More Related Content
Similar to Q i oy8tk7b44g42yqc3fc1bgzwymwa0cvk9y6ayygrgk7ldrc8ytffsc8ewmknlvx
Similar to Q i oy8tk7b44g42yqc3fc1bgzwymwa0cvk9y6ayygrgk7ldrc8ytffsc8ewmknlvx (20)
Q i oy8tk7b44g42yqc3fc1bgzwymwa0cvk9y6ayygrgk7ldrc8ytffsc8ewmknlvx
- 1. 9
สารและสมบัติของสาร
บทที่ 1 สารชีวโมเลกุล
คือ สารที่มี C และธาตุ H เปนองคประกอบ มีขนาดใหญและพบในสิ่งมีชีวิตเทานั้น มี 4 ประเภท ไดแก
1. ไขมัน และนํ้ามัน ประกอบดวยธาตุ C H O มีหนาที่ดังนี้
ปองกันการสูญเสียนํ้า ชวยทําใหผิวชุมชื้น ปองกันการสูญเสียความรอน ชวยทําใหรางกายอบอุน ชวยใหผมและเล็บมี
สุขภาพดี ชวยละลายวิตามิน A D E K (ไขมัน 1 กรัม ใหพลังงาน 9 กิโลแคลอรี )
ไขมัน เปนสารไตรกลีเซอไรด ซึ่งเกิดจากกรดไขมัน 3 โมเลกุล กับ กลีเซอรอล 1 โมเลกุล
กรดไขมันไมอิ่มตัว + กาซออกซิเจน ทําใหเกิดกลิ่นเหม็นหืน
แสดงวา นํ้ามันพืช จะเกิดกลิ่นเหม็นหืนไดงาย แตในธรรมชาติจะมีวิตามินE ซึ่งเปนสารตานหืน
การผลิตสบู จากปฏิกิริยาสะปอนนิฟเคชัน ไดจาก การตมไขมันกับเบส (โซเดียมไฮดรอกไซด / NaOH)
2. โปรตีน ( C H O N ) มีหนาที่ ชวยเสริมสรางการเจริญเติบโตและซอมแซมเนื้อเยื่อ ชวยรักษาสมดุลนํ้าและกรด-เบส เปน
สวนประกอบของเอนไซม ฮอรโมน เลือด และภูมิคุมกัน (1 กรัม ใหพลังงาน 4 KCal)
หนวยยอย คือ กรดอะมิโน มีทั้งหมด 20 ชนิด แบงเปน
• กรดอะมิโนที่จําเปน มี 8 ชนิด ซึ่งรางกายสรางไมได ตองกินจากอาหารเขาไป
• กรดอะมิโนที่ไมจําเปน มี 12 ชนิด ซึ่งรางกายสามารถสังเคราะหไดเอง
การแปลงสภาพโปรตีน คือ การที่ทําใหโครงสรางของโปรตีนถูกทําลาย เชน แข็งตัว
เมื่อไดรับความรอน เมื่อไดรับสารละลายกรด-เบส เมื่อไดรับไอออนของโลหะหนัก
คุณคาทางชีววิทยา หมายถึง คุณภาพของโปรตีนที่นํามาสรางเปนเนื้อเยื่อได(ไข 100%)
3. คารโบไฮเดรต ( C H O ) มีหนาที่ดังนี้
- เปนแหลงพลังงานหลักของคน (1 กรัมใหพลังงาน 4 กิโลแคลอรี) แบง 3 ประเภท ดังนี้
3.1 มอโนแซ็กคาไรด ( นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว ) แบงเปน
• นํ้าตาลที่มีสูตรเปน C5
H10
O5
เรียกวา ไรโบส
• นํ้าตาลที่มีสูตรเปน C6
H12
O6
เชน กลูโคส ฟรุกโตส ( ฟรักโตส ) กาแลกโทส
3.2 ไดแซ็กคาไรด ( นํ้าตาลโมเลกุลคู )
• กลูโคส + กลูโคส = มอลโทส พบในขาว เมล็ดพืช ใชในการทําเบียร อาหารทารก
• กลูโคส + ฟรุกโตส = ซูโครส หรือ นํ้าตาลทราย พบมากในออย
• กลูโคส + กาแลกโทส = แลกโทส พบมากในนํ้านม
3.3 พอลิแซ็กคาไรด (นํ้าตาลโมเลกุลใหญ )
• แปง เกิดจาก กลูโคสหลายพันโมเลกุลมาตอกัน แบบสายยาวและแบบกิ่ง พบมากในพืช
- รางกายคนยอยสลายไดดวยเอนไซมที่มีในนํ้าลาย (อะไมเลส)
• เซลลูโลส เกิดจาก กลูโคสประมาณ 50,000 โมเลกุล ตอกันแบบสายยาว เปนเสนใยพืช
- รางกายคนยอยสลายไมได ชวยกระตุนใหลําไสใหญเคลื่อนไหว ทําใหอุจจาระออนนุม
• ไกลโคเจน เกิดจาก กลูโคสเปนแสนถึงลานโมเลกุลมาตอกันแบบกิ่ง พบในคนและสัตว ที่ตับและกลามเนื้อ เปนแหลง
พลังงานสํารอง โดยจะสลายกลับคืนเปนกลูโคส เมื่อรางกายขาดแคลนพลังงาน
เตรียมสอบวิทยาศาสตร (O-NET)
อ.กรกฤช ศรีวิชัย
กรดไขมัน อิ่มตัว ไมอิ่มตัว
จํานวนอะตอมไฮโดรเจน มาก นอย
จุดหลอมเหลว สูงกวา 25 ๐
C ตํ่ากวา 25 ๐
C
สถานะ ของแข็ง ของเหลว
แหลงที่พบมาก ไขมันสัตว นํ้ามันพืช
พันธะระหวางคารบอน เดี่ยว คู
ความวองไวตอปฏิกิริยา นอย มาก
- 2. 4
1. แผนภาพแสดงความสัมพันธระหวาง ก และ ข อาจเปนสารใดตามลําดับ
1. CO2
, H2
O 2. CO2
, O2
3. O2
, CO2
4. H2
O , O2
2. จากสายใยอาหารขางลางนี้ ข และ ง เปนสิ่งมีชีวิตในกลุมใด ตามลําดับ
แสง
1. ผูผลิตและผูบริโภคสัตว 2. ผูบริโภคทั้งพืชและสัตว และผูยอยสลายสารอินทรีย
3. ผูบริโภคพืชและผูบริโภคสัตว 4. ผูบริโภคทั้งพืชและสัตว และผูบริโภคสัตว
3. ถาตองการลดการทําลายโอโซนในบรรยากาศ เราควรปฏิบัติอยางไร
1. ลดการตัดไมทําลายปา 2. ลดการใชสาร CFC
3. ลดการใชนํ้ามัน 4. ลดการใชเชื้อเพลิงฟอสซิล
4. ปรากฏการณใดตอไปนี้จะเกิดกับเซลลพืชที่แชในสารละลายไฮโพโทนิก
1. เซลลแตง 2. เซลลแตก 3. เซลลเหี่ยว 4. เซลลเหมือนเดิม
5. การหลั่งเพปซิโนเจนออกจากเซลลผนังกระเพาะอาหารอาศัยกระบวนการใด
1. กระบวนการออสโมซิส 2. กระบวนการเอกโซไซโทซิส
3. การลําเลียงแบบฟาซิลิเทต 4. การลําเลียงแบบใชพลังงาน
6. สารพันธุกรรมเปนสารประเภทใด
1. คารโบไฮเดรต 2. โปรตีน 3. ลิพิด 4. กรดนิวคลีอิก
7. สิ่งมีชีวิตในขอใดจัดเปนจีเอ็มโอ (GMO)
1. เซลลแบคทีเรียมียีนอินซูลินของคน 2. ตนเปลานอยที่ไดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
3. พุทธรักษาพันธุกลายที่เกิดจากการฉายรังสีแกมมา 4. แตงโมที่เมล็ดลีบ
8. ลักษณะตาบอดสีพบในเพศชายมากกวาเพศหญิง เพราะเหตุใด
1. ลักษณะตาบอดสีเกิดจากยีนดอยบนโครโมโซม X และเพศชายมีโครโมโซม X เพียง 1 โครโมโซม
2. ลักษณะตาบอดสีเกิดจากยีนเดนบนโครโมโซม X และเพศชายมีโครโมโซม X เพียง 1 โครโมโซม
3. ลักษณะตาบอดสีเกิดจากยีนดอยบนโครโมโซม Y และแสดงออกเมื่อมีฮอรโมนเพศชาย
4. ลักษณะตาบอดสีเกิดจากยีนเดนบนโครโมโซม Y และแสดงออกเมื่อมีฮอรโมนเพศชาย
9. การสรางเซลลสืบพันธุของคน เกิดจากการแบงเซลลแบบใด
1. ไมโตซิสที่มีการลดจํานวนโครโมโซม 2. ไมโตซิสที่ไมมีการลดจํานวนโครโมโซม
3. ไมโอซิสที่มีการลดจํานวนโครโมโซม 4. ไมโอซิสที่ไมมีการลดจํานวนโครโมโซม
แบบทดสอบวิทยาศาสตร (O-NET)
จํานวน 45 ขŒอ เวลา 30 นาที
ก ค ง
ข
อ.กรกฤช ศรีวิชััย
กระบวนการสังเคราะหดวยแสง กระบวนการหายใจ
ก
ข
- 3. 5
10. ชายคนหนึ่งมีลักษณะนิ้วเกินแตงงานกับหญิงที่มีนิ้วปกติ มีบุตรชาย 1 คน ที่มีจํานวนนิ้วปกติ และบุตรสาว 1 คนที่มีลักษณะนิ้ว
เกิน บุตรชายแตงงานกับหญิงที่มีจํานวนนิ้วปกติและมีบุตรชาย 2 คนที่มีจํานวนนิ้วปกติ ขอใดคือเพดดิกรีของครอบครัวนี้
1. 2.
3. 4.
11. สามีภรรยาคูหนึ่งเปนพาหะของธาลัสซีเมียที่เหมือนกัน โอกาสที่ลูกคนแรกจะเปนธาลัสซีเมียมีเทาใด
1. 1 2. 1 3. 1 4. 3
2 3 4 4
12. พอมีเลือดหมู O แมมีเลือดหมู AB ลูกของพอแมคูนี้หมูเลือดใดไดบาง
1. หมู A หรือหมู AB 2. หมู B หรือหมู AB
3. หมู A หรือหมู B 4. หมู O หรือหมู AB
13. หลังจากออกกําลังกายกลางแดดนานๆ รางกายมีกลไกในการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิอยางไร
1. ลดอัตราเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยายตัว 2. ลดอัตราเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว
3. เพิ่มอัตราเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยายตัว 4. เพิ่มอัตราเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว
14. สารใดที่ไมพบในปสสาวะของคนปกติ
1. โปรตีน 2. ยูเรีย 3. ยูริก 4. เกลือโซเดียม
15. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับปลาทะเล
1. ปสสาวะมากแตเจือจาง 2. ปสสาวะมากแตเขมขน
3. ปสสาวะนอยแตเจือจาง 4. ปสสาวะนอยแตเขมขน
16. วัคซีนที่ใชหยอดปองกันโรคโปลิโอในเด็ก เปนสารใด
1. แอนติบอดี 2. แอนติเจน 3. เอนไซม 4. แอนติไบโอติก
17. ขอความใดตอไปนี้ ถูกตองมากที่สุด
1. มิวเทชันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไมได
2. มิวเทชันทําใหไดลักษณะที่ไมพึ่งประสงคเทานั้น
3. สารอะฟลาทอกซินจากเชื้อราทําใหอัตราการเกิดมิวเทชันสูงขึ้น
4. การแปรผันทางพันธุกรรมเกิดจากมิวเทชันเทานั้น
18. รถยนตคันหนึ่งวิ่งดวยอัตราเร็วคงตัว 20 เมตรตอวินาที นานเทาใดจึงจะเคลื่อนที่ไดระยะทาง 500 เมตร
1. 10 s 2. 15 s 3. 20 s 4. 25 s
19. โยนลูกบอลขึ้นไปในแนวดิ่งดวยความเร็วตน 4.9 เมตรตอวินาที นานเทาใดลูกบอลจึงจะเคลื่อนที่ไปถึงจุดสูงสุด
1. 0.5 s 2. 1.0 s 3. 1.5 s 4. 2.0 s
20. มะมวงลูกหนึ่งตกจากตนในแนวดิ่ง เมื่อเวลาผานไป 5 วินาที ลูกมะมวงจะมีความเร็วเปนกี่เมตรตอวินาที
1. 4.9 2. 9.8 3. 49 4. 98
- 4. 6
21. รถไตถังเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วสมํ่าเสมอและวิ่งครบรอบได 5 รอบในเวลา 2 วินาที หากคิดในแงความถี่ของการเคลื่อนที่ ความถี่
จะเปนเทาใด
1. 2.5 Hz 2. 0.5 Hz 3. 1.5 Hz 4. 0.4 Hz
22. เด็กคนหนึ่งออกกําลังกายดวยอัตราเร็ว 6 เมตรตอวินาที เปนเวลา 1 นาที วิ่งดวยอัตราเร็ว 5 เมตรตอวินาทีอีก 1 นาที แลว
เดินดวยอัตราเร็ว 1 เมตรตอวินาที อีก 1 นาที จงหาอัตราเร็วเฉลี่ยในชวง 3 นาทีนี้
1. 3.0 m/s 2. 3.5 m/s 3. 4.0 m/s 4. 4.5 m/s
23. รังสีในขอใดที่มีอํานาจในการทะลุลวงผานเนื้อสารไดนอยที่สุด
1. รังสีแอลฟา 2. รังสีบีตา 3. รังสีแกมมา 4. รังสีเอกซ
24. A, B และ C เปนแผนวัตถุ 3 ชนิดที่ทําใหเกิดประจุไฟฟาโดยการถู ซึ่งไดผลดังนี้
A และ B ผลักกัน สวน A และ C ดูดกัน ขอใดตอไปนี้ถูกตอง
1. A และ C มีประจุบวก แต B มีประจุลบ 2. A และ C มีประจุลบ แต A มีประจุบวก
3. A และ B มีประจุบวก แต C มีประจุลบ 4. A และ C มีประจุลบ แต B มีประจุบวก
25. ขอใดเปนการเรียงลําดับคลื่นแมเหล็กไฟฟาจากความยาวคลื่นนอยไปมากที่ถูกตอง
1. รังสีเอกซ อินฟราเรด ไมโครเวฟ 2. อินฟราเรด ไมโครเวฟ รังสีเอกซ
3. รีงสีเอกซ ไมโครเวฟ อินฟราเรด 4. ไมโครเวฟ อินฟราเรด รังสีเอกซ
26. คลื่นใดตอไปนี้ เปนคลื่นที่ตองอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่
ก. คลื่นแสง ข. คลื่นเสียง ค. คลื่นผิวนํ้า
คําตอบที่ถูกตองคือ
1. ทั้ง ก ข และ ค 2. ขอ ข และ ขอ ค
3. ขอ ก เทานั้น 4. ผิดทุกขอ
27. ชาวประมงสงคลื่นโซนารไปยังฝูงปลา พบวาชวงเวลาที่คลื่นออกไปจากเครื่องสงจนกลับมาถึงเครื่องเปน 1.0 วินาทีพอดี จงหา
วาปลาอยูหางจากเรือเทาใด (กําหนดใหความเร็วของคลื่นในนํ้าเปน 1,540 เมตรตอวินาที)
1. 260 m 2. 520 m 3. 770 m 4. 1,540 m
28. คารบอนเปนธาตุที่เปนสวนสําคัญของสิ่งมีชีวิต สัญลักษณนิวเคลียส 12
C แสดงวานิวเคลียสของคารบอนนี้มีอนุภาคตามขอใด
1. โปรตอน 12 ตัว นิวตรอน 6 ตัว 2. โปรตอน 6 ตัว อิเล็กตรอน 6 ตัว
3. โปรตอน 6 ตัว นิวตรอน 12 ตัว 4. โปรตอน 6 ตัว นิวตรอน 6 ตัว
29. ธาตุที่มีเลขอะตอมตอไปนี้ มีสิ่งใดเหมือนกัน
1 3 11 19 37
1. เปนอโลหะเหมือนกัน 2. มีจํานวนอนุภาคมูลฐานเทากัน
3. อยูในระดับพลังงานเดียวกัน 4. มีเวเลนซอิเล็กตรอนเทากัน
30. เมื่อนําชิ้นสังกะสีใสในสารละลายกรดไฮโดรคลอริก วิธีทําใหปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น โดยไมเพิ่มปริมาณสังกะสีและกรดตอไปนี้
ก. ใชแทงแกวคนใหทั่ว ข. ใชผงสังกะสีนํ้าหนักเทากันแทนชิ้นสังกะสี
ค. ใหความรอน ง. เติมนํ้ากลั่นลงไปเทาตัว
ขอใดถูก
1. ก ข และ ค เทานั้น 2. ข ก และ ง เทานั้น
3. ก ค และ ง เทานั้น 4. ก ข ค และ ง
6
- 5. 7
31. พิจารณาขอความตอไปนี้
ก. แกสโซฮอลเปนสารผสมระหวางเมทานอลและนํ้ามันเบนซิน
ข. กาซหุงตม หรือ LPG เปนกาซผสมระหวางโพรเพนและบิวเทน
ค. กาซธรรมชาติจัดเปนพลังงานสะอาดเพราะสามารถเกิดการเผาไหมไดสมบูรณ
ขอใดถูก
1. ก และ ข เทานั้น 2. ก และ ค เทานั้น
3. ข และ ค เทานั้น 4. ทั้ง ก ข และ ค
32. ขอใดเกิดปฏิกิริยาเคมี
ก. การผลิตสบู ข. การเหม็นหื่นของนํ้ามันเมื่อทิ้งไวนาน ๆ
ค. การผลิตนํ้าอัดลมและนํ้าโซดา ง. บมมะมวงดิบจนเปนมะมวงสุก
1. ก ข และ ค 2. ข ค และ ง
3. ก ข และ ง 4. ก ค และ ง
33. เมื่อทดลองแชขวดนํ้ามัน A และขวดนํ้ามัน B ในตูเย็น 1 คืน พบวา นํ้ามัน A แข็งตัว แตนํ้ามัน B ยังเปนของเหลว
พิจารณาขอสรุปตอไปนี้
ขอใดถูก
1. ก เทานั้น ข. ข และ ค เทานั้น
3. ก และ ค เทานั้น ง. ทั้ง ก ข และ ค
34. ไขขาว เนื้อ ไก และหอยนางรม ในขอตอไปนี้ ขอใดที่โปรตีนไมถูกทําลายหรือแปลงสภาพ
1. ไขขาวดิบที่คนไขกลืนเขาไปเพื่อขจัดยาพิษ
2. เนื้อที่แชไวในตูเย็นเพื่อแกงใสบาตร
3. ไกที่ทอดจนเหลือกรอบจะปลอดภัยจากไขหวัดนก
4. หอยนางรมบีบมะนาวเปนอาหารโปรดของมนัส
35.
ถานักเรียนตองดูแลคนไขที่มีระดับนํ้าตาลในเลือดสูงกวา 110 mg ตอ 100 cm3
ของเลือด และมีความดันสูง นักเรียนไมควร
ใหอาหารชนิดใดกับคนไข
1. A เทานั้น 2. C เทานั้น 3. A และ D 2. B และ C
36. ขอใดเปนพอลิเมอรธรรมชาติทั้งหมด
1. แปง เซลลูโลส พอลิสไตรีน 2. โปรตีน พอลิไอโซพรีน กรดนิวคลิอิก
3. ยางพารา พอลิเอทิลีน เทฟลอน 4. ไกลโคเจน ไขมัน ซิลิโคน
นํ้ามัน A นํ้ามัน B
ก มีจุดหลอมเหลวตํ่า มีจุดหลอมเหลวสูง
ข มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก มีกรดไขมันไมอิ่มตัวมาก
ค เหม็นหืนยาก เหม็นหืนงาย
ชนิดของ สารละลายไอโอดีน สารละลายเบเนดิกต สารละลาย NaOH
สารอาหาร ผสมกับ CuSO4
A สีนํ้าเงิน ตะกอนสีแดงอิฐ สีฟา
B สีนํ้าตาลอมเหลือง สีฟา สีมวง
C สีนํ้าเงิน สีฟา สีฟา
D สีนํ้าตาลอมเหลือง ตะกอนสีแดงอิฐ สีฟา
- 6. 8
37. ชั้น “ฐานธรณีภาค” อยูตรงสวนใดของโครงสรางโลก
1. ชั้นเปลือกโลก 2. ชั้นเนื้อโลก
3. รอยตอชั้นเปลือกโลกกับชั้นเนื้อโลก 4. รอยตอชั้นเนื้อโลกกับชั้นแกนโลก
38. เทือกเขาหิมาลัย เกิดจากปรากฏการณทางธรณีภาคแบบใด
1. การเกิดแผนดินไหว 2. การชนกันของแผนเปลือกโลก
3. การแยกตัวของแผนเปลือกโลก 4. การระเบิดของภูเขาไฟ
39. ประเทศไทยจะไดรับผลจากการแผนดินไหว อันเนื่องมาจากการกระทบกันของแผนธรณีภาคคูใดมากที่สุด
1. แผนยูเรเซียกับแผนแปซิฟก 3. แผนแปซิฟกกับแผนนาสกา
2. แผนยูเรเซียกับแผนอินเดีย 4. แผนแอนตารกติกากับแผนออสเตรเลีย-อินเดีย
40. ซากดึกดําบรรพสวนใหญจะพบอยูในหินชนิดใด
1. หินแปร 2. หินอัคนี
3. หินซิสต 4. หินตะกอน
41. ตามวิวัฒนาการของดวงอาทิตย ในชวงทายที่สุดจะเปนอะไร
1. ดาวแคระดํา 2. ดาวแคระขาว
3. หลุมดํา 4. ดาวนิวตรอน
42. ดาวฤกษในขอใด ที่มีอุณหภูมิของผิวดาวตกตํ่าที่สุด
1. มีแสงสีนํ้าเงิน 2. มีแสงสีเหลือง
3. มีแสงสีแดง 4. มีแสงสีสม
43. ดาวเคราะหใดตอไปนี้อยูใกลดวงอาทิตยมากกวาดวงอื่น
1. ดาวพฤหัสบดี 2. ดาวศุกร
3. ดาวเสาร 4. ดาวเนปจูน
44. ดาวศุกรเมื่อสวางนอยที่สุดมีความสวาง -3.5 ดาวซีรีอุสมีอันดับความสวาง -1.5 ดาวศุกรมีความสวางมากกวาดาวซีรีอุสกี่เทา
1. 2.5 2. 3.0
3. 6.25 4. 15.6
45. ดาวพฤหัสบดีมีองคประกอบหลักเปนอะไร
1. เหล็ก 2. ไฮโดรเจนและฮีเลียม
3. หิน 4. แอมโมเนีย
- 7. 10
4. กรดนิวคลีอิก ( C H O N P ) มีหนวยยอย เรียกวา นิวคลีโอไทด
DNA ประกอบดวย นิวคลีโอไทด มาเชื่อมตอกันเกิดเปนสายยาว 2 สายพัน กันเปนเกลียว โดยเกาะกันดวยคูไนโตรเจนเบสที่
เฉพาะเจาะจง คือ อะดีนีน (A) กับ ไทมีน (T) กวานีน (G) กับ ไซโตซีน (C)
บทที่ 2 ปโตรเลียม
เกิดจาก ซากพืชซากสัตวที่ตายทับถม แลวถูกยอยสลาย เกิดเปนสารประกอบไฮโดรคารบอน
2.1 นํ้ามันปโตรเลียม ประเทศไทยพบครั้งแรกที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม และตอมาพบที่ อ.ลานกระบือ จ.กําแพงเพชร
การกลั่นนํ้ามันปโตรเลียม เรียกวา การกลั่นลําดับสวน โดยใชความรอน 350-400 o
C จะไดผลิตภัณฑ เรียงตามลําดับจาก
จุดเดือดตํ่าไปสูง ดังนี้
มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน เบนซิน กาด ดีเซล หลอลื่น เตา ไข ยางมะตอย
2.2 กาซธรรมชาติ ประเทศไทยพบบริเวณอาวไทยและมีมากในเชิงพาณิชย และพบที่ อ.นํ้าพอง จ.ขอนแกน
สวนใหญเปนกาซมีเทน รอยละ 80-95
ปฏิกิริยาการเผาไหม คือ ปฏิกิริยาระหวางสารไฮโดรคารบอนกับกาซออกซิเจน แบงเปน
- การเผาไหมที่สมบูรณ เกิดเมื่อมีกาซ O2
มากเพียงพอ จะได CO2
และ H2
O ซึ่งจะไมมีเถาถาน และเขมา
- การเผาไหมไมสมบูรณ เกิดเมื่อมีกาซ O2
นอย จะได CO ซึ่งจะไปจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทําใหรางกายเกิด
การขาดออกซิเจน อาจเกิดอาการหนามืด เปนลมหรือเสียชีวิตได
2.3 เชื้อเพลิงในชีวิตประจําวัน
- กาซมีเทน(CH4
) ใชในการผลิตกระแสไฟฟา ใชในรถปรับอากาศเครื่องยนตยูโร-2
- กาซหุงตม ประกอบดวย กาซโพรเพน (C3
H8
) และกาซบิวเทน (C4
H10
) ที่ถูกอัดดวยความดันสูง จนมีสถานะเปนของเหลว
เรียกวา LPG (Liquid Petroleum Gas)
เลขออกเทน เปนตัวเลขบอกคุณภาพของนํ้ามันเบนซิน โดยกําหนดให
ไอโซออกเทน มีประสิทธิภาพการเผาไหมดี ทําใหเครื่องยนตเดินเรียบ มีเลขออกเทน100
นอรมอลเฮปเทน มีประสิทธิภาพการเผาไหมไมดี ทําใหเครื่องยนตกระตุก มีเลขออกเทน 0
- นํ้ามันดีเซล บอกคุณภาพโดยใชเลขซีเทน
บทที่ 3 พอลิเมอร
คือ สารที่มีขนาดใหญ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสารขนาดเล็ก (มอนอเมอร) จํานวนมาก
3.1 พลาสติก แบงเปน
• เทอรมอพลาสติก มีโครงสรางแบบโซตรงหรือโซกิ่ง ยืดหยุน และโคงงอได เมื่อไดรับความรอนจะออนตัว สามารถ
เปลี่ยนรูปรางกลับไปมาได เพราะ สมบัติไมมีการเปลี่ยนแปลง
• เทอรมอเซต มีโครงสรางแบบตาขาย มีความแข็งแรงมาก เมื่อไดรับความรอนจะไมออนตัว แตจะเกิดการแตกหัก ไม
สามารถเปลี่ยนรูปรางได เพราะ สมบัติมีการเปลี่ยนแปลง
3.2 ยาง แบงเปน
• ยางธรรมชาติ เกิดจากมอนอเมอร คือ ไอโซพรีน รวมตัวกันเปนพอลิไอโซพรีน ดังนี้
มีความยืดหยุน ทนตอแรงดึงทนตอการขัดถู ทนนํ้า นํ้ามันพืชและสัตว แตไมทนนํ้ามันเบนซินและตัวทําละลายอินทรีย เมื่อไดรับความ
เย็นจะแข็งและเปราะ แตเมื่อไดรับความรอนจะออนตัวและเหนียว
• ยางสังเคราะห (ยางเทียม) เชน
: ยาง IR (Isoprene Rubber) มีโครงสรางเหมือนยางธรรมชาติ มีสิ่งเจือปนนอย คุณภาพสมํ่าเสมอ
: ยาง SBR (Styrene - Butadiene Rubber) ทนตอการขัดถูแตไมทนตอแรงดึง ใชทําพื้นรองเทา สายยาง
บทที่ 4 ปฏิกิริยาเคมี
เกิดจาก สารเริ่มตน เขาทําปฏิกิริยากัน แลวทําใหเกิดสารใหม เรียกวา ผลิตภัณฑ
4.1 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจําวัน
- ปฏิกิริยาการเผาไหมของถานหิน จะมีกํามะถัน(S) เมื่อเผาไหมกํามะถันจะทําปฏิกิริยากับกาซออกซิเจนทําใหเกิดกาซ
ซัลเฟอรไดออกไซดและเมื่อทําปฏิกิริยากับนํ้าฝน ทําใหเกิดกรดกํามะถัน/กรดซัลฟวริก (ฝนกรด)
- การเผาไหมเชื้อเพลิงในเครื่องยนต จะเกิดกาซ NO2
กลายเปนฝนกรดไนตริกได
- ปฏิกิริยาการเกิดสนิมเหล็ก (Fe2
O3
) เกิดจาก ปฏิกิริยาระหวางเหล็กกับกาซออกซิเจน
- ปฏิกิริยาการสลายตัวของโซเดียมไฮโดรเจนคารบอเนต (ผงฟู)ดวยความรอนจะไดกาซ CO2
และ H2
O
- สารไฮโดรเจนเปอรออกไซด เมื่อไดรับแสงและความรอน จะสลายตัว ดังนั้น จึงตองเก็บไวในที่มืด
- ปฏิกิริยาการสลายตัวของหินปูน (CaCO3
) ดวยความรอน ไดปูนขาว (CaO) ใชในการผลิตปูนซีเมนต
- ปฏิกิริยาระหวางหินปูนกับกรดไนตริก / กรดซัลฟวริก ทําใหสิ่งกอสรางสึกและเกิดหินงอกหินยอย
- 8. 11
บทที่ 5 ธาตุและสารประกอบ
พันธะเคมี คือ แรงยึดเหนี่ยวระหวางอะตอมของธาตุ โดยแบงเปน
- พันธะไอออนิก : เกิดจากโลหะกับอโลหะ เชน NaCl CaO
- พันธะโควาเลนซ : เกิดจากอโลหะกับอโลหะ เชน H2
Cl2
CO2
CH4
ธาตุหมู 1A และ 2A เปนโลหะ เปนของแข็ง จุดเดือด / จุดหลอมเหลวสูง นําไฟฟาได
ธาตุหมู 1A มีเวเลนซอิเล็กตรอนเปน 1 จึงหลุดออกงาย ทําใหมีประจุ +1 เชน Na+
มีความวองไวตอปฏิกิริยาสูงมาก ลุกไหมไดอยางรวดเร็ว เกิดปฏิกิริยากับนํ้ารุนแรง
ธาตุหมู 2A มีเวเลนซอิเล็กตรอนเปน 2 จึงสูญเสียไดงาย ทําใหมีประจุ +2 เชน Mg2+
ธาตุหมู 7A (Halogen) เปนอโลหะ อยูเปนโมเลกุลมี 2 อะตอม เชน F2
Cl2
Br2
I2
At2
• มีเวเลนซอิเล็กตรอนเปน 7 จึงสามารถรับอิเล็กตรอนไดอีก 1 กลายเปนไอออนประจุ -1
• มีความวองไวตอปฏิกิริยาเคมีมาก
ธาตุหมู 8A เปนอโลหะ มีสถานะเปนกาซ อยูเปนอะตอมอิสระ : He Ne Ar Kr Xe Rn
• มีเวเลนซอิเล็กตรอนเปน 8 จึงมีความเสถียรมาก ไมวองไวตอปฏิกิริยาเคมี จึงเรียกวา กาซเฉื่อย
โลหะแทรนซิชัน เปนโลหะ มีสมบัติกายภาพเหมือนโลหะหมู 1A / 2A แตสมบัติเคมีแตกตางกัน
ธาตุกึ่งโลหะ คือ ธาตุที่มีสมบัติบางประการคลายโลหะและบางประการคลายอโลหะ เชน
อะลูมิเนียม (Al) มีความหนาแนนตํ่า จึงแข็งแรงแตนํ้าหนักเบา นําไฟฟา/ความรอนดี เชน
บอกไซด :ใชทําโลหะอะลูมิเนียม อุปกรณไฟฟา เครื่องครัว หออาหาร
คอรันดัม หรือ อะลูมิเนียมออกไซด : ทําอัญมณีที่มีสีตามชนิดของโลหะแทรนซิชัน
สารสม (Al(SO4
)2
. 12H2
O) : ใชในการทํานํ้าประปาหรือกวนนํ้าใหตกตะกอน
ซิลิกอน (Si) - อะตอมยึดตอกันดวยพันธะโคเวเลนซ ในรูปโครงผลึกรางตาขาย เปนสารกึ่งตัวนํา ใชทําแผงวงจรไฟฟาและ
อุปกรณไฟฟา
ธาตุกัมมันตรังสี คือ ไอโซโทปของธาตุที่มีนิวตรอนตางจากโปรตอนมากๆ ทําใหไมเสถียร จึงสลายตัว โดยปลดปลอยรังสีออก
มา ซึ่งตรวจหาและวัดรังสี โดยใชไกเกอรมูลเลอรเคานเตอร
การเคลื่อนที่และพลังงาน
บทที่ 1 การเคลื่อนที่ แบงเปน 4 ประเภท ดังนี้
1.1 การเคลื่อนที่แนวตรง : เปนการเคลื่อนที่ ที่ไมมีการเปลี่ยนทิศทาง
การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวระดับ
• อัตราเร็วเฉลี่ย หาไดจาก อัตราสวนระหวางระยะทางกับเวลา
• ความเร็วเฉลี่ย หาไดจาก อัตราสวนระหวางกระจัดกับชวงเวลา ( กระจัด คือ ระยะทางที่สั้นที่สุด)
• ความเรง หาไดจาก ความเร็วที่เปลี่ยนไปกับเวลาที่เปลี่ยนแปลง (เมตรตอวินาที 2 )
การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวดิ่ง ภายใตแรงโนมถวงของโลก (แนวดิ่ง)
ใชสูตร V = U + g t
1.2 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล : เปนการเคลื่อนที่เปนเสนโคงพาราโบลา
เชน การโยนของจากเครื่องบิน การโยนลูกบาสเกตบอลเขาหวง การขวางกอนหิน การยิงธนู การตีลูกกอลฟ
1.3 การเคลื่อนที่แบบวงกลม : เกิดจากเมื่อวัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลม
เชน การเหวี่ยงหมุนของบนศีรษะ การเลี้ยวของรถ การขี่มอเตอรไซดไตถัง การโคจรของดวงดาว
1.4 การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย : เปนการเคลื่อนที่กลับไปกลับมา ซํ้าทางเดิมในแนวดิ่ง โดยมุมที่เบนจากแนวดิ่งจะ
มีคาคงที่เสมอ เชน การแกวงของชิงชา การแกวงของลูกตุมนาฬกา
บทที่ 2 สนามของแรง คือ บริเวณที่มีแรงกระทําตอวัตถุ แบงเปน 3 ประเภท
2.1 สนามแมเหล็ก คือ บริเวณที่มีแรงแมเหล็กกระทํา จะมีทิศจากขั้วเหนือไปยังขั้วใตของแทงแมเหล็ก
เมื่อใหกระแสไฟฟาไหลผานขดลวดตัวนํา ที่วางตัด(ตั้งฉาก)กับสนามแมเหล็กสมํ่าเสมอ จะมีแรงแมเหล็กกระทํา ทําใหขด
ลวดตัวนําเคลื่อนที่ได นําไปใชสรางมอเตอรไฟฟา
กรณีตรงขาม ถาหมุนขดลวดตัวนําใหตั้งฉากกับสนามแมเหล็กสมํ่าเสมอ จะทําใหเกิดกระแสไฟฟาขึ้น เรียกวา กระแส
ไฟฟาเหนี่ยวนํา ซึ่งคนพบโดย ไมเคิล ฟาราเดย และนําไปสรางเครื่องกําเนิดไฟฟา สนามแมเหล็กโลก โลกเสมือนมีแมเหล็กฝงอยู
ใตโลก โดยขั้วโลกเหนือ ทําหนาที่เปน ขั้วใตของแมเหล็ก ขั้วโลกใต ทําหนาที่เปน ขั้วเหนือของแมเหล็ก ทําหนาที่ เปนโลปองกันลม
สุริยะ
2.2 สนามไฟฟา คือ บริเวณที่มีแรงไฟฟา กระทํา จะมีทิศจากขั้วบวกไปยังขั้วลบของขั้วไฟฟา
- อนุภาคที่มีประจุบวก (โปรตอน) จะเคลื่อนที่จากขั้วบวกไปยังขั้วลบ
- 9. 12
- อนุภาคที่มีประจุลบ (อิเล็กตรอน) จะเคลื่อนที่จากขั้วลบไปยังขั้วบวก
หลักการนี้นําไปใชในการทําเครื่องกําจัดฝุน โดยเมื่อฝุนละอองผานเขาไปในเครื่อง ฝุนเล็กๆ จะรับประจุไฟฟาลบจาก
ขั้วลบของเครื่อง และจะถูกดูดติดแนนโดยแผนขั้วบวกของเครื่อง
2.3 สนามโนมถวง คือ บริเวณที่มีแรงโนมถวงกระทํา ทําใหเกิดแรงดึงดูดวัตถุ พุงเขาสูศูนยกลางโลก
ณ ผิวโลก แรงโนมถวงมีคา 9.8 นิวตันตอ กิโลกรัม แตจะมีคาลดลงไปเรื่อยๆ เมื่ออยูในระดับสูงขึ้นไปจากผิวโลกเรื่อยๆ
แรงโนมถวงของโลกที่กระทําตอวัตถุ ก็คือ นํ้าหนักของวัตถุบนโลก (weight)
บทที่ 3 คลื่น แบงเปน 2 ประเภท
3.1 คลื่นกล คือ คลื่นที่เดินทางไดตองอาศัยตัวกลาง แบงเปน
สมบัติของคลื่น มี 4 ประเภท
• การสะทอน : เกิดจากการที่คลื่นไป แลวกลับสูตัวกลางเดิม เชน คางคาวและปลาโลมา โดยการสงคลื่นเสียง (Ultra-
sound) ออกไป แลวรับคลื่นที่สะทอนกลับมา
• การหักเห : เกิดจากการที่คลื่นเคลื่อนที่ผานรอยตอระหวางตัวกลางที่มีสมบัติตางกัน ทําใหทิศทางเบี่ยงเบน เนื่องจาก
อัตราเร็วของคลื่นเปลี่ยนไป เชน บางครั้งเห็นฟาแลบ แตไมไดยินเสียงฟารอง
• การเลี้ยวเบน : เกิดจากการที่คลื่นปะทะสิ่งกีดขวาง แลวแผกระจายไปตามขอบ เชน การที่เราเดินผานมุมอาคารเรียน
หรือมุมตึก จะไดยินเสียงตางๆจากอีกดานหนึ่งของอาคาร
• การแทรกสอด : เกิดจากการที่คลื่นสองขบวนเคลื่อนที่เขาหากัน ทําใหเกิดบริเวณสงบนิ่งและบริเวณที่สั่นสะเทือนมาก
ธรรมชาติของเสียง มี 3 ประเภท
• ระดับเสียง ขึ้นอยูกับ ความถี่ของเสียง
- หูของคนสามารถรับรูคลื่นเสียงในชวงความถี่ 20 ถึง 20,000 เฮิรตซ
เสียงที่มีความถี่ตํ่ากวา 20 เฮิรตซ เรียกวา อินฟราซาวนด (infrasound)
เสียงที่มีความถี่สูงกวา 20,000 เฮิรตซ เรียกวา อัลตราซาวนด (ultrasound)
• ความดัง ขึ้นอยูกับ แอมพลิจูด จะวัดเปนระดับความเขมเสียง มีหนวยเปน เดซิเบล ดังนี้
- เสียงคอยที่สุดที่เริ่มไดยิน มีระดับความเขมเสียงเปน 0 เดซิเบล
- เสียงดังที่สุดที่ไมเปนอันตรายตอหู มีระดับความเขมเสียงเปน 120 เดซิเบล
องคการอนามัยโลก กําหนดวา ระดับความเขมเสียงที่ปลอดภัยตองไม เกิน 85 เดซิเบล และไดยินติดตอกันไมเกินวันละ 8
ชั่วโมง ถาเกินกวานี้ จะถือวาเปนมลภาวะของเสียง
คุณภาพเสียง คือ คุณลักษณะเฉพาะตัวของเสียง (ไมไดแปลวาเสียงดี หรือไมดี ) ขึ้นอยูกับ รูปรางของคลื่น ชวยระบุแหลง
กําเนิดเสียงที่แตกตางกัน ทําใหเสียงที่ไดยินวาเปนเสียงอะไร
3.2 คลื่นแมเหล็กไฟฟา คือ คลื่นที่สามารถเคลื่อนที่ได โดยไมอาศัยตัวกลาง มี 7 ชนิด ดังนี้
แกมมา เอกซ อัลตราไวโอเลต แสง อินฟราเรด ไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ
พลังงานมาก -------------------------------------------------------------------------> พลังงานนอย
ความยาวคลื่นนอย ------------------------------------------------------------------> ความยาวคลื่นมาก
คลื่นแมเหล็กไฟฟา จะเคลื่อนที่ในสุญญากาศดวยความเร็วเทากัน คือ 3 x 108
เมตร/วินาที
คลื่นแมเหล็กไฟฟา ที่ใชประโยชนมากในชีวิตประจําวัน คือ คลื่นวิทยุ มี 2 ระบบ คือ
- ระบบเอเอ็ม (AM : Amplitude Modulation) : เปนการผสมคลื่นที่ทําใหแอมพลิจูดเปลี่ยนแปลง แตความถี่คงที่ สง
กระจายเสียงดวยความถี่ 530-1,600 กิโลเฮิรตซ
- ระบบเอฟเอ็ม (FM : Frequency Modulation) : เปนการผสมคลื่นที่ทําใหความถี่เปลี่ยนแปลง แตแอมพลิจูดคงที่ สง
กระจายเสียงดวยความถี่ 88-108 เมกะเฮิรตซ
บทที่ 4 กัมมันตภาพรังสีและพลังงานนิวเคลียร
4.1 กัมมันตภาพรังสี แบงเปน 3 ชนิด
รังสีแกมมา (γ) เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟา ที่มีความยาวคลื่นสั้น มีอํานาจทะลุผานมาก กั้นไดใชตะกั่ว
รังสีบีตา (β) เปนอิเล็กตรอน สามารถกั้นไดโดยใชแผนอะลูมิเนียม
รังสีแอลฟา (α) เปนนิวเคลียสของธาตุฮีเลียม ( 2
He) สามารถทําใหสารเกิดการแตกตัวเปนไอออนไดดี มีอํานาจทะลุผาน
นอยมาก สามารถกั้นไดโดยใชกระดาษ
4.2 พลังงานนิวเคลียร แบงเปน 2 ประเภท
ฟชชัน ฟวชัน
- ใหญ ----> เล็ก - เล็ก ----> ใหญ
- ควบคุมได - ควบคุมไมได
- เกิดลูกโซ - ไมเกิดลูกโซ
- พลังงานนอย - พลังงานมาก
4
- 10. 13
โลก ดาราศาสตร และอวกาศ
บทที่ 1 โลกและการเปลี่ยนแปลง
1.1 โครงสรางโลก แบงตามลักษณะมวลสาร ได 3 ชั้น คือ
1. ชั้นเปลือกโลก แบงเปน 2 บริเวณ คือ
• ภาคพื้นทวีป ประกอบดวย ซิลิกาและอะลูมินา
• ใตมหาสมุทร ประกอบดวย ซิลิกาและแมกนีเซีย
2. ชั้นเนื้อโลก มีความลึก 2,900 กิโลเมตร แบงเปน 3 สวน คือ
• สวนบน เปนหินที่เย็นตัว ชั้นเนื้อโลกสวนบนรวมกับชั้นเปลือกโลก เรียกวา ชั้นธรณีภาค
• ชั้นฐานธรณีภาค เปนชั้นของหินหลอมละลายหรือหินหนืด ที่เรียกวา แมกมา
• ชั้นลางสุด เปนชั้นของแข็งรอนที่แนนและหนืด
3. ชั้นแกนโลก แบงเปน 2 สวน คือ
• แกนโลกชั้นนอก เปนเหล็กและนิกเกิลที่เปนของเหลวรอน
• แกนโลกชั้นใน เปนเหล็กและนิกเกิลที่เปนของแข็ง
1.2 ปรากฏการณทางธรณีวิทยา
แนวรอยตอที่ทําใหเกิดแผนดินไหว มี 3 แนว คือ
1. แนวรอยตอรอบมหาสมุทรแปซิฟก เกิดแผนดินไหวรุนแรงและมากที่สุด ( 80% ) เรียกวา วงแหวนแหงไฟ ไดแก ญี่ปุน
ฟลิปปนส อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก
2. แนวรอยตอภูเขาแอลปในยุโรปและภูเขาหิมาลัยในเอเซีย เกิดแผนดินไหว (15%) โดยจะเกิดระดับตื้นและปานกลาง
ไดแก พมา อัฟกานิสถาน อิหราน ตุรกี และทะเลเมดิเตอรเรเนียน
3. แนวรอยตอบริเวณสันกลางมหาสมุทรตางๆ ของโลก (5%) ไดแก บริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก
มหาสมุทรอินเดียและอารกติก โดยจะเกิดแผนดินไหวในระดับตื้น
ภูเขาไฟ แบงเปน 2 รูปแบบ ดังนี้
• เกิดจาก การปะทุของแมกมา จะมีสัญญาณบอกเหตุลวงหนา เชน แผนดินไหว และมีเสียงคลายฟารอง ซี่งเมื่อพนออก
มา เรียกวา ลาวา คุพุงเหมือนนํ้าพุรอน เมื่อเย็นตัวกลายเปน หินบะซอลต ซึ่งมีรูพรุน
• เกิดจาก การระเบิดของแมกมาที่มีกาซ ซึ่งจะแยกเปนฟองเหมือนนํ้าเดือดและขยายตัวจนระเบิดอยางรุนแรง พนเศษ
หิน ผลึกแร เถาภูเขาไฟ และเมื่อเย็นตันเปนหิน เรียกวา หินตะกอนภูเขาไฟ ซึ่งเรียกชื่อตามขนาดและชิ้นสวนที่พนออกมา เชน หิน
ทัฟฟ หินกรวดเหลี่ยมภูเขาไฟ หินกรวดมนภูเขาไฟ
บทที่ 2 ธรณีภาค
2.1 แผนธรณีภาคและการเคลื่อนที่
ป พ.ศ.2458 ดร.อัลเฟรด เวกาเนอร นักอุตุนิยมวิทยา ชาวเยอรมัน ไดตั้งสมมติฐานวา
“ผืนแผนดินทั้งหมดบนโลกแตเดิมเปนแผนดินผืนเดียวกัน เรียกวา พันเจีย เมื่อ 200 - 135 ลานปที่แลว แยกออกเปน 2
ทวีปใหญ คือ ลอเรเซียทางตอนเหนือและกอนดวานาทางตอนใต และเมื่อ 135-65 ลานปที่แลว ลอเรเซียเริ่มแยกเปนอเมริกาเหนือ
และแผนยูเรเซีย (ยุโรป+เอเชีย) กอนดวานาจะแยกเปน อเมริกาใต แอฟริกา ออสเตรเลีย แอนตารกติกา และอินเดีย
แผนธรณีภาคมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ดังนี้
1. ขอบแผนธรณีภาคแยกออกจากกัน
เกิดจาก การดันตัวของแมกมา ทําใหเกิดรอยแตก จนแมกมาถายโอนความรอนได ทําใหอุณหภูมิและความดันลดลง
ทําเปลือกโลกทรุดตัวกลายเปนหุบเขาทรุด ตอมามีนํ้าไหลมาสะสมเปนทะเล และเกิดเปนรองลึก แมกมาจึงแทรกดันขึ้นมา สงผลให
แผนธรณีเคลื่อนตัวแยกออกไปทั้งสองขาง เกิดการขยายตัวของพื้นทะเล
2. ขอบแผนธรณีภาคเคลื่อนเขาหากัน มี 3 แบบ คือ
- แผนธรณีภาคใตมหาสมุทรชนกับแผนธรณีภาคใตมหาสมุทร ทําใหแผนหนึ่งมุดลงใตอีกแผนหนึ่ง ปลายของแผนที่
มุดลงจะหลอมกลายเปนแมกมา และปะทุขึ้นมา ทําใหเกิดเปนแนวภูเขาไฟกลางมหาสมุทร
- แผนธรณีภาคใตมหาสมุทรชนกับแผนธรณีภาคภาคพื้นทวีป ทําใหแผนธรณีภาคใตมหาสมุทรซึ่งหนักกวามุดลงขาง
ลาง เกิดเปนแนวภูเขาไฟชายฝง เชน อเมริกาใต (แอนดีส)
- แผนธรณีภาคภาคพื้นทวีปชนกับแผนธรณีภาคภาคพื้นทวีป ซึ่งทั้งสองแผนมีความหนามาก ทําใหแผนหนึ่งมุดลงแต
อีกแผนหนึ่งเกยขึ้นเกิดเปนเทือกเขาเปนแนวยาวอยูกลางทวีป เชน เทือกเขาหิมาลัย แอลป
- 11. 14
บทที่ 3 ธรณีประวัติ
3.1 อายุทางธรณีวิทยา แบงเปน 2 แบบ
- อายุสัมบูรณ เปนอายุของหินหรือซากดึกดําบรรพที่สามารถบอกจํานวนปที่แนนอน ซึ่งคํานวณไดจากครึ่งชีวิตของธาตุ
กัมมันตรังสี ไดแก ธาตุ C-14 K-40
- อายุเปรียบเทียบ ใชบอกอายุของหิน วาหินชุดใดมีอายุมากหรือนอยกวากัน โดยอาศัยขอมูลจากซากดึกดําบรรพที่ทราบ
อายุแนนอน ลักษณะลําดับชั้นหินและโครงสรางของชั้นหิน
3.2 ซากดึกดําบรรพ คือ ซากและรองรอยของสิ่งมีชีวิต ที่ตายทับถมอยูในชั้นหินตะกอน
พืชและสัตวที่จะเปลี่ยนสภาพเปนซากดึกดําบรรพไดตองมีโครงรางที่แข็ง เพื่อวาแรธาตุตางๆ จะสามารถแทรกซึมเขาไป
ในชองวางนั้นได ทําใหทนทานตอการผุพังและตองถูกฝงกลบอยางรวดเร็ว ซึ่งจะทําใหซากสิ่งมีชีวิตชะลอการสลายตัว โดยซากของ
สัตวทะเลจะพบมากที่สุด เพราะวาเมื่อจมลงจะถูกโคลนและตะกอนเม็ดละเอียดทับถม ซึ่งตะกอนละเอียดจะทําใหซากสิ่งมีชีวิตเสีย
หายนอยที่สุด
ประเทศไทยพบซากดึกดําบรรพ เชน ซากไดโนเสาร พบครั้งแรกที่ อ.ภูเวียง จ.ขอนแกน เปนไดโนเสารเดิน 4 เทา มี
คอ-หาง ยาว กินพืชเปนอาหาร ตั้งชื่อวา “ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน”
- รองรอยของสิ่งมีชีวิตที่พิมพรอยอยูในตะกอนที่แข็งตัวเปนหิน เชน รอยเทาไดโนเสารที่ภูหลวง จ.เลย และที่ภูแฝก
จ.กาฬสินธุ หรือรอยเปลือกหอยตาง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีซากดึกดําบรรพที่ไมกลายเปนหิน เชน ซากชางแมมมอธ ซากแมลงในยางไมหรืออําพัน
บทที่ 4 เอกภพ
4.1 กําเนิดเอกภพ ทฤษฏีกําเนิดเอกภพ “บิกแบง” (Big Bang) กลาววา
เมื่อเกิดการระเบิดใหญ ทําใหพลังงานเปลี่ยนเปนสสาร เนื้อสารที่เกิดขึ้นจะในรูปของอนุภาคพื้นฐานชื่อ ควารก อิเล็กตรอน
นิวทริโน และโฟตอน
เมื่อเกิดอนุภาคจะเกิดปฏิอนุภาคที่มีประจุตรงขาม เมื่ออนุภาคพบปฏิอนุภาคชนิดเดียวกัน จะหลอมสลายเปนพลังงานจน
หมด แตในธรรมชาติมีอนุภาคมากกวาปฏิอนุภาค จึงทําใหยังมีอนุภาคเหลือ
หลังบิกแบง 10-6
วินาที อุณหภูมิจะลดลงเปนสิบลานลานเคลวิน ทําใหควารกรวมตัวกลายเปนโปรตอน (นิวเคลียสของ
ไฮโดรเจน) และนิวตรอน
หลังบิกแบง 3 นาที อุณหภูมิจะลดลงเปนรอยลานเคลวิน เกิดการรวมตัวเปนนิวเคลียสของฮีเลียม
หลังบิกแบง 300,000 ป อุณหภูมิจะลดลงเหลือ 10,000 เคลวิน นิวเคลียสของไฮโดรเจนและฮีเลียม จะดึงอิเล็กตรอนเขา
มา ทําใหเกิดเปนอะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลียม
หลังบิกแบง 1,000 ลานป จะเกิดกาแล็กซีตางๆ โดยภายในกาแล็กซีจะมีธาตุไฮโดรเจนและฮีเลียมเปนสารเบื้องตน ในการ
กําเนิดเปนดาวฤกษรุนแรก ๆ
ขอสังเกตและประจักษพยาน ที่สนับสนุนทฤษฏีบิกแบง
1. การขยายตัวของเอกภพ คนพบโดยฮับเบิล นักดาราศาสตรชาวอเมริกา
2.อุณหภูมิพื้นหลังของเอกภพ ปจจุบันลดลงเหลือ 2.73 เคลวิน
นักดาราศาสตร แบงกาแล็กซี ออกเปน 4 ประเภท
1. กาแล็กซีกังหันหรือสไปรัล เชน กาแล็กซีทางชางเผือก กาแล็กซีแอนโดรเมดา กาแล็กซี M -81 (M ยอมาจาก
เมสสิแอร (Messier) เปนนักลาดาวหางชาวฝรั่งเศส)
2. กาแล็กซีกังหันมีแกนหรือบารสไปรัล
เชน กาแล็กซี NGC – 7479 (NGC ยอมาจาก The New General Catalogue)
3. กาแล็กซีรูปไข เชน กาแล็กซี M–87
4. กาแล็กซีไรรูปทรง เชน กาแล็กซีแมกเจลเเลนใหญ
บทที่ 5 ดาวฤกษ
เปนกอนกาซรอนขนาดใหญ มีองคประกอบสวนใหญ เปนธาตุไฮโดรเจน
5.1 วิวัฒนาการของดาวฤกษ
• ดาวฤกษที่มีมวลนอย เชน ดวงอาทิตย ใหแสงสวางนอย จึงมีการใชเชื้อเพลิงนอย ทําใหมีชวงชีวิตยาว และจบชีวิตลง
โดยไมมีการระเบิด แตจะกลายเปนดาวแคระ
• ดาวฤกษที่มีมวลมาก จะมีขนาดใหญ ใหแสงสวางมาก จึงมีการใชเชื้อเพลิงมาก ทําใหมีชวงชีวิตสั้น และจบชีวิตลงดวย
การระเบิดอยางรุนแรง เรียกวา ซูเปอรโนวา (supernova)
หลังจากนั้น ดาวที่มีมวลมาก จะกลายเปนดาวนิวตรอน ดาวที่มีมวลสูงมาก ๆ จะกลายเปนหลุมดํา
กําเนิดและวิวัฒนาการของดวงอาทิตย
1. เมื่อเนบิวลายุบตัว ที่แกนกลางจะมีอุณหภูมิสูงเปนแสนองศาเซลเซียส เรียกวา “ดาวฤกษกอนเกิด”
- 12. 15
2. ปจจุบันที่แกนกลางมีอุณหภูมิสูงเปน 15 ลานเคลวิน ทําใหเกิด ปฏิกิริยาเทอรโมนิวเคลียร
คือ ปฏิกิริยาหลอมไฮโดรเจน 4 นิวเคลียส กลายเปนฮีเลียม 1 นิวเคลียสและเกิดพลังงานออกมามหาศาล จนทําใหเกิด
สมดุลระหวางแรงโนมถวงกับแรงดันของกาซ เกิดเปนดวงอาทิตย มีสีเหลือง
3. ในอนาคต เมื่อไฮโดรเจนลดลง ทําใหดาวยุบตัวลง ทําใหแกนกลางมีอุณหภูมิสูงขึ้นเปน 100 ลานเคลวิน จนเกิดปฏิกิริยา
เทอรโมนิวเคลียร ที่มีการหลอมฮีเลียม ใหกลายเปนคารบอน
ในขณะเดียวกันรอบนอกของดาว ก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 15 ลานเคลวิน ทําใหเกิดปฏิกิริยาเทอรโมนิวเคลียส ที่มีหลอม
ไฮโดรเจนใหกลายเปนฮีเลียมครั้งใหม
จึงเกิดพลังงานออกมาอยางมหาศาลและทําใหดวงอาทิตยมีขนาดใหญขึ้นเปน 100 เทา และเปลี่ยนจากสีเหลืองเปนสีแดง
เรียกวา ดาวยักษแดง ซึ่งจะปลดปลอยพลังงานออกมามาก ทําใหชวงชีวิตคอนขางสั้น
4. ในชวงทาย แกนกลางจะยุบตัวลงกลายเปนดาวแคระขาว ซึ่งมีขนาดเล็กลงเปน 1 ใน 100
5. ความสวางจะลดลงตามลําดับ และในที่สุดก็จะหยุดสองแสงสวาง กลายเปนดาวแคระดํา (black dwarf)
5.2 ความสวางและอันดับความสวางของดาวฤกษ
• ดาวฤกษที่ริบหรี่ที่สุดที่มองเห็นดวยตาเปลา มีอันดับความสวาง 6
• ดาวฤกษที่สวางที่สุด มีอันดับความสวาง 1
• ดวงอาทิตย มีอันดับความสวาง - 26.7
ถาอันดับความสวางตางกัน x อันดับ จะมีความสวางตางกันประมาณ (2.5)x
เทา
5.3 สีและอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ แบงออกเปน 7 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้
• ดาวที่มีอายุนอย จะมีอุณหภูมิผิวสูง มีสีขาว นํ้าเงิน
• ดาวที่มีอายุมาก ใกลถึงจุดสุดทายของชีวิต จะมีอุณหภูมิผิวตํ่า มีสีแดง
O B A F G K M
มวง คราม นํ้าเงิน ขาว เหลือง แสด แดง
บทที่ 6 กําเนิดระบบสุริยะ
นักดาราศาสตร แบงเขตพื้นที่รอบดวงอาทิตย เปน 4 เขต คือ
1. ดาวเคราะหชั้นใน ไดแก ดาวพุธ ดาวศุกร โลก และ ดาวอังคาร
มีขนาดเล็กและมีพื้นผิวแข็งหรือเปนหินแบบเดียวกับโลก
2. แถบดาวเคราะหนอย คือ บริเวณระหวางวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี
เปนเศษที่เหลือจากการพอกพูนเปนดาวเคราะหหิน แลวถูกดึงดูดจากแรงรบกวนของดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีขนาดใหญและเกิดมา
กอน ทําใหไมสามารถจับตัวกันมีขนาดใหญได
3. ดาวเคราะหชั้นนอก หรือ ดาวเคราะหยักษ เปนดาวที่มีขนาดใหญ ไดแก ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
มีองคประกอบหลัก คือ กาซไฮโดรเจนและฮีเลียมทั้งดวง
ดาวพลูโต เปนดาวเคราะหชั้นนอกที่อยูไกลและเล็กที่สุด มีสมบัติคลายดาวเคราะหนอย
4. เขตของดาวหาง เปนเศษที่เหลือจากดาวเคราะหยักษ มีจํานวนมากอยูรอบนอกระบบสุริยะ
ดวงอาทิตย : เปนดาวฤกษสีเหลือง ชนิดสเปกตรัม G มีอุณหภูมิผิวประมาณ 6,000 เคลวิน
- แสงสวางที่เปลงออกมา ทําใหเรามองเห็นดาวเคราะหได โดยใชเวลาเดินทาง 8.3 นาที
- ลมสุริยะ ประกอบดวยอนุภาคโปรตอนและอิเล็กตรอน มาจากการแผรังสีของดวงอาทิตย ซึ่งจะมาถึงโลกภายในเวลา
20-40 ชั่งโมง
ซึ่งจะสงผลทําใหเกิดปรากฏการณแสงเหนือ-แสงใต ไฟฟาแรงสูงดับที่ขั้วโลก เกิดการรบกวนวงจรอิเล็กทรอนิกสของ
ดาวเทียม และทําใหเกิดการติดขัดในการสื่อสารของคลื่นวิทยุ
บทที่ 7 เทคโนโลยีอวกาศ
7.1 ดาวเทียมและยานอวกาศ
การสงดาวเทียมและยานอวกาศขึ้นสูอวกาศ จะตองเอาชนะแรงดึงดูดของโลก ความเร็วมากกวา 7.91 กิโลเมตรตอวินาที
ถาหากจะใหยานอวกาศออกไปโคจรรอบดวงอาทิตย จะตองใชความเร็วที่ 11.2 กิโลเมตรตอวินาที เรียกวา ความเร็วหลุดพน
พ.ศ. 2446 ไชออลคอฟสกี ชาวรัสเซีย ไดคนควาเกี่ยวกับเชื้อเพลิงในจรวด เสนอวา ใชเชื้อเพลิงเหลว แยกเชื้อเพลิงและ
สารที่ชวยในการเผาไหมออกจากกัน นําจรวดมาตอเปนชั้นๆ จะชวยลดมวลของจรวดลง โดยเมื่อจรวดชั้นแรกใชเชื้อเพลิงหมดก็
ปลดทิ้งไป และใหจรวดชั้นตอไปทําหนาที่ตอ แลวปลดทิ้งไปเรื่อยๆ โดย จรวดชั้นสุดทายที่ติดกับดาวเทียมหรือยานอวกาศ จะตองมี
ความเร็วสูงพอที่จะเอาชนะแรงดึงดูดของโลกได
พ.ศ. 2469 โรเบิรต กอดดารด ชาวอเมริกัน สามารถสรางจรวดเชื้อเพลิงเหลว โดยใชไฮโดรเจนเหลวเปนเชื้อเพลิงและ
ออกซิเจนเหลวเปนสารที่ชวยในการเผาไหม และแยกอยูตางถังกัน
สหภาพโซเวียต สามารถใชจรวดสามทอนสงดาวเทียม ไดเปนประเทศแรก
- 13. 16
ชีวิตกับสิ่งแวดลŒอม สิ่งมีชีวิตกับการดํารงชีวิต
บทที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดลŒอม
โลก มีระบบนิเวศหลากหลายรวมกัน เปนระบบขนาดใหญ เรียกวา ชีวภาค(Biophere) เชน
- บริเวณเสนศูนยสูตร มีอุณหภูมิสูงและแสงแดดมาก ทําใหมีฝนตกชุก เกิดปาฝนเขตรอน
- บริเวณที่สูงหรือตํ่าจากเสนศูนยสูตร เรียกวา เขตอบอุน มีอุณหภูมิและแสงแดดจํากัด จึงไมหลากหลาย
- ขั้วโลกเหนือ เรียกวา เขตทุนดรา มีอุณหภูมิและแสงแดดนอย พื้นนํ้าเปนนํ้าแข็ง มีพืชคลุมดิน
ในหวงโซอาหาร จะมีการถายทอดพลังงานจากผูผลิตไปยังผูบริโภคลําดับตาง ๆ โดยจะถายทอดไปเพียง 10% สวนพลังงานอีก 90%
จะถูกใชในการดํารงชีวิต นอกจากนี้ ในหวงโซอาหาร จะมีการถายทอดโลหะหนัก จากยาฆาแมลงและสารพิษดวย โดยจะมีปริมาณ
สะสมเพิ่มขึ้นตามลําดับการกินของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 2 การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต
เซลลสิ่งมีชีวิต มีสวนประกอบที่เหมือนกัน คือ
- เยื่อหุมเซลล ทําหนาที่ หอหุมเซลลและควบคุมการผานสารเขา – ออก
- นิวเคลียส เปนศูนยควบคุมการทํางานของเซลลและเปนแหลงเก็บสารพันธุกรรม
- ไมโทคอนเดรีย เปนแหลงผลิตสารพลังงานสูง
- ไรโบโซม ทําหนาที่ สังเคราะหโปรตีน
- รางแหเอนโดพลาซึม ทําหนาที่สังเคราะหและลําเลียงโปรตีน บางสวนสังเคราะหไขมัน
- กอลจิคอมเพล็กซ ทําหนาที่ ปรับเปลี่ยนโปรตีนและไขมัน แลวสงไปยังปลายประสาท
เซลลสิ่งมีชีวิต มีสวนประกอบที่ตางกัน คือ
ในเซลลพืช จะมี
: ผนังเซลล ทําใหเซลลคงรูปรางและมีการเจริญในแนวตั้ง มีโครงสรางหลัก คือ เซลลูโลส
: คลอโรพลาสต ทําหนาที่ สังเคราะหนํ้าตาลโดยใชพลังงานแสง
: แวคิวโอล ทําหนาที่ บรรจุนํ้าและสารชนิดตาง ๆ
ในเซลลสัตว จะมี : ไลโซโซม ทําหนาที่ บรรจุเอนไซมที่มีสมบัติในการยอยสลาย
2.1 การลําเลียงสารผานเซลล มี 4 ประเภท
2.2.1 การแพร คือ การที่สารเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความเขมขนสูง ไปสูที่มีความเขมขนตํ่า
ออสโมซิส คือ การแพรของนํ้าผานเยื่อหุมเซลล จากบริเวณที่มีนํ้ามากไปสูนํ้านอย แบงเปน
- ไฮโพโทนิค คือ สารที่มีความเขมขนตํ่าหรือนํ้ามาก นํ้าจะไหลเขา ทําใหเซลลใหญโดยถาเปนเซลลพืช จะเตง แตเซลล
สัตว จะแตก
- ไฮเพอรโทนิค คือ สารที่มีความเขมขนสูงหรือนํ้านอย นํ้าจะไหลออก ทําใหเซลลเหี่ยว
- ไอโซโทนิค คือ สารที่มีความเขมขนเทากับภายในเซลล นํ้าจะไหลเขา = ไหลออก ทําใหเซลลคงเดิม
2.2.2 การลําเลียงแบบฟาซิลิเทต ( Facilitated Transport)
คือ การลําเลียงสารจากบริเวณที่มีความเขมขนสูงไปสูบริเวณที่มีความเขมขนตํ่า โดยมีโปรตีนตัวพาอยูบนเยื่อหุมเซลล
ซึ่งไมตองอาศัยพลังงาน โดยมีอัตราเร็วมากกวาการแพร
2.2.3 การลําเลียงแบบใชพลังงาน (Active Transport)
คือ การลําเลียงสารจากบริเวณที่มีความเขมขนตํ่าไปสูบริเวณที่มีความเขมขนสูง โดยมีโปรตีนตัวพาอยูบนเยื่อหุมเซลล
และตองอาศัยพลังงาน
2.2.4 การลําเลียงสารแบบไมผานเยื่อหุมเซลล
คือ การลําเลียงสารที่มีขนาดใหญ เชน โปรตีน คารโบไฮเดรต ซึ่งจะไมสามารถผานโปรตีนตัวพาได แตจะใชเยื่อหุมเซลล
โอบลอม ดังนี้
- กระบวนการเอนโดไซโทซิส (Endocytosis) เปนการลําเลียงสารเขาเซลล
- กระบวนการเอกโซไซโทซิส (Exocytosis) เปนการลําเลียงสารออกเซลล
2.2 กลไกการรักษาดุลยภาพ
2.3.1 การรักษาดุลยภาพของนํ้าในพืชโดยการคายนํ้าออกที่ปากใบ และการดูดนํ้าเขาทางราก
2.3.2 การรักษาดุลยภาพของนํ้าในรางกายคน
• เมื่อรางกายเกิดภาวะขาดนํ้า ทําใหเลือดขน มีความดันเลือดตํ่า สมองไฮโพทาลามัสจะกระตุนตอมใตสมองสวนทาย ให
หลั่งฮอรโมนแอนติไดยูเรติก ออกมา เพื่อไปกระตุนใหทอหนวยไตดูดนํ้ากลับคืน
2.3.3 การรักษาดุลยภาพของกรด-เบสในรางกายคน
ถารางกายมีระดับเมแทบอลิซึมสูง (ปฏิกิริยาเคมีตางๆในรางกาย) ทําใหเกิดกาซ CO2
มาก เกิดเปนกรดคารบอนิก ซึ่งแตก
ตัวให H+
ออกมา สงผลให pH ในเลือดตํ่าลง หนวยไตจึงทําหนาที่ขับ H+
ออกมาทางปสสาวะ