SlideShare a Scribd company logo
1 of 24
Download to read offline
Website
จัดทาโดย
นักศึกษาคอมพิวเตอร์ศึกษา
ปี 4 หมู่ 3
รายชื่อผู้จัดทา
นางสาวชนากานต์ ต่อพันธ์ รหัส533410080308
นางสาวเบญจพร แสงสุวอ รหัส533410080313
นางสาวเบญจรัตน์ นามคามี รหัส533410080314
นายศราวุฒิ จันทะมาลา รหัส533410080344
ปี 4 หมู่ 3
สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556
จุดเชื่อมโยงกลับมายังหน้าแรกของเว็บไซต์ที่กาลังใช้งานอยู่ด้วย ทั้งนี้เผื่อว่าผู้ใช้
เกิดหลงทาง และไม่ทราบว่าจะทาอย่างต่อไปดีจะได้มีหนทางกลับมาสู่จุดเริ่มต้น
ใหม่ ระวังอย่าให้มีหน้าที่ไม่มีการเชื่อมโยง (Orphan Page) เพราะจะทาให้ผู้ใช้ไม่รู้
จะทาอย่างไรต่อไป
4. ความเหมาะสมในหน้าจอ เนื้อหาที่นาเสนอในแต่ละหน้าจอควรสั้น กระชับ
และทันสมัย หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอที่มีลักษณะการเลื่อนขึ้นลง (Scrolling) แต่ถ้า
จาเป็นต้องมี ควรจะให้ข้อมูลที่มี ความสาคัญอยู่บริเวณด้านบนสุดของหน้าจอ
หลีกเลี่ยงการใช้กราฟิกด้านบนของหน้าจอ เพราะถึงแม้จะดูสวยงาม แต่จะทาให้
ผู้ใช้เสียเวลาในการได้รับข้อมูลที่ต้องการ แต่หากต้องมีการใช้ภาพประกอบก็ควร
ใช้เฉพาะที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาเท่านั้น นอกจากนี้การใช้รูปภาพเพื่อเป็นพื้น
หลัง (Background) ไม่ควรเน้นสีสันที่ฉูดฉาดมากนัก เพราะอาจจะไปลดความ
เด่นชัดของเนื้อหาลง ควรใช้ภาพที่มีสีอ่อน ๆ ไม่สว่างจนเกินไปรวมไปถึงการใช้
เทคนิคต่าง ๆ เช่น ภาพเคลื่อนไหว หรือตัวอักษรวิ่ง (Marquees) ซึ่งอาจจะเกิดการ
รบกวนการอ่านได้ควรใช้เฉพาะที่จาเป็นจริง ๆ เท่านั้นตัวอักษรที่นามาแสดงบน
จอภาพควรเลือกขนาดที่อ่านง่าย ไม่มีสีสันและลวดลายมากเกินไป
5.ความรวดเร็ว ความรวดเร็วเป็นสิ่งสาคัญประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ ผู้ใช้
จะเกิดอาการเบื่อหน่ายและหมดความสนใจกับเว็บที่ใช้เวลาในการแสดงผลนาน
สาเหตุสาคัญที่จะทาให้การแสดงผลนานคือการใช้ภาพกราฟิกหรือ
ภาพเคลื่อนไหว
การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ที่ดี จะช่วยกลุ่มผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศเป็น
อย่างมาก การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีควรประกอบด้วย
1. โครงสร้างที่ชัดเจน ผู้ออกแบบเว็บไซต์ควรจัดโครงสร้างหรือจัดระเบียบ
ของข้อมูลที่ชัดเจน แยกย่อยเนื้อหาออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันและให้อยู่ใน
มาตรฐานเดียวกัน จะช่วยให้น่าใช้งานและง่าย ต่อการอ่านเนื้อหาของผู้ใช้
2. การใช้งานที่ง่าย ลักษณะของเว็บที่มีการใช้งานง่ายจะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึก
สบายใจต่อการอ่านและสามารถทาความเข้าใจกับเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้อง
มาเสียเวลาอยู่กับการทาความเข้าใจ การใช้งานที่สับสนด้วยเหตุนี้ผู้ออกแบบจึง
ควรกาหนดปุ่มการใช้งานที่ชัดเจน เหมาะสม โดยเฉพาะปุ่มควบคุมเส้นทางการ
เข้าสู่เนื้อหา (Navigation) ไม่ว่าจะเป็นเดินหน้า ถอยหลัง หากเป็นเว็บไซต์ที่มีเว็บ
เพจจานวนมาก ควรจะจัดทาแผนผังของเว็บไซต์ (Site Map) ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่า
ตอนนี้อยู่ณ จุดใด หรือเครื่องมือสืบค้น (SearchEngine) ที่ช่วยในการค้นหา
หน้าที่ที่ต้องการ
3. การเชื่อมโยงที่ดี ลักษณะไฮเปอร์เท็กซ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยง ควรอยู่ในรูปแบบที่
เป็นมาตรฐาน ทั่วไปและต้องระวังเรื่องของตาแหน่งในการเชื่อมโยง การที่จานวน
การเชื่อมโยงมากและกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในหน้าอาจก่อให้เกิดความสับสน
นอกจากนี้คาที่ใช้สาหรับการเชื่อมโยงจะต้องเข้าใจง่ายมีความชัดเจนและไม่สั้น
จนเกินไปนอกจากนี้ในแต่ละเว็บเพจที่สร้างขึ้นมาควรมี
การพัฒนาเว็บไซต์
สิ่งแรกที่นักพัฒนาเว็บควรทาเมื่อเริ่มต้นพัฒนาเว็บไซต์ คือ กาหนด
กรอบกระบวนการทางาน (Framework) ที่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนของการ
พัฒนาเว็บ และรายละเอียดของงานในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ
จนกระทั่งสิ้นสุดกระบวนการ เพื่อให้การพัฒนาเว็บเป็นไปอย่างมีแบบแผน
ถึงแม้ว่าการกาหนดกรอบการทางานจะเป็นขั้นตอนที่มีความยุ่งยากแต่ก็เป็น
เครื่องมือสาคัญที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บสาเร็จลุล่วงตรงตามวัตถุประสงค์ได้
เพราะกรอบการทางานจะช่วยป้องกันความผิดพลาด และความสับสนในระหว่าง
การพัฒนาเว็บ โดยนักพัฒนาเว็บสามารถย้อนกลับมาตรวจสอบงานตามกรอบ
การทางานในภายหลังได้
กรอบการทางานหรือแบบจาลองกระบวนการ (Process Model) ที่ใช้เพื่อพัฒนา
เว็บมีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่าง เช่น แบบจาลองกระบวนการในรูปแบบ Agile
Process (XP, Scrum, DSDM, FDD และ AM) แบบจาลองลาดับเชิงเส้น (Linear
Sequential Model : LSM) เป็นต้น สาหรับในที่นี้จะขอแบบจาลองกระบวนการที่
พัฒนาขึ้นโดย Jesse James Garrett ซึ่งจาแนกกระบวนการพัฒนาเว็บออกเป็น
5 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างกลยุทธ์ในการออกแบบ (Strategy Plane)
การกาหนดขอบเขตของข้อมูล (Scope Plane) การทาโครงสร้างข้อมูล
(Structrue Plane) การออกแบบโครงร่างเว็บเพจ (Skeleton Plane) และการ
ออกแบบรูปลักษณ์ของเว็บเพจ (Surface Plane)
หลักการออกแบบเว็บไซต์ ควรพิจารณาดังนี้
1. กาหนดวัตถุประสงค์โดยพิจารณาว่าเป้าหมายของการสร้างเว็บไซต์นี้ทา
เพื่ออะไร
2. ศึกษาคุณลักษณะของผู้ที่เข้ามาใช้ว่ากลุ่มเป้าหมายใดที่ผู้สร้างต้องการ
สื่อสาร ข้อมูลอะไรที่พวกเขาต้องการโดยขั้นตอนนี้ควรปฏิบัติควบคู่ไปกับ
ขั้นตอนที่หนึ่ง
3. วางแผนเกี่ยวกับการจัดรูปแบบโครงสร้างเนื้อหาสาระ การออกแบบ
เว็บไซต์ต้องมีการจัดโครงสร้างหรือจัดระเบียบข้อมูลที่ชัดเจน การที่เนื้อหามี
ความต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุดหรือกระจายมากเกินไป อาจทาให้เกิดความสับสนต่อผู้
ใช้ได้ฉะนั้นจึงควรออกแบบให้มีลักษณะที่ชัดเจนแยกย่อยออกเป็นส่วนต่าง ๆ จัด
หมวดหมู่ในเรื่องที่สัมพันธ์กัน รวมทั้งอาจมีการแสดงให้ผู้ใช้เห็นแผนที่
โครงสร้างเพื่อป้องกันความสับสนได้
4. กาหนดรายละเอียดให้กับโครงสร้าง ซึ่งพิจารณาจากวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
โดยตั้งเกณฑ์ในการใช้เช่น ผู้ใช้ควรทาอะไรบ้าง จานวนหน้าควรมีเท่าใด มีการ
เชื่อมโยง มากน้อยเพียงใด
5. หลังจากนั้น จึงทาการสร้างเว็บไซต์แล้วนาไปทดลองเพื่อหาข้อผิดพลาด
และทาการแก้ไขปรับปรุง แล้วจึงนาเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นขั้นสุดท้าย
การสื่อสารมวลชน(Mass Communication)
การสื่อสารกับคนจานวนมากในหลายๆพื้นที่พร้อมกัน โดยใช้สื่อมวลชน
เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์เป็นสื่อกลาง เหมาะ
สาหรับการส่งข่าวสารไปยังผู้คนจานวนมากๆในเวลาเดียวกัน
การสื่อสารระหว่างประเทศ(International Communication)
การสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีความแตกต่างกันใน เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม
การเมืองและสังคม เช่นการสื่อสารทางการทูตการสื่อสารเจรจาต่อรองเพื่อการทา
ธุรกิจ
หลักออกแบบเว็บไซต์คือ การวางแผนการจัดลาดับ เนื้อหาสาระของเว็บไซต์
ออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อจัดทาเป็นโครงสร้างในการจัดวางหน้าเว็บเพจทั้งหมด
เปรียบเสมือนแผนที่ ที่ทาให้เห็นโครงสร้างทั้งหมดของเว็บไซต์ช่วยในนัก
ออกแบบเว็บไซต์ไม่ให้หลงทาง การจัดโครงสร้างของเว็บไซต์มีจุดมุ่งหมาย
สาคัญคือ การที่จะทาให้ผู้เข้าเยี่ยมชม สามารถค้นหาข้อมูลในเว็บเพจได้อย่างเป็น
ระบบ ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่สาคัญ ที่สามารถสร้างความสาเร็จให้กับผู้ที่ทาหน้าที่
ในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์(Webmaster) การออกแบบโครงสร้างหรือจัด
ระเบียบของข้อมูลที่ชัดเจน แยกย่อยเนื้อหาออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันและ
ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน จะช่วยให้น่าใช้งานและง่าย ต่อการเข้าอ่านเนื้อหาของ
ผู้ใช้เว็บไซต์
การสร้างกลยุทธ์ในการออกแบบ (StrategyPlane) เป็นขั้นตอนการวิเคราะห์
ปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ ผู้ใช้ องค์กร และคู่แข่ง เพื่อทราบเป้าหมายหรือ
แนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์ โดยปัจจัยทั้ง 3 ประการ มีรายละเอียดดังนี้
- ผู้ใช้ (User) เป็นการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ โดยการศึกษา
หรือทาการสารวจจากผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเพื่อตอบคาถามว่า เมื่อผู้ใช้เข้ามายัง
หน้าเว็บแล้ว ต้องการได้รับข้อมูลใดกลับไปบ้าง มีฟังก์ชันหรือการใช้งาน
รูปแบบใดบนเว็บไซต์ที่ผู้ใช้ต้องการ และปัญหาหรือข้อบกพร่องที่เกิดจากการใช้
งานเว็บที่ได้พบ
- องค์กร (Organization) เป็นการวิเคราะห์เป้าหมายทางธุรกิจ
(Business Goal) ทั้งในส่วนเงินทุน บุคลากร และความเป็นไปได้ที่จะพัฒนา
เว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อใช้งาน รวมทั้งการเก็บรวบรวมข้อมูลขององค์กรที่จาเป็นต่อ
การออกแบบหน้าเว็บ เช่น โลโก้ (Logo) แบนเนอร์ (Banner) หรือการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้จดจาเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
- คู่แข่ง (Competitor) เป็นการประเมินขอบเขตข้อมูล รูปแบบ
นาเสนอ และเป้าหมายทางการค้าของบริษัทคู่แข่ง เพื่อพิจารณาจุดอ่อนและจุด
แข็งของการออกแบบเว็บ แล้วนามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเว็บของบริษัท
ต่อไป
การกาหนดขอบเขตของข้อมูล (Scope Plane) เป็นการสรุปขอบเขต
ของข้อมูลที่ควรมีบนหน้าเว็บให้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากผู้ออกแบบบางคนอาจมี
เทคนิคนาเสนอข้อมูลที่ชื่นชอบ หรือมีแนวทางพัฒนาเว็บหลายวิธีจนทาให้เกิด
ความสับสนขั้นตอนนี้จึงเป็นการสรุปแนวทางพัฒนาเว็บ โดยพิจารณาขอบเขต
ข้อมูลให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้จากการวิเคราะห์ ปัจจัย 3 ประการใน
ขั้นตอนแรก สามารถจาแนกข้อมูลบนเว็บไซต์ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- เนื้อหา (Content Requirements) เป็นข้อมูลทั่วไปที่นาเสนอให้กับ
ผู้ใช้งาน เช่น ข้อความบรรยาย รูปภาพ หรือ เสียงเพลง เป็นต้น
- การใช้งาน (FunctionalSpecfications) เป็นระบบการทางานหรือการ
ใช้งานบนหน้าเว็บ ซึ่งมักจะเป็นงานที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับผู้ใช้ เข่น
การับส่ง E-mail การประมวลผลค่าข้อมูลของแบบฟอร์ม โปรแกรมสนทนา
ระหว่างผู้ใช้ เป็นต้น
การจัดทาโครงการสร้างข้อมูล (Structrue Plane) ภายหลังจากที่ได้กาหนด
ขอบเขตข้อมูลแล้ว ก็เริ่มต้นกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาและหน้าที่งาน
บนเว็บไซต์โดยขั้นตอนนี้ประกอบด้วยงาน 2 ลักษณะ ดังนี้
- การออกแบบส่วนปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ (Interaction Design) เป็นการ
ออกแบบหน้าเว็บสาหรับงานที่มีลักษณะโต้ตอบกับผู้ใช้ เช่น การสั่งซื้อสินค้า
การกรอกแบบฟอร์ม และการรับส่ง E-mail เป็นต้น
ประเภทของการสื่อสาร
การสื่อสารภายในบุคคล(Intrapersonal Communication) การคิดหรือ
จินตนาการกับตัวเองเป็นการคิดไตร่ตรองกับตัวเองก่อนที่จะมีการสื่อสาร
ประเภทอื่นต่อไป
การสื่อสารระหว่างบุคคล(Interpersonal Communication)
การที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาทาการสื่อสารกันอย่างมีวัตถุประสงค์เช่น
การพูดคุย ปรึกษาหารือในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
การสื่อสารกลุ่มย่อย(Small-group) Communication)
การสื่อสารที่มีบุคคลร่วมกันทาการสื่อสารเพื่อทากิจกรรมร่วมกันแต่
จานวนไม่เกิน 25คน เช่นชั้นเรียนขนาดเล็ก ห้องประชุมขนาดเล็ก
การสื่อสารกลุ่มใหญ่(Large-group Communication)
การสื่อสารระหว่างคนจานวนมาก เช่นภายในห้องประชุมใหญ่ โรง
ภาพยนตร์ โรงละครชั้นเรียนขนาดใหญ่
การสื่อสารในองค์กร(Organization Communication)
การสื่อสารระหว่างสมาชิกภายในหน่วยงานเพื่อปฏิบัติงานให้สาเร็จลุล่วง
เช่นการสื่อสารระหว่าเพื่อนร่วมงาน เจ้านายกับลูกน้อง
ความหมายของการสื่อสาร
ได้มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายของการสื่อสารไว้ในหลายแง่มุม
เช่น
จอร์จ เอ มิลเลอร์: เป็นการถ่ายทอดข่าวสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
จอร์จเกิร์บเนอร์: เป็นการแสดงกริยาสัมพันธ์ทางสังคมโดยใช้สัญลักษณ์และ
ระบบสาร
วิลเบอร์ ชแรมส์: เป็นการมีความเข้าใจร่วมกันต่อเครื่องหมายที่แสดงข่าวสารซึ่ง
สามารถสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆคือ การถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารจากบุคคลฝ่ายหนึ่งที่
เรียกว่าผู้ส่งสารไปยังยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่าผู้รับสารโดยผ่านช่องทางใน
การสื่อสารโดยมีองค์ประกอบที่สาคัญคือ ผู้ส่งสาร(Sender) สาร(Message)
ช่องทาง(Channel) และตัวผู้รับสาร(Reciever) ซึ่งมักเรียกกันว่า SMCR
วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร
การสื่อสารในชีวิตของแต่ละบุคคลนั้นล้วนมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
ออกไป และส่งผลต่อการดาเนินชีวิตได้คือ ทาให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ทาให้ทราบ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สร้างความสัมพันธ์ทางสังคม ทาให้เกิดการแสดงออก
ทาให้เกิดการพักผ่อนหย่อนใจ ทาให้เกิดการเรียนรู้ ทาให้เกิดกาลังใจ(หา
ภาพประกอบแต่ละประเภท)
สถาปัตยกรรมข้อมูล (Information Architecture) เป็นการกาหนดโครงสร้างของ
เนื้อหาทั้งหมดที่จะนาเสนอบนเว็บไซต์ โดยเชื่อมโยงเว็บเพจแต่ละส่วนไว้ด้วยกัน
ตามความสัมพันธ์ของระบบงาน เพื่อให้ข้อมูลเคลื่อนที่อย่างเป็นระบบจนผู้ใช้งาน
ไม่รู้สึกสะดุดหรือข้ามขั้นตอนเมื่อเรียกใช้หน้าเว็บนั้น
โครงสร้างการนาเสนอเนื้อหาของเว็บมี 4 ชนิดได้แก่ Linear Structrue, Hierar-
chical Structure, GridStructure และ NetworkStructure
1. โครงสร้างเชิงเส้น (Linear Structrue) เป็นโครงสร้างเนื้อหาที่จัด
เรียงลาดับหน้าเว็บเพื่อเข้าถึงข้อมูลไว้ตายตัวโดยผู้ใช้จะต้องเข้าถึงหน้าเว็บในแนว
เส้นตรง กล่าวคือ เข้าถึงหน้าเว็บทีละหน้าตามลาดับขั้นตอนไปจนถึงหน้าเว็บ
ปลายทางที่ต้องการ ข้อดีของการจัดวางโครงสร้างเนื้อหาลักษณะนี้ คือ การ
ออกแบบไม่ยุ่งยากและข้อมูลเป็นระเบียบ แต่ข้อเสีย คือ ต้องใช้เวลามากกว่าจะ
เข้าถึงหน้าเว็บที่ต้องการได้ เพราะต้องผ่านหน้าเว็บที่ไม่จาเป็นหลายขั้นตอน
2. โครงสร้างแบบลาดับขั้น (HierarchicalStructure) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
“โครงสร้างต้นไม้(Tree Structure) ” เป็นโครงสร้างที่นิยมใช้งาน โดยจัดลาดับ
การเข้าถึงข้อมูลตามความสัมพันธ์จากหัวข้อใหญ่ไปจนถึงหัวข้อย่อยแตกออกไป
ข้อดีของการจัดวางโครงสร้างเนื้อหาลักษณะนี้ คือ ข้อมูลถูกจัดวางอย่างเป็น
ระบบ ทาให้มองความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่ละส่วนได้เป็นอย่างดี ข้อเสีย คือ
การออกแบบมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น และต้องการออกแบบให้โครงสร้างต้นไม้มี
ความสมดุล
3. โครงสร้างแบบตาราง (Grid Structure) เป็นโครงสร้างเนื้อหาที่เพิ่ม
เส้นทางการเชื่อมโยงข้อมูลมากขึ้น เพื่อให้การเข้าถึงเว็บเพจมีความยืดหยุ่น
กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนทิศทางการเข้าถึงผ่านข้อมูลทางหน้าเว็บอื่นๆได้ จึง
นับเป็นข้อดีประการสาคัญของโครงสร้างลักษณะนี้ แต่ข้อเสีย คือ การออกแบบ
มีความซับซ้อนสูง และต้องระวังผู้ใช้หลงเส้นทางการเชื่อมโยงด้วย
4. โครงสร้างเครือข่าย (NetworkStructure) เป็นโครงสร้างเนื้อหาที่มี
ความยืดหยุ่นในการเข้าถึงข้อมูลมากที่สุดเพราะทุกเว็บเพจถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยกัน
ดังนั้นผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านทางหน้าเว็บใดๆ ไปยังหน้าเว็บปลายทางที่
ต้องการได้ ข้อดีของการจัดวางโครงสร้างเนื้อหาลักษณะนี้ จึงเป็นความยืดหยุ่นที่
ผู้ออกแบบกาหนดให้กับผู้ใช้งาน แต่ข้อเสีย คือ การออกแบบมีความซับซ้อน
มาก จึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้ออกแบบสูง
การสื่อสาร
ชีวิตเป็นเรื่องของการเรียนรู้และสิ่งหนึ่งที่สาคัญและต้องมีการเรียนรู้คือ
ความสัมพันธ์หรือ มนุษยสัมพันธ์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มักเป็นบทเรียน
ของกันและกัน ถ้าไม่ใส่ใจเรียนรู้ซึ่งกันและกันก็จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความ
ยากลาบาก เพราะชีวิตจะมีคุณค่าและรู้สึกมีความสุขเมื่อได้แสดงออกอย่างที่รู้สึก
มีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวและสิ่งใหม่ๆตามที่เราต้องการ
ดังนั้นความสาเร็จของมนุษย์ในการดารงชีวิตทั่วไปจึงมักมีข้อกาหนดไว้
อย่างกว้างๆว่า เราจะต้องเข้ากับคนที่เราติดต่อด้วยให้ได้และต้องเข้าให้ได้ดี ด้วย
การเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์ร่วมกัน โดยอาศัยวิธีการสื่อสารและหลัก
จิตวิทยาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์โดยทั่วไปมักถูกมองว่าเป็นเรื่องของศิลปะ
(Arts) มากกว่าศาสตร์(Science) ซึ่งก็หมายความว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับ
ความสัมพันธ์ของบุคคลแต่เพียงอย่างเดียว โดยขาดศาสตร์ของการสื่อสาร ย่อม
ขาดศิลปะในการนาไปปรับใช้ในชีวิตจริงให้ประสบความสาเร็จได้
ส่วนประกอบย่อยอื่นๆ ที่จาเป็น
1. Text เป็นข้อความปกติ โดยเราสามารถตกแต่งให้สวยงามและมีลูกเล่น
ต่างๆ ดังเช่นโปรแกรมประมวลคา
2. Graphic ประกอบด้วยรูปภาพ ลายเส้น ลายพื้น ต่างๆ มากมาย
3. Multimedia ประกอบด้วยรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และแฟ้มเสียง
4. Counter ใช้นับจานวนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา
5. Cool Links ใช้เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของตนเองหรือเว็บไซต์ของคน
อื่น
6. Formsเป็นแบบฟอร์มที่ให้ผู้เข้าเยี่ยมชม กรอกรายละเอียด แล้วส่งกลับ
มายังเว็บไซต์
7. Frames เป็นการแบ่งจอภาพเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนก็จะแสดงข้อมูลที่
แตกต่างกันและเป็นอิสระจากกัน
8. Image Mapsเป็นรูปภาพขนาดใหญ่ที่กาหนดส่วนต่างๆ บนรูป เพื่อ
เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นๆ
9. JavaAppletsเป็นโปรแกรมสาเร็จรูปเล็กๆ ที่ใส่ลงในเว็บไซต์เพื่อให้
การใช้งานเว็บไซต์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หลักการและทฤษฏีการสื่อสาร
กระบวนการพัฒนาเว็บไซต์
กระบวนการในการสร้างและออกแบบเว็บมีกระบวนการพื้นฐานอยู่ด้วยกัน 5
ขั้นตอนคือ
1. การวางแผน (Planning) เป็นขั้นตอนที่ผู้สร้างเว็บจะต้องรวบรวมข้อมูลที่
ต้องการจะนา
มาสร้างเว็บ กาหนดวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นกาหนดขอบเขตและ
ความต้องการของเว็บว่าจะต้องมีอะไรบ้าง เช่น ขนาดของหน้าจอภาพ บราวเซอร์
ที่จะใช้ฯลฯ องค์ประกอบและเครื่องมือที่จะต้องใช้ต้องการมีกระดานข่าว ห้อง
สนทนา ฯลฯ รวมถึงขั้นตอนและกระบวนการในการบารุงรักษาอย่างเป็นระบบ
การวางแผนเบื้องต้นของการสร้างเว็บสาหรับ Dreamweaver คือ
- กาหนดพื้นที่จัดเก็บเว็บในเครื่องคอมพิวเตอร์
- กาหนดพื้นที่ติดตั้งเว็บเมื่อสร้างเสร็จ
2. การออกแบบ (Design) เป็นขั้นตอนที่นาข้อมูลและแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดย
การลงมือปฏิบัติโดยจัดพิมพ์เนื้อหา กาหนดการเชื่อมโยงและคุณลักษณะอื่นที่
ต้องใช้ในเว็บ การออกแบบก็จะเน้นที่การจัดหน้าจอของเว็บให้สอดคล้องกันและ
ระมัดระวังปัญหาต่าง ๆ ในการออกแบบ
- การเลือกเนื้อหา เป็นส่วนสาคัญของการเริ่มต้นสร้างเว็บเพจ ผู้เยี่ยมชนแต่ละ
กลุ่มจะค้นหาข้อมูลที่แตกต่างกัน เว็บเพจแต่ละหน้าจะสนองตอบต่อผู้ชมไม่
เหมือนกัน การเลือกเนื้อหาที่ดีเนื้อหาน่าสนใจและใหม่เสมอจะทาให้ผู้ชมกลับมา
เยี่ยมใหม่อีกครั้ง การใส่ข้อมูลปริมาณมากเกินความจาเป็นจะทาให้เว็บเพจดู
หนาแน่น ผู้ชมอึดอัด ไม่ดึงดูดความสนใจ
3. การพัฒนา (Development) เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการออกแบบและการ
สร้าง โดย
เน้นไปที่การตกแต่งและเสริมเครื่องมือต่าง ๆ สาหรับเว็บ เช่น การกาหนดสี ภาพ
การใช้Flashช่วยให้เว็บเร้าความสนใจ และเพิ่มเติมเทคนิคต่าง ๆ ของโปรแกรม
สนับสนุนการสร้างเว็บ
4. การติดตั้ง (Publishing) เป็นขั้นตอนที่จะนาเอาเว็บที่ได้สร้างขึ้นเข้าไปติดตั้งใน
เว็บเซอร์เวอร์เพื่อให้แสดงผลได้ในระบบอินเทอร์เน็ต หรือจะเรียกว่าการอับ
โหลด (Up load) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะต้องดาเนินการอยู่เสมอเมื่อสร้างเว็บเสร็จ
5. การบารุงรักษา (Maintenance) เป็นขั้นตอนประเมินผลและติดตามผลการติดตั้ง
เว็บไซต์
ว่ามีข้อขัดข้องหรือต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเว็บเพิ่มเติมให้ทันสมัยอยู่เสมอ
อาจจะเรียกได้ว่าขั้นตอนการอับเดท (Up date
2.ส่วนของเนื้อหา (Page Body)
เป็นส่วนที่อยู่ตอนกลางของหน้า ใช้แสดงข้อมูลเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่ง
ประกอบด้วยข้อความ, ตารางข้อมูล ภาพกราฟิก วีดีโอ และอื่นๆ และอาจมีเมนู
หลักหรือเมนูเฉพาะกลุ่มวางอยู่ในส่วนนี้ด้วย
สาหรับส่วนเนื้อหาควรแสดงใจความสาคัญที่เป็นหัวเรื่องไว้บนสุด ข้อมูลมี
ความกระชับ ใช้รูปแบบตัวอักษรที่อ่านง่าย และจัด Layout ให้เหมาะสมและเป็น
ระเบียบ
3. ส่วนท้ายของหน้า (Page Footer)
เป็นส่วนที่อยู่ด้านล่างสุดของหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้มักวางระบบนาทางที่
เป็นลิงค์ข้อความง่าย ๆ และอาจแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์
เช่น เจ้าของเว็บไซต์, ข้อความแสดงลิขสิทธิ์, วิธีการติดต่อกับผู้ดูแลเว็บไซต์,
คาแนะนาการใช้เว็บไซต์เป็นต้น
ส่วนประกอบของหน้าเว็บไซต์
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
1. ส่วนหัวของเว็บเพ็จ (Page Header)
เป็นส่วนที่อยู่ตอนบนสุดของหน้า และเป็นส่วนที่สาคัญที่สุดของหน้า
เพราะเป็นส่วนที่ดึงดูดผู้ชมให้ติดตามเนื้อหาภายในเว็บไซต์มักใส่ภาพกราฟิกเพื่อ
สร้างความประทับใจส่วนใหญ่ประกอบด้วย
- โลโก้ (Logo) เป็นสิ่งที่เว็บไซต์ควรมี เป็นตัวแทนของเว็บไซต์ได้เป็น
อย่างดี และยังทาให้เว็บน่าเชื่อถือ
- ชื่อเว็บไซต์
- เมนูหลักหรือลิงค์ (Navigation Bar) เป็นจุดเชื่อมโยงไปสู่เนื้อหาของ
เว็บไซต์
นหลักๆ คือ
การประชาสัมพันธ์
(เสนีย์แดงวัง 2525 ; วิจิตร อาวะกุล 2526)
ความหมายของการประชาสัมพันธ์
การประชาสัมพันธ์มักจะถูกเข้าใจสับสนกับการโฆษณา คนจานวนมากมักจะ
เข้าใจว่าการโฆษณาและ
การประชาสัมพันธ์มีความหมายเหมือนกันจนบางทีเราเรียกการโฆษณาและการ
ประชาสัมพันธ์เป็น
“การโฆษณาประชาสัมพันธ์” ซึ่งในความเป็นจริงการโฆษณาและการ
ประชาสัมพันธ์มีความแตกต่างกัน
พอสมควร ดังนี้
การโฆษณา (Advertising) เป็นการกระทาการใดๆ อันเป็นการชักจูงใจ
ต่อกลุ่มเป้าหมายเฉพาะโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการจาหน่ายสินค้าหรือบริการ ซึ่ง
อาศัยสื่อมวลชน (Mass media) ในการส่งผ่านข้อมูลข่าวสารซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย
และมิได้เป็นไปในรูปส่วนตัว
การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) เป็นการติดต่อสื่อสารจากองค์การ
ไปสู่สาธารณชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรับฟังความคิดเห็นและประชามติจาก
สาธารณชนที่มีต่อองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อถือ ภาพลักษณ์
ความรู้ และแก้ไขข้อผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ลักษณะของการประชาสัมพันธ์
ลักษณะของการประชาสัมพันธ์มีดังต่อไปนี้
การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารสองทาง (Two-waycommunication)
เป็นการสื่อสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับเกี่ยวกับข่าวสารขององค์การที่ต้องการสื่อสาร
ให้สาธารณชนรับทราบและเข้าใจ และยังเป็น
การสื่อสารย้อนกลับจากผู้รับคือ สาธารณชนไปยังองค์การเกี่ยวกับความคิดเห็นที่
เกี่ยวกับองค์การ
การประชาสัมพันธ์อาจมีกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม (Multiple target group)
เช่น พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้นชุมชน รัฐบาล หรือหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับวัตถุระสงค์ในการประชาสัมพันธ์ว่าต้องการ
ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมายใดบ้าง
การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจทั้งนี้การ
ประชาสัมพันธ์ต้องตั้งอยู่บนหลักความจริงเพื่อมุ่งให้เกิดความเชื่อถือและปฏิบัติ
ตามด้วยความสมัครใจ
การประชาสัมพันธ์เป็นการดาเนินงานอย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอ โดย
คาดหวังผลต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อให้สาธารณชนมีความศรัทธาและมีความไว้
เนื้อเชื่อใจต่อองค์การเพื่อให้องค์การสามารถดาเนินกิจการอยู่ในระยะยาวได้
เว็บเพจ
เว็บเพจ (Web Page) หมายถึง หน้าเอกสารของบริการ WWW ซึ่งตามปกติจะ
ถูกเก็บอยู่ในรูปแบบไฟล์HTML (Hyper Text Markup Language) โดย
ไฟล์ HTML 1 ไฟล์ก็คือเว็บเพจ 1 หน้านั่นเอง ภายในเว็บเพจอาจประกอบไป
ด้วยข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และภาพเคลื่อนไหวแบบมัลติมีเดีย นอกจากนี้
เว็บเพจแต่ละหน้าจะมีการเชื่อมโยงหรือ “ลิงค์” (Link) กัน เพื่อให้ผู้ชมเรียกดู
เอกสารหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้สะดวกอีกด้วย
โฮมเพจ
โฮมเพจ (Home Page) คือเว็บเพจหน้าแรกซึ่งเป็นทางเข้าหลักของ
เว็บไซต์ ปกติเว็บเพจทุกๆ หน้าในเว็บไซท์จะถูกลิงค์ (โดยตรงหรือโดยอ้อมก็
ตาม) มาจากโฮมเพจ ดังนั้นบางครั้งจึงมีผู้ใช้คาว่าโฮมเพจโดยหมายถึงเว็บไซท์
ทั้งหมด แต่ความจริงแล้วโฮมเพจหมายถึงหน้าแรกเท่านั้น ถ้าเปรียบกับร้านค้า
โฮมเพจก็เป็นเสมือนหน้าร้านนั่นเอง ดังนั้นจึงมักถูกออกแบบให้โดดเด่นและ
น่าสนใจมากที่สุด
การประชาสัมพันธ์เป็นการดาเนินงานอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการ
วางแผนควบคุมและประเมินผล
ของการประชาสัมพันธ์เพื่อให้มั่นใจว่าการดาเนินการประชาสัมพันธ์เป็นไปอย่าง
มีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผล
องค์ประกอบของการประชาสัมพันธ์
ถ้าหากพิจารณาจากกระบวนการสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์แล้ว ก็
สามารถจาแนกองค์ประกอบ สาคัญของการประชาสัมพันธ์ออกเป็น 4 ประการ
คือ
1. องค์กร สถาบันหรือหน่วยงาน
ได้แก่ กิจการที่บุคคลหรือคณะบุคคลได้จัดทาขึ้น เป็นแหล่งข่าว แหล่งข้อมูลใน
การเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะดาเนินการใด ๆ ให้สาเร็จลุล่วง
ไปด้วยดี กิจการเหล่านี้อาจจะเป็นกิจการของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ องค์การสา
ธารณกุศล และธุรกิจเอกชน เช่น รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม หน่วยราชการ
หรือหน่วยรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ มูลนิธิ บริษัทห้างร้าน ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น
2. ข่าวสารประชาสัมพันธ์
เป็นข้อมูลข่าวสารที่องค์กร สถาบันหรือหน่วยงานต้องการเผยแพร่ได้แก่
เรื่องราวที่เป็นเนื้อหา สาระ รูปภาพ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมาย ที่สามารถ
สื่อสารความเข้าใจได้ เว็บไซต์
เว็บไซต์ (อังกฤษ:website, web site,Web site) หมายถึง หน้าเว็บเพจหลาย
หน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ส่วนใหญ่จัดทาขึ้นเพื่อนาเสนอข้อมูล
ผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ หน้าแรกของเว็บไซต์ที่เก็บไว้
ที่ชื่อหลักจะเรียกว่าโฮมเพจ เว็บไซต์โดยทั่วไปจะให้บริการต่อผู้ใช้ฟรี แต่ใน
ขณะเดียวกันบางเว็บไซต์จาเป็นต้องมีการสมัครสมาชิกและเสียค่าบริการเพื่อที่จะ
ดูข้อมูล ในเว็บไซต์นั้น ซึ่งได้แก่ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์หรือ
ข้อมูลสื่อต่างๆ ผู้ทาเว็บไซต์มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว จนถึง
ระดับเว็บไซต์สาหรับธุรกิจหรือองค์กรต่างๆการเรียกดูเว็บไซต์โดยทั่วไปนิยม
เรียกดูผ่านซอฟต์แวร์ในลักษณะของ เว็บเบราว์เซอร์
3. Content :เนื้อหาของเว็บไซต์ถือว่าเป็นสิ่งที่สาคัญ
ที่สุดในองค์ประกอบของเว็บไซต์ เพราะคือสิ่งที่ผู้
เยี่ยมชมค้นหาโดยปกติแล้วเราสามารถใส่เนื้อหาที่
เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือบริการขององค์กรของเราได้
โดยละเอียด อีกทั้งจาต้องนาเสนออย่างชัดเจนอีก
ด้วย เช่น รูปภาพของสินค้า หรือสถานที่บริการ
เป็นต้น จึงจะทาให้ผู้เข้าเยี่ยมชมได้ประโยชน์จาก
การเข้าชมเว็บไซต์อย่างแท้จริงอันจานามาซึ่ง
ผลประโยชน์ทางธุรกิจในอนาคตได้
4. Hosting : พื้นที่จัดวางและติดตั้งเว็บไซต์ เป็น
องค์ประกอบที่สาคัญมากไม่น้อยกว่าเนื้อหาของ
เว็บไซต์ (Content) เพราะการเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้ง
ที่ดีมีการซัพพอร์ตลูกค้าที่ดีและรวดเร็ว เซิร์ฟเวอร์มี
ความเสถียรภาพสูง สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ดูแล
เซิร์ฟเวอร์ได้ตลอดเวลา คือหัวใจสาคัญในการเลือก
ผู้ให้บริการด้านนี้ นอกจากความพร้อมในการ
ออกแบบและจัดทาเว็บไซต์แล้ว เรายังมีความพร้อม
3. สื่อประชาสัมพันธ์
ได้แก่ เรื่องราวที่เป็นเนื้อหา สาระ รูปภาพ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมาย
อาจจะเป็นสื่อคาพูด เช่น การสนทนา การประชุม การสัมมนา การอภิปราย การ
ปาฐกถา ฯลฯ สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น จดหมาย บัตรอวยพร แผ่นปลิว หนังสือ
วารสาร รูปลอก ฯลฯ หรือสื่อภาพและเสียง เช่น ถ่ายภาพ สไลด์ แผ่นโปร่งใส
วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ สไลด์มัลติวิชั่น เทปเสียง ภาพยนตร์
คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถสื่อสารความเข้าใจได้ การเลือกใช้สื่อใน
การประชาสัมพันธ์มีความสาคัญ ถ้าเป็นบุคคลภายในอาจใช้โทรทัศน์วงจรปิด
เสียงตามสาย ประกาศข่าว จดหมายข่าว ถ้าเป็นประชาชนทั่วไป สื่อ
ประชาสัมพันธ์จะต้องเผยแพร่ข้อมูลได้ในวงกว้าง เช่น วิทยุ โทรทัศน์
4. กลุ่มประชาชนเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์
ได้แก่ กลุ่มบุคคลหรือประชาชนที่เป็นเป้าหมายในการสื่อสารประชาสัมพันธ์
ครั้งนั้น ๆ ดังนี้
4.1 กลุ่มประชาชนภายใน หมายถึง กลุ่มบุคลากร เจ้าหน้าที่ พนักงาน ของ
องค์กร สถาบันหรือหน่วยงาน
4.2 กลุ่มประชาชนภายนอก หมายถึง กลุ่มบุคคลที่อยู่ภายนอกองค์กร สถาบัน
หรือหน่วยงาน อันได้แก่ กลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน องค์การหรือ
สถาบันโดยตรง กลุ่มประชาชนในท้องถิ่น และกลุ่มประชาชนทั่วไป
องค์ประกอบของเว็บไซต์จะเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อเว็บไซต์ๆ หนึ่งในการที่จะ
ประสบผลสาเร็จดังที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้หรือไม่ โดยทั่วไปประกอบด้วย
1. Domain Name :ชื่อและที่อยู่ของเว็บไซต์ในการเรียกข้อมูลเว็บไซต์ของ
ท่านมาแสดงผล เช่น www.yourcompany.comเป็นต้น ปัจจุบันมักจดชื่อ domain
name ให้เป็นชื่อที่สื่อถึงสินค้าหรือบริการหรือเป็นชื่อองค์กร และอาศัยการทา
ประชาสัมพันธ์ผ่าน Search Engine และ Web Directory การเลือกใช้ชื่อเว็บไซต์ที่
เหมาะสมก็มีส่วนในการทาให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสาเร็จเช่นกัน
2. Design & Development :การออกแบบและจัดทาเว็บไซต์โดยทั่วไปแล้ว
สาหรับเว็บไซต์ประชาสัมพันธ์องค์กรการออกแบบเว็บไซต์เป็นเพียงส่วนที่ทา
หน้าที่นาเสนอข้อมูลขององค์กร หรือบริษัทให้แก่ผู้เยี่ยมชมได้อย่างสะดวก และ
ด้วยการออกแบบที่ดีที่จะสื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์ขององค์กร หรือบริษัทจะ
นามาซึ่งความน่าเชื่อถือให้เกิดแก่ผู้เข้าเยี่ยมชมได้หากแต่มักมีคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ
การออกแบบเว็บไซต์ว่าเว็บไซต์ที่มีการออกแบบดีมีความสวยงาม และมีการ
นาเสนอที่น่าสนใจจะสามารถดึงดูด และเพิ่มปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมได้ในความเป็น
จริงแล้ว การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มปริมาณของผู้เข้าเยี่ยมชมนั้น เป็นหน้าที่
หลักของการทาประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ไม่ใช่จากการออกแบบและจัดทาเว็บไซต์
6. เว็บไซต์เพื่อการสอน (Instructional website) เป็นเว็บที่สร้างขึ้นเป็น
การสอนโดยเฉพาะเป็นรายวิชา (Course) อาจแยกย่อยเป็นหัวเรื่องเรื่องย่อยๆ ก็ได้
สาหรับเว็บไซต์ประเภทนี้จะจากัดผู้ใช้เฉพาะราย
7. เว็บไซต์ที่จากัดเฉพาะสมาชิก (Registrational website) เป็นเว็บไซต์ที่
บริการเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ผู้ที่จะใช้ต้องลงทะเบียนตามราคาที่กาหนดโดยบัตร
เครดิต หรือผ่านธนาคาร ผู้ให้บริการจึงจะให้หมายเลขสมาชิกและรหัสผ่าน แต่
การขายสินค้าหรือบริการใดๆ ของเว็บไซต์เหล่านี้ จะเชิญชวนผู้ที่สนใจโดยมี
ตัวอย่างสินค้าหรือบริการให้ศึกษาบางส่วนจนพอใจด้วย
การประเมินเว็บไซต์
1. หน้าที่ของเว็บไซต์ (Authority) เกี่ยวกับหน้าที่ของเว็บที่สร้างขึ้นนั้นต้อง
ดูว่าใครหรือผู้ใช้เว็บนี้ อะไรคือความถูกต้อง เหมาะสม ชอบธรรม ระหว่าง
ความสัมพันธ์ของเรื่องและการรับประกันคุณภาพของเว็บเพจนี้ที่มีต่อผู้ชม
2. ความถูกต้อง (Accuracy) แหล่งข้อมูลและข้อเท็จจริงที่นามาสร้างเว็บ
สามารถแยกแยะเป็นประเด็นรายการต่างๆ สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้หรือไม่
3. จุดประสงค์(Objective) จุดมุ่งหมายในการสร้างชัดเจนและบอก
ความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องการนั้นชัดเจน
4. ความเป็นปัจจุบัน (Currency) เว็บเพจที่สร้างขึ้นนั้นต้องแสดงวันที่ที่เป็น
ปัจจุบันด้วย เช่น บอกว่าสร้างเมื่อใดและมีการแก้ไขครั้งหลังสุดเมื่อใด
5. ความครอบคลุม (Coverage) การสร้างเว็บไซต์ต้องให้ตรงกับจุดสนใจ
หัวเรื่องมีความชัดเจน เหมาะกับรูปภาพ โครงเรื่องและเนื้อหาสาระวิธีการค้นหา
ข้อมูลในเว็บไซต์ชัดเจน
แหล่งอ้างอิง : ประเภทและส่วนประกอบของเว็บไซต์.(2554).
http://www.websuay.com/th/web_page/web_component
การประเมินเว็บไซด์
การออกแบบและพัฒนาเว็บได้เพิ่มขึ้นโดยลาดับและนับวันจะยิ่งทวีจานวนขึ้น
ในปัจจุบันมีเว็บเพจออนไลน์ในระบบอินเทอร์เน็ตนับร้อยๆ ล้านเว็บ แต่มี
คาถามสาคัญที่ต้องมาหาคาตอบก็คือ เว็บแบบไหนที่มีคุณภาพดี เว็บแบบใดจึง
จะถือว่าเป็นเว็บที่มีคุณค่า และเหมาะสมสาหรับนามาใช้ประโยชน์ เป็นเรื่องที่
ต้องตอบคาถามกันอยู่เสมอและยังไม่มีคาตอบที่ชัดเจน เมื่อพิจารณาแบบ
ประเมินเว็บเพจของ ดร.แนนซี อีเวอร์ฮาร์ท (Everhart, 1996) ภาควิชา
บรรณารักษและสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น รัฐนิวยอร์ค
สหรัฐอเมริกา ซึ่งกาหนดระดับการให้คะแนนเอาไว้อย่างน่าสนใจและน่าจะ
นามาขยายความ เพื่อประโยชน์ในการประเมินคุณภาพของเว็บสาหรับนัก
ออกแบบและพัฒนาเว็บ รวมถึงผู้ที่ เกี่ยวข้องในการจัดสารสนเทศผ่านระบบ
อินเทอร์เน็ต จะได้มีแนวทางในการตรวจสอบและประเมินคุณภาพที่สามารถ
อธิบายเหตุผลได้
ประเภทของเว็บไซต์ออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้
1. เว็บไซต์ส่วนตัว (Personal website) เป็นเว็บที่สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่
ข้อมูลส่วนตัว เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนตัว การศึกษา การงาน ความสนใจ เป็นต้น
2. เว็บไซต์เพื่อธุรกิจการค้า (Promotional website) เว็บไซต์นี้มี
จุดประสงค์เพื่อการค้าขายสินค้าการโฆษณาสินค้าการส่งเสริมการขาย ใน
เว็บไซต์จะมีข้อมูลของสินค้า ราคาและการบริการต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันตลาด
ประเภทนี้กาลังใช้กันมากขึ้น
3. เว็บไซต์ที่เสนอข่าวประจาวัน (Current website) เป็นเว็บที่เสนอข้อมูล
ประเภทข่าว ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นประจาวัน เช่น เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
เดลินิวส์ เป็นต้น
4. เว็บไซต์ส่งเสริมการบริการเป็นสื่อกลางของข้อมูล (Share Information
website) เป็นเว็บที่มีจุดประสงค์ที่จะใช้เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามกลุ่มสนใจ
เช่น แบ่งตามอาชีพ ตามงานอดิเรก เป็นต้น
5. เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นเพื่อชักชวนหรือโฆษณาชวนเชื่อ (Persuasive web-
site) เป็นเว็บที่เชิญชวนหรือชักนาให้เห็นคล้อยตามในเรื่องที่ผู้สร้างต้องการ
วิธีการออกแบบหน้าตาของเว็บไซต์อยู่ 3 รูปแบบ คือ
ออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่เน้นการนาเสนอเนื้อหามากๆ
เป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่มีการนาเสนอเนื้อหามากกว่ารูปภาพ โดยจะ
ใช้โครงสร้างของตารางเป็นหลัก เพื่อใส่ข้อความแบบหน้าสารบัญ และรูปภาพที่
เป็นชิ้นเล็กๆได้
ออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่เน้นภาพกราฟิกเป็นหลัก
เป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่มีภาพกราฟิกที่สวยงามถูกจัดวางไว้ในหน้า
โฮมเพจ ซึ่งแตกต่างจากข้อแรกมากเพราะจะไม่ค่อยมีข้อความในเว็บเพจ แต่จะ
เป็นการ Link ที่ภาพเพื่อเข้าไปยังหน้าเว็บเพจอื่นๆต่อไป การสร้างเว็บไซต์แบบนี้
จะให้โปรแกรม Photoshop สาหรับตกแต่งภาพก่อนนาไปใช้บนหน้าแว็บ
ออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่มีทั้งภาพและเนื้อหา
เป็นการออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่ผสมกันระหว่างข้อ1 และ 2 ข้างต้น โดย
จะเน้นการจัดวางภาพที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆก่อน หลังจากนั้นจึงใส่ข้อความ
ประกอบภาพลงไป เพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีความสวยงามด้วยภาพกราฟิกที่นามา
ประกอบและใส่เนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์ด้วย
โดยแนวคิดของอีเวอร์ฮาร์ท จะมีด้วยกัน 9 ด้านคือ
1. ความทันสมัย (Currency)
2. เนื้อหาและข้อมูล (Content and Information)
3. ความน่าเชื่อถือ (Authority)
4. การเชื่อมโยงข้อมูล (Navigation)
5. การปฏิบัติจริง (Experience)
6. ความเป็นมัลติมีเดีย (Multimedia)
7. การให้ข้อมูล (treatment)
8. การเข้าถึงข้อมูล (Access)
9. ความหลากหลายของข้อมูล (Miscellaneous)
การโปรโมทเว็บไซต์
คือ การโฆษณาเผยแพร่เว็บไซต์ที่เราสร้างขึ้นให้เป็นที่รู้จักอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะ
ให้เป็นที่รู้จักของผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ต ถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งสาหรับใช้แจ้ง
ข่าวสาร เพื่อเชิญชวนให้นักทองเว็บได้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของตนโดยทั่วไป
แล้วนักท่องเว็บมักจะทาการค้นหาข้อมูลของเว็บไซต์ผ่านทางเครื่องมือประเภท
เว็บไดเรกทอรี่ และ Search Engine จึงสามารถนามาใช้เป็นช่องทางในการโป
รโมทเว็บไซต์
การโปรโมทเว็บไซต์
เป็นการโฆษณาผ่านทางสื่อหนังสือพิมพ์โดยการลงโฆษณาใน
หนังสือพิมพ์ทั่วๆไปเพื่อให้คนรู้จักและเข้าถึงได้โฆษณาผ่านทาง
บิลบอร์ดตามแหล่งชุมชน ถนนใหญ่ๆ หรือแหล่งที่มีคนผ่านในแต่ละวัน
เป็นจานวนมากโฆษณาผ่านสื่อรถยนต์เช่น โฆษณาด้วยการติดแบนเนอร์
หรือชื่อเว็บไซต์ข้างรถยนต์ของตัวเองหรือรถยนต์ประจาทาง ( รถเมล์)
ผ่านนามบัตร โดยการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์หรือ URL ลงบนนามบัตร ซึ่งถือ
ว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งผ่านเสื้อที่สวมใส่ โดยการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ลงบน
เสื้อเพื่อให้ติดตาคนที่พบเห็นการโฆษณาผ่านถุงกระดาษ ถุงพลาสติก
หรือแพคกิ้งข้างขวดหีบห่อต่างๆ
ขั้นที่สามออกแบบหน้าโฮมเพ็จ (Home Page)
ขั้นตอนการออกแบบเว็บไซต์
ขั้นแรกออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์
ขั้นที่สองออกแบบการเชื่อมโยงไฟล์
การโปรโมทเว็บไซต์โดยใช้บริการของเว็บไดเรกทอรี่ มีทั้งแบบเสีย
ค่าใช้จ่าย และไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยหากต้องการให้ผลลัพธ์ของการค้นหาปรากฏ
อยู่ในลาดับต้นๆ อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ได้แก่ ya-
hoo.com,mickinley.com และ google.com
ส่วนกรณีที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายผู้ใช้บริการจะต้องเป็นผู้จัดทาหรือ
กาหนดหมวดหมู่ที่ต้องการขึ้นเอง โดยผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ปรากฏอยู่ลาดับต้นๆ
โดยมีเว็บให้บริการได้แก่ sanook.com,hunsa.com,hotbot.com เป็นต้น
การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction)เป็นการผสมผสาน
กันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อ
เพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจากัดทางด้านสถานที่
และเวลา โดยการสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์
ไวด์เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่ง
การเรียนการสอนที่จัดขึ้นผ่านเว็บนี้อาจเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดของกระบวนการ
เรียนการสอนก็ได้วิลด์ไวด์เว็บ เป็นบริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งได้รับ
ความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เริ่มเข้ามาเป็น ที่รู้จักในวงการศึกษาใน
ประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2538 ที่ผ่านมาเว็บได้เข้ามามีบทบาทสาคัญทางการศึกษา
และ กลายเป็นคลังแห่งความรู้ที่ไร้พรมแดน ซึ่งผู้สอนได้ใช้เป็นทางเลือกใหม่ใน
การส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อเปิดประตูการศึกษาจากห้องเรียนไปสู่โลกแห่งการ
เรียนรู้อันกว้างใหญ่ รวมทั้งการนาการศึกษาไปสู่ผู้ที่ขาดโอกาสด้วย ข้อจากัด
ทางด้านเวลาและสถานที่ (ถนอมพร เลาหจรัสแสง.2544)
การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-BasedInstruction) เป็นการผสมผสานกัน
ระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจากัดทางด้านสถานที่และ
เวลา โดยการสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ไวด์
เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่งการ
เรียนการสอนที่จัดขึ้นผ่านเว็บนี้อาจเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดของกระบวนการ
เรียนการสอนก็ได้
การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์
การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure Design)
คือ การจัดหมวดหมู่ และลาดับของเนื้อหา แล้วจัดทาเป็นแผนผังโครงสร้าง
เว็บไซต์ซึ่งจะทาให้เรารู้ว่ามีเนื้อหาอะไรบ้างภายในเว็บไซต์และแต่ละหน้าเว็บ
เพจนั้นมีการเชื่อมโยงกันอย่างไร
โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ผู้ชมไม่สับสนและค้นหาข้อมูลที่ต้องการ
ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ควรเป็นลาดับที่ลึกหลายชั้นเกินไป เพราะผู้ใช้จะเบื่อเสียก่อน
กว่าจะค้นหาเจอหน้าที่ต้องการ
1. รวบรวมข้อมูล เนื้อหาที่จะนามาสร้างเว็บ แล้วนามาจัดหมวดหมู่
และลาดับเนื้อหาก่อนหลัง (ตัดส่วนที่ไม่จาเป็นออก) แล้ววางโครงสร้างเว็บไซต์
ในภาพรวมทั้งหมด
2. จัดทาแผนผังโครงสร้างการเชื่อมโยงไฟล์ เป็นแผนผังที่แสดง
โครงสร้างข้อมูล ลาดับชั้น และการเชื่อมโยงส่วนต่างๆอย่างชัดเจน
3. ออกแบบหน้าแรกของเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Home page
3.เว็บช่วยสอนแบบศูนย์การศึกษา (WebPedagogical Resources) เป็นชนิดของ
เว็บไซต์ที่มีวัตถุดิบเครื่องมือ ซึ่งสามารถรวบรวมรายวิชาขนาดใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน
หรือเป็นแหล่งสนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษา ซึ่งผู้ที่เข้ามาใช้ก็จะมีสื่อให้บริการ
อย่างรูปแบบอย่างเช่น เป็นข้อความ เป็นภาพกราฟิก การสื่อสารระหว่างบุคคล
และการทาภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น
ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บ
การใช้เว็บเพื่อการเรียนการสอนเป็นการนาเอาคุณสมบัติของอินเทอร์เน็ต
มาออกแบบเพื่อใช้ในการศึกษาการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based
Instruction) มีชื่อเรียกหลายลักษณะ เช่นการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ(Web-
Based Instruction) เว็บการเรียน(Web-Based Learning) เว็บฝึกอบรม (Web-Based
Training) อินเทอร์เน็ตฝึกอบรม (Internet-Based Training) อินเทอร์เน็ตช่วยสอน
(Internet-BasedInstruction) เวิลด์ไวด์เว็บฝึกอบรม (WWW-Based Training) และ
เวิลด์ไวด์เว็บช่วยสอน (WWW-Based Instruction) (สรรรัชต์ห่อไพศาล. 2545)
ทั้งนี้มีผู้นิยามและให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บเอาไว้หลายนิยาม
ได้แก่
คาน (Khan, 1997) ได้ให้คาจากัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based
Instruction)ไว้ว่าเป็นการเรียนการสอนที่อาศัยโปรแกรมไฮเปอร์มีเดียที่ช่วยในการ
สอน โดยการใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ต มาสร้าง
ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายโดยส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้อย่าง
มากมายและสนับสนุนการเรียนรู้ในทุกทาง
คลาร์ก (Clark, 1996) ได้ให้คาจากัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่า เป็น
การเรียนการสอนรายบุคคลที่นาเสนอโดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สาธารณะ
หรือส่วนบุคคล และแสดงผลในรูปของการใช้เว็บบราวเซอร์สามารถเข้าถึงข้อมูล
ที่ติดตั้งไว้ได้โดยผ่านเครือข่าย
รีแลน และกิลลานิ (Relan and Gillani, 1997) ได้ให้คาจากัดความของเว็บในการ
สอนเอาไว้ว่าเป็นการกระทาของคณะหนึ่งในการเตรียมการคิดในกลวิธีการสอน
โดยกลุ่มคอนสตรัคติวิซึ่มและการเรียนรู้ในสถานการณ์ร่วมมือกัน โดยใช้
ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรในเวิลด์ไวด์เว็บ
ประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บ
การเรียนการสอนผ่านเว็บสามารถทาได้ในหลายลักษณะ โดยแต่ละเนื้อหาของ
หลักสูตรก็จะมีวิธีการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งใน
ประเด็นนี้มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเภทของการ
เรียนการสอนผ่านเว็บดังต่อไปนี้
พาร์สัน(Parson,1997) ได้แบ่งประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บออกเป็น 3
ลักษณะคือ
1.เว็บช่วยสอนแบบรายวิชาอย่างเดียว (Stand - Alone Courses) เป็นรายวิชาที่มี
เครื่องมือและแหล่งที่เข้าไปถึงและเข้าหาได้โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมาก
ที่สุด ถ้าไม่มีการสื่อสารก็สามารถที่จะไปผ่านระบบคอมพิวเตอร์สื่อสารได้
ลักษณะของเว็บช่วยสอนแบบนี้มีลักษณะเป็นแบบวิทยาเขตมีนักศึกษาจานวนมาก
ที่เข้ามาใช้จริงแต่จะมีการส่งข้อมูลจากรายวิชาทางไกล
2.เว็บช่วยสอนแบบเว็บสนับสนุนรายวิชา (Web SupportedCourses) เป็นรายวิชา
ที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมที่มีการพบปะระหว่างครูกับนักเรียนและมีแหล่งให้มาก
เช่น การกาหนดงานที่ให้ทาบนเว็บการกาหนดให้อ่าน การสื่อสารผ่านระบบ
คอมพิวเตอร์ หรือการมีเว็บที่สามารถชี้ตาแหน่งของแหล่งบนพื้นที่ของเว็บไซต์
โดยรวมกิจกรรมต่างๆ เอาไว้

