาน Apollo 11 ได้วางตัวสะท้อนแสงกลับ
(Retroreflector) บนดวงจันทร์ เพื่อใช้วัดระยะห่างระหว่างโลกและ
ดวงจันทร์ด้วยแสง
ค.ศ. 1970 มีการสร้างจอแสดงผลแบบผลึกเหลว (Liquid Crystal
Display)
ค.ศ. 1971 Arthur Ashkin ได้แสดงให้เห็นว่าแสงสามารถนามาใช้ใน
การจับอนุภาคขนาดไมโครเมตรได้ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานเบื้องต้น
ในการนาเลเซอร์มาเคลื่อนย้ายอะตอม (Optical tweezers) การนา
เลเซอร์มาทาให้อะตอมเย็นลง (Laser cooling of atoms) และ
การศึกษาสถานะของอะตอมที่เรียกว่า Bose-Einstein
Condensation
ค.ศ. 1975 Wineland, Dehmelt, Theodor W. Hänsch และ
Arthur Leonard Schawlow เสนอแนวคิดที่นาแสงมาทาให้
อะตอมเย็นลง
ค.ศ. 1980 Philips Electronics N. V. และ Sony Corporation ได้
ผลิตแผ่น CD สาหรับใช้บันทึกเสียง
ค.ศ. 1981 Arthur Leonard Schawlow และ Nicolaas
Bloembergen ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เกี่ยวกับการนา
เลเซอร์มาใช้กับหลักการทางด้านสเปกโตรสโคปี
ค.ศ. 1987 Eli Yablonovitch และ Sajeev John ได้ก่อให้เกิด
สาขาวิชาทางด้าน Photonic Crystal ขึ้น หลังจากที่ได้มีการศึกษาทางด้านนี้มากว่าร้อยปี
Prokhorov
Schawler
Maiman
Gabor
Kao
Schultz, Keck, Maurer
Ashkin
21. พื้นฐานทางวิศวกรรมโฟโทนิกส์ 12
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 18 ส.ค. 2562
แล้ว ปีนี้ยังเป็นปีที่ Larry Hornbeck ได้ประดิษฐ์ Digital Miromirror Device (DMD) ซึ่งใช้
แพร่หลายในโปรเจ็คเตอร์
ค.ศ. 1991 James Fujimoto ได้ประดิษฐ์ Optical Coherent Tomography
ค.ศ. 1995 Eric Cornell and Carl Wieman สามารถพิสูจน์การควบแน่นแบบ Bose-
Einstein Condensation ได้สาเร็จ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 2001
ค.ศ. 1996 เป็นปีที่ได้มีการนาระบบ Wavelength Division Multiplexing (WDM) มาใช้ใน
การสื่อสาร
ค.ศ. 1997 Steven Chu, Claude Cohen-Tannoudji และ William D. Phillips ได้รับ
รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ที่สามารถนาเลเซอร์มาทาให้อะตอมเย็นลงได้
ค.ศ. 1999 Ahmed Zewail ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีจากการนา Femtosecond Laser
มาใช้ศึกษาปฏิกิริยาทางเคมี
ค.ศ. 2002 นักวิจัยที่ Harvard University สามารถชลอและหยุดแสงด้วยไอของก๊าซได้ ปีนี้
ยังเป็นปีที่ Peter P. Sorokin และ J. R. Lankard สร้างเลเซอร์จากสารอินทรีย์ได้เป็นครั้ง
แรก
ค.ศ. 2005 Theodor W. Hänsch, John L. Hall และ Roy J. Glauber ได้รับรางวัลโนเบล
สาขาฟิสิกส์จากการพัฒนา Laser-based Precision Spectroscopy และ เทคนิค Optical
Frequency Comb ที่จะไปแทนนาฬิกาอะตอม
1.2 กฎของ Fermat (Fermat’s principle)
กฎของ Fermat ข้อนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กฎเส้นทางเดินของแสงที่สั้นที่สุด ซึ่งอธิบายว่าเส้นทาง
แสงเสมือนจะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเส้นทางของแสงขึ้น จากรูป 1.1 เมื่อแสงเคลื่อนที่จากจุด A ไปยัง
Hänsch Yablonovitch Chu Tannoudji
