SlideShare a Scribd company logo
1
บทที่ 1
บทนำ
ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
ณ โลกปัจจุบัน ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ไม่มีที่สิ้ นสุ ด
ได้ก่อ เกิดน วัตก รรมที่ ส ร้าง ค วามส ะ ด วกส บ ายใ ห้ แก่มนุ ษ ย์ใ น ห ลายๆด้าน
ไป มาห าสู้ กัน ด้วย ยาน พ าห น ะ จัด ส่ง เอก ส ารผ่าน เครื อ ข่าย อิ น เตอ ร์ เน็ ต
ติ ด ต่อ ค้ า ข าย ด้ ว ย เ ค รื่ อ ง ค ม น า ค ม แ ล ะ เ ส้ น ท า ง ค ม น า ค ม ที่ ทั น ส มั ย
ติ ด ต่ อ สื่ อ ส า ร กั น ด้ ว ย เ ค รื่ อ ง มื อ สื่ อ ส า ร เ รี ย ก ว่ า
เท ค โ น โ ล ยี เ ห ล่า นี้ ก ล า ย เป็ น ปั จ จั ย ห นึ่ ง ใ น ก า ร อ ยู่ร อ ด ข อ ง ม นุ ษ ย์
มีอิทธิพลต่อการดาเนินชีวิตในทุกๆด้าน
ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจาวันของคนไทย ในยุคปัจจุบัน
คื อ เ ค รื่ อ ง มื อ สื่ อ ส า ร อ ย่ า ง โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ
ค่ายโทรศัพท์มือถือแต่ละค่ายต่างแข่งขันกันนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใส่ในโทรศัพท์มือถือของตน
เ พื่ อ ก ร ะ ตุ้ น ค ว า ม อ ย า ก ซื้ อ ใ ห้ ผู้ เ ส พ เ ท ค โ น โ ล ยี ส น ใ จ
นอกจากโทรศัพท์มือถือจะเป็นเครื่องสื่อสารแล้วยังสร้างความบันเทิงในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะ ดูหนัง
ฟังเพลง เชื่อมอินเทอร์เน็ต ใช้ในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากโลกโซเชียลมีเดีย เล่นเกมส์ ถ่ายรูป
นาฬิกาจับเวลา เครื่องคิดเลข และอีกมากมาย ผู้เสพ เทคโน โลยีกลุ่มให ญ่ก็คือวัยรุ่น
ยิ่งมีฟังก์ชันจานวนมาก รูปลักษณ์สวยดูล้าสมัย พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆราคาแพงๆ
โท ร ศัพ ท์ ก ล าย เป็ น เค รื่ อ ง แ ส ด ง ฐ า น ะ ด้ วย ร าค าค่าเท ค โ น โ ล ยี ที่ สู ง ขึ้ น
ซึ่ ง ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ มี ป ร ะ โ ย ช น์ ท า ใ ห้ ก า ร ติ ด ต่ อ สื่ อ ส า ร
พ ร้ อ ม ทั้ ง ก า ร ส่ ง ข้ อ มู ล เ ป็ น ไ ป ไ ด้ อ ย่ า ง ส ะ ด ว ก ร ว ด เ ร็ ว
ช่วยให้ความเป็ น อยู่ของคน ไทยและ เศรษฐกิจของประเทศพัฒน าไปใน ทางที่ดีขึ้ น
แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพ ท์มือถือแน บที่หู ครั้งละ น าน ๆ เป็ น เวลาห ลายปี
อ า จ มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ สุ ข ภ า พ ไ ด้ แ พ ท ย์
และนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเตือนว่าผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากการใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อ
2
กันเป็นเวลานาน อาจจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น ปวดศีรษะ มะเร็งสมอง
หูอักเสบ มะเร็งของเม็ดเลือดขาว และความจาเสื่อม เป็นต้น
ใ น ปั จจุ บัน น อก เห นื อไป จ าก อวัยวะ ครบ 32 ป ระ การใ น ร่าง ก ายค น เร า
ดูเหมือนว่า“โทรศัพท์มือถือ”กาลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนยุคโลกาภิวัฒน์ที่จะขาดไม่ได้
เพี ยง แต่ว่าอวัยวะ ส่วน นี้ โดยมาก จะ เริ่ มง อกเง ยขึ้ น มาใน ช่วงที่ เป็ น “วัยรุ่น ”
ซึ่งข้อดีของโทรศัพท์มือถือก็มีอยู่ไม่น้อย หากผู้ใช้นาไปใช้ในทางที่ผิด หรือใช้ไม่เป็ น
โ ท ษ ข อ ง โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ไ ด้ ก่ อ
ให้เกิดผลกระทบต่างๆตามมา
ซึ่ ง ก ลุ่ ม ข อ ง ข้ า พ เ จ้ า ไ ด้ เ ล็ ง เ ห็ น ผ ล ก ร ะ ท บ ที่ เ กิ ด ขึ้ น
จึ ง จั ด ท า โ ค ร ง ง า น นี้ เ พื่ อ ศึ ก ษ า ผ ล ก ร ะ ท บ ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ
แ ล ะ แ น ว ท า ง ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า จ า ก ผ ล ก ร ะ ท บ ที่ เ กิ ด ขึ้ น
เพื่อที่จะได้ใช้ได้อย่างถูกวิธีและไม่ให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบที่ตามมา
วัตถุประสงค์ของกำรศึกษำ
1.เพื่อศึกษาผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือ
2.เพื่อศึกษาแนวทางการใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกวิธีและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย
ขอบเขตของกำรศึกษำ
1.ประชากรที่ใช้ในการศึกษา
ประชากรที่ใช้ใน การศึกษาครั้งนี้ ได้แก่นักเรียน โรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์
แบ่งเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
2.กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา
3
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2557 จานวน 30คน
3.เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา
เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาเป็นเนื้อหาที่เลือกจากปัญหาที่พบในโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์
คือ การศึกษาผลกระทบการใช้โทรศัพท์มือถือ ของนักเรียน โรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์
4.ระยะเวลา
ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ดาเนินการในภาคเรียนที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2557 ถึง
2 มกราคม พ.ศ.2558
ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ
1.ทาให้ทราบถึงผลกระทบการใช้โทรศัพท์มือถือ
2.ทาให้ได้แนวทางการใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกวิธีและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย
4
บทที่ 2
ทฤษฎีและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
โดยแบ่งเนื้อหาของเอกสารงานวิจัยออกเป็นหัวข้อต่างๆดังนี้
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
1.ควำมเป็นมำของโทรศัพท์
1.1 วิวัฒนาการของโทรศัพท์
1.2 ประวัติทั่วไปของโทรศัพท์
1.3 วิวัฒนาการโทรศัพท์ในประเทศไทย
