อิทธิพลของความชื้นและแสงแดดต่อการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังในวัด2. EFFECTS OF MOISTURE AND SUNLIGHT ON MURAL PAINTINGS IN TEMPLES
MISS KATUNCHALEE WECHWIMOL
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements
for the Degree of Master of Science in Environmental Science
Inter-Departmental Program in Environmental Science
Graduate School
Chulalongkorn University
Academic Year 2000
ISBN 974-13-1274-1
3. หัวขอวิทยานิพนธ อิทธิพลของความชื้นและแสงแดดตอการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝา
ผนังในวัด
โดย นางสาวกตัญชลี เวชวิมล
สาขาวิชา วิทยาศาสตรสภาวะแวดลอม
อาจารยที่ปรึกษา ผูชวยศาสตราจารย ดร. สุรพล สุดารา
อาจารยที่ปรึกษารวม นางจิราภรณ อรัณยะนาค
บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย อนุมัติใหนับวิทยานิพนธฉบับนี้เปนสวน
หนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต
……………………………………..คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย
(ศาสตราจารย ดร. สุชาดา กีระนันทน)
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ
……………………………………………..ประธานกรรมการ
(ผูชวยศาสตราจารย ดร. พิพัฒน พัฒนผลไพบูลย)
……………………………………………..อาจารยที่ปรึกษา
(ผูชวยศาสตราจารย ดร. สุรพล สุดารา)
………………………………………..อาจารยที่ปรึกษารวม
(นางจิราภรณ อรัณยะนาค)
……………………………………………..กรรมการ
(ผูชวยศาสตราจารย ดร. กําธร ธีรคุปต)
4. กตัญชลี เวชวิมล : อิทธิพลของความชื้นและแสงแดดตอการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนัง
ในวัด. (EFFECTS OF MOISTURE AND SUNLIGHT ON MURAL PAINTINGS IN
TEMPLES) อ. ที่ปรึกษา : ผศ. ดร. สุรพล สุดารา อ. ที่ปรึกษารวม : นางจิราภรณ อรัณยะ
นาค, 96 หนา. ISBN 974-13 -1274-1.
เปนที่ทราบกันวาความชื้นและแสงแดดเปนสาเหตุหลักตอการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังในประเทศ
ไทย การศึกษาปจจัยเหลานี้ไดเลือกวัดเปาโรหิตยใหเปนตัวอยางของวัดที่มีการตัดผนังโดยสอดแผนเหล็กไรสนิมเพื่อ
กันความชื้นจากใตดิน และเลือกวัดสุวรรณารามราชวรวิหารเปนตัวอยางของวัดที่ไมไดตัดผนังกันความชื้น เนื่องจาก
วัดทั้งสองอยูใกลแหลงน้ําและภาพจิตรกรรมอยูในสมัยใกลเคียงกัน โดยมีการศึกษาปริมาณความชื้นบนผนัง ความชื้น
สัมพัทธในอากาศ ปริมาณความเขมแสงบนผนัง และรังสีอัลตราไวโอเลตบนผนัง สวนการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝา
ผนังภายในอุโบสถนั้น ศึกษาจากเปอรเซ็นตการเสื่อมสภาพและชนิดของเกลือบนผนัง ผลการศึกษายืนยันวาการตัด
ผนังกันความชื้นโดยใชแผนเหล็กไรสนิมฝงในผนังนั้นสามารถกันน้ําซึมจากใตดินได แตยังคงมีปญหาจากเกลือที่ยัง
หลงเหลือในผนัง วัดเปาโรหิตยมีปริมาณความชื้นบนผนังนอยกวาวัดสุวรรณารามฯ แตความชื้นสัมพัทธในอากาศ
ภายในอุโบสถของทั้ง 2 วัดไมแตกตางกัน โดยที่วัดสุวรรณารามฯ มีความชื้นสัมพัทธในอากาศภายในอุโบสถนอยกวา
ภายนอกอุโบสถ ในขณะที่วัดเปาโรหิตยมีความชื้นสัมพัทธในอากาศทั้งภายในและภายนอกอุโบสถไมแตกตางกัน โดย
ปริมาณความชื้นบนผนังของทั้ง 2 วัด มีความสัมพันธแปรตามความชื้นสัมพัทธในอากาศภายในอุโบสถ การ
เปลี่ยนแปลงของปริมาณความชื้นบนผนังจะขึ้นอยูกับ ความสูงจากพื้นของตําแหนงที่วัดความชื้น ฤดูกาล และทิศที่ตั้ง
ของผนัง สําหรับชวงเวลาของวันนั้นพบวาไมมีผลตอการเปลี่ยนแปลงปริมาณความชื้นบนผนัง นอกจากนี้พบวาวัดเปา
โรหิตยมีปริมาณความเขมแสงและรังสีอัลตราไวโอเลตบนผนังมากกวาวัดสุวรรณาราม โดยที่การเปลี่ยนแปลงปริมาณ
ความเขมแสงและรังสีอัลตราไวโอเลตบนผนังขึ้นอยูกับฤดูกาล ชวงเวลาของวันและทิศที่ตั้งของผนัง ในวัดเปาโรหิตย
พบวาปริมาณความชื้นบนผนังมีความสัมพันธแปรตามปริมาณความเขมแสงและอัลตราไวโอเลต แตเปนความสัมพันธ
ในระดับนอยมาก ในขณะที่วัดสุวรรณารามฯ ปริมาณความชื้นบนผนังไมมีความสัมพันธกับปริมาณความเขมแสงและ
รังสีอัลตราไวโอเลต การเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังในวัดสุวรรณารามฯคิดเปนเปอรเซ็นตพบวามีความสัมพันธ
แปรตามปริมาณความชื้นบนผนัง แตไมมีความสัมพันธกับปริมาณความเขมแสงและรังสีอัลตราไวโอเลตบนผนัง
ในขณะที่วัดเปาโรหิตย เปอรเซ็นตการเสื่อมสภาพไมสามารถหาความสัมพันธกับทั้ง 3 ปจจัยได เพราะสวนลางของ
จิตรกรรมฝาผนังไดถูกฉาบปูนไวจึงไมมีภาพเหลืออยูในสวนนี้แลว เกลือที่พบบนผนังของทั้ง 2 วัดนั้นพบวาเปนเกลือที่
เปนสวนประกอบของวัสดุกอสราง ไมใชเกลือที่มาจากน้ําใตดิน
สหสาขาวิชา…..วิทยาศาสตรสภาวะแวดลอม……ลายมือชื่อนิสิต……………………………………
สาขาวิชา…..วิทยาศาสตรสภาวะแวดลอม………ลายมือชื่ออาจารยที่ปรึกษา………………………
ปการศึกษา…..2543………………………………ลายมือชื่ออาจารยที่ปรึกษารวม…………………
5. # # 4172201923 : MAJOR INTER-DEPARTMENT OF ENVIRONMENTAL SCIENCE
KEY WORD: MURAL PAINTING / DETERIORATION / MOISTURE / SUNLIGHT / CULTURAL ENVIRONMENT
KATUNCHALEE WECHWIMOL : อิทธิพลของความชื้นและแสงแดดตอการเสื่อมสภาพของ
จิตรกรรมฝาผนังในวัด (EFFECTS OF MOISTURE AND SUNLIGHT ON MURAL PAINTINGS IN
TEMPLES) THESIS ADVISOR : ASSIST. PROF. SURAPHOL SUDARA, Ph.D., THESIS
COADVISOR : CHIRAPORN ARANYANARK, 96 pp. ISBN 974-13-1274-1.