Philips Zewail Hall Glauber
22. พื้นฐานทางวิศวกรรมโฟโทนิกส์ 13
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 18 ส.ค. 2562
จุด B แสงสามารถเลือกเส้นทางได้มากมาย แต่จากกฎของ Fermat แสงจะเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุดเมื่อ
เทียบกับเส้นทางทั้งหมด ซึ่งในที่นี้คือ เส้นทางหมายเลข 1 หลักการนี้เป็นหลักการพื้นฐานที่บอกให้ทราบว่า
แสงเดินทางเป็นเส้นตรง และเป็นพื้นฐานที่สาคัญสาหรับวิชาแสงเชิงเรขาคณิต
รูป 1.1 เส้นทางเดินทางของลาแสงจากจุด A ไปยังจุด B
ก่อนที่จะเข้าถึงกฎของ Fermat นั้นเราจะต้องรู้วิธีหาระยะทางที่แสงใช้เดินทางก่อน (Optical
path length - OPL) ซึ่งก็มีหลักการเดียวกันกับการหาเส้นทางเดินของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างคลื่น
ไมโครเวฟที่เคลื่อนที่ในสายส่ง กรณีที่วัตถุที่แสงเคลื่อนที่ผ่านไม่ใช่วัตถุเนื้อเดียวกัน (Inhomogeneous
medium) ในแนวแกน x ดังแสดงในรูป 1.2(ก) ระยะทางที่แสงเดินทางสามารถคานวณได้ดังนี้
(ก)
(ข)
รูป 1.2 (ก) วัตถุที่ไม่เป็นเนื้อเดียวกันที่มีค่าดัชนีหักเหของแสงเปลี่ยนแปลงตลอดแกน x และ (ข) วัตถุแบบไม่ต่อเนื่อง
B
A
dxxnOPL )( (1.1)
)(xn คือ ค่าดัชนีหักเหของแสงของวัตถุที่ตาแหน่ง x ในที่นี้ค่าความต้านทานเชิงแสงของ Fermat ก็คือ
)(xn นั่นเอง ค่าดัชนีหักเหของแสงของวัตถุจะมีค่าเท่ากับอัตราส่วนระหว่างความเร็วแสงในสุญญากาศ
23. พื้นฐานทางวิศวกรรมโฟโทนิกส์ 14
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 18 ส.ค. 2562
ต่อความเร็วแสงในตัวกลาง เช่น ค่าดัชนีหักเหของแสงในอากาศจะมีค่าเท่ากับ 1.0003 ณ อุณหภูมิ 15
องศาเซลเซียส ซึ่งจะพบว่าความเร็วของแสงในอากาศจะมีค่าใกล้เคียงกับค่าความเร็วแสงในสุญญากาศ
ส่วนในกรณีที่วัตถุนั้นเป็นวัตถุแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete medium) ซึ่งอาจเกิดจากการนาวัตถุ
เนื้อเดียวกันหลายชนิดมาวางเรียงกันดังรูป 1.2(ข) ระยะทางที่แสงเดินทางสามารถเขียนได้ดังนี้
N
i
ii xnOPL (1.2)
ข้อควรระวังในที่นี้ก็คือ ix หรือ เส้นทาง AB ในสมการข้างต้นไม่จาเป็นว่าจะต้องมีค่าเท่ากับความหนาของ
วัสดุเสมอไป แต่จะขึ้นอยู่กับระยะทางที่แสงเคลื่อนที่อยู่ภายในวัสดุนั้นซึ่งอาจมีระยะทางที่ยาวกว่าความ
หนาของวัสดุได้อย่าง กรณีที่แสงตกกระทบทามุมกับพื้นผิวของวัสดุ โดยทั่วไปกฎของ Fermat สามารถ
เขียนเป็นสมการคณิตศาสตร์ในรูปของความแตกต่างของเส้นทางการเดินของแสงได้ดังนี้
)()(Re VirtualOPLalOPLOPL (1.3)
ในที่นี้อย่างน้อยเทอมที่สองของ OPL เมื่อกระจายออกมาด้วยอนุกรม Taylor จะต้องประกอบด้วยตัว
แปรที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างระยะทางเสมือนและระยะทางจริงที่แสงเดินทางดังรูป 1.3 ซึ่งจะได้
รูป 1.3 กฎของ Fermat สาหรับการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงจากจุด P ไปยังจุด Q
COPL (1.4)
C เป็นค่าคงที่ และ เป็นระยะทางที่เพิ่มขึ้นจากระยะทางจริง สมการ (1.4) สามารถเขียนให้อยู่ในรูป
ของอนุกรม Taylor ได้ดังนี้
...
][
2
1][ 2
02
2
0
d
OPLd
d
OPLd
OPL (1.5)