2.วัตถุประสงค์ของกำรใช้โทรศัพท์
2.1ข้อดีของการใช้โทรศัพท์มือถือ
3.ผลกระทบเกิดจำกกำรใช้โทรศัพท์มือถือ
3.1 ผลกระทบทั่วไปที่เกิดขึ้น
3.2 กำรแผ่รังสี ของตัวโทรศัพท์มือถือ
3.3 โทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก่อให้เกิดขยะได้
3.4 สำรโลหะหนักที่อยู่ในแบตเตอรี่ประกอบด้วย
3.5 โรคที่เกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือที่มีผลกระทบในเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตคนไทย
3.6 โรคยอดฮิตที่มากับการติดมือถือ
5
3.7 โรคซีวีเอส
3.8 แบคทีเรียบนหน้าจอมือถือ
4. กำรใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกวิธีและลดกำรเกิดผลกระทบ
4.1 การใช้โทรศัพท์มือถืออย่างถูกวิธีเพื่อถนอมสายตา
4.2 การใช้โทรศัพท์อย่างถูกวิธี
4.3 การแก้ไขกันและป้องกันโรคซีวีเอส
4.4 ป้องกันสมองเสื่อม
4.5 ป้องกันแบคทีเรียบนหน้าจอโทรศัพท์
6
1.ควำมเป็นมำของโทรศัพท์
1.1 วิวัฒนำกำรของโทรศัพท์
การติดต่อสื่อสารทางไกลในสมัยโบราณระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั้น
จะใช้วิธีการง่ายๆอาศัธรรมชาติ หรือเลียนแบบธรรมชาติเป็นหลัก เช่น การใช้ควัน เสียง แสง
หรือใช้นกพิราบ เป็นต้น การสื่อสารที่ใช้ชื่อดังกล่าวนั้นจะไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก
เนื่องจากไม่สามารถให้รายละเอียดข่าวสารได้มาก หรือแม้จะให้รายละเอียดได้มาก
แต่ก็ไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าใด เช่น นกพิราบ นาสารซึ่งให้รายละเอียดได้มาก แต่เป็นการเสี่ยง
เพราะนกพิราบ อาจไปไม่ถึง ปลายทางได้ อย่างไรก็ตามการสื่อสารดังกล่าวนี้
เป็นการสื่อสารที่ราคาถูก ความรวดเร็วก็พอใช้ได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุค โลกาภิวัฒน์
เป็นยุคแห่งความเจริญทางด้านเทคโนโลยี มนุษย์ได้นาเอาเทคโนโลยี
ที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้กับการสื่อสาร ทาให้การติดต่อสื่อสารในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงมาก
ทั้งความสะดวกสบายรวดเร็วและถูกต้องชัดเจนแน่นอน
ระบบสื่อสารที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายชนิด เช่น วิทยุสื่อสาร (Radio Communication)
โทรเลข (Telegraphy) โทรพิมพ์ (Telex) โทรศัพท์ (Telephone) โทรสาร (Facsimile)
หรือวิทยุตามตัว (Pager) เป็นต้น แต่ระบบสื่อสาร ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกก็คือ โทรศัพท์
เพราะโทรศัพท์สามารถโต้ตอบกันได้ทันที รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งระบบ อื่น ๆ ทาไม่ได้
โทรศัพท์จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและในโลกของการสื่อสารปัจจุบัน
โทรศัพท์ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ ถึงความเจริญ รุ่งเรืองของประเทศ ต่าง ๆ
ด้วยมีคากล่าวหรือข้อกาหนดเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศอยู่ว่า ประเทศใด ที่มีจานวนเลขหมาย
โทรศัพท์ในประเทศ 40 หมายเลขต่อประชากร 100 คน ถือว่าประเทศนั้นมีความเจริญแล้ว
7
หรือเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศใดที่มีหมายเลขโทรศัพท์ 10
เลขหมายขึ้นไปต่อประชากร100คนถือว่าประเทศนั้นกาลังได้รับการพัฒนา
จะเห็นว่าประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ให้ความสาคัญกับกิจการโทรศัพท์เป็นอย่างมากในประเทศไทย คาว่า โทรศัพท์ ได้เริ่ม
รู้จักกันตั้งแต่รัชการที่ 5 ซึ่งโทรศัพท์ตรงกับภาษากรีกคาว่า Telephone โดยที่ Tele แปลว่า ทางไกล
และ Phone แปลว่า การ สนทนา เมื่อแปลรวมกันแล้วก็หมายถึงการสนทนากันในระยะทางไกลๆ
หรือการส่งเสียงจากจุดหนึ่ง ไปยังจุดหนึ่งได้ ตามต้องการ
1.2 ประวัติทั่วไปของโทรศัพท์
โทรศัพท์ได้ถูกคิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2419โดยนักประดิษฐ์ ชื่อALEXANDER
GRAHAM BELL หลักการของโทรศัพท์ที่ Alexander ประดิษฐ์ก็คือ ตัวส่ง (Transmitter) และ
ตัวรับ (Receiver)
ภาพที่ 1.1 ALEXANDER GRAHAM BELL
8
ภาพที่ 1.2 แสดงหลักการโทรศัพท์ของ Bell
ซึ่งมีโครงสร้างเหมือนลาโพงในปัจจุบัน กล่าวคือ มีแผ่น ไดอะแฟรม (Diaphragm) ติดอยู่กับขดลวด
ซึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ แม่เหล็กถาวร เมื่อมีเสียงมากระทบแผ่น ไดอะแฟรม
ก็จะสั่นทาให้ขดลวดสั่นหรือเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็ก เกิดกระแสขึ้นมา ในขดลวด กระแสไฟฟ้านี้
จะวิ่งตามสายไฟถึงตัวรับซึ่งตัวรับก็จะมีโครงสร้างเหมือนกับ ตัวส่ง เมื่อกระแสไฟฟ้ามาถึงก็จะ
เข้าไปในขดลวด เนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่มานี้ เป็น AC
มีการเปลี่ยนแปลงขั้วบวกและลบอยู่ตลอดเวลา ก็จะทาให้เกิดสนาม แม่เหล็กขึ้นรอบๆ ขดลวดของ
ตัวรับ สนามแม่เหล็กนี้จะไปผลัก หรือดูดกับสนามแม่เหล็กถาวรของตัวรับ แต่เนื่องจาก
แม่เหล็กถาวร ที่ตัวรับนั้นไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ขดลวดและแผ่นไดอะแฟรม
จึงเป็นฝ่ายที่ถูกผลักและดูดให้เคลื่อนที่ การที่ ไดอะแฟรม เคลื่อนที่
จึงเป็นการตีอากาศตามจังหวะของกระแสไฟฟ้าที่ส่งมา นั่นคือ เกิดเป็นคลื่นเสียงขึ้นมาในอากาศ
ทาให้ได้ยิน แต่อย่างไรก็ตาม กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากตัวส่งนี้มี ขนาดเล็กมาก
ถ้าหากใช้สายส่งยาวมาก จะไม่สามารถได้ยิน เสียงของผู้ ที่ส่งมา วิธีการของ ALEXANDER
GRAHAM BELL จึงไม่ประสบผลสาเร็จเท่าใดนัก แต่ก็เป็นเครื่องต้นแบบ ให้มีการพัฒนา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2420 THOMAS ALVA EDISON ได้ประดิษฐ์ ตัวส่งขึ้นมาใหม่ให้สามารถ
ส่งได้ไกล ขึ้นกว่าเดิมซึ่ง ตัวส่งที่ Edison ประดิษฐ์ขึ้นมา มีชื่อว่า คาร์บอน ทรานสมิทเตอร์ (Carbon
Transmitter) คาร์บอนทรานสมิทเตอร์ ให้กระแส ไฟฟ้าออกมาแรงมาก