Moisture and sunlight are known to be the main factors causing deterioration to the mural
paintings in Thailand. To study these factors, Wat Paorohit, which already inserted stainless steel
sheets into the wall to prevent rising damp, had been selected to compare with Wat Suwannaram
Ratchaworaviharn, which did not do so. These two temples were selected since their locations were
closed to the water catchments and these two temples were decorated with the same age mural
paintings. The study involved moisture on surface wall, relative humidity, light intensity and UV
radiation on surface wall. The study on deterioration of the mural painting was the estimation in
percentage of deterioration space together with analyzing the component of various salt remained on
surface wall. The study revealed that waterproof membrane can prevent rising damp but the problem
still exists from the remaining salt on the wall. The moisture on surface wall in Wat Paorohit was lower
than in Wat Suwannaram. The relative humidity in the interior of both of temples was not different. The
interior relative humidity in Wat Suwannaram was higher than the exterior relative humidity, but the
interior relative humidity in Wat Paorohit was not different from the exterior relative humidity. Moisture
on surface wall of both temples related to interior relative humidity. Moisture on surface wall
depended on the height levels from ground, seasons and position of the wall. No difference on time
of the day for moisture on surface wall. Furthermore, light intensity and UV radiation in Wat Paorohit
were higher than Wat Suwannaram. Light intensity and UV radiation depended on seasons, time of
the day and position of wall. Moisture on surface wall in Wat Paorohit related to light intensity and UV
radiation but in a rather low level. While moisture on surface wall in Wat Suwannaram did not relate to
light intensity nor UV radiation. Percentage in deterioration of mural paintings in Wat Suwannaram
showed relation to moisture on surface wall but did not show relation to light intensity and UV
radiation on the wall. While in Wat Paorohit, percentage in deterioration could not be concluded on
the relationships to all of three factors because the lower part of mural painting in this temple used to
be cover with mortar. Varieties of salt found on the walls of both temples are composite of building
materials, which is not salt from rising damp.
Department..Inter-department of Environmental Science Student’s signature…………………………
Field of study…..Environmental Science………………… Advisor’s signature…………………………
Academic year……….2000……………………………….. Co-advisor’s signature……………………..
6. กิตติกรรมประกาศ
วิทยานิพนธฉบับนี้สําเร็จลุลวงไปไดดวยดี เนื่องจากความชวยเหลือของบุคคล และ
หนวยงาน ดังตอไปนี้
ผูวิจัยขอกราบขอบพระคุณเจาอาวาสวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร และเจาอาวาสวัดเปา
โรหิตย ที่ใหความอนุเคราะหในการใชสถานที่ปฏิบัติการวิจัย รวมทั้งทานพระครูเมธังกร หลวงตา
ประเสริฐ และเณรขวัญ ที่ชวยอํานวยความสะดวกในการใชสถานที่
ขอกราบขอบพระคุณ อาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธ ผูชวยศาสตราจารย ดร.สุ
รพล สุดารา และผูชวยศาสตราจารย ดร.กําธร ธีรคุปต ที่ใหคําแนะนํา ปรึกษา และชวยเหลือ
ผูวิจัยดวยดีตลอดมา
ขอกราบขอบพระคุณ อาจารยจิราภรณ อรัณยะนาค ที่กรุณาสละเวลามาเปนอาจารยที่
ปรึกษาวิทยานิพนธรวม พรอมทั้งใหคําแนะนํา ปรึกษา และชวยเหลือเปนอยางดียิ่ง
ขอขอบพระคุณสวนวิทยาศาสตรเพื่อการอนุรักษ ที่ใหความอนุเคราะหเครื่องมือ
Thermohygrograph, Lux Meter และ UV Monitor ในการทําการวิจัย รวมทั้งขอขอบพระคุณ
คุณกิ่งกมล จุลประสิทธิ์พงษ คุณวาสนา สายัณหันสมิตร และเจาหนาที่ทุกทานที่ชวยอํานวยความ
สะดวกในการทําวิจัยครั้งนี้
ขอขอบพระคุณ สหสาขาวิชาวิทยาศาสตรสภาวะแวดลอม ที่ใหความอนุเคราะห
เครื่องมือ Moisture Meter ในการทําวิจัย และสนับสนุนทุนวิจัยบางสวน และขอขอบพระคุณ
บัณฑิตวิทยาลัยที่มอบทุนอุดหนุนการวิจัยในการทําวิทยานิพนธครั้งนี้ดวย
ขอขอบคุณ คุณเบญจมาศ วองวรกิจ คุณฐิติยา เทวัญอิทธิกร คุณปวีณา ดานกุล คุณศิ
ริวรรณ แกวงาม คุณชนิตรนันทน จั่นมณี คุณสรวุฒิ อัครวัชรางกูร คุณจิณัฐตา วัดคํา คุณพัชริ
นทร ฉัตรประเสริฐ คุณสมานชัย เลิศกมลวิทย และคุณกฤติมา ทศชนะ ที่คอยชวยเหลือและให
กําลังใจ รวมทั้งเพื่อน ๆ ทุกคนที่ใหกําลังใจเสมอมา
ขอขอบคุณ คุณภวีณา เวชวิมล คุณปวิณและคุณปวรรษ กมลเสรีรัตน ที่ชวยเก็บ
ตัวอยางตลอดระยะเวลาที่ทําการวิจัย และชวยลงแรงในดานตาง ๆ
ขอกราบขอบพระคุณ คุณประทม กมลเสรีรัตน คุณปาของผูวิจัย ที่คอยชวยเหลือและให
กําลังใจเสมอ
สุดทายนี้ ผูวิจัยขอกราบขอบพระคุณคุณพอและคุณแม ที่สนับสนุน และชวยเหลือในทุก
ๆ ดาน รวมทั้งใหความรัก ความหวงใย และเปนกําลังใจใหแกผูวิจัยตลอดมา
14. บทที่ 1
บทนํา
1.1 ความเปนมาและความสําคัญของปญหา
ประเทศไทยมีพุทธศาสนาเปนศาสนาคูบานคูเมืองมาชานาน โบราณสถานที่มีอยู
มากมายทั่วทุกภาคของประเทศจึงเปนสิ่งกอสรางประเภทวัดเสียเปนสวนใหญ โบราณสถาน
ดังกลาวมักมีจิตรกรรมฝาผนังที่สรางขึ้นเพื่อนอกจากประดับศาสนสถานใหงดงามแลว ยังทําให
ผูชมภาพเกิดความรูสึกเลื่อมใสศรัทธา และไดทราบเรื่องราววรรณกรรมและคําสั่งสอนใน
พระพุทธศาสนา ความงามของจิตรกรรมฝาผนังอันบงใหเห็นถึงรสนิยมและคุณลักษณะพิเศษที่
เปนเอกลักษณของชาติไทยโดยเฉพาะ นอกจากนี้จิตรกรรมฝาผนังยังมีคุณคาในฐานะเปน
แหลงขอมูลสําหรับการศึกษาทางวิชาการดานตาง ๆ ในอดีต ไมวาจะเปนดานประวัติศาสตร
โบราณคดี ชีวิตความเปนอยู จารีตประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนวิวัฒนาการในแตละยุคสมัย
เนื่องจากชางเขียนในสมัยใดยอมถายทอดสิ่งแวดลอม และความเปนไปในสมัยนั้นไวในจิตรกรรม
ที่ทานสรางขึ้น ดังนั้นจิตรกรรมฝาผนังซึ่งเปนหลักฐานสําคัญของชาติจึงควรไดรับการอนุรักษใหคง
อยูสืบไปจนถึงคนรุนหลัง
การอนุรักษจิตรกรรมฝาผนังเปนวิชาการที่นําความรูดานวิทยาศาสตรมาผสมผสานกับ
ความรูดานเทคนิคการชางไทยโบราณ ซึ่งสําหรับการทํางานดานวิทยาศาสตร วิธีที่ดีที่สุดของการ
อนุรักษตองเริ่มจากการหาสาเหตุของการเสื่อมสภาพ เพื่อจะไดหาวิธีปองกันและกําจัดสาเหตุ
ทั้งหลายเหลานั้น
การเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังสวนใหญมีสาเหตุมาจาก ปจจัยสิ่งแวดลอมตาง ๆ
ตามธรรมชาติ และจากการกระทําของมนุษย โดยถามีการจัดการที่ดีและมีการดูแลที่ เขมงวด
จะสามารถควบคุมการเสื่อมสภาพที่เกิดจากการกระทําของมนุษยไวได แตสําหรับการเสื่อมสภาพ
ที่เกิดจากปจจัยสิ่งแวดลอมตาง ๆ ตามธรรมชาตินั้น ความรูและขอมูลในเรื่องดังกลาวในเมืองไทย
ยังมีอยูนอย ทําใหการควบคุมและการจัดการเพื่ออนุรักษจิตรกรรมฝาผนังเปนไปไดยาก จึงควรมี
การศึกษาเรื่องปจจัยสิ่งแวดลอมที่มีผลตอการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังใหมากขึ้น
15. 2
ประเทศไทยที่มีภูมิอากาศแบบรอนชื้น ปจจัยสิ่งแวดลอมที่เปนสาเหตุสําคัญตอการ
เสื่อมสภาพของโบราณสถาน รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังดวย คือ ความชื้น และแสงแดด เนื่องจาก
ประเทศไทยตั้งอยูในพื้นที่ที่ไดรับอิทธิพลของลมมรสุมเขตรอน และมีความแตกตางระหวางฤดูฝน
และฤดูแลงคอนขางมาก โดยในฤดูฝนมีฝนตกถึง 5 เดือน จากกลางเดือน พฤษภาคม ถึง
กลางเดือน ตุลาคม ขณะที่อีก 7 เดือนที่เหลือซึ่งเปนฤดูแลง มีฝนตกเพียงเล็กนอยเทานั้น ทําใหมี
การระเหยของน้ําสม่ําเสมอตลอดทั้งป ดังนั้น การมีฝนตกจึงเปนตัวแทนของฤดูฝนขณะที่การ
ระเหยของน้ําเปนตัวแทนในฤดูแลง (Meteorological Department, 1994 อางถึงใน Kuchitsu,
Ishizaki และ Nishiura, 1999) ซึ่งการมีฝนตกและการระเหยของน้ํายอมเกี่ยวของกับความชื้น
และแสงแดดอยางหลีกเลี่ยงไมได
ความชื้นเปนตัวการที่ทําใหวัสดุเกิดการเสื่อมสภาพทั้งกระบวนการทางกายภาพ เคมี
และชีววิทยา เชน การเกิดรอยความชื้นบนผนัง การเกิดผลึกเกลือโดยความชื้นชักนํามาจากใตดิน
การทําปฏิกิริยาระหวางวัสดุกับสารในบรรยากาศและในดินโดยใชความชื้นเปนตัวกลาง และการ
ใชความชื้นในการเจริญเติบโตบนวัสดุของพืช จุลินทรีย และแมลงตาง ๆ (Richardson, 1991)
สําหรับแสงแดดจะทําใหวัสดุที่ทําจากอินทรียวัตถุเสื่อมสภาพอยางเห็นไดชัด โดยจะเปลี่ยนแปลง
ลักษณะทั้งทางกายภาพและเคมีของวัสดุ เชน ทําใหผนังมีสภาพแหงกรอบ เปราะ บางครั้งเปอย
ยุย สีซีดจางหรือสีเปลี่ยนไปจากเดิม (จิราภรณ อรัณยะนาค, 2540) นอกจากนี้ยังมีผลตอการ
เปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาดวย โดยแสงเปนปจจัยสําคัญในการสังเคราะหแสง ทําใหเอื้อตอการ
เจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตบนวัสดุ (โรจน คุณเอนก, 2540)
ไดเริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับการแกปญหาความชื้นในประเทศไทย คือการศึกษาเรื่องการ
ปองกันความชื้นจากน้ําใตดิน เพราะเปนอันตรายที่เกิดขึ้นอยางรายแรงกับจิตรกรรม ฝาผนัง วิธี
ปองกันคือการตัดความชื้นไมใหน้ําจากใตดินซึมขึ้นไปสูผนังได โดยการเจาะผนังแลวฝงแผนเหล็ก
ไรสนิมเขาไปวางไวในฝาผนัง เพื่อมิใหความชื้นมาจากพื้นสูผนังเหนือแผนเหล็กดังกลาว วัดใน
กรุงเทพมหานครที่ไดแกปญหาโดยการตัดความชื้นแลว ไดแก วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร วัดบาง
ขุนเทียนใน วัดชองนนทรี วัดเปาโรหิตย และวัดในตางจังหวัด ไดแก วัดหนอพุทธางกูล จังหวัด
สุพรรณบุรี วัดเกาะแกวสุทธาราม และวัดใหญสุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี วัดใหญอินทาราม
และวัดใตตนลาน จังหวัดชลบุรี เปนตน (จิราภรณ อรัณยะนาค, 23 กรกฎาคม 2542, สัมภาษณ)
16. 3
การศึกษาครั้งนี้ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการตัดความชื้นที่ผนัง และ เปรียบเทียบ
การเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังหลังจากการแกปญหาโดยการตัดความชื้นที่ผนัง ที่วัดเปา
โรหิตย โดยเปรียบเทียบกับวัดที่ยังไมไดตัดความชื้น ที่วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร โดยศึกษาจาก
ปริมาณความชื้น ลักษณะการทําลายที่สังเกตเห็นไดบนผิวอาคาร และการเกิดผลึกเกลือ รวมทั้ง
ศึกษาลักษณะการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังที่มีสาเหตุมาจากแสงแดด โดยเปรียบเทียบ
ความเขมแสงและรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีผลตอการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนัง
1.2 วัตถุประสงคของการศึกษา
1. เปรียบเทียบปจจัยดานความชื้นและแสงแดดในวัดที่แกปญหาเรื่องความชื้นกับวัดที่
ไมไดแกปญหาเรื่องความชื้น
2. เพื่อศึกษาลักษณะการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังที่มีสาเหตุมาจากความชื้น ใน
วัดที่ทําการศึกษา ในรอบป
3. เพื่อศึกษาลักษณะการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังที่มีสาเหตุมาจากแสงแดด ใน
วัดที่ทําการศึกษา ในรอบป
1.3 ขอบเขตของการศึกษา
1. การศึกษาจะทําภายในอุโบสถของวัดเปาโรหิตย และวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร
โดยจะศึกษาเฉพาะจิตรกรรมบนผนังชวงลางซึ่งเปนหองภาพระหวางชองประตูและหนาตาง
เทานั้น
2. ศึกษาปจจัยของความชื้น จะศึกษาโดยการวัดความชื้นสัมพัทธในอากาศภายใน
อุโบสถ และความชื้นบนผนัง
3. ศึกษาปจจัยของแสงแดด จะศึกษาโดยการวัดความเขมแสงและปริมาณรังสี
อัลตราไวโอเลตบนผนัง
4. ศึกษาลักษณะการเสื่อมสภาพจากความชื้นและแสงแดด จะศึกษาโดยการประเมิน
เปอรเซ็นตการเสื่อมสภาพของผนัง และการหาชนิดของเกลือบนผนังเทานั้น
18. บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ
2.1 จิตรกรรมฝาผนัง
จิตรกรรม คืองานศิลปะสาขาหนึ่ง ที่เรียกวาวิจิตรศิลป หรือวิสุทธิศิลป หมายถึงศิลปะ
บริสุทธิ์ ซึ่งเกิดจากการสรรคสรางของจิตรกร ทั้งทางความคิด ความบันดาลใจ และจินตนาการ จน
เกิดเปนมโนภาพ ซึ่งชางเขียนจะถายทอดมโนภาพนั้นใหปรากฏออกมาเปนภาพเขียน คือเปนการ
สรางสรรคสิ่งที่เปนนามธรรมใหปรากฏเปนรูปธรรม อันจะทําใหผูชมเกิดความประจักษแหงศิลปะ
นั้น และมีผลใหจิตใจเปนสุขในทางคุณธรรม จริยธรรม และสุนทรียศาสตร นั่นก็คือ จิตรกรรมเปน
เครื่องสงเสริมใหจิตใจสูงขึ้น (วรรณิภา ณ สงขลา, 2528)
การเขียนจิตรกรรมฝาผนังมีวัตถุประสงคเพื่อจะตกแตงพื้นผนังใหสวยงาม แตอยางไรก็
ดีลักษณะของจิตรกรรมนั้นก็ขึ้นอยูกับลักษณะของตัวอาคารที่สรางขึ้นดวย สําหรับในประเทศไทย
เรานั้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังสวนใหญมักจะปรากฏอยูภายในโบสถหรือวิหาร ซึ่งเปนการเขียนเรื่อง
เกี่ยวกับศาสนาเปนสวนใหญ เปนตนวาเขียนเปนรูปพระพุทธเจา หรือเรื่องราวที่มีอยูในพุทธ
ประวัติและในนิทานชาดก ทั้งนี้ก็เพื่อจะนอมนําชักจูงใหผูดูเกิดความเลื่อมใสและซาบซื้งในรสพระ
ธรรมคําสั่งสอนยิ่งขึ้น และอีกประการหนึ่ง ภายในโบสถวิหาร เมื่อไดเขาไปแลวจะตองชวยให
คนเราเกิดความรูสึกปลีกตนไปเสียจากโลกภายนอก เพราะเหตุนี้ภาพจิตรกรรมในโบสถวิหารจึง
ตองใหความรูสึกสงบและลี้ลับดวย (ชมพูนุท พงษประยูร, 2512)
2.1.1 ลักษณะของจิตรกรรมสมัยตาง ๆ ในประเทศไทย
วรรณิภา ณ สงขลา (2528) กลาววาลักษณะของจิตรกรรมสมัยตาง ๆ มีระเบียบแบบ
แผน เปนเอกลักษณของแตละยุคแตละสมัย จําแนกไดดังนี้
สมัยกอนประวัติศาสตร ในสมัยยุคหินยังไมพบหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับจิตรกรรม
ฝาผนัง จิตรกรรมที่พบสวนใหญอยูในยุคสําริด ซึ่งมีอายุประมาณ 4500-2000 ป เปนจิตรกรรมบน
หิน ผนังถ้ํา เพิงผา หรือภาชนะดินเผา การเขียนภาพในยุคนี้ ใชวิธีเขียนสีผสมกาวลงบนฝาผนังหิน
ไมมีรองพื้น สําหรับลวดลายที่เขียนบนภาชนะดินเผา เปนเทคนิคอยางหนึ่ง ซึ่งเขียนดวยสีดินแดง
บนภาชนะดินดิบ เสร็จเรียบรอยแลวจึงนําไปเผา
19. 6
สมัยทวารวดี เปนงานจิตรกรรมเริ่มแรกของสมัยประวัติศาสตร จิตรกรรมเปนภาพ
ลายเสนสลักบนแผนหิน แผนอิฐ แผนโลหะ และลวดลายปูนปน โดยเขียนเปนรูปลวดลาย รูปคน
และสัตวตาง ๆ จิตรกรรมมีอิทธิพลของศิลปะแบบคุปตะของอินเดีย มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่
11-13 สีที่ใชเขียนมีสีดินแดง ดินเหลือง ดํา(เขมา) และขาว(หินปูน) จิตรกรรมบางแหงในสมัยทวาร
วดีนี้มีลักษณะนาสันนิษฐานวาเขียนขึ้นดวยเทคนิคการเขียนสีปูนเปยก (Real Fresco
Technique)
สมัยศรีวิชัย จิตรกรรมฝาผนังในถ้ําศิลปะ จังหวัดยะลา มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่
13-18 มีรูปแบบและลักษณะของจิตรกรรมเปนแบบศรีวิชัย เขียนสีเอกรงค วรรณะสวนใหญเปนสี
ดินแดง และมีสีดินเหลือง ขาว ดํา เปนสวนประกอบ เทคนิคการเขียนภาพเขียนดวยสีฝุนบนพื้น
ผนังถ้ําที่เตรียมรองพื้นดวยสีขาว ภาพเปนเรื่องพระพุทธประวัติ ภาพพระพุทธรูปมีลักษณะคลาย
ประติมากรรมชวา
สมัยสุโขทัย มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-19 จิตรกรรมเปนเรื่องชาดกและภาพ
พระพุทธรูป ซึ่งมีลักษณะคลายแบบพระพุทธรูปอินเดียและลังกา การเขียนภาพใชเทคนิคสีฝุน
ผสมกาว วรรณะของสีเปนเอกรงคและปดทอง สีที่ใชมีสีแดง เหลือง ดําและขาว
สมัยอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 20 - พ.ศ. 2310 จิตรกรรมไทยไดมีวิวัฒนาการอยาง
กวางขวางและชัดเจน เริ่มตั้งแตกลางพุทธศตวรรษที่ 20 สามารถจัดแยกเปน 3 ยุค ดังนี้
ยุคที่ 1 (พ.ศ. 1895 - 2031) จิตรกรรมฝาผนังมีรูปแบบเปนภาพเทวดาขนาดเล็ก อาจทํา
ตามแบบภาพในสมุดไตรภูมิ นิยมเขียนภาพพระพุทธรูป พระสาวก ชาดกพระโพธิสัตว และ
ลวดลายประดับแบบตางๆ วรรณะของสีเปนเอกรงค สีที่ใชมีสีแดง เหลือง ดํา ขาว และปดทอง
การเขียนภาพใชเขียนดวยสีฝุนผสมกาว และมีจุดประสงคในการสรางขึ้นเพื่อการกราบไหวบูชา
ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2034-2172) จิตรกรรมยังเปนสีเอกรงค นิยมเขียนตามแบบเดิม คือ เขียน
ภาพพระพุทธรูป พระสาวก พระโพธิสัตว พระอดีตพุทธชาดก และลวดลายตางๆ พื้นหลังเปนสี
ออน ภาพเขียนเปนแบบ 2 มิติ แบนราบ เขียนสีบาง รองพื้นบาง บางแหงไมมีรองพื้น สีที่ใชมี 4 สี
เหมือนเดิม และมีสีแดงชาดเพิ่มขึ้นอีก 1 สี ลักษณะจิตรกรรมมีอิทธิพลศิลปะอูทองและลพบุรีผสม
อยูมาก
20. 7
ยุคที่ 3 (พ.ศ. 2177-2310) งานชางศิลปกรรมของอยุธยาไดเจริญขึ้นอยางมาก
เนื่องจากมีการติดตอกับชาวตางประเทศ และไดรับเอาความเจริญทางดานศิลปวิทยาการ
ตลอดจนวัสดุและเครื่องมืออุปกรณตาง ๆ เขามาประยุกตใชในงานชางไทย จึงเกิดการ
เปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอยางในจิตรกรรมไทย คือ
- จิตรกรรมเดิมเปนสีเอกรงค เปลี่ยนเปนพหุรงค มีสีเขียวออน ดินเขียว ฟา และมวง
เพิ่มขึ้น
- ภาพเปน 2 มิติตามเดิม แตพื้นหลังของภาพและทิวทัศนมีความลึกไกล เปน ทัศนีย
วิสัยแบบภาพเขียนจีน ภาพตนไมและสายน้ํามีลักษณะออนไหวเลื่อนไหล
- มีภาพชาวตางประเทศและเรือเดินสมุทรชาติตาง ๆ เปนภาพแปลกใหมในจิตรกรรม
ไทย แตเปนภาพที่เขียนขึ้นจากความเปนจริงในยุคนั้น
สมัยรัตนโกสินทร (พ.ศ.2325 - ปจจุบัน) จิตรกรรมดําเนินตามแบบอยางจิตรกรรม
สมัยอยุธยาตอนปลาย วรรณะของสีใชสีสดจัดและตัดกันแรงกลา มีองคประกอบของกลุมภาพที่
งดงาม และมีรายละเอียดที่วิจิตรประณีตเปนพิเศษ
จิตรกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1-3 ชางเขียนไดรับความบันดาลใจจากสิ่งแวดลอมที่เกิดขึ้น
ในสมัยนั้น เชน เหตุการณบานเมือง ชีวิตความเปนอยู สังคม ประเพณี การแตงกาย ลักษณะ
บานเรือน วัดวาอาราม ปราสาทพระราชวัง ธรรมชาติและหมูสัตวตาง ๆ เปนแบบในการสรางสรรค
ภาพเขียน ทําใหจิตรกรรมมีลักษณะพิเศษ คือ สีพื้นเปนสีเขม ภาพคนและสถาปตยกรรมเดน
ออกมาเปนกลุม ๆ ใชสีจัด และนิยมใชสีตรงขามตัดกันอยางรุนแรง แตน้ําหนักของสีที่ตัดกันนั้น
ประสานกันอยางกลมกลืน และเพิ่มความละเอียดประณีตในสวนที่เปนลวดลายเครื่องประดับ
ยิ่งขึ้น ในยุคนี้การเขียนภาพนิยมเขียนภาพพระพุทธประวัติ ชาดกและวรรณกรรมทางศาสนา โดย
ไดจัดระเบียบเปนแบบอยางยึดถือกันเปนหลัก คือผนังดานขางชวงบนติดฝาเพดานเขียนวิทยาธร
มีสินเทาคั่น แลวมีเทพชุมนุม 1-5 ชั้น ตามความสูงของฝาผนังชวงเหนือหนาตางขึ้นไป ระหวาง
ชองหนาตางและประตูเปนภาพชาดก หรือพระพุทธประวัติเปนตอน ๆ เรียงลําดับกันไป สวนฝา
ผนังดานหนาเขียนภาพมารผจญ ดานหลังเขียนไตรภูมิหรือเสด็จจากดาวดึงส การเขียนตามแบบนี้
เปนแบบที่นิยมเขียนกันมากที่สุด
จิตรกรรมในสมัยรัชกาลที่ 4 เปนตนมาถึงปจจุบัน จิตรกรรมฝาผนังแบบประเพณีเริ่ม
เปลี่ยนไป เนื่องจากมีอิทธิพลศิลปกรรมแบบตะวันตกเขามาผสมผสานอยางมาก ลักษณะ
21. 8
จิตรกรรมซึ่งเปนภาพแบนราบกลับมีทัศนียวิสัย ภาพมีความลึกไกล เปนภาพ 3 มิติ ลักษณะตัว
ภาพบุคคล สิ่งแวดลอม สถาปตยกรรมก็เปนแบบตะวันตก และมีลักษณะเหมือนจริงมากกวา
แบบเดิม ซึ่งเขียนขึ้นตามแบบอุดมคติ ภาพอาคารสถาปตยกรรมเหมือนกับแบบที่มีปรากฏอยูจริง
ในสมัยนั้น เชน จิตรกรรมฝาผนังในพระราชอุโบสถวัดราชประดิษฐมีภาพพระที่นั่งตาง ๆ ใน
พระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดราชประดิษฐ วัดราชบพิธ และภาพวัดสุทัศน
ปรากฏอยู เปนตน
2.1.2 วิธีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ชมพูนุท พงษประยูร (2512) กลาววา
จิตรกรรมที่นิยมเขียนในประเทศไทยคือ วิธีเขียนแบบสีฝุน (TEMPERA) ซึ่งการเขียนแบบสีฝุนนี้
เปนวิธีการที่ละเอียดและประณีตที่สุด การใชสีฝุนจะตองมีการตระเตรียมพื้นผนัง คือ ในตอนแรก
จะตองราดลางดวยน้ําผสมใบขี้เหล็กตํา วิธีนี้จะตองทําทั้งเชาทั้งเย็นตลอดเวลา 7 วัน ตอจากนั้น
จะตองมีการทดสอบดูวาผนังยังมีความเค็มอยูอีกหรือเปลา วิธีทดสอบก็คือใชขมิ้นถู ถาขมิ้น
กลายเปนสีแดงก็แสดงวา ยังมีความเค็มอยู และตองใชน้ําผสมใบขี้เหล็กราดลางตอไปอีก ขั้น
ตอไปก็คือลางผนังดวยน้ําเปลา แลวจึงทาผนังดวยปูนขาวผสมกับเม็ดมะขามซึ่งคั่วเมล็ดเสียกอน
แลวตม หลังจากนั้นขัดพื้นใหเรียบแลวเริ่มตนเขียนภาพได สีที่จะใชเขียนก็ตองผสมกับยางไมชนิด
หนึ่งคือยางมะขวิดหรือกาว ถาผนังแหงสนิทแลวและไดที่ดีแลว พื้นผนังที่เขียนภาพสีฝุนไวจะแข็ง
มากและคงทนอยูไดนับเปนเวลารอย ๆ ป แตถาฝาผนังเปยกชื้น ภาพผนังจะคอย ๆ เสื่อมสูญไป นี้
เปนมูลเหตุสําคัญที่ภาพเขียนเกา ๆ ในประเทศไทยเหลือแตเพียงสวนนอย
สําหรับสีที่ใชเขียน ชางเขียนแตกอนใชดินหรือสีจากใบไมและเปลือกไม สีทั้ง 2 ชนิดนี้
เปนสีธรรมชาติซึ่งประสานกันไดดี ดวยเหตุนี้เราจะไมเห็นสีที่ขัดกันในจิตรกรรมแบบโบราณ
สําหรับพูกันที่ใชในการเขียนภาพนั้น เปนพูกันที่ทําขึ้นจากขนหูวัว
2.2 การเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนัง
การเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนัง เชนเดียวกับการเสื่อมสภาพของสิ่งแวดลอม
ศิลปกรรมอื่น ๆ คือมีสาเหตุมาจาก 2 ปจจัยหลัก ดังนี้
22. 9
1. การเสื่อมสภาพที่มีสาเหตุมาจากมนุษย ทั้งจากการทําลายโดยเจตนาและไมเจตนา
การบํารุงรักษาไมเหมาะสม การบูรณะซอมแซมผิดวิธี การจับตองที่ขาดความระมัดระวัง ตลอดจน
ความบกพรองของวัสดุอุปกรณและเทคนิคการสรางงานจิตรกรรม ปญหาการเสื่อมสภาพที่มี
สาเหตุมาจากมนุษยนี้ สามารถปองกันหรือทําการควบคุมได หากมีการใหความรูและรวมมือกัน
อยางจริงจังในทุกหนวยงาน
2. การเสื่อมสภาพที่มีสาเหตุมาจากปจจัยทางสิ่งแวดลอม ไดแกอุณหภูมิ ความชื้น
แสงแดด ความรอน มลภาวะทางอากาศ เปนตน โดยปจจัยเหลานี้นอกจากมีผลตอการ
เสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังโดยตรง เชนทําใหเกิดการเสียรูปราง บิดงอ ภาพลบ สีซีด เนื้อวัสดุ
กรอบเปราะ ยังสงผลใหเกิดปจจัยอื่นที่มีผลตอการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังตามมา ดวย
ซึ่งการเสื่อมสภาพเนื่องจากปจจัยทางสิ่งแวดลอมควบคุมไดยาก จึงตองมีการศึกษาเพื่อหาวิธีมา
จัดการกับสาเหตุนี้
2.2.1 ความชื้น
ความชื้นเปนสาเหตุสําคัญที่สุดในการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนัง เนื่องจาก
ความชื้นสามารถเคลื่อนที่ไดหลายรูปแบบ และสามารถกระตุนปฏิกิริยาขั้นอื่น ๆ ตอไป ทําใหมีผล
ตอการเสื่อมสภาพของจิตรกรรมฝาผนังได เชน การเกิดผลึกเกลือบนผนัง การเจริญเติบโตของ
สาหราย และราบนผนัง เปนตน (Mora, 1974)
โดยปกติ วัสดุที่ใชในการกอสรางสวนใหญจะมีรูพรุน ทําใหน้ําสามารถผานเขาออกได
วัสดุเหลานี้จะแลกเปลี่ยนความชื้นกับอากาศตลอดเวลา ซึ่งวัสดุจะทั้งรับและสูญเสียความชื้น
ขึ้นอยูกับขณะนั้นอากาศมีความชื้นมากหรือนอยกวาวัสดุ และในที่สุดเมื่อความชื้นสัมพันธใน
อากาศไมเปลี่ยนแปลง ปริมาณความชื้นในวัสดุจะคงที่เรียกวา อยูในสภาวะสมดุลกับอากาศ ถา
ความชื้นสัมพัทธในอากาศเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ปริมาณความชื้นในวัสดุจะคอย ๆ เปลี่ยนดวย
ดังนั้นความชื้นสัมพัทธในอากาศแตละคาจะมีคาปริมาณความชื้นที่แนนอนที่ทําใหวัสดุอยูใน
สภาวะสมดุลกับอากาศ โดยคาเหลานี้จะแตกตางกันออกไปในวัสดุกอสรางแตละชนิด โดยปกติจะ
ถือวาวัสดุชื้น เมื่อความชื้นในวัสดุมีคามากกวาความชื้นที่วัสดุสามารถมีไดในสภาวะที่สมดุลกับ
อากาศ (Oxley and Gobert, 1983)
23. 10
2.2.1.1 ประเภทของความชื้นที่ทําลายผนัง
รูปที่ 2-1 ประเภทของความชื้นในผนัง 1. ความชื้นที่ไหลซึมไปสูผนัง (Infiltration) 2.ความชื้นที่ขึ้นไปตามแรง
ดึงในรูพรุนของผนัง (Capillarity) 3. ความชื้นที่กลั่นตัวจับอยูบนผนัง (Condensation) 4. ฝนและลม
5. ฝนและลมทําใหผนังเย็นจัดจนเกิดการกลั่นตัวที่ผนังดานใน. E. ผนังภายนอกอาคาร (External) I.
ผนังภายในอาคาร (Internal)
ที่มา : Poulo Mora (1974)
24. 11
1. ความชื้นที่ปะทะ/สัมผัสกับผนังโดยตรง ความชื้นประเภทนี้จะมาจากน้ําฝนที่สาด
โดนผิวหนาของผนังดานนอกอาคาร (รูปที่ 2-1) ถาดานนอกอาคารมีภาพวาดบนผนังจะถูกน้ําฝน
ทําลายไดงาย เชน โบสถบางแหงใน Moldavia ซึ่งมีภาพวาดแบบ fresco อยูบนผนังดานนอก
(Mora, 1974)
นอกจากกรณีที่ฝนสาดโดนผนังโดยตรงแลว ฝนอาจจะตกลงบนที่อื่นบนอาคารแลวไหล
มาที่ผนังอีกที ซึ่งกรณีนี้นับวาอันตรายมาก เพราะน้ําฝนสามารถละลายสารที่ละลายน้ําไดมาตาม
ทาง และเมื่อน้ําระเหยไป เกลือจะตกผลึกอยูบนผิวหนาของผนัง ทําใหผนังชํารุดเสียหายได
(Bernard, 1982)
อยางไรก็ตามจิตรกรรมฝาผนังของวัดในประเทศไทย เปนจิตรกรรมที่วาดบนผนังดานใน
อาคาร เพราะฉะนั้นความชื้นประเภทนี้จะไมนํามาพิจารณาในการศึกษาครั้งนี้
2. ความชื้นที่ไหลซึมไปสูผนัง (Infiltration) แหลงกําเนิดที่สําคัญของความชื้น
ประเภทนี้คือน้ําฝน โดยน้ําฝนสามารถไหลซึมเขาไปในผนังไดจากการชํารุดเสียหายของอาคาร
เชนจากหลังคา (ดังรูปที่ 2-2) ทางสันกําแพงและรอยแตกราวของผนังดานนอก นอกจากนี้
ความชื้นสามารถมาจากน้ําในระบบน้ําของอาคารดวย เชนจากรอยรั่วของระบบระบายน้ํา หรือ
รอยรั่วจากทอประปา เปนตน (Mora,1974)
วรรณิภา ณ สงขลา (2531) ไดจําแนกลักษณะการเสื่อมสภาพของจิตรกรรม ฝาผนัง
ในประเทศไทยที่มีสาเหตุจากน้ําฝนไหลซึมไวดังนี้
1. น้ําฝนรั่วจากหลังคาไหลลงมาตามผนัง จิตรกรรมชํารุดตามทางน้ําไหลจากเพดานลง
มาเปนแนวเสนดิ่ง
2. น้ําฝนรั่วซึมเขาทางสันกําแพงผนัง ทําใหผนังตอนบนชื้น จิตรกรรมและวัสดุ
กอสรางชวงบนจะเสื่อมยุยสลายตัวเปนแถบ หรือเปนวง หรือเปนแนวโคงแบบรอยน้ําซึม
3. น้ําฝนซึมเขาทางรอยแตกราวของฝาผนังดานนอก ลักษณะของการชํารุดเปนแบบ
เดียวกันกับขอ 2 แตเกิดขึ้นทั่วไปทุกสวนของฝาผนังที่ปรากฏวามีรอยแตกราวของฝาผนัง ดาน
นอก
25. 12
รูปที่ 2-2 รอยน้ําฝนรั่วจากหลังคา วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร
3. ความชื้นที่กลั่นตัวจับอยูบนผนัง (Condensation) (รูปที่ 2-1) จะเกิดในกรณีที่
อุณหภูมิที่ผิวหนาผนังลดลงจนต่ํากวาจุดน้ําคางของอากาศ อากาศที่มาสัมผัสกับผนังจะเย็นลง
จนถึงจุดน้ําคางและหยดน้ําจะกลั่นตัวออกมาจับอยูบนผนัง (Oxley and Gobert, 1983)
อยางไรก็ตาม Mora (1974) กลาววาการกลั่นตัวของความชื้นที่จับอยูบนผนัง จะเกิดขึ้น
ไดในสภาวะที่ผนังมีความหนานอยมาก หรือความตานทานต่ําหรือการนําความรอนสูง จึงจะ
สามารถเกิดการกลั่นตัวที่จะใหความชื้นจับตัวบนผนังดานในได ซึ่งโดยทั่วไปโบราณสถานมีผนัง
หนาเกินกวาจะเกิดเหตุการณดังกลาว นอกจากนี้การเกิดปรากฏการณการจับตัวของความชื้นที่
ผนังจากการกลั่นตัวของหยดน้ํา มักจะเกิดขึ้นในประเทศซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมกราคมต่ํา
กวา 2 ๐
C จึงไมนําความชื้นประเภทนี้มาพิจารณาในการศึกษาครั้งนี้
4. ความชื้นที่ขึ้นไปตามแรงดึงในรูพรุนของผนัง (Capillarity) (รูปที่ 2-1) ความชื้น
ประเภทนี้มีแหลงกําเนิดมาจากน้ําในดิน ใตดินหรือน้ําฝนที่ทวมขังบริเวณฐานอาคาร โดยน้ํา
เหลานี้จะขึ้นมาตามรูพรุนในผนังและจะปรากฎใหเห็นรอยชํารุดเปนแนวทางยาวจากพื้นถึงที่ความ
สูงระดับหนึ่ง ๆ ดังรูป 2-3 หรือบางครั้งจะปรากฎเกลือตกผลึกอยูดวย โดยปกติเมื่อน้ําสัมผัสกับ
วัสดุที่แหง น้ําจะพยายามแพรกระจายไปทั่วผิวหนาที่เปยกน้ําไดของวัสดุ และตอจากนั้นจะซึม
ผานเขาไปในวัสดุ สําหรับในรูพรุนของวัสดุกอสราง น้ําจะพยายามแพรกระจายไปทั่วผิวหนาที่
26. 13
เปยกน้ําไดเชนเดียวกัน ทําใหเกิดแรงดันน้ําขึ้น แตดวยแรงดึงดูดของโลกจะดึงน้ําลงมา ทําใหน้ําใน
รูพรุนเกิดการเวาลง ดังรูป 2-4 ดังนั้นจึงกลาวไดวาน้ําสามารถขึ้นไปตามรูพรุนไดเนื่องจากอาศัย
แรงดึงของรูพรุน หรือ Capillary Attraction (Oxley and Gobert, 1983) แตเนื่องจากในความ
เปนจริง รูพรุนและรอยแตกหักในผนังไมตอเนื่องกัน กระบวนการที่เกิดขึ้นจึงเปนไปอยางชา ๆ
รูปที่ 2-3 รอยความชื้นจากน้ําใตดิน
โดยปกติการเคลื่อนที่ของความชื้นขึ้นไปตามรูพรุนจะมีคาไมเกินครึ่งถึง 1 เมตร ถาไมมี
การปดกั้นการระเหยของน้ําจากผนัง แตถาการระเหยของน้ําถูกปดกั้น เชน มีการบุผนังดวย
กระเบื้องเคลือบหรือหินออน น้ําจะระเหยตรงผิวที่อยูเหนือวัสดุเหลานี้ ทําใหระดับของน้ําที่ขึ้นไป
ตามรูพรุนสูงมากขึ้น (Oxley and Gobert, 1983)
การระเหยของน้ําออกจากผนัง จะเกิดที่ผิวหนาของผนัง โดยความชื้นขางในวัสดุตอง
เคลื่อนที่มาที่ผิวหนาของผนังเพื่อจะสามารถระเหยไปสูอากาศได ถาการเคลื่อนที่ของน้ําเกิดจาก
แรงดึงในรูพรุน ผิวหนาจะไดรับน้ําอยางสม่ําเสมอ ทําใหมีการระเหยที่ผิวหนาอยางตอเนื่อง แตถา
แรงดึงในรูพรุนนอย ความชื้นจะมาไมถึงผิวหนา ผิวหนาจะแหงและแนวการระเหยจะเลื่อนลงมา
เกิดที่ใตผนัง ไอน้ําจากการระเหยจะเกิดในรูพรุนระหวางแนวการระเหยกับผิวหนาของผนัง กอนที่
จะเคลื่อนที่ไปที่ผิวหนาและระเหยในที่สุด ซึ่งปจจัยที่มีผลตอการระเหยของน้ําออกจากวัสดุที่มีรู
พรุน มีดังนี้
27. 14
1. ลักษณะของสภาวะแวดลอมโดยรอบ ไดแก อุณหภูมิ ความชื้นสัมพันธในอากาศ และ
ปริมาณการระบายอากาศ
2. ลักษณะของโครงสรางของวัสดุที่มีผลตอการเคลื่อนที่ของน้ําไปยังผิวหนา เชนความ
เปนรูพรุนของวัสดุทั้งจํานวนและขนาดของรูพรุน โดยวัสดุที่มีรูพรุนขนาดเล็กจะทําใหน้ําเคลื่อนที่
