Recommended
PPT
PPT
PPT
DOC
PDF
PPTX
PPT
PPTX
PDF
บทที่ 2 ส่วนประกอบและหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์
PDF
PPTX
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
PDF
การผลิตสื่อวิดีโอระบบดิจิทัลเบื้องต้น (Basic Digital Video Production)
PPT
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
DOC
PDF
Introduction to Computer and Software คอมพิวเตอร์เบื้องต้นและซอฟแวร์ (ภาษาไทย)
PDF
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
PDF
PDF
PPT
Ch3 information technology
PDF
PDF
DOC
PDF
Z y9hyp4sl8f20160214144302
PDF
Images Digitization with Digital Photography
PDF
PDF
คู่มือ Canon EOS 500D ภาษาไทย
PDF
PDF
PDF
การผลิตสื่อภาพนิ่ง (Still Image) - ดร.กฤษณพงศ์ เลิศบำรุงชัย
PDF
More Related Content
PPT
PPT
PPT
DOC
PDF
PPTX
PPT
PPTX
What's hot
PDF
บทที่ 2 ส่วนประกอบและหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์
PDF
PPTX
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
PDF
การผลิตสื่อวิดีโอระบบดิจิทัลเบื้องต้น (Basic Digital Video Production)
PPT
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
DOC
PDF
Introduction to Computer and Software คอมพิวเตอร์เบื้องต้นและซอฟแวร์ (ภาษาไทย)
PDF
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
PDF
PDF
PPT
Ch3 information technology
PDF
PDF
DOC
PDF
Z y9hyp4sl8f20160214144302
Similar to ระบบภาพดิ...
PDF
Images Digitization with Digital Photography
PDF
PDF
คู่มือ Canon EOS 500D ภาษาไทย
PDF
PDF
PDF
การผลิตสื่อภาพนิ่ง (Still Image) - ดร.กฤษณพงศ์ เลิศบำรุงชัย
PDF
PDF
การถ่ายภาพดิจิตอลหน่วยเรียน1
PDF
เอกสารประกอบการสอน การถ่ายภาพgเบื้องต้น
PDF
10วิธีแก้ปัญหาในการใช้กล้องดิจิตอล
PPTX
PPTX
งานอาจารภูเบศ22610 มุก (1)
PPSX
PPTX
PPTX
PDF
PDF
PDF
Ultra High Resolution Photography for Cultural Preservation
PDF
Image Digitization with Digital Photography
PPT
Learning Life and Photography
ระบบภาพดิ... 1. 2. 3. การใช้กล้องดิจิตอลอาจมีความยุ่งยากในการใช้งานบ้างตอนต้น แต่เมื่อคุ้นเคยกับมันดีแล้ว กล้องดิจิตอลจะให้ความสะดวกพอสมควรทีเดียว และยิ่งในปัจจุบันนี้ที่ราคาของกล้องดิจิตอลในท้องตลาดมีราคาต่ำลงเป็นอย่างมาก ทำให้มีคนสนใจหันมาซื้อกล้องดิจิตอลกันมากขึ้น ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ซื้อนิยมดูกันที่รุ่นใหม่ๆ และความละเอียดที่สูงๆ เป็นหลัก ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วกล้องดิจิตอลมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปมากกว่านั้นมาก และรุ่นใหม่ๆ หรือความละเอียดสูงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเสมอไปก็ได้ สิ่งหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจในกล้องดิจิตอลที่ควรทำใจไว้ตั้งแต่ตอนซื้อคือ เมื่อตัดสินใจซื้อแล้ว ก็อย่าย้อนกลับไปมองดูราคาอีก เพราะกล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะตกรุ่นเร็วมาก ( มากๆ ) แม้ในปัจจุบันจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ราคาก็นับว่าตกลงอย่างน่าใจหายในบางรุ่น ดังนั้นในการซื้อกล้องดิจิตอลจึงควรดูให้ดี เลือกให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ดีกว่าที่จะเลือกตามรุ่นหรือสมัยนิยม เพราะระยะเวลามันสั้นนัก อาจอยู่เพียง 2 - 4 เดือนเท่านั้น 4. 5. ข้อด้อยหลักของกล้องดิจิตอลเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องราคา แม้ว่าราคาของกล้องจะถูกลงมามากแล้ว แต่อุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมก็ยังนับว่ามีราคาสูงอยู่พอสมควร หากว่าใช้งานในระยะยาวราคาต้นทุนอาจเฉลี่ยลงไปเรื่อยๆ ทำให้ประหยัดกว่าฟิล์มได้ แต่สำหรับท่านที่ใช้งานไม่มากนัก แม้จะไม่ได้รับประโยชน์ในด้านนี้เท่าไหร่แต่ก็สามารถอัดภาพมาดูได้ไม่ต้องรอให้ถ่ายหมดม้วนเหมือนฟิล์ม ในปัจจุบันนี้การอัดภาพดิจิตอลมีราคาต่ำลงและยังหาสถานที่อัดภาพได้ง่ายไม่เหมือนสมัยก่อนๆ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้องดิจิตอลในปัจจุบันค่อนข้างจะซื้อง่าย ( แต่ขายไม่คล่องนัก ) อีกสิ่งหนึ่งที่พึงระวังไว้ในการซื้อกล้องดิจิตอลคืออย่าดูราคาโปรโมชั่นมากนัก เพราะกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ จะมีราคาต่ำกว่ารุ่นที่ออกมาสมัยก่อน ดังนั้นจึงมีการนำมาลดราคากันค่อนข้างมากเมื่อมีรุ่นใหม่ๆ ออกมา ราคาที่ลดลงมากๆ นี้บางครั้งก็ค่อนข้างดึงดูดความสนใจได้มาก แต่อย่าลืมว่ากล้องดิจิตอลเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยตรง การซื้อรุ่นเก่าที่ราคาต่ำลง ควรนำมาเทียบกับรุ่นใหม่ในสเปคที่ใกล้เคียงด้วย เพื่อจะได้เห็นข้อเปรียบเทียบที่เด่นชัด อย่าไปมองเพียงส่วนลดที่ดูน่าสนใจ ไม่เช่นนั้นคุณอาจต้องผิดหวังกับสิ่งที่ซื้อมาก็ได้ เพราะการขายเป็นกล้องมือสองสำหรับกล้องดิจิตอลแล้วค่อนข้างยากและไม่คุ้มทุนจริงๆ 6. 7. 8. กล้องดิจิตอลใช้ตัวรับภาพในการบันทึกภาพแทนฟิล์ม ซึ่งบนตัวรับภาพจะประกอบด้วยตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ หลายแสนหลายล้านชิ้นเรียกว่า พิกเซล (pixel) หนึ่งตารางสี่เหลี่ยมจะมีสีเพียงสีเดียวเท่านั้น ตารางสี่เหลี่ยมที่ประกอบรวมเป็นภาพดิจิตอลภาพหนึ่งนั้นมีขนาดเล็กมากๆ เราจึงดูไม่ออกว่าภาพเหล่านั้นที่จริงแล้วคือการเรียงต่อกันของตารางสี หากเราเปิดภาพดิจิตอลในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วใช้แว่นขยายส่องดูจะเห็นตารางสีสี่เหลี่ยมได้อย่างชัดเจน การเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบของตารางสีเหล่านี้เป็นเสมือนแผนที่ของตารางสี ซึ่งเป็นที่มาของชื่อภาพประเภทนี้ซึ่งเรียกว่าเป็นภาพ บิทแม็พ (Bit Map) 9. 10. คุณภาพของภาพดิจิตอลไม่ว่าจะเป็นภาพที่นำไปอัด หรือแสดงบนจอมอนิเตอร์จะขึ้นอยู่กับข้อมูลของภาพที่มีอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือขึ้นอยู่กับจำนวนของพิกเซลที่มีอยู่บนตัวรับภาพ จำนวนพิกเซลที่มากขึ้นหมายถึงรายละเอียดของข้อมูลภาพที่สูงขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดีขึ้นไปด้วย ( เมื่อนำไปอัด - ขยาย ) เราวัดจำนวนของพิกเซลในภาพดิจิตอลโดยการนำเอาจำนวนของพิกเซลแนวตั้งคูณกับจำนวนของพิกเซลแนวนอน ซึ่งค่าที่ได้ก็คือค่าความละเอียดของกล้องดิจิตอลที่เรารู้จักกันว่า กล้องตัวนี้ 3 ล้าน กล้องตัวนี้ 5 ล้าน หรือกล้องตัวนี้ 6 ล้านเป็นต้น 11. 12. ภาพขนาด 1600 x 1200 = 1,920,000 พิกเซล หรือเป็นความละเอียดสูงสุดที่สุดที่กล้องดิจิตอล 2 ล้านพิกเซลสามารถบันทึกได้ ความละเอียดของกล้องดิจิตอลที่ระบุไว้จะดูที่ความละเอียดสูงสุดที่กล้องสามารถบันทึกได้เท่านั้น ( นอกจากกล้องบางรุ่นที่ระบุความละเอียดโดยใช้หลักการของการประมวลผลและเพิ่มข้อมูลให้กับภาพ ) 13. 14. กล้องดิจิตอลมีหลักการในการทำงานคล้ายๆ กับกล้องที่ใช้ฟิล์มทั่วๆ ไป กล้องดิจิตอลมีเลนส์ มีตัวรับภาพ ( ดิจิตอลฟิล์ม ) ส่วนที่ใช้ในการควบคุมการบันทึกภาพ ส่วนที่เพิ่มเข้ามาในกล้องดิจิตอลใหญ่ๆ สองส่วนคือส่วนของจอ LCD สำหรับดูภาพเมื่อบันทึกเสร็จ และส่วนของหน่วยบันทึกข้อมูล (memory card) สำหรับบันทึกข้อมูลภาพที่ต้องการเก็บ ( หากไม่ลบทิ้ง ) การทำงานในส่วนของการบันทึกภาพนั้นใกล้เคียงกับกล้องใช้ฟิล์ม ส่วนที่แตกต่างกันคือระบบการควบคุมคุณภาพของภาพ ซึ่งได้รวมเอาขึ้นตอนการแต่งภาพ การปรับโทนสีของภาพ การอัด - ขยายภาพมาให้ผู้ใช้เป็นผู้เลือกควบคุม ( ในกรณีที่ต้องการ มิเช่นนั้นสามารถเลือกให้กล้องทำให้แบบอัตโนมัติได้ ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างกล้องดิจิตอลและกล้องใช้ฟิล์มคือ 15. 16. - ฟิล์มทำหน้าที่เป็นตัวรับ - บันทึกภาพ เปลี่ยนยี่ห้อ รุ่น ค่าความไวแสง ได้ตามต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท - ภาพที่บันทึกได้ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี ( การล้างภาพที่แล็ป ) ก่อนจึงจะสามารถดูภาพได้ - ขั้นตอนการล้าง - อัด - ขยายภาพจะเป็นหน้าที่ของแล็ปที่ส่งฟิล์มไป ( คุณภาพขึ้นอยู่กับศูนย์บริการเป็นสำคัญ ) - ใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยในการทำงาน 17. 18. - ตัวรับภาพหรือ Image Sensor ทำหน้าที่เป็นตัวรับภาพ เป็นส่วนหนึ่งของกล้องดิจิตอลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ที่มีใช้กันอยู่ในกล้องดิจิตอลทั่วไปจะแบ่งเป็น CCD และ CMOS ที่นิยมใช้กันทั่วไปจะเป็น CCD - กล้องดิจิตอลใช้ Image Sensor เป็นตัวรับภาพ ในขณะที่ใช้ memory card เป็นตัวเก็บข้อมูลภาพ ( บางรุ่นมีหน่วยบันทึกในตัวให้ด้วยประมาณ 8MB) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ควรมีความสัมพันธ์กัน - สามารถเห็นภาพได้ทันทีผ่านทางจอ LCD เพราะกล้องจะประมวลผลข้อมูลภาพทันที ไม่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี 19. - ขั้นตอนการล้าง - อัดอยู่ในหน่วยประมวลผลของกล้อง การควบคุมสี ขนาดและคุณภาพของภาพอยู่ที่ผู้ใช้งานที่ต้องสั่งงานกล้องตั้งแต่ก่อนบันทึก - มีฟังชั่นการบันทึกแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการบันทึกภาพนิ่ง - ใช้พลังงานเป็นหลักในการทำงานของกล้องตั้งแต่เริ่มเปิดกล้องไปจนถึงการเก็บข้อมูล 20. ความละเอียดของภาพดิจิตอล ภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียดสูง ( จำนวนพิกเซลที่มากกว่า ) จะมีข้อมูลภาพมากกว่า จึงสามารถนำไปอัด - ขยายได้ใหญ่กว่า คุณภาพของภาพถ่ายดิจิตอลทุกประเภทจึงมีความสัมพันธ์กันระหว่างขนาดของความละเอียดที่เลือกใช้ในการบันทึกภาพ และขนาดของภาพพิมพ์ที่เราสามารถนำไปอัด - ขยายได้ ตัวอย่างเช่นภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียด หรือ resolution ที่ 1600 x 1200 สามารถนำไปอัด - ขยายได้ใหญ่กว่าภาพดิจิตอลที่บันทึกด้วยความละเอียด 1024 x 768 ทั้งนี้วัดจากพื้นฐานที่ระบบการบันทึกภาพเป็นแบบเดียวกัน เนื่องจากกล้องดิจิตอลในท้องตลาดมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีระบบการทำงานรวมไปถึงวัสดุที่ใช้แตกต่างกัน ทำให้คุณภาพของภาพที่บันทึกได้มีความคมชัด โทนสี หรือคอนทราสของภาพที่แตกต่างกัน แต่เมื่อพูดถึงส่วนของความละเอียดของภาพดิจิตอลแล้ว หัวใจหลักจะอยู่ที่ขนาดภาพสำเร็จที่ต้องการใช้งานเป็นหลักใหญ่ 21. 22. หลักง่ายๆ ในเรื่องของความละเอียดหรือ resolution ของภาพดิจิตอลก็คือ หากเราเลือกบันทึกภาพที่ความละเอียดต่ำ แต่ต้องการนำภาพไปขยายให้ใหญ่เท่ากับภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดสูง คุณภาพของภาพที่ได้ก็จะต่ำลง หากอัตราการขยายไม่สูงนัก ก็จะมีผลต่อภาพไม่มากนัก แต่หากเราขยายขึ้นไปมากๆ ภาพที่ได้ก็อาจจะขาดรายละเอียดซึ่งมีผลทำให้ดูไม่ชัดไปได้ แต่ไม่ใช่ว่าภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดที่ต่ำจะมีสีสัน ความคมชัดของภาพ สู้ภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดสูงไม่ได้ ส่วนที่แตกต่างกันมีเพียงเรื่องของขนาดภาพสำเร็จที่อัดไว้ใช้เท่านั้น เรื่องสีสัน ความคมชัด คอนทราสของภาพ ควมไปถึงโทนสีโดยรวมของภาพดิจิตอลนั้น เกี่ยวข้องกับระบบการทำงานโดยรวมของหน่วยประมวลผลของกล้อง ไม่ใช่เพียงแค่ความละเอียดของตัวรับภาพเท่านั้น 23. เวลาที่เราดูบนหน้าจอ LCD ด้านบนเมื่อปรับในเรื่องความละเอียดของภาพ ส่วนใหญ่แล้วกล้องเดี๋ยวนี้จะให้เลือกควบคู่กันไปโดยเรียกว่า Image Quality โดยจะสลับกันไปมาระหว่างขนาด - ระดับการบีบอัด ซึ่งจะมีผลทำให้จำนวนของภาพที่สามารถบันทึกลงในการ์ดแตกต่างกันออกไป ซึ่งบางครั้งกล้องจะไม่ได้ระบุเป็นค่าตัวเลขความละเอียดให้เราแต่จะบอกเป็น L ( large), M (medium), S (small) หรือบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นเราจึงควรจะทำความคุ้นเคยกับกล้องที่ใช้ก่อนว่าความละเอียดเท่าใดที่กล้องใช้สำหรับเรียก L, M, S เพราะเราไม่จำเป็นต้องใช้ค่าหนึ่งค่าใดบันทึกภาพทุกภาพ ในขณะเดียวกันการเลือกที่ผิดก็อาจให้ผลไม่ได้ตามที่เราต้องการ 24. 