SlideShare a Scribd company logo
1 of 5
Download to read offline
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส
๑
แบบพระอุปัชฌาย์สอนนาค
บัดนี้ ตัวเธอ ได้น้อมนำเอำผ้ำกำสำยะ มำขอบรรพชำอุปสมบทในพระพุทธศำสนำ จึงควรปลูก
ศรัทธำควำมเชื่อ ปสำทะควำมเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ำ ซึ่งเป็นผู้ตั้งพระพุทธศำสนำ และทรงอนุญำตกำร
บรรพชำอุปสมบทอันนี้ไว้ เบื้องต้นที่จะปลูกศรัทธำควำมเชื่อ ปสำทะควำมเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ำนั้น ควร
ต้องศึกษำให้รู้จักก่อนว่ำ พระพุทธเจ้ำ มีคุณควำมดีอย่ำงไร
-พระพุทธเจ้ำ นั้น มีคุณควำมดี คือ ทรงมีพระปัญญำปรีชำฉลำด รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น ทั้ง
คุณและโทษ ประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ ตลอดถึงตรัสรู้อริยสัจ ๔ โดยไม่มีใครเป็นครูอำจำรย์สั่งสอน ส่วน
นี้เรียกว่ำ พระปัญญาคุณ
-ทรงละสิ่งที่เป็นโทษ คืออำสวกิเลสเครื่องเศร้ำหมองได้อย่ำงหมดจด กับทั้งวำสนำ คือ กิริยำทำง
กำยวำจำ ที่กิเลสอบรมสั่งสมมำนำน ทรงบริบูรณ์ด้วยควำมดี มีคุณธรรมอันล้ำเลิศนำนัปกำร ส่วนนี้
เรียกว่ำ พระบริสุทธิคุณ
-ทรงมีพระหฤทัยเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตำกรุณำในหมู่สัตว์ ซึ่งเร่ำร้อนอยู่ด้วยเพลิงกิเลส และกอง
ทุกข์ ทรงแสดงธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ได้ฟังแล้วปฏิบัติตำม สำมำรถดับเพลิงกิเลส และกองทุกข์เสียได้
โดยมิได้ทรงเห็นแก่ควำมเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ยำกลำบำกพระวรกำย ส่วนนี้เรียกว่ำ พระมหากรุณาคุณ
* ท่ำนผู้ดำรงในพระคุณ ทั้ง ๓ ประกำร มี พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหา
กรุณาคุณ นี้ เรียกว่ำ พระพุทธเจ้า แปลว่ำ ท่ำนผู้รู้ดีรู้ชอบฯ
เมื่อพระพุทธเจ้ำ ทรงรู้ดีรู้ชอบเช่นนี้แล้ว อำศัยควำมกรุณำเอ็นดูในหมู่สัตว์ จึงทรงแสดงธรรมสั่ง
สอน ธรรมคำสั่งสอนของพระองค์นั้น เรียกว่ำ ปริยัติธรรม เพราะเป็นคุณธรรมที่ผู้ปฏิบัติ จะต้องเล่าเรียน
ท่องบ่นจาทรง ศึกษาให้เข้าใจเนื้อความ ใจความในปริยัตินั้น ประกาศข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
-ควำมรักษำ กำย วำจำ ให้บริสุทธิ์ ไม่ประพฤติล่วงกิเลสอย่ำงหยำบ ที่จะพึงกระทำด้วย
กำย วำจำ ชื่อว่ำ ศีล
-ควำมรักษำใจให้บริสุทธิ์ คือ เพ่งใจไว้ในอำรมณ์อันเดียว ไม่ให้เกำะเกี่ยวเศร้ำหมอง
ด้วยนิวรณ์ทั้ง ๕ ชื่อว่ำ สมาธิ
-ควำมทำทิฎฐิควำมเห็นให้ถูกต้องตำมควำมเป็นจริง ไม่เห็นวิปริตผิดไปจำกคลองธรรม
ชื่อว่ำ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๓ นี้ เรียกว่ำ ปฏิบัติธรรม เพราะเป็นคุณธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึง
ฝึกหัด กาย วาจา ใจ และทิฏฐิของตัว ให้เป็นไปตาม
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส
๒
เมื่อผู้ปฏิบัติดำเนินไปตำม ศีล สมำธิ ปัญญำ นี้ ได้บรรลุถึงควำมบริสุทธิ์ คือ มรรค ผล
นิพพำน อันใด มรรค ผล นิพพำน อันนั้น เรียกว่ำ ปฏิเวธธรรม เพราะเป็นคุณธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะ
พึงรู้แจ้งแทงตลอดได้เฉพาะตัว ด้วยปัญญา
* ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ทั้ง ๓ ประกำรนี้ รวมเรียกสั้น ๆ ว่ำ พระธรรม เพรำะเป็น
สภำพที่ทรงผู้ปฏิบัติไว้ให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี มิให้ตกไปในที่ชั่ว มีทุคติ
อบำยเป็นต้นฯ
* หมู่ชนที่ได้สดับธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ แล้วตั้งใจปฏิบัติตำม ศีล
สมำธิ ปัญญำ ทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สำมำรถกำจัดอำสวกิเลสได้ขำดจำกสันดำน โดยเอกเทศ
บ้ำง โดยสิ้นเชิงบ้ำง กล่ำวนำมตำมภูมิที่ละกิเลสนั้น ๆ ว่ำ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ
อนาคามี พระอรหันต์ ทั้ง ๔ จำพวกนี้ เรียกว่ำ พระสงฆ์ เพราะเป็นหมู่เป็นพวก ที่มีความปฏิบัติ
เสมอเหมือนกันด้วย ศีล และทิฏฐิ พระสงฆ์นั้น โดยมำกมีฉันทะอัธยำศัย ร่วมใจกันกับพระบรมศำสดำ ช่วย
เทศนำแนะนำสั่งสอนให้ชนนิกรนั้น ๆ ได้ฟังธรรมแล้วปฏิบัติตำม สำมำรถละควำมเห็นผิดอันเป็นโทษทุจริต
ให้สถิตตั้งมั่นในควำมเห็นชอบ อันเป็นคุณควำมดีงำมที่จะนำไปสู่ควำมดับทุกข์ได้
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า พระรัตนตรัย เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดใน
พระพุทธศำสนำ ผู้จะมำขอบรรพชำอุปสมบท ต้องตั้งใจถึงเป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือเสียก่อน เหตุฉะนั้น
ตัวเธอ จงตั้งใจในบัดนี้ว่ำ ข้ำพเจ้ำขอถึงพระพุทธเจ้ำเป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือของข้ำพเจ้ำ ข้ำพเจ้ำขอถึง
พระธรรมเป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือของข้ำพเจ้ำ ข้ำพเจ้ำขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือ
ของข้ำพเจ้ำ เมื่อตั้งใจถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือ ดังนี้แล้ว จึงควรได้
บรรพชำอุปสมบทต่อไป
อนึ่ง พึงรู้จักหน้ำที่ของกำรบรรพชำอุปสมบท ว่ำมีประโยชน์อย่ำงไรก่อน กำรบรรพชำอุปสมบทนั้น
มีประโยชน์คือ จะได้ตั้งใจเล่ำเรียนศึกษำ และปฏิบัติตำม ศีล สมำธิ ปัญญำ รักษำกำย วำจำ ใจ ทิฏฐิ ทำให้
บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีได้ง่ำย เพรำะเป็นคฤหัสถ์มีกิจกังวลห่วงใยมำก ยำกที่จะทำได้ ทั้งตั้งอยู่ในที่ใกล้กับอำรมณ์
ที่จะล่อจิตให้เกิดควำมรักบ้ำง ควำมโกรธบ้ำง ควำมหลงบ้ำง ไม่เป็นทำงที่จะประพฤติปฏิบัติ ทำใจให้บริสุทธิ์
บริบูรณ์ดีได้ง่ำย
ส่วนกำรบรรพชำถือเพศเป็นบรรพชิต ย่อมละกิจกังวลห่วงใย ทั้งตั้งอยู่ในที่ห่ำงไกลจำกอำรมณ์
เช่นนั้น เป็นทำงที่จะประพฤติปฏิบัติ ทำใจให้บริสุทธิ์บริบูรณ์จำกอำสวะกิเลสได้ง่ำย แต่มิใช่ว่ำ ได้บรรพชำ
อุปสมบทแล้ว กิเลสอำสวะจะหมดสิ้นไปเองก็หำไม่ ยังต้องอำศัยตั้งใจปฏิบัติขัดเกลำกิเลสอย่ำงหยำบ ที่ล่วง
ทำง กำย วำจำ ด้วยศีล แล้วตั้งใจปฏิบัติขัดเกลำกิเลสอย่ำงกลำง คือนิวรณ์ ๕ ที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต ทำจิตให้
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส
๓
เศร้ำหมอง ด้วยสมาธิ คือเพ่งใจไว้ในอำรมณ์อันเดียว แล้วหมั่นปฏิบัติขัดเกลำกิเลสอย่ำงละเอียดสุขุม อันทำ
ให้เกิดมิจฉำทิฏฐิ ควำมเห็นวิปริตผิดไปจำกควำมจริง ด้วยปัญญา คือ ควำมรู้จริงเห็นจริง
สำหรับศีลอันเป็นเบื้องต้นนั้น ก็จะได้จะถึงด้วยกำรบรรพชำอุปสมบทอันนี้
ต่อไปนี้ จงตั้งใจเรียนพระกัมมัฏฐำน ตำมแบบโบรำณำจำรย์แต่ปำงก่อน ที่ได้สอนสืบ ๆ กันมำ เป็น
อุบำยสำหรับจะทำสมำธิให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นที่ตั้งของปัญญำต่อไป จงศึกษำตำมไป โดยบทบำลีดังนี้ก่อน
เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ นี้เรียกว่ำ อนุโลม คือว่ำไปตำมลำดับ แล้วถอยกลับเข้ำมำเป็น
ปฏิโลม ว่ำ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา
จงตั้งใจศึกษำให้รู้เนื้อควำม เกสา คือสิ่งที่เป็นเส้น ๆ งอกขึ้นบนศีรษะ เบื้องหน้ำเพียงหน้ำผำก
เบื้องหลังเพียงปลำยคอต่อ เบื้องขวำงมีหมวกหูทั้งสองข้ำงเป็นที่สุด ได้แก่ ผม, โลมา คือสิ่งที่เป็นเส้น ๆ ยก
เกสำเสีย งอกขึ้นทั่วสรรพำงค์กำย เว้นฝ่ำมือฝ่ำเท้ำ ได้แก่ ขน, นขา คือสิ่งที่เป็นเกล็ด ๆ งอกขึ้นตำมปลำย
มือปลำยเท้ำทั้งสองข้ำง ได้แก่ เล็บ, ทนฺตา คือกระดูกที่เป็นซีก ๆ งอกขึ้นที่คำงเบื้องล่ำง เบื้องบนสำหรับบด
เคี้ยวอำหำร ได้แก่ ฟัน, ตโจ คือสิ่งที่หุ้มอยู่ทั่วตัว ได้แก่ หนัง
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทั้ง ๕ นี้ เรียกว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน แปลว่ำ กัมมัฏฐานมีหนังเป็นที่ ๕
เมื่อรู้จักสิ่งทั้ง ๕ อย่ำง นี้แล้ว พิจำรณำอย่ำงไรจึงจะเป็นพระกัมมัฏฐำน ถ้าพิจารณาว่า เป็นของดีของงาม
น่ารักใคร่ น่าพึงพอใจ ก็ไม่เป็นพระกัมมัฏฐาน เพรำะกำรพิจำรณำเช่นนั้น เป็นเหตุที่จะทำรำคะควำมกำหนัด
ยินดี ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เป็นปัจจัยที่จะยั่วยวนกิเลสเช่นนั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ให้มีกำลังแก่กล้ำมำกยิ่งขึ้น
ต่อเมื่อพิจำรณำว่ำ เป็นของไม่ดีไม่งาม ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพึงพอใจ เป็นของโสโครกปฏิกูล ตามที่เป็นจริง
อย่างไร นั่นแล จึงเป็นพระกัมมัฏฐาน เพรำะกำรพิจำรณำเช่นนั้น เป็นเหตุที่จะห้ำมกันรำคะควำมกำหนัด
ยินดี ที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น เป็นอุบำยที่จะปรำบปรำมกิเลสเช่นนั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ลดน้อยถอยเบำบำงลงไป
จำกสันดำน
เมื่อพิจำรณำโดยอำกำรย่นย่อเพียงเท่ำนี้ ไม่พอที่จะให้เห็นว่ำ เป็นของปฏิกูลน่ำเกลียดได้ ก็จง
พิจำรณำตรวจตรำให้ละเอียดแยบคำยออกไปโดยส่วนทั้ง ๕ คือ สี สัณฐำน กลิ่น ที่เกิด ที่อยู่ ว่ำ ผม ขน เล็บ
ฟัน หนัง ทั้ง ๕ อย่ำงนี้ สีเป็นอย่ำงไร สัณฐำน คือรูปร่ำงเป็นอย่ำงไร กลิ่นเป็นอย่ำงไร ที่เกิดที่อยู่ เกิดอยู่ในที่
ไหน เมื่อพิจำรณำไปเช่นนี้ ก็จะเห็นได้ว่ำ แต่ละสิ่งแต่ละอย่ำง สีก็ไม่งำม สัณฐำน คือรูปร่ำงก็ไม่น่ำรักใคร่
กลิ่นก็เหม็น ที่เกิดที่อยู่ ก็เกิดอยู่ในที่ชุ่มแช่ ด้วยบุพโพโลหิต น้ำเหลืองน้ำเลือด ซึ่งมีอยู่ในร่ำงกำยอันนี้ เพรำะ
สิ่งทั้ง ๕ เป็นของโสโครกปฏิกูลอยู่ตำมธรรมดำเช่นนี้ ผมเมื่อขึ้นยำวออกมำแล้ว ก็ต้องตัด ต้องโกน ต้องสระ
ต้องสำง ทิ้งไว้ก็เหม็นสำบเหม็นสำง เล็บก็ต้องตัด ต้องแคะมูลเล็บ ทิ้งไว้ก็ดำสกปรก ฟันก็ต้องบ้วนปำกชำระ
มูลฟัน ทิ้งไว้ก็เหม็นปฏิกูล หนังก็ต้องหมั่นอำบน้ำชำระขัดไคล ถ้ำจะทิ้งไว้ตำมธรรมดำ ก็จะสกปรก
ขะมุกขะมอม ส่งกลิ่นเหม็นสำบน่ำสะอิดสะเอียน
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส
๔
สิ่งทั้ง ๕ อย่ำงนี้ เมื่อตกหล่นลงในภำชนะที่จะบริโภคหรือดื่ม เมื่อเห็นเข้ำ ก็ไม่สำมำรถจะบริโภคหรือ
ดื่มเข้ำไปได้ เพรำะเกลียดในควำมสกปรก แต่คนผู้ไม่ได้ใช้ปัญญำพิจำรณำตำมควำมเป็นจริง เมื่อเห็นสิ่ง
เหล่ำนี้ ที่เขำประดับประดำตกแต่งไว้สวยงำม ก็สำคัญผิด หลงรักใคร่กำหนัดยินดีไปตำม แต่สิ่งทั้ง ๕ อย่ำงนี้
ก็คงเป็นของโสโครกปฏิกูลอยู่ตำมธรรมดำของเขำ หำได้แปรเปลี่ยนไปตำมควำมหลงผิดของใครไม่
สมัยใด ควำมเห็นว่ำ เป็นของโสโครกปฏิกูลเกิดมีขึ้น สมัยนั้น ก็จงรักษาอารมณ์อันนั้นไว้ นั่นแล เป็น
พระกัมมัฏฐาน เพรำะเป็นอุบำยที่จะถ่ำยถอนรำคะควำมกำหนัดยินดีรักใคร่ออกเสียจำกสันดำน ทั้งจะ
เป็นปทัฎฐำนเหตุที่ตั้งให้เกิดปัญญำควำมรู้จริงเห็นจริง เช่นรู้ว่ำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กับทั้งร่ำงกำย ชีวิต
จิตใจ อันนี้ ก็เป็นสักแต่ว่ำ ธำตุอันหนึ่ง ๆ มำประชุมรวมกันเข้ำ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรำ เขำ ล้วนเป็น
อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืนอยู่เสมอ เป็นทุกขัง มีควำมเสื่อมสิ้นพิบัติแปรปรวนไปเป็นธรรมดำ และ
เป็นอนัตตำ ไม่อยู่ในอำนำจบังคับบัญชำของผู้ใด มิใช่ตัวตน ไม่ใช่เรำ ไม่ใช่ของเรำ
เมื่อปัญญำควำมรู้จริงเห็นจริงเกิดขึ้นแล้ว ก็จะละวำงอุปำทำนควำมยึดมั่นถือมั่นเสียได้ เมื่อ
อุปำทำนไม่มีแล้ว จิตก็จะพ้นจำกอำสวกิเลส เป็นอันได้บรรลุถึงธรรมวิเศษ คือพระนิพพำน ซึ่งเป็นธรรมชำติ
ดับเพลิงกิเลส และกองทุกข์ อันเป็นผลที่สุดแห่งพรหมจรรย์ในพระพุทธศำสนำ เหตุฉะนั้น ตัวเธอ จงตั้งใจ
แน่วแน่ มุ่งตรงต่อพระนิพพำนดังเช่นว่ำมำแล้ว และขอบรรพชำอุปสมบทต่อไป
บัดนี้ จะมอบผ้ำกำสำยะให้ เพื่อสำเร็จส่วนเบื้องต้นแห่งกำรบรรพชำ ตำมพระพุทธำนุญำตฯ
พระอุปัชฌำยะเอำมือจับผ้ำไตร สอนอุปสัมปทำเปกขะให้ครองผ้ำว่ำดังนี้
จงถือเอำผ้ำกำสำยะเหล่ำนี้ออกไป เอำสบงคลี่อ้อมตัว จับชำยทั้งสองให้เสมอกัน ม้วนซ้ำยเข้ำ
มำ ข้ำงบนนุ่งเหน็บปิดสะดือ ข้ำงล่ำงปกหัวเข่ำลงไปเพียงครึ่งแข้ง เอำประคตเอวคำด แล้วเอำจีวรคลี่
อ้อมตัว จับชำยทั้งสองให้เสมอกัน ม้วนซ้ำยเข้ำมำดุจเดียวกัน แต่ข้ำงบนห่มปิดบ่ำซ้ำย เปิดบ่ำขวำ เอำ
สังฆำฏิพำด แล้วเข้ำมำกรำบไหว้ภิกษุทั้งหลำย ขอสรณคมน์และศีล ให้สำเร็จสำมเณรบรรพชำตำม
พระพุทธำนุญำตต่อไป
(เมื่อนำคครองผ้ำเสร็จแล้ว เข้ำมำขอสรณคมน์และศีล อำจำรย์ผู้ให้ศีล พึงว่ำดังนี้)
จงตั้งใจนอบน้อม พระผู้มีพระภำคอรหันตสัมมำสัมพุทธเจ้ำ พึงว่ำตำมบท นโม ดังนี้ (แล้วนำว่ำ นโม
๓ หน จบแล้ว อำจำรย์ว่ำ เอวํ วเทหิ นำค รับว่ำ อาม ภนฺเต แล้วอำจำรย์พึงสอนว่ำ) จงตั้งใจถึง
พระพุทธเจ้ำว่ำเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก จงตั้งใจถึงพระธรรมว่ำเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก จงตั้งใจถึงพระสงฆ์ว่ำ
เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก แม้ในวำระที่ ๒ วำระที่ ๓ ก็พึงตั้งใจอย่ำงนั้น แล้วว่ำ
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ... ฯลฯ สรณคมนํ นิฏฺฐิตํ นำครับว่ำ อาม ภนฺเต
เมื่อนำครับสรณคมน์จบแล้ว อำจำรย์ผู้ให้ศีล พึงว่ำ ดังนี้
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส
๕
สามเณรบรรพชาสําเร็จด้วยสรณคมน์ เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไป จงตั้งใจสมาทาน
สิกขาบท ๑๐ ประการ อันพระผู้มีพระภาค ทรงอนุญาตให้สามเณรศึกษา จงศึกษาตาม
ไปโดยบทบาลีดังนี้ก่อน ปาณาติปาตา เวรมณี.. ฯลฯ จนจบศีล ฯ
(สำมเณรจึงขอนิสสัยต่อไป)
(เมื่อเสร็จพิธีให้นิสสัยแล้ว พระอุปัชฌำยะ พึงสอนอุปสัมปทำเปกขะ ว่ำดังนี้)
บัดนี้ พระสงฆ์จะทำอุปสมบทกรรม คือสวดประกำศกันและกัน ยกตัวเธอให้เป็น
อุปสัมบันภิกษุในพระพุทธศำสนำ และในกรรมวำจำที่จะสวดประกำศนั้น จะต้องออกชื่อผู้
อุปสมบทด้วย ออกชื่ออุปัชฌำยะด้วย เพรำะฉะนั้น เมื่อท่ำนถำมว่ำ กินนาโมสิ เธอชื่ออะไร ก็
พึงหมำยเอำตัวเธอแล้วตอบว่ำ อหํ ภนฺเต........นาม ข้ำพเจ้ำชื่อ..... เมื่อท่ำนถำมถึงชื่อ
อุปัชฌำยะ ว่ำ โก นาม เต อุปชฺฌาโย อุปัชฌำยะของเธอชื่ออะไร ก็พึงหมำยเอำตัวเรำ แล้ว
ตอบว่ำ อุปชฺฌาโย เม ภนฺเต อายสฺมา...........นาม อุปัชฌำยะของข้ำพเจ้ำชื่อ ท่ำน........
เมื่อท่ำนจะบอกบำตร จีวร ซึ่งสำหรับเป็นสมณบริขำรไปในภำยหน้ำว่ำ สิ่งนี้ชื่อนี้ สิ่งนี้ชื่อ
นี้ ด้วยมคธภำษำ ก็จงรับว่ำ อาม ภนฺเต อาม ภนฺเต แล้วจำชื่อนั้น ๆ ไว้ใช้ในอธิษฐำนกิจใน
พระพุทธศำสนำต่อไป
(เมื่ออุปสัมปทำเปกขะ ขออุปสมบทกับสงฆ์แล้ว พระอุปัชฌำยะพึงเผดียงสงฆ์ ว่ำดังนี้)
อิทานิ โข ภนฺเต, อยํ ราโธ นาม สามเณโร, มม อุปสมฺปทาเปกฺโข, อุปสมฺปทํ อากงฺ
ขมาโน สงฺฆํ ยาจติ, อหํ สพฺพมิมํ สงฺฆํ อชฺเฌสามิ, สาธุ ภนฺเต สพฺโพยํ สงฺโฆ, อิมํ ราธํ นาม
สามเณรํ อนฺตรายิเก ธมฺเม ปุจฺฉิตฺวา, ตตฺถ ปตฺตกลฺลตํ ญตฺวา, ญตฺติจตุตฺเถน กมฺเมน อกุปฺ
เปน ฐานารเหน อุปสมฺปาเทมาติ กมฺมสนฺนิฎฺฐานํ กโรตุ.
(สงฆ์รับว่ำ สาธุ พร้อมกัน)
พระอุปัชฌำยะ พึงบอกอนุศำสน์ตำมที่มีในหนังสืออุปสมบทวิธี เมื่อจบอนุศำสน์แล้ว
พระบวชใหม่พึงรับ ว่ำ อาม ภนฺเต ๑ หน แล้วนั่งคุกเข่ำกรำบลง ๓ หน เสร็จกำรอุปสมบทเพียง
เท่ำนี้
------------------

