19. ศาสตร์และเทคโนโลยีแสงกับรางวัลโนเบล 14
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 10 เม.ย. 2562
Gustaf Dalén มีบทความวิชาการที่เผยแพร่ออกมาน้อยมากเนื่องจากเขาเน้นคิดและสร้างสิ่งที่
สามารถใช้ได้จริง ผลกระทบจากสิ่งประดิษฐ์ของเขาช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทาง ซึ่งเป็น
ส่วนสาคัญที่ทาให้คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลมอบรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1912
ให้กับเขา
ประวัติย่อ
Gustaf Dalén ถือเป็นนักอุตสาหกรรมคนหนึ่งที่ได้รับรางวัลอันทรง
เกียรตินี้ เขาเป็นชาวสวีเดนเกิดที่หมู่บ้าน Stenstorp ในเมือง
Skaraborg เมื่อ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1869 ในปี ค.ศ. 1892 ได้
ประดิษฐ์อุปกรณ์ทดสอบไขมันนมและได้นาไปสาธิตที่เมืองหลวง
Stockholm จากการที่เกิดในครอบครัวที่เป็นเจ้าของฟาร์มจึงได้
ตัดสินใจเรียนทางด้าน Daily Farming แต่ต่อมาได้หันเหตัวเองไป
เรียนด้านเทคโนโลยีแทนจากการได้รับคาแนะนาของ Gustaf de
Laral ที่เห็นความเก่งทางด้านเครื่องกลของเขา บุคลิกเด่นของ Gustaf
Dalén คือเป็นคนชอบประดิษฐ์และไม่กลัวต่อความคิดที่เป็นไปไม่ได้
ทาให้เขามีสิทธิบัตรถึง 100 เรื่อง ในปี ค.ศ. 1912 ได้เกิดอุบัติเหตุ
ระหว่างทาการทดลองเกี่ยวกับ Acetylene ทาให้ตาของเขาบอด
อย่างไรก็ตาม หลังจากความบาดเจ็บทุเลาลง Gustaf Dalén ยังได้รับงานในการตกต่างไฟแสงสว่างในคลอง
ปานามาด้วย
ค.ศ. 1914 สำหรับกำรค้นพบกำรเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ผ่ำนคริสตัล
จากการค้นพบรังสีเอ็กซ์ในปี ค.ศ. 1896 ได้มีการถกเถียงกันถึงพฤติกรรมของรังสีเอ็กซ์ว่าเป็นคลื่น
หรืออนุภาคกันแน่ สมมติฐานเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้าว่าถ้ารังสีเอ็กซ์มีพฤติกรรมเป็นคลื่น ความยาวคลื่น
ของรังสีเอ็กซ์จะประมาณเท่ากับ 0.01 นาโนเมตร ซึ่งชี้ให้เห็นว่าถ้าจะให้รังสีเอ็กซ์เลี้ยวเบนได้ เกรตติ้ง
ที่ใช้จะต้องมีคาบของเกรตติ้งประมาณ 100 นาโนเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับระยะห่างของอะตอมในคริสตัล
และเป็นจุดสาคัญที่ Max von Laue ได้ตระหนักและได้เสนอแนวคิดในการนารังสีเอ็กซ์มาศึกษา
โครงสร้างของคริสตัลซึ่งมีระยะห่างของอะตอมที่สามารถทาให้แสงเลี้ยวเบนได้ Walter Friedrich
และ Paul Knipping ซึ่งอยู่ในกลุ่มวิจัยเดียวกันกับ Max von Laue และเป็นผู้ช่วยของ Max von
Laue ในทีมของศาสตราจารย์ Arnold Sommerfeld ได้ทาการทดลองเพื่อพิสูจน์แนวคิดดังกล่าว
ความสาเร็จนี้ทาให้ Max von Laue เป็นคนแรกที่สามารถแสดงให้เห็นว่ารังสีเอ็กซ์มีพฤติกรรมเป็น
คลื่น และ ได้สร้างพื้นฐานของการศึกษาโครงสร้างของคริสตัลด้วยรังสีเอ็กซ์ ซึ่งลักษณะการเลี้ยวเบน
ของรังสีเอ็กซ์จากคริสตัลแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน ทาให้เราทราบคุณสมบัติของคริสตัลและตาแหน่ง
การจัดเรียงตัวของอะตอมที่อยู่ภายใน นอกเหนือจากนี้ Max von Laue ยังได้พิสูจน์ด้วยว่ารังสีเอ็กซ์
เป็นคลื่นตามขวางเช่นเดียวกับคลื่นแสง
20. ศาสตร์และเทคโนโลยีแสงกับรางวัลโนเบล 15
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 10 เม.ย. 2562
ประวัติย่อ
Max von Laue เกิดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1879 ที่ Pfaffendorf
บิดารับราชการในหน่วยงานทหารของเยอรมัน ซึ่งเน้นการเลี้ยงดูบุตร
ให้มีคุณธรรมและจริยธรรมที่ดี การตัดสินใจเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์
ของ Max von Laue มาจากอิทธิพลการสอนและการแนะนาของครู
วิทยาศาสตร์ซึ่งทาให้เขาตัดสินใจเข้าเรียนทางด้านคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์
และเคมีที่ University of Strasbourg หลังจากนั้นไม่นานได้ย้ายไปที่
University of Göttingen ที่ซึ่งทาให้เขาได้มีโอกาสทางานร่วมกับ
ศาสตราจารย์ Woldemar Voigt และ ศาสตราจารย์ Max Abraham
ในปี ค.ศ. 1902 ได้ย้ายไปที่ University of Berlin โดยได้ทางาน
ร่วมกับ Max Planck ในปี ค.ศ. 1903 จบการศึกษาระดับปริญญาเอก
การเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์เมื่อเคลื่อนที่ผ่านคริสตัล (ภาพจาก http://phys4030.blogspot.com/2011/03/
crystals-structure-by-x-ray-diffraction.html)
ภาพการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ภาพแรกที่เกิดจากรังสีเอ็กซ์
เลี้ยวเบนผ่านคริสตัล Copper Sulphate ซึ่งช่วยให้สามารถ
วิเคราะห์โครงสร้างของคริสตัลได้
21. ศาสตร์และเทคโนโลยีแสงกับรางวัลโนเบล 16