25. ตัวรับภาพที่ใช้ในกล้องดิจิตอลมีขนาดไม่มาตรฐานเหมือนฟิล์มที่เราใช้กัน ( ฟิล์ม 35 มม . มีขนาดเท่ากับ 24 x 36 มม .) และตัวรับภาพที่ใช้กันอยู่ในกล้องดิจิตอลทั่วไปก็มีใช้กันอยู่หลายขนาด เริ่มตั้งแต่เล็กเพียง 3 x 4 มม . ไปจนถึงขนาดเท่าฟิล์ม ทำให้กล้องดิจิตอลมีความละเอียดในการบันทึกภาพแตกต่างกัน และการที่ตัวรับภาพมีขนาดที่ต่างกันทำให้เลนส์ของกล้องซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรวมแสงให้ผ่านเข้าไปตกยังตำแหน่งของตัวรับภาพมีทางยาวโฟกัสที่ต่างกัน ( ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวรับภาพ ) ทางยาวโฟกัสที่เราคุ้นเคยกันดีนั้นเป็นทางยาวโฟกัสที่เทียบในฟอร์แมทของกล้อง 35 มม . แต่ในเมื่อตัวรับภาพของกล้องดิจิตอลมีขนาดเล็กกว่าฟิล์มมาก ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกล้องคอมแพค ) ทำให้ทางยาวโฟกัสจริงของเลนส์ในกล้องดิจิตอลมีตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับทางยาวโฟกัสมาตรฐาน ทำให้ผู้ผลิตระบุทางยาวโฟกัสเป็นจำนวนเท่ามาให้ดูคู่ไปกับทางยาวโฟกัสจริง กล้องรุ่นใหม่ๆ บางรุ่นจะเขียนเป็นทางยาวโฟกัสเทียบเท่ามาให้เพื่อความสะดวก ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังเขียนเป็นค่าจริงอยู่ 26. ทางยาวโฟกัสของกล้องคอมแพคจะเริ่มต้นอยู่ที่ระหว่าง 4.5 - 8 มม . เมื่อเทียบกับค่าทางยาวโฟกัสของกล้องในฟอร์มแมท 35 มม . แล้วจะเริ่มที่ระหว่าง 37 - 43 มม ซึ่งให้องศาการรับภาพใกล้เคียงกับเลนส์มาตรฐาน หากเป็นเลนส์ซูม ส่วนใหญ่จะบอกค่าทางยาวโฟกัสเป็นจำนวนเท่า หรือ X เท่า เช่น 3X หมายถึง 3 เท่า หากเริ่มที่ 37 มม . ก็จะเท่ากับมีทางยาวโฟกัสอยู่ในช่วง 37 - 111 มม . เป็นต้น 27. กล้องดิจิตอลบางรุ่น ( โดยเฉพาะขนาดเล็กๆ ) อาจมีค่าทางยาวโฟกัสเดียว ซึ่งหมายถึงว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนองศาการรับภาพได้ * หากต้องการเปลี่ยนมุมมอง ต้องขยับไปข้างหน้าหรือถอยหลังเป็นต้น กล้องประเภทนี้จะระบุค่าการซูมภาพมาให้โดยทั่วไปจะเป็น 2x หรือ 2 เท่า แต่จะไม่สามารถระบุที่หน้าเลนส์ได้ เพราะเป็นการซูมภาพโดยใช้โปรแกรมการทำงานของกล้องไม่ใช่การซูมจริงของเลนส์ ซึ่งจะให้ภาพที่มีคุณภาพด้อยกว่าการซูมด้วยเลนส์จริง 28. Optical Zoom - Digital Zoom ระบบการซูมภาพของเลนส์ในกล้องดิจิตอลมีอยู่ 2 ระบบ คือระบบ Optical Zoom และ Digital Zoom ซึ่งระบบ Optical Zoom จะเป็นซูมด้วยเลนส์จริง ในขณะที่ระบบการซูมภาพแบบ Digital Zoom นั้น จะเป็นการตัดภาพในส่วนที่แสดงช่วงการซูมไว้ แล้วนำมาประมวลผลในกล้อง - ขยายให้ใหญ่ขึ้น ทำให้เมื่อดูจากจอ LCD ดูเหมือนว่าเป็นการซูมภาพจริงๆ ทั้งนี้พัฒนาการของ Digital Zoom นับว่าดีขึ้นมากแล้วในกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ แต่หากว่าเทียบกับการซูมภาพด้วยเลนส์ที่มีคุณภาพดีแล้วก็ยังเทียบกันไม่ได้ กล้องส่วนใหญ่จะมีฟังชั่นของ Digital Zoom เป็นของแถมมาให้ ในขณะที่บางรุ่นเน้นโฆษณาในส่วนนี้มาก การเลือกความสามารถของกล้องควรดูด้วยค่าการซูมจริง หรือ Optical Zoom ของกล้องเป็นหลักดีกว่า * ดูเรื่ององศาการรับภาพเพิ่มเติมได้ที่หลักการถ่ายภาพ 29. 30. เนื่องจากภาพดิจิตอลคือข้อมูลของตารางสีสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่นำมาเรียงต่อกัน ดังนั้นขนาดของภาพดิจิตอลเมื่อนำไปแสดงผ่านสื่อต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับประเภทของสื่อที่เราต้องการนำภาพไปแสดงด้วย ภาพดิจิตอลที่ถ่ายด้วยความละเอียดเท่ากัน หากนำไปแสดงผ่านจอมอนิเตอร์ จะดูมีขนาดใหญ่ แต่หากนำไปพิมพ์แล้วอาจได้ขนาดเล็กนิดเดียว สิ่งที่แตกต่างกันคือความละเอียดที่สื่อแต่ละอย่างต้องการไม่เหมือนกัน การแสดงภาพดิจิตอลบนหน้าจอมอนิเตอร์ต้องการความละเอียดเพียง 72 - 95 พิกเซลต่อตารางนิ้ว ในขณะที่การพิมพ์ภาพดิจิตอลตามแล็ปหรือจากเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับพิมพ์ภาพ จะอยู่ที่ 200 - 300 พิกเซลต่อตารางนิ้ว เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ควรจะได้ ดังนั้นการถ่ายภาพสำหรับส่งอีเมล์ กับการถ่ายภาพเพื่ออัด หรือเพื่อขยายจึงต้องใช้ความละเอียดในการบันทึกที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ 31. 32. ดังจะเห็นได้จากภาพว่า ภาพถ่ายดิจิตอลที่ความละเอียด 1600 x 1200 พิกเซล สามารถมีขนาดตั้งแต่ประมาณ 5 x 4 นิ้ว ไปจนถึง 22 x 16 นิ้ว แต่ไม่ใช่ว่าเราสามารถนำภาพดิจิตอลไปอัดขยายได้ใหญ่ขนาดนั้น แต่ว่าเป็นความแตกต่างและความต้องการของสื่อที่ใช้แสดงผลที่ไม่เท่ากัน หากเราต้องการพิมพ์ ความละเอียดของภาพจะได้ประมาณ 4 x 6" หรือ 5 x 7" ในขณะที่หากเรานำมาแสดงผ่านทางจอมอนิเตอร์ ภาพจะดูใหญ่เกินจอ ( ล้นจอ ) แต่ที่เราเห็นไม่เต็มจอเป็นเพราะภาพนั้นถูกสเกลให้เล็กลง ให้ลองสังเกตที่หัวมุมด้านบนซ้ายของภาพจะบอกว่าภาพนั้นๆกำลังแสดงอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์ หากเราดูที่ 100 % เราจะต้องใช้แถบ cursor เลื่อนขึ้นลง หรือซ้ายขวา เนื่องจากว่าภาพมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จอมอนิเตอร์จะแสดงได้เต็มนั่นเอง 33. กล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดหนึ่งล้านต้นๆ ไปจนถึงห้าหกล้านพิกเซล จะมีระดับของความละเอียดให้ผู้ใช้เลือกบันทึกได้ตามความเหมาะสมของงานที่จะนำไปใช้ เนื่องจากความละเอียดที่สูงหรือต่ำเกินไปจะมีผลต่อคุณภาพของภาพที่สามารถนำไปใช้งานได้ ดังนั้นการเลือกความละเอียดที่ใช้ในการบันทึกก็คือการออกคำสั่งกับกล้องว่าเราต้องการภาพนั้นๆ สำหรับวัตถุประสงค์อะไร ความละเอียดที่สูงเกินจำเป็น ทำให้ได้ไฟล์ภาพที่ใหญ่เปลืองพื้นที่ของหน่วยบันทึกข้อมูล ใช้เวลาในการเปิดไฟล์นานในคอมพิวเตอร์ ในขณะที่ภาพที่บันทึกด้วยความละเอียดที่ต่ำเกินไปจะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงเมื่อนำไปอัด - ขยายเกินขอบเขตที่มันสามารถทำได้ ระดับความละเอียดที่เราสามารถเลือกได้สำหรับกล้องดิจิตอลทั่วไปจะเริ่มต้นที่ความละเอียดตั้งแต่ 640 x 480 ไปจนถึงระดับ 3072 x 2048 หรือสูงกว่านี้ในปัจจุบัน ที่ระดับความละเอียดของกล้องได้พัฒนาเพิ่มขึ้นไปอย่างมาก ทั้งนี้ไม่ว่ากล้องจะมีความละเอียดกี่ล้านพิกเซลก็ตาม จะต้องมีความละเอียดให้เลือกสำหรับบันทึกเพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ แต่ถ้าผู้ใช้ไม่เข้าใจหรือเลือกใช้ผิดวัตถุประสงค์ ผลลัพธ์อาจไม่ดีตามที่ต้องการก็ได้ 34. 3072 x 2048 ระดับ 6 ล้านพิกเซล 2592 x 1944 ระดับ 5 ล้านพิกเซล 2272 x 1704 ระดับ 4 ล้านพิกเซล 2048 x 1536 ระดับ 3 ล้านพิกเซล 1600 x 1200 ระดับ 2 ล้านพิกเซล 1280 x 960 ระดับ 1 ล้านพิกเซล ความละเอียดภาพนิ่งสูงสุด ที่กล้องสามารถบันทึกได้ ( โดยประมาณ ) ความละเอียดของกล้อง ( โดยประมาณ ) 35. 36. การปรับตั้งค่าสมดุลย์สีขาวหรือ White Balance เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในเรื่องของโทนสีโดยรวมของภาพดิจิตอล กล้องดิจิตอลต้องอาศัยค่าสีขาวที่เราเลือกก่อนการบันทึกเพื่อใช้อ้างอิงในการคำนวณหาค่าสีโดยรวมของภาพ หากเจาะลึกในรายละเอียดอาจยุ่งยากเนื่องจากเป็นเรื่องทางเทคนิคพอสมควรสำหรับผู้ที่ไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นจะขออธิบายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงเลยคือ แสงที่เราเห็นนั้นจะมีโทนสีที่ต่างกัน นั่นหมายถึงว่าแหล่งกำเนิดแสงต่างๆ ที่มีอยู่นั้นจะมีโทนสีที่แตกต่างกัน แม้แสงพระอาทิตย์ตั้งแต่เช้า - เย็นก็ยังแตกต่างกัน ( หรือเฉพาะเวลามีแดด กับไม่มีแดดก็ได้ ) 37. สภาพแสงต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกแบ่งเป็นอุณหภูมิสีของแสง ( องศาเคลวิน หรือ Kelvin) อุณหภูมิสีของแสงคือเฉดสีที่จะอมออกมาซึ่งจะส่งผลกับการมองเห็นวัตถุต่างๆ ของเรา เช่นในเวลากลางคืนหากอยู่ในห้องมืดๆ แล้วจุดเทียนไขขึ้นมาเล่มหนึ่ง ให้แสงเทียนส่องไปที่ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ใบหน้านั้นจะมีสีอมส้มเหลือง คล้ายๆ กับการนั่งอยู่ในห้องอาหารที่เปิดไฟหลอดไส้สลัวๆ ซึ่งใบหน้าทุกคนจะมีโทนสีอมส้มเหลือง รวมไปถึงวัตถุอื่นๆ ในห้องด้วย แต่หากเป็นห้องอาหารที่เปิดไฟหลอดนีออนทั่วไปโทนสีของใบหน้าและวัตถุต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป ในขณะเดียวกันในเวลาที่อยู่กลางแจ้งหากลองสังเกตดูใบไม้เวลาที่ท้องฟ้ามีเมฆมากเราจะเห็นใบไม้เป็นสีเขียวทึมๆ ในขณะที่เวลามีแสงแดดส่องกระทบใบไม้จะมีสีที่สว่างขึ้น ที่จริงโทนสีของสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นในชีวิตประจำวันในแต่ละสถานที่ แม้กระทั่งในบ้าน ในห้องต่างๆ ซึ่งใช้แหล่งกำเนิดแสงต่างกันนั้น จะมีความแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่แหล่งกำเนิดแสงนั้นๆ แต่เนื่องจากคนเราใช้ความคุ้นเคยหรือความจำมามีส่วนในการมองทำให้เราตัดความแตกต่างเหล่านั้นออกไป แต่เมื่อเราบันทึกภาพด้วยฟิล์มหรือกล้องดิจิตอลนั้น ปัญหาของโทนสีที่แตกต่างเหล่านี้จะแสดงผลออกมาค่อนข้างชัดทีเดียว 38. 39. เวลาที่ใช้ฟิล์มในการบันทึกภาพ เราจะคุ้นเคยกันดีกับภาพที่มีสีอมเขียว - ฟ้าเมื่อถ่ายภาพในห้องที่ใช้แสงไฟนีออน หรือเวลาถ่ายภาพตอนเช้าที่สีต่างๆ จะดูทึมๆอมน้ำเงินหน่อยๆ หรือเวลาถ่ายภาพในโรงแรมหรืองานเลี้ยงที่โทนสีโดยรวมจะเป็นสีอมส้มเหลือง สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักถ่ายภาพคงไม่สนใจที่จะหาฟิลเตอร์มาใส่หน้าเลนส์เพื่อช่วยแก้ไขความเพี้ยนสีเหล่านี้ ในขณะที่นักถ่ายภาพจะต้องใช้ฟิลเตอร์เข้าช่วยในการแก้ไขให้โทนสีที่เพี้ยนเหล่านี้ สำหรับกล้องดิจิตอลเนื่องจากไม่มีการกำหนดค่าสีขาวมาตรฐานไว้เหมือนฟิล์มที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป ทำให้มีข้อแตกต่างเนื่องจากกระบวนการที่ใช้ในการผลิตภาพแตกต่างกันออกไป 40. การใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าแหล่งกำเนิดแสงที่เราบันทึกภาพนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร เพื่อให้กล้องคำนวณค่าสีได้อย่างถูกต้อง เหมือนกับการใช้ฟิลเตอร์เข้าช่วยในการแก้ไขโทนสี ฟังชั่นนี้จึงถือเป็นข้อได้เปรียบของกล้องดิจิตอลที่เหนือกว่าฟิล์ม แต่เนื่องจากการเลือกปรับค่าสมดุลย์สีขาวหรือ White Balance จะมีผลต่อโทนสีโดยรวมของภาพ การเลือกใช้ที่ไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดสีเพี้ยนที่อาจดูแย่กว่าปกติได้ ( ซึ่งบางครั้งก็ยากต่อการแก้แม้จะใช้โปรแกรมตกแต่งภาพช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในภาพที่บันทึกมีแหล่งกำเนิดแสงที่แตกต่างกันอยู่ในภาพๆ เดียว ) 41. ระบบ White Balance จะทำหน้าที่แทนฟิลเตอร์เพื่อให้ได้สีที่เป็นธรรมชาติที่สุดภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่แตกต่างกัน เป็นหมวดกว้างๆ ทั้งนี้ความละเอียดในระดับการปรับตั้งค่า White Balance ที่สามารถตั้งได้จึงมีความสำคัญพอสมควร กล้องในระดับคอมแพคทั่วๆ ไปจะตั้งค่ามาตรฐานให้ ในขณะที่กล้องระดับโปรหน่อยจะสามารถให้เลือกปรับตั้งเป็นองศาเคลวินเอง หรือมีการปรับชดเชยค่า White Balance ให้มีระดับความเข้มที่แตกต่างกันออกไปได้ ( ต้องทดลองใช้ดูว่าแต่ละระดับมีความแตกต่างกันเพียงใด ) สำหรับในค่ามาตรฐานที่กล้องให้มานั้นมีหลักการคำนวณพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับความแม่นยำซึ่งแตกต่างกันออกไปตามยี่ห้อ - รุ่น ซึ่งข้อแตกต่างนี้จะเด่นชัดมากหากเลือกใช้ฟังชั่น White Balance ให้เป็นแบบอัตโนมัติ ) 42. 43. ค่ามาตรฐานของ White Balance ที่มีให้เลือกใช้ในกล้องทั่วๆ ไปจะแบ่งออกได้ดังนี้ Auto White Balance เป็นการปรับเลือกแบบอัตโนมัติโดยกล้องจะมีระบบวิเคราะห์จากโทนสีโดยรวมของภาพเพื่อทำการตั้งค่าแสงให้อัตโนมัติเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ระบบนี้จะใช้งานง่ายไม่ต้องเสียเวลาในการเลือกปรับเปลี่ยนบ่อยๆ แต่เนื่องจากการวิเคราะห์ค่าแสงเป็นสิ่งที่มีการเตรียมข้อมูลไว้ล่วงหน้าตามเกณฑ์กว้างๆ 44. 45. Daylight, Sunny หรือภาพพระอาทิตย์ เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพกลางแจ้ง หรือในเวลาที่มีแดดจ้า สภาพแสงจะใกล้เคียงกับสีขาวมากที่สุด โดยที่อุณหภูมิสีของแสงในการตั้งค่าล่วงหน้าของกล้องจะอยู่ที่ประมาณ 5000 - 6000 องศาเคลวิน การเลือกในลักษณะนี้จะใกล้เคียงกับภาพที่ได้เมื่อบันทึกด้วยฟิล์ม 46. Shade, Cloudy หรือภาพก้อนเมฆ เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพกลางแจ้งแต่สภาพท้องฟ้าค่อนข้างครึ้ม ไม่มีแดดหรือมีเมฆมาก เพื่อลดโทนสีน้ำเงินออกจากภาพไปบ้าง โดยทั่วไปจะทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ค่อยเห็นผลแตกต่างจากการเลือกปรับแบบ daylight หรือ auto เท่าไรนัก 47. สำหรับกล้องคอมแพคส่วนใหญ่แล้วการถ่ายภาพในร่ม shade หรือ เมฆมาก cloudy จะอยู่ด้วยกัน แต่สำหรับกล้องระดับสูงหน่อย อาจมีแยกให้เลือก ซึ่งในกรณีนี้ค่าของ shade จะใช้ถ่ายภาพในกรณีที่มีความครึ้มโดยรวมมากกว่า ( อุณหภูมิสีของแสงสูงกว่า cloudy ) เมื่อเลือกที่ shade ค่าของสีน้ำเงินจะถูกตัดทอนให้ลดลงมากกว่า cloudy 48. Incandescent, Tungsten, หรือภาพไฟหลอดไส้ เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพภายใต้แหล่งกำเนิดแสงที่มีสีอมส้มเหลืองมาก เพื่อลดโทนสีส้ม - เหลืองออกไป แต่หากใช้ผิดพลาดภาพจะออกมาอมน้ำเงินดูหลอกตาที่สุด การเลือกใช้จึงควรระวัง เพราะในบางกรณีที่สภาพแหล่งกำเนิดแสงไม่ได้เพี้ยนมากนัก การเลือกใช้ white balance ตัวอื่นอาจให้ค่าที่เหมาะสมกว่า 49. Fluorescent หรือภาพไฟนีออน เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงสำหรับการถ่ายภาพภายใต้แสงไฟนีออน ซึ่งจะให้สีอมเขียว จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทหลอดด้วย หลอด fluorescent ไม่มีอุณหภูมิสีที่แน่นอน ดังนั้นการตั้งค่าจึงออกจะเป็นกลางๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทของหลอดไฟเองก็มีหลายแบบ ทั้ง Warm White, Daylight, Cool White ซึ่งบางครั้งการเลือกตั้งค่าก็ค่อนข้างสับสน ทางที่ดีควรดูก่อนว่าตัวไหนให้เฉดสีที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด 50. 51. Custom White Balance เป็นการปรับสมดุลย์สีของแสงตามสภาพแสงที่ถ่ายจริงขณะบันทึกภาพ ซึ่งผู้ใช้จะต้องกำหนดเอง หากทำได้ถูกต้องก็จะให้ผลค่อนข้างแม่นยำ แต่หากผิดแล้วสีอาจเพี้ยนไปได้มาก 52. หลักสำคัญคือเวลาตั้งค่าต้องทำภายใต้แสงที่จะถ่ายจริงคือวัดแสงจากตรงตำแหน่งที่จะถ่ายเป็นหลัก การตั้งค่าค่อนข้างจะเหมือนกันคือให้ถ่ายภาพกระดาษสีขาวโดยซูมให้เต็มเฟรมภาพ ที่สำคัญคือตำแหน่งของกระดาษจะต้องอยู่ที่ตำแหน่งของการถ่ายภาพจริงๆเท่านั้น ในขณะที่กล้องบางรุ่นจะมีการปรับค่า white balance เป็นองศาเคลวินมาให้ผู้ใช้เลือกเอง ซึ่งในส่วนนี้ผู้ใช้คงต้องแม่นกับอุณหภูมิสีของแสงพอสมควร หรืออาจใช้เป็นลูกเล่นในการแต่งสีภาพเหมือนกับการใช้ฟิลเตอร์เติมสีสันให้กับภาพก็สามารถทำได้ 53. ประเภทไฟล์ภาพดิจิตอล - Digital File Compression ไฟล์ภาพดิจิตอลที่ได้จากกล้องที่มีความละเอียดสามล้านพิกเซลหลังการประมวลผลแล้วอาจมีขนาดใหญ่เกือบ 10 MB ( เมกกะไบท์ ) ดังนั้นกล้องดิจิตอลจึงต้องมีระบบการบีบอัดข้อมูลภาพเพื่อให้การบันทึกข้อมูลภาพดิจิตอลลงในหน่วยบันทึกข้อมูลเป็นไปอย่างเหมาะสม ระบบการบีบอัดที่ใช้มีทั้งแบบไม่สูญเสียข้อมูลและแบบสูญเสียข้อมูล ทั้งนี้การบีบอัดไฟล์ภาพแบบสูญเสียข้อมูลหากทำในระดับที่รุนแรง ก็จะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงไป ขาดความคมชัดและมีลักษณะของแถบสีเป็นตารางสี่เหลี่ยมเป็นปื้นๆ ได้ 54. 55. RAW - เป็นไฟล์ภาพที่มีให้เลือกบันทึกในกล้องระดับกลาง - สูง ไม่มีในกล้องคอมแพคทั่วๆ ไป การจัดเก็บข้อมูลเป็นแบบไม่มีการบีบอัด และยังไม่มีการประมวลผลข้อมูลใดๆ ภายในกล้อง ลักษณะไฟล์ภาพที่ได้เป็นข้อมูลดิบที่ส่งตรงมาจากตัวรับภาพ การแก้ไขค่าการบันทึกต่างๆ ในส่วนของสมดุลย์สีขาวหรือแม้แต่ค่าการบันทึกสามารถทำได้โดยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดไฟล์ด้วยโปรแกรมที่ให้มากับกล้อง ( ไฟล์ RAW ไม่สามารถนำไปอัดได้ทันที ต้องเปิดด้วยโปรแกรมของกล้องแล้วจึงแปลงไปเป็นไฟล์ประเภทอื่น ) ไฟล์ภาพประเภทนี้เหมาะสำหรับนักถ่ายภาพที่ต้องการคุณภาพของภาพสูงและต้องการแก้ไขปรับแต่งภาพก่อนนำไปอัด ไฟล์ภาพที่ได้จะมีขนาดใหญ่ปานกลาง คือใหญ่กว่าไฟล์ JPEG แต่เล็กกว่าไฟล์ TIFF ที่ระดับความละเอียดที่ใช้ในการบันทึกเป็นระดับเดียวกัน 56. 57. TIFF - เป็นไฟล์ภาพที่นิยมใช้มากในกล้องรุ่นก่อนๆ ปัจจุบันนี้มีให้เห็นน้อยลง เนื่องจากไฟล์ TIFF จะค่อนข้างใหญ่และสิ้นเปลืองพื้นที่ในการจัดเก็บมาก TIFF เป็นการบีบอัดข้อมูลในลักษณะไม่สูญเสีย หมายถึงว่าเมื่อคลายออกมาแล้วจะได้ข้อมูลสีต่างๆ ครบถ้วน ทำให้คุณภาพของภาพที่ได้สมบูรณ์ไม่ถูกตัดทอนออกไป ภาพที่บันทึกเป็นไฟล์ TIFF สามารถนำมาแก้ไข - ปรับแต่งสีได้ แต่การแก้ไขต่างๆ เป็นไปในรูปแบบของการแก้ หรือแต่งภาพ ( ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน RAW ซึ่งเป็นการแก้ลงไปในข้อมูลภาพก่อนการประมวลผล ) ไฟล์ TIFF สามารถนำไปอัดได้ตามแล็ปทั่วไป แต่ต้องใช้เวลานานในการเปิดไฟล์ บางร้านจะไม่นิยมให้ลูกค้าบันทึกในฟอร์แมทนี้เท่าไรนักเพราะกินพื้นที่ RAM ของเครื่องพอสมควร 58. 59. JPEG - เป็นไฟล์ภาพที่นิยมใช้มากที่สุดในกล้องดิจิตอล ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ไฟล์ในนามสกุลนี้เป็นการบีบอัดไฟล์แบบสูญเสียข้อมูลภาพ แต่เนื่องจากข้อมูลที่สูญเสียส่วนใหญ่จะเป็นส่วนที่สายตามนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ ทำให้คุณภาพของภาพที่บันทึกแบบ JPEG นี้ดูมีความสมบูรณ์ไม่แตกต่างจากไฟล์ TIFF เท่าไรนัก ( ดูภาพเรือด้านบนประกอบ ) แต่มีขนาดไฟล์ที่เล็กกว่ากันมาก ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้กันในกล้องทั่วๆ ไป ทั้งนี้คุณภาพของภาพจะใกล้เคียงกับไฟล์ TIFF ได้นั้นระดับการบีบอัดหรือการตัดทอนข้อมูลต้องไม่มากจนเกินไป เพราะไฟล์ JPEG โดยปกติแล้วจะมีระดับการบีบอัดให้เลือกใช้ การบีบอัดไฟล์แบบน้อยที่สุด จะให้คุณภาพของภาพที่ดี แต่การเลือกบีบอัดที่รุนแรงจะทำให้คุณภาพของภาพด้อยลงไปด้วย ปกติแล้วกล้องดิจิตอลจะมีระดับการบีบอัดไฟล์แบบ JPEG ให้เลือก 2 - 3 ระดับ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกใช้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการประหยัดพื้นที่จัดเก็บหรือหน่วยบันทึกข้อมูลเป็นหลักใหญ่ ดังนั้นหากผู้ใช้เลือกใช้ไม่เหมาะสมแม้ว่าจะประหยัดพื้นที่ไปได้ แต่ก็จะได้ภาพที่มีคุณภาพไม่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปอัด - ขยาย เพิ่มจากขนาดมาตรฐานที่กล้องระบุไว้ ณ ความละเอียดที่ใช้บันทึก 60. Exposure Control - ระบบบันทึกภาพของกล้อง Exposure Control คือหัวใจสำคัญของกล้องดิจิตอลในการสร้างภาพที่สวยงามตามจินตนาการของผู้ถ่ายภาพ กล้องแต่ละรุ่นจะมีขีดความสามารถในส่วนของระบบบันทึกภาพที่แตกต่างกัน ระบบที่สามารถทำงานได้หลากหลายหรืออนุญาตให้ผู้ถ่ายภาพเปลี่ยนค่าการบันทึกต่างๆ ได้ ส่วนมากแล้วจะอยู่ในกล้องรุ่นที่มีราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกันรุ่นที่ระบบบันทึกทั่วไปเป็นแบบอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ แต่ไม่ว่าจะเป็นกล้องในกลุ่มไหน การทำความเข้าใจกับระบบควบคุมการบันทึกภาพต่างๆ ของกล้องอาจช่วยให้เราสามารถควบคุมกล้องได้ดียิ่งขึ้น 61. กล้องดิจิตอลมีระบบบันทึกภาพที่สามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ระบบบันทึกภาพนิ่ง และระบบบันทึกภาพเคลื่อนไหว (Movie Clip) นอกจากนี้แล้วปัจจุบันมีกล้องหลายรุ่นที่มีระบบรองรับการบันทึกเฉพาะเสียงอย่างเดียว ทำหน้าที่คล้ายกับเทปอัดเสียงซึ่งสามารถบันทึกได้เป็นระยะเวลานานกว่าที่จะบันทึกภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง อย่างไรก็ตามสำหรับกล้องดิจิตอลที่เน้นกลุ่มนักถ่ายภาพโดยตรง ฟังก์ชั่นในส่วนของการบันทึกภาพนิ่งจะเป็นสิ่งที่บริษัทผู้ผลิตให้ความสำคัญสูงสุด จะเห็นได้ว่าในกล้องระดับกึ่งมืออาชีพหรือมืออาชีพจะไม่มีฟังก์ชั่นการบันทึกภาพเคลื่อนไหว (Movie Clip) 62. ในกล้องดิจิตอลจะมีระบบการบันทึกภาพอัตโนมัติมาให้เป็นมาตรฐานเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ( เป็นภาพกล้องถ่ายรูป หรือตัว P) กล้องรุ่นที่รองรับนักถ่ายภาพสมัครเล่นหรือกึ่งโปรจะมีระบบบันทึกภาพแบบอื่นให้เลือกใช้นอกจากระบบบันทึกแบบอัตโนมัติเพื่อประโยชน์ในการสร้างสรรค์งานภาพตามความต้องการ การมีระบบการบันทึกภาพที่หลากหลายมากขึ้นนี้จะช่วยให้ผู้ใช้กล้องสามารถบันทึกภาพและสร้าง effect ต่างๆ ให้กับภาพถ่ายได้มากขึ้น ระบบต่างๆ ที่มีใช้อยู่คือ ระบบบันทึกภาพนิ่ง 63. P ( Programmed Auto Exposure) - ระบบโปรแกรมบันทึกภาพอัตโนมัติ A (Aperture Priority Auto Exposure) - ระบบโปรแกรมบันทึกภาพ แบบเลือกค่ารูรับแสง ( กล้องแคนนอนจะใช้ AV) S (Shutter Priority Auto Exposure) - ระบบโปรแกรมบันทึกภาพ แบบเลือกค่าความไวชัตเตอร์ ( กล้องแคนนอนจะใช้ TV) M (Manual) - ระบบการปรับตั้งค่าการบันทึกโดยผู้ใช้ 64. 65. 66. 67. 68. 69. 70. 71. 72. 73. 74. 75. 76. 77. 78. 79. 80. 81. 82. 83. 84. 85. 86. 87. 88. 89. 90. 91. 92. 93. 94. 95. 96. 97. 98. 99. 100.