More Related Content

Similar to แบบอุปัชฌาย์สอนนาค.pdf

ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555Carzanova
 
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่งครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่งพัน พัน
 
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมสมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมniralai
 
สวดมนต์ วัดพระธาตุจอมมอญ
สวดมนต์ วัดพระธาตุจอมมอญสวดมนต์ วัดพระธาตุจอมมอญ
สวดมนต์ วัดพระธาตุจอมมอญPhatphong Mahawattano
 
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555Carzanova
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10thTongsamut vorasan
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10thTongsamut vorasan
 
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdfmaruay songtanin
 
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓Tongsamut vorasan
 
บาลี 61 80
บาลี 61 80บาลี 61 80
บาลี 61 80Rose Banioki
 
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tongsamut vorasan
 
Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)
Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)
Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)Tongsamut vorasan
 
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
๐๐๖.๐๔.  สุดยอด วัตร  ๑๔  หน้าแรกมีตาราง      มี ๓๔  หน้า๐๐๖.๐๔.  สุดยอด วัตร  ๑๔  หน้าแรกมีตาราง      มี ๓๔  หน้า
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้าwatpadongyai
 
Wansamkarn tippaya
Wansamkarn tippayaWansamkarn tippaya
Wansamkarn tippayatippaya6563
 
วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชาวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชาutumporn charoensuk
 

Similar to แบบอุปัชฌาย์สอนนาค.pdf (20)

ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
 
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่งครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
 
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมสมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
 
สวดมนต์ วัดพระธาตุจอมมอญ
สวดมนต์ วัดพระธาตุจอมมอญสวดมนต์ วัดพระธาตุจอมมอญ
สวดมนต์ วัดพระธาตุจอมมอญ
 
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
รวบรวมศรัทธาผ้าป่าสู้น้ำท่วม 15 เม.ย. 2555
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
 
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10  ariyavinaya10th
1 อริยวินัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 ariyavinaya10th
 
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
 
Immortality Thama.Pps
Immortality Thama.PpsImmortality Thama.Pps
Immortality Thama.Pps
 
แต่งไทย ป.ธ. ๙.pdf
แต่งไทย ป.ธ. ๙.pdfแต่งไทย ป.ธ. ๙.pdf
แต่งไทย ป.ธ. ๙.pdf
 
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
7 61+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๓
 
บาลี 61 80
บาลี 61 80บาลี 61 80
บาลี 61 80
 
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
Tri91 25+สังยุตตนิกาย+สคาถวรรค+เล่ม+๑+ภาค+๒ (1)
 
Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)
Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)
Tri91 17+มัชฌิมนิกาย+มูลปัณณาสก์+เล่ม+๑+ภาค+๑ (1)
 
140128 วารสารยุวพุทธสัมพันธ์
140128 วารสารยุวพุทธสัมพันธ์140128 วารสารยุวพุทธสัมพันธ์
140128 วารสารยุวพุทธสัมพันธ์
 
สวดมนต์แปล(ตัวใหญ่)
สวดมนต์แปล(ตัวใหญ่)สวดมนต์แปล(ตัวใหญ่)
สวดมนต์แปล(ตัวใหญ่)
 
-------------- --- 4
 -------------- --- 4 -------------- --- 4
-------------- --- 4
 
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
๐๐๖.๐๔.  สุดยอด วัตร  ๑๔  หน้าแรกมีตาราง      มี ๓๔  หน้า๐๐๖.๐๔.  สุดยอด วัตร  ๑๔  หน้าแรกมีตาราง      มี ๓๔  หน้า
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
 
Wansamkarn tippaya
Wansamkarn tippayaWansamkarn tippaya
Wansamkarn tippaya
 
วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชาวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา
 

More from สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)

More from สุเมธี​​​​ ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral) (20)

ทำตัวกิริยาศัพท์ ตามขั้นตอน อย่างง่าย _ Step By Step _Pali Verb Building
ทำตัวกิริยาศัพท์ ตามขั้นตอน อย่างง่าย _ Step By Step _Pali Verb Buildingทำตัวกิริยาศัพท์ ตามขั้นตอน อย่างง่าย _ Step By Step _Pali Verb Building
ทำตัวกิริยาศัพท์ ตามขั้นตอน อย่างง่าย _ Step By Step _Pali Verb Building
 
ประโยคโบราณ ในพระธัมมปทัฏฐกถา _ _การใช้ภาษาบาลี.pdf
ประโยคโบราณ ในพระธัมมปทัฏฐกถา _ _การใช้ภาษาบาลี.pdfประโยคโบราณ ในพระธัมมปทัฏฐกถา _ _การใช้ภาษาบาลี.pdf
ประโยคโบราณ ในพระธัมมปทัฏฐกถา _ _การใช้ภาษาบาลี.pdf
 
ประโยคแบบ ในภาษาบาลี _ _การใช้ภาษาบาลี.pdf
ประโยคแบบ ในภาษาบาลี _ _การใช้ภาษาบาลี.pdfประโยคแบบ ในภาษาบาลี _ _การใช้ภาษาบาลี.pdf
ประโยคแบบ ในภาษาบาลี _ _การใช้ภาษาบาลี.pdf
 
การใช้ สเจ ศัพท์ ในประโยคเงื่อนไข _ การใช้ภาษาบาลี
การใช้ สเจ ศัพท์ ในประโยคเงื่อนไข _ การใช้ภาษาบาลีการใช้ สเจ ศัพท์ ในประโยคเงื่อนไข _ การใช้ภาษาบาลี
การใช้ สเจ ศัพท์ ในประโยคเงื่อนไข _ การใช้ภาษาบาลี
 
การสร้างประโยคคำถามในภาษาบาลี_การใช้ภาษาบาลี
การสร้างประโยคคำถามในภาษาบาลี_การใช้ภาษาบาลีการสร้างประโยคคำถามในภาษาบาลี_การใช้ภาษาบาลี
การสร้างประโยคคำถามในภาษาบาลี_การใช้ภาษาบาลี
 
ประโยคที่กิริยาซ้อนกัน และหลักการแปลมคธเป็นไทย.pdf
ประโยคที่กิริยาซ้อนกัน และหลักการแปลมคธเป็นไทย.pdfประโยคที่กิริยาซ้อนกัน และหลักการแปลมคธเป็นไทย.pdf
ประโยคที่กิริยาซ้อนกัน และหลักการแปลมคธเป็นไทย.pdf
 
