More Related Content
Similar to ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิริน
Similar to ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิริน (20)
ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิริน
- 2. แนวพระราชดาริ
พ.ศ. 2545 หน่วยปฎิบัตการวิจัยร่วมทางธรรมชาติวิทยาป่าพรุ และ
ิ
ป่าดิบชื้นฮาลา-บาลา ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ศูนย์พันธุวิศวกรรมและ
เทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์
พืช ค้นคว้าวิจัยและสารวจเพื่อนาองค์ความรู้ไปขยายผลดาเนินการวิจัยต่อ
เป็นการส่งเสริมงานวิจัยด้านชีวทรัพยากรธรรมชาติที่จาเป็นแก่การรักษาและ
ใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนในพื้นที่ที่สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยและทรงงานวิจัยป่าพรุด้วย
พระองค์เอง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อ "ศุนย์วิจัยและ
ศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิริธร" พ.ศ. 2534
- 4. วัตถุประสงค์โครงการ
1. เพื่อศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย และสารวจหาข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับ
ป่าพรุมาใช้ในการ อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าพรุ
2. เพื่ออนุรักษ์ป่าพรุสมบูรณ์ตามธรรมชาติให้คงอยู่ตลอดไป และฟื้นฟูสภาพ
ป่าพรุเสื่อมโทรมให้กลับคืนสู่สภาพป่าที่สมบูรณ์ดังเดิม
- 8. ผลการดาเนินงานและกิจกรรมโครงการ
ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร ภายใต้โครงการ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดาริ
จังหวัดนราธิวาส ซึ่งรับผิดชอบงานทางด้านป่าไม้ ครอบคลุมพื้นที่
ป่าพรุโต๊ะแดง ทั้งหมด 125,625 ไร่ได้ดาเนินการตั้งปี 2533 โดย
กรมป่าไม้ ได้พิจารณาคัดเลือกพื้นที่พรุที่จะดาเนินการจัดตั้ง
สานักงานบริเวณคลองโต๊ะแดง ท้องที่บ้านโต๊ะแดง ตาบลปูโย๊ ะ
อาเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
- 9. ให้เป็นสถานที่สาหรับศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ และความ
เพลิดเพลิน ในความหลากหลายของทรัพยากรป่าพรุธรรมชาติของ
ประชาชนทั่วไป โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิ
รินธร และในปี 2534 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณา
คัดเลือก ให้ศูนย์แห่งนี้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสที่ทรงเจริญ
พระชนมมายุ 36 พรรษา และต่อมาในปี 2535 ศูนย์ฯ แห่งนี้ได้รับ
พระราชทานพระราชานุญาตใช้ชื่อว่า “ศูนย์วิจัยและศึกษา
ธรรมชาติป่าพรุสิรินธร
- 10. ความสาเร็จของโครงการ
ป่าพรุสิรินธรเป็นส่วนหนึ่งของป่าพรุโต๊ะแดง ป่าพรุ
แห่งสุดท้ายของประเทศไทย ซึ่งคลุมพื้นที่ของ 3 อาเภอ
คือ อาเภอตากใบ อาเภอสุไหงโกลก และอาเภอสุไหงปาดี
มีพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่ แต่ส่วนที่สมบูรณ์
โดยประมาณมีเพียง 50,000 ไร่ เป็นป่าที่ยังคงความอุดม
สมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่าและ พรรณไม้ พื้นที่ป่าพรุมีลาน้า
สาคัญหลายสายไหลผ่าน คือ
- 12. ศูนย์ฯ ได้จัดให้มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพื่อประชาสัมพันธ์
ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของป่าพรุ เริ่มที่บึงน้าด้านหลังอาคาร
ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นสะพานไม้ต่อลัดเลาะเข้าไปใน
ป่าพรุ ระยะทาง 1,200 เมตร บางช่วงเป็นสะพานไม้ร้อยลวดสลิง บางช่วง
เป็นหอสูงสาหรับมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่ชอุ่มไปด้วยไม้นานาพรรณในป่าพรุ
จะมีป้ายชื่อต้นไม้ที่น่าสนใจ และซุ้มความรู้อยู่เป็นจุดๆ สาหรับให้ความรู้แก่ผู้
เดินชมด้วย เปิดทุกวันเวลา 8.00-16.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม และยังมีห้องจัด
นิทรรศการให้ความรู้แก่คนที่มาเที่ยวชมอีกด้วย
- 13. ป่าพรุ หรือ peat swamp forest เกิดขึ้นได้อย่างไร คาตอบคือ เกิด
จากแอ่งน้าจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี และมีการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ
ก็คือซากพืช ซากต้นไม้ ใบไม้ จนย่อยสลายอย่างช้าๆ กลายเป็นดินพีท
(peat) หรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ามีความหนาแน่น
น้อยอุ้มน้าได้มาก และพบว่ามีการสะสมระหว่างดินพีท กับดินตะกอนทะเล
สลับชั้นกัน 2-3 ชั้น เนื่องจากน้าทะเลเคยมีระดับสูงขึ้นจนท่วมป่าพรุ เกิดการ
สะสมของตะกอน น้าทะเลถูกขังอยู่ด้านใน พันธุ์ไม้ในป่าพรุตายไปและเกิดป่า
ชายเลนขึ้นแทนที่ เมื่อระดับน้าทะเลลดลงและมีฝนตกลงมาสะสมน้าที่ขังอยู่
จึงจืดลง และเกิดป่าพรุขึ้นอีกครั้ง ดินพรุชั้นล่างมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วน
ดินพรุชั้นบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปี
- 14. ระบบนิเวศน์ในป่าพรุนั้นมีหลากหลาย ทุกชีวิตล้วน
เกี่ยวพันต่อเนื่องกัน ไม้ยืนต้นจะมีระบบรากแขนงแข็งแรง
แผ่ออกไปเกาะเกี่ยวกันเพื่อจะได้ช่วยพยุงลาต้นของกัน
และกันให้ทรงตัวอยู่ได้ ฉะนั้นต้นไม้ในป่าพรุจึงอยู่รวมกัน
เป็นกลุ่ม หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย
- 15. พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุมีกว่า 400 ชนิด บางอย่างนามารับประทาน
ได้ เช่น หลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม มีลักษณะต้นและใบ
คล้ายปาล์ม แต่มีหนามแหลมอยู่ตลอดก้าน ผลมีลักษณะคล้าย
ระกา แต่จะเล็กกว่า รสชาติออกเปรี้ยว ชาวบ้านนามาดองและส่ง
ขายฝั่งมาเลเซีย ซึ่งคนมาเลย์จะนิยมมาก ฤดูเก็บจะอยู่ในช่วง
เดือน พฤศจิกายน-มีนาคม ถ้าเป็นช่วงอื่นจะหายากและราคาสูง
บางอย่างเป็นพืชพรรณในเขตมาเลเซีย เช่น หมากแดง ซึ่งมีลาต้น
สีแดง เป็นปาล์มชั้นดีมีราคา มีผู้นิยมนาไปเพาะเพื่อประดับสวน
เพราะความสวยของกาบและใบ ลาต้นมีสีแดงดังชื่อ ยังมีพืชอีก
หลายชนิดที่น่าสนใจ
- 16. ปาหนันช้าง พืชในวงศ์กระดังงาที่มีดอกใหญ่และกล้วยไม้กับ
พืชเล็กๆ ซึ่งจะต้องสังเกตดีๆ จึงจะได้เห็นสัตว์ป่าที่พบกว่า
200 ชนิด เช่น ค่าง ชะมด หมูป่า หมีขอ แมวป่าหัวแบน(ซึ่งเป็น
สัตว์คุ้มครองที่หายากอีกชนิดหนึ่งของไทย) หนูสิงคโปร์ พบ
ค่อนข้างยากในคาบสมุทรมลายูแต่ชุกชุมมากบนเกาะสิงคโปร์
สาหรับประเทศไทยพบชุกชุมในป่าพรุโต๊ะแดงนี้เท่านั้น และหาก
ป่าพรุถูกทาลายหนูเหล่านี้อาจออกไปทาลายผลิตผลของเกษตรกร
ในพื้นที่โดยรอบได้
- 17. พันธุ์ปลาที่พบ ได้แก่ ปลาปากยื่น เป็นปลาชนิดใหม่ของโลก
พบที่ป่าพรุสิรินธรนี้เท่านั้น ปลาดุกราพัน ที่มีรูปร่างคล้ายงูซึ่งอาจ
พัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้าเปรี้ยวได้
ปลากะแมะ รูปร่างประหลาดมีหัวแบนๆกว้างๆ และลาตัวค่อยๆ
ยาวเรียวไปจนถึงหาง มีเงี่ยงพิษอยู่ที่ครีบหลัง ปลาเหล่านี้จะอาศัย
ป่าพรุเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ก่อนที่จะแพร่ลูกหลานออกไปให้
ชาวบ้านได้อาศัยเป็นเครื่องยังชีพ
- 18. นกที่นี่มีหลายชนิด แต่ที่เด่นๆ ได้แก่ นกกางเขนดงหางแดง มี
มากในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และมาเลเซีย ในประเทศไทย
พบครั้งแรกที่นี่เมื่อปีพ.ศ. 2530 นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งใน
ประเทศไทยจะพบที่ป่าพรุสิรินธรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และ
ปัจจุบนนกทังสองชนิดอยูในภาวะล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์
ั ้ ่
- 19. ความน่าสนใจของป่าพรุไม่ใช่เพียงแต่ พรรณไม้แปลกๆ สัตว์
ป่าหายาก แต่คนที่ไปเที่ยวโดยเฉพาะเด็กๆจะได้ประสบการณ์ชีวิต
กลับไปมากมาย จากธรรมชาติรอบตัวบางทีหากเดินชมธรรมชาติ
เงียบๆอาจจะได้พบสัตว์ป่ากาลังหาอาหารอยู่ก็เป็นได้ เส้นทางนี้
นาเราเข้าไปหาธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแต่ก็ไม่ได้นาเราเข้าไป
ล่วงเกินธรรมชาติมากนัก
- 20. หากนาคู่มือดูนก สมุดบันทึก ดินสอสี กล้องส่องตา กล้อง
ถ่ายรูป และยาทากันยุงไปด้วย อาจจะเพลิดเพลินจนใช้เวลาในนี้
ได้ทั้งวัน อากาศสดชื่นเย็นสบายในป่าพรุก็ยังทาให้คนที่เข้าไป
เยือนรู้สึกสดชื่นประทับใจ แต่ช่วงเวลาที่มาท่องเที่ยวได้สะดวกคือ
กุมภาพันธ์-เมษายน เพราะฝนจะตกน้อยที่สุด เนื่องจากป่าพรุมี
ภูมิอากาศแบบคาบสมุทร ฉะนั้นจึงมีฝนตกชุกตลอดปี