More Related Content

What's hot

โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์Kanyawee Sriphongpraphai
 
03 ใบความรู้ที่1.3-social media-การจัดการเรียนรู้
03 ใบความรู้ที่1.3-social media-การจัดการเรียนรู้03 ใบความรู้ที่1.3-social media-การจัดการเรียนรู้
03 ใบความรู้ที่1.3-social media-การจัดการเรียนรู้Smo Tara
 
รายงานสังคมออนไลน์
รายงานสังคมออนไลน์รายงานสังคมออนไลน์
รายงานสังคมออนไลน์Fon Chutikan Kongchusri
 
สังคมออนไลน์
สังคมออนไลน์สังคมออนไลน์
สังคมออนไลน์YenrudeePantong28
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้องNinna Natsu
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้องM'suKanya MinHyuk
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมรแบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมรกลอนแก้ว สาลีศรี
 
โครงงาน แอนดรอยด์
โครงงาน แอนดรอยด์โครงงาน แอนดรอยด์
โครงงาน แอนดรอยด์teerarat55
 
รายงาน สังคมออนไลน์
รายงาน สังคมออนไลน์รายงาน สังคมออนไลน์
รายงาน สังคมออนไลน์Pimpimol Hueghok
 
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำบทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำTheeraWat JanWan
 

What's hot (19)

บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
2
22
2
 
โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์โครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์
 
2
22
2
 
03 ใบความรู้ที่1.3-social media-การจัดการเรียนรู้
03 ใบความรู้ที่1.3-social media-การจัดการเรียนรู้03 ใบความรู้ที่1.3-social media-การจัดการเรียนรู้
03 ใบความรู้ที่1.3-social media-การจัดการเรียนรู้
 
รายงานสังคมออนไลน์
รายงานสังคมออนไลน์รายงานสังคมออนไลน์
รายงานสังคมออนไลน์
 
สังคมออนไลน์
สังคมออนไลน์สังคมออนไลน์
สังคมออนไลน์
 
Social network
Social networkSocial network
Social network
 
Facebook fanpage study workshop
Facebook fanpage study workshopFacebook fanpage study workshop
Facebook fanpage study workshop
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
2
22
2
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมรแบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ ครูสมร
 
โครงงาน แอนดรอยด์
โครงงาน แอนดรอยด์โครงงาน แอนดรอยด์
โครงงาน แอนดรอยด์
 
รายงาน สังคมออนไลน์
รายงาน สังคมออนไลน์รายงาน สังคมออนไลน์
รายงาน สังคมออนไลน์
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำบทที่ 1 บทนำ
บทที่ 1 บทนำ
 

Similar to สม ดเล มเล_ก

หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กtayechoo
 
หนังสือเล่มเล็กก
หนังสือเล่มเล็กกหนังสือเล่มเล็กก
หนังสือเล่มเล็กกprawanya
 
หนังสือเล่มเล็กก
หนังสือเล่มเล็กกหนังสือเล่มเล็กก
หนังสือเล่มเล็กกprawanya
 
หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กprawanya
 
สมุดเล่มเล็ก
สมุดเล่มเล็กสมุดเล่มเล็ก
สมุดเล่มเล็กAriaty KiKi Sang
 
โครงงาน ระบบประฏิบัติการ
โครงงาน ระบบประฏิบัติการโครงงาน ระบบประฏิบัติการ
โครงงาน ระบบประฏิบัติการkanoksuk
 
หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กNaruedee Chotsri
 
โครงงานบอร์ดอาหารไทยสี่ภาค
โครงงานบอร์ดอาหารไทยสี่ภาคโครงงานบอร์ดอาหารไทยสี่ภาค
โครงงานบอร์ดอาหารไทยสี่ภาคMontra Songsee
 
โครงการการออกแบบเว็บไซด์เพื่อการช่วยสอนการสนทนากับชาวต่างชาติ
โครงการการออกแบบเว็บไซด์เพื่อการช่วยสอนการสนทนากับชาวต่างชาติโครงการการออกแบบเว็บไซด์เพื่อการช่วยสอนการสนทนากับชาวต่างชาติ
โครงการการออกแบบเว็บไซด์เพื่อการช่วยสอนการสนทนากับชาวต่างชาติลมพัด' ตึ้งงงงงง
 
หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กPhanudet Senounjan
 
ความรู้การออกแบบเว็บไซต์
ความรู้การออกแบบเว็บไซต์ความรู้การออกแบบเว็บไซต์
ความรู้การออกแบบเว็บไซต์Ta'May Pimkanok
 
ทฤษฎีการออกแบบเว็บ
ทฤษฎีการออกแบบเว็บทฤษฎีการออกแบบเว็บ
ทฤษฎีการออกแบบเว็บprawanya
 
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 30
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 30การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 30
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 30Saengnapa Saejueng
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์Saengnapa Saejueng
 

Similar to สม ดเล มเล_ก (20)

หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็ก
 
หนังสือเล่มเล็กก
หนังสือเล่มเล็กกหนังสือเล่มเล็กก
หนังสือเล่มเล็กก
 
หนังสือเล่มเล็กก
หนังสือเล่มเล็กกหนังสือเล่มเล็กก
หนังสือเล่มเล็กก
 
หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็ก
 
สมุดเล่มเล็ก
สมุดเล่มเล็กสมุดเล่มเล็ก
สมุดเล่มเล็ก
 
โครงงาน ระบบประฏิบัติการ
โครงงาน ระบบประฏิบัติการโครงงาน ระบบประฏิบัติการ
โครงงาน ระบบประฏิบัติการ
 
หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็ก
 
โครงงานบอร์ดอาหารไทยสี่ภาค
โครงงานบอร์ดอาหารไทยสี่ภาคโครงงานบอร์ดอาหารไทยสี่ภาค
โครงงานบอร์ดอาหารไทยสี่ภาค
 
โครงการการออกแบบเว็บไซด์เพื่อการช่วยสอนการสนทนากับชาวต่างชาติ
โครงการการออกแบบเว็บไซด์เพื่อการช่วยสอนการสนทนากับชาวต่างชาติโครงการการออกแบบเว็บไซด์เพื่อการช่วยสอนการสนทนากับชาวต่างชาติ
โครงการการออกแบบเว็บไซด์เพื่อการช่วยสอนการสนทนากับชาวต่างชาติ
 
หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็ก
 
ความรู้การออกแบบเว็บไซต์
ความรู้การออกแบบเว็บไซต์ความรู้การออกแบบเว็บไซต์
ความรู้การออกแบบเว็บไซต์
 
หน้าปก12
หน้าปก12หน้าปก12
หน้าปก12
 
ส่วนนำ
ส่วนนำส่วนนำ
ส่วนนำ
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 
ทฤษฎีการออกแบบเว็บ
ทฤษฎีการออกแบบเว็บทฤษฎีการออกแบบเว็บ
ทฤษฎีการออกแบบเว็บ
 
หนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็กหนังสือเล่มเล็ก
หนังสือเล่มเล็ก
 
1พ
1พ1พ
1พ
 
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 30
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 30การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 30
การเขียนรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ 30
 