9
ภาพที่ 1.3 THOMAS ALVA EDISON
ภาพที่ 1.4 ลักษณะของทรานสมิทเตอร์ (Transmitter)
10
เนื่องจากเมื่อมีเสียงมากระทบแผ่นไดอะแฟรม แผ่นไดอะแฟรมจะไปกดผง คาร์บอน (Carbon)
ทาให้ค่าความต้านทานของ ผงคาร์บอน เปลี่ยนแปลงไปตามแรงกด ดังนั้นแรงเคลื่อน
ตกคร่อมผงคาร์บอนจะเปลี่ยนแปลงด้วย เนื่องจากแรงเคลื่อน ที่จ่ายให้ คาร์บอน มีค่ามากพอสมควร
การเปลี่ยนแปลงแรงเคลื่อน จึงมีมากตามไปด้วย และการเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลง
ยอดของ DC ที่จ่ายให้คาร์บอน (ดังรูปที่ 1.4) ซึ่งเราอาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ก็คือ
AC ที่ขี่อยู่บนยอดของ DC นั่นเอง
รูปที่ 1.5 แสดงลักษณะของ AC ที่อยู่บนยอดของ DC
ดังนั้น เมื่อ DC ไปถึงไหน AC ก็ไปถึงนั่นเช่นกัน แต่ DC มีค่าประมาณ 6-12 Volts
(ค่าแรงเคลื่อนเลี้ยงสายโทรศัพท์ ขณะยกหู) ซึ่งมากพอที่จะวิ่งไปได้ระยะทาง ประมาณ 5 กิโลเมตร
นั่นคือ AC ที่เป็นสัญญาณเสียงก็ไปได้เช่นกัน หลังจากนี้ ก็ได้มี
การพัฒนาโทรศัพท์ขึ้นมาใช้งานมากมายหลายระบบตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
ซึ่งมีการพัฒนาทั้งระบบชุมสาย(Exchange) และ ตัวเครื่องโทรศัพท์ (Telephone Set) ด้วย
ให้สามารถใช้งานได้สะดวกสบาย และมี ประสิทธิภาพมากขึ้น
1.3 วิวัฒนำกำรโทรศัพท์ในประเทศไทย
" ตานานไปรษณีย์โทรเลขสยาม" พ.ศ. 2429 ถึง พ.ศ. 2468
ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับโทรศัพท์ในประเทศไทยไว้ว่า
ประเทศไทยได้นาเอาโทรศัพท์มาใช้เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2424 ตรงกับรัชกาลที่ 5
11
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกรมกลาโหม (กระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน)
ได้สั่งเข้ามาใช้งานในกิจการเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ โดยติดตั้งที่กรมอู่ทหารเรือกรุงเทพฯ 1 เครื่อง
และป้อมยามปากน้าเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการอีก 1 เครื่อง รวม 2 เครื่อง เพื่อจะได้แจ้งข่าวเรือ
เข้าออกในแม่น้าเจ้าพระยาให้ทางกรุงเทพฯทราบ
พ.ศ. 2429 กิจการโทรศัพท์ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น จานวนเลขหมายและบุคลากร ก็เพิ่มมากขึ้น
ยุ่งยากแก่การบริหารงาน ของกรมกลาโหม ดังนั้น กรมกลาโหม จึงได้โอนกิจการของโทรศัพท์
ให้ไปอยู่ใน การ ดูแลและดาเนินการ ของกรมไปรษณีย์ โทรเลข
ต่อมากรมไปรษณีย์โทรเลขก็ได้ขยายกิจการโทรศัพท์จากภาครัฐสู่เอกชนโดยให้ประชาชนมีโอกาส
ใช้โทรศัพท์ได้ในระยะนี้เครื่องที่ใช้จะเป็นระบบแม็กนีโต(Magneto)หรือระบบโลคอลแบตเตอรี่(L
ocalBattery)
พ.ศ. 2450 กรมไปรษณีย์โทรเลขได้สั่งโทรศัพท์ ระบบคอมมอนแบตเตอรี่ (Common Battery)
หรือ เซ็นทรัล แบตเตอรี่ (Central Battery) มาใช้ซึ่งสะดวกและประหยัดกว่าระบบแม็กนีโตมาก
พ.ศ. 2479 กรมไปรษณีย์โทรเลขได้สั่งซื้อชุมสายระบบสเต็บบายสเต็บ (Step by Step)
ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติ สามารถหมุนเลขหมายถึงกันโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านพนักงานต่อสาย
(Operator) เหมือนโลคอลแบตเตอรี่หรือเซ็นทรัลแบตเตอรี่
พ.ศ. 2497 เนื่องจากกิจการโทรศัพท์ได้เจริญก้าวหน้ามาก ประชาชนนิยมใช้
แพร่หลายไปทั่วประเทศ กิจการใหญ่ โตขึ้นมากทาให้การบริหารงานลาบากมากขึ้น
เพราะกรมไปรษณีย์โทรเลขต้องดูแลเรื่องอื่นอีกมาก ดังนั้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497
จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติตั้งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขึ้น โดยแยก
กองช่างโทรศัพท์กรมไปรษณีย์โทรเลขมาตั้งเป็นองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขึ้น
มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวง คมนาคมมาจนถึงปัจจุบัน
องค์การโทรศัพท์หลังจากที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นแล้ว ก็ได้รับโอนงานกิจการโทรศัพท์มาดูแล
พ.ศ. 2517 องค์การโทรศัพท์ก็สั่งซื้อชุมสายโทรศัพท์ระบบคอสบาร์ (Cross Bar)
มาใช้งานระบบคอสบาร์
เป็นระบบอัตโนมัติเหมือนระบบสเต็บบายสเต็บแต่ทันสมัยกว่าทางานได้เร็วกว่า
มีวงจรพูดได้มากกว่าและขนาดเล็กกว่า
พ.ศ. 2526 องค์การโทรศัพท์ได้นาระบบชุมสาย SPC (Storage Program Control) มาใช้งาน
ระบบ SPC เป็นระบบที่ควบคุมการทางานด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer) ทางานได้รวดเร็วมาก
ขนาดเล็กกินไฟน้อยและยังให้บริการเสริมด้านอื่นๆได้อีกด้วย
12
ในปัจจุบันชุมสายโทรศัพท์ที่ติดตั้งใหม่ๆ จะเป็นระบบ SPC ทั้งหมด ระบบอื่น ๆ เลิกผลิตแล้ว
ประเทศไทยเรากาลัง เร่งติดตั้งโทรศัพท์เพื่อให้พอใช้กับประชาชน ดังจะเห็นจากโครงการ 3
ล้านเลขหมายในแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 และโครงการอื่น ๆ ต่อไป
รวมทั้งวิทยุโทรศัพท์อีกด้วย เพื่อเสริมให้ระบบสื่อสารในประเทศไทยมีประสิทธิภาพ เอื้ออานวย
ต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป
2. วัตถุประสงค์ของกำรใช้โทรศัพท์
วัตถุประสงค์ของการใช้โทรศัพท์มือถือกับวัยรุ่นในปัจจุบันไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสารเพียงอย่
างเดียวเท่านั้นจะเห็นได้ว่าบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือต่างๆในตอนนี้ต่างก็แข่งขันกันทาลูกเล่นใหม่
ๆขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพราะในยุคที่มีการแข่งขันสูงการนาเทคโนโลยีที่ทัน
สมัยมาประยุกต์ใช้กับโทรศัพท์มือถือนั้นยิ่งทาให้มีความน่าสนใจมากขึ้นนอกจากจะโทรออกหรือรั
บสายได้แล้วยังสามารถทาอย่างอื่น ได้ เช่น ถ่ายภ าพ ถ่ายวีดี โอฟั งเพ ลง เล่น เกม
รวมถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและรับส่งอีเมล์ซึ่งเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการสื่อสารที่ไร้พรมแดน
จากผลสารวจของกรุงเทพโพลล์โดยเก็บข้อมูลจากวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานครที่ใช้โทรศัพท์มือถื
อ จานวนทั้งสิ้น 1,700 คน เป็นเพศชายร้อยละ 48.8 และเพศหญิงร้อยละ 51.2สรุปผลว่า มีดังนี้
- พูดคุยและส่ง SMS ร้อยละ 57.7
- ฟังเพลง ฟังวิทยุร้อยละ 20.3
- ถ่ายรูปถ่ายคลิปวีดีโอ ร้อยละ 11.6
- เล่นเกมร้อยละ 5.6
- เล่นอินเทอร์เน็ตร้อยละ 4.8
2.1 ข้อดีของกำรใช้โทรศัพท์มือถือ
1.ใช้สื่อสารทางไกลได้ สะดวกต่อการคุยงานหรือธุรกิจต่างๆได้
2.สามารถ ถ่ายภาพ ติดตามข่าวสาร ท่องอินเตอร์เน็ตได้สะดวกรวดเร็ว
13
3.ช่วยให้การทางานง่ายขึ้น บางทีอาจสามารถใช้แทนคอมพิวเตอร์ได้เลย
4.ช่วยในการตรวจสอบความถูกต้องหรือชี้นาเส้นทาง
กรณีที่ต้องเดินทางไปในสถานที่ไม่คุ้นเคย เพื่อป้องกันการขับรถหลงทาง
5.พกพาสะดวก
6.สามารถขอความช่วยเหลือได้ทันทีหากเกิดเหตุด่วน
7.ช่วยเตือนความจาได้
3.ผลกระทบเกิดจำกกำรใช้โทรศัพท์มือถือ
ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าการใช้โทรศัพท์มือถือส่งผลกระทบ
ต่อเซลล์และโครโมโซมของมนุษย์ทาให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้
แ ล ะ ยั ง มี ค ว า ม ส า คั ญ กั บ ก า ร เ กิ ด โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ที่ ส ม อ ง
ใ น ป ร ะ เ ท ศ อัง ก ฤ ษ มีก า ร ป ร ะ ก า ศ เ ตื อ น เด็ ก วัย รุ่น ที่ อ า ยุ ต่ า ก ว่า ๑ ๖ ปี
ใ ห้ ห ลี ก เ ลี่ ย ง ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ
เพราะเป็นวัยที่สมองเติบโตไม่เต็มที่โดยกะโหลกและสมองไม่สามารถต้านทานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า
และรังสีได้จากกรณีดังกล่าวทาให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่จะเป็นอันตรายต่อสุ
ขภาพ
กระ ท ร วง ส าธ ารณ สุ ข โด ยก รมก ารแ พ ท ย์ ก รมวิท ย าศ าส ต ร์ ก ารแ พ ท ย์
แล ะ ส ถาบัน มะ เร็ ง แ ห่ ง ช าติไ ด้ศึ ก ษ าแ ล ะ ติ ด ตามข้อมูล จากส ถ าบัน ต่าง ๆ
จ า ก ร า ย ง า น ล่ า สุ ด ข อ ง อ ง ค์ ก า ร อ น า มั ย โ ล ก เ มื่ อ ปี ๒ ๐ ๐ ๐
ใ น เ รื่ อ ง โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ กั บ ก า ร เ กิ ด โ ร ค ม ะ เ ร็ ง
ปั จจุ บัน ยัง ไม่มีห ลัก ฐ าน ชัด เจ น ที่ บ่ง บ อ ก ถึ ง ส าเห ตุ ข อ ง มะ เร็ ง ใ น ส มอ ง
14
ประกอบกับการศึกษาของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ American health
care foundation พ บว่า โทรศัพ ท์ มือถือ ไม่ได้ เพิ่ มโอก าส การเป็ น มะ เร็ ง ใ น สมอ ง
แต่อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์บางประเทศได้รายงานผลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้
าในสัตว์ทดลอง และในเนื้อเยื่อพบว่า ทาให้เซลล์แบ่งตัวเร็วกว่าปกติ
3.1 ผลกระทบทั่วไปที่เกิดขึ้น
ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สาคัญในชีวิตประจาวันของประชากรมากกว่า
๑.๔ พันล้านคนทั่วโลก สาหรับในประเทศไทยมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า ๒๐ ล้านคน
แ ล ะ มี แ น ว โ น้ ม ที่ จ ะ มี จ า น ว น ข อ ง ผู้ ใ ช้ ม า ก ขึ้ น ทุ ก ปี
โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์ทาให้การติดต่อสื่อสารด้วยวาจาพร้อมทั้งการส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างส
ะดวกและรวดเร็ว ช่วยให้ความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพ ท์มือถือแน บที่หู ครั้งละ น าน ๆ เป็ น เวลาห ลายปี
อ า จ มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ สุ ข ภ า พ ไ ด้ แ พ ท ย์
และนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเตือนว่าผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากการใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อ
กันเป็นเวลานาน อาจจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น ปวดศีรษะ มะเร็งสมอง
หู อั ก เ ส บ ม ะ เ ร็ ง ข อ ง เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว แ ล ะ ค ว า ม จ า เ สื่ อ ม
เป็นต้น จากคาเตือนดังกล่าวทาให้มีการวิจัยถึงผลกระทบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถื
อ ม า ก ขึ้ น
ในปัจจุบันข้อมูลที่ได้รับจากรายงานการวิจัยชี้ว่ายังมีข้อขัดแย้งกันเกี่ยวกับผลกระทบของคลื่นแม่เห
ล็กไฟฟ้ าจากโทรศัพท์มือถือกับการทาให้เกิดโรคต่าง ๆในมนุษย์แต่จากการศึกษาของนักวิชาการ
ผู้รู้ ผู้เกี่ยวข้อง จากในและต่างประเทศ สรุปได้ดังนี้
1. ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ แ น บ ไ ว้ ที่ หู น า น ๆ
เป็นเวลาหลายปี น่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดยมีรายงานการวิจัยในหลอดทดลองพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า (Electromagnetic Wave)
ที่เกิดจากการรับ - ส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือซึ่งมีความถี่อยู่ใน ช่วงคลื่นไมโครเวฟนั้ น
สามารถทาให้เกิดความร้อน และทาร้ายเซลล์ภายใน เนื้ อเยื่อบริเวณหูตา และสมอง
15
ท า ใ ห้ เ กิ ด ผ ล ก ร ะ ท บ กั บ ผู้ ใ ช้
คือ ผลในระยะสั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าจากโทรศัพท์มือถือจะทาให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ปวดหู
ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และเครียดเนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน
น อ น ไ ม่ห ลั บ เ นื่ อ ง จ า ก มี ก า ร ห ลั่ ง ฮ อ ร์ โ ม น เม ล า โ ต นิ น ( melatonin)
ซึ่งทาหน้าที่ควบคุมการนอนหลับในร่างกายลดลง และคลื่นสมองมีการเปลี่ยนแปลงไป