มาถึงผิวหนาของผนังไดมาก ทําใหน้ําระเหยออกไดมาก ในขณะที่วัสดุที่มีรูพรุนขนาดใหญและ
วัสดุที่มีจํานวนรูพรุนนอย จะตานทานการเคลื่อนที่ของน้ําไดมาก ทําใหน้ําระเหยออกไดนอย
(Mora, 1974)
รูปที่ 2-4 แรงดึงในรูพรุน
ที่มา : Oxley and Gobert (1983)
ดังไดกลาวมาแลววา แหลงกําเนิดของความชื้นประเภทนี้มาจากน้ําในดินหรือใตดิน น้ํา
เหลานี้จะสามารถละลายสารที่ละลายน้ําได เชน เกลือตาง ๆ ในดิน เมื่อน้ําขึ้นไปตามแรงดึงในรู
พรุน หรือรอยแตกของผนัง สารละลายหรือสารผสมของเกลือในน้ําจะถูกสงผานขึ้นมาดวย ในฤดู
แลงน้ําจะระเหยออกจากผนัง เกลือไมสามารถระเหยได จะตกผลึกอยูบนผิวหนาของผนัง หรือ
ภายในรูพรุน หรือเกิดทั้ง 2 แหง การเกิดเกลือบนผิวหนาของผนัง เรียกวา Efflorescence สวนการ
เกิดเกลือภายในรูพรุนซึ่งมองไมเห็นนั้น เรียกวา Cryptoflorescence ปรากฏการณทั้ง 2 แบบนี้
สามารถเกิดพรอมกันได (Honeyborne, 1991)
การเกิดผลึกเกลือในชวงแรก อาจมองดวยตาเปลาไมเห็น แตหลังจากที่ผาน วัฏจักร
ของฤดูฝนและฤดูแลงหลายครั้ง ทําใหเกลือละลายและตกผลึกซ้ําแลวซ้ําเลา ผลึกจะมีขนาดโตขึ้น
ทําใหสามารถมองเห็นผลึกเกลือบริเวณผิวหนาวัสดุได การละลายของผลึกเกลือนี้ ไมจําเปนตอง
ไดรับมาจากน้ําที่ผานผนัง เกลือบางชนิดสามารถดูดน้ําจากอากาศได เมื่อปริมาณมากพอจะ
ละลายและจะทําใหผนังเปยกไดเชนเดียวกัน แมไมมีแหลงกําเนิดความชื้นเลยก็ตาม เกลือเหลานี้
28. 15
จะดูดน้ําก็ตอเมื่อความชื้นสัมพัทธในอากาศสูงพอ ในทางกลับกันเกลือจะสูญเสียน้ําและเกิดเปน
ผลึกเกลืออีกครั้งถาความชื้นสัมพัทธในอากาศลดต่ําพอ คาความชื้นสัมพัทธในอากาศที่เกลือเริ่ม
จะดูดน้ําจากอากาศเรียกวา ความชื้นที่เกลืออยูในสภาวะสมดุลกับอากาศ (Equilibrium Relative
Humidity, ERH ของเกลือ) (Honeyborne, 1991)
สาเหตุที่ผลึกเกลือมีผลทําใหผนังเกิดการชํารุดเสียหายได เนื่องจากเกิดแรงดันของผลึก
เกลือในรูพรุน โดยปจจัยหนึ่งที่ทําใหกระบวนการนี้เกิดขึ้น คือ แรงดึงในรูพรุน ซึ่งแรงดึงในรูพรุนจะ
ทําใหรูพรุนไดรับสารละลายเกลือเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ทําใหผลึกเกลือมีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ แมวาจะ
มีเกลือตกผลึกอยูเต็มรูพรุนแลวก็ตาม ผลึกเกลือที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ นี้ จะออกแรงดันตอรูพรุน
ทําใหรูพรุนเกิดการผุกรอนและสงผลทําใหผนังเกิดการชํารุดเสียหายตามมา อีกปจจัยหนึ่งที่ทําให
เกิดแรงดันในรูพรุนได คือ การดูดน้ําของเกลือในสภาวะที่เหมาะสม ดังไดกลาวแลววา เกลือบาง
ชนิดสามารถดูดน้ําจากอากาศได เมื่อผลึกเกลือดูดน้ําจะมีปริมาตรเพิ่มขึ้น ทําใหแรงดันตอรูพรุน
เพิ่มขึ้นดวย สงผลใหผนังชํารุดเสียหายไดเชนเดียวกัน ผลของแรงดันที่เกิดขึ้นในแตละกรณี จะ
ขึ้นอยูกับความแข็งแรงของผลึกเกลือกับความแข็งแรงของรูพรุนในผนัง ถารูพรุนมีความแข็งแรง
มากกวา ผลึกเกลือจะถูกดันออกมาขางนอก ปรากฏเปนผลึกเกลือบนผนังขึ้น ถาผลึกเกลือมี
ความแข็งแรงมากกวา รูพรุนจะถูกผลึกเกลือดันใหแตกออก และเกิดการผุกรอน สงผลใหผนัง
ชํารุดเสียหายตามมา (Mora, 1974)
ผลึกเกลือที่ปรากฏบนผนังมีหลายชนิดดังนี้ (Mora, 1974)
1. เกลือซัลเฟตของโซเดียม โปแตสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม เกลือกลุมนี้เปน
อันตรายตอผิวหนาของผนังมากที่สุด เนื่องจากถาเกลือกลุมนี้ตกผลึกบริเวณใด บริเวณนั้นก็จะ
แตกหักออกจากกัน ไดรับความเสียหายมาก เกลือแคลเซียมซัลเฟตสามารถรวมตัวเปนคราบสีขาว
บนผนังหรือสามารถตกผลึกภายในผนังไดจากปฏิกิริยาของซัลเฟตกับแคลเซียมคารบอเนตซึ่งมี
มลพิษทางอากาศเปนตัวกระตุน
2. เกลือไนเตรตของโซเดียม โปแตสเซียม และแคลเซียม เกลือกลุมนี้เปนเกลือที่
สามารถละลายน้ําได ซึ่งโดยปกติจะเกิดเปนผงเกลือหนาที่กําจัดออกไดงาย และการทําลายของ
เกลือกลุมนี้จะไมรุนแรงเทาของเกลือซัลเฟต
3. เกลือแคลเซียมคารบอเนต เปนเกลือที่เปนสวนประกอบหลักของวัสดุกอสราง ทั้งนี้
ดวยตัวของเกลือชนิดนี้เองจะไมมีผลทําใหผนังแตกกรอนเสียหาย แตสามารถทําใหเกิดแผนแข็ง
ของเกลือที่แข็งมากและยากตอการกําจัด
29. 16
4. เกลือโซเดียมคลอไรด มีที่มาจากอากาศในบริเวณทะเล หรือในบริเวณที่มีเกลือ
สินเธาว โดยปกติจะตกผลึกบนผิวหนาของผนัง จริง ๆ แลวตัวมันเองไมทําใหผนังเกิดการแตก
กรอน แตถาผลึกเกลือผานกระบวนการดูดน้ําและคายน้ําจากอากาศ จะสามารถทําใหผิวหนา
ของผนังแตกออกได
นอกจากนี้ จิราภรณ อรัณยะนาค (2535) ไดกลาววามีเกลืออีกประเภทหนึ่งที่
ปรากฏบนผนังคือ เกลือฟอสเฟต เชน แคลเซียมฟอสเฟต โปแตสเซียมฟอสเฟต เกลือเหลานี้มีที่มา
จากโรงงานอุตสาหกรรม ปุย ผงซักฟอก และสารเคมี
2.2.1.2 การวัดความชื้น
เครื่องมือที่ใชวัดความชื้นมี 2 ประเภท คือ เครื่องมือที่ใชวัดความชื้นสัมพัทธในอากาศ
และเครื่องมือที่ใชวัดความชื้นของผนัง (Massari, 1977)
ทั้งนี้ Mora (1974) กลาวไววาการวัดความชื้นของผนังนั้น มี 2 แบบ คือ
1. การวัดความชื้นในผนัง ในการประเมินวิธีนี้ จะตองเก็บชิ้นตัวอยางของผนังขนาด 25-
30 กรัม ออกมาโดยการเจาะรู เมื่อเก็บตัวอยางมาทดสอบจะตองเก็บทันทีในขวด สูญญากาศ
แลวนําไปชั่งน้ําหนัก จากนั้นนําชิ้นตัวอยางไปอบในเตาอบที่ใหความรอน 100๐
C เปนเวลา 7
ชั่วโมง เมื่อปลอยไวใหแหงแลวจึงนําออกมาชั่งน้ําหนักอีกที ผลตางของปริมาณความชื้นกอนนําไป
อบและหลังอบเทียบดวยปริมาณความชื้นกอนนําไปอบ คูณดวย 100 จะไดปริมาณความชื้นใน
ผนังออกมาเปนเปอรเซ็นต
2. การวัดความชื้นที่พื้นผิว มีเครื่องมือหลายชนิดที่ใชในการวัดความชื้นที่พื้นผิว ซึ่งสราง
ขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของการนําไฟฟาที่ผนังซึ่งขึ้นอยูกับปริมาณความชื้นที่ปรากฏอยูในผนังนั้น
เครื่องมืออยางหนึ่งคือเครื่องแบบหัวสัมผัส ซึ่งสามารถสัมผัสกับผนังไดโดยตรง กับเครื่องอีกแบบ
คือเครื่องที่มีหัวเปนเข็มที่ใชเจาะทะลุเขาไปในผนัง ซึ่งจะทําใหผนังเสียหายได
2.2.1.3 การตัดผนังเพื่อกันความชื้นจากใตดิน
การตัดผนังเพื่อปองกันความชื้นจากใตดินซึมขึ้นมาในวัดเปาโรหิตย ทําโดยเจาะผนัง
อุโบสถ โดยเจาะใหสูงจากพื้นภายใน 35 เซนติเมตร แลวฝงแผนเหล็กไรสนิมเขาไป ซึ่ง วีระ
โรจนพจนรัตน (2527) อธิบายวามีวิธีการดังตอไปนี้
30. 17
1. ทําการเจาะผนัง ณ จุดที่กําหนดโดยเจาะใหทะลุถึงผนังดานนอกแลวใชสอดเลื่อยซึ่ง
เปนเลื่อยมือใหไปในทิศทางที่กําหนด 1 เมตร การเลื่อยผนังจะเลื่อยจะเลื่อยชองละเมตรเวนเมตร
2. ทําการสอดแผนอาซีเตทอยางหนา ณ ชองวางที่เลื่อยไว หลังจากนั้นวางแผนเหล็กไร
สนิทรอง ณ จุดตอของแผนเหล็กไรสนิท หลังจากนั้นใหสอดเหล็กไรสนิมซึ่งกําหนดใหมีความชอง
ละ 1 เมตร แลวสอดแผนเหล็กไรสนิมทับอีกครั้ง ณ รอยตอ แผนเหล็กไรสนิมใชเบอร 0.5
3. เสริมวัสดุแทรกในชองวางที่เหลือโดยสวนผสมของปูนซีเมนต : ปูนขาว : ทราย อัตรา
1 : 6 : 10 ใหผสมน้ํายาเพิ่มความแข็งแรง เรงปฏิกิริยาใหแหงเร็วขึ้น และผสมน้ํายา CONBEX
4. สวนของวงกบลางของประตู หนาตางที่ผุ ใหสกัดออกแลวใชวัสดุตามขอ 3 เสริมเขา
ไปแทน
5. ใหทําการแตงแนวผนังทั้งขางนอกขางในใหเหมือนของเดิม แลวแตงสีให กลมกลืน
กับของเดิม
2.2.2 แสงแดด
จิราภรณ อรัณยะนาค (2540) กลาววาแสงสวางและรังสีอัลตราไวโอเลตมีความยาว
คลื่นอยูในชวงที่มีอันตรายตอศิลปโบราณวัตถุที่ทําจากอินทรียวัตถุแทบทุกชนิด โดยเฉพาะรังสี
อัลตราไวโอเลต มีความยาวคลื่นอยูในชวงที่มีอันตรายสูงสุด ซึ่งนิภาพร สุนทรพิทักษกุล (2541)
ไดกลาวไววาแสงแดดที่ผานชั้นบรรยากาศลงมาถึงผิวโลกจะมีความยาวคลื่นมากกวา 290 นาโน
เมตร โดยรังสีอัลตราไวโอเลตจะอยูในชวงความยาวคลื่น 290 – 400 นาโนเมตร
นอกจากนี้ กุลพันธาดา จันทรโพธิศรี (2531 อางถึงใน นิภาพร สุนทรพิทักษกุล, 2541)
ไดกลาวไววาแสงสวาง ไมวาจะเปนแสงจากหลอดไฟหรือแสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย ซึ่งรวมทั้ง
แสงที่ไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา เชน รังสีอัลตราไวโอเลต และรังสีอินฟราเรด จะสามารถ
ทําใหศิลปกรรมเสื่อมสภาพลงได และสามารถกอใหเกิดความเสียหายไดมากขึ้นกับวัตถุอินทรีย
แตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นอยางชา ๆ ทําใหสังเกตเห็นยาก ตอเมื่อสามารถ
สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแลว มักจะทําการแกไขใหกลับมามีสภาพเหมือนเดิมไดยาก
แลว เชน สีซีด เนื้อวัตถุกรอบ เปราะ เหลือง เปนตน ทั้งนี้เนื่องจากแสงจะไปทําใหเกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางเคมีขึ้นบนเนื้อวัตถุ โดยเฉพาะอินทรียวัตถุที่มีเซลลูโลสเปนสวนประกอบ ยิ่งมี
ความชื้นและออกซิเจนดวย การเสื่อมโทรมในลักษณะนี้จะเปนไปอยางรวดเร็ว การเสื่อมสภาพ
แบบนี้เรียกวา “ Photochemical Degradation ” การชํารุดเสียหายที่เกิดขึ้นจะมากหรือนอยขึ้นอยู
31. 18
กับชนิดของแสง ระยะเวลาที่วัตถุถูกแสง ตลอดจนลักษณะหรือปริมาณของแสงที่ตกลงมาถูกวัตถุ
และชนิดของวัตถุ
สําหรับการทาผนังในภาพจิตรกรรมฝาผนังตองใชปูนขาวผสมกับเม็ดมะขาม สวนสีที่ใช
เขียนภาพตองผสมกับยางมะขวิดหรือกาว ซึ่งเม็ดมะขามและยางมะขวิดเปนอินทรียวัตถุ รังสี
อัลตราไวโอเลตจากแสงแดด จึงมีผลทําใหภาพจิตรกรรมฝาผนังเกิดการเสื่อมสภาพได
เชนเดียวกัน แตการเสื่อมสภาพเปนไปอยางชา ๆ (จิราภรณ อรัณยะนาค, 8 พฤษภาคม 2544,
สัมภาษณ)
เนื่องจากทั้งแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต เปนรูปแบบหนึ่งของพลังงาน ดังนั้นวิธีที่
ตรงที่สุดที่จะวัดแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต คือการวัดอัตราที่พลังงานของแสงแดดและรังสี
อัลตราไวโอเลตตกลงไปบนพื้นที่หนึ่ง ๆ สําหรับแสงแดดจะใชเครื่องมือที่เรียกวา “Light Meter”
หรือ “Lux Meter“ ซึ่งไมไดเปนการวัดพลังงานโดยตรงแตเปนการวัดสิ่งที่ตามองเห็นได ซึ่งในความ
เปนจริงตาของคนจะไมสามารถมองเห็นรังสีอัลตราไวโอเลตหรืออินฟราเรดได ดังนั้นเครื่องวัดนี้จะ
ไมตอบสนองกับชวงความยาวคลื่นของรังสีอัลตราไวโอเลตและอินฟราเรด แตจะไวกับแสงสีเขียว
มากกวาแสงสีน้ําเงินหรือแดงซึ่งเปนคุณสมบัติของตามนุษย เครื่องวัดแสงที่ดีที่สุดคือเครื่องวัดที่
ใกลเคียงกับความไวของตามนุษยมากที่สุด โดยมีหนวยในการวัดเปนลักซ (Lux) หรือลูเมนตอ
ตารางเมตร (Lumen/m2
) (Thomson, 1981)
สําหรับเครื่องวัดรังสีอัลตราไวโอเลต จะใชเครื่องมือที่เรียกวา “ UV Monitor” โดยปกติ
จะมี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งจะวัดระดับของรังสีอัลตราไวโอเลต มีหนวยเปนไมโครวัตต (μW)กับอีกชนิด
หนึ่งจะเปนการวัดสัดสวนของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีในแสง มีหนวยเปนไมโครวัตตตอลูเมน
(μW/Lumen) ซึ่งเครื่องวัดชนิดที่ 2 นี้จะเปนที่นิยมกวาเพราะเปนการวัดโดยไมคํานึงถึงระยะทาง
จากแหลงกําเนิดแสง