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
รายงานโครงงานคอมพิวเตอร์
 

สม ดเล มเล_ก

  • 2. รายชื่อผู้จัดทา นางสาวชนากานต์ ต่อพันธ์ รหัส533410080308 นางสาวเบญจพร แสงสุวอ รหัส533410080313 นางสาวเบญจรัตน์ นามคามี รหัส533410080314 นายศราวุฒิ จันทะมาลา รหัส533410080344 ปี 4 หมู่ 3 สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 จุดเชื่อมโยงกลับมายังหน้าแรกของเว็บไซต์ที่กาลังใช้งานอยู่ด้วย ทั้งนี้เผื่อว่าผู้ใช้ เกิดหลงทาง และไม่ทราบว่าจะทาอย่างต่อไปดีจะได้มีหนทางกลับมาสู่จุดเริ่มต้น ใหม่ ระวังอย่าให้มีหน้าที่ไม่มีการเชื่อมโยง (Orphan Page) เพราะจะทาให้ผู้ใช้ไม่รู้ จะทาอย่างไรต่อไป 4. ความเหมาะสมในหน้าจอ เนื้อหาที่นาเสนอในแต่ละหน้าจอควรสั้น กระชับ และทันสมัย หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอที่มีลักษณะการเลื่อนขึ้นลง (Scrolling) แต่ถ้า จาเป็นต้องมี ควรจะให้ข้อมูลที่มี ความสาคัญอยู่บริเวณด้านบนสุดของหน้าจอ หลีกเลี่ยงการใช้กราฟิกด้านบนของหน้าจอ เพราะถึงแม้จะดูสวยงาม แต่จะทาให้ ผู้ใช้เสียเวลาในการได้รับข้อมูลที่ต้องการ แต่หากต้องมีการใช้ภาพประกอบก็ควร ใช้เฉพาะที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาเท่านั้น นอกจากนี้การใช้รูปภาพเพื่อเป็นพื้น หลัง (Background) ไม่ควรเน้นสีสันที่ฉูดฉาดมากนัก เพราะอาจจะไปลดความ เด่นชัดของเนื้อหาลง ควรใช้ภาพที่มีสีอ่อน ๆ ไม่สว่างจนเกินไปรวมไปถึงการใช้ เทคนิคต่าง ๆ เช่น ภาพเคลื่อนไหว หรือตัวอักษรวิ่ง (Marquees) ซึ่งอาจจะเกิดการ รบกวนการอ่านได้ควรใช้เฉพาะที่จาเป็นจริง ๆ เท่านั้นตัวอักษรที่นามาแสดงบน จอภาพควรเลือกขนาดที่อ่านง่าย ไม่มีสีสันและลวดลายมากเกินไป 5.ความรวดเร็ว ความรวดเร็วเป็นสิ่งสาคัญประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ ผู้ใช้ จะเกิดอาการเบื่อหน่ายและหมดความสนใจกับเว็บที่ใช้เวลาในการแสดงผลนาน สาเหตุสาคัญที่จะทาให้การแสดงผลนานคือการใช้ภาพกราฟิกหรือ ภาพเคลื่อนไหว
  • 3. การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ที่ดี จะช่วยกลุ่มผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศเป็น อย่างมาก การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีควรประกอบด้วย 1. โครงสร้างที่ชัดเจน ผู้ออกแบบเว็บไซต์ควรจัดโครงสร้างหรือจัดระเบียบ ของข้อมูลที่ชัดเจน แยกย่อยเนื้อหาออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันและให้อยู่ใน มาตรฐานเดียวกัน จะช่วยให้น่าใช้งานและง่าย ต่อการอ่านเนื้อหาของผู้ใช้ 2. การใช้งานที่ง่าย ลักษณะของเว็บที่มีการใช้งานง่ายจะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึก สบายใจต่อการอ่านและสามารถทาความเข้าใจกับเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้อง มาเสียเวลาอยู่กับการทาความเข้าใจ การใช้งานที่สับสนด้วยเหตุนี้ผู้ออกแบบจึง ควรกาหนดปุ่มการใช้งานที่ชัดเจน เหมาะสม โดยเฉพาะปุ่มควบคุมเส้นทางการ เข้าสู่เนื้อหา (Navigation) ไม่ว่าจะเป็นเดินหน้า ถอยหลัง หากเป็นเว็บไซต์ที่มีเว็บ เพจจานวนมาก ควรจะจัดทาแผนผังของเว็บไซต์ (Site Map) ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่า ตอนนี้อยู่ณ จุดใด หรือเครื่องมือสืบค้น (SearchEngine) ที่ช่วยในการค้นหา หน้าที่ที่ต้องการ 3. การเชื่อมโยงที่ดี ลักษณะไฮเปอร์เท็กซ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยง ควรอยู่ในรูปแบบที่ เป็นมาตรฐาน ทั่วไปและต้องระวังเรื่องของตาแหน่งในการเชื่อมโยง การที่จานวน การเชื่อมโยงมากและกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในหน้าอาจก่อให้เกิดความสับสน นอกจากนี้คาที่ใช้สาหรับการเชื่อมโยงจะต้องเข้าใจง่ายมีความชัดเจนและไม่สั้น จนเกินไปนอกจากนี้ในแต่ละเว็บเพจที่สร้างขึ้นมาควรมี
  • 4. การพัฒนาเว็บไซต์ สิ่งแรกที่นักพัฒนาเว็บควรทาเมื่อเริ่มต้นพัฒนาเว็บไซต์ คือ กาหนด กรอบกระบวนการทางาน (Framework) ที่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนของการ พัฒนาเว็บ และรายละเอียดของงานในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ จนกระทั่งสิ้นสุดกระบวนการ เพื่อให้การพัฒนาเว็บเป็นไปอย่างมีแบบแผน ถึงแม้ว่าการกาหนดกรอบการทางานจะเป็นขั้นตอนที่มีความยุ่งยากแต่ก็เป็น เครื่องมือสาคัญที่ช่วยให้การพัฒนาเว็บสาเร็จลุล่วงตรงตามวัตถุประสงค์ได้ เพราะกรอบการทางานจะช่วยป้องกันความผิดพลาด และความสับสนในระหว่าง การพัฒนาเว็บ โดยนักพัฒนาเว็บสามารถย้อนกลับมาตรวจสอบงานตามกรอบ การทางานในภายหลังได้ กรอบการทางานหรือแบบจาลองกระบวนการ (Process Model) ที่ใช้เพื่อพัฒนา เว็บมีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่าง เช่น แบบจาลองกระบวนการในรูปแบบ Agile Process (XP, Scrum, DSDM, FDD และ AM) แบบจาลองลาดับเชิงเส้น (Linear Sequential Model : LSM) เป็นต้น สาหรับในที่นี้จะขอแบบจาลองกระบวนการที่ พัฒนาขึ้นโดย Jesse James Garrett ซึ่งจาแนกกระบวนการพัฒนาเว็บออกเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่ การสร้างกลยุทธ์ในการออกแบบ (Strategy Plane) การกาหนดขอบเขตของข้อมูล (Scope Plane) การทาโครงสร้างข้อมูล (Structrue Plane) การออกแบบโครงร่างเว็บเพจ (Skeleton Plane) และการ ออกแบบรูปลักษณ์ของเว็บเพจ (Surface Plane) หลักการออกแบบเว็บไซต์ ควรพิจารณาดังนี้ 1. กาหนดวัตถุประสงค์โดยพิจารณาว่าเป้าหมายของการสร้างเว็บไซต์นี้ทา เพื่ออะไร 2. ศึกษาคุณลักษณะของผู้ที่เข้ามาใช้ว่ากลุ่มเป้าหมายใดที่ผู้สร้างต้องการ สื่อสาร ข้อมูลอะไรที่พวกเขาต้องการโดยขั้นตอนนี้ควรปฏิบัติควบคู่ไปกับ ขั้นตอนที่หนึ่ง 3. วางแผนเกี่ยวกับการจัดรูปแบบโครงสร้างเนื้อหาสาระ การออกแบบ เว็บไซต์ต้องมีการจัดโครงสร้างหรือจัดระเบียบข้อมูลที่ชัดเจน การที่เนื้อหามี ความต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุดหรือกระจายมากเกินไป อาจทาให้เกิดความสับสนต่อผู้ ใช้ได้ฉะนั้นจึงควรออกแบบให้มีลักษณะที่ชัดเจนแยกย่อยออกเป็นส่วนต่าง ๆ จัด หมวดหมู่ในเรื่องที่สัมพันธ์กัน รวมทั้งอาจมีการแสดงให้ผู้ใช้เห็นแผนที่ โครงสร้างเพื่อป้องกันความสับสนได้ 4. กาหนดรายละเอียดให้กับโครงสร้าง ซึ่งพิจารณาจากวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยตั้งเกณฑ์ในการใช้เช่น ผู้ใช้ควรทาอะไรบ้าง จานวนหน้าควรมีเท่าใด มีการ เชื่อมโยง มากน้อยเพียงใด 5. หลังจากนั้น จึงทาการสร้างเว็บไซต์แล้วนาไปทดลองเพื่อหาข้อผิดพลาด และทาการแก้ไขปรับปรุง แล้วจึงนาเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นขั้นสุดท้าย
  • 5. การสื่อสารมวลชน(Mass Communication) การสื่อสารกับคนจานวนมากในหลายๆพื้นที่พร้อมกัน โดยใช้สื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์เป็นสื่อกลาง เหมาะ สาหรับการส่งข่าวสารไปยังผู้คนจานวนมากๆในเวลาเดียวกัน การสื่อสารระหว่างประเทศ(International Communication) การสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีความแตกต่างกันใน เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม การเมืองและสังคม เช่นการสื่อสารทางการทูตการสื่อสารเจรจาต่อรองเพื่อการทา ธุรกิจ หลักออกแบบเว็บไซต์คือ การวางแผนการจัดลาดับ เนื้อหาสาระของเว็บไซต์ ออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อจัดทาเป็นโครงสร้างในการจัดวางหน้าเว็บเพจทั้งหมด เปรียบเสมือนแผนที่ ที่ทาให้เห็นโครงสร้างทั้งหมดของเว็บไซต์ช่วยในนัก ออกแบบเว็บไซต์ไม่ให้หลงทาง การจัดโครงสร้างของเว็บไซต์มีจุดมุ่งหมาย สาคัญคือ การที่จะทาให้ผู้เข้าเยี่ยมชม สามารถค้นหาข้อมูลในเว็บเพจได้อย่างเป็น ระบบ ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่สาคัญ ที่สามารถสร้างความสาเร็จให้กับผู้ที่ทาหน้าที่ ในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์(Webmaster) การออกแบบโครงสร้างหรือจัด ระเบียบของข้อมูลที่ชัดเจน แยกย่อยเนื้อหาออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันและ ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน จะช่วยให้น่าใช้งานและง่าย ต่อการเข้าอ่านเนื้อหาของ ผู้ใช้เว็บไซต์ การสร้างกลยุทธ์ในการออกแบบ (StrategyPlane) เป็นขั้นตอนการวิเคราะห์ ปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ ผู้ใช้ องค์กร และคู่แข่ง เพื่อทราบเป้าหมายหรือ แนวทางในการพัฒนาเว็บไซต์ โดยปัจจัยทั้ง 3 ประการ มีรายละเอียดดังนี้ - ผู้ใช้ (User) เป็นการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ โดยการศึกษา หรือทาการสารวจจากผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเพื่อตอบคาถามว่า เมื่อผู้ใช้เข้ามายัง หน้าเว็บแล้ว ต้องการได้รับข้อมูลใดกลับไปบ้าง มีฟังก์ชันหรือการใช้งาน รูปแบบใดบนเว็บไซต์ที่ผู้ใช้ต้องการ และปัญหาหรือข้อบกพร่องที่เกิดจากการใช้ งานเว็บที่ได้พบ - องค์กร (Organization) เป็นการวิเคราะห์เป้าหมายทางธุรกิจ (Business Goal) ทั้งในส่วนเงินทุน บุคลากร และความเป็นไปได้ที่จะพัฒนา เว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อใช้งาน รวมทั้งการเก็บรวบรวมข้อมูลขององค์กรที่จาเป็นต่อ การออกแบบหน้าเว็บ เช่น โลโก้ (Logo) แบนเนอร์ (Banner) หรือการโฆษณา ประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้จดจาเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น - คู่แข่ง (Competitor) เป็นการประเมินขอบเขตข้อมูล รูปแบบ นาเสนอ และเป้าหมายทางการค้าของบริษัทคู่แข่ง เพื่อพิจารณาจุดอ่อนและจุด แข็งของการออกแบบเว็บ แล้วนามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเว็บของบริษัท ต่อไป
  • 6. การกาหนดขอบเขตของข้อมูล (Scope Plane) เป็นการสรุปขอบเขต ของข้อมูลที่ควรมีบนหน้าเว็บให้ชัดเจนขึ้น เนื่องจากผู้ออกแบบบางคนอาจมี เทคนิคนาเสนอข้อมูลที่ชื่นชอบ หรือมีแนวทางพัฒนาเว็บหลายวิธีจนทาให้เกิด ความสับสนขั้นตอนนี้จึงเป็นการสรุปแนวทางพัฒนาเว็บ โดยพิจารณาขอบเขต ข้อมูลให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้จากการวิเคราะห์ ปัจจัย 3 ประการใน ขั้นตอนแรก สามารถจาแนกข้อมูลบนเว็บไซต์ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ - เนื้อหา (Content Requirements) เป็นข้อมูลทั่วไปที่นาเสนอให้กับ ผู้ใช้งาน เช่น ข้อความบรรยาย รูปภาพ หรือ เสียงเพลง เป็นต้น - การใช้งาน (FunctionalSpecfications) เป็นระบบการทางานหรือการ ใช้งานบนหน้าเว็บ ซึ่งมักจะเป็นงานที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับผู้ใช้ เข่น การับส่ง E-mail การประมวลผลค่าข้อมูลของแบบฟอร์ม โปรแกรมสนทนา ระหว่างผู้ใช้ เป็นต้น การจัดทาโครงการสร้างข้อมูล (Structrue Plane) ภายหลังจากที่ได้กาหนด ขอบเขตข้อมูลแล้ว ก็เริ่มต้นกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาและหน้าที่งาน บนเว็บไซต์โดยขั้นตอนนี้ประกอบด้วยงาน 2 ลักษณะ ดังนี้ - การออกแบบส่วนปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ (Interaction Design) เป็นการ ออกแบบหน้าเว็บสาหรับงานที่มีลักษณะโต้ตอบกับผู้ใช้ เช่น การสั่งซื้อสินค้า การกรอกแบบฟอร์ม และการรับส่ง E-mail เป็นต้น ประเภทของการสื่อสาร การสื่อสารภายในบุคคล(Intrapersonal Communication) การคิดหรือ จินตนาการกับตัวเองเป็นการคิดไตร่ตรองกับตัวเองก่อนที่จะมีการสื่อสาร ประเภทอื่นต่อไป การสื่อสารระหว่างบุคคล(Interpersonal Communication) การที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาทาการสื่อสารกันอย่างมีวัตถุประสงค์เช่น การพูดคุย ปรึกษาหารือในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การสื่อสารกลุ่มย่อย(Small-group) Communication) การสื่อสารที่มีบุคคลร่วมกันทาการสื่อสารเพื่อทากิจกรรมร่วมกันแต่ จานวนไม่เกิน 25คน เช่นชั้นเรียนขนาดเล็ก ห้องประชุมขนาดเล็ก การสื่อสารกลุ่มใหญ่(Large-group Communication) การสื่อสารระหว่างคนจานวนมาก เช่นภายในห้องประชุมใหญ่ โรง ภาพยนตร์ โรงละครชั้นเรียนขนาดใหญ่ การสื่อสารในองค์กร(Organization Communication) การสื่อสารระหว่างสมาชิกภายในหน่วยงานเพื่อปฏิบัติงานให้สาเร็จลุล่วง เช่นการสื่อสารระหว่าเพื่อนร่วมงาน เจ้านายกับลูกน้อง
  • 7. ความหมายของการสื่อสาร ได้มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายของการสื่อสารไว้ในหลายแง่มุม เช่น จอร์จ เอ มิลเลอร์: เป็นการถ่ายทอดข่าวสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จอร์จเกิร์บเนอร์: เป็นการแสดงกริยาสัมพันธ์ทางสังคมโดยใช้สัญลักษณ์และ ระบบสาร วิลเบอร์ ชแรมส์: เป็นการมีความเข้าใจร่วมกันต่อเครื่องหมายที่แสดงข่าวสารซึ่ง สามารถสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆคือ การถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารจากบุคคลฝ่ายหนึ่งที่ เรียกว่าผู้ส่งสารไปยังยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่าผู้รับสารโดยผ่านช่องทางใน การสื่อสารโดยมีองค์ประกอบที่สาคัญคือ ผู้ส่งสาร(Sender) สาร(Message) ช่องทาง(Channel) และตัวผู้รับสาร(Reciever) ซึ่งมักเรียกกันว่า SMCR วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร การสื่อสารในชีวิตของแต่ละบุคคลนั้นล้วนมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ออกไป และส่งผลต่อการดาเนินชีวิตได้คือ ทาให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ทาให้ทราบ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สร้างความสัมพันธ์ทางสังคม ทาให้เกิดการแสดงออก ทาให้เกิดการพักผ่อนหย่อนใจ ทาให้เกิดการเรียนรู้ ทาให้เกิดกาลังใจ(หา ภาพประกอบแต่ละประเภท) สถาปัตยกรรมข้อมูล (Information Architecture) เป็นการกาหนดโครงสร้างของ เนื้อหาทั้งหมดที่จะนาเสนอบนเว็บไซต์ โดยเชื่อมโยงเว็บเพจแต่ละส่วนไว้ด้วยกัน ตามความสัมพันธ์ของระบบงาน เพื่อให้ข้อมูลเคลื่อนที่อย่างเป็นระบบจนผู้ใช้งาน ไม่รู้สึกสะดุดหรือข้ามขั้นตอนเมื่อเรียกใช้หน้าเว็บนั้น โครงสร้างการนาเสนอเนื้อหาของเว็บมี 4 ชนิดได้แก่ Linear Structrue, Hierar- chical Structure, GridStructure และ NetworkStructure 1. โครงสร้างเชิงเส้น (Linear Structrue) เป็นโครงสร้างเนื้อหาที่จัด เรียงลาดับหน้าเว็บเพื่อเข้าถึงข้อมูลไว้ตายตัวโดยผู้ใช้จะต้องเข้าถึงหน้าเว็บในแนว เส้นตรง กล่าวคือ เข้าถึงหน้าเว็บทีละหน้าตามลาดับขั้นตอนไปจนถึงหน้าเว็บ ปลายทางที่ต้องการ ข้อดีของการจัดวางโครงสร้างเนื้อหาลักษณะนี้ คือ การ ออกแบบไม่ยุ่งยากและข้อมูลเป็นระเบียบ แต่ข้อเสีย คือ ต้องใช้เวลามากกว่าจะ เข้าถึงหน้าเว็บที่ต้องการได้ เพราะต้องผ่านหน้าเว็บที่ไม่จาเป็นหลายขั้นตอน 2. โครงสร้างแบบลาดับขั้น (HierarchicalStructure) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “โครงสร้างต้นไม้(Tree Structure) ” เป็นโครงสร้างที่นิยมใช้งาน โดยจัดลาดับ การเข้าถึงข้อมูลตามความสัมพันธ์จากหัวข้อใหญ่ไปจนถึงหัวข้อย่อยแตกออกไป ข้อดีของการจัดวางโครงสร้างเนื้อหาลักษณะนี้ คือ ข้อมูลถูกจัดวางอย่างเป็น ระบบ ทาให้มองความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่ละส่วนได้เป็นอย่างดี ข้อเสีย คือ การออกแบบมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น และต้องการออกแบบให้โครงสร้างต้นไม้มี ความสมดุล
  • 8. 3. โครงสร้างแบบตาราง (Grid Structure) เป็นโครงสร้างเนื้อหาที่เพิ่ม เส้นทางการเชื่อมโยงข้อมูลมากขึ้น เพื่อให้การเข้าถึงเว็บเพจมีความยืดหยุ่น กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนทิศทางการเข้าถึงผ่านข้อมูลทางหน้าเว็บอื่นๆได้ จึง นับเป็นข้อดีประการสาคัญของโครงสร้างลักษณะนี้ แต่ข้อเสีย คือ การออกแบบ มีความซับซ้อนสูง และต้องระวังผู้ใช้หลงเส้นทางการเชื่อมโยงด้วย 4. โครงสร้างเครือข่าย (NetworkStructure) เป็นโครงสร้างเนื้อหาที่มี ความยืดหยุ่นในการเข้าถึงข้อมูลมากที่สุดเพราะทุกเว็บเพจถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยกัน ดังนั้นผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านทางหน้าเว็บใดๆ ไปยังหน้าเว็บปลายทางที่ ต้องการได้ ข้อดีของการจัดวางโครงสร้างเนื้อหาลักษณะนี้ จึงเป็นความยืดหยุ่นที่ ผู้ออกแบบกาหนดให้กับผู้ใช้งาน แต่ข้อเสีย คือ การออกแบบมีความซับซ้อน มาก จึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้ออกแบบสูง การสื่อสาร ชีวิตเป็นเรื่องของการเรียนรู้และสิ่งหนึ่งที่สาคัญและต้องมีการเรียนรู้คือ ความสัมพันธ์หรือ มนุษยสัมพันธ์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มักเป็นบทเรียน ของกันและกัน ถ้าไม่ใส่ใจเรียนรู้ซึ่งกันและกันก็จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความ ยากลาบาก เพราะชีวิตจะมีคุณค่าและรู้สึกมีความสุขเมื่อได้แสดงออกอย่างที่รู้สึก มีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวและสิ่งใหม่ๆตามที่เราต้องการ ดังนั้นความสาเร็จของมนุษย์ในการดารงชีวิตทั่วไปจึงมักมีข้อกาหนดไว้ อย่างกว้างๆว่า เราจะต้องเข้ากับคนที่เราติดต่อด้วยให้ได้และต้องเข้าให้ได้ดี ด้วย การเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์ร่วมกัน โดยอาศัยวิธีการสื่อสารและหลัก จิตวิทยาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์โดยทั่วไปมักถูกมองว่าเป็นเรื่องของศิลปะ (Arts) มากกว่าศาสตร์(Science) ซึ่งก็หมายความว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ของบุคคลแต่เพียงอย่างเดียว โดยขาดศาสตร์ของการสื่อสาร ย่อม ขาดศิลปะในการนาไปปรับใช้ในชีวิตจริงให้ประสบความสาเร็จได้
  • 9. ส่วนประกอบย่อยอื่นๆ ที่จาเป็น 1. Text เป็นข้อความปกติ โดยเราสามารถตกแต่งให้สวยงามและมีลูกเล่น ต่างๆ ดังเช่นโปรแกรมประมวลคา 2. Graphic ประกอบด้วยรูปภาพ ลายเส้น ลายพื้น ต่างๆ มากมาย 3. Multimedia ประกอบด้วยรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และแฟ้มเสียง 4. Counter ใช้นับจานวนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา 5. Cool Links ใช้เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของตนเองหรือเว็บไซต์ของคน อื่น 6. Formsเป็นแบบฟอร์มที่ให้ผู้เข้าเยี่ยมชม กรอกรายละเอียด แล้วส่งกลับ มายังเว็บไซต์ 7. Frames เป็นการแบ่งจอภาพเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนก็จะแสดงข้อมูลที่ แตกต่างกันและเป็นอิสระจากกัน 8. Image Mapsเป็นรูปภาพขนาดใหญ่ที่กาหนดส่วนต่างๆ บนรูป เพื่อ เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นๆ 9. JavaAppletsเป็นโปรแกรมสาเร็จรูปเล็กๆ ที่ใส่ลงในเว็บไซต์เพื่อให้ การใช้งานเว็บไซต์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หลักการและทฤษฏีการสื่อสาร กระบวนการพัฒนาเว็บไซต์ กระบวนการในการสร้างและออกแบบเว็บมีกระบวนการพื้นฐานอยู่ด้วยกัน 5 ขั้นตอนคือ 1. การวางแผน (Planning) เป็นขั้นตอนที่ผู้สร้างเว็บจะต้องรวบรวมข้อมูลที่ ต้องการจะนา มาสร้างเว็บ กาหนดวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นกาหนดขอบเขตและ ความต้องการของเว็บว่าจะต้องมีอะไรบ้าง เช่น ขนาดของหน้าจอภาพ บราวเซอร์ ที่จะใช้ฯลฯ องค์ประกอบและเครื่องมือที่จะต้องใช้ต้องการมีกระดานข่าว ห้อง สนทนา ฯลฯ รวมถึงขั้นตอนและกระบวนการในการบารุงรักษาอย่างเป็นระบบ การวางแผนเบื้องต้นของการสร้างเว็บสาหรับ Dreamweaver คือ - กาหนดพื้นที่จัดเก็บเว็บในเครื่องคอมพิวเตอร์ - กาหนดพื้นที่ติดตั้งเว็บเมื่อสร้างเสร็จ 2. การออกแบบ (Design) เป็นขั้นตอนที่นาข้อมูลและแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดย การลงมือปฏิบัติโดยจัดพิมพ์เนื้อหา กาหนดการเชื่อมโยงและคุณลักษณะอื่นที่ ต้องใช้ในเว็บ การออกแบบก็จะเน้นที่การจัดหน้าจอของเว็บให้สอดคล้องกันและ ระมัดระวังปัญหาต่าง ๆ ในการออกแบบ
  • 10. - การเลือกเนื้อหา เป็นส่วนสาคัญของการเริ่มต้นสร้างเว็บเพจ ผู้เยี่ยมชนแต่ละ กลุ่มจะค้นหาข้อมูลที่แตกต่างกัน เว็บเพจแต่ละหน้าจะสนองตอบต่อผู้ชมไม่ เหมือนกัน การเลือกเนื้อหาที่ดีเนื้อหาน่าสนใจและใหม่เสมอจะทาให้ผู้ชมกลับมา เยี่ยมใหม่อีกครั้ง การใส่ข้อมูลปริมาณมากเกินความจาเป็นจะทาให้เว็บเพจดู หนาแน่น ผู้ชมอึดอัด ไม่ดึงดูดความสนใจ 3. การพัฒนา (Development) เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการออกแบบและการ สร้าง โดย เน้นไปที่การตกแต่งและเสริมเครื่องมือต่าง ๆ สาหรับเว็บ เช่น การกาหนดสี ภาพ การใช้Flashช่วยให้เว็บเร้าความสนใจ และเพิ่มเติมเทคนิคต่าง ๆ ของโปรแกรม สนับสนุนการสร้างเว็บ 4. การติดตั้ง (Publishing) เป็นขั้นตอนที่จะนาเอาเว็บที่ได้สร้างขึ้นเข้าไปติดตั้งใน เว็บเซอร์เวอร์เพื่อให้แสดงผลได้ในระบบอินเทอร์เน็ต หรือจะเรียกว่าการอับ โหลด (Up load) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะต้องดาเนินการอยู่เสมอเมื่อสร้างเว็บเสร็จ 5. การบารุงรักษา (Maintenance) เป็นขั้นตอนประเมินผลและติดตามผลการติดตั้ง เว็บไซต์ ว่ามีข้อขัดข้องหรือต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเว็บเพิ่มเติมให้ทันสมัยอยู่เสมอ อาจจะเรียกได้ว่าขั้นตอนการอับเดท (Up date 2.ส่วนของเนื้อหา (Page Body) เป็นส่วนที่อยู่ตอนกลางของหน้า ใช้แสดงข้อมูลเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่ง ประกอบด้วยข้อความ, ตารางข้อมูล ภาพกราฟิก วีดีโอ และอื่นๆ และอาจมีเมนู หลักหรือเมนูเฉพาะกลุ่มวางอยู่ในส่วนนี้ด้วย สาหรับส่วนเนื้อหาควรแสดงใจความสาคัญที่เป็นหัวเรื่องไว้บนสุด ข้อมูลมี ความกระชับ ใช้รูปแบบตัวอักษรที่อ่านง่าย และจัด Layout ให้เหมาะสมและเป็น ระเบียบ 3. ส่วนท้ายของหน้า (Page Footer) เป็นส่วนที่อยู่ด้านล่างสุดของหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้มักวางระบบนาทางที่ เป็นลิงค์ข้อความง่าย ๆ และอาจแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ เช่น เจ้าของเว็บไซต์, ข้อความแสดงลิขสิทธิ์, วิธีการติดต่อกับผู้ดูแลเว็บไซต์, คาแนะนาการใช้เว็บไซต์เป็นต้น
  • 11. ส่วนประกอบของหน้าเว็บไซต์ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน 1. ส่วนหัวของเว็บเพ็จ (Page Header) เป็นส่วนที่อยู่ตอนบนสุดของหน้า และเป็นส่วนที่สาคัญที่สุดของหน้า เพราะเป็นส่วนที่ดึงดูดผู้ชมให้ติดตามเนื้อหาภายในเว็บไซต์มักใส่ภาพกราฟิกเพื่อ สร้างความประทับใจส่วนใหญ่ประกอบด้วย - โลโก้ (Logo) เป็นสิ่งที่เว็บไซต์ควรมี เป็นตัวแทนของเว็บไซต์ได้เป็น อย่างดี และยังทาให้เว็บน่าเชื่อถือ - ชื่อเว็บไซต์ - เมนูหลักหรือลิงค์ (Navigation Bar) เป็นจุดเชื่อมโยงไปสู่เนื้อหาของ เว็บไซต์ นหลักๆ คือ การประชาสัมพันธ์ (เสนีย์แดงวัง 2525 ; วิจิตร อาวะกุล 2526) ความหมายของการประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์มักจะถูกเข้าใจสับสนกับการโฆษณา คนจานวนมากมักจะ เข้าใจว่าการโฆษณาและ การประชาสัมพันธ์มีความหมายเหมือนกันจนบางทีเราเรียกการโฆษณาและการ ประชาสัมพันธ์เป็น “การโฆษณาประชาสัมพันธ์” ซึ่งในความเป็นจริงการโฆษณาและการ ประชาสัมพันธ์มีความแตกต่างกัน พอสมควร ดังนี้ การโฆษณา (Advertising) เป็นการกระทาการใดๆ อันเป็นการชักจูงใจ ต่อกลุ่มเป้าหมายเฉพาะโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการจาหน่ายสินค้าหรือบริการ ซึ่ง อาศัยสื่อมวลชน (Mass media) ในการส่งผ่านข้อมูลข่าวสารซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย และมิได้เป็นไปในรูปส่วนตัว การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) เป็นการติดต่อสื่อสารจากองค์การ ไปสู่สาธารณชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรับฟังความคิดเห็นและประชามติจาก สาธารณชนที่มีต่อองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อถือ ภาพลักษณ์ ความรู้ และแก้ไขข้อผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
  • 12. ลักษณะของการประชาสัมพันธ์ ลักษณะของการประชาสัมพันธ์มีดังต่อไปนี้ การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารสองทาง (Two-waycommunication) เป็นการสื่อสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับเกี่ยวกับข่าวสารขององค์การที่ต้องการสื่อสาร ให้สาธารณชนรับทราบและเข้าใจ และยังเป็น การสื่อสารย้อนกลับจากผู้รับคือ สาธารณชนไปยังองค์การเกี่ยวกับความคิดเห็นที่ เกี่ยวกับองค์การ การประชาสัมพันธ์อาจมีกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม (Multiple target group) เช่น พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้นชุมชน รัฐบาล หรือหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวัตถุระสงค์ในการประชาสัมพันธ์ว่าต้องการ ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมายใดบ้าง การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจทั้งนี้การ ประชาสัมพันธ์ต้องตั้งอยู่บนหลักความจริงเพื่อมุ่งให้เกิดความเชื่อถือและปฏิบัติ ตามด้วยความสมัครใจ การประชาสัมพันธ์เป็นการดาเนินงานอย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอ โดย คาดหวังผลต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อให้สาธารณชนมีความศรัทธาและมีความไว้ เนื้อเชื่อใจต่อองค์การเพื่อให้องค์การสามารถดาเนินกิจการอยู่ในระยะยาวได้ เว็บเพจ เว็บเพจ (Web Page) หมายถึง หน้าเอกสารของบริการ WWW ซึ่งตามปกติจะ ถูกเก็บอยู่ในรูปแบบไฟล์HTML (Hyper Text Markup Language) โดย ไฟล์ HTML 1 ไฟล์ก็คือเว็บเพจ 1 หน้านั่นเอง ภายในเว็บเพจอาจประกอบไป ด้วยข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และภาพเคลื่อนไหวแบบมัลติมีเดีย นอกจากนี้ เว็บเพจแต่ละหน้าจะมีการเชื่อมโยงหรือ “ลิงค์” (Link) กัน เพื่อให้ผู้ชมเรียกดู เอกสารหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้สะดวกอีกด้วย
  • 13. โฮมเพจ โฮมเพจ (Home Page) คือเว็บเพจหน้าแรกซึ่งเป็นทางเข้าหลักของ เว็บไซต์ ปกติเว็บเพจทุกๆ หน้าในเว็บไซท์จะถูกลิงค์ (โดยตรงหรือโดยอ้อมก็ ตาม) มาจากโฮมเพจ ดังนั้นบางครั้งจึงมีผู้ใช้คาว่าโฮมเพจโดยหมายถึงเว็บไซท์ ทั้งหมด แต่ความจริงแล้วโฮมเพจหมายถึงหน้าแรกเท่านั้น ถ้าเปรียบกับร้านค้า โฮมเพจก็เป็นเสมือนหน้าร้านนั่นเอง ดังนั้นจึงมักถูกออกแบบให้โดดเด่นและ น่าสนใจมากที่สุด การประชาสัมพันธ์เป็นการดาเนินงานอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการ วางแผนควบคุมและประเมินผล ของการประชาสัมพันธ์เพื่อให้มั่นใจว่าการดาเนินการประชาสัมพันธ์เป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล องค์ประกอบของการประชาสัมพันธ์ ถ้าหากพิจารณาจากกระบวนการสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์แล้ว ก็ สามารถจาแนกองค์ประกอบ สาคัญของการประชาสัมพันธ์ออกเป็น 4 ประการ คือ 1. องค์กร สถาบันหรือหน่วยงาน
  • 14. ได้แก่ กิจการที่บุคคลหรือคณะบุคคลได้จัดทาขึ้น เป็นแหล่งข่าว แหล่งข้อมูลใน การเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะดาเนินการใด ๆ ให้สาเร็จลุล่วง ไปด้วยดี กิจการเหล่านี้อาจจะเป็นกิจการของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ องค์การสา ธารณกุศล และธุรกิจเอกชน เช่น รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม หน่วยราชการ หรือหน่วยรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ มูลนิธิ บริษัทห้างร้าน ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น 2. ข่าวสารประชาสัมพันธ์ เป็นข้อมูลข่าวสารที่องค์กร สถาบันหรือหน่วยงานต้องการเผยแพร่ได้แก่ เรื่องราวที่เป็นเนื้อหา สาระ รูปภาพ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมาย ที่สามารถ สื่อสารความเข้าใจได้ เว็บไซต์ เว็บไซต์ (อังกฤษ:website, web site,Web site) หมายถึง หน้าเว็บเพจหลาย หน้า ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านทางไฮเปอร์ลิงก์ส่วนใหญ่จัดทาขึ้นเพื่อนาเสนอข้อมูล ผ่านคอมพิวเตอร์ โดยถูกจัดเก็บไว้ในเวิลด์ไวด์เว็บ หน้าแรกของเว็บไซต์ที่เก็บไว้ ที่ชื่อหลักจะเรียกว่าโฮมเพจ เว็บไซต์โดยทั่วไปจะให้บริการต่อผู้ใช้ฟรี แต่ใน ขณะเดียวกันบางเว็บไซต์จาเป็นต้องมีการสมัครสมาชิกและเสียค่าบริการเพื่อที่จะ ดูข้อมูล ในเว็บไซต์นั้น ซึ่งได้แก่ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์หรือ ข้อมูลสื่อต่างๆ ผู้ทาเว็บไซต์มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่สร้างเว็บไซต์ส่วนตัว จนถึง ระดับเว็บไซต์สาหรับธุรกิจหรือองค์กรต่างๆการเรียกดูเว็บไซต์โดยทั่วไปนิยม เรียกดูผ่านซอฟต์แวร์ในลักษณะของ เว็บเบราว์เซอร์
  • 15. 3. Content :เนื้อหาของเว็บไซต์ถือว่าเป็นสิ่งที่สาคัญ ที่สุดในองค์ประกอบของเว็บไซต์ เพราะคือสิ่งที่ผู้ เยี่ยมชมค้นหาโดยปกติแล้วเราสามารถใส่เนื้อหาที่ เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือบริการขององค์กรของเราได้ โดยละเอียด อีกทั้งจาต้องนาเสนออย่างชัดเจนอีก ด้วย เช่น รูปภาพของสินค้า หรือสถานที่บริการ เป็นต้น จึงจะทาให้ผู้เข้าเยี่ยมชมได้ประโยชน์จาก การเข้าชมเว็บไซต์อย่างแท้จริงอันจานามาซึ่ง ผลประโยชน์ทางธุรกิจในอนาคตได้ 4. Hosting : พื้นที่จัดวางและติดตั้งเว็บไซต์ เป็น องค์ประกอบที่สาคัญมากไม่น้อยกว่าเนื้อหาของ เว็บไซต์ (Content) เพราะการเลือกผู้ให้บริการโฮสติ้ง ที่ดีมีการซัพพอร์ตลูกค้าที่ดีและรวดเร็ว เซิร์ฟเวอร์มี ความเสถียรภาพสูง สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ดูแล เซิร์ฟเวอร์ได้ตลอดเวลา คือหัวใจสาคัญในการเลือก ผู้ให้บริการด้านนี้ นอกจากความพร้อมในการ ออกแบบและจัดทาเว็บไซต์แล้ว เรายังมีความพร้อม 3. สื่อประชาสัมพันธ์ ได้แก่ เรื่องราวที่เป็นเนื้อหา สาระ รูปภาพ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมาย อาจจะเป็นสื่อคาพูด เช่น การสนทนา การประชุม การสัมมนา การอภิปราย การ ปาฐกถา ฯลฯ สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น จดหมาย บัตรอวยพร แผ่นปลิว หนังสือ วารสาร รูปลอก ฯลฯ หรือสื่อภาพและเสียง เช่น ถ่ายภาพ สไลด์ แผ่นโปร่งใส วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ สไลด์มัลติวิชั่น เทปเสียง ภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถสื่อสารความเข้าใจได้ การเลือกใช้สื่อใน การประชาสัมพันธ์มีความสาคัญ ถ้าเป็นบุคคลภายในอาจใช้โทรทัศน์วงจรปิด เสียงตามสาย ประกาศข่าว จดหมายข่าว ถ้าเป็นประชาชนทั่วไป สื่อ ประชาสัมพันธ์จะต้องเผยแพร่ข้อมูลได้ในวงกว้าง เช่น วิทยุ โทรทัศน์
  • 16. 4. กลุ่มประชาชนเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ กลุ่มบุคคลหรือประชาชนที่เป็นเป้าหมายในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ครั้งนั้น ๆ ดังนี้ 4.1 กลุ่มประชาชนภายใน หมายถึง กลุ่มบุคลากร เจ้าหน้าที่ พนักงาน ของ องค์กร สถาบันหรือหน่วยงาน 4.2 กลุ่มประชาชนภายนอก หมายถึง กลุ่มบุคคลที่อยู่ภายนอกองค์กร สถาบัน หรือหน่วยงาน อันได้แก่ กลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน องค์การหรือ สถาบันโดยตรง กลุ่มประชาชนในท้องถิ่น และกลุ่มประชาชนทั่วไป องค์ประกอบของเว็บไซต์จะเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อเว็บไซต์ๆ หนึ่งในการที่จะ ประสบผลสาเร็จดังที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้หรือไม่ โดยทั่วไปประกอบด้วย 1. Domain Name :ชื่อและที่อยู่ของเว็บไซต์ในการเรียกข้อมูลเว็บไซต์ของ ท่านมาแสดงผล เช่น www.yourcompany.comเป็นต้น ปัจจุบันมักจดชื่อ domain name ให้เป็นชื่อที่สื่อถึงสินค้าหรือบริการหรือเป็นชื่อองค์กร และอาศัยการทา ประชาสัมพันธ์ผ่าน Search Engine และ Web Directory การเลือกใช้ชื่อเว็บไซต์ที่ เหมาะสมก็มีส่วนในการทาให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสาเร็จเช่นกัน 2. Design & Development :การออกแบบและจัดทาเว็บไซต์โดยทั่วไปแล้ว สาหรับเว็บไซต์ประชาสัมพันธ์องค์กรการออกแบบเว็บไซต์เป็นเพียงส่วนที่ทา หน้าที่นาเสนอข้อมูลขององค์กร หรือบริษัทให้แก่ผู้เยี่ยมชมได้อย่างสะดวก และ ด้วยการออกแบบที่ดีที่จะสื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์ขององค์กร หรือบริษัทจะ นามาซึ่งความน่าเชื่อถือให้เกิดแก่ผู้เข้าเยี่ยมชมได้หากแต่มักมีคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ การออกแบบเว็บไซต์ว่าเว็บไซต์ที่มีการออกแบบดีมีความสวยงาม และมีการ นาเสนอที่น่าสนใจจะสามารถดึงดูด และเพิ่มปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมได้ในความเป็น จริงแล้ว การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มปริมาณของผู้เข้าเยี่ยมชมนั้น เป็นหน้าที่ หลักของการทาประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ไม่ใช่จากการออกแบบและจัดทาเว็บไซต์
  • 17. 6. เว็บไซต์เพื่อการสอน (Instructional website) เป็นเว็บที่สร้างขึ้นเป็น การสอนโดยเฉพาะเป็นรายวิชา (Course) อาจแยกย่อยเป็นหัวเรื่องเรื่องย่อยๆ ก็ได้ สาหรับเว็บไซต์ประเภทนี้จะจากัดผู้ใช้เฉพาะราย 7. เว็บไซต์ที่จากัดเฉพาะสมาชิก (Registrational website) เป็นเว็บไซต์ที่ บริการเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ผู้ที่จะใช้ต้องลงทะเบียนตามราคาที่กาหนดโดยบัตร เครดิต หรือผ่านธนาคาร ผู้ให้บริการจึงจะให้หมายเลขสมาชิกและรหัสผ่าน แต่ การขายสินค้าหรือบริการใดๆ ของเว็บไซต์เหล่านี้ จะเชิญชวนผู้ที่สนใจโดยมี ตัวอย่างสินค้าหรือบริการให้ศึกษาบางส่วนจนพอใจด้วย การประเมินเว็บไซต์ 1. หน้าที่ของเว็บไซต์ (Authority) เกี่ยวกับหน้าที่ของเว็บที่สร้างขึ้นนั้นต้อง ดูว่าใครหรือผู้ใช้เว็บนี้ อะไรคือความถูกต้อง เหมาะสม ชอบธรรม ระหว่าง ความสัมพันธ์ของเรื่องและการรับประกันคุณภาพของเว็บเพจนี้ที่มีต่อผู้ชม 2. ความถูกต้อง (Accuracy) แหล่งข้อมูลและข้อเท็จจริงที่นามาสร้างเว็บ สามารถแยกแยะเป็นประเด็นรายการต่างๆ สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้หรือไม่ 3. จุดประสงค์(Objective) จุดมุ่งหมายในการสร้างชัดเจนและบอก ความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องการนั้นชัดเจน 4. ความเป็นปัจจุบัน (Currency) เว็บเพจที่สร้างขึ้นนั้นต้องแสดงวันที่ที่เป็น ปัจจุบันด้วย เช่น บอกว่าสร้างเมื่อใดและมีการแก้ไขครั้งหลังสุดเมื่อใด 5. ความครอบคลุม (Coverage) การสร้างเว็บไซต์ต้องให้ตรงกับจุดสนใจ หัวเรื่องมีความชัดเจน เหมาะกับรูปภาพ โครงเรื่องและเนื้อหาสาระวิธีการค้นหา ข้อมูลในเว็บไซต์ชัดเจน แหล่งอ้างอิง : ประเภทและส่วนประกอบของเว็บไซต์.(2554). http://www.websuay.com/th/web_page/web_component
  • 18. การประเมินเว็บไซด์ การออกแบบและพัฒนาเว็บได้เพิ่มขึ้นโดยลาดับและนับวันจะยิ่งทวีจานวนขึ้น ในปัจจุบันมีเว็บเพจออนไลน์ในระบบอินเทอร์เน็ตนับร้อยๆ ล้านเว็บ แต่มี คาถามสาคัญที่ต้องมาหาคาตอบก็คือ เว็บแบบไหนที่มีคุณภาพดี เว็บแบบใดจึง จะถือว่าเป็นเว็บที่มีคุณค่า และเหมาะสมสาหรับนามาใช้ประโยชน์ เป็นเรื่องที่ ต้องตอบคาถามกันอยู่เสมอและยังไม่มีคาตอบที่ชัดเจน เมื่อพิจารณาแบบ ประเมินเว็บเพจของ ดร.แนนซี อีเวอร์ฮาร์ท (Everhart, 1996) ภาควิชา บรรณารักษและสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งกาหนดระดับการให้คะแนนเอาไว้อย่างน่าสนใจและน่าจะ นามาขยายความ เพื่อประโยชน์ในการประเมินคุณภาพของเว็บสาหรับนัก ออกแบบและพัฒนาเว็บ รวมถึงผู้ที่ เกี่ยวข้องในการจัดสารสนเทศผ่านระบบ อินเทอร์เน็ต จะได้มีแนวทางในการตรวจสอบและประเมินคุณภาพที่สามารถ อธิบายเหตุผลได้ ประเภทของเว็บไซต์ออกเป็น 7 ประเภท ดังนี้ 1. เว็บไซต์ส่วนตัว (Personal website) เป็นเว็บที่สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ ข้อมูลส่วนตัว เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนตัว การศึกษา การงาน ความสนใจ เป็นต้น 2. เว็บไซต์เพื่อธุรกิจการค้า (Promotional website) เว็บไซต์นี้มี จุดประสงค์เพื่อการค้าขายสินค้าการโฆษณาสินค้าการส่งเสริมการขาย ใน เว็บไซต์จะมีข้อมูลของสินค้า ราคาและการบริการต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันตลาด ประเภทนี้กาลังใช้กันมากขึ้น 3. เว็บไซต์ที่เสนอข่าวประจาวัน (Current website) เป็นเว็บที่เสนอข้อมูล ประเภทข่าว ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นประจาวัน เช่น เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ เป็นต้น 4. เว็บไซต์ส่งเสริมการบริการเป็นสื่อกลางของข้อมูล (Share Information website) เป็นเว็บที่มีจุดประสงค์ที่จะใช้เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามกลุ่มสนใจ เช่น แบ่งตามอาชีพ ตามงานอดิเรก เป็นต้น 5. เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นเพื่อชักชวนหรือโฆษณาชวนเชื่อ (Persuasive web- site) เป็นเว็บที่เชิญชวนหรือชักนาให้เห็นคล้อยตามในเรื่องที่ผู้สร้างต้องการ
  • 19. วิธีการออกแบบหน้าตาของเว็บไซต์อยู่ 3 รูปแบบ คือ ออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่เน้นการนาเสนอเนื้อหามากๆ เป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่มีการนาเสนอเนื้อหามากกว่ารูปภาพ โดยจะ ใช้โครงสร้างของตารางเป็นหลัก เพื่อใส่ข้อความแบบหน้าสารบัญ และรูปภาพที่ เป็นชิ้นเล็กๆได้ ออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่เน้นภาพกราฟิกเป็นหลัก เป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่มีภาพกราฟิกที่สวยงามถูกจัดวางไว้ในหน้า โฮมเพจ ซึ่งแตกต่างจากข้อแรกมากเพราะจะไม่ค่อยมีข้อความในเว็บเพจ แต่จะ เป็นการ Link ที่ภาพเพื่อเข้าไปยังหน้าเว็บเพจอื่นๆต่อไป การสร้างเว็บไซต์แบบนี้ จะให้โปรแกรม Photoshop สาหรับตกแต่งภาพก่อนนาไปใช้บนหน้าแว็บ ออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่มีทั้งภาพและเนื้อหา เป็นการออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่ผสมกันระหว่างข้อ1 และ 2 ข้างต้น โดย จะเน้นการจัดวางภาพที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆก่อน หลังจากนั้นจึงใส่ข้อความ ประกอบภาพลงไป เพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีความสวยงามด้วยภาพกราฟิกที่นามา ประกอบและใส่เนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์ด้วย โดยแนวคิดของอีเวอร์ฮาร์ท จะมีด้วยกัน 9 ด้านคือ 1. ความทันสมัย (Currency) 2. เนื้อหาและข้อมูล (Content and Information) 3. ความน่าเชื่อถือ (Authority) 4. การเชื่อมโยงข้อมูล (Navigation) 5. การปฏิบัติจริง (Experience) 6. ความเป็นมัลติมีเดีย (Multimedia) 7. การให้ข้อมูล (treatment) 8. การเข้าถึงข้อมูล (Access) 9. ความหลากหลายของข้อมูล (Miscellaneous)
  • 20. การโปรโมทเว็บไซต์ คือ การโฆษณาเผยแพร่เว็บไซต์ที่เราสร้างขึ้นให้เป็นที่รู้จักอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะ ให้เป็นที่รู้จักของผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ต ถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งสาหรับใช้แจ้ง ข่าวสาร เพื่อเชิญชวนให้นักทองเว็บได้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของตนโดยทั่วไป แล้วนักท่องเว็บมักจะทาการค้นหาข้อมูลของเว็บไซต์ผ่านทางเครื่องมือประเภท เว็บไดเรกทอรี่ และ Search Engine จึงสามารถนามาใช้เป็นช่องทางในการโป รโมทเว็บไซต์ การโปรโมทเว็บไซต์ เป็นการโฆษณาผ่านทางสื่อหนังสือพิมพ์โดยการลงโฆษณาใน หนังสือพิมพ์ทั่วๆไปเพื่อให้คนรู้จักและเข้าถึงได้โฆษณาผ่านทาง บิลบอร์ดตามแหล่งชุมชน ถนนใหญ่ๆ หรือแหล่งที่มีคนผ่านในแต่ละวัน เป็นจานวนมากโฆษณาผ่านสื่อรถยนต์เช่น โฆษณาด้วยการติดแบนเนอร์ หรือชื่อเว็บไซต์ข้างรถยนต์ของตัวเองหรือรถยนต์ประจาทาง ( รถเมล์) ผ่านนามบัตร โดยการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์หรือ URL ลงบนนามบัตร ซึ่งถือ ว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งผ่านเสื้อที่สวมใส่ โดยการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ลงบน เสื้อเพื่อให้ติดตาคนที่พบเห็นการโฆษณาผ่านถุงกระดาษ ถุงพลาสติก หรือแพคกิ้งข้างขวดหีบห่อต่างๆ ขั้นที่สามออกแบบหน้าโฮมเพ็จ (Home Page)
  • 21. ขั้นตอนการออกแบบเว็บไซต์ ขั้นแรกออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ ขั้นที่สองออกแบบการเชื่อมโยงไฟล์ การโปรโมทเว็บไซต์โดยใช้บริการของเว็บไดเรกทอรี่ มีทั้งแบบเสีย ค่าใช้จ่าย และไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยหากต้องการให้ผลลัพธ์ของการค้นหาปรากฏ อยู่ในลาดับต้นๆ อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก ได้แก่ ya- hoo.com,mickinley.com และ google.com ส่วนกรณีที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายผู้ใช้บริการจะต้องเป็นผู้จัดทาหรือ กาหนดหมวดหมู่ที่ต้องการขึ้นเอง โดยผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ปรากฏอยู่ลาดับต้นๆ โดยมีเว็บให้บริการได้แก่ sanook.com,hunsa.com,hotbot.com เป็นต้น
  • 22. การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction)เป็นการผสมผสาน กันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจากัดทางด้านสถานที่ และเวลา โดยการสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ ไวด์เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่ง การเรียนการสอนที่จัดขึ้นผ่านเว็บนี้อาจเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดของกระบวนการ เรียนการสอนก็ได้วิลด์ไวด์เว็บ เป็นบริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งได้รับ ความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เริ่มเข้ามาเป็น ที่รู้จักในวงการศึกษาใน ประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2538 ที่ผ่านมาเว็บได้เข้ามามีบทบาทสาคัญทางการศึกษา และ กลายเป็นคลังแห่งความรู้ที่ไร้พรมแดน ซึ่งผู้สอนได้ใช้เป็นทางเลือกใหม่ใน การส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อเปิดประตูการศึกษาจากห้องเรียนไปสู่โลกแห่งการ เรียนรู้อันกว้างใหญ่ รวมทั้งการนาการศึกษาไปสู่ผู้ที่ขาดโอกาสด้วย ข้อจากัด ทางด้านเวลาและสถานที่ (ถนอมพร เลาหจรัสแสง.2544) การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-BasedInstruction) เป็นการผสมผสานกัน ระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจากัดทางด้านสถานที่และ เวลา โดยการสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ไวด์ เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่งการ เรียนการสอนที่จัดขึ้นผ่านเว็บนี้อาจเป็นบางส่วนหรือทั้งหมดของกระบวนการ เรียนการสอนก็ได้ การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure Design) คือ การจัดหมวดหมู่ และลาดับของเนื้อหา แล้วจัดทาเป็นแผนผังโครงสร้าง เว็บไซต์ซึ่งจะทาให้เรารู้ว่ามีเนื้อหาอะไรบ้างภายในเว็บไซต์และแต่ละหน้าเว็บ เพจนั้นมีการเชื่อมโยงกันอย่างไร โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ผู้ชมไม่สับสนและค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ควรเป็นลาดับที่ลึกหลายชั้นเกินไป เพราะผู้ใช้จะเบื่อเสียก่อน กว่าจะค้นหาเจอหน้าที่ต้องการ 1. รวบรวมข้อมูล เนื้อหาที่จะนามาสร้างเว็บ แล้วนามาจัดหมวดหมู่ และลาดับเนื้อหาก่อนหลัง (ตัดส่วนที่ไม่จาเป็นออก) แล้ววางโครงสร้างเว็บไซต์ ในภาพรวมทั้งหมด 2. จัดทาแผนผังโครงสร้างการเชื่อมโยงไฟล์ เป็นแผนผังที่แสดง โครงสร้างข้อมูล ลาดับชั้น และการเชื่อมโยงส่วนต่างๆอย่างชัดเจน 3. ออกแบบหน้าแรกของเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Home page
  • 23. 3.เว็บช่วยสอนแบบศูนย์การศึกษา (WebPedagogical Resources) เป็นชนิดของ เว็บไซต์ที่มีวัตถุดิบเครื่องมือ ซึ่งสามารถรวบรวมรายวิชาขนาดใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน หรือเป็นแหล่งสนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษา ซึ่งผู้ที่เข้ามาใช้ก็จะมีสื่อให้บริการ อย่างรูปแบบอย่างเช่น เป็นข้อความ เป็นภาพกราฟิก การสื่อสารระหว่างบุคคล และการทาภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บ การใช้เว็บเพื่อการเรียนการสอนเป็นการนาเอาคุณสมบัติของอินเทอร์เน็ต มาออกแบบเพื่อใช้ในการศึกษาการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction) มีชื่อเรียกหลายลักษณะ เช่นการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ(Web- Based Instruction) เว็บการเรียน(Web-Based Learning) เว็บฝึกอบรม (Web-Based Training) อินเทอร์เน็ตฝึกอบรม (Internet-Based Training) อินเทอร์เน็ตช่วยสอน (Internet-BasedInstruction) เวิลด์ไวด์เว็บฝึกอบรม (WWW-Based Training) และ เวิลด์ไวด์เว็บช่วยสอน (WWW-Based Instruction) (สรรรัชต์ห่อไพศาล. 2545) ทั้งนี้มีผู้นิยามและให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บเอาไว้หลายนิยาม ได้แก่ คาน (Khan, 1997) ได้ให้คาจากัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction)ไว้ว่าเป็นการเรียนการสอนที่อาศัยโปรแกรมไฮเปอร์มีเดียที่ช่วยในการ สอน โดยการใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ต มาสร้าง ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายโดยส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้อย่าง มากมายและสนับสนุนการเรียนรู้ในทุกทาง
  • 24. คลาร์ก (Clark, 1996) ได้ให้คาจากัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่า เป็น การเรียนการสอนรายบุคคลที่นาเสนอโดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สาธารณะ หรือส่วนบุคคล และแสดงผลในรูปของการใช้เว็บบราวเซอร์สามารถเข้าถึงข้อมูล ที่ติดตั้งไว้ได้โดยผ่านเครือข่าย รีแลน และกิลลานิ (Relan and Gillani, 1997) ได้ให้คาจากัดความของเว็บในการ สอนเอาไว้ว่าเป็นการกระทาของคณะหนึ่งในการเตรียมการคิดในกลวิธีการสอน โดยกลุ่มคอนสตรัคติวิซึ่มและการเรียนรู้ในสถานการณ์ร่วมมือกัน โดยใช้ ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรในเวิลด์ไวด์เว็บ ประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บ การเรียนการสอนผ่านเว็บสามารถทาได้ในหลายลักษณะ โดยแต่ละเนื้อหาของ หลักสูตรก็จะมีวิธีการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งใน ประเด็นนี้มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเภทของการ เรียนการสอนผ่านเว็บดังต่อไปนี้ พาร์สัน(Parson,1997) ได้แบ่งประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บออกเป็น 3 ลักษณะคือ 1.เว็บช่วยสอนแบบรายวิชาอย่างเดียว (Stand - Alone Courses) เป็นรายวิชาที่มี เครื่องมือและแหล่งที่เข้าไปถึงและเข้าหาได้โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมาก ที่สุด ถ้าไม่มีการสื่อสารก็สามารถที่จะไปผ่านระบบคอมพิวเตอร์สื่อสารได้ ลักษณะของเว็บช่วยสอนแบบนี้มีลักษณะเป็นแบบวิทยาเขตมีนักศึกษาจานวนมาก ที่เข้ามาใช้จริงแต่จะมีการส่งข้อมูลจากรายวิชาทางไกล 2.เว็บช่วยสอนแบบเว็บสนับสนุนรายวิชา (Web SupportedCourses) เป็นรายวิชา ที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมที่มีการพบปะระหว่างครูกับนักเรียนและมีแหล่งให้มาก เช่น การกาหนดงานที่ให้ทาบนเว็บการกาหนดให้อ่าน การสื่อสารผ่านระบบ คอมพิวเตอร์ หรือการมีเว็บที่สามารถชี้ตาแหน่งของแหล่งบนพื้นที่ของเว็บไซต์ โดยรวมกิจกรรมต่างๆ เอาไว้