ผลใน ระยะยาว คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าจากโทรศัพท์มือถืออาจทาให้เกิดโรคความจาเสื่อม
เ นื่ อ ง จ า ก เ นื้ อ เ ยื่ อ ส ม อ ง ถู ก ท า ล า ย
โรคมะเร็งสมองเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองมีการเปลี่ยน แปลงทางพันธุกรรมไปจากปกติ
โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ข อ ง เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว เ ช่ น leukemia แ ล ะ lymphoma เ ป็ น ต้ น
แ ต่ อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ผ ล ก า ร วิ จั ย ต่ า ง ๆ
เกี่ยวกับผลกระทบในการทาให้เกิดโรคความจาเสื่อมและโรคมะเร็งนั้น ยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่
แ ล ะ ยั ง ห า ข้ อ ส รุ ป ที่ ชั ด เ จ น ไ ม่ ไ ด้
ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทุกคนก็ควรจะตระหนักและระมัดระวังในการใช้ข้อแนะนาในขณะนี้ คือ
ไม่ควรพูดโทรศัพท์นานหรือใช้ถี่เกินไป และควรใช้เครื่องแบบ smalltalk หรือ hand free
ดังนั้นรัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสมควรสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จ
จริงของเรื่องนี้ในคนไทยต่อไป
2. เนื่ องจากเป็ น คลื่น แม่เห ล็กไฟ ฟ้ า การที่จะต้องรับสัมผัสเป็ น เวลาน าน ๆ
จึงก่อให้เกิดความกังวลว่า อาจจะเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งหรือเนื้องอกของสมองได้
อย่างไรก็ตามจากรายงานการศึกษาล่าสุด ยังไม่มีการศึกษาใดที่จะพิสูจน์สมมติฐานอันนี้ได้
นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งของสมองเป็นไปได้น้อยมาก
เนื่ อ ง จ าก ป ริ ม าณ ก า ร รั บ สั ม ผั ส กับ ค ลื่ น รั ง สี ( Radiofrequency (RF) exposure)
ในขณะที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานของ InternationalRF
guidelinesในทานองตรงกันข้ามจากการศึกษาของ Hardell และคณะในประเทศสวีเดน พบว่า
แม้จะไม่มีความแตกต่างของความชุกของโรคมะเร็งของสมองในกลุ่มผู้ใช้และผู้ไม่ใช้โทรศัพท์มือถื
อ
แต่มีการพบความสัมพันธ์ของการตรวจพบก้อนเนื้องอกของสมองในข้างเดียวกันกับด้านที่ใช้โทรศั
16
พ ท์ มือถื อใ น ก ลุ่มขอ ง ผู้ใ ช้เท่าที่ ผ่าน มา ข้อ จากัด ข อง ก ารศึก ษ าใ น ปั จจุบั น
อาจจะ เนื่ อง มาจากระ ยะ เวลาการรับ สั มผัส ( duration of exposura) ยัง สั้ น เกิน ไป
มีปั จจัย ก ว น มาก แ ล ะ ก าร เก็บ ข้อ มู ล ป ระ วัติ ก าร รับ สั มผัส ( doseof exposure)
ยังไม่ดีพอ
3. จ าก ก าร ศึ ก ษ าโ ด ย Sandstrom แ ล ะ ค ณ ะ ใ น ป ร ะ เท ศ น อ ร์ เ วย์ พ บ ว่า
เ ค รื่ อ ง ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ ใ น ร ะ บ บ ดิ จิ ต อ ล ( GSM)
ไม่ได้ก่อให้เกิดอาการผิดปกติใน ผู้ใช้มากไปกว่าเครื่ องใน ระ บบอน าล็อก ( NMT)
น อ ก จ า ก นี้ อ า ก า ร ผิ ด ป ก ติ คื อ อ า ก า ร ร้ อ น บ ริ เ ว ณ ร อ บ ๆ หู
ยังมีการรายงานในกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในระบบดิจิตอลน้อยกว่าด้วย
4. ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ใ น เ ด็ ก เ ล็ ก ที่ มี อ า ยุ ต่ า ก ว่า ๑ ๐ ข ว บ
จะมีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าในผู้ใหญ่ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถผ่านกะโหลกศีรษ
ะของเด็กเข้าสู่เนื้อเยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่
5. ใ น บ ริ เ ว ณ ที่ มี สั ญ ญ า ณ ค ลื่ น โ ท ร ศั พ ท์ จ า ก ส ถ า นี ส่ ง ต่ า
ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจะได้รับผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าของโทรศัพท์มือถือมากกว่าปกติ
เนื่องจากโทรศัพท์มือถือจะเพิ่มพลังในการส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาสูงมาก
6. ก า ร ใ ช้ อุ ป ก ร ณ์ หู ฟั ง ( small talk ห รื อ hand free)
จะทาให้ผู้ใช้ได้รับผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ผ่านเข้าสู่สมองน้อยกว่าการใช้โทรศัพท์มือถื
อที่แนบหูโดยตรง
7.การโทรไม่ติดห รือห ลุดบ่อยทาให้ อารมณ์เสี ย ห งุดห งิ ด สุ ขภ าพ จิตเสื่ อมลง
กล้ามเนื้อคอหัวไหล่มักจะเกร็งเนื่องจากต้องถือโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาและบางครั้งยังต้องพยายามเอี
ย ง ค อ แ ล ะ ใ ช้ มื อ ดั น โ ท ร ศั พ ท์ ใ ห้ แ น บ ติ ด กั บ ใ บ หู อ ยู่ต ล อ ด เ ว ล า
ก า ร เก ร็ ง ตั ว ข อ ง ก ล้ าม เ นื้ อ ค อ เป็ น อี ก ส าเ ห ตุ ห นึ่ ง ที่ ท าใ ห้ ป ว ด ศี ร ษ ะ
เพ ราะเมื่อกล้ามเนื้อห ดตัวตลอดเวลาหลอดเลือดจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพ อ
การแ ก้ไข อาจต้อง ใ ช้โท รศัพ ท์ ที่ มีขน าดเบ าอย่าคุยโท รศัพ ท์ น าน เกิน คว ร
17
และถ้าอยู่ใน รถอาจผ่าน ขยายเครื่องขยายเสี ยงและ ใช้ไมโครโฟ น ใน การสน ทน า
ซึ่งในกรณีนี้นอกจากจะไม่เป็นผลเสีย ต่อสุขภาพแล้วยังลดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงได้
8.
ถ่านไฟที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือประกอบด้วยสารอันตรายหลายชนิดไส้แบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือ
ที่ท่านต้องเปลี่ยนตามเวลาทุก 12-18เดือนนั้นไส้แบตเตอรี่ที่ใช้ในถ่านโทรศัพท์มือถือมี2ชนิด คือ
ช นิ ด NICAD(Nickel Cadmium Cells) แ ล ะ Hydride (Nickel Metal Hydride
Cells) สารประกอบที่ใช้ในถ่านชนิดแรกคือ NICADจัดเป็นขยะอันตรายที่จะก่อโทษกับสุขภาพของ
คน แล ะ เกิดม ลภ าวะ ใ น สิ่ งแ วดล้อ มได้ เนื่ อง จาก ขั้วลบ ขอ ง ถ่าน ช นิ ดนี้ เป็ น
แ ค ด เ มี ย ม ไ ฮ ด ร อ ก ไ ซ ด์
เมื่อบรรจุไฟแล้วจะกลายสภาพเป็ นแคดเมียมซึ่งเป็ นสารก่อพิษในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก
แคดเมียมเป็นโลหะหนักมีอยู่ในธรรมชาติจานวนน้อย หากได้รับเข้าไปทีละน้อยจากการหายใจ