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 10 เม.ย. 2562
และใช้เวลา 2 ปีหลังจากนั้นทางานที่ University of Göttingen ต่อมาในปี ค.ศ. 1905 ได้มีโอกาสกลับมา
ร่วมงานกับ Max Planck อีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1912 ได้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านฟิสิกส์ที่ University of
Zürich ต่อมาในปี ค.ศ. 1917 ได้เข้าทางานที่ Institute of Physics ที่ Einstein เป็นผู้อานวยการอยู่ แต่
เขาเองก็เปรียบเสมือนกับเป็นผู้อานวยการคนที่สองเพราะต้องดูแลงานบริหารเหมือนกัน
ค.ศ. 1915 สำหรับกำรค้นพบและกำรอธิบำยกำรเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ผ่ำนคริสตัล
รายงานของ Max von Laue ที่ค้นพบการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ผ่านโครงสร้างของคริสตัล ทาให้
William H. Bragg ผู้เป็นพ่อและ William L. Bragg ลูกชาย ตระหนักถึงความสาคัญดังกล่าว
โดยเฉพาะสิ่งที่ยังไม่ชัดเจน และ มีความสาคัญมากอย่างความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของคริสตัล
และ ความยาวคลื่นของรังสีเอ็กซ์ ที่ส่งผลต่อลักษณะการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์
แทนที่จะพิจารณาถึงผลของอะตอมแต่ละตัวที่เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบในโครงสร้างของคริสตัลที่ทา
ให้รังสีเอ็กซ์เลี้ยวเบนได้นั้น สองพ่อลูกตระกูล Bragg ได้ตั้งสมมติฐานที่ง่ายขึ้นด้วยการพิจารณา
ระนาบของอะตอมที่เรียงตัวอยู่ด้วยกันแทนเพื่อให้ได้มาซึ่งสมการคณิตศาสตร์ที่สามารถอธิบายถึงการ
เลี้ยวเบนดังกล่าวได้ ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “สมการ Bragg (Bragg Equation)”
สมการดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความยาวคลื่นของรังสีเอ็กซ์ ระยะห่างของ
ระนาบของอะตอมที่อยู่ใกล้กันในโครงสร้างของคริสตัล มุมตกกระทบของรังสีเอ็กซ์ และ มุมที่รังสี
เอ็กซ์เลี้ยวเบนออกมา ความสัมพันธ์ที่แสดงในสมการ William L. Bragg ผู้เป็นลูกมีส่วนสาคัญในการ
พัฒนาขึ้นมา ซึ่งในบางครั้งเราเรียกว่าสมการ Lawrence (Lawrence Equation)
โครงสร้างที่ท่าให้ได้มาซึ่งสมการ Bragg [2dsin() = n]
22. ศาสตร์และเทคโนโลยีแสงกับรางวัลโนเบล 17
ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร 10 เม.ย. 2562
นอกจากทฤษฎีที่ได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว William H. Bragg ผู้พ่อยังได้ประดิษฐ์เครื่องสเปกโตรมิเตอร์ที่
ใช้รังสีเอ็กซ์ในการตรวจสอบโครงสร้างของคริสตัล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเครื่องตรวจการ
เลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ (X-Ray Diffractometer) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอีกด้วย
ผลงานที่สาคัญเช่นนี้ ทาให้คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลได้มอบรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ให้แก่
พ่อลูกตระกูล Bragg และ ถือได้ว่า William L. Bragg เป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลโนเบล
โดยในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น
ประวัติย่อ
William H. Bragg เกิดที่ Westward ที่สหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2
กรกฏาคม ค.ศ. 1862 และเป็นเด็กที่เรียนเก่งซึ่งดูได้จากการที่ได้รับ
ทุนเข้าเรียนที่ Trinity College ในปึ ค.ศ. 1881 ทั้งยังอยู่ในลาดับที่
สามของการแข่งขันคณิตศาสตร์เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1884 และ
ลาดับที่หนึ่งในเดือนมกราคมปีถัดไป William H. Bragg มีโอกาสเข้า
เรียนฟิสิกส์และทางานในห้องปฏิบัติการ Cavendish ช่วงปี ค.ศ.
1885 และปลายปีได้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์
ที่ University of Adelaide ประเทศออสเตรเลีย ในช่วงปี ค.ศ.
1909-1915 ได้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านฟิสิกส์ที่ Leads ช่วงปี ค.ศ.
1915-1925 ได้เป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ที่ University College
London และศาสตราจารย์ทางด้านเคมีที่ Royal Institution เขามี
ความสนใจงานวิจัยในหลายหัวข้อ และเมื่อเขาสนใจแล้วก็สามารถ
สร้างผลงานดีๆ ไว้ได้เสมอ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาได้รับผิดชอบงานวิจัยทางด้านการตรวจวัดเสียงใต้
น้าและตรวจหาตาแหน่งของเรือดาน้า
เครื่องตรวจการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์
(ภาพจาก http://www.nims.go.jp)