More Related Content
Similar to งานนำเสนอ (20)
งานนำเสนอ
- 2. องค์ประกอบ Java
• Java เป็นภาษาที่มีอิสระในเรื่องของรูปแบบ หมายความว่า ในการพิมพ์source code เรา
จะย่อหน้าหรือไม่ย่อหน้า จะวรรค 1 เคาะ หรือกี่เคาะ โปรแกรมก็ run ได้เหมือนเดิมทุกประการ ไม่
เชื่อก็จงทดลองกับโปรแกรม HelloWorld.java ดูก็ได้! แต่ท่านควรยึดแบบแผนที่ดี (หัวข้อ
ถัดไป)จะดีกว่า มิฉะนั้น จะไล่ดู ตรวจสอบ แก้ไขโค้ดลาบาก
• Java มีองค์ประกอบและไวยากรณ์คล้าย C และ C++
• Primitive Data Types มี boolean, byte, short, char, int, float
จงเลือกใช้ให้เหมาะสม โปรแกรมจึงจะทางานอย่างมีประสิทธิภาพ (รันเร็ว ไม่เปลืองเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์
ผลลัพธ์ถูกต้องเที่ยงตรง โดยเฉพาะทศนิยมด้วย ฯลฯ)
• Operators แต่ละคู่ต่อไปนี้ต้อง เขียน/พิมพ์ติดกัน:
==, !=, <=, >=, &&, ||
- 3. ลักษณะและไวยากรณ์ของ Java
Comments มี 3 แบบ
//
/* */
/** */
อันที่จริงเราไม่ใช้Comment เลยก็ได้เพราะมันเป็นแค่หมายเหตุ หรือคาอธิบายเท่านั้น คอมฯ ไม่
นามาประมวลผลเลย แต่สาหรับโปรแกรมเมอร์ระดับอาชีพ เขียนโปรแกรมใหญ่ๆ บางบรรทัด บาง
บล็อกของโค้ดที่สาคัญเขาจะทา Comment ไว้กันลืม ง่ายต่อการแก้ไขปรับปรุงใน 3 ปี 5 ปี
ข้างหน้า เป็นต้น หรือแม้แต่เจอ bug ในปัจจุบันก็จะหาสาเหตุของ bug ได้ง่ายขึ้น
• เครื่องหมายสาคัญ
; เรียกว่า statement separator
{ } เรียกว่า statement grouper
- 4. โครงสร้างคุมโปรแกรม
• การเขียนโปรแกรมเรียกว่า coding
• โปรแกรมประกอบด้วยหลายๆ statements (ประโยคคาสั่ง)
• แต่ละ statement สิ้นสุดด้วยเครื่องหมาย ; (semicolon)
• โดยทั่วไป โปรแกรมทางานอะไรก่อน อะไรหลัง ย่อมเป็นไปตามลาดับเดียวกันกับลาดับ
ของ statements ในโปรแกรมนั้น
• ในบางกรณีที่เราไม่ต้องการให้โปรแกรมทางานตามลาดับเดียวกันกับลาดับของ
statements เราก็ต้องใช้ if, if…else, switch…case, และ loops
เช่น for, while, do…while เพื่อเบี่ยงหรือข้ามบาง statements ไป
• การเขียน loops ถ้าเขียนไม่ถูกต้อง อาจ run วนไม่หยุด (เรียกว่า infinite loop)
จงกด Ctrl+C ให้หยุด แล้วแก้ไข Methods* (วิธีการ)
Method คือ บล็อกหรือกลุ่มของโค้ด สั่งให้คอมฯ กระทาอะไรสักอย่างคา Method
ในภาษา Java ตรงกับคา Function หรือ Procedure ในภาษาอื่นๆ
- 6. Intege
r
ตัวแปรแบบเลขจานวนเต็ม เช่น 1, 2, -8, 117
Floati
ng
ตัวเลขซึ่งเป็นจานวนทศนิยม เช่น 0.001, 8.5, -3.005
String ตัวแปรอักขระ ตัวอักษร หรือข้อความ โดยต้องอยู่ภายใต้เครื่องหมาย Double Quote (”
“) เช่น “MWIT”
Array เก็บค่าตั้งแต่ 1 ค่าขึ้นไปไว้ในชื่อตัวแปรเดียวกัน โดยมี index เป็นตัวระบุตาแหน่งของแต่ละ
ข้อมูล
Object กาหนดให้ตัวแปรนั้นเก็บคุณสมบัติของ Object ไว้โดยใช้ชื่อ Class เป็นตัวกาหนด ชนิด
ข้อมูลประเภทนี้
ชนิดข้อมูล
- 9. METHODแสดงผลทางจอพื้นฐาน
ในตัวอย่างต่อไปนี้ จะเป็นตัวอย่างการใช้method print และ println โดย method print
จะแสดงผล method ต่อไปจะยังอยู่ในบรรทัดเดิม และ method println จะทาให้การแสดงผล
ใน method ต่อไปแสดงผลขึ้นบรรทัดใหม่
ตัวอย่าง example1.java
public class example1 {
public static void main(String[] args) {
System.out.println(“Hello World.”);
System.out.print(“Hello World. “);
System.out.print(“My”);
System.out.print(” name”);
System.out.print(” is”);
System.out.print(” JAVA.”);
}
}
- 10. คลาส String
ภาษาจาวาได้กาหนดคลาสๆหนึ่งมาให้แล้วชื่อว่า String ประกอบด้วยเมธอดและคอนสตรักเตอร์มากมายให้ใช้งาน ซึ่งส่วน
ใหญ่จะเกี่ยวข้องกับข้อมูลประเภทข้อความเป็นส่วนใหญ่ การประกาศตัวแปรอ้างอิงสาหรับคลาส String ทาได้ดังนี้
String str1 ;
สมมุติว่าเราต้องการให้อินสแตนท์ของคลาส String เก็บค่าคงตัวแบบข้อความว่า“Hello World” เราทาได้ด้วยการ
เรียกคอนสตรักเตอร์ดังนี้
str1 = new String(“Hello World”) ;
คอนสตรักเตอร์ของคลาส String มีการส่งผ่านตัวแปรแบบค่าคงตัวซึ่งก็คือค่าที่เราต้องการเก็บนั่นเอง คอนสรักเตอร์แบบ
ไม่มีการส่งผ่านค่าก็มีเช่น
str1 = new String() ;
วิธีกาหนดค่าอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นแบบที่นิยมใช้มากกว่าถึงแม้จะผิดหลักของการกาหนดค่าตัวแปรคลาสคือ การจับตัวแปร
อ้างอิงแบบสตริงให้เท่ากับค่าคงตัวแบบข้อความเลยดังนี้
str1 = “Hello World” ;
ซึ่งถ้าพิจารณาตามหลักการแล้วไม่น่าจะจับให้เท่ากับค่าคงตัวได้ แต่สาหรับคลาส String แล้วเป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะดัง
ตัวอย่างต่อไปนี้
//TestString01.java
public class TestString01 {
public static void main(String[] args) {
String str = “Hello World” ; // (1)
System.out.println(str) ;
}
}
- 11. เมธอดและคอนสตรักเตอร์ของคลาสString ที่น่าสนใจ
int length() เมธอดนี้จะคืนค่าเป็นตัวแปรจานวนเต็มซึ่งมีความยาวเท่ากับความยาวของค่าคงตัวที่เก็บอยู่
char charAt(int idex) เมธอดนี้จะรับค่าเป็นเลขจานวนเต็มแล้วคืนค่าเป็นตัวแปนแบบตัวอักษรซึ่ง
เท่ากับตัวอักษรในลาดับที่เท่ากับตัวเลขจานวนเต็มนั้นในข้อความ
เพื่อให้เข้าใจการใช้สองเมธอดนี้ เราจะมาดูตัวอย่างดังต่อไปนี้
//TestString02.java
public class TestString02 {
public static void main(String[] args) {
String str = new String(“Hello World”) ;
System.out.println(“str is ” + str.length()+” letter long”) ;
System.out.println(“the fourth letter is “+str.charAt(3)) ;
}
}
- 12. เมธอดรับข้อมูลพื้นฐาน
เมธอด toString() ใช้สาหรับแปลงหรือแทนข้อมูลใน object ให้อยู่ในรูปของ String เพื่อ
ความสะดวกในการ debug หรือนาข้อมูลใน object ไปแสดงผล
เมธอด toString กาหนดไว้ในคลาส Object ซึ่งเป็นคลาสบนสุด เพื่อให้คลาสต่างๆ รับทอดไป
ใช้เมธอด toString() ในคลาส Object จะแสดงชื่อคลาสและที่อยู่ของอ๊อบเจ็กท์ เราอาจ
override เมธอดนี้โดยเขียนเมธอดนี้ขึ้นมาเองในคลาสของเราเพื่อใช้แปลงหรือแทนข้อมูลต่างๆ ให้
อยู่ในรูปของ String ที่มีความหมายเหมาะกับแต่ละคลาสเพื่อความสะดวกในการนาไปใช้งาน จะ
เอาข้อมูลอะไรในอ๊อบเจ็กท์มาแปลงให้เป็น String บ้างก็เป็นเรื่องของผู้เขียนคลาสนั้นๆ (ดูตัวอย่าง
ได้จากตัวอย่างโปรแกรมที่เคยเขียนให้ดู)
ส่วนเมธอด valueOf(…) เป็น เมธอดของคลาส (static method) ซึ่งกาหนดไว้ในคลาส
String ใช้สาหรับแปลงข้อมูลพื้นฐานชนิดต่างๆ ให้เป็น String เมธอดนี้ถูก overload ให้รับ
พารามิเตอร์ได้หลายประเภท ซึ่งจะมีประโยชน์ในการแปลงข้อมูลพื้นฐานประเภทต่างๆ ให้เป็น
String โดยสะดวกนั่นเอง
ข้อแตกต่าง
เมธอด toString สามารถใช้ได้ในทุกคลาส เนื่องจากรับทอดมาจากคลาสบนสุดคือ Object เมธ
อดนี้อาจถูก override เพื่อให้แปลงข้อมูลที่จาเพาะเจาะจงสาหรับแต่ละคลาสได้ คลาสที่
override เมธอดนี้มักจะให้ข้อมูลที่ชัดเจนเป็นประโยชน์ String ที่ได้อาจเป็นผลมาจากข้อมูล
หลายตัวใน object ของคลาสนั้นๆ ในการพิมพ์ด้วยเมธอด print() หรือ println() ถ้าส่ง อ๊อบ
เจ็กท์เข้าไปเป็นพามิเตอร์ คอมไพเลอร์จะเรียกเมธอด toString() เพื่อแปลงข้อมูลของอ๊อบเจ็กท์นั้น
ให้อยู่ในรูปของ String เสียก่อนแล้วจึงนาไปแสดงผล
- 14. สมาชิกผู้จัดทา
นายพงษ์พัชร์ สาระ เลขที่ 7 ม.6/3
นายชูพงษ์ รอดดี เลขที่ 14 ม.6/3
นายสิรภพ คมขา เลขที่ 15 ม.6/3
นางสาวกัลยา ปุณณะการี เลขที่ 29 ม.6/3
นางสาวธีรกานต์ เดชากัลยาณคุณ เลขที่ 30 ม.6/3