Unit22. OSI Model
OSI by ISO
Open System Interconnection
by International Standards
Organization
ประกอบด้วยชั้นสื่อสาร (Layer)
จำานวน 7 ชั้น
3. OSI - 7 Layer
Physical Layer
Data Link Layer
Network Layer
Transport Layer
Session Layer
Presentation Layer
Application Layer
4. OSI Model
ในทางปฏิบัติ OSI Model ได้แบ่งลักษณะ
การทำางานออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
กลุ่มแรก ได้แก่ 4 ชั้นสื่อสารด้านบน คือ
Layer ที่ 7,6,5 และ 4 ทำาหน้าที่เชื่อมต่อรับ
ส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรมประยุกต์
เพื่อให้รับส่งข้อมูลกับฮาร์ดแวร์ที่อยู่ชั้นล่างได้
อย่างถูกต้อง เรียกว่า Application-
oriented layers ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ
ซอฟท์แวร์เป็นหลัก โดยใน 4 ชั้นบนมักจะ
เป็นซอฟท์แวร์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งใน
5. OSI Model
กลุ่มที่สอง จะเป็นชั้นล่าง ได้แก่ Layer ที่ 3,
2 และ 1ทำาหน้าที่เกี่ยวกับการรับส่งข้อมูลผ่าน
สายส่ง และควบคุมการรับส่งข้อมูล ตรวจสอบ
ข้อผิดพลาด รวมทั้งเลือกเส้นทางในการรับส่ง
ข้อมูล ซึ่งจะเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์เป็นหลักเรียกว่า
Network-dependent layers
ซึ่งในส่วนของ 3 ชั้นล่างสุด หรือ Layer ที่ 1,
2 และ 3 นั้น มักจะเกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์และ
โปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ทำาให้
สามารถแยกแต่ละชั้นออกจากกันได้ง่าย และ
8. OSI Model – Physical Layer
Layer ที่ 1 Physical Layer เป็นชั้นล่าง
สุด และเป็นชั้นเดียวที่มีการเชื่อมต่อทาง
กายภาพระหว่างคอมพิวเตอร์สองระบบ
ที่ทำาการรับส่งข้อมูล ใน Layer ที่ 1 นี้จะมี
การกำาหนดคุณสมบัติทางกายภาพของ
ฮาร์ดแวร์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้ง
สองระบบ เช่น สายที่ใช้รับส่งข้อมูลจะเป็น
แบบไหน ข้อต่อที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลมี
มาตรฐานอย่างไร ความเร็วในการรับส่งข้อมูล
เท่าใด สัญญาณที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลมีรูป
9. OSI Model – Data Link Layer
Layer ที่ 2 Data Link Layer เป็น
ชั้นที่ทำาหน้าที่เชื่อมต่อการรับส่งข้อมูลใน
ระดับฮาร์ดแวร์ โดยเมื่อมีการสั่งให้รับข้อมูล
จากใน Layer ที่ 3 ลงมา Layer ที่ 2 จะทำา
หน้าที่แปลคำาสั่งนั้นให้เป็นคำาสั่งควบคุม
ฮาร์ดแวร์ที่ใช้รับส่งข้อมูล ทำาการตรวจสอบ
ข้อผิดพลาดในการรับส่งข้อมูลของระดับ
ฮาร์ดแวร์ และทำาการแก้ข้อผิดพลาดที่ได้
ตรวจพบ
ข้อมูลที่อยู่ใน Layer ที่ 2 จะอยู่ในรูปของ
Frame เช่น ถ้าฮาร์ดแวร์ที่ใช้เป็น Ethernet
10. OSI Model – Network Layer
Layer ที่ 3 Network Layer ทำา
หน้าที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้านรับ และด้าน
ส่งเข้าหากันผ่านระบบเครือข่าย พร้อมทั้ง
เลือกหรือกำาหนดเส้นทางที่จะใช้ในการรับ
ส่งข้อมูลระหว่างกัน และส่งผ่านข้อมูลที่ได้
รับไปยังอุปกรณ์ในเครือข่ายต่าง ๆ จน
กระทั่งถึงปลายทาง
ใน Layer ที่ 3 ข้อมูลที่รับส่งกันจะอยู่ในรูป
แบบของกลุ่มข้อมูลที่เรียกว่า Packet หรือ
Frame ข้อมูล Layer ที่ 4, 5, 6 และ 7
มองเห็นเป็นคำาสั่งและ Dialog ต่าง ๆ นั้น จะ
ถูกแปลงและผนึกรวมอยู่ในรูปของ Packet
11. OSI Model – Network Layer
หน้าที่อีกประการหนึ่ง คือ การทำา Call
Setup หรือเรียกติดต่อคอมพิวเตอร์ปลาย
ทางก่อนการรับส่งข้อมูล และการทำา Call
Cleaning หรือการยกเลิกการติดต่อ
คอมพิวเตอร์เมื่อการรับส่งข้อมูลจบลงแล้ว
ในกรณีที่มีการรับส่งข้อมูลนั้นต้องมีการ
ติดต่อกันก่อน
12. OSI Model – Transport Layer
Layer ที่ 4 Transport Layer ทำาหน้าที่
เชื่อมต่อการรับส่งข้อมูลระดับสูงของ Layer ที่ 5
มาเป็นข้อมูลที่รับส่งในระดับฮาร์ดแวร์ เช่น แปลง
ค่าหรือชื่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายให้
เป็น network address พร้อมทั้งเป็นชั้นที่
ควบคุมการรับส่งข้อมูลจากปลายด้านส่งถึงปลาย
ด้านรับข้อมูล ให้ข้อมูลมีการไหลลื่นตลอดเส้นทาง
ตามจังหวะที่ควบคุมจาก Layer ที่ 5
13. OSI Model – Transport Layer
โดยใน Layer ที่ 4 นี้ จะเป็นรอยต่อระหว่างการ
รับส่งข้อมูลซอฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์การรับส่ง
ข้อมูลของระดับสูงจะถูกแยกจากฮาร์ดแวร์ที่ใช้รับ
ส่งข้อมูลที่ Layer ที่ 4 และจะไม่มีส่วนใดผูกติด
กับฮาร์ดแวร์ที่ใช้รับส่งข้อมูลในระดับล่าง ดังนั้น
ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ที่ใช้ควบคุมการรับส่ง
ข้อมูลในระดับล่างลงไปจาก Layer ที่ 4 จึง
สามารถสับเปลี่ยน และใช้ข้ามไปมากับซอฟท์แวร์
รับส่งข้อมูลในระดับที่อยู่ข้างบน (ตั้งแต่ Layer ที่
4 ขึ้นไปถึง Layer ที่ 7) ได้ง่าย
14. OSI Model – Transport Layer
หน้าที่อีกประการหนึ่งของ Layer ที่ 4 คือ การ
ควบคุมคุณภาพการรับส่งข้อมูลให้มีมาตรฐานใน
ระดับที่ตกลงกันทั้งสองฝ่าย และการตัดข้อมูลออก
เป็นส่วนย่อย ๆ ให้เหมาะกับลักษณะการทำางาน
ของฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในเครือข่าย เช่น หาก Layer
ที่ 5 ต้องการส่งข้อมูลที่มีความยาวเกินกว่าที่ระบบ
เครือข่ายที่จะส่งให้ Layer ที่ 4 ก็จะทำาหน้าที่ตัด
ข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ แล้วส่งไปให้ผู้รับ ข้อมูล
ที่ได้รับปลายทางก็จะถูกนำามาต่อกันที่ Layer ที่ 4
ของด้านผู้รับ และส่งไปให้ Layer ที่ 5 ต่อไป
15. OSI Model – Session Layer
Layer ที่ 5 Session Layer ทำาหน้าที่ควบคุม
"จังหวะ" ในการรับส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์ทั้งสอง
ด้าน ที่รับส่งแลกเปลี่ยนข้อมูลกันให้มีความ
สอดคล้องกัน (Synchronization)
กำาหนดวิธีที่ใช้ในการรับส่งข้อมูล เช่น อาจจะเป็น
ในการสลับกันส่ง (Half Duplex) หรือการรับส่ง
ข้อมูลพร้อมกันทั้งสองด้าน (Full Duplex)
ข้อมูลที่รับส่งใน Layer ที่ 5 จะอยู่ในรูป dialog
หรือประโยคสนทนาโต้ตอบกันระหว่างด้านรับและ
ด้านส่งข้อมูล เช่น เมื่อได้รับข้อมูลส่วนแรกจากผู้ส่ง
16. OSI Model – Presentation Layer
Layer ที่ 6 Presentation Layer เป็นชั้นที่ทำา
หน้าที่ตกลงกับคอมพิวเตอร์อีกด้านหนึ่งในระดับชั้น
เดียวกันว่า การรับส่งข้อมูลในระดับโปรแกรม
ประยุกต์จะมีขั้นตอนและข้อบังคับอย่างไร
ข้อมูลที่รับส่งกันใน Layer ที่ 6 จะอยู่ในรูปแบบของ
ข้อมูลชั้นสูงมีกฎ (Syntax) บังคับแน่นอน เช่น ใน
การ copy ไฟล์จะมีขั้นตอนย่อยประกอบกัน คือ
สร้างไฟล์ที่กำาหนดขึ้นมาเสียก่อน จากนั้นจึงเปิดไฟล์
แล้วทำาการรับข้อมูลจากปลายทางลงมาเก็บลงใน
ไฟล์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ โดยเนื้อหาของข้อมูลที่ทำาการ
17. OSI Model – Presentation Layer
นอกจากนี้ Layer ที่ 6 ยังทำาหน้าที่แปลคำาสั่งที่ได้รับ
จาก Layer ที่ 7 ให้เป็นคำาสั่งระดับปฏิบัติการส่งให้
Layer ที่ 5 ต่อไป
18. OSI Model – Application Layer
Layer ที่ 7 Application Layer เป็นชั้นที่อยู่
บนสุดของขบวนการรับส่งข้อมูล ทำาหน้าที่ติดต่อกับ
ผู้ใช้ โดยจะรับคำาสั่งต่าง ๆ จากผู้ใช้ส่งให้
คอมพิวเตอร์แปลความหมาย และทำางานตามคำาสั่ง
ที่ได้รับในระดับโปรแกรมประยุกต์
เช่น การแปลความหมายของการกดปุ่มบนเมาส์ให้
เป็นคำาสั่งในการก๊อปปีไฟล์ หรือดึงข้อมูลมาแสดง
บนจอภาพ เป็นต้น
ซึ่งการแปลคำาสั่งจากผู้ใช้ส่งให้กับคอมพิวเตอร์รับ
ไปทำางานนี้ จะต้องแปลออกมาถูกต้องตามกฎ
(Syntax) ที่ใช้ในระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์
นั้นๆ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการก๊อปปี้ไฟล์เกิดขึ้นใน
19. OSI and
Communication Equipment
การรับส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์นั้น ทาง
ด้านผู้รับผู้ส่งจะต้องมีขบวนการการรับส่ง
ข้อมูลตาม OSI ครบทั้ง 7 ชั้น ระหว่างการส่ง
ข้อมูลผ่านเครือข่ายอื่น ๆ อาจมีอุปกรณ์เครือ
ข่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะเกี่ยวกับเพียง
3 ระชั้นล่าง คือ Layer ที่ 1, 2 และ 3
อุปกรณ์เครือข่ายจะมีดังนี้ Hub หรือ
Repeater , Switch หรือ Bridge , Router
, Gateway และ Layer-3 Switch
20. OSI and
Communication Equipment
Hub หรือ Repeater
เป็นอุปกรณ์ที่ทำาหน้าที่ขยายสัญญาณที่ได้รับ
มาส่งต่อให้กับอุปกรณ์อื่นที่ต่อเข้ากับเครือข่าย
เป็นอุปกรณ์ที่จัดอยู่ใน Layer ที่ 1 หรือ
Physical Layer ของ OSI Model ตัว Hub
หรือ Repeater นี้จะขยายสัญญาณได้โดย
ไม่มีการใช้ซอฟต์แวร์ จึงใช้งานได้ง่าย
21. OSI and
Communication Equipment
Switch หรือ Bridge
เป็นอุปกรณ์สำาหรับเชื่อมเครือข่ายสองเครือ
ข่ายเข้าด้วยกัน โดยจะต้องเป็นเครือข่าย
ประเภทเดียวกัน และใช้โปรโตคอลในการรับ
ส่งข้อมูลเหมือนกัน Switch หรือ Bridge จะมี
การทำางานในระดับ Data Link Layer ของ
OSI Model สามารถเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ที่ใช้
รับส่งข้อมูลเข้าด้วยกัน และตรวจสอบข้อผิด
พลาดของการรับส่งข้อมูล การติดตั้งใช้งาน
คล้ายกับการติดตั้ง Hub ไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์
22. OSI and
Communication Equipment
Router
เป็นอุปกรณ์สำาหรับเชื่อมต่อเครือข่ายหลาย ๆ
เครือข่ายเข้าด้วยกัน เช่น การเชื่อมต่อ
Ethernet LAN ที่ใช้รับส่งข้อมูลแบบ
Unshielded Twisted Pair (UTP) เข้ากับ
Ethernet อีกเครือข่ายหนึ่งที่ใช้สายแบบ
Coaxial Cable ได้ Router จะมีการทำางาน
ในระดับ Network Layer ของ OSI Model
สามารถรับส่งข้อมูลเป็น Frame เลือกเส้น
ทางการเดินทางของข้อมูล จึงทำาให้ Router
23. OSI and
Communication Equipment
Gateway
เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงสุดในการ
เชื่อมต่อเครือข่าย โดยสามารถเชื่อมต่อเครือ
ข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างกันได้ อีกทั้งยังทำา
หน้าที่เป็น Firewall เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่อยู่นอกเครือข่ายเข้ามาเชื่อมต่อ
ลักลอบนำาข้อมูลภายในองค์กรออกไปได้