กิน ห รือดื่มก็จะ เกิดพิ ษเรื้อรังที ละ น้อย ด้วยอาการสาคัญ คือ ไตอักเส บ ไตวาย
ข้ อ เ สื่ อ ม ถุ ง ล ม ป อ ด โ ป่ ง พ อ ง ร ะ บ บ ห า ย ใ จ ผิ ด ป ก ติ
แ ล ะ ท าใ ห้ เกิ ด ม ะ เร็ ง ใ น อ วัย ว ะ ห ล า ย ช นิ ด ที่ น่ า ก ลั ว คื อ แ ค ด เมี ย ม ที่
ถู ก ทิ้ ง จ า ก ก าร อุ ต ส าห ก ร ร ม ห รื อ แ บ ต เ ต อ รี่ จ ะ ป น เ ปื้ อ น เข้า ใ น ดิ น น้ า
ซึ่งสัตว์และพืชจะรับเข้าไปในตัวเมื่อคนกินสัตว์หรือพืชเข้าไปก็จะได้รับแคดเมียมสะสมเข้าไปในป
ริมาณที่เกิดพิษได้ง่ายขณะนี้ตัวเลขที่ได้จากการจดทะเบียนมือถือทั่วประเทศมีจานวนมากและมีจาน
วน ไม่น้อยที่ใช้แบตเตอรี่แบบ NICADซึ่งแต่ละก้อน จะมีอายุการใช้งานประมาณ 1ปี
ดังนั้นจะมีแบตเตอรี่NICADเป็นพิษทิ้งจานวนหลายล้านก้อนต่อปีขณะนี้มีประชาชนที่รู้ถึงพิษของ
ขยะ อัน ตราย แ ละ พ ยายามแ ยก ข ยะ แ ต่ก็ไม่ส าม าร ถที่ จ ะ ห าที่ ทิ้ ง ที่ ถูก ต้อ ง
ห รื อ ห า ห น่ ว ย ง า น ที่ รั บ ผิ ด ช อ บ โ ด ย ต ร ง ไ ด้
9. การขับรถการใช้โทรศัพท์มือถือทาให้มีอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น
10.กล้องโทรศัพท์มือถือในหลายๆครั้งพบว่ากล้องของโทรศัพท์มือถือถูกนามาใช้ในทางเสีย
เช่นคลิปวิดีโอแอบถ่าย รูปภาพแอบถ่าย เป็นต้น
11. ทาให้เกิดอาชญากรรมอันถึงแก่ชีวิตได้หากโทรศัพท์สะดุดเข้าตาโจร
18
12.การรบกวนของคลื่น วิทยุจะรบกวน การทางานของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น
เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ Pacemaker, defibrillatorและอาจจะมีผลต่อการควบคุมการบิน
3.2กำรแผ่รังสี ของตัวโทรศัพท์มือถือ
โดยสิ่งที่ได้รับการกล่าวถึง ในด้านอันตรายที่สุดก็คือ การแผ่รังสี ของตัวโทรศัพท์เอง
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสิ่งมีชีวิตหากได้รับรังสีในปริมาณมากๆ ยิ่งมีความเข้มของรังสีสูงแล้ว
ย่อมทาอันตรายถึงชีวิตได้ โดยโรคที่คาดว่าจะก่อให้เกิดได้จากการรับรังสีจากมือถือ ก็คือ
มะเร็งใน สมอง องค์การอาห ารและยาของอเมริกา ยอมรับว่า คลื่น ความถี่รังสี วิทยุ
ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น สิ่ ง มี
ชีวิต (เช่น ไมโครเวฟ) และในโทรศัพท์มือถือ ก็ก่อให้เกิดรังสีประเภทนี้ แม้ในภ าวะปกติ
จะพบรังสีนี้อยู่น้อยมากแต่เมื่อเกิดการสื่อสาร พูดคุย ปริมาณรังสีก็จะมากขึ้น โดยในปีหนึ่ งๆ
มีผู้ป่วยด้วยมะเร็งในสมองเป็นอัตรา6คนต่อ1แสนคนถ้ามีผู้ใช้โทรศัพท์ 80ล้านคน ก็จะมีผู้ป่วยถึง
4800คนในแต่ละปี แต่ก็ไม่ได้ฟันธงลงไปว่า ผู้ป่วยเป็นมะเร็งเพราะใช้มือถือ ได้แต่เพียงเตือนว่า
ผู้ ใ ช้
มือถือมีโอกาสเป็นมะเร็งในสมองสูงกว่าผู้ไม่ได้ใช้เท่านั้นเอง นายแพทย์สักกะ ณตะกั่วทุ่ง แพทย์หู
คอจมูกประจาโรงพยาบาลพญาไทกล่าวว่าสิ่งที่วงการแพทย์สามารถยืนยันได้ถึงผลกระทบดังกล่าว
ในขณะนี้ก็คือการคุยโทรศัพท์เคลื่อนที่นานๆผู้ใช้อาจเกิดอาการปวดศีรษะ,ผิวหนังเหี่ยวย่น,
ความจาแย่ลง ขณะเดียวกัน ยังมีข้อสมมติฐานที่ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าของโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจ
ทาให้เกิดการรั่วของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะสะสมในระบบหมุนเวียนโลหิต
ส่งผลให้เกิดโรคความดันสูงนอกจากนี้ยังทาให้เยื่อหุ้มสมองเสื่อมเป็นผลให้เกิดโรคความจาเสื่อม
และอัลไซเมอร์ได้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวแจ้งว่ามะเร็งของสมองต้องใช้เวลาก่อตัวหลายสิบปี
ก่ อ น ห น้ า นี้ ร า ช ส ม า ค ม ใ น ล อ น ด อ น
ก็เคยเปิ ดเผยรายงาน ผลการศึกษ าว่าผู้ให ญ่ที่ใช้โทรศัพ ท์มือถือมาก่อน อายุ 20ปี
เสี่ยงกับการจะเป็นมะเร็งสมองเมื่อตอนอายุ29ปี ยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้ใช้ถึง 5เท่า ดร.คาร์เปนเตอร์
ชี้ ว่า “มัน อ า จจ ะ เป็ น กับ ศี ร ษ ะ ท าง ด้าน ที่ ใ ช้ พู ด โ ท ร ศัพ ท์ ” แ ล ะ ก ล่าว ว่า
“เ ด็ ก ทุ ก ค น พ า กั น ใ ช้ มั น ต ล อ ด เ ว ล า
19
และทั้งโลกพากันใช้โทรศัพท์มือถือมากถึง3พันล้านเครื่องเขาเรียกร้องว่าควรจะมีการติดคาเตือนให้
กับโทรศัพท์มือถือเหมือนกับตามซองบุหรี่เสียนอกจากนี้ยังมีคาเตือนจากแพทย์ว่าผู้ชายไม่ควรพกมื
อ ถื อ ที่ เ อ ว เ สี่ ย ง รั บ ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ ไ ข ก ร ะ ดู ก แ ล ะ อั ณ ฑ ะ
ส่วนกรณีโรคหัวใจไม่ควรพกใส่กระเป๋ าเสื้อแม้ไม่มีผลยืนยันชัดเจนแต่ต้องป้ องกันไว้ก่อน
อีกทั้งไม่ควรโทรนานเกิน 15 นาที เพราะอาจส่งผลต่อการทางานของสมองและระบบเม็ดเลือดแดง
3.3 โทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก่อให้เกิดขยะได้
คง มีน้ อ ยค น ที่ รู้ว่าใ น แ บ ต เต อรี่ โท รศัพ ท์ มือ ถือ ที่ เร าใ ช้กัน อ ยู่ทุ ก วัน นี้
จะมีส่วนประกอบที่เป็นสารโลหะหนักผสมอยู่ไส้แบตเตอรี่ ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มี 2ชนิดคือ... ชนิด
NICAD (Nickel Cadmium Cells) แ ล ะ ช นิ ด HYDRIDE (Nickel Metal Hydride
Cells)สารประกอบที่ใช้ในถ่านชนิด NICADจัดเป็นขยะอันตรายที่ก่อให้เกิดโทษกับสุขภาพของคน
และเกิดมลพิษในสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก ขั้วลบของถ่านชนิดนี้เป็น "แคดเมียม ไฮดรอกไซด์"
เมื่อบรรจุไฟแล้วจะกลายสภาพเป็ นแคดเมียมเป็นสารก่อพิษในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก
แ ค ด เ มี ย ม เ ป็ น โ ล ห ะ ห นั ก
มีอยู่ในธรรมชาติแต่เป็นจานวนน้อยซึ่งหากร่างกายได้รับเข้าไปทีละน้อยจากการหายใจ-กิน-
ดื่มก็จะเกิดพิษเรื้อรัง ทีละน้อย จนที่สุดอาจก่อให้เกิดอาการ... ระบบหายใจผิดปกติ ไตอักเสบ
ไตวาย ข้อเสื่ อม ถุง ลมโป่ ง พ อง และ ทาให้ เกิด มะ เร็ง ใน อวัยวะ ได้ห ลายช นิ ด
" แ ค ด เ มี ย ม ที่ ถู ก ทิ้ ง ห รื อ ป น เ ปื้ อ น เ ข้ า ใ น ดิ น -น้ า ห า ก
สัตว์หรือพืชรับเข้าไปเมื่อคนกินสัตว์หรือพืชเข้าไปก็จะได้รับแคดเมียมสะสมเข้าไปในปริมาณที่เกิด
พิษได้ง่าย"นิ กเกิลกับแคดเมียมก็เป็ น อีกสาเห ตุ ที่ก่อให้เกิด"โรคช นิ ดให ม่" ขึ้น มา
ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็อาจสายไปเสียแล้วและแม้ว่าบางบริษัทผู้ผลิตจะบอกว่าโทรศัพท์หรือแบตเตอรี่ทามา
จาก"แมงกานีส" ซึ่งมีพิษน้อย จึงไม่เรียกคืน แต่แมงกานีสนี้ก็เป็นอันตรายต่อมนุษย์เหมือนกัน
3.4 สำรโลหะหนักที่อยู่ในแบตเตอรี่ประกอบด้วย
1.แคดเมียมซึ่งหากสะสมในร่างกายในปริมาณถึงระดับหนึ่ งก็จะก่อให้เกิดโรคไตวายได้
และเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งโดยการสูดดม
20
2.ตะกั่ว เป็นสารก่อมะเร็ง และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางระบบย่อยอาหาร ไต โลหิต
หัวใจ การพัฒนาของทารกในครรภ์
3.ลิเธียมก่อให้เกิดการการระเคืองต่อจมูกลาคอ ทาให้หายใจติดขัดถ้ากลืนกินเข้าไปจะมีฤทธิ์
กั ด ก ร่ อ น ท า ใ ห้ เ กิ ด อ า ก า ร เ จ็ บ ค อ ป ว ด ท้ อ ง แ ล ะ อ า เ จี ย น ไ ด้
ถ้าเข้าตาจะทาให้เกิดการระคายเคืองและอาจทาให้ตาบอด
4. ทองแดง ทาให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ และเป็นอันตรายหากกลืนกิน
5. นิ เกิล เป็ น ส ารก่อมะ เร็ ง เมื่อห ายใ จเข้าไปอาจท าใ ห้ เกิดอ าการห อบ หื ด
ห ล อ ด ล ม อั ก เ ส บ ห า ย ใ จ ติ ด ขั ด แ ล ะ ท า ใ ห้ ผิ ว ห นั ง อั ก เ ส บ
และถ้ากลืนหรือกินเข้าไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
3.5 โรคที่เกิดจำกกำรใช้โทรศัพท์มือถือที่มีผลกระทบในเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตคนไทย
1.โรคเห่อตามแฟชั่นโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นนิยมเปลี่ยนมือถือตามแฟชั่นเพื่อให้อินเทรนด์
ดูทันสมัยไม่ตกรุ่นทัดเทียมเพื่อนดังนั้นมือถือจึงกลายเป็นเครื่องประดับที่บ่งบอกสถานภาพทางสังค
มอีกทางหนึ่ง
2. โ ร ค ท รั พ ย์ จ า ง
ซึ่งหลายคนต้องหาเงินเพื่อมาซื้อมือถือรุ่นใหม่ทั้งนี้บางคนไม่มีเงินแต่รสนิยมสูงจึงเกิดสภาวะทรัพย์
จางต้องไปกู้ยืมหนี้ยืมสินมาซื้อมือถือ เป็นต้น
3.โรคขาดความอดทนและใจร้อนเนื่องจากคุณสมบัติของโทรศัพท์มือถือกดปุ๊ บต้อง ติดปั๊บ
ทาให้หลายคนกลายเป็ นคนไม่มีความอดทนแม้แต่เรื่องเล็กๆ เช่น นัดเพื่อนไว้ช้าแค่5นาที
ต้องโทรตาม จึงกลายเป็นคนเร่งรีบ ร้อนรน และไม่รอบคอบ
21
4.โรคขาดกาลเทศะและไร้มารยาทซึ่งการโทรศัพท์ไปหาบุคคลที่เราอยากจะพูด
ทุ ก เว ล าโ ด ยไ ม่ดู เว ล าห รื อ ก าล เท ศ ะ ที่ ค วร โท ร บ าง ค น โท รข า ยป ระ กัน
ขายเครื่องกรองน้าชวนสมัครบัตรเครดิตทั้งๆที่ไม่รู้จักกันทาให้ผู้รับสายเกิดความราคาญใจ
5.โรค ขาดมนุ ษ ยสั มพัน ธ์ คน ส่วน ใ ห ญ่จะ ใช้มือถือ พูด คุยกับ ญ าติส นิ ท
ขาดความใส่ใจที่จะสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นหลบมุมโทรไปคุยกับเพื่อนแทนที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ผู้ปก
ครองหรือทกิจกรรมที่ทาให้ความสัมพันธ์ในบ้านห่างเหินซึ่งจะเกิดอาการเฉาหรือเหงาหงอยกลายเป็
นคนแยกตัวออกจากสังคมมีโลกของตัวเองและเป็นโรคติดโทรศัพท์ในที่สุด
6.โรคไม่จริงใจ เนื่องจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ไม่ต้องเห็นหน้าตาท่าทาง สายตาและ
ปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ทาให้หลายคนสามารถใช้คาหวานหลอกลวงหรือพูดโกหกผู้อื่น
หรือนิยมส่ง sms ไปยังอีกฝ่าย ทาเสมือนรักใคร่ ผูกพันหรือห่วงใย
3.6 โรคยอดฮิตที่มำกับกำรติดมือถือ
โรคติดโทรศัพท์มือถือนั้นมืชื่อเรียกในภาษาการแพทย์ว่า “โนโมโฟเบีย”ถือเป็นโรคสมัยใหม่
ที่ YouGov ซึ่ งเป็ นองค์การวิจัยของสห ราชอาณาจักร บัญญัติศัพ ท์คานี้ ออกมาเรียกใช้
โดยการนาคาว่า no-mobile-phone มารวมกับคาว่า phobia ซึ่งหมายถึงโรคกลัวในทางจิตเวช
จัดอยู่ในกลุ่มวิตกกังวล เป็นความกลัวที่มากกว่าความกลัวทั่วๆ ไปคนที่ เป็ นโรคโนโมโฟเบีย
จะมีอาการเครียด คลื่นไส้ ตัวสั่น เป็นอาการเกิดจากความหวาดกลัวในการขาดโทรศัพท์มือถือ
ไม่มีโท รศัพ ท์ อ ยู่ติ ดกับ ตัว รวมไป ถึ ง คว ามเครี ย ดเมื่ออ ยู่ใ น จุ ดอับ สั ญ ญ าณ
ความกังวลเมื่อเเบตเตอรี่หมด กลัวที่จะไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับใครได้
การบ่งบอกสัญญาณของโรคติดมือถือ เช่น หมกมุ่นอยู่กับการเช็คมือถือตลอดเวลา
กังวลไปว่ามือถือจะหายคอยตรวจเช็คดูตลอด ต้องวางมือถือไว้ในจุดที่เอื้อมหยิบถึงได้ตลอดเวลา
ใ ช้ เ ว ล า กั บ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ม า ก ว่า ส น ท น า กั บ ค น ร อ บ ข้ า ง
ก่อ น ท า น อ า ห า ร ต้ อ ง ถ่ า ย รู ป เ พื่ อ โ พ ส ล ง โ ซ เ ชี่ ย ล เ น็ ต เ วิ ร์ ค
โ พ ส รู ป แ ล ะ ค ว า ม รู้ สึ ก ล ง ใ น สื่ อ อ อ น ไ ล น์ ต ล อ ด เ ว ล า
วันละหลายครั้ง และทีนี้มาดูผลกระทบต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายกันบ้าง
อำกำรปวดเมื่อย
22
อาการปวดเมื่อย คอ บ่าไหล่ถือเป็นอาการลาดับแรกๆที่เป็นผลมาจากการนั่งเกร็งในท่าเดิมๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเวลาที่เราเพ่งดูหน้าจอนั้น ท่าทางรายการของเราก็จะค่อยค้อมลง ตัวงอและงุ้ม
ส่ ง ผ ล ใ ห้ ล้ า ไ ป ทั้ ง ค อ แ ล ะ บ่ า แ ล ะ อ า จ ส่ ง ผ ล ไ ป ถึ ง ก า ร ป ว ด ศี ร ษ ะ
เพ รา ะ เลื อ ด ที่ ไ ป เ ลี้ ยง ส ม อ ง นั้ น ต้อ ง ไ ห ล ผ่า น ก ล้าม เ นื้ อ ส่ วน บ่า ต้น ค อ
เมื่อ เกิด อ าก ารเก ร็ ง จน ก ล้ามเนื้ อ บิ ด ท าใ ห้ เลื อ ด ไห ล เวีย น ไม่ส ะ ด ว ก นั ก
เ มื่ อ เ ป็ น บ่ อ ย ค รั้ ง เ ข้ า จ ะ ท า ใ ห้ รู้ สึ ก ป ว ด ศี ร ษ ะ ไ ด้
หากเกิดอาการนี้กับเด็กหรือวัยรุ่นจะส่งผลให้กระดูกหรือหมอนรองกระดูกเสื่อก่อนวันอันควรอีกด้
วยนอกจากปวดเมื่อยแล้วจากการนั่งหลังงุ้มแล้ว ยังส่งผลต่อโรคระบบทางเดินหายใจ
เมื่ อ นั่ ง ห ลั ง งุ้ ม จ ะ ท า ใ ห้ ห า ย ใ จ ไ ม่สุ ด ป อ ด ห า ย ใ จ สั้ น แ ล ะ ติ ด ขั ด
ส่งผลต่อการขับของเสียหรือเชื้อโรคในทางเดินหายใจที่ถูกจากัดลง
อำกำรตำเสื่อม
การจ้องหน้าจอนานๆ ทาให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาเกร็งตัว
เมื่อมองแสงสีของภาพจากจอที่ฉูดฉาด เคลื่อนที่เร็ว ทาให้ประสาทตาล้า เกิดอาการตาแห้ง
ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้บ่อยครั้งเข้าก็จะส่งผลให้ประสาทตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
อำกำรนิ้วล็อก
การใช้มือถือจิ้มที่หน้าจอบ่อยๆ นานๆ อาจทาให้เป็นอาการนิ้วล็อก นิ้วชา ปวดข้อมือ
อาจะถึงขั้นเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ ลักษณะอาการนิ้วล็อกให้สังเกตจาก จะเริ่มกามือไม่ค่อยลง
มือและ นิ้ วแข็ ง กาแล้วเห ยียดขึ้ น ไม่ได้ เมื่อตื่น น อน ขึ้ น มายิ่ง รู้สึ กมือแข็ง มาก
รู้สึกปวดเมื่อยมือและนิ้ว ให้สงสัยได้เลยว่าคุณกาลังเป็นโรคนิ้วล็อก ควรพบแพทย์เพื่อรักษาต่อไป
อำกำรอ้วนและโรคเกี่ยวกับกระเพำะอำหำร
ก า ร นั่ ง อ ยู่ กั บ ที่ น า น ๆ ท า ใ ห้ ร่ า ง ก า ย ไ ม่ เ กิ ด ก า ร เ ผ า ผ ล า ญ
อาห ารถูกพ อกพูน เป็ น ไขมัน ส ะสมโดยเฉพ าะ บริ เวณ ห น้าท้อง ก้น และ ต้น ขา
เกิดการสะสมเซลลูไลท์ นอกจากจะทาให้อ้วนขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพของกระเพาะอาหาร
อาหารย่อยยาก ท้องอืด ลาไส้อ่อนแรง เพราะไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวของลาไส้
3.7 โรคซีวีเอส
น าย แ พ ท ย์ สุ พ ร ร ณ ศ รี ธ ร ร ม ม า อ ธิ บ ดี ก ร ม ก า ร แ พ ท ย์ เปิ ด เผ ย ว่า
ก า ร ใ ช้ ง า น โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ส ม า ร์ ท โ ฟ น แ ท็ บ เ ล็ ต
และคอมพิวเตอร์ที่มากเกินความจาเป็นอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ซึ่งหนึ่งในโรคที่อาจส่งกระทบต่
23
อ สุ ข ภ า พ คื อ "ค อ ม พิ ว เต อ ร์ วิ ชั่ น ซิ น โด ร ม " (Computer Vision Syndrome)
หรือ "โรคซีวีเอส" คน ที่ทางานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็ น เวลาน าน ๆ เช่น
เ กิ น ส อ ง ถึ ง ส า ม ชั่ ว โ ม ง มั ก จ ะ มี อ า ก า ร ป ว ด ต า แ ส บ ต า ต า มั ว
แ ล ะ บ่ อ ย ค รั้ ง ที่ จ ะ มี อ า ก า ร ป ว ด หั ว ร่ ว ม ด้ ว ย
ทั้งนี้อาการทางสายตาเหล่านี้ เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป
อาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
อ า ก า ร ใ น บ า ง ค น อ า จ เ ป็ น เ ล็ ก ๆ น้ อ ย ๆ ไ ม่บั่ น ท อ น ก า ร ท า ง า น
หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็ นวันก็หายไป
บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ
ส่ ว น ส า เ ห ตุ ข อ ง โ ร ค ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ วิ ชั่ น ซิ น โ ด ร ม
เกิดจากการใช้คอมพิ วเตอร์ห รือโทรศัพ ท์มือถือน าน ๆ และ ไม่ค่อยกระ พ ริ บตา
ห าก เราอ่าน ห นั ง สื อห รื อนั่ ง จ้อง ค อม พิ วเตอ ร์ อัตราการก ระ พ ริ บจ ะ ล ดล ง
ป ร ะ ก อ บ กั บ แ ส ง ส ะ ท้ อ น จ า ก จ อ ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ท า ใ ห้ ต า เ มื่ อ ย ล้ า
ทั้ง แส งจ้าและ แส ง สะ ท้อน มายังจอภ าพ อ าจเกิดจากแส ง สว่าง ไม่พ อเห มาะ
มี ไ ฟ ส่ อ ง เ ข้ า ห น้ า ห รื อ ห ลั ง จ อ ภ า พ โ ด ย ต ร ง
ห รื อ แ ม้ แ ต่ แ ส ง ส ว่า ง จ า ก ห น้ า ต่ า ง ป ะ ท ะ ห น้ า จ อ ภ า พ โ ด ย ต ร ง
ก่อ ใ ห้ เกิ ด แ ส ง จ้ าแ ล ะ แ ส ง ส ะ ท้ อ น เข้ าต า ผู้ ใ ช้ ท า ใ ห้ เมื่ อ ย ล้ า ต า ง่า ย
หรือระยะทางานที่ห่างจากจอภาพไม่เหมาะสม มีสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวไม่มาก
โ ด ย ก า ร ท า ง า น ต า ม ป ก ติ ไ ม่ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด อ า ก า ร
แต่ถ้ามาทางานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะก่ออาการเมื่อยล้าตาได้นอกจากนี้บางรายมีโรคตาบางอย่างปร
ะจาตัวอยู่เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ตลอดจนโรคทางกาย เช่น
ไ ซ นั ส อั ก เ ส บ โ ร ค ห วั ด ภู มิ แ พ้ เ รื้ อ รั ง ห รื อ ร่ า ง ก า ย อ่ อ น เ พ ลี ย
ทาให้ต้องปรับสายตามากเวลาใช้คอมพิวเตอร์ จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยตาได้ง่า ย
อี ก ทั้ ง ก า ร ท า ง า น จ้ อ ง จ อ ภ า พ น า น เ กิ น ไ ป
ย่อมเกิดอาการทางตาได้ง่ายจากการเกร็งกล้ามเนื้อตาตลอดเวลา
24
3.8 แบคทีเรียบนหน้ำจอมือถือ
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ
ทาการเพาะเชื้อแบคทีเรียที่ได้จากสมาร์ทโฟน
ซึ่งเกิดจากมือของเราที่ทานอาหารขณะเล่นมือถือไปด้วย
เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายกับตัวมนุษย์ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่เรียกว่า
“สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส” ซึ่งอาจทาให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษได้
ภาพที่ 3.1 ภาพซูมจากกล้องจุลทรรศน์ เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในหน้าจอของโทรศัพท์
25
4. กำรใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกวิธีและลดกำรเกิดผลกระทบ
4.1 กำรใช้โทรศัพท์มือถือ อย่ำงถูกวิธีเพื่อถนอมสำยตำ
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 2
ขอ ง เดื อ น ตุ ล าค ม ทุ ก ปี อ ง ค์ ก ารอ น ามัยโ ล ก ( World Health Organization : WHO)
กาห น ดใ ห้เป็ น วัน สายตาโลก (World Sight Day) ใน ปี 2557 นี้ ตรง กับวัน ที่ 9 ตุลาคม
เพื่อให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกรณรงค์ป้ องกันแก้ไขปัญหาตาