LOGO
อินเทอร์เน็ต
Internet
อินเทอร์เน็ต
 ปัจจุบันใคร ๆ ก็รู้จักและมีโอกาสเข้าใช้อินเทอร์เน็ต โดยมองเสมือนเป็นที่รวมของข้อมูล
มหาศาล ทั้งข้อความ ภาพ เสียง โปรแกรม และอื่น ๆ
 อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารกันด้วยข้อมูลต่าง ๆ อย่างสะดวกรวดเร็ว
 อินเทอร์เน็ตเป็นเพียง “ช่องทาง” หรือเครือข่ายที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั้งโลกเข้าด้วยกันให้
สามารถรับส่งข้อมูลกันได้
ความหมาย
 อินเทอร์เน็ต คือ กลุ่มของเครือข่ายคอมพิวเตอร์จานวนมากที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันภายใต้ระบบ
มาตรฐานเดียวกันจนกลายเป็นสังคมเครือข่ายขนาดใหญ่ ซึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถ
รับส่งข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตัวอักษร รูปภาพและเสียงได้รวมทั้งการสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ
ได้อย่างรวดเร็ว อินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารที่กาลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ความเป็นมา
 พ.ศ. 2512 กระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ขึ้นมาเพื่อใช้ในทางทหาร ชื่อว่า ARPANET (Advanced Research
Projects Agency Network) ซึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะเชื่อมกันด้วยสายส่ง
ข้อมูลที่แยกออกเป็นหลายเส้นทางประสานกันเหมือนร่างแห การส่งข้อมูลไปให้เครื่องอื่นจะ
แบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย แล้วทยอยส่งไปให้ปลายทางตามที่กาหนด โดยแต่ละชิ้นย่อย ๆ นี้
อาจจะไปคนละทางกัน แต่จะไปรวมกันที่ปลายทางตามลาดับที่ถูกต้องตามเดิมได้
ความเป็นมา
 ถ้าหากว่าในระหว่างทางข้อมูลส่วนใดส่วนหนึ่ง (Packet) เกิดสูญหายหรือผิดพลาด อัน
เนื่องมาจากสัญญาณรบกวนก็ดี หรือสายส่งข้อมูลและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่กลางทางเสียหาย
หรือถูกทาลายก็ดี เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางจะส่งสัญญาณกลับมาแจ้งให้คอมพิวเตอร์ต้นทาง
รับรู้และจัดการส่งข้อมูลเฉพาะส่วนที่ขาดไปให้ใหม่โดยใช้เส้นทางอื่นแทน ด้วยวิธีนี้จะสามารถ
มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ส่งออกไปจะถึงปลายทางอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีบางส่วนของเครือข่ายเกิด
ความเสียหายก็ตาม และเฉพาะข้อมูลส่วนที่เสียหายเท่านั้นที่จะต้องส่งใหม่ ไม่ใช่ส่งใหม่ทั้งหมด
ความเป็นมา
 ก้าวแรกของ ARPANET ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์เพียง 4 เครื่อง คือ เครื่องคอมพิวเตอร์
ของมหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาบารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่
ลอสแองเจลิส และสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อมีการทดลองใช้งาน
ARPANET จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้ว กระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐฯได้ได้
ขยายเครือข่ายของ ARPANET ออกไป โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยและ
สถาบันวิจัยต่างๆ รวม 50 แห่งในปี พ.ศ. 2515 ซึ่งเครือข่ายของARPANET ในขณะ
นั้นใช้งานเพื่อการค้นคว้าและวิจัยทางทหารเป็นส่วนใหญ่
ความเป็นมา
 คอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายจะมีมาตรฐานการรับส่งข้อมูลเดียวกันเรียกว่า Network
Control Protocol (NCP) เป็นส่วนควบคุมการรับส่งข้อมูล การตรวจสอบความ
ผิดพลาดในการส่งข้อมูล และเปรียบเสมือนตัวกลางที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเข้าด้วยกัน
แต่มาตรฐานของ NCP ยังมีข้อจากัดอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือในด้านจานวนเครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่ต่อ ทาให้ขยายจานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ออกไปมาก ๆ ไม่ได้จึงได้เริ่มมีการ
พัฒนามาตรฐานการรับส่งข้อมูลแบบใหม่ขึ้น
ความเป็นมา
 จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2525 ได้มีมาตรฐานใหม่ออกมา คือ Transmission
Control Protocol/Internet Protocol หรือโปรโตคอลแบบ TCP/IP ซึ่ง
ถือว่าเป็นก้าวสาคัญที่ ARPANET ได้วางรากฐานไว้ให้กับอินเทอร์เน็ต เพราะจาก
มาตรฐานการรับส่งข้อมูลแบบ TCP/IP นี้ทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันสามารถรับส่ง
ข้อมูลไปมาระหว่างกันได้และนับเป็นหัวใจของอินเทอร์เน็ตเลยทีเดียว โปรโตคอล
(TPC/IP) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
ความเป็นมา
 ต่อมา พ.ศ. 2529 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติหรือ National Science
Foundation (NSF) ของประเทศสหรัฐฯ ได้วางระบบเครือข่ายขึ้นมาอีกระบบหนึ่ง
เรียกว่า NSFNET ซึ่งประกอบด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์จานวน 5 เครื่องใน 5 รัฐ เชื่อมต่อ
เข้าด้วยกันเพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาและการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ และได้ใช้โปรโตคอล
TCP/IP เป็นมาตรฐานในการรับส่งข้อมูลเช่นกัน ทาให้ Network ขยายตัวเป็นไปอย่าง
รวดเร็วเนื่องจากมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษามีความต้องการที่จะเชื่อมต่อเข้ากับซูเปอร์
คอมพิวเตอร์ เพื่อให้การใช้งานซูเปอร์คอมพิวเตอร์คุ้มค่าที่สุด และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างกันได้
ความเป็นมา
 ประกอบกับการรับส่งข้อมูลก็ใช้มาตรฐานเดียวกัน จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจึง
เพิ่มขึ้นเป็น5,000 เครื่อง นอกจาก ARPANET และ NSFNET แล้ว ยังมีเครือข่าย
อื่น ๆ อีกหลายเครือข่าย เช่น UUNET, UUCP, BITNET, CSNET เป็นต้น ซึ่ง
ต่อมาก็ได้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยมี NSFNET เป็นเครือข่ายหลัก เปรียบเสมือนกระดูกสัน
หลัง (Backbone) ของระบบ จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจึงได้เพิ่มเป็นกว่า
20,000 เครื่องในปี พ.ศ. 2530 และก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วเป็น 100,000 เครื่อง
ในปี พ.ศ. 2532
ความเป็นมา
หลังจากที่ ARPANET ได้รวมเข้ากับ NSFNET แล้วก็เปลี่ยนไปใช้
ความสามารถของ NSFNET แทน จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2533 ก็เลิกใช้
งาน ARPANET โดยสิ้นเชิง แต่จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายก็ยังคง
เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ และในปี พ.ศ. 2534 ก็ได้มีการจัดตั้งสมาคม CIX หรือ
Commercial Internet Exchange ขึ้น โดยขณะนั้นมีเครื่อง
คอมพิวเตอร์รวมมากกว่า 600,000 เครื่องในระบบ และเมื่ออินเทอร์เน็ตมีอายุ
ครบ 25 ปี ในปี พ.ศ. 2537 จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายพุ่งสูงกว่า
2,000,000 เครื่อง ซึ่งปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันอยู่ทั่วโลกมี
จานวน มากมายเป็นหลายเท่าตัวที่ทาหน้าที่ให้บริการข้อมูล ข่าวสาร รับส่งจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
 อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เกิดขึ้นโดยที่ประเทศไทยได้ติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในลักษณะการใช้
บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ซึ่งสถาบันที่
ติดต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในลักษณะดังกล่าวคือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต
หาดใหญ่ (PSU) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือสถาบันเอไอที (AIT) การติดต่อ
อินเทอร์เน็ตของทั้งสองสถาบันเป็นการใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยความร่วมมือกับ
ประเทศออสเตรเลีย ตามโครงการ IDP ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงเครือข่ายด้วยสายโทรศัพท์
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ได้ยื่นขอที่อยู่
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ตsritrang.psu.th ซึ่งเป็นที่อยู่
อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC (Thailand)
จากัด ได้ขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ในกิจของบริษัท โดยได้รับที่อยู่เป็น dect.co.th มีคา “
th ” เป็นส่วนที่เรียกว่าโดเมน (Domain) เป็นส่วนแสดงโซนของเครือข่าย อินเทอร์เน็ต
ในประเทศไทย โดยคา “ th ” เป็นรหัสย่อมาจากคาว่า Thailand
รูปแบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
รูปแบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ISP คืออะไร
 ISP หรือ Internet Service Provider เป็นหน่วยงานที่ให้บริการเชื่อมต่อเข้ากับ
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ทาหน้าที่เสมือนเป็นประตูเปิดการเชื่อมต่อให้บุคคล
หรือองค์การสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้สาหรับในประเทศไทยมีหน่วยงานที่ให้บริการด้านนี้
อยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์(Commercial ISP)
จานวน 18 ราย และ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสาหรับสถาบันการศึกษา การวิจัยและ
หน่วยงานของรัฐ (non-commercial ISP) จานวน 6 ราย
อินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อกันได้อย่างไร
การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
 การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่านโมเด็ม
การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
 การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่านโมเด็มชนิด ADSN
โปรโตคอล
 การทางานต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตจะสอดคล้องกันได้ก็ต้องมีกติกาที่ทุกเครื่อง ทุกโปรแกรม รับรู้
และทาตามแบบหรือมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งบนอินเทอร์เน็ตมีกติกาเหล่านี้มากมายสาหรับ
แต่ละเครื่อง เรียกว่า “โปรโตคอล” (protocal)
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญ TCP/IP กับ IP address
 เป็นกติกาหลักในการรับส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อมูลทุกรูปแบบไม่ว่าจากโปรแกรมใดก็ต้อง
แปลงให้อยู่ในมาตรฐานของ TCP/IP เสียก่อนจึงจะรับส่งได้กติกานี้กาหนดวิธี ขั้นตอนใน
การรับส่งข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้องอย่างรัดกุม
202.56.159.90
ชื่อโดเมน
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญ DNS และ DNS Server
 ระบบการแปลงชื่อที่เรียกว่า Domain Name System (DNS) เข้ามาช่วย โดย
แต่ละ ISP ก็ต้องมีคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งคอยเก็บข้อมูลว่าเครื่องชื่อนั้นๆ มี IP
address อะไร เราเรียกเครื่องที่ทาหน้าที่นี้ว่า DNS server
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญ WEB หรือ WWW หรือ World Wide Web
 เป็นบริการพื้นฐานที่ใช้กันมากที่สุด โดยเรียกดูข้อความและภาพประกอบเป็นหน้า ๆ ไป เหมือน
การอ่านหนังสือพิมพ์หรือวารสาร แต่เป็นข้อมูลสดที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามการทางาน
ของโปรแกรมว่าจะไปดึงอะไรมาแสดง และยังอาจมีภาพเคลื่อนไหวหรือเสียงได้ด้วย นอกจากนี้
เว็บยังเป็นต้นทางของบริการอื่น ๆที่จะตามมา คือ ก่อนจะเข้าไปใช้บริการใด ๆ ผู้ใช้มักจะต้องเข้า
มาที่เว็บไซต์ของบริการนั้น อ่านข้อมูลเบื้องต้นวิธีใช้งาน จากนั้นค่อยลงทะเบียน สมัครสมาชิก
หรืออื่น ๆ ต่อไป
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญ Web Site
 สาหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการเว็บ หมายถึงเราสามารถเรียกดูเว็บจากเครื่องนั้นได้จะ
เรียกว่าเป็น “เว็บเซิร์ฟเวอร์” (web server) และข้อมูลทั้งหมดที่จัดให้เรียกดูเป็นเว็บได้
จะเรียกว่า “เว็บไซท์” (web site) หรือแหล่งข้อมูลเว็บ ส่วนแต่ละหน้าที่เปิดเข้าไปดูได้จะ
เรียกว่า “เว็บเพจ” (web page) ซึ่งหน้าที่หลักของเว็บไซท์นั้นๆ หรือหน้าแรกที่จะเห็น
เมื่อเรียกเข้าไปที่เว็บไซท์นั้นครั้งแรกโดยไม่ระบุว่าจะดูหน้าใด จะเรียก “โฮมเพจ” (home
page) ซึ่งจะมีลิงค์ไปยังหน้าอื่น ๆ ในไซท์นั้นอีกทีหนึ่ง
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญ HTTP โปรโตคอลของเว็บ
 โปรโตคอลหรือกติกาที่ใช้เรียกดูข้อมูลจากเว็บจะเรียกว่า HTTP (Hyper Text
Transfer Protocol) ซึ่งเรียกใช้ได้โดยระบุ http:// ในช่องที่กรอกชื่อเว็บของ
บราวเซอร์ นาหน้าชื่อเครื่องที่จะเรียกดูข้อมูล เช่น http:///www.mcc.ac.th แต่ปกติ
หากไม่ใส่หรือไม่ระบุเป็นอย่างอื่น บราวเซอร์ก็จะคิดแทนให้ว่าเป็น http:// อยู่แล้ว ส่วนบาง
กรณีเช่นการรับส่งไฟล์อาจใช้ ftp:// (ftp = File Transfer Protocol) แทน
เพราะเป็นการสั่งให้อีกเครื่องหนึ่งส่งไฟล์มาโดยตรง
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญ HTML : ภาษาของเว็บ
 ภาษาที่ใช้ในการจัดหน้าเว็บเพจเรียกว่า HTML (Hyper Text Markup
Language) ซึ่งเป็นที่มาของส่วนขยาย .htm หรือ .html ท้ายไฟล์เว็บเพจปัจจุบัน
ผู้ใช้จะไม่ได้เขียนคาสั่งHTML แต่ใช้โปรแกรมออกแบบเว็บช่วย เช่น
Dreamweaver ของ Macromedia (ปัจจุบันถูกซื้อกิจการโดย Adobe ไป
แล้ว), Frontgage ของ Microsoft, GoLive! ของ Adobe เป็นต้น ซึ่งจะได้
หน้าเว็บเป็นคาสั่ง HTML ออกมาเลย แต่หากยังไม่ถูกใจก็อาจต้องเข้าไปปรับแก้เองบ้างเท่าที
จาเป็น
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญ
URL = โปรโตคอล + ชื่อโดเมน + ชื่อไฟล์ในเครื่อง
เมื่อรู้จักเว็บไซท์และโปรโตคอลแล้ว การจะให้บราวเซอร์ไปเรียกดูเว็บเพจจากที่
ใด ก็ต้องระบุ 3 อย่างคือ โปรโตคอล ชื่อโดเมนของเครื่อง (ส่วนนี้อาจใส่ IP
address แทนได้) และชื่อไฟล์เว็บเพจ (.htm หรือ .html) หรือไฟล์
อื่น ๆ เช่น ไฟล์รูปภาพแบบ JPEG (.jpg หรือ .jpeg) ในเครื่องนั้น ๆ
(ซึ่งรวมถึงชื่อดิสก์ไดรว์ ชื่อโฟลเดอร์หรือไดเร็คทรอรีที่ไฟล์ของเอกสารเว็บนั้น
อยู่ด้วย) ซึ่งชื่อทั้งหมดนี้รวมกันจะถูกกาหนดให้มีรูปแบบเดียว เรียกว่า
Uniform Resource Locator หรือ URL ดังนั้นแต่ละเว็บเพจ
ในโลกนี้ก็จะต้องมี URL ของตัวเองที่ไม่ซ้ากัน สาหรับให้ผู้ใช้กรอกเข้าไปว่า
จะเรียกดูเว็บเพจจากไหน หรือคลิกลิงค์แล้วจะไปเรียกเว็บเพจจากไหนมาแทน
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญ
โปรโตคอล” (protocal)
ที่สำคัญเวลาของการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต
แบบประสานเวลา (synchronous) เป็นการใช้งานที่ผู้ใช้สามารถติดต่อถึง
กันได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน โดยผู้ใช้แต่ละฝ่ายจะนั่งทางานอยู่หน้าจอ
คอมพิวเตอร์ดังเช่น การสนทนาในเครือข่าย (Internet Relay Chat)
แบบไม่ประสานเวลา (asynchronous) หรือแบบต่างเวลา เป็นการรับส่ง
ข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่จาเป็นต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกันในเวลาเดียวกัน แต่
สามารถส่งข่าวสารข้อมูลไปเก็บไว้ในเครื่องบริการก่อนได้ เพื่อที่ผู้รับจะเรียกดู
ข้อมูลนั้นได้ภายหลัง เช่น บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มข่าว การถ่ายโอน
ไฟล์ หรือการค้นดูเว็บเพจต่าง ๆ เป็นต้น
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 E-mail
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 Instant Messing
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 Telnet
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 FTP
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 Chat Room
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 Internet Telephony
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 Content Streaming
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 ซื้อสินค้าออนไลน์
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 การประมูลสินค้าผ่านเว็บ
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 บริการเพลงและวิดีโอ
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 NewsGroup / Webboard
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 Online Diary
บริการจากอินเทอร์เน็ต
 Weblog / Blog
บริการค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
 Web Directory
 Search Engine
 Crawler เรียกได้อย่างหนึ่งว่า “ Spider ” , “ Robot ” หรือ “ Worm ” เป็นกลไกที่สร้าง
ขึ้นให้เป็นตัวแทน (Agent) เพื่อท่องไปตามเว็บไซต์ต่างๆ แล้วรวบรวมข้อมูลที่อยู่ในเว็บไซต์นั้น
 Indexer หลังจากที่ Crawler รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์มาให้แล้ว Indexer จะทาหน้าที่ในการจัด
หมวดหมู่ให้กับข้อมูลเหล่านั้น และจัดเก็บลงในฐานข้อมูล
 Query Process เป็นส่วนการทางานที่ซับซ้อนที่สุดของ Search Engine เนื่องจากต้อง
ค้นหาข้อมูลใน Indexer และนาคาค้นหรือปัจจัยต่าง ๆ มาเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจว่าจะแสดงผลลัพธ์
ใดบ้าง
 Portal Site มีลิงค์ต่าง ๆ มากมายให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงไปยังบริการที่ผู้ใช้สนใจ
เทคนิคในกำรใช้คำค้น
(keyword)ควรใช้คาที่หลากหลาย เช่น หากต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับชาจีน ไม่ควรใช้เพียง
คาว่า “tea” เพียงคาเดียว แต่ควรใช้คาว่า “ Chinese Tea ” จะได้
ผลลัพธ์ที่ตรงต่อความต้องการมากกว่า
ควรใช้เครื่องหมายคาพูด (“ ”) ในการรวมคา เมื่อต้องการค้นหาคาที่เป็น
ประโยค หรือกลุ่มของคาที่มีการเว้นช่องว่าง เช่น ชื่อ และนามสกุล สามารถทาได้
โดยใช้เครื่องหมายคาพูดปิดคาที่ต้องการรวม
ไม่ควรใช้คาทั่วไปเป็นคาค้น คาทั่วไปได้แก่ คาเชื่อม คานาหน้านาม คาวิเศษณ์
เช่น if, on, about, the, be เป็นต้น แต่หากต้องการใช้คานี้ให้เขียนอยู่
ในเครื่องหมายคาพูด
เทคนิคในกำรใช้คำค้น
(keyword)ใช้เครื่องหมายบวก ( + ) นาหน้าคาค้นที่ต้องการให้ผลลัพธ์ที่ได้ตรงกับคานั้น
เช่น หากต้องการค้นหาคาว่า “ แอปเปิ้ล ” ที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถใช้
คาค้นได้ว่า “แอปเปิ้ล+คอมพิวเตอร์” เป็นต้น
ใช้เครื่องหมายลบ ( - ) นาหน้าคาค้นที่ไม่ต้องการให้แสดงผลลัพธ์ตามคาค้นนั้น
เช่น หากต้องการค้นหาคาว่า “ แอปเปิ้ล ” ที่ไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถใช้
คาค้นได้ว่า “แอปเปิ้ล-คอมพิวเตอร์” เป็นต้น
ใช้เครื่องหมายดอกจันทร์ ( * ) แทนกลุ่มคาหรือประโยคที่ผู้ใช้ไม่แน่ใจว่าจะใช้
คาใด หรือไม่แน่ใจว่าสะกดคานั้นอย่างไร โดยเขียนให้อยู่ในเครื่องหมาย (“ ”)
เช่น “กระทรวง*” เป็นต้น Search Engine จะค้นหาคาว่า “กระทรวง”
โดยที่กลุ่มข้างหลังจะเป็นคาว่าอะไรก็ได้
สื่อหลายมิติบนเว็บ
ข้อดีของอินเทอร์เน็ต
 สนทนากับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลได้ทั้งในลักษณะข้อความ ภาพ และเสียง
 ให้เสรีภาพในการสื่อสารในทุกรูปแบบแก่บุคคลทุกคน
 ค้นคว้าข้อมูลในลักษณะต่าง ๆ เช่น งานวิจัย บทความในหนังสือพิมพ์ ความก้าวหน้าทาง
การแพทย์เป็นต้น ได้จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก เช่น ห้องสมุด สถาบันการศึกษา และ
สถาบันวิจัย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการเดินทางและสามารถสืบค้นได้
ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ข้อดีของอินเทอร์เน็ต
ติดตามความเคลื่อนไหวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการรายงาน
ของสานักข่าวที่มีเว็บไซต์ทั้งในลักษณะสถานีวิทยุและสถานีวิทยุโทรทัศน์ รวมถึง
พยากรณ์อากาศของเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกล่วงหน้าด้วย
รับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเงินค่าไปรษณี
ยากร ถึงแม้จะเป็นการส่งข้อความไปต่างประเทศก็ไม่ต้องเสียเงินนอกจากจะส่ง
ข้อความตัวอักษรแบบจดหมายธรรมดาแล้ว ยังสามารถส่งไฟล์ภาพนิ่ง
ภาพเคลื่อนไหว และเสียงพร้อมกันไปด้วย
ร่วมกลุ่มอภิปรายหรือกลุ่มข่าวเพื่อเเสดงความคิดเห็นกับผู้อื่นที่สนใจในเรื่อง
เดียวกัน เป็นการขยายวิสัยทัศน์ในเรื่องที่สนใจนั้น ๆ
ข้อดีของอินเทอร์เน็ต
 อ่านบทความเรื่องราวที่ลงในนิตยสารหรือวารสารต่าง ๆ ได้ฟรีโดยมีทั้งข้อความและ
ภาพประกอบด้วย
 ถ่ายโอนไฟล์ข้อความ ภาพ และเสียงจากที่อื่น ๆ รวมถึงและถ่ายโอนโปรแกรมต่าง ๆ ได้จาก
เว็บไซต์ที่ยอมให้ผู้ใช้บรรจุลงในโปรแกรมได้โดยไม่คิดมูลค่า
 ตรวจดูสินค้าและสั่งซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปซื้อเอง
 แข่งขันเกมกับผู้อื่นได้ทั่วโลก
 ติดประกาศข้อความที่ต้องการให้ผู้อื่นทราบได้อย่างทั่วถึง
ข้อจากัดของอินเทอร์เน็ต
 ทุกคนสามารถสร้างเว็บไซต์หรือติดประกาศข้อความได้ทุกเรื่อง บางครั้งข้อความนั้นอาจจะเป็น
ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับการรับรอง เช่น ข้อมูลด้านการแพทย์หรือผลการทดลองต่าง ๆ จึง
เป็นวิจารณญาณของผู้อ่านที่จะต้องไตร่ตรองข้อความที่อ่านนั้นด้วยว่าควรจะเชื่อถือได้หรือไม่
 อินเทอร์เน็ตมีโปรแกรมและเครื่องมือในการทางานมากมายหลายอย่าง เช่นการใช้ เทลเน็ตเพื่อ
การติดต่อระยะไกล หรือการใช้โปรแกรม Microsoft’s NetMeeting ในการสนทนา
สดหรือประชุมทางไกล ฯลฯ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องศึกษาการใช้งานเสียก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อจากัดของอินเทอร์เน็ต
 นักเรียนและเยาวชนอาจติดต่อเข้าโปรแกรมในเว็บไซต์ที่ไม่เป็นประโยชน์ หรืออาจ ยั่วยุอารมณ์
ทาให้เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคม
 มีการเล่นเกมบนอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย อันอาจทาให้เด็กหมกมุ่นในการเล่นจนเสียเวลา
ในการเรียนได้
จำกบทเรียนลองเขียน
Mind Map ดูนะ

ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

  • 1.
  • 2.
    อินเทอร์เน็ต  ปัจจุบันใคร ๆก็รู้จักและมีโอกาสเข้าใช้อินเทอร์เน็ต โดยมองเสมือนเป็นที่รวมของข้อมูล มหาศาล ทั้งข้อความ ภาพ เสียง โปรแกรม และอื่น ๆ  อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารกันด้วยข้อมูลต่าง ๆ อย่างสะดวกรวดเร็ว  อินเทอร์เน็ตเป็นเพียง “ช่องทาง” หรือเครือข่ายที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั้งโลกเข้าด้วยกันให้ สามารถรับส่งข้อมูลกันได้
  • 3.
    ความหมาย  อินเทอร์เน็ต คือกลุ่มของเครือข่ายคอมพิวเตอร์จานวนมากที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันภายใต้ระบบ มาตรฐานเดียวกันจนกลายเป็นสังคมเครือข่ายขนาดใหญ่ ซึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถ รับส่งข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตัวอักษร รูปภาพและเสียงได้รวมทั้งการสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารที่กาลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
  • 4.
    ความเป็นมา  พ.ศ. 2512กระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ขึ้นมาเพื่อใช้ในทางทหาร ชื่อว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะเชื่อมกันด้วยสายส่ง ข้อมูลที่แยกออกเป็นหลายเส้นทางประสานกันเหมือนร่างแห การส่งข้อมูลไปให้เครื่องอื่นจะ แบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย แล้วทยอยส่งไปให้ปลายทางตามที่กาหนด โดยแต่ละชิ้นย่อย ๆ นี้ อาจจะไปคนละทางกัน แต่จะไปรวมกันที่ปลายทางตามลาดับที่ถูกต้องตามเดิมได้
  • 5.
    ความเป็นมา  ถ้าหากว่าในระหว่างทางข้อมูลส่วนใดส่วนหนึ่ง (Packet)เกิดสูญหายหรือผิดพลาด อัน เนื่องมาจากสัญญาณรบกวนก็ดี หรือสายส่งข้อมูลและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่กลางทางเสียหาย หรือถูกทาลายก็ดี เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางจะส่งสัญญาณกลับมาแจ้งให้คอมพิวเตอร์ต้นทาง รับรู้และจัดการส่งข้อมูลเฉพาะส่วนที่ขาดไปให้ใหม่โดยใช้เส้นทางอื่นแทน ด้วยวิธีนี้จะสามารถ มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ส่งออกไปจะถึงปลายทางอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีบางส่วนของเครือข่ายเกิด ความเสียหายก็ตาม และเฉพาะข้อมูลส่วนที่เสียหายเท่านั้นที่จะต้องส่งใหม่ ไม่ใช่ส่งใหม่ทั้งหมด
  • 6.
    ความเป็นมา  ก้าวแรกของ ARPANETประกอบด้วยคอมพิวเตอร์เพียง 4 เครื่อง คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาบารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ ลอสแองเจลิส และสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อมีการทดลองใช้งาน ARPANET จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้ว กระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐฯได้ได้ ขยายเครือข่ายของ ARPANET ออกไป โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยและ สถาบันวิจัยต่างๆ รวม 50 แห่งในปี พ.ศ. 2515 ซึ่งเครือข่ายของARPANET ในขณะ นั้นใช้งานเพื่อการค้นคว้าและวิจัยทางทหารเป็นส่วนใหญ่
  • 7.
    ความเป็นมา  คอมพิวเตอร์ที่ต่อเข้ากับเครือข่ายจะมีมาตรฐานการรับส่งข้อมูลเดียวกันเรียกว่า Network ControlProtocol (NCP) เป็นส่วนควบคุมการรับส่งข้อมูล การตรวจสอบความ ผิดพลาดในการส่งข้อมูล และเปรียบเสมือนตัวกลางที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเข้าด้วยกัน แต่มาตรฐานของ NCP ยังมีข้อจากัดอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือในด้านจานวนเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ต่อ ทาให้ขยายจานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ออกไปมาก ๆ ไม่ได้จึงได้เริ่มมีการ พัฒนามาตรฐานการรับส่งข้อมูลแบบใหม่ขึ้น
  • 8.
    ความเป็นมา  จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2525ได้มีมาตรฐานใหม่ออกมา คือ Transmission Control Protocol/Internet Protocol หรือโปรโตคอลแบบ TCP/IP ซึ่ง ถือว่าเป็นก้าวสาคัญที่ ARPANET ได้วางรากฐานไว้ให้กับอินเทอร์เน็ต เพราะจาก มาตรฐานการรับส่งข้อมูลแบบ TCP/IP นี้ทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันสามารถรับส่ง ข้อมูลไปมาระหว่างกันได้และนับเป็นหัวใจของอินเทอร์เน็ตเลยทีเดียว โปรโตคอล (TPC/IP) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
  • 9.
    ความเป็นมา  ต่อมา พ.ศ.2529 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติหรือ National Science Foundation (NSF) ของประเทศสหรัฐฯ ได้วางระบบเครือข่ายขึ้นมาอีกระบบหนึ่ง เรียกว่า NSFNET ซึ่งประกอบด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์จานวน 5 เครื่องใน 5 รัฐ เชื่อมต่อ เข้าด้วยกันเพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาและการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ และได้ใช้โปรโตคอล TCP/IP เป็นมาตรฐานในการรับส่งข้อมูลเช่นกัน ทาให้ Network ขยายตัวเป็นไปอย่าง รวดเร็วเนื่องจากมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษามีความต้องการที่จะเชื่อมต่อเข้ากับซูเปอร์ คอมพิวเตอร์ เพื่อให้การใช้งานซูเปอร์คอมพิวเตอร์คุ้มค่าที่สุด และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างกันได้
  • 10.
    ความเป็นมา  ประกอบกับการรับส่งข้อมูลก็ใช้มาตรฐานเดียวกัน จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจึง เพิ่มขึ้นเป็น5,000เครื่อง นอกจาก ARPANET และ NSFNET แล้ว ยังมีเครือข่าย อื่น ๆ อีกหลายเครือข่าย เช่น UUNET, UUCP, BITNET, CSNET เป็นต้น ซึ่ง ต่อมาก็ได้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยมี NSFNET เป็นเครือข่ายหลัก เปรียบเสมือนกระดูกสัน หลัง (Backbone) ของระบบ จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจึงได้เพิ่มเป็นกว่า 20,000 เครื่องในปี พ.ศ. 2530 และก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วเป็น 100,000 เครื่อง ในปี พ.ศ. 2532
  • 11.
    ความเป็นมา หลังจากที่ ARPANET ได้รวมเข้ากับNSFNET แล้วก็เปลี่ยนไปใช้ ความสามารถของ NSFNET แทน จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2533 ก็เลิกใช้ งาน ARPANET โดยสิ้นเชิง แต่จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายก็ยังคง เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ และในปี พ.ศ. 2534 ก็ได้มีการจัดตั้งสมาคม CIX หรือ Commercial Internet Exchange ขึ้น โดยขณะนั้นมีเครื่อง คอมพิวเตอร์รวมมากกว่า 600,000 เครื่องในระบบ และเมื่ออินเทอร์เน็ตมีอายุ ครบ 25 ปี ในปี พ.ศ. 2537 จานวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายพุ่งสูงกว่า 2,000,000 เครื่อง ซึ่งปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันอยู่ทั่วโลกมี จานวน มากมายเป็นหลายเท่าตัวที่ทาหน้าที่ให้บริการข้อมูล ข่าวสาร รับส่งจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
  • 12.
    อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย  อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เกิดขึ้นโดยที่ประเทศไทยได้ติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในลักษณะการใช้ บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2530 ซึ่งสถาบันที่ ติดต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในลักษณะดังกล่าวคือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่ (PSU) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือสถาบันเอไอที (AIT) การติดต่อ อินเทอร์เน็ตของทั้งสองสถาบันเป็นการใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยความร่วมมือกับ ประเทศออสเตรเลีย ตามโครงการ IDP ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงเครือข่ายด้วยสายโทรศัพท์
  • 13.
    อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย  จนกระทั่งปี พ.ศ.2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ได้ยื่นขอที่อยู่ อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ตsritrang.psu.th ซึ่งเป็นที่อยู่ อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC (Thailand) จากัด ได้ขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ในกิจของบริษัท โดยได้รับที่อยู่เป็น dect.co.th มีคา “ th ” เป็นส่วนที่เรียกว่าโดเมน (Domain) เป็นส่วนแสดงโซนของเครือข่าย อินเทอร์เน็ต ในประเทศไทย โดยคา “ th ” เป็นรหัสย่อมาจากคาว่า Thailand
  • 14.
  • 15.
  • 16.
    ISP คืออะไร  ISPหรือ Internet Service Provider เป็นหน่วยงานที่ให้บริการเชื่อมต่อเข้ากับ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ทาหน้าที่เสมือนเป็นประตูเปิดการเชื่อมต่อให้บุคคล หรือองค์การสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้สาหรับในประเทศไทยมีหน่วยงานที่ให้บริการด้านนี้ อยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์(Commercial ISP) จานวน 18 ราย และ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสาหรับสถาบันการศึกษา การวิจัยและ หน่วยงานของรัฐ (non-commercial ISP) จานวน 6 ราย
  • 17.
  • 18.
  • 19.
  • 20.
    โปรโตคอล  การทางานต่าง ๆในอินเทอร์เน็ตจะสอดคล้องกันได้ก็ต้องมีกติกาที่ทุกเครื่อง ทุกโปรแกรม รับรู้ และทาตามแบบหรือมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งบนอินเทอร์เน็ตมีกติกาเหล่านี้มากมายสาหรับ แต่ละเครื่อง เรียกว่า “โปรโตคอล” (protocal)
  • 21.
    โปรโตคอล” (protocal) ที่สำคัญ TCP/IPกับ IP address  เป็นกติกาหลักในการรับส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อมูลทุกรูปแบบไม่ว่าจากโปรแกรมใดก็ต้อง แปลงให้อยู่ในมาตรฐานของ TCP/IP เสียก่อนจึงจะรับส่งได้กติกานี้กาหนดวิธี ขั้นตอนใน การรับส่งข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้องอย่างรัดกุม 202.56.159.90
  • 22.
  • 23.
    โปรโตคอล” (protocal) ที่สำคัญ DNSและ DNS Server  ระบบการแปลงชื่อที่เรียกว่า Domain Name System (DNS) เข้ามาช่วย โดย แต่ละ ISP ก็ต้องมีคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งคอยเก็บข้อมูลว่าเครื่องชื่อนั้นๆ มี IP address อะไร เราเรียกเครื่องที่ทาหน้าที่นี้ว่า DNS server
  • 25.
    โปรโตคอล” (protocal) ที่สำคัญ WEBหรือ WWW หรือ World Wide Web  เป็นบริการพื้นฐานที่ใช้กันมากที่สุด โดยเรียกดูข้อความและภาพประกอบเป็นหน้า ๆ ไป เหมือน การอ่านหนังสือพิมพ์หรือวารสาร แต่เป็นข้อมูลสดที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามการทางาน ของโปรแกรมว่าจะไปดึงอะไรมาแสดง และยังอาจมีภาพเคลื่อนไหวหรือเสียงได้ด้วย นอกจากนี้ เว็บยังเป็นต้นทางของบริการอื่น ๆที่จะตามมา คือ ก่อนจะเข้าไปใช้บริการใด ๆ ผู้ใช้มักจะต้องเข้า มาที่เว็บไซต์ของบริการนั้น อ่านข้อมูลเบื้องต้นวิธีใช้งาน จากนั้นค่อยลงทะเบียน สมัครสมาชิก หรืออื่น ๆ ต่อไป
  • 27.
    โปรโตคอล” (protocal) ที่สำคัญ WebSite  สาหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการเว็บ หมายถึงเราสามารถเรียกดูเว็บจากเครื่องนั้นได้จะ เรียกว่าเป็น “เว็บเซิร์ฟเวอร์” (web server) และข้อมูลทั้งหมดที่จัดให้เรียกดูเป็นเว็บได้ จะเรียกว่า “เว็บไซท์” (web site) หรือแหล่งข้อมูลเว็บ ส่วนแต่ละหน้าที่เปิดเข้าไปดูได้จะ เรียกว่า “เว็บเพจ” (web page) ซึ่งหน้าที่หลักของเว็บไซท์นั้นๆ หรือหน้าแรกที่จะเห็น เมื่อเรียกเข้าไปที่เว็บไซท์นั้นครั้งแรกโดยไม่ระบุว่าจะดูหน้าใด จะเรียก “โฮมเพจ” (home page) ซึ่งจะมีลิงค์ไปยังหน้าอื่น ๆ ในไซท์นั้นอีกทีหนึ่ง
  • 29.
    โปรโตคอล” (protocal) ที่สำคัญ HTTPโปรโตคอลของเว็บ  โปรโตคอลหรือกติกาที่ใช้เรียกดูข้อมูลจากเว็บจะเรียกว่า HTTP (Hyper Text Transfer Protocol) ซึ่งเรียกใช้ได้โดยระบุ http:// ในช่องที่กรอกชื่อเว็บของ บราวเซอร์ นาหน้าชื่อเครื่องที่จะเรียกดูข้อมูล เช่น http:///www.mcc.ac.th แต่ปกติ หากไม่ใส่หรือไม่ระบุเป็นอย่างอื่น บราวเซอร์ก็จะคิดแทนให้ว่าเป็น http:// อยู่แล้ว ส่วนบาง กรณีเช่นการรับส่งไฟล์อาจใช้ ftp:// (ftp = File Transfer Protocol) แทน เพราะเป็นการสั่งให้อีกเครื่องหนึ่งส่งไฟล์มาโดยตรง
  • 30.
    โปรโตคอล” (protocal) ที่สำคัญ HTML: ภาษาของเว็บ  ภาษาที่ใช้ในการจัดหน้าเว็บเพจเรียกว่า HTML (Hyper Text Markup Language) ซึ่งเป็นที่มาของส่วนขยาย .htm หรือ .html ท้ายไฟล์เว็บเพจปัจจุบัน ผู้ใช้จะไม่ได้เขียนคาสั่งHTML แต่ใช้โปรแกรมออกแบบเว็บช่วย เช่น Dreamweaver ของ Macromedia (ปัจจุบันถูกซื้อกิจการโดย Adobe ไป แล้ว), Frontgage ของ Microsoft, GoLive! ของ Adobe เป็นต้น ซึ่งจะได้ หน้าเว็บเป็นคาสั่ง HTML ออกมาเลย แต่หากยังไม่ถูกใจก็อาจต้องเข้าไปปรับแก้เองบ้างเท่าที จาเป็น
  • 32.
    โปรโตคอล” (protocal) ที่สำคัญ URL =โปรโตคอล + ชื่อโดเมน + ชื่อไฟล์ในเครื่อง เมื่อรู้จักเว็บไซท์และโปรโตคอลแล้ว การจะให้บราวเซอร์ไปเรียกดูเว็บเพจจากที่ ใด ก็ต้องระบุ 3 อย่างคือ โปรโตคอล ชื่อโดเมนของเครื่อง (ส่วนนี้อาจใส่ IP address แทนได้) และชื่อไฟล์เว็บเพจ (.htm หรือ .html) หรือไฟล์ อื่น ๆ เช่น ไฟล์รูปภาพแบบ JPEG (.jpg หรือ .jpeg) ในเครื่องนั้น ๆ (ซึ่งรวมถึงชื่อดิสก์ไดรว์ ชื่อโฟลเดอร์หรือไดเร็คทรอรีที่ไฟล์ของเอกสารเว็บนั้น อยู่ด้วย) ซึ่งชื่อทั้งหมดนี้รวมกันจะถูกกาหนดให้มีรูปแบบเดียว เรียกว่า Uniform Resource Locator หรือ URL ดังนั้นแต่ละเว็บเพจ ในโลกนี้ก็จะต้องมี URL ของตัวเองที่ไม่ซ้ากัน สาหรับให้ผู้ใช้กรอกเข้าไปว่า จะเรียกดูเว็บเพจจากไหน หรือคลิกลิงค์แล้วจะไปเรียกเว็บเพจจากไหนมาแทน
  • 33.
  • 34.
    โปรโตคอล” (protocal) ที่สำคัญเวลาของการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต แบบประสานเวลา (synchronous)เป็นการใช้งานที่ผู้ใช้สามารถติดต่อถึง กันได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน โดยผู้ใช้แต่ละฝ่ายจะนั่งทางานอยู่หน้าจอ คอมพิวเตอร์ดังเช่น การสนทนาในเครือข่าย (Internet Relay Chat) แบบไม่ประสานเวลา (asynchronous) หรือแบบต่างเวลา เป็นการรับส่ง ข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่จาเป็นต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกันในเวลาเดียวกัน แต่ สามารถส่งข่าวสารข้อมูลไปเก็บไว้ในเครื่องบริการก่อนได้ เพื่อที่ผู้รับจะเรียกดู ข้อมูลนั้นได้ภายหลัง เช่น บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มข่าว การถ่ายโอน ไฟล์ หรือการค้นดูเว็บเพจต่าง ๆ เป็นต้น
  • 35.
  • 36.
  • 37.
  • 38.
  • 39.
  • 40.
  • 41.
  • 42.
  • 43.
  • 44.
  • 45.
  • 46.
  • 47.
  • 48.
    บริการค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต  Web Directory Search Engine  Crawler เรียกได้อย่างหนึ่งว่า “ Spider ” , “ Robot ” หรือ “ Worm ” เป็นกลไกที่สร้าง ขึ้นให้เป็นตัวแทน (Agent) เพื่อท่องไปตามเว็บไซต์ต่างๆ แล้วรวบรวมข้อมูลที่อยู่ในเว็บไซต์นั้น  Indexer หลังจากที่ Crawler รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์มาให้แล้ว Indexer จะทาหน้าที่ในการจัด หมวดหมู่ให้กับข้อมูลเหล่านั้น และจัดเก็บลงในฐานข้อมูล  Query Process เป็นส่วนการทางานที่ซับซ้อนที่สุดของ Search Engine เนื่องจากต้อง ค้นหาข้อมูลใน Indexer และนาคาค้นหรือปัจจัยต่าง ๆ มาเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจว่าจะแสดงผลลัพธ์ ใดบ้าง  Portal Site มีลิงค์ต่าง ๆ มากมายให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงไปยังบริการที่ผู้ใช้สนใจ
  • 49.
    เทคนิคในกำรใช้คำค้น (keyword)ควรใช้คาที่หลากหลาย เช่น หากต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับชาจีนไม่ควรใช้เพียง คาว่า “tea” เพียงคาเดียว แต่ควรใช้คาว่า “ Chinese Tea ” จะได้ ผลลัพธ์ที่ตรงต่อความต้องการมากกว่า ควรใช้เครื่องหมายคาพูด (“ ”) ในการรวมคา เมื่อต้องการค้นหาคาที่เป็น ประโยค หรือกลุ่มของคาที่มีการเว้นช่องว่าง เช่น ชื่อ และนามสกุล สามารถทาได้ โดยใช้เครื่องหมายคาพูดปิดคาที่ต้องการรวม ไม่ควรใช้คาทั่วไปเป็นคาค้น คาทั่วไปได้แก่ คาเชื่อม คานาหน้านาม คาวิเศษณ์ เช่น if, on, about, the, be เป็นต้น แต่หากต้องการใช้คานี้ให้เขียนอยู่ ในเครื่องหมายคาพูด
  • 50.
    เทคนิคในกำรใช้คำค้น (keyword)ใช้เครื่องหมายบวก ( +) นาหน้าคาค้นที่ต้องการให้ผลลัพธ์ที่ได้ตรงกับคานั้น เช่น หากต้องการค้นหาคาว่า “ แอปเปิ้ล ” ที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถใช้ คาค้นได้ว่า “แอปเปิ้ล+คอมพิวเตอร์” เป็นต้น ใช้เครื่องหมายลบ ( - ) นาหน้าคาค้นที่ไม่ต้องการให้แสดงผลลัพธ์ตามคาค้นนั้น เช่น หากต้องการค้นหาคาว่า “ แอปเปิ้ล ” ที่ไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถใช้ คาค้นได้ว่า “แอปเปิ้ล-คอมพิวเตอร์” เป็นต้น ใช้เครื่องหมายดอกจันทร์ ( * ) แทนกลุ่มคาหรือประโยคที่ผู้ใช้ไม่แน่ใจว่าจะใช้ คาใด หรือไม่แน่ใจว่าสะกดคานั้นอย่างไร โดยเขียนให้อยู่ในเครื่องหมาย (“ ”) เช่น “กระทรวง*” เป็นต้น Search Engine จะค้นหาคาว่า “กระทรวง” โดยที่กลุ่มข้างหลังจะเป็นคาว่าอะไรก็ได้
  • 51.
  • 52.
    ข้อดีของอินเทอร์เน็ต  สนทนากับผู้อื่นที่อยู่ห่างไกลได้ทั้งในลักษณะข้อความ ภาพและเสียง  ให้เสรีภาพในการสื่อสารในทุกรูปแบบแก่บุคคลทุกคน  ค้นคว้าข้อมูลในลักษณะต่าง ๆ เช่น งานวิจัย บทความในหนังสือพิมพ์ ความก้าวหน้าทาง การแพทย์เป็นต้น ได้จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก เช่น ห้องสมุด สถาบันการศึกษา และ สถาบันวิจัย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาในการเดินทางและสามารถสืบค้นได้ ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
  • 53.
    ข้อดีของอินเทอร์เน็ต ติดตามความเคลื่อนไหวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการรายงาน ของสานักข่าวที่มีเว็บไซต์ทั้งในลักษณะสถานีวิทยุและสถานีวิทยุโทรทัศน์รวมถึง พยากรณ์อากาศของเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกล่วงหน้าด้วย รับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเงินค่าไปรษณี ยากร ถึงแม้จะเป็นการส่งข้อความไปต่างประเทศก็ไม่ต้องเสียเงินนอกจากจะส่ง ข้อความตัวอักษรแบบจดหมายธรรมดาแล้ว ยังสามารถส่งไฟล์ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงพร้อมกันไปด้วย ร่วมกลุ่มอภิปรายหรือกลุ่มข่าวเพื่อเเสดงความคิดเห็นกับผู้อื่นที่สนใจในเรื่อง เดียวกัน เป็นการขยายวิสัยทัศน์ในเรื่องที่สนใจนั้น ๆ
  • 54.
    ข้อดีของอินเทอร์เน็ต  อ่านบทความเรื่องราวที่ลงในนิตยสารหรือวารสารต่าง ๆได้ฟรีโดยมีทั้งข้อความและ ภาพประกอบด้วย  ถ่ายโอนไฟล์ข้อความ ภาพ และเสียงจากที่อื่น ๆ รวมถึงและถ่ายโอนโปรแกรมต่าง ๆ ได้จาก เว็บไซต์ที่ยอมให้ผู้ใช้บรรจุลงในโปรแกรมได้โดยไม่คิดมูลค่า  ตรวจดูสินค้าและสั่งซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปซื้อเอง  แข่งขันเกมกับผู้อื่นได้ทั่วโลก  ติดประกาศข้อความที่ต้องการให้ผู้อื่นทราบได้อย่างทั่วถึง
  • 55.
    ข้อจากัดของอินเทอร์เน็ต  ทุกคนสามารถสร้างเว็บไซต์หรือติดประกาศข้อความได้ทุกเรื่อง บางครั้งข้อความนั้นอาจจะเป็น ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับการรับรองเช่น ข้อมูลด้านการแพทย์หรือผลการทดลองต่าง ๆ จึง เป็นวิจารณญาณของผู้อ่านที่จะต้องไตร่ตรองข้อความที่อ่านนั้นด้วยว่าควรจะเชื่อถือได้หรือไม่  อินเทอร์เน็ตมีโปรแกรมและเครื่องมือในการทางานมากมายหลายอย่าง เช่นการใช้ เทลเน็ตเพื่อ การติดต่อระยะไกล หรือการใช้โปรแกรม Microsoft’s NetMeeting ในการสนทนา สดหรือประชุมทางไกล ฯลฯ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องศึกษาการใช้งานเสียก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
  • 56.
    ข้อจากัดของอินเทอร์เน็ต  นักเรียนและเยาวชนอาจติดต่อเข้าโปรแกรมในเว็บไซต์ที่ไม่เป็นประโยชน์ หรืออาจยั่วยุอารมณ์ ทาให้เป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคม  มีการเล่นเกมบนอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย อันอาจทาให้เด็กหมกมุ่นในการเล่นจนเสียเวลา ในการเรียนได้
  • 57.