การแปลบทสมาสที่สัมพันธ์กับบทอื่นๆ_Samasa Relating To Other Words
การแปลบทสมาสที่สัมพันธ์กับบทอื่นๆ_Samasa Relating To Other Wordsการแปลบทสมาสที่สัมพันธ์กับบทอื่นๆ_Samasa Relating To Other Words
การแปลบทสมาสที่สัมพันธ์กับบทอื่นๆ_Samasa Relating To Other Words
 
คําเรียกญาติ (บาลี-ไทย-อังกฤษ)_Family Tree Pali.pdf
คําเรียกญาติ (บาลี-ไทย-อังกฤษ)_Family Tree Pali.pdfคําเรียกญาติ (บาลี-ไทย-อังกฤษ)_Family Tree Pali.pdf
คําเรียกญาติ (บาลี-ไทย-อังกฤษ)_Family Tree Pali.pdf
 
ประมวลศัพท์บาลี ตามหมวดหมู่ _ Pali_Vocab
ประมวลศัพท์บาลี ตามหมวดหมู่ _ Pali_Vocabประมวลศัพท์บาลี ตามหมวดหมู่ _ Pali_Vocab
ประมวลศัพท์บาลี ตามหมวดหมู่ _ Pali_Vocab
 
การแปล อนฺต, มาน, ต, ตฺวา ปัจจัย_Anta-Mana-Ta-Tva_Translation
การแปล  อนฺต,  มาน,  ต,  ตฺวา  ปัจจัย_Anta-Mana-Ta-Tva_Translationการแปล  อนฺต,  มาน,  ต,  ตฺวา  ปัจจัย_Anta-Mana-Ta-Tva_Translation
การแปล อนฺต, มาน, ต, ตฺวา ปัจจัย_Anta-Mana-Ta-Tva_Translation
 
ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ธ.3 พ.ศ.2550-2566 (17 ปี)_Pali grammar Exam A...
ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ธ.3 พ.ศ.2550-2566 (17 ปี)_Pali grammar Exam A...ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ธ.3 พ.ศ.2550-2566 (17 ปี)_Pali grammar Exam A...
ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ธ.3 พ.ศ.2550-2566 (17 ปี)_Pali grammar Exam A...
 
ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ย.1-2 พ.ศ.2511-2566 (56 ปี)_Pali grammar Exam...
ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ย.1-2 พ.ศ.2511-2566 (56 ปี)_Pali grammar Exam...ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ย.1-2 พ.ศ.2511-2566 (56 ปี)_Pali grammar Exam...
ปัญหาและเฉลย วิชาบาลีไวยากรณ์ ป.ย.1-2 พ.ศ.2511-2566 (56 ปี)_Pali grammar Exam...
 
หลักการแปลบาลี 8 ประการ _ หลักการแปลมคธเป็นไทย 8 ประการ
หลักการแปลบาลี 8 ประการ _  หลักการแปลมคธเป็นไทย 8 ประการหลักการแปลบาลี 8 ประการ _  หลักการแปลมคธเป็นไทย 8 ประการ
หลักการแปลบาลี 8 ประการ _ หลักการแปลมคธเป็นไทย 8 ประการ
 
ปัญหาและเฉลยข้อสอบ ป.ธ.3 วิชาไวยากรณ์ฉบับปรับปรุง_ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdf
ปัญหาและเฉลยข้อสอบ ป.ธ.3 วิชาไวยากรณ์ฉบับปรับปรุง_ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdfปัญหาและเฉลยข้อสอบ ป.ธ.3 วิชาไวยากรณ์ฉบับปรับปรุง_ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdf
ปัญหาและเฉลยข้อสอบ ป.ธ.3 วิชาไวยากรณ์ฉบับปรับปรุง_ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdf
 
ปัญหาและเฉลยบาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdf
ปัญหาและเฉลยบาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdfปัญหาและเฉลยบาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdf
ปัญหาและเฉลยบาลีไวยากรณ์ ประโยค 1-2 ปี ๒๕๑๑-๒๕๖๑.pdf
 
ธมฺมปทฏฺฐกถา (๘ ภาค รวมเล่ม)_ธรรมบท ภาคที่ 1-8 รวมเล่ม ฉบับภาษาบาลี
ธมฺมปทฏฺฐกถา (๘ ภาค รวมเล่ม)_ธรรมบท ภาคที่ 1-8 รวมเล่ม  ฉบับภาษาบาลีธมฺมปทฏฺฐกถา (๘ ภาค รวมเล่ม)_ธรรมบท ภาคที่ 1-8 รวมเล่ม  ฉบับภาษาบาลี
ธมฺมปทฏฺฐกถา (๘ ภาค รวมเล่ม)_ธรรมบท ภาคที่ 1-8 รวมเล่ม ฉบับภาษาบาลี
 
อภิธานวรรณนา_พจนานุกรมว่าด้วยศัพท์ที่เป็นนามบัญญัติของเนื้อความที่มีปรากฏอยู่...
อภิธานวรรณนา_พจนานุกรมว่าด้วยศัพท์ที่เป็นนามบัญญัติของเนื้อความที่มีปรากฏอยู่...อภิธานวรรณนา_พจนานุกรมว่าด้วยศัพท์ที่เป็นนามบัญญัติของเนื้อความที่มีปรากฏอยู่...
อภิธานวรรณนา_พจนานุกรมว่าด้วยศัพท์ที่เป็นนามบัญญัติของเนื้อความที่มีปรากฏอยู่...
 
สำนวนแต่งไทยเป็นมคธ สำนักงานแม่กองบาลี & กองพุทธศาสนศึกษา (1)_(2).pdf
สำนวนแต่งไทยเป็นมคธ  สำนักงานแม่กองบาลี & กองพุทธศาสนศึกษา (1)_(2).pdfสำนวนแต่งไทยเป็นมคธ  สำนักงานแม่กองบาลี & กองพุทธศาสนศึกษา (1)_(2).pdf
สำนวนแต่งไทยเป็นมคธ สำนักงานแม่กองบาลี & กองพุทธศาสนศึกษา (1)_(2).pdf
 
จูฬธาตุปัจจยโชติกา _ พจนานุกรมบาลี-บาลี
จูฬธาตุปัจจยโชติกา  _  พจนานุกรมบาลี-บาลีจูฬธาตุปัจจยโชติกา  _  พจนานุกรมบาลี-บาลี
จูฬธาตุปัจจยโชติกา _ พจนานุกรมบาลี-บาลี
 
ธรรมบท ภาคที่ 8 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 8 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdfธรรมบท ภาคที่ 8 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 8 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
 

แบบอุปัชฌาย์สอนนาค.pdf

  • 1. โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ๑ แบบพระอุปัชฌาย์สอนนาค บัดนี้ ตัวเธอ ได้น้อมนำเอำผ้ำกำสำยะ มำขอบรรพชำอุปสมบทในพระพุทธศำสนำ จึงควรปลูก ศรัทธำควำมเชื่อ ปสำทะควำมเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ำ ซึ่งเป็นผู้ตั้งพระพุทธศำสนำ และทรงอนุญำตกำร บรรพชำอุปสมบทอันนี้ไว้ เบื้องต้นที่จะปลูกศรัทธำควำมเชื่อ ปสำทะควำมเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ำนั้น ควร ต้องศึกษำให้รู้จักก่อนว่ำ พระพุทธเจ้ำ มีคุณควำมดีอย่ำงไร -พระพุทธเจ้ำ นั้น มีคุณควำมดี คือ ทรงมีพระปัญญำปรีชำฉลำด รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น ทั้ง คุณและโทษ ประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ ตลอดถึงตรัสรู้อริยสัจ ๔ โดยไม่มีใครเป็นครูอำจำรย์สั่งสอน ส่วน นี้เรียกว่ำ พระปัญญาคุณ -ทรงละสิ่งที่เป็นโทษ คืออำสวกิเลสเครื่องเศร้ำหมองได้อย่ำงหมดจด กับทั้งวำสนำ คือ กิริยำทำง กำยวำจำ ที่กิเลสอบรมสั่งสมมำนำน ทรงบริบูรณ์ด้วยควำมดี มีคุณธรรมอันล้ำเลิศนำนัปกำร ส่วนนี้ เรียกว่ำ พระบริสุทธิคุณ -ทรงมีพระหฤทัยเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตำกรุณำในหมู่สัตว์ ซึ่งเร่ำร้อนอยู่ด้วยเพลิงกิเลส และกอง ทุกข์ ทรงแสดงธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ได้ฟังแล้วปฏิบัติตำม สำมำรถดับเพลิงกิเลส และกองทุกข์เสียได้ โดยมิได้ทรงเห็นแก่ควำมเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ยำกลำบำกพระวรกำย ส่วนนี้เรียกว่ำ พระมหากรุณาคุณ * ท่ำนผู้ดำรงในพระคุณ ทั้ง ๓ ประกำร มี พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหา กรุณาคุณ นี้ เรียกว่ำ พระพุทธเจ้า แปลว่ำ ท่ำนผู้รู้ดีรู้ชอบฯ เมื่อพระพุทธเจ้ำ ทรงรู้ดีรู้ชอบเช่นนี้แล้ว อำศัยควำมกรุณำเอ็นดูในหมู่สัตว์ จึงทรงแสดงธรรมสั่ง สอน ธรรมคำสั่งสอนของพระองค์นั้น เรียกว่ำ ปริยัติธรรม เพราะเป็นคุณธรรมที่ผู้ปฏิบัติ จะต้องเล่าเรียน ท่องบ่นจาทรง ศึกษาให้เข้าใจเนื้อความ ใจความในปริยัตินั้น ประกาศข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา -ควำมรักษำ กำย วำจำ ให้บริสุทธิ์ ไม่ประพฤติล่วงกิเลสอย่ำงหยำบ ที่จะพึงกระทำด้วย กำย วำจำ ชื่อว่ำ ศีล -ควำมรักษำใจให้บริสุทธิ์ คือ เพ่งใจไว้ในอำรมณ์อันเดียว ไม่ให้เกำะเกี่ยวเศร้ำหมอง ด้วยนิวรณ์ทั้ง ๕ ชื่อว่ำ สมาธิ -ควำมทำทิฎฐิควำมเห็นให้ถูกต้องตำมควำมเป็นจริง ไม่เห็นวิปริตผิดไปจำกคลองธรรม ชื่อว่ำ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๓ นี้ เรียกว่ำ ปฏิบัติธรรม เพราะเป็นคุณธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะพึง ฝึกหัด กาย วาจา ใจ และทิฏฐิของตัว ให้เป็นไปตาม
  • 2. โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ๒ เมื่อผู้ปฏิบัติดำเนินไปตำม ศีล สมำธิ ปัญญำ นี้ ได้บรรลุถึงควำมบริสุทธิ์ คือ มรรค ผล นิพพำน อันใด มรรค ผล นิพพำน อันนั้น เรียกว่ำ ปฏิเวธธรรม เพราะเป็นคุณธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะ พึงรู้แจ้งแทงตลอดได้เฉพาะตัว ด้วยปัญญา * ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ทั้ง ๓ ประกำรนี้ รวมเรียกสั้น ๆ ว่ำ พระธรรม เพรำะเป็น สภำพที่ทรงผู้ปฏิบัติไว้ให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี มิให้ตกไปในที่ชั่ว มีทุคติ อบำยเป็นต้นฯ * หมู่ชนที่ได้สดับธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ แล้วตั้งใจปฏิบัติตำม ศีล สมำธิ ปัญญำ ทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สำมำรถกำจัดอำสวกิเลสได้ขำดจำกสันดำน โดยเอกเทศ บ้ำง โดยสิ้นเชิงบ้ำง กล่ำวนำมตำมภูมิที่ละกิเลสนั้น ๆ ว่ำ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ อนาคามี พระอรหันต์ ทั้ง ๔ จำพวกนี้ เรียกว่ำ พระสงฆ์ เพราะเป็นหมู่เป็นพวก ที่มีความปฏิบัติ เสมอเหมือนกันด้วย ศีล และทิฏฐิ พระสงฆ์นั้น โดยมำกมีฉันทะอัธยำศัย ร่วมใจกันกับพระบรมศำสดำ ช่วย เทศนำแนะนำสั่งสอนให้ชนนิกรนั้น ๆ ได้ฟังธรรมแล้วปฏิบัติตำม สำมำรถละควำมเห็นผิดอันเป็นโทษทุจริต ให้สถิตตั้งมั่นในควำมเห็นชอบ อันเป็นคุณควำมดีงำมที่จะนำไปสู่ควำมดับทุกข์ได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า พระรัตนตรัย เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดใน พระพุทธศำสนำ ผู้จะมำขอบรรพชำอุปสมบท ต้องตั้งใจถึงเป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือเสียก่อน เหตุฉะนั้น ตัวเธอ จงตั้งใจในบัดนี้ว่ำ ข้ำพเจ้ำขอถึงพระพุทธเจ้ำเป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือของข้ำพเจ้ำ ข้ำพเจ้ำขอถึง พระธรรมเป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือของข้ำพเจ้ำ ข้ำพเจ้ำขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือ ของข้ำพเจ้ำ เมื่อตั้งใจถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่เคำรพนับถือ ดังนี้แล้ว จึงควรได้ บรรพชำอุปสมบทต่อไป อนึ่ง พึงรู้จักหน้ำที่ของกำรบรรพชำอุปสมบท ว่ำมีประโยชน์อย่ำงไรก่อน กำรบรรพชำอุปสมบทนั้น มีประโยชน์คือ จะได้ตั้งใจเล่ำเรียนศึกษำ และปฏิบัติตำม ศีล สมำธิ ปัญญำ รักษำกำย วำจำ ใจ ทิฏฐิ ทำให้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีได้ง่ำย เพรำะเป็นคฤหัสถ์มีกิจกังวลห่วงใยมำก ยำกที่จะทำได้ ทั้งตั้งอยู่ในที่ใกล้กับอำรมณ์ ที่จะล่อจิตให้เกิดควำมรักบ้ำง ควำมโกรธบ้ำง ควำมหลงบ้ำง ไม่เป็นทำงที่จะประพฤติปฏิบัติ ทำใจให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ดีได้ง่ำย ส่วนกำรบรรพชำถือเพศเป็นบรรพชิต ย่อมละกิจกังวลห่วงใย ทั้งตั้งอยู่ในที่ห่ำงไกลจำกอำรมณ์ เช่นนั้น เป็นทำงที่จะประพฤติปฏิบัติ ทำใจให้บริสุทธิ์บริบูรณ์จำกอำสวะกิเลสได้ง่ำย แต่มิใช่ว่ำ ได้บรรพชำ อุปสมบทแล้ว กิเลสอำสวะจะหมดสิ้นไปเองก็หำไม่ ยังต้องอำศัยตั้งใจปฏิบัติขัดเกลำกิเลสอย่ำงหยำบ ที่ล่วง ทำง กำย วำจำ ด้วยศีล แล้วตั้งใจปฏิบัติขัดเกลำกิเลสอย่ำงกลำง คือนิวรณ์ ๕ ที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต ทำจิตให้
  • 3. โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ๓ เศร้ำหมอง ด้วยสมาธิ คือเพ่งใจไว้ในอำรมณ์อันเดียว แล้วหมั่นปฏิบัติขัดเกลำกิเลสอย่ำงละเอียดสุขุม อันทำ ให้เกิดมิจฉำทิฏฐิ ควำมเห็นวิปริตผิดไปจำกควำมจริง ด้วยปัญญา คือ ควำมรู้จริงเห็นจริง สำหรับศีลอันเป็นเบื้องต้นนั้น ก็จะได้จะถึงด้วยกำรบรรพชำอุปสมบทอันนี้ ต่อไปนี้ จงตั้งใจเรียนพระกัมมัฏฐำน ตำมแบบโบรำณำจำรย์แต่ปำงก่อน ที่ได้สอนสืบ ๆ กันมำ เป็น อุบำยสำหรับจะทำสมำธิให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นที่ตั้งของปัญญำต่อไป จงศึกษำตำมไป โดยบทบำลีดังนี้ก่อน เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ นี้เรียกว่ำ อนุโลม คือว่ำไปตำมลำดับ แล้วถอยกลับเข้ำมำเป็น ปฏิโลม ว่ำ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา จงตั้งใจศึกษำให้รู้เนื้อควำม เกสา คือสิ่งที่เป็นเส้น ๆ งอกขึ้นบนศีรษะ เบื้องหน้ำเพียงหน้ำผำก เบื้องหลังเพียงปลำยคอต่อ เบื้องขวำงมีหมวกหูทั้งสองข้ำงเป็นที่สุด ได้แก่ ผม, โลมา คือสิ่งที่เป็นเส้น ๆ ยก เกสำเสีย งอกขึ้นทั่วสรรพำงค์กำย เว้นฝ่ำมือฝ่ำเท้ำ ได้แก่ ขน, นขา คือสิ่งที่เป็นเกล็ด ๆ งอกขึ้นตำมปลำย มือปลำยเท้ำทั้งสองข้ำง ได้แก่ เล็บ, ทนฺตา คือกระดูกที่เป็นซีก ๆ งอกขึ้นที่คำงเบื้องล่ำง เบื้องบนสำหรับบด เคี้ยวอำหำร ได้แก่ ฟัน, ตโจ คือสิ่งที่หุ้มอยู่ทั่วตัว ได้แก่ หนัง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทั้ง ๕ นี้ เรียกว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน แปลว่ำ กัมมัฏฐานมีหนังเป็นที่ ๕ เมื่อรู้จักสิ่งทั้ง ๕ อย่ำง นี้แล้ว พิจำรณำอย่ำงไรจึงจะเป็นพระกัมมัฏฐำน ถ้าพิจารณาว่า เป็นของดีของงาม น่ารักใคร่ น่าพึงพอใจ ก็ไม่เป็นพระกัมมัฏฐาน เพรำะกำรพิจำรณำเช่นนั้น เป็นเหตุที่จะทำรำคะควำมกำหนัด ยินดี ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เป็นปัจจัยที่จะยั่วยวนกิเลสเช่นนั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ให้มีกำลังแก่กล้ำมำกยิ่งขึ้น ต่อเมื่อพิจำรณำว่ำ เป็นของไม่ดีไม่งาม ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพึงพอใจ เป็นของโสโครกปฏิกูล ตามที่เป็นจริง อย่างไร นั่นแล จึงเป็นพระกัมมัฏฐาน เพรำะกำรพิจำรณำเช่นนั้น เป็นเหตุที่จะห้ำมกันรำคะควำมกำหนัด ยินดี ที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น เป็นอุบำยที่จะปรำบปรำมกิเลสเช่นนั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ลดน้อยถอยเบำบำงลงไป จำกสันดำน เมื่อพิจำรณำโดยอำกำรย่นย่อเพียงเท่ำนี้ ไม่พอที่จะให้เห็นว่ำ เป็นของปฏิกูลน่ำเกลียดได้ ก็จง พิจำรณำตรวจตรำให้ละเอียดแยบคำยออกไปโดยส่วนทั้ง ๕ คือ สี สัณฐำน กลิ่น ที่เกิด ที่อยู่ ว่ำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทั้ง ๕ อย่ำงนี้ สีเป็นอย่ำงไร สัณฐำน คือรูปร่ำงเป็นอย่ำงไร กลิ่นเป็นอย่ำงไร ที่เกิดที่อยู่ เกิดอยู่ในที่ ไหน เมื่อพิจำรณำไปเช่นนี้ ก็จะเห็นได้ว่ำ แต่ละสิ่งแต่ละอย่ำง สีก็ไม่งำม สัณฐำน คือรูปร่ำงก็ไม่น่ำรักใคร่ กลิ่นก็เหม็น ที่เกิดที่อยู่ ก็เกิดอยู่ในที่ชุ่มแช่ ด้วยบุพโพโลหิต น้ำเหลืองน้ำเลือด ซึ่งมีอยู่ในร่ำงกำยอันนี้ เพรำะ สิ่งทั้ง ๕ เป็นของโสโครกปฏิกูลอยู่ตำมธรรมดำเช่นนี้ ผมเมื่อขึ้นยำวออกมำแล้ว ก็ต้องตัด ต้องโกน ต้องสระ ต้องสำง ทิ้งไว้ก็เหม็นสำบเหม็นสำง เล็บก็ต้องตัด ต้องแคะมูลเล็บ ทิ้งไว้ก็ดำสกปรก ฟันก็ต้องบ้วนปำกชำระ มูลฟัน ทิ้งไว้ก็เหม็นปฏิกูล หนังก็ต้องหมั่นอำบน้ำชำระขัดไคล ถ้ำจะทิ้งไว้ตำมธรรมดำ ก็จะสกปรก ขะมุกขะมอม ส่งกลิ่นเหม็นสำบน่ำสะอิดสะเอียน
  • 4. โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ๔ สิ่งทั้ง ๕ อย่ำงนี้ เมื่อตกหล่นลงในภำชนะที่จะบริโภคหรือดื่ม เมื่อเห็นเข้ำ ก็ไม่สำมำรถจะบริโภคหรือ ดื่มเข้ำไปได้ เพรำะเกลียดในควำมสกปรก แต่คนผู้ไม่ได้ใช้ปัญญำพิจำรณำตำมควำมเป็นจริง เมื่อเห็นสิ่ง เหล่ำนี้ ที่เขำประดับประดำตกแต่งไว้สวยงำม ก็สำคัญผิด หลงรักใคร่กำหนัดยินดีไปตำม แต่สิ่งทั้ง ๕ อย่ำงนี้ ก็คงเป็นของโสโครกปฏิกูลอยู่ตำมธรรมดำของเขำ หำได้แปรเปลี่ยนไปตำมควำมหลงผิดของใครไม่ สมัยใด ควำมเห็นว่ำ เป็นของโสโครกปฏิกูลเกิดมีขึ้น สมัยนั้น ก็จงรักษาอารมณ์อันนั้นไว้ นั่นแล เป็น พระกัมมัฏฐาน เพรำะเป็นอุบำยที่จะถ่ำยถอนรำคะควำมกำหนัดยินดีรักใคร่ออกเสียจำกสันดำน ทั้งจะ เป็นปทัฎฐำนเหตุที่ตั้งให้เกิดปัญญำควำมรู้จริงเห็นจริง เช่นรู้ว่ำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กับทั้งร่ำงกำย ชีวิต จิตใจ อันนี้ ก็เป็นสักแต่ว่ำ ธำตุอันหนึ่ง ๆ มำประชุมรวมกันเข้ำ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรำ เขำ ล้วนเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืนอยู่เสมอ เป็นทุกขัง มีควำมเสื่อมสิ้นพิบัติแปรปรวนไปเป็นธรรมดำ และ เป็นอนัตตำ ไม่อยู่ในอำนำจบังคับบัญชำของผู้ใด มิใช่ตัวตน ไม่ใช่เรำ ไม่ใช่ของเรำ เมื่อปัญญำควำมรู้จริงเห็นจริงเกิดขึ้นแล้ว ก็จะละวำงอุปำทำนควำมยึดมั่นถือมั่นเสียได้ เมื่อ อุปำทำนไม่มีแล้ว จิตก็จะพ้นจำกอำสวกิเลส เป็นอันได้บรรลุถึงธรรมวิเศษ คือพระนิพพำน ซึ่งเป็นธรรมชำติ ดับเพลิงกิเลส และกองทุกข์ อันเป็นผลที่สุดแห่งพรหมจรรย์ในพระพุทธศำสนำ เหตุฉะนั้น ตัวเธอ จงตั้งใจ แน่วแน่ มุ่งตรงต่อพระนิพพำนดังเช่นว่ำมำแล้ว และขอบรรพชำอุปสมบทต่อไป บัดนี้ จะมอบผ้ำกำสำยะให้ เพื่อสำเร็จส่วนเบื้องต้นแห่งกำรบรรพชำ ตำมพระพุทธำนุญำตฯ พระอุปัชฌำยะเอำมือจับผ้ำไตร สอนอุปสัมปทำเปกขะให้ครองผ้ำว่ำดังนี้ จงถือเอำผ้ำกำสำยะเหล่ำนี้ออกไป เอำสบงคลี่อ้อมตัว จับชำยทั้งสองให้เสมอกัน ม้วนซ้ำยเข้ำ มำ ข้ำงบนนุ่งเหน็บปิดสะดือ ข้ำงล่ำงปกหัวเข่ำลงไปเพียงครึ่งแข้ง เอำประคตเอวคำด แล้วเอำจีวรคลี่ อ้อมตัว จับชำยทั้งสองให้เสมอกัน ม้วนซ้ำยเข้ำมำดุจเดียวกัน แต่ข้ำงบนห่มปิดบ่ำซ้ำย เปิดบ่ำขวำ เอำ สังฆำฏิพำด แล้วเข้ำมำกรำบไหว้ภิกษุทั้งหลำย ขอสรณคมน์และศีล ให้สำเร็จสำมเณรบรรพชำตำม พระพุทธำนุญำตต่อไป (เมื่อนำคครองผ้ำเสร็จแล้ว เข้ำมำขอสรณคมน์และศีล อำจำรย์ผู้ให้ศีล พึงว่ำดังนี้) จงตั้งใจนอบน้อม พระผู้มีพระภำคอรหันตสัมมำสัมพุทธเจ้ำ พึงว่ำตำมบท นโม ดังนี้ (แล้วนำว่ำ นโม ๓ หน จบแล้ว อำจำรย์ว่ำ เอวํ วเทหิ นำค รับว่ำ อาม ภนฺเต แล้วอำจำรย์พึงสอนว่ำ) จงตั้งใจถึง พระพุทธเจ้ำว่ำเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก จงตั้งใจถึงพระธรรมว่ำเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก จงตั้งใจถึงพระสงฆ์ว่ำ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก แม้ในวำระที่ ๒ วำระที่ ๓ ก็พึงตั้งใจอย่ำงนั้น แล้วว่ำ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ... ฯลฯ สรณคมนํ นิฏฺฐิตํ นำครับว่ำ อาม ภนฺเต เมื่อนำครับสรณคมน์จบแล้ว อำจำรย์ผู้ให้ศีล พึงว่ำ ดังนี้
  • 5. โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ๕ สามเณรบรรพชาสําเร็จด้วยสรณคมน์ เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไป จงตั้งใจสมาทาน สิกขาบท ๑๐ ประการ อันพระผู้มีพระภาค ทรงอนุญาตให้สามเณรศึกษา จงศึกษาตาม ไปโดยบทบาลีดังนี้ก่อน ปาณาติปาตา เวรมณี.. ฯลฯ จนจบศีล ฯ (สำมเณรจึงขอนิสสัยต่อไป) (เมื่อเสร็จพิธีให้นิสสัยแล้ว พระอุปัชฌำยะ พึงสอนอุปสัมปทำเปกขะ ว่ำดังนี้) บัดนี้ พระสงฆ์จะทำอุปสมบทกรรม คือสวดประกำศกันและกัน ยกตัวเธอให้เป็น อุปสัมบันภิกษุในพระพุทธศำสนำ และในกรรมวำจำที่จะสวดประกำศนั้น จะต้องออกชื่อผู้ อุปสมบทด้วย ออกชื่ออุปัชฌำยะด้วย เพรำะฉะนั้น เมื่อท่ำนถำมว่ำ กินนาโมสิ เธอชื่ออะไร ก็ พึงหมำยเอำตัวเธอแล้วตอบว่ำ อหํ ภนฺเต........นาม ข้ำพเจ้ำชื่อ..... เมื่อท่ำนถำมถึงชื่อ อุปัชฌำยะ ว่ำ โก นาม เต อุปชฺฌาโย อุปัชฌำยะของเธอชื่ออะไร ก็พึงหมำยเอำตัวเรำ แล้ว ตอบว่ำ อุปชฺฌาโย เม ภนฺเต อายสฺมา...........นาม อุปัชฌำยะของข้ำพเจ้ำชื่อ ท่ำน........ เมื่อท่ำนจะบอกบำตร จีวร ซึ่งสำหรับเป็นสมณบริขำรไปในภำยหน้ำว่ำ สิ่งนี้ชื่อนี้ สิ่งนี้ชื่อ นี้ ด้วยมคธภำษำ ก็จงรับว่ำ อาม ภนฺเต อาม ภนฺเต แล้วจำชื่อนั้น ๆ ไว้ใช้ในอธิษฐำนกิจใน พระพุทธศำสนำต่อไป (เมื่ออุปสัมปทำเปกขะ ขออุปสมบทกับสงฆ์แล้ว พระอุปัชฌำยะพึงเผดียงสงฆ์ ว่ำดังนี้) อิทานิ โข ภนฺเต, อยํ ราโธ นาม สามเณโร, มม อุปสมฺปทาเปกฺโข, อุปสมฺปทํ อากงฺ ขมาโน สงฺฆํ ยาจติ, อหํ สพฺพมิมํ สงฺฆํ อชฺเฌสามิ, สาธุ ภนฺเต สพฺโพยํ สงฺโฆ, อิมํ ราธํ นาม สามเณรํ อนฺตรายิเก ธมฺเม ปุจฺฉิตฺวา, ตตฺถ ปตฺตกลฺลตํ ญตฺวา, ญตฺติจตุตฺเถน กมฺเมน อกุปฺ เปน ฐานารเหน อุปสมฺปาเทมาติ กมฺมสนฺนิฎฺฐานํ กโรตุ. (สงฆ์รับว่ำ สาธุ พร้อมกัน) พระอุปัชฌำยะ พึงบอกอนุศำสน์ตำมที่มีในหนังสืออุปสมบทวิธี เมื่อจบอนุศำสน์แล้ว พระบวชใหม่พึงรับ ว่ำ อาม ภนฺเต ๑ หน แล้วนั่งคุกเข่ำกรำบลง ๓ หน เสร็จกำรอุปสมบทเพียง เท่ำนี้ ------------------