Noise pollution
- 5. 2. ประเภทอยู่กับที่ ได้แก่
- สถานประกอบการต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม อู่ซ่อม
รถยนต์ โรงมหรสพ และสวนสนุก
- เสียงจากเครื่องมือกลที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น เครื่องเจาะ
คอนกรีต
- เครื่องขยายเสียงตามสถานที่ต่างๆ สถานที่เริงรมย์
- เสียงจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ภูเขาไฟ
ระเบิด
- 6. ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางเสียง
1. ผลกระทบต่อการได้ยิน แบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ
- หูหนวกทันที เกิดขึ้นจากการที่อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังเกิน 120 เดซิเบลเอ
- หูอื้อชั่วคราว เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีระดับเสียงดังตั้งแต่ 80 เดซิเบลเอขึ้นไปในเวลาไม่นานนัก
- หูอื้อถาวร เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีระดับความดังมากเป็นเวลานานๆ
2. ด้านสรีระวิทยา เช่น ผลกระทบต่อระบบการหมุนเวียนของเลือด ต่อมไร้ท่อ อวัยวะสืบพันธุ์ ระบบ
ประสาท และความผิดปกติของระบบการหดและบีบลาไส้ใหญ่ เป็นต้น
3. ด้านจิตวิทยา เช่น สร้างความราคาญ ส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อน ผลต่อการทางานและการ
เรียนรู้ รบกวนการสนทนาและการบันเทิง
4. ด้านสังคม กระทบต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทาให้ขาดความสงบ
5. ด้านเศรษฐกิจ มีผลผลิตต่าเนื่องจากประสิทธิภาพการทางานลดลง เสียค่าใช้จ่ายในการควบคุม
เสียง
6. ด้านสิ่งแวดล้อม เสียงดังมีผลต่อการดารงชีวิตของสัตว์ เช่น ทาให้สัตว์ตกใจและอพยพหนี
การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพิษทางเสียง
- 9. หูของมนุษย์ทั่วไป สามารถได้ยินเสียงที่มีความถี่ อยู่ในช่วงประมาณ 20 Hz ถึง 20,000 Hz (20kHz) และระดับความดันเสียง
(ความดัง) ที่อยู่ในช่วงระหว่าง 0 เดซิเบล (dB) ถึง 140 เดซิเบล ซึ่งเป็นระดับที่ทาให้มนุษย์เกิดความเจ็บปวด การเพิ่มขึ้นของ
ความดันเสียงที่ 1 เดซิเบลเป็นค่าที่ต่าที่สุดที่เราจะสามารถสังเกตความดังที่เพิ่มขึ้นได้ หากแต่ ผู้ฟังจะรู้สึกถึงความดังที่เพิ่มขึ้น
ได้อย่างชัดเจนต่อเมื่อระดับเสียงเพิ่มขึ้น 8 เดซิเบล
- 10. ดังนั้น ถ้ารอบตัวเรามีเสียงรบกวนที่ระดับ 70 เดซิเบลเอ (ริมถนนที่มี
การจราจรค่อนข้างคับคั่ง) เราจาต้องพูดด้วยความดังที่ 78 เดซิเบลเอ
(ตะโกน) เพื่อให้คู่สนทนาของเราได้ยินสิ่งที่เราพูดอย่างชัดเจน นั่นหมายถึงเรา
ต้องพูดดังกว่าเสียงพูดคุยปกติ(เสียงพูดคุยปกติของคนเราอยู่ที่ประมาณ 60
เดซิเบลเอ) ถึง 18 เดซิเบลเอ
เราอาจสับสนว่า เดซิเบล กับ เดซิเบลเอ ต่างกัน อย่างไร เหตุผล
อธิบายมีดังนี้ เนื่องจากธรรมชาติการได้ยินของมนุษย์ไม่ไว
ต่อความถี่ที่ต่ามากๆ และความถี่ที่สูงมากๆ ดังนั้นเพื่อให้การวัดเสียง
โดยเครื่องมือวัดสอดคล้องและเป็นตัวแทน การได้ยิน
ของมนุษย์ จึงต้องมีการถ่วงน้าหนัก (weighting filters) ที่ให้ผล
ใกล้เคียงกับหูของมนุษย์มากที่สุด คือ การถ่วงน้าหนักแบบ A
หรือ "A-weighting" แสดงค่าเป็น เดซิเบลเอ แปลง่ายๆ คือการไม่
นับรวมเสียงที่มีความถี่ต่ามากๆ และสูงมากๆ มาคานวณนั่นเอง
- 11. ระดับของเสียงที่เราได้ยินเป็นประจา
ประเภทของเสียง ความดังของเสียง (เดซิเบล เอ)
เสียงลมหายใจ 10
เสียงน้าหยดจากก๊อก 20
เสียงกระซิบ 30
เสียงตู้เย็น 40
เสียงดนตรีจากวิทยุเบา ๆ 50
เสียงการสนทนาธรรมดา 60
เสียงเครื่องตัดหญ้า 70
เสียงรถยนต์ 80
เสียงรถบรรทุก 90
เสียงขุดเจาะถนน 100
เสียงในโรงงานอุตสาหกรรม 60-120
เสียงค้อน เครื่องปั๊มโลหะ 120
เสียงเครื่องบินขึ้น 140
ที่มา : สุวรรณา, 2549.
- 13. 2. มาตรฐานระดับเสียงจากการจราจร
•ยานพาหนะทางบก กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม 2536 กาหนดให้ระดับเสียงรถยนต์และ
รถจักรยานยนต์ 1) วัดที่ระยะ 7.5 เมตร ต้องไม่เกิน 85 เดซิเบล เอ 2) วัดที่ระยะ 0.5 เมตร ต้องไม่เกิน
100 เดซิเบล เอ
•ยานพาหนะทางน้า กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม 2537 กาหนดให้วัดระดับเสียงเรือจอดอยู่
กับที่และเกียร์ว่าง 1) วัดที่ระยะ 0.5 เมตร ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล เอ
- 14. 3. มาตรฐานระดับเสียงโรงงานอุ ตสาหกรรม
•มาตรฐานของ ISO กาหนดให้ชั่วโมงทางาน 8 ชั่วโมง ระดับความดัง เสียงไม่เกิน 90 เดซิเบล เอ
•ถ้ามีระดับความดังเสียงเพิ่มขึ้น 3 เดซิเบล เอ ชั่วโมง การทางานลดลง ครึ่งหนึ่ง เช่น ระดับความดังเสียง 93
เดซิเบล เอ ทางานได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง