ระบบภาพดิจิตอล จัดทำโดย นางสาวชนิตา  พัชนะ  เลขที่  15 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  6/1
ระบบภาพดิจิตอล การทำงานของกล้อง ความละเอียดของภาพ ทางยาวโฟกัสเลนส์ สื่อแสดงผล - พิมพ์ White  Balance ประเภทไฟล์ภาพ ระบบบันทึกภาพ หน่วยบันทึกข้อมูล พลังงานที่ใช้
    การใช้กล้องดิจิตอลอาจมีความยุ่งยากในการใช้งานบ้างตอนต้น     แต่เมื่อคุ้นเคยกับมันดีแล้ว    กล้องดิจิตอลจะให้ความสะดวกพอสมควรทีเดียว    และยิ่งในปัจจุบันนี้ที่ราคาของกล้องดิจิตอลในท้องตลาดมีราคาต่ำลงเป็นอย่างมาก    ทำให้มีคนสนใจหันมาซื้อกล้องดิจิตอลกันมากขึ้น    ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ซื้อนิยมดูกันที่รุ่นใหม่ๆ และความละเอียดที่สูงๆ    เป็นหลัก    ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วกล้องดิจิตอลมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปมากกว่านั้นมาก และรุ่นใหม่ๆ หรือความละเอียดสูงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเสมอไปก็ได้      สิ่งหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจในกล้องดิจิตอลที่ควรทำใจไว้ตั้งแต่ตอนซื้อคือ เมื่อตัดสินใจซื้อแล้ว ก็อย่าย้อนกลับไปมองดูราคาอีก    เพราะกล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะตกรุ่นเร็วมาก  ( มากๆ )    แม้ในปัจจุบันจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น    แต่ราคาก็นับว่าตกลงอย่างน่าใจหายในบางรุ่น    ดังนั้นในการซื้อกล้องดิจิตอลจึงควรดูให้ดี    เลือกให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน     ดีกว่าที่จะเลือกตามรุ่นหรือสมัยนิยม    เพราะระยะเวลามันสั้นนัก อาจอยู่เพียง  2  -  4   เดือนเท่านั้น  
 
ข้อด้อยหลักของกล้องดิจิตอลเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องราคา    แม้ว่าราคาของกล้องจะถูกลงมามากแล้ว    แต่อุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมก็ยังนับว่ามีราคาสูงอยู่พอสมควร     หากว่าใช้งานในระยะยาวราคาต้นทุนอาจเฉลี่ยลงไปเรื่อยๆ ทำให้ประหยัดกว่าฟิล์มได้    แต่สำหรับท่านที่ใช้งานไม่มากนัก แม้จะไม่ได้รับประโยชน์ในด้านนี้เท่าไหร่แต่ก็สามารถอัดภาพมาดูได้ไม่ต้องรอให้ถ่ายหมดม้วนเหมือนฟิล์ม     ในปัจจุบันนี้การอัดภาพดิจิตอลมีราคาต่ำลงและยังหาสถานที่อัดภาพได้ง่ายไม่เหมือนสมัยก่อนๆ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้องดิจิตอลในปัจจุบันค่อนข้างจะซื้อง่าย    ( แต่ขายไม่คล่องนัก )      อีกสิ่งหนึ่งที่พึงระวังไว้ในการซื้อกล้องดิจิตอลคืออย่าดูราคาโปรโมชั่นมากนัก    เพราะกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ จะมีราคาต่ำกว่ารุ่นที่ออกมาสมัยก่อน ดังนั้นจึงมีการนำมาลดราคากันค่อนข้างมากเมื่อมีรุ่นใหม่ๆ ออกมา    ราคาที่ลดลงมากๆ นี้บางครั้งก็ค่อนข้างดึงดูดความสนใจได้มาก    แต่อย่าลืมว่ากล้องดิจิตอลเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยตรง การซื้อรุ่นเก่าที่ราคาต่ำลง ควรนำมาเทียบกับรุ่นใหม่ในสเปคที่ใกล้เคียงด้วย เพื่อจะได้เห็นข้อเปรียบเทียบที่เด่นชัด    อย่าไปมองเพียงส่วนลดที่ดูน่าสนใจ     ไม่เช่นนั้นคุณอาจต้องผิดหวังกับสิ่งที่ซื้อมาก็ได้    เพราะการขายเป็นกล้องมือสองสำหรับกล้องดิจิตอลแล้วค่อนข้างยากและไม่คุ้มทุนจริงๆ
 
ระบบภาพดิจิตอล
กล้องดิจิตอลใช้ตัวรับภาพในการบันทึกภาพแทนฟิล์ม    ซึ่งบนตัวรับภาพจะประกอบด้วยตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ หลายแสนหลายล้านชิ้นเรียกว่า พิกเซล  (pixel)   หนึ่งตารางสี่เหลี่ยมจะมีสีเพียงสีเดียวเท่านั้น     ตารางสี่เหลี่ยมที่ประกอบรวมเป็นภาพดิจิตอลภาพหนึ่งนั้นมีขนาดเล็กมากๆ เราจึงดูไม่ออกว่าภาพเหล่านั้นที่จริงแล้วคือการเรียงต่อกันของตารางสี    หากเราเปิดภาพดิจิตอลในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วใช้แว่นขยายส่องดูจะเห็นตารางสีสี่เหลี่ยมได้อย่างชัดเจน      การเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบของตารางสีเหล่านี้เป็นเสมือนแผนที่ของตารางสี    ซึ่งเป็นที่มาของชื่อภาพประเภทนี้ซึ่งเรียกว่าเป็นภาพ บิทแม็พ  (Bit Map)
 
คุณภาพของภาพดิจิตอลไม่ว่าจะเป็นภาพที่นำไปอัด หรือแสดงบนจอมอนิเตอร์จะขึ้นอยู่กับข้อมูลของภาพที่มีอยู่    หรืออีกนัยหนึ่งก็คือขึ้นอยู่กับจำนวนของพิกเซลที่มีอยู่บนตัวรับภาพ     จำนวนพิกเซลที่มากขึ้นหมายถึงรายละเอียดของข้อมูลภาพที่สูงขึ้น    ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดีขึ้นไปด้วย  ( เมื่อนำไปอัด  -  ขยาย )      เราวัดจำนวนของพิกเซลในภาพดิจิตอลโดยการนำเอาจำนวนของพิกเซลแนวตั้งคูณกับจำนวนของพิกเซลแนวนอน    ซึ่งค่าที่ได้ก็คือค่าความละเอียดของกล้องดิจิตอลที่เรารู้จักกันว่า    กล้องตัวนี้  3   ล้าน     กล้องตัวนี้  5   ล้าน หรือกล้องตัวนี้  6   ล้านเป็นต้น     
 
   ภาพขนาด  1600   x  1200  = 1,920,000  พิกเซล    หรือเป็นความละเอียดสูงสุดที่สุดที่กล้องดิจิตอล  2   ล้านพิกเซลสามารถบันทึกได้      ความละเอียดของกล้องดิจิตอลที่ระบุไว้จะดูที่ความละเอียดสูงสุดที่กล้องสามารถบันทึกได้เท่านั้น     ( นอกจากกล้องบางรุ่นที่ระบุความละเอียดโดยใช้หลักการของการประมวลผลและเพิ่มข้อมูลให้กับภาพ )
การทำงานของกล้องดิจิตอล
กล้องดิจิตอลมีหลักการในการทำงานคล้ายๆ กับกล้องที่ใช้ฟิล์มทั่วๆ ไป    กล้องดิจิตอลมีเลนส์    มีตัวรับภาพ ( ดิจิตอลฟิล์ม )    ส่วนที่ใช้ในการควบคุมการบันทึกภาพ    ส่วนที่เพิ่มเข้ามาในกล้องดิจิตอลใหญ่ๆ สองส่วนคือส่วนของจอ  LCD  สำหรับดูภาพเมื่อบันทึกเสร็จ    และส่วนของหน่วยบันทึกข้อมูล  (memory card)   สำหรับบันทึกข้อมูลภาพที่ต้องการเก็บ  ( หากไม่ลบทิ้ง )      การทำงานในส่วนของการบันทึกภาพนั้นใกล้เคียงกับกล้องใช้ฟิล์ม     ส่วนที่แตกต่างกันคือระบบการควบคุมคุณภาพของภาพ ซึ่งได้รวมเอาขึ้นตอนการแต่งภาพ การปรับโทนสีของภาพ การอัด - ขยายภาพมาให้ผู้ใช้เป็นผู้เลือกควบคุม  ( ในกรณีที่ต้องการ มิเช่นนั้นสามารถเลือกให้กล้องทำให้แบบอัตโนมัติได้     ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างกล้องดิจิตอลและกล้องใช้ฟิล์มคือ
กล้อง  35   มม .  ที่ใช้ฟิล์ม
-   ฟิล์มทำหน้าที่เป็นตัวรับ  -  บันทึกภาพ     เปลี่ยนยี่ห้อ รุ่น    ค่าความไวแสง ได้ตามต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท -   ภาพที่บันทึกได้ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี  ( การล้างภาพที่แล็ป ) ก่อนจึงจะสามารถดูภาพได้ -   ขั้นตอนการล้าง  -  อัด  -  ขยายภาพจะเป็นหน้าที่ของแล็ปที่ส่งฟิล์มไป  ( คุณภาพขึ้นอยู่กับศูนย์บริการเป็นสำคัญ )  -   ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยในการทำงาน
กล้องดิจิตอล
-   ตัวรับภาพหรือ    Image Sensor  ทำหน้าที่เป็นตัวรับภาพ เป็นส่วนหนึ่งของกล้องดิจิตอลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้     ที่มีใช้กันอยู่ในกล้องดิจิตอลทั่วไปจะแบ่งเป็น  CCD  และ  CMOS   ที่นิยมใช้กันทั่วไปจะเป็น  CCD -   กล้องดิจิตอลใช้   Image Sensor  เป็นตัวรับภาพ ในขณะที่ใช้  memory card  เป็นตัวเก็บข้อมูลภาพ  ( บางรุ่นมีหน่วยบันทึกในตัวให้ด้วยประมาณ  8MB)  ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ควรมีความสัมพันธ์กัน -   สามารถเห็นภาพได้ทันทีผ่านทางจอ  LCD  เพราะกล้องจะประมวลผลข้อมูลภาพทันที ไม่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี
-   ขั้นตอนการล้าง  -  อัดอยู่ในหน่วยประมวลผลของกล้อง    การควบคุมสี    ขนาดและคุณภาพของภาพอยู่ที่ผู้ใช้งานที่ต้องสั่งงานกล้องตั้งแต่ก่อนบันทึก  -   มีฟังชั่นการบันทึกแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการบันทึกภาพนิ่ง  -   ใช้พลังงานเป็นหลักในการทำงานของกล้องตั้งแต่เริ่มเปิดกล้องไปจนถึงการเก็บข้อมูล
ความละเอียดของภาพดิจิตอล  ภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียดสูง  ( จำนวนพิกเซลที่มากกว่า )    จะมีข้อมูลภาพมากกว่า    จึงสามารถนำไปอัด  -  ขยายได้ใหญ่กว่า     คุณภาพของภาพถ่ายดิจิตอลทุกประเภทจึงมีความสัมพันธ์กันระหว่างขนาดของความละเอียดที่เลือกใช้ในการบันทึกภาพ และขนาดของภาพพิมพ์ที่เราสามารถนำไปอัด  -  ขยายได้      ตัวอย่างเช่นภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียด หรือ  resolution  ที่  1600   x 1200   สามารถนำไปอัด - ขยายได้ใหญ่กว่าภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียด  1024 x 768  ทั้งนี้วัดจากพื้นฐานที่ระบบการบันทึกภาพเป็นแบบเดียวกัน     เนื่องจากกล้องดิจิตอลในท้องตลาดมีอยู่มากมายหลายชนิด    แต่ละชนิดก็มีระบบการทำงานรวมไปถึงวัสดุที่ใช้แตกต่างกัน    ทำให้คุณภาพของภาพที่บันทึกได้มีความคมชัด    โทนสี หรือคอนทราสของภาพที่แตกต่างกัน     แต่เมื่อพูดถึงส่วนของความละเอียดของภาพดิจิตอลแล้ว    หัวใจหลักจะอยู่ที่ขนาดภาพสำเร็จที่ต้องการใช้งานเป็นหลักใหญ่
ตัวอย่างภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดที่แตกต่างกัน จะมีผลทำให้สามารถนำไปอัด - ขยายได้ขนาดแตกต่างกัน
หลักง่ายๆ ในเรื่องของความละเอียดหรือ  resolution  ของภาพดิจิตอลก็คือ    หากเราเลือกบันทึกภาพที่ความละเอียดต่ำ    แต่ต้องการนำภาพไปขยายให้ใหญ่เท่ากับภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดสูง    คุณภาพของภาพที่ได้ก็จะต่ำลง    หากอัตราการขยายไม่สูงนัก ก็จะมีผลต่อภาพไม่มากนัก    แต่หากเราขยายขึ้นไปมากๆ ภาพที่ได้ก็อาจจะขาดรายละเอียดซึ่งมีผลทำให้ดูไม่ชัดไปได้      แต่ไม่ใช่ว่าภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดที่ต่ำจะมีสีสัน ความคมชัดของภาพ    สู้ภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดสูงไม่ได้    ส่วนที่แตกต่างกันมีเพียงเรื่องของขนาดภาพสำเร็จที่อัดไว้ใช้เท่านั้น      เรื่องสีสัน    ความคมชัด คอนทราสของภาพ ควมไปถึงโทนสีโดยรวมของภาพดิจิตอลนั้น    เกี่ยวข้องกับระบบการทำงานโดยรวมของหน่วยประมวลผลของกล้อง    ไม่ใช่เพียงแค่ความละเอียดของตัวรับภาพเท่านั้น
เวลาที่เราดูบนหน้าจอ  LCD  ด้านบนเมื่อปรับในเรื่องความละเอียดของภาพ    ส่วนใหญ่แล้วกล้องเดี๋ยวนี้จะให้เลือกควบคู่กันไปโดยเรียกว่า  Image Quality   โดยจะสลับกันไปมาระหว่างขนาด  -  ระดับการบีบอัด    ซึ่งจะมีผลทำให้จำนวนของภาพที่สามารถบันทึกลงในการ์ดแตกต่างกันออกไป    ซึ่งบางครั้งกล้องจะไม่ได้ระบุเป็นค่าตัวเลขความละเอียดให้เราแต่จะบอกเป็น  L  ( large),  M (medium),  S (small) หรือบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน    ดังนั้นเราจึงควรจะทำความคุ้นเคยกับกล้องที่ใช้ก่อนว่าความละเอียดเท่าใดที่กล้องใช้สำหรับเรียก  L, M, S   เพราะเราไม่จำเป็นต้องใช้ค่าหนึ่งค่าใดบันทึกภาพทุกภาพ    ในขณะเดียวกันการเลือกที่ผิดก็อาจให้ผลไม่ได้ตามที่เราต้องการ   
ทางยาวโฟกัสของเลนส์ในกล้องดิจิตอล
    ตัวรับภาพที่ใช้ในกล้องดิจิตอลมีขนาดไม่มาตรฐานเหมือนฟิล์มที่เราใช้กัน  ( ฟิล์ม  35 มม .  มีขนาดเท่ากับ  24   x 36   มม .)    และตัวรับภาพที่ใช้กันอยู่ในกล้องดิจิตอลทั่วไปก็มีใช้กันอยู่หลายขนาด    เริ่มตั้งแต่เล็กเพียง  3   x 4 มม .    ไปจนถึงขนาดเท่าฟิล์ม    ทำให้กล้องดิจิตอลมีความละเอียดในการบันทึกภาพแตกต่างกัน    และการที่ตัวรับภาพมีขนาดที่ต่างกันทำให้เลนส์ของกล้องซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรวมแสงให้ผ่านเข้าไปตกยังตำแหน่งของตัวรับภาพมีทางยาวโฟกัสที่ต่างกัน    ( ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวรับภาพ )    ทางยาวโฟกัสที่เราคุ้นเคยกันดีนั้นเป็นทางยาวโฟกัสที่เทียบในฟอร์แมทของกล้อง  35 มม .    แต่ในเมื่อตัวรับภาพของกล้องดิจิตอลมีขนาดเล็กกว่าฟิล์มมาก  ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกล้องคอมแพค )     ทำให้ทางยาวโฟกัสจริงของเลนส์ในกล้องดิจิตอลมีตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับทางยาวโฟกัสมาตรฐาน    ทำให้ผู้ผลิตระบุทางยาวโฟกัสเป็นจำนวนเท่ามาให้ดูคู่ไปกับทางยาวโฟกัสจริง    กล้องรุ่นใหม่ๆ บางรุ่นจะเขียนเป็นทางยาวโฟกัสเทียบเท่ามาให้เพื่อความสะดวก    ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังเขียนเป็นค่าจริงอยู่   
    ทางยาวโฟกัสของกล้องคอมแพคจะเริ่มต้นอยู่ที่ระหว่าง  4.5  -  8   มม .    เมื่อเทียบกับค่าทางยาวโฟกัสของกล้องในฟอร์มแมท 35 มม .    แล้วจะเริ่มที่ระหว่าง  37  -  43 มม ซึ่งให้องศาการรับภาพใกล้เคียงกับเลนส์มาตรฐาน    หากเป็นเลนส์ซูม    ส่วนใหญ่จะบอกค่าทางยาวโฟกัสเป็นจำนวนเท่า หรือ  X  เท่า    เช่น  3X  หมายถึง  3   เท่า    หากเริ่มที่  37 มม .  ก็จะเท่ากับมีทางยาวโฟกัสอยู่ในช่วง  37  -  111 มม .  เป็นต้น  
กล้องดิจิตอลบางรุ่น  ( โดยเฉพาะขนาดเล็กๆ )  อาจมีค่าทางยาวโฟกัสเดียว ซึ่งหมายถึงว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนองศาการรับภาพได้   *    หากต้องการเปลี่ยนมุมมอง ต้องขยับไปข้างหน้าหรือถอยหลังเป็นต้น    กล้องประเภทนี้จะระบุค่าการซูมภาพมาให้โดยทั่วไปจะเป็น  2x  หรือ  2   เท่า แต่จะไม่สามารถระบุที่หน้าเลนส์ได้ เพราะเป็นการซูมภาพโดยใช้โปรแกรมการทำงานของกล้องไม่ใช่การซูมจริงของเลนส์    ซึ่งจะให้ภาพที่มีคุณภาพด้อยกว่าการซูมด้วยเลนส์จริง  
  Optical Zoom - Digital Zoom     ระบบการซูมภาพของเลนส์ในกล้องดิจิตอลมีอยู่  2   ระบบ   คือระบบ  Optical Zoom   และ  Digital Zoom    ซึ่งระบบ  Optical Zoom  จะเป็นซูมด้วยเลนส์จริง    ในขณะที่ระบบการซูมภาพแบบ  Digital Zoom  นั้น จะเป็นการตัดภาพในส่วนที่แสดงช่วงการซูมไว้    แล้วนำมาประมวลผลในกล้อง  -  ขยายให้ใหญ่ขึ้น    ทำให้เมื่อดูจากจอ  LCD  ดูเหมือนว่าเป็นการซูมภาพจริงๆ    ทั้งนี้พัฒนาการของ  Digital Zoom  นับว่าดีขึ้นมากแล้วในกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ    แต่หากว่าเทียบกับการซูมภาพด้วยเลนส์ที่มีคุณภาพดีแล้วก็ยังเทียบกันไม่ได้     กล้องส่วนใหญ่จะมีฟังชั่นของ  Digital Zoom   เป็นของแถมมาให้    ในขณะที่บางรุ่นเน้นโฆษณาในส่วนนี้มาก    การเลือกความสามารถของกล้องควรดูด้วยค่าการซูมจริง หรือ  Optical Zoom  ของกล้องเป็นหลักดีกว่า     * ดูเรื่ององศาการรับภาพเพิ่มเติมได้ที่หลักการถ่ายภาพ
ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อแสดงผลที่นำภาพดิจิตอลไปใช้
เนื่องจากภาพดิจิตอลคือข้อมูลของตารางสีสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่นำมาเรียงต่อกัน    ดังนั้นขนาดของภาพดิจิตอลเมื่อนำไปแสดงผ่านสื่อต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับประเภทของสื่อที่เราต้องการนำภาพไปแสดงด้วย     ภาพดิจิตอลที่ถ่ายด้วยความละเอียดเท่ากัน    หากนำไปแสดงผ่านจอมอนิเตอร์ จะดูมีขนาดใหญ่    แต่หากนำไปพิมพ์แล้วอาจได้ขนาดเล็กนิดเดียว     สิ่งที่แตกต่างกันคือความละเอียดที่สื่อแต่ละอย่างต้องการไม่เหมือนกัน     การแสดงภาพดิจิตอลบนหน้าจอมอนิเตอร์ต้องการความละเอียดเพียง  72  -  95   พิกเซลต่อตารางนิ้ว    ในขณะที่การพิมพ์ภาพดิจิตอลตามแล็ปหรือจากเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับพิมพ์ภาพ จะอยู่ที่  200  -  300   พิกเซลต่อตารางนิ้ว     เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ควรจะได้      ดังนั้นการถ่ายภาพสำหรับส่งอีเมล์ กับการถ่ายภาพเพื่ออัด หรือเพื่อขยายจึงต้องใช้ความละเอียดในการบันทึกที่แตกต่างกัน     เพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ  
 
ดังจะเห็นได้จากภาพว่า    ภาพถ่ายดิจิตอลที่ความละเอียด  1600   x 1200   พิกเซล    สามารถมีขนาดตั้งแต่ประมาณ  5   x  4   นิ้ว    ไปจนถึง  22 x 16  นิ้ว     แต่ไม่ใช่ว่าเราสามารถนำภาพดิจิตอลไปอัดขยายได้ใหญ่ขนาดนั้น    แต่ว่าเป็นความแตกต่างและความต้องการของสื่อที่ใช้แสดงผลที่ไม่เท่ากัน    หากเราต้องการพิมพ์ ความละเอียดของภาพจะได้ประมาณ  4   x 6"   หรือ  5   x 7"   ในขณะที่หากเรานำมาแสดงผ่านทางจอมอนิเตอร์    ภาพจะดูใหญ่เกินจอ  ( ล้นจอ )    แต่ที่เราเห็นไม่เต็มจอเป็นเพราะภาพนั้นถูกสเกลให้เล็กลง    ให้ลองสังเกตที่หัวมุมด้านบนซ้ายของภาพจะบอกว่าภาพนั้นๆกำลังแสดงอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์    หากเราดูที่  100   %   เราจะต้องใช้แถบ  cursor  เลื่อนขึ้นลง หรือซ้ายขวา    เนื่องจากว่าภาพมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จอมอนิเตอร์จะแสดงได้เต็มนั่นเอง  
กล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดหนึ่งล้านต้นๆ ไปจนถึงห้าหกล้านพิกเซล    จะมีระดับของความละเอียดให้ผู้ใช้เลือกบันทึกได้ตามความเหมาะสมของงานที่จะนำไปใช้     เนื่องจากความละเอียดที่สูงหรือต่ำเกินไปจะมีผลต่อคุณภาพของภาพที่สามารถนำไปใช้งานได้     ดังนั้นการเลือกความละเอียดที่ใช้ในการบันทึกก็คือการออกคำสั่งกับกล้องว่าเราต้องการภาพนั้นๆ สำหรับวัตถุประสงค์อะไร     ความละเอียดที่สูงเกินจำเป็น ทำให้ได้ไฟล์ภาพที่ใหญ่เปลืองพื้นที่ของหน่วยบันทึกข้อมูล    ใช้เวลาในการเปิดไฟล์นานในคอมพิวเตอร์     ในขณะที่ภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดที่ต่ำเกินไปจะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงเมื่อนำไปอัด  -  ขยายเกินขอบเขตที่มันสามารถทำได้     ระดับความละเอียดที่เราสามารถเลือกได้สำหรับกล้องดิจิตอลทั่วไปจะเริ่มต้นที่ความละเอียดตั้งแต่  640   x 480   ไปจนถึงระดับ  3072   x 2048   หรือสูงกว่านี้ในปัจจุบัน    ที่ระดับความละเอียดของกล้องได้พัฒนาเพิ่มขึ้นไปอย่างมาก    ทั้งนี้ไม่ว่ากล้องจะมีความละเอียดกี่ล้านพิกเซลก็ตาม    จะต้องมีความละเอียดให้เลือกสำหรับบันทึกเพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้    แต่ถ้าผู้ใช้ไม่เข้าใจหรือเลือกใช้ผิดวัตถุประสงค์    ผลลัพธ์อาจไม่ดีตามที่ต้องการก็ได้
3072   x 2048 ระดับ  6   ล้านพิกเซล 2592 x  1944 ระดับ  5   ล้านพิกเซล 2272 x 1704 ระดับ  4   ล้านพิกเซล 2048   x  1536 ระดับ  3   ล้านพิกเซล 1600   x 1200 ระดับ  2   ล้านพิกเซล 1280   x 960 ระดับ  1   ล้านพิกเซล ความละเอียดภาพนิ่งสูงสุด ที่กล้องสามารถบันทึกได้   ( โดยประมาณ ) ความละเอียดของกล้อง  ( โดยประมาณ )
การปรับสมดุลย์สีขาว  -   White Balance
การปรับตั้งค่าสมดุลย์สีขาวหรือ  White Balance  เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในเรื่องของโทนสีโดยรวมของภาพดิจิตอล     กล้องดิจิตอลต้องอาศัยค่าสีขาวที่เราเลือกก่อนการบันทึกเพื่อใช้อ้างอิงในการคำนวณหาค่าสีโดยรวมของภาพ     หากเจาะลึกในรายละเอียดอาจยุ่งยากเนื่องจากเป็นเรื่องทางเทคนิคพอสมควรสำหรับผู้ที่ไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้     ดังนั้นจะขออธิบายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงเลยคือ    แสงที่เราเห็นนั้นจะมีโทนสีที่ต่างกัน    นั่นหมายถึงว่าแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ ที่มีอยู่นั้นจะมีโทนสีที่แตกต่างกัน แม้แสงพระอาทิตย์ตั้งแต่เช้า  -  เย็นก็ยังแตกต่างกัน  ( หรือเฉพาะเวลามีแดด กับไม่มีแดดก็ได้ )   
สภาพแสงต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกแบ่งเป็นอุณหภูมิสีของแสง    ( องศาเคลวิน หรือ  Kelvin)     อุณหภูมิสีของแสงคือเฉดสีที่จะอมออกมาซึ่งจะส่งผลกับการมองเห็นวัตถุต่างๆ ของเรา    เช่นในเวลากลางคืนหากอยู่ในห้องมืดๆ แล้วจุดเทียนไขขึ้นมาเล่มหนึ่ง    ให้แสงเทียนส่องไปที่ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ใบหน้านั้นจะมีสีอมส้มเหลือง    คล้ายๆ กับการนั่งอยู่ในห้องอาหารที่เปิดไฟหลอดไส้สลัวๆ ซึ่งใบหน้าทุกคนจะมีโทนสีอมส้มเหลือง    รวมไปถึงวัตถุอื่นๆ ในห้องด้วย    แต่หากเป็นห้องอาหารที่เปิดไฟหลอดนีออนทั่วไปโทนสีของใบหน้าและวัตถุต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป     ในขณะเดียวกันในเวลาที่อยู่กลางแจ้งหากลองสังเกตดูใบไม้เวลาที่ท้องฟ้ามีเมฆมากเราจะเห็นใบไม้เป็นสีเขียวทึมๆ ในขณะที่เวลามีแสงแดดส่องกระทบใบไม้จะมีสีที่สว่างขึ้น      ที่จริงโทนสีของสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นในชีวิตประจำวันในแต่ละสถานที่    แม้กระทั่งในบ้าน ในห้องต่างๆ ซึ่งใช้แหล่งกำเนิดแสงต่างกันนั้น    จะมีความแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่แหล่งกำเนิดแสงนั้นๆ    แต่เนื่องจากคนเราใช้ความคุ้นเคยหรือความจำมามีส่วนในการมองทำให้เราตัดความแตกต่างเหล่านั้นออกไป    แต่เมื่อเราบันทึกภาพด้วยฟิล์มหรือกล้องดิจิตอลนั้น     ปัญหาของโทนสีที่แตกต่างเหล่านี้จะแสดงผลออกมาค่อนข้างชัดทีเดียว    
 
เวลาที่ใช้ฟิล์มในการบันทึกภาพ    เราจะคุ้นเคยกันดีกับภาพที่มีสีอมเขียว - ฟ้าเมื่อถ่ายภาพในห้องที่ใช้แสงไฟนีออน    หรือเวลาถ่ายภาพตอนเช้าที่สีต่างๆ จะดูทึมๆอมน้ำเงินหน่อยๆ    หรือเวลาถ่ายภาพในโรงแรมหรืองานเลี้ยงที่โทนสีโดยรวมจะเป็นสีอมส้มเหลือง      สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักถ่ายภาพคงไม่สนใจที่จะหาฟิลเตอร์มาใส่หน้าเลนส์เพื่อช่วยแก้ไขความเพี้ยนสีเหล่านี้    ในขณะที่นักถ่ายภาพจะต้องใช้ฟิลเตอร์เข้าช่วยในการแก้ไขให้โทนสีที่เพี้ยนเหล่านี้       สำหรับกล้องดิจิตอลเนื่องจากไม่มีการกำหนดค่าสีขาวมาตรฐานไว้เหมือนฟิล์มที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป    ทำให้มีข้อแตกต่างเนื่องจากกระบวนการที่ใช้ในการผลิตภาพแตกต่างกันออกไป   
การใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลภาพ    ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าแหล่งกำเนิดแสงที่เราบันทึกภาพนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร     เพื่อให้กล้องคำนวณค่าสีได้อย่างถูกต้อง    เหมือนกับการใช้ฟิลเตอร์เข้าช่วยในการแก้ไขโทนสี     ฟังชั่นนี้จึงถือเป็นข้อได้เปรียบของกล้องดิจิตอลที่เหนือกว่าฟิล์ม     แต่เนื่องจากการเลือกปรับค่าสมดุลย์สีขาวหรือ   White Balance  จะมีผลต่อโทนสีโดยรวมของภาพ    การเลือกใช้ที่ไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดสีเพี้ยนที่อาจดูแย่กว่าปกติได้     ( ซึ่งบางครั้งก็ยากต่อการแก้แม้จะใช้โปรแกรมตกแต่งภาพช่วย    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในภาพที่บันทึกมีแหล่งกำเนิดแสงที่แตกต่างกันอยู่ในภาพๆ เดียว )
ระบบ  White Balance  จะทำหน้าที่แทนฟิลเตอร์เพื่อให้ได้สีที่เป็นธรรมชาติที่สุดภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่แตกต่างกัน    เป็นหมวดกว้างๆ ทั้งนี้ความละเอียดในระดับการปรับตั้งค่า   White Balance  ที่สามารถตั้งได้จึงมีความสำคัญพอสมควร    กล้องในระดับคอมแพคทั่วๆ ไปจะตั้งค่ามาตรฐานให้    ในขณะที่กล้องระดับโปรหน่อยจะสามารถให้เลือกปรับตั้งเป็นองศาเคลวินเอง หรือมีการปรับชดเชยค่า  White Balance  ให้มีระดับความเข้มที่แตกต่างกันออกไปได้  ( ต้องทดลองใช้ดูว่าแต่ละระดับมีความแตกต่างกันเพียงใด )      สำหรับในค่ามาตรฐานที่กล้องให้มานั้นมีหลักการคำนวณพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน    ขึ้นอยู่กับความแม่นยำซึ่งแตกต่างกันออกไปตามยี่ห้อ  -    รุ่น ซึ่งข้อแตกต่างนี้จะเด่นชัดมากหากเลือกใช้ฟังชั่น  White Balance  ให้เป็นแบบอัตโนมัติ )
 
    ค่ามาตรฐานของ  White Balance  ที่มีให้เลือกใช้ในกล้องทั่วๆ ไปจะแบ่งออกได้ดังนี้  Auto White Balance     เป็นการปรับเลือกแบบอัตโนมัติโดยกล้องจะมีระบบวิเคราะห์จากโทนสีโดยรวมของภาพเพื่อทำการตั้งค่าแสงให้อัตโนมัติเพื่อความสะดวกในการใช้งาน     ระบบนี้จะใช้งานง่ายไม่ต้องเสียเวลาในการเลือกปรับเปลี่ยนบ่อยๆ    แต่เนื่องจากการวิเคราะห์ค่าแสงเป็นสิ่งที่มีการเตรียมข้อมูลไว้ล่วงหน้าตามเกณฑ์กว้างๆ
ดังนั้นหากภาพที่เราต้องการบันทึกมีโทนสีโดยรวมอมไปทางใดทางหนึ่งเช่นภาพของป่าไม้    ทุ่งหญ้า    สระว่ายน้ำ    หรือแม้กระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก     ก็อาจทำให้การวิเคราะห์ผิดเพี้ยนไปได้      การตั้งค่า  White Balance  แบบอัตโนมัติจะให้ผลค่อนข้างดีหากเป็นการถ่ายกลางแจ้ง หรือในร่ม    แต่จะไม่ค่อยดีนักหากเป็นการถ่ายภายใต้แสงไฟนีออนหรือไฟหลอดไส้    ( สำหรับกล้องบางรุ่น )
Daylight, Sunny  หรือภาพพระอาทิตย์     เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพกลางแจ้ง หรือในเวลาที่มีแดดจ้า     สภาพแสงจะใกล้เคียงกับสีขาวมากที่สุด    โดยที่อุณหภูมิสีของแสงในการตั้งค่าล่วงหน้าของกล้องจะอยู่ที่ประมาณ  5000  -  6000   องศาเคลวิน     การเลือกในลักษณะนี้จะใกล้เคียงกับภาพที่ได้เมื่อบันทึกด้วยฟิล์ม
Shade, Cloudy  หรือภาพก้อนเมฆ  เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพกลางแจ้งแต่สภาพท้องฟ้าค่อนข้างครึ้ม    ไม่มีแดดหรือมีเมฆมาก เพื่อลดโทนสีน้ำเงินออกจากภาพไปบ้าง โดยทั่วไปจะทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น    ไม่ค่อยเห็นผลแตกต่างจากการเลือกปรับแบบ  daylight  หรือ  auto  เท่าไรนัก    
สำหรับกล้องคอมแพคส่วนใหญ่แล้วการถ่ายภาพในร่ม  shade  หรือ เมฆมาก  cloudy   จะอยู่ด้วยกัน     แต่สำหรับกล้องระดับสูงหน่อย    อาจมีแยกให้เลือก ซึ่งในกรณีนี้ค่าของ  shade  จะใช้ถ่ายภาพในกรณีที่มีความครึ้มโดยรวมมากกว่า  ( อุณหภูมิสีของแสงสูงกว่า  cloudy )     เมื่อเลือกที่  shade  ค่าของสีน้ำเงินจะถูกตัดทอนให้ลดลงมากกว่า  cloudy
Incandescent, Tungsten,   หรือภาพไฟหลอดไส้  เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่มีสีอมส้มเหลืองมาก    เพื่อลดโทนสีส้ม - เหลืองออกไป    แต่หากใช้ผิดพลาดภาพจะออกมาอมน้ำเงินดูหลอกตาที่สุด    การเลือกใช้จึงควรระวัง    เพราะในบางกรณีที่สภาพแหล่งกำเนิดแสงไม่ได้เพี้ยนมากนัก    การเลือกใช้   white balance  ตัวอื่นอาจให้ค่าที่เหมาะสมกว่า
Fluorescent  หรือภาพไฟนีออน  เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพภายใต้แสงไฟนีออน    ซึ่งจะให้สีอมเขียว    จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทหลอดด้วย     หลอด  fluorescent  ไม่มีอุณหภูมิสีที่แน่นอน    ดังนั้นการตั้งค่าจึงออกจะเป็นกลางๆ    โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทของหลอดไฟเองก็มีหลายแบบ ทั้ง  Warm White, Daylight, Cool White   ซึ่งบางครั้งการเลือกตั้งค่าก็ค่อนข้างสับสน    ทางที่ดีควรดูก่อนว่าตัวไหนให้เฉดสีที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด
กล้องดิจิตอลบางรุ่นจะแยกประเภทหลอดไฟนีออนมาให้เลือกได้อีก จึงควรทำความเข้าใจก่อนว่าหลอดไหนสำหรับโทนสีอะไร    เพื่อกันความผิดพลาด    แต่ข้อดีของกล้องดิจิตอลคือการมองเห็นภาพทันทีดังนั้นหากตั้งค่าผิดคงไม่ยากเกินไปที่จะแก้ไข    หรือในกล้องบางรุ่นมีระบบถ่ายภาพ  white balance  คร่อมไว้ได้ก็ยิ่งมีประโยชน์    
Custom White Balance  เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงตามสภาพแสงที่ถ่ายจริงขณะบันทึกภาพ    ซึ่งผู้ใช้จะต้องกำหนดเอง    หากทำได้ถูกต้องก็จะให้ผลค่อนข้างแม่นยำ    แต่หากผิดแล้วสีอาจเพี้ยนไปได้มาก   
หลักสำคัญคือเวลาตั้งค่าต้องทำภายใต้แสงที่จะถ่ายจริงคือวัดแสงจากตรงตำแหน่งที่จะถ่ายเป็นหลัก     การตั้งค่าค่อนข้างจะเหมือนกันคือให้ถ่ายภาพกระดาษสีขาวโดยซูมให้เต็มเฟรมภาพ    ที่สำคัญคือตำแหน่งของกระดาษจะต้องอยู่ที่ตำแหน่งของการถ่ายภาพจริงๆเท่านั้น     ในขณะที่กล้องบางรุ่นจะมีการปรับค่า  white balance  เป็นองศาเคลวินมาให้ผู้ใช้เลือกเอง ซึ่งในส่วนนี้ผู้ใช้คงต้องแม่นกับอุณหภูมิสีของแสงพอสมควร    หรืออาจใช้เป็นลูกเล่นในการแต่งสีภาพเหมือนกับการใช้ฟิลเตอร์เติมสีสันให้กับภาพก็สามารถทำได้  
  ประเภทไฟล์ภาพดิจิตอล  - Digital File Compression ไฟล์ภาพดิจิตอลที่ได้จากกล้องที่มีความละเอียดสามล้านพิกเซลหลังการประมวลผลแล้วอาจมีขนาดใหญ่เกือบ  10   MB  ( เมกกะไบท์ )  ดังนั้นกล้องดิจิตอลจึงต้องมีระบบการบีบอัดข้อมูลภาพเพื่อให้การบันทึกข้อมูลภาพดิจิตอลลงในหน่วยบันทึกข้อมูลเป็นไปอย่างเหมาะสม     ระบบการบีบอัดที่ใช้มีทั้งแบบไม่สูญเสียข้อมูลและแบบสูญเสียข้อมูล     ทั้งนี้การบีบอัดไฟล์ภาพแบบสูญเสียข้อมูลหากทำในระดับที่รุนแรง    ก็จะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงไป     ขาดความคมชัดและมีลักษณะของแถบสีเป็นตารางสี่เหลี่ยมเป็นปื้นๆ ได้
ประเภทของไฟล์ภาพที่นิยมใช้ในกล้องดิจิตอล RAW
  RAW  -    เป็นไฟล์ภาพที่มีให้เลือกบันทึกในกล้องระดับกลาง  -  สูง    ไม่มีในกล้องคอมแพคทั่วๆ ไป    การจัดเก็บข้อมูลเป็นแบบไม่มีการบีบอัด และยังไม่มีการประมวลผลข้อมูลใดๆ ภายในกล้อง    ลักษณะไฟล์ภาพที่ได้เป็นข้อมูลดิบที่ส่งตรงมาจากตัวรับภาพ     การแก้ไขค่าการบันทึกต่างๆ ในส่วนของสมดุลย์สีขาวหรือแม้แต่ค่าการบันทึกสามารถทำได้โดยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดไฟล์ด้วยโปรแกรมที่ให้มากับกล้อง    ( ไฟล์  RAW  ไม่สามารถนำไปอัดได้ทันที    ต้องเปิดด้วยโปรแกรมของกล้องแล้วจึงแปลงไปเป็นไฟล์ประเภทอื่น )     ไฟล์ภาพประเภทนี้เหมาะสำหรับนักถ่ายภาพที่ต้องการคุณภาพของภาพสูงและต้องการแก้ไขปรับแต่งภาพก่อนนำไปอัด    ไฟล์ภาพที่ได้จะมีขนาดใหญ่ปานกลาง คือใหญ่กว่าไฟล์  JPEG  แต่เล็กกว่าไฟล์  TIFF  ที่ระดับความละเอียดที่ใช้ในการบันทึกเป็นระดับเดียวกัน
TIFF
TIFF  -   เป็นไฟล์ภาพที่นิยมใช้มากในกล้องรุ่นก่อนๆ    ปัจจุบันนี้มีให้เห็นน้อยลง    เนื่องจากไฟล์  TIFF  จะค่อนข้างใหญ่และสิ้นเปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บมาก     TIFF  เป็นการบีบอัดข้อมูลในลักษณะไม่สูญเสีย หมายถึงว่าเมื่อคลายออกมาแล้วจะได้ข้อมูลสีต่างๆ ครบถ้วน    ทำให้คุณภาพของภาพที่ได้สมบูรณ์ไม่ถูกตัดทอนออกไป     ภาพที่บันทึกเป็นไฟล์  TIFF  สามารถนำมาแก้ไข  -  ปรับแต่งสีได้ แต่การแก้ไขต่างๆ เป็นไปในรูปแบบของการแก้ หรือแต่งภาพ  ( ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน  RAW  ซึ่งเป็นการแก้ลงไปในข้อมูลภาพก่อนการประมวลผล )     ไฟล์  TIFF  สามารถนำไปอัดได้ตามแล็ปทั่วไป    แต่ต้องใช้เวลานานในการเปิดไฟล์    บางร้านจะไม่นิยมให้ลูกค้าบันทึกในฟอร์แมทนี้เท่าไรนักเพราะกินพื้นที่  RAM  ของเครื่องพอสมควร    
JPEG
JPEG   -    เป็นไฟล์ภาพที่นิยมใช้มากที่สุดในกล้องดิจิตอล ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่    ไฟล์ในนามสกุลนี้เป็นการบีบอัดไฟล์แบบสูญเสียข้อมูลภาพ    แต่เนื่องจากข้อมูลที่สูญเสียส่วนใหญ่จะเป็นส่วนที่สายตามนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้     ทำให้คุณภาพของภาพที่บันทึกแบบ  JPEG  นี้ดูมีความสมบูรณ์ไม่แตกต่างจากไฟล์  TIFF  เท่าไรนัก  ( ดูภาพเรือด้านบนประกอบ )    แต่มีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่ากันมาก     ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้กันในกล้องทั่วๆ ไป      ทั้งนี้คุณภาพของภาพจะใกล้เคียงกับไฟล์  TIFF  ได้นั้นระดับการบีบอัดหรือการตัดทอนข้อมูลต้องไม่มากจนเกินไป    เพราะไฟล์  JPEG  โดยปกติแล้วจะมีระดับการบีบอัดให้เลือกใช้     การบีบอัดไฟล์แบบน้อยที่สุด จะให้คุณภาพของภาพที่ดี    แต่การเลือกบีบอัดที่รุนแรงจะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงไปด้วย      ปกติแล้วกล้องดิจิตอลจะมีระดับการบีบอัดไฟล์แบบ  JPEG  ให้เลือก  2  -  3   ระดับ    เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกใช้ตามความเหมาะสม    ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการประหยัดพื้นที่จัดเก็บหรือหน่วยบันทึกข้อมูลเป็นหลักใหญ่     ดังนั้นหากผู้ใช้เลือกใช้ไม่เหมาะสมแม้ว่าจะประหยัดพื้นที่ไปได้    แต่ก็จะได้ภาพที่มีคุณภาพไม่ดีนัก    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปอัด  -  ขยาย เพิ่มจากขนาดมาตรฐานที่กล้องระบุไว้ ณ ความละเอียดที่ใช้บันทึก
Exposure Control -  ระบบบันทึกภาพของกล้อง  Exposure Control  คือหัวใจสำคัญของกล้องดิจิตอลในการสร้างภาพที่สวยงามตามจินตนาการของผู้ถ่ายภาพ     กล้องแต่ละรุ่นจะมีขีดความสามารถในส่วนของระบบบันทึกภาพที่แตกต่างกัน    ระบบที่สามารถทำงานได้หลากหลายหรืออนุญาตให้ผู้ถ่ายภาพเปลี่ยนค่าการบันทึกต่างๆ ได้    ส่วนมากแล้วจะอยู่ในกล้องรุ่นที่มีราคาค่อนข้างสูง    เมื่อเทียบกันรุ่นที่ระบบบันทึกทั่วไปเป็นแบบอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ      แต่ไม่ว่าจะเป็นกล้องในกลุ่มไหน    การทำความเข้าใจกับระบบควบคุมการบันทึกภาพต่างๆ ของกล้องอาจช่วยให้เราสามารถควบคุมกล้องได้ดียิ่งขึ้น     
กล้องดิจิตอลมีระบบบันทึกภาพที่สามารถแยกออกได้เป็น  2   ส่วน คือ ระบบบันทึกภาพนิ่ง และระบบบันทึกภาพเคลื่อนไหว  (Movie Clip)   นอกจากนี้แล้วปัจจุบันมีกล้องหลายรุ่นที่มีระบบรองรับการบันทึกเฉพาะเสียงอย่างเดียว    ทำหน้าที่คล้ายกับเทปอัดเสียงซึ่งสามารถบันทึกได้เป็นระยะเวลานานกว่าที่จะบันทึกภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง      อย่างไรก็ตามสำหรับกล้องดิจิตอลที่เน้นกลุ่มนักถ่ายภาพโดยตรง    ฟังก์ชั่นในส่วนของการบันทึกภาพนิ่งจะเป็นสิ่งที่บริษัทผู้ผลิตให้ความสำคัญสูงสุด    จะเห็นได้ว่าในกล้องระดับกึ่งมืออาชีพหรือมืออาชีพจะไม่มีฟังก์ชั่นการบันทึกภาพเคลื่อนไหว  (Movie Clip)
ในกล้องดิจิตอลจะมีระบบการบันทึกภาพอัตโนมัติมาให้เป็นมาตรฐานเพื่อความสะดวกในการใช้งาน   ( เป็นภาพกล้องถ่ายรูป หรือตัว  P)   กล้องรุ่นที่รองรับนักถ่ายภาพสมัครเล่นหรือกึ่งโปรจะมีระบบบันทึกภาพแบบอื่นให้เลือกใช้นอกจากระบบบันทึกแบบอัตโนมัติเพื่อประโยชน์ในการสร้างสรรค์งานภาพตามความต้องการ     การมีระบบการบันทึกภาพที่หลากหลายมากขึ้นนี้จะช่วยให้ผู้ใช้กล้องสามารถบันทึกภาพและสร้าง  effect  ต่างๆ ให้กับภาพถ่ายได้มากขึ้น     ระบบต่างๆ ที่มีใช้อยู่คือ  ระบบบันทึกภาพนิ่ง
P  ( Programmed Auto Exposure) -   ระบบโปรแกรมบันทึกภาพอัตโนมัติ A (Aperture Priority Auto Exposure) -   ระบบโปรแกรมบันทึกภาพ แบบเลือกค่ารูรับแสง    ( กล้องแคนนอนจะใช้  AV)   S (Shutter Priority Auto Exposure)  -    ระบบโปรแกรมบันทึกภาพ แบบเลือกค่าความไวชัตเตอร์    ( กล้องแคนนอนจะใช้  TV) M (Manual)   -    ระบบการปรับตั้งค่าการบันทึกโดยผู้ใช้
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ระบบภาพดิ...

  • 1.
    ระบบภาพดิจิตอล จัดทำโดย นางสาวชนิตา พัชนะ เลขที่ 15 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
  • 2.
    ระบบภาพดิจิตอล การทำงานของกล้อง ความละเอียดของภาพทางยาวโฟกัสเลนส์ สื่อแสดงผล - พิมพ์ White Balance ประเภทไฟล์ภาพ ระบบบันทึกภาพ หน่วยบันทึกข้อมูล พลังงานที่ใช้
  • 3.
       การใช้กล้องดิจิตอลอาจมีความยุ่งยากในการใช้งานบ้างตอนต้น   แต่เมื่อคุ้นเคยกับมันดีแล้ว   กล้องดิจิตอลจะให้ความสะดวกพอสมควรทีเดียว   และยิ่งในปัจจุบันนี้ที่ราคาของกล้องดิจิตอลในท้องตลาดมีราคาต่ำลงเป็นอย่างมาก   ทำให้มีคนสนใจหันมาซื้อกล้องดิจิตอลกันมากขึ้น   ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ซื้อนิยมดูกันที่รุ่นใหม่ๆ และความละเอียดที่สูงๆ   เป็นหลัก   ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วกล้องดิจิตอลมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปมากกว่านั้นมาก และรุ่นใหม่ๆ หรือความละเอียดสูงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเสมอไปก็ได้     สิ่งหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจในกล้องดิจิตอลที่ควรทำใจไว้ตั้งแต่ตอนซื้อคือ เมื่อตัดสินใจซื้อแล้ว ก็อย่าย้อนกลับไปมองดูราคาอีก   เพราะกล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะตกรุ่นเร็วมาก ( มากๆ )   แม้ในปัจจุบันจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น   แต่ราคาก็นับว่าตกลงอย่างน่าใจหายในบางรุ่น   ดังนั้นในการซื้อกล้องดิจิตอลจึงควรดูให้ดี   เลือกให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน    ดีกว่าที่จะเลือกตามรุ่นหรือสมัยนิยม   เพราะระยะเวลามันสั้นนัก อาจอยู่เพียง 2 - 4 เดือนเท่านั้น  
  • 4.
  • 5.
    ข้อด้อยหลักของกล้องดิจิตอลเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องราคา   แม้ว่าราคาของกล้องจะถูกลงมามากแล้ว   แต่อุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมก็ยังนับว่ามีราคาสูงอยู่พอสมควร    หากว่าใช้งานในระยะยาวราคาต้นทุนอาจเฉลี่ยลงไปเรื่อยๆ ทำให้ประหยัดกว่าฟิล์มได้   แต่สำหรับท่านที่ใช้งานไม่มากนัก แม้จะไม่ได้รับประโยชน์ในด้านนี้เท่าไหร่แต่ก็สามารถอัดภาพมาดูได้ไม่ต้องรอให้ถ่ายหมดม้วนเหมือนฟิล์ม    ในปัจจุบันนี้การอัดภาพดิจิตอลมีราคาต่ำลงและยังหาสถานที่อัดภาพได้ง่ายไม่เหมือนสมัยก่อนๆ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้องดิจิตอลในปัจจุบันค่อนข้างจะซื้อง่าย   ( แต่ขายไม่คล่องนัก )     อีกสิ่งหนึ่งที่พึงระวังไว้ในการซื้อกล้องดิจิตอลคืออย่าดูราคาโปรโมชั่นมากนัก   เพราะกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ จะมีราคาต่ำกว่ารุ่นที่ออกมาสมัยก่อน ดังนั้นจึงมีการนำมาลดราคากันค่อนข้างมากเมื่อมีรุ่นใหม่ๆ ออกมา   ราคาที่ลดลงมากๆ นี้บางครั้งก็ค่อนข้างดึงดูดความสนใจได้มาก   แต่อย่าลืมว่ากล้องดิจิตอลเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยตรง การซื้อรุ่นเก่าที่ราคาต่ำลง ควรนำมาเทียบกับรุ่นใหม่ในสเปคที่ใกล้เคียงด้วย เพื่อจะได้เห็นข้อเปรียบเทียบที่เด่นชัด   อย่าไปมองเพียงส่วนลดที่ดูน่าสนใจ    ไม่เช่นนั้นคุณอาจต้องผิดหวังกับสิ่งที่ซื้อมาก็ได้   เพราะการขายเป็นกล้องมือสองสำหรับกล้องดิจิตอลแล้วค่อนข้างยากและไม่คุ้มทุนจริงๆ
  • 6.
  • 7.
  • 8.
    กล้องดิจิตอลใช้ตัวรับภาพในการบันทึกภาพแทนฟิล์ม   ซึ่งบนตัวรับภาพจะประกอบด้วยตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ หลายแสนหลายล้านชิ้นเรียกว่า พิกเซล (pixel)  หนึ่งตารางสี่เหลี่ยมจะมีสีเพียงสีเดียวเท่านั้น    ตารางสี่เหลี่ยมที่ประกอบรวมเป็นภาพดิจิตอลภาพหนึ่งนั้นมีขนาดเล็กมากๆ เราจึงดูไม่ออกว่าภาพเหล่านั้นที่จริงแล้วคือการเรียงต่อกันของตารางสี   หากเราเปิดภาพดิจิตอลในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วใช้แว่นขยายส่องดูจะเห็นตารางสีสี่เหลี่ยมได้อย่างชัดเจน     การเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบของตารางสีเหล่านี้เป็นเสมือนแผนที่ของตารางสี   ซึ่งเป็นที่มาของชื่อภาพประเภทนี้ซึ่งเรียกว่าเป็นภาพ บิทแม็พ (Bit Map)
  • 9.
  • 10.
    คุณภาพของภาพดิจิตอลไม่ว่าจะเป็นภาพที่นำไปอัด หรือแสดงบนจอมอนิเตอร์จะขึ้นอยู่กับข้อมูลของภาพที่มีอยู่   หรืออีกนัยหนึ่งก็คือขึ้นอยู่กับจำนวนของพิกเซลที่มีอยู่บนตัวรับภาพ    จำนวนพิกเซลที่มากขึ้นหมายถึงรายละเอียดของข้อมูลภาพที่สูงขึ้น   ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดีขึ้นไปด้วย ( เมื่อนำไปอัด - ขยาย )     เราวัดจำนวนของพิกเซลในภาพดิจิตอลโดยการนำเอาจำนวนของพิกเซลแนวตั้งคูณกับจำนวนของพิกเซลแนวนอน   ซึ่งค่าที่ได้ก็คือค่าความละเอียดของกล้องดิจิตอลที่เรารู้จักกันว่า   กล้องตัวนี้ 3 ล้าน    กล้องตัวนี้ 5 ล้าน หรือกล้องตัวนี้ 6 ล้านเป็นต้น     
  • 11.
  • 12.
      ภาพขนาด 1600 x 1200 = 1,920,000 พิกเซล   หรือเป็นความละเอียดสูงสุดที่สุดที่กล้องดิจิตอล 2 ล้านพิกเซลสามารถบันทึกได้     ความละเอียดของกล้องดิจิตอลที่ระบุไว้จะดูที่ความละเอียดสูงสุดที่กล้องสามารถบันทึกได้เท่านั้น    ( นอกจากกล้องบางรุ่นที่ระบุความละเอียดโดยใช้หลักการของการประมวลผลและเพิ่มข้อมูลให้กับภาพ )
  • 13.
  • 14.
    กล้องดิจิตอลมีหลักการในการทำงานคล้ายๆ กับกล้องที่ใช้ฟิล์มทั่วๆ ไป  กล้องดิจิตอลมีเลนส์   มีตัวรับภาพ ( ดิจิตอลฟิล์ม )   ส่วนที่ใช้ในการควบคุมการบันทึกภาพ   ส่วนที่เพิ่มเข้ามาในกล้องดิจิตอลใหญ่ๆ สองส่วนคือส่วนของจอ LCD สำหรับดูภาพเมื่อบันทึกเสร็จ   และส่วนของหน่วยบันทึกข้อมูล (memory card)  สำหรับบันทึกข้อมูลภาพที่ต้องการเก็บ ( หากไม่ลบทิ้ง )     การทำงานในส่วนของการบันทึกภาพนั้นใกล้เคียงกับกล้องใช้ฟิล์ม    ส่วนที่แตกต่างกันคือระบบการควบคุมคุณภาพของภาพ ซึ่งได้รวมเอาขึ้นตอนการแต่งภาพ การปรับโทนสีของภาพ การอัด - ขยายภาพมาให้ผู้ใช้เป็นผู้เลือกควบคุม ( ในกรณีที่ต้องการ มิเช่นนั้นสามารถเลือกให้กล้องทำให้แบบอัตโนมัติได้    ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างกล้องดิจิตอลและกล้องใช้ฟิล์มคือ
  • 15.
    กล้อง 35 มม . ที่ใช้ฟิล์ม
  • 16.
    - ฟิล์มทำหน้าที่เป็นตัวรับ - บันทึกภาพ    เปลี่ยนยี่ห้อ รุ่น   ค่าความไวแสง ได้ตามต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท - ภาพที่บันทึกได้ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี ( การล้างภาพที่แล็ป ) ก่อนจึงจะสามารถดูภาพได้ - ขั้นตอนการล้าง - อัด - ขยายภาพจะเป็นหน้าที่ของแล็ปที่ส่งฟิล์มไป ( คุณภาพขึ้นอยู่กับศูนย์บริการเป็นสำคัญ ) - ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยในการทำงาน
  • 17.
  • 18.
    - ตัวรับภาพหรือ   Image Sensor  ทำหน้าที่เป็นตัวรับภาพ เป็นส่วนหนึ่งของกล้องดิจิตอลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้    ที่มีใช้กันอยู่ในกล้องดิจิตอลทั่วไปจะแบ่งเป็น CCD และ CMOS  ที่นิยมใช้กันทั่วไปจะเป็น CCD - กล้องดิจิตอลใช้ Image Sensor เป็นตัวรับภาพ ในขณะที่ใช้ memory card เป็นตัวเก็บข้อมูลภาพ ( บางรุ่นมีหน่วยบันทึกในตัวให้ด้วยประมาณ 8MB) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ควรมีความสัมพันธ์กัน - สามารถเห็นภาพได้ทันทีผ่านทางจอ LCD เพราะกล้องจะประมวลผลข้อมูลภาพทันที ไม่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี
  • 19.
    - ขั้นตอนการล้าง - อัดอยู่ในหน่วยประมวลผลของกล้อง   การควบคุมสี   ขนาดและคุณภาพของภาพอยู่ที่ผู้ใช้งานที่ต้องสั่งงานกล้องตั้งแต่ก่อนบันทึก - มีฟังชั่นการบันทึกแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการบันทึกภาพนิ่ง - ใช้พลังงานเป็นหลักในการทำงานของกล้องตั้งแต่เริ่มเปิดกล้องไปจนถึงการเก็บข้อมูล
  • 20.
    ความละเอียดของภาพดิจิตอล ภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียดสูง ( จำนวนพิกเซลที่มากกว่า )   จะมีข้อมูลภาพมากกว่า   จึงสามารถนำไปอัด - ขยายได้ใหญ่กว่า    คุณภาพของภาพถ่ายดิจิตอลทุกประเภทจึงมีความสัมพันธ์กันระหว่างขนาดของความละเอียดที่เลือกใช้ในการบันทึกภาพ และขนาดของภาพพิมพ์ที่เราสามารถนำไปอัด - ขยายได้     ตัวอย่างเช่นภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียด หรือ resolution ที่ 1600 x 1200  สามารถนำไปอัด - ขยายได้ใหญ่กว่าภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียด 1024 x 768 ทั้งนี้วัดจากพื้นฐานที่ระบบการบันทึกภาพเป็นแบบเดียวกัน    เนื่องจากกล้องดิจิตอลในท้องตลาดมีอยู่มากมายหลายชนิด   แต่ละชนิดก็มีระบบการทำงานรวมไปถึงวัสดุที่ใช้แตกต่างกัน   ทำให้คุณภาพของภาพที่บันทึกได้มีความคมชัด   โทนสี หรือคอนทราสของภาพที่แตกต่างกัน    แต่เมื่อพูดถึงส่วนของความละเอียดของภาพดิจิตอลแล้ว   หัวใจหลักจะอยู่ที่ขนาดภาพสำเร็จที่ต้องการใช้งานเป็นหลักใหญ่
  • 21.
  • 22.
    หลักง่ายๆ ในเรื่องของความละเอียดหรือ resolution ของภาพดิจิตอลก็คือ   หากเราเลือกบันทึกภาพที่ความละเอียดต่ำ   แต่ต้องการนำภาพไปขยายให้ใหญ่เท่ากับภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดสูง   คุณภาพของภาพที่ได้ก็จะต่ำลง   หากอัตราการขยายไม่สูงนัก ก็จะมีผลต่อภาพไม่มากนัก   แต่หากเราขยายขึ้นไปมากๆ ภาพที่ได้ก็อาจจะขาดรายละเอียดซึ่งมีผลทำให้ดูไม่ชัดไปได้     แต่ไม่ใช่ว่าภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดที่ต่ำจะมีสีสัน ความคมชัดของภาพ   สู้ภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดสูงไม่ได้   ส่วนที่แตกต่างกันมีเพียงเรื่องของขนาดภาพสำเร็จที่อัดไว้ใช้เท่านั้น     เรื่องสีสัน   ความคมชัด คอนทราสของภาพ ควมไปถึงโทนสีโดยรวมของภาพดิจิตอลนั้น   เกี่ยวข้องกับระบบการทำงานโดยรวมของหน่วยประมวลผลของกล้อง   ไม่ใช่เพียงแค่ความละเอียดของตัวรับภาพเท่านั้น
  • 23.
    เวลาที่เราดูบนหน้าจอ LCD ด้านบนเมื่อปรับในเรื่องความละเอียดของภาพ   ส่วนใหญ่แล้วกล้องเดี๋ยวนี้จะให้เลือกควบคู่กันไปโดยเรียกว่า Image Quality  โดยจะสลับกันไปมาระหว่างขนาด - ระดับการบีบอัด   ซึ่งจะมีผลทำให้จำนวนของภาพที่สามารถบันทึกลงในการ์ดแตกต่างกันออกไป   ซึ่งบางครั้งกล้องจะไม่ได้ระบุเป็นค่าตัวเลขความละเอียดให้เราแต่จะบอกเป็น L ( large),  M (medium),  S (small) หรือบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน   ดังนั้นเราจึงควรจะทำความคุ้นเคยกับกล้องที่ใช้ก่อนว่าความละเอียดเท่าใดที่กล้องใช้สำหรับเรียก L, M, S   เพราะเราไม่จำเป็นต้องใช้ค่าหนึ่งค่าใดบันทึกภาพทุกภาพ   ในขณะเดียวกันการเลือกที่ผิดก็อาจให้ผลไม่ได้ตามที่เราต้องการ   
  • 24.
  • 25.
       ตัวรับภาพที่ใช้ในกล้องดิจิตอลมีขนาดไม่มาตรฐานเหมือนฟิล์มที่เราใช้กัน ( ฟิล์ม 35 มม . มีขนาดเท่ากับ 24 x 36 มม .)   และตัวรับภาพที่ใช้กันอยู่ในกล้องดิจิตอลทั่วไปก็มีใช้กันอยู่หลายขนาด   เริ่มตั้งแต่เล็กเพียง 3 x 4 มม .   ไปจนถึงขนาดเท่าฟิล์ม   ทำให้กล้องดิจิตอลมีความละเอียดในการบันทึกภาพแตกต่างกัน   และการที่ตัวรับภาพมีขนาดที่ต่างกันทำให้เลนส์ของกล้องซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรวมแสงให้ผ่านเข้าไปตกยังตำแหน่งของตัวรับภาพมีทางยาวโฟกัสที่ต่างกัน   ( ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวรับภาพ )   ทางยาวโฟกัสที่เราคุ้นเคยกันดีนั้นเป็นทางยาวโฟกัสที่เทียบในฟอร์แมทของกล้อง 35 มม .   แต่ในเมื่อตัวรับภาพของกล้องดิจิตอลมีขนาดเล็กกว่าฟิล์มมาก ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกล้องคอมแพค )    ทำให้ทางยาวโฟกัสจริงของเลนส์ในกล้องดิจิตอลมีตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับทางยาวโฟกัสมาตรฐาน   ทำให้ผู้ผลิตระบุทางยาวโฟกัสเป็นจำนวนเท่ามาให้ดูคู่ไปกับทางยาวโฟกัสจริง   กล้องรุ่นใหม่ๆ บางรุ่นจะเขียนเป็นทางยาวโฟกัสเทียบเท่ามาให้เพื่อความสะดวก   ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังเขียนเป็นค่าจริงอยู่   
  • 26.
       ทางยาวโฟกัสของกล้องคอมแพคจะเริ่มต้นอยู่ที่ระหว่าง 4.5 - 8 มม .   เมื่อเทียบกับค่าทางยาวโฟกัสของกล้องในฟอร์มแมท 35 มม .   แล้วจะเริ่มที่ระหว่าง 37 - 43 มม ซึ่งให้องศาการรับภาพใกล้เคียงกับเลนส์มาตรฐาน   หากเป็นเลนส์ซูม   ส่วนใหญ่จะบอกค่าทางยาวโฟกัสเป็นจำนวนเท่า หรือ X เท่า   เช่น 3X หมายถึง 3 เท่า   หากเริ่มที่ 37 มม . ก็จะเท่ากับมีทางยาวโฟกัสอยู่ในช่วง 37 - 111 มม . เป็นต้น  
  • 27.
    กล้องดิจิตอลบางรุ่น (โดยเฉพาะขนาดเล็กๆ ) อาจมีค่าทางยาวโฟกัสเดียว ซึ่งหมายถึงว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนองศาการรับภาพได้   *   หากต้องการเปลี่ยนมุมมอง ต้องขยับไปข้างหน้าหรือถอยหลังเป็นต้น   กล้องประเภทนี้จะระบุค่าการซูมภาพมาให้โดยทั่วไปจะเป็น 2x หรือ 2 เท่า แต่จะไม่สามารถระบุที่หน้าเลนส์ได้ เพราะเป็นการซูมภาพโดยใช้โปรแกรมการทำงานของกล้องไม่ใช่การซูมจริงของเลนส์   ซึ่งจะให้ภาพที่มีคุณภาพด้อยกว่าการซูมด้วยเลนส์จริง  
  • 28.
      Optical Zoom- Digital Zoom    ระบบการซูมภาพของเลนส์ในกล้องดิจิตอลมีอยู่ 2 ระบบ คือระบบ Optical Zoom  และ Digital Zoom    ซึ่งระบบ Optical Zoom จะเป็นซูมด้วยเลนส์จริง   ในขณะที่ระบบการซูมภาพแบบ Digital Zoom นั้น จะเป็นการตัดภาพในส่วนที่แสดงช่วงการซูมไว้   แล้วนำมาประมวลผลในกล้อง - ขยายให้ใหญ่ขึ้น   ทำให้เมื่อดูจากจอ LCD ดูเหมือนว่าเป็นการซูมภาพจริงๆ   ทั้งนี้พัฒนาการของ Digital Zoom นับว่าดีขึ้นมากแล้วในกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ   แต่หากว่าเทียบกับการซูมภาพด้วยเลนส์ที่มีคุณภาพดีแล้วก็ยังเทียบกันไม่ได้    กล้องส่วนใหญ่จะมีฟังชั่นของ Digital Zoom   เป็นของแถมมาให้   ในขณะที่บางรุ่นเน้นโฆษณาในส่วนนี้มาก   การเลือกความสามารถของกล้องควรดูด้วยค่าการซูมจริง หรือ Optical Zoom ของกล้องเป็นหลักดีกว่า   * ดูเรื่ององศาการรับภาพเพิ่มเติมได้ที่หลักการถ่ายภาพ
  • 29.
  • 30.
    เนื่องจากภาพดิจิตอลคือข้อมูลของตารางสีสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่นำมาเรียงต่อกัน   ดังนั้นขนาดของภาพดิจิตอลเมื่อนำไปแสดงผ่านสื่อต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับประเภทของสื่อที่เราต้องการนำภาพไปแสดงด้วย    ภาพดิจิตอลที่ถ่ายด้วยความละเอียดเท่ากัน   หากนำไปแสดงผ่านจอมอนิเตอร์ จะดูมีขนาดใหญ่   แต่หากนำไปพิมพ์แล้วอาจได้ขนาดเล็กนิดเดียว    สิ่งที่แตกต่างกันคือความละเอียดที่สื่อแต่ละอย่างต้องการไม่เหมือนกัน    การแสดงภาพดิจิตอลบนหน้าจอมอนิเตอร์ต้องการความละเอียดเพียง 72 - 95 พิกเซลต่อตารางนิ้ว   ในขณะที่การพิมพ์ภาพดิจิตอลตามแล็ปหรือจากเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับพิมพ์ภาพ จะอยู่ที่ 200 - 300 พิกเซลต่อตารางนิ้ว    เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ควรจะได้     ดังนั้นการถ่ายภาพสำหรับส่งอีเมล์ กับการถ่ายภาพเพื่ออัด หรือเพื่อขยายจึงต้องใช้ความละเอียดในการบันทึกที่แตกต่างกัน    เพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ  
  • 31.
  • 32.
    ดังจะเห็นได้จากภาพว่า   ภาพถ่ายดิจิตอลที่ความละเอียด 1600 x 1200 พิกเซล   สามารถมีขนาดตั้งแต่ประมาณ 5 x 4 นิ้ว   ไปจนถึง 22 x 16 นิ้ว    แต่ไม่ใช่ว่าเราสามารถนำภาพดิจิตอลไปอัดขยายได้ใหญ่ขนาดนั้น   แต่ว่าเป็นความแตกต่างและความต้องการของสื่อที่ใช้แสดงผลที่ไม่เท่ากัน   หากเราต้องการพิมพ์ ความละเอียดของภาพจะได้ประมาณ 4 x 6" หรือ 5 x 7"  ในขณะที่หากเรานำมาแสดงผ่านทางจอมอนิเตอร์   ภาพจะดูใหญ่เกินจอ ( ล้นจอ )   แต่ที่เราเห็นไม่เต็มจอเป็นเพราะภาพนั้นถูกสเกลให้เล็กลง   ให้ลองสังเกตที่หัวมุมด้านบนซ้ายของภาพจะบอกว่าภาพนั้นๆกำลังแสดงอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์   หากเราดูที่ 100 %  เราจะต้องใช้แถบ cursor เลื่อนขึ้นลง หรือซ้ายขวา   เนื่องจากว่าภาพมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จอมอนิเตอร์จะแสดงได้เต็มนั่นเอง  
  • 33.
    กล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดหนึ่งล้านต้นๆ ไปจนถึงห้าหกล้านพิกเซล   จะมีระดับของความละเอียดให้ผู้ใช้เลือกบันทึกได้ตามความเหมาะสมของงานที่จะนำไปใช้    เนื่องจากความละเอียดที่สูงหรือต่ำเกินไปจะมีผลต่อคุณภาพของภาพที่สามารถนำไปใช้งานได้    ดังนั้นการเลือกความละเอียดที่ใช้ในการบันทึกก็คือการออกคำสั่งกับกล้องว่าเราต้องการภาพนั้นๆ สำหรับวัตถุประสงค์อะไร    ความละเอียดที่สูงเกินจำเป็น ทำให้ได้ไฟล์ภาพที่ใหญ่เปลืองพื้นที่ของหน่วยบันทึกข้อมูล   ใช้เวลาในการเปิดไฟล์นานในคอมพิวเตอร์    ในขณะที่ภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดที่ต่ำเกินไปจะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงเมื่อนำไปอัด - ขยายเกินขอบเขตที่มันสามารถทำได้    ระดับความละเอียดที่เราสามารถเลือกได้สำหรับกล้องดิจิตอลทั่วไปจะเริ่มต้นที่ความละเอียดตั้งแต่ 640 x 480  ไปจนถึงระดับ 3072 x 2048   หรือสูงกว่านี้ในปัจจุบัน   ที่ระดับความละเอียดของกล้องได้พัฒนาเพิ่มขึ้นไปอย่างมาก   ทั้งนี้ไม่ว่ากล้องจะมีความละเอียดกี่ล้านพิกเซลก็ตาม   จะต้องมีความละเอียดให้เลือกสำหรับบันทึกเพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้   แต่ถ้าผู้ใช้ไม่เข้าใจหรือเลือกใช้ผิดวัตถุประสงค์   ผลลัพธ์อาจไม่ดีตามที่ต้องการก็ได้
  • 34.
    3072 x 2048 ระดับ 6 ล้านพิกเซล 2592 x 1944 ระดับ 5 ล้านพิกเซล 2272 x 1704 ระดับ 4 ล้านพิกเซล 2048 x 1536 ระดับ 3 ล้านพิกเซล 1600 x 1200 ระดับ 2 ล้านพิกเซล 1280 x 960 ระดับ 1 ล้านพิกเซล ความละเอียดภาพนิ่งสูงสุด ที่กล้องสามารถบันทึกได้   ( โดยประมาณ ) ความละเอียดของกล้อง ( โดยประมาณ )
  • 35.
  • 36.
    การปรับตั้งค่าสมดุลย์สีขาวหรือ WhiteBalance เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในเรื่องของโทนสีโดยรวมของภาพดิจิตอล    กล้องดิจิตอลต้องอาศัยค่าสีขาวที่เราเลือกก่อนการบันทึกเพื่อใช้อ้างอิงในการคำนวณหาค่าสีโดยรวมของภาพ    หากเจาะลึกในรายละเอียดอาจยุ่งยากเนื่องจากเป็นเรื่องทางเทคนิคพอสมควรสำหรับผู้ที่ไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้    ดังนั้นจะขออธิบายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงเลยคือ   แสงที่เราเห็นนั้นจะมีโทนสีที่ต่างกัน   นั่นหมายถึงว่าแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ ที่มีอยู่นั้นจะมีโทนสีที่แตกต่างกัน แม้แสงพระอาทิตย์ตั้งแต่เช้า - เย็นก็ยังแตกต่างกัน ( หรือเฉพาะเวลามีแดด กับไม่มีแดดก็ได้ )   
  • 37.
    สภาพแสงต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกแบ่งเป็นอุณหภูมิสีของแสง   ( องศาเคลวิน หรือ Kelvin)    อุณหภูมิสีของแสงคือเฉดสีที่จะอมออกมาซึ่งจะส่งผลกับการมองเห็นวัตถุต่างๆ ของเรา   เช่นในเวลากลางคืนหากอยู่ในห้องมืดๆ แล้วจุดเทียนไขขึ้นมาเล่มหนึ่ง   ให้แสงเทียนส่องไปที่ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ใบหน้านั้นจะมีสีอมส้มเหลือง   คล้ายๆ กับการนั่งอยู่ในห้องอาหารที่เปิดไฟหลอดไส้สลัวๆ ซึ่งใบหน้าทุกคนจะมีโทนสีอมส้มเหลือง   รวมไปถึงวัตถุอื่นๆ ในห้องด้วย   แต่หากเป็นห้องอาหารที่เปิดไฟหลอดนีออนทั่วไปโทนสีของใบหน้าและวัตถุต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป    ในขณะเดียวกันในเวลาที่อยู่กลางแจ้งหากลองสังเกตดูใบไม้เวลาที่ท้องฟ้ามีเมฆมากเราจะเห็นใบไม้เป็นสีเขียวทึมๆ ในขณะที่เวลามีแสงแดดส่องกระทบใบไม้จะมีสีที่สว่างขึ้น     ที่จริงโทนสีของสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นในชีวิตประจำวันในแต่ละสถานที่   แม้กระทั่งในบ้าน ในห้องต่างๆ ซึ่งใช้แหล่งกำเนิดแสงต่างกันนั้น   จะมีความแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่แหล่งกำเนิดแสงนั้นๆ   แต่เนื่องจากคนเราใช้ความคุ้นเคยหรือความจำมามีส่วนในการมองทำให้เราตัดความแตกต่างเหล่านั้นออกไป   แต่เมื่อเราบันทึกภาพด้วยฟิล์มหรือกล้องดิจิตอลนั้น    ปัญหาของโทนสีที่แตกต่างเหล่านี้จะแสดงผลออกมาค่อนข้างชัดทีเดียว    
  • 38.
  • 39.
    เวลาที่ใช้ฟิล์มในการบันทึกภาพ   เราจะคุ้นเคยกันดีกับภาพที่มีสีอมเขียว - ฟ้าเมื่อถ่ายภาพในห้องที่ใช้แสงไฟนีออน   หรือเวลาถ่ายภาพตอนเช้าที่สีต่างๆ จะดูทึมๆอมน้ำเงินหน่อยๆ   หรือเวลาถ่ายภาพในโรงแรมหรืองานเลี้ยงที่โทนสีโดยรวมจะเป็นสีอมส้มเหลือง     สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักถ่ายภาพคงไม่สนใจที่จะหาฟิลเตอร์มาใส่หน้าเลนส์เพื่อช่วยแก้ไขความเพี้ยนสีเหล่านี้   ในขณะที่นักถ่ายภาพจะต้องใช้ฟิลเตอร์เข้าช่วยในการแก้ไขให้โทนสีที่เพี้ยนเหล่านี้      สำหรับกล้องดิจิตอลเนื่องจากไม่มีการกำหนดค่าสีขาวมาตรฐานไว้เหมือนฟิล์มที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป   ทำให้มีข้อแตกต่างเนื่องจากกระบวนการที่ใช้ในการผลิตภาพแตกต่างกันออกไป   
  • 40.
    การใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลภาพ   ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าแหล่งกำเนิดแสงที่เราบันทึกภาพนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร    เพื่อให้กล้องคำนวณค่าสีได้อย่างถูกต้อง   เหมือนกับการใช้ฟิลเตอร์เข้าช่วยในการแก้ไขโทนสี    ฟังชั่นนี้จึงถือเป็นข้อได้เปรียบของกล้องดิจิตอลที่เหนือกว่าฟิล์ม    แต่เนื่องจากการเลือกปรับค่าสมดุลย์สีขาวหรือ White Balance จะมีผลต่อโทนสีโดยรวมของภาพ   การเลือกใช้ที่ไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดสีเพี้ยนที่อาจดูแย่กว่าปกติได้    ( ซึ่งบางครั้งก็ยากต่อการแก้แม้จะใช้โปรแกรมตกแต่งภาพช่วย   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในภาพที่บันทึกมีแหล่งกำเนิดแสงที่แตกต่างกันอยู่ในภาพๆ เดียว )
  • 41.
    ระบบ WhiteBalance จะทำหน้าที่แทนฟิลเตอร์เพื่อให้ได้สีที่เป็นธรรมชาติที่สุดภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่แตกต่างกัน   เป็นหมวดกว้างๆ ทั้งนี้ความละเอียดในระดับการปรับตั้งค่า White Balance ที่สามารถตั้งได้จึงมีความสำคัญพอสมควร   กล้องในระดับคอมแพคทั่วๆ ไปจะตั้งค่ามาตรฐานให้   ในขณะที่กล้องระดับโปรหน่อยจะสามารถให้เลือกปรับตั้งเป็นองศาเคลวินเอง หรือมีการปรับชดเชยค่า White Balance ให้มีระดับความเข้มที่แตกต่างกันออกไปได้ ( ต้องทดลองใช้ดูว่าแต่ละระดับมีความแตกต่างกันเพียงใด )     สำหรับในค่ามาตรฐานที่กล้องให้มานั้นมีหลักการคำนวณพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน   ขึ้นอยู่กับความแม่นยำซึ่งแตกต่างกันออกไปตามยี่ห้อ -   รุ่น ซึ่งข้อแตกต่างนี้จะเด่นชัดมากหากเลือกใช้ฟังชั่น White Balance ให้เป็นแบบอัตโนมัติ )
  • 42.
  • 43.
       ค่ามาตรฐานของ White Balance ที่มีให้เลือกใช้ในกล้องทั่วๆ ไปจะแบ่งออกได้ดังนี้ Auto White Balance   เป็นการปรับเลือกแบบอัตโนมัติโดยกล้องจะมีระบบวิเคราะห์จากโทนสีโดยรวมของภาพเพื่อทำการตั้งค่าแสงให้อัตโนมัติเพื่อความสะดวกในการใช้งาน    ระบบนี้จะใช้งานง่ายไม่ต้องเสียเวลาในการเลือกปรับเปลี่ยนบ่อยๆ   แต่เนื่องจากการวิเคราะห์ค่าแสงเป็นสิ่งที่มีการเตรียมข้อมูลไว้ล่วงหน้าตามเกณฑ์กว้างๆ
  • 44.
    ดังนั้นหากภาพที่เราต้องการบันทึกมีโทนสีโดยรวมอมไปทางใดทางหนึ่งเช่นภาพของป่าไม้   ทุ่งหญ้า   สระว่ายน้ำ   หรือแม้กระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก    ก็อาจทำให้การวิเคราะห์ผิดเพี้ยนไปได้     การตั้งค่า White Balance แบบอัตโนมัติจะให้ผลค่อนข้างดีหากเป็นการถ่ายกลางแจ้ง หรือในร่ม   แต่จะไม่ค่อยดีนักหากเป็นการถ่ายภายใต้แสงไฟนีออนหรือไฟหลอดไส้   ( สำหรับกล้องบางรุ่น )
  • 45.
    Daylight, Sunny หรือภาพพระอาทิตย์   เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพกลางแจ้ง หรือในเวลาที่มีแดดจ้า    สภาพแสงจะใกล้เคียงกับสีขาวมากที่สุด   โดยที่อุณหภูมิสีของแสงในการตั้งค่าล่วงหน้าของกล้องจะอยู่ที่ประมาณ 5000 - 6000 องศาเคลวิน    การเลือกในลักษณะนี้จะใกล้เคียงกับภาพที่ได้เมื่อบันทึกด้วยฟิล์ม
  • 46.
    Shade, Cloudy หรือภาพก้อนเมฆ เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพกลางแจ้งแต่สภาพท้องฟ้าค่อนข้างครึ้ม   ไม่มีแดดหรือมีเมฆมาก เพื่อลดโทนสีน้ำเงินออกจากภาพไปบ้าง โดยทั่วไปจะทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   ไม่ค่อยเห็นผลแตกต่างจากการเลือกปรับแบบ daylight หรือ auto เท่าไรนัก    
  • 47.
    สำหรับกล้องคอมแพคส่วนใหญ่แล้วการถ่ายภาพในร่ม shade หรือ เมฆมาก cloudy  จะอยู่ด้วยกัน    แต่สำหรับกล้องระดับสูงหน่อย   อาจมีแยกให้เลือก ซึ่งในกรณีนี้ค่าของ shade จะใช้ถ่ายภาพในกรณีที่มีความครึ้มโดยรวมมากกว่า ( อุณหภูมิสีของแสงสูงกว่า cloudy )    เมื่อเลือกที่ shade ค่าของสีน้ำเงินจะถูกตัดทอนให้ลดลงมากกว่า cloudy
  • 48.
    Incandescent, Tungsten,  หรือภาพไฟหลอดไส้ เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่มีสีอมส้มเหลืองมาก   เพื่อลดโทนสีส้ม - เหลืองออกไป   แต่หากใช้ผิดพลาดภาพจะออกมาอมน้ำเงินดูหลอกตาที่สุด   การเลือกใช้จึงควรระวัง   เพราะในบางกรณีที่สภาพแหล่งกำเนิดแสงไม่ได้เพี้ยนมากนัก   การเลือกใช้ white balance ตัวอื่นอาจให้ค่าที่เหมาะสมกว่า
  • 49.
    Fluorescent หรือภาพไฟนีออน เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพภายใต้แสงไฟนีออน   ซึ่งจะให้สีอมเขียว   จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทหลอดด้วย    หลอด fluorescent ไม่มีอุณหภูมิสีที่แน่นอน   ดังนั้นการตั้งค่าจึงออกจะเป็นกลางๆ   โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทของหลอดไฟเองก็มีหลายแบบ ทั้ง Warm White, Daylight, Cool White   ซึ่งบางครั้งการเลือกตั้งค่าก็ค่อนข้างสับสน   ทางที่ดีควรดูก่อนว่าตัวไหนให้เฉดสีที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด
  • 50.
    กล้องดิจิตอลบางรุ่นจะแยกประเภทหลอดไฟนีออนมาให้เลือกได้อีก จึงควรทำความเข้าใจก่อนว่าหลอดไหนสำหรับโทนสีอะไร   เพื่อกันความผิดพลาด   แต่ข้อดีของกล้องดิจิตอลคือการมองเห็นภาพทันทีดังนั้นหากตั้งค่าผิดคงไม่ยากเกินไปที่จะแก้ไข   หรือในกล้องบางรุ่นมีระบบถ่ายภาพ white balance คร่อมไว้ได้ก็ยิ่งมีประโยชน์    
  • 51.
    Custom White Balance เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงตามสภาพแสงที่ถ่ายจริงขณะบันทึกภาพ   ซึ่งผู้ใช้จะต้องกำหนดเอง   หากทำได้ถูกต้องก็จะให้ผลค่อนข้างแม่นยำ   แต่หากผิดแล้วสีอาจเพี้ยนไปได้มาก   
  • 52.
    หลักสำคัญคือเวลาตั้งค่าต้องทำภายใต้แสงที่จะถ่ายจริงคือวัดแสงจากตรงตำแหน่งที่จะถ่ายเป็นหลัก    การตั้งค่าค่อนข้างจะเหมือนกันคือให้ถ่ายภาพกระดาษสีขาวโดยซูมให้เต็มเฟรมภาพ   ที่สำคัญคือตำแหน่งของกระดาษจะต้องอยู่ที่ตำแหน่งของการถ่ายภาพจริงๆเท่านั้น    ในขณะที่กล้องบางรุ่นจะมีการปรับค่า white balance เป็นองศาเคลวินมาให้ผู้ใช้เลือกเอง ซึ่งในส่วนนี้ผู้ใช้คงต้องแม่นกับอุณหภูมิสีของแสงพอสมควร   หรืออาจใช้เป็นลูกเล่นในการแต่งสีภาพเหมือนกับการใช้ฟิลเตอร์เติมสีสันให้กับภาพก็สามารถทำได้  
  • 53.
      ประเภทไฟล์ภาพดิจิตอล - Digital File Compression ไฟล์ภาพดิจิตอลที่ได้จากกล้องที่มีความละเอียดสามล้านพิกเซลหลังการประมวลผลแล้วอาจมีขนาดใหญ่เกือบ 10 MB ( เมกกะไบท์ ) ดังนั้นกล้องดิจิตอลจึงต้องมีระบบการบีบอัดข้อมูลภาพเพื่อให้การบันทึกข้อมูลภาพดิจิตอลลงในหน่วยบันทึกข้อมูลเป็นไปอย่างเหมาะสม    ระบบการบีบอัดที่ใช้มีทั้งแบบไม่สูญเสียข้อมูลและแบบสูญเสียข้อมูล    ทั้งนี้การบีบอัดไฟล์ภาพแบบสูญเสียข้อมูลหากทำในระดับที่รุนแรง   ก็จะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงไป    ขาดความคมชัดและมีลักษณะของแถบสีเป็นตารางสี่เหลี่ยมเป็นปื้นๆ ได้
  • 54.
  • 55.
      RAW -   เป็นไฟล์ภาพที่มีให้เลือกบันทึกในกล้องระดับกลาง - สูง   ไม่มีในกล้องคอมแพคทั่วๆ ไป   การจัดเก็บข้อมูลเป็นแบบไม่มีการบีบอัด และยังไม่มีการประมวลผลข้อมูลใดๆ ภายในกล้อง   ลักษณะไฟล์ภาพที่ได้เป็นข้อมูลดิบที่ส่งตรงมาจากตัวรับภาพ    การแก้ไขค่าการบันทึกต่างๆ ในส่วนของสมดุลย์สีขาวหรือแม้แต่ค่าการบันทึกสามารถทำได้โดยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดไฟล์ด้วยโปรแกรมที่ให้มากับกล้อง   ( ไฟล์ RAW ไม่สามารถนำไปอัดได้ทันที   ต้องเปิดด้วยโปรแกรมของกล้องแล้วจึงแปลงไปเป็นไฟล์ประเภทอื่น )    ไฟล์ภาพประเภทนี้เหมาะสำหรับนักถ่ายภาพที่ต้องการคุณภาพของภาพสูงและต้องการแก้ไขปรับแต่งภาพก่อนนำไปอัด   ไฟล์ภาพที่ได้จะมีขนาดใหญ่ปานกลาง คือใหญ่กว่าไฟล์ JPEG แต่เล็กกว่าไฟล์ TIFF ที่ระดับความละเอียดที่ใช้ในการบันทึกเป็นระดับเดียวกัน
  • 56.
  • 57.
    TIFF -  เป็นไฟล์ภาพที่นิยมใช้มากในกล้องรุ่นก่อนๆ   ปัจจุบันนี้มีให้เห็นน้อยลง   เนื่องจากไฟล์ TIFF จะค่อนข้างใหญ่และสิ้นเปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บมาก    TIFF เป็นการบีบอัดข้อมูลในลักษณะไม่สูญเสีย หมายถึงว่าเมื่อคลายออกมาแล้วจะได้ข้อมูลสีต่างๆ ครบถ้วน   ทำให้คุณภาพของภาพที่ได้สมบูรณ์ไม่ถูกตัดทอนออกไป    ภาพที่บันทึกเป็นไฟล์ TIFF สามารถนำมาแก้ไข - ปรับแต่งสีได้ แต่การแก้ไขต่างๆ เป็นไปในรูปแบบของการแก้ หรือแต่งภาพ ( ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน RAW ซึ่งเป็นการแก้ลงไปในข้อมูลภาพก่อนการประมวลผล )    ไฟล์ TIFF สามารถนำไปอัดได้ตามแล็ปทั่วไป   แต่ต้องใช้เวลานานในการเปิดไฟล์   บางร้านจะไม่นิยมให้ลูกค้าบันทึกในฟอร์แมทนี้เท่าไรนักเพราะกินพื้นที่ RAM ของเครื่องพอสมควร    
  • 58.
  • 59.
    JPEG -   เป็นไฟล์ภาพที่นิยมใช้มากที่สุดในกล้องดิจิตอล ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่   ไฟล์ในนามสกุลนี้เป็นการบีบอัดไฟล์แบบสูญเสียข้อมูลภาพ   แต่เนื่องจากข้อมูลที่สูญเสียส่วนใหญ่จะเป็นส่วนที่สายตามนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้    ทำให้คุณภาพของภาพที่บันทึกแบบ JPEG นี้ดูมีความสมบูรณ์ไม่แตกต่างจากไฟล์ TIFF เท่าไรนัก ( ดูภาพเรือด้านบนประกอบ )   แต่มีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่ากันมาก    ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้กันในกล้องทั่วๆ ไป     ทั้งนี้คุณภาพของภาพจะใกล้เคียงกับไฟล์ TIFF ได้นั้นระดับการบีบอัดหรือการตัดทอนข้อมูลต้องไม่มากจนเกินไป   เพราะไฟล์ JPEG โดยปกติแล้วจะมีระดับการบีบอัดให้เลือกใช้    การบีบอัดไฟล์แบบน้อยที่สุด จะให้คุณภาพของภาพที่ดี   แต่การเลือกบีบอัดที่รุนแรงจะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงไปด้วย     ปกติแล้วกล้องดิจิตอลจะมีระดับการบีบอัดไฟล์แบบ JPEG ให้เลือก 2 - 3 ระดับ   เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกใช้ตามความเหมาะสม   ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการประหยัดพื้นที่จัดเก็บหรือหน่วยบันทึกข้อมูลเป็นหลักใหญ่    ดังนั้นหากผู้ใช้เลือกใช้ไม่เหมาะสมแม้ว่าจะประหยัดพื้นที่ไปได้   แต่ก็จะได้ภาพที่มีคุณภาพไม่ดีนัก   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปอัด - ขยาย เพิ่มจากขนาดมาตรฐานที่กล้องระบุไว้ ณ ความละเอียดที่ใช้บันทึก
  • 60.
    Exposure Control - ระบบบันทึกภาพของกล้อง Exposure Control คือหัวใจสำคัญของกล้องดิจิตอลในการสร้างภาพที่สวยงามตามจินตนาการของผู้ถ่ายภาพ    กล้องแต่ละรุ่นจะมีขีดความสามารถในส่วนของระบบบันทึกภาพที่แตกต่างกัน   ระบบที่สามารถทำงานได้หลากหลายหรืออนุญาตให้ผู้ถ่ายภาพเปลี่ยนค่าการบันทึกต่างๆ ได้   ส่วนมากแล้วจะอยู่ในกล้องรุ่นที่มีราคาค่อนข้างสูง   เมื่อเทียบกันรุ่นที่ระบบบันทึกทั่วไปเป็นแบบอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ    แต่ไม่ว่าจะเป็นกล้องในกลุ่มไหน   การทำความเข้าใจกับระบบควบคุมการบันทึกภาพต่างๆ ของกล้องอาจช่วยให้เราสามารถควบคุมกล้องได้ดียิ่งขึ้น    
  • 61.
    กล้องดิจิตอลมีระบบบันทึกภาพที่สามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ระบบบันทึกภาพนิ่ง และระบบบันทึกภาพเคลื่อนไหว (Movie Clip)   นอกจากนี้แล้วปัจจุบันมีกล้องหลายรุ่นที่มีระบบรองรับการบันทึกเฉพาะเสียงอย่างเดียว   ทำหน้าที่คล้ายกับเทปอัดเสียงซึ่งสามารถบันทึกได้เป็นระยะเวลานานกว่าที่จะบันทึกภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง     อย่างไรก็ตามสำหรับกล้องดิจิตอลที่เน้นกลุ่มนักถ่ายภาพโดยตรง   ฟังก์ชั่นในส่วนของการบันทึกภาพนิ่งจะเป็นสิ่งที่บริษัทผู้ผลิตให้ความสำคัญสูงสุด   จะเห็นได้ว่าในกล้องระดับกึ่งมืออาชีพหรือมืออาชีพจะไม่มีฟังก์ชั่นการบันทึกภาพเคลื่อนไหว (Movie Clip)
  • 62.
    ในกล้องดิจิตอลจะมีระบบการบันทึกภาพอัตโนมัติมาให้เป็นมาตรฐานเพื่อความสะดวกในการใช้งาน   (เป็นภาพกล้องถ่ายรูป หรือตัว P)  กล้องรุ่นที่รองรับนักถ่ายภาพสมัครเล่นหรือกึ่งโปรจะมีระบบบันทึกภาพแบบอื่นให้เลือกใช้นอกจากระบบบันทึกแบบอัตโนมัติเพื่อประโยชน์ในการสร้างสรรค์งานภาพตามความต้องการ    การมีระบบการบันทึกภาพที่หลากหลายมากขึ้นนี้จะช่วยให้ผู้ใช้กล้องสามารถบันทึกภาพและสร้าง effect ต่างๆ ให้กับภาพถ่ายได้มากขึ้น    ระบบต่างๆ ที่มีใช้อยู่คือ ระบบบันทึกภาพนิ่ง
  • 63.
    P (Programmed Auto Exposure) -  ระบบโปรแกรมบันทึกภาพอัตโนมัติ A (Aperture Priority Auto Exposure) -  ระบบโปรแกรมบันทึกภาพ แบบเลือกค่ารูรับแสง   ( กล้องแคนนอนจะใช้ AV) S (Shutter Priority Auto Exposure) -   ระบบโปรแกรมบันทึกภาพ แบบเลือกค่าความไวชัตเตอร์   ( กล้องแคนนอนจะใช้ TV) M (Manual)  -   ระบบการปรับตั้งค่าการบันทึกโดยผู้ใช้
  • 64.
  • 65.
  • 66.
  • 67.
  • 68.
  • 69.
  • 70.
  • 71.
  • 72.
  • 73.
  • 74.
  • 75.
  • 76.
  • 77.
  • 78.
  • 79.
  • 80.
  • 81.
  • 82.
  • 83.
  • 84.
  • 85.
  • 86.
  • 87.
  • 88.
  • 89.
  • 90.
  • 91.
  • 92.
  • 93.
  • 94.
  • 95.
  • 96.
  • 97.
  • 98.
  • 99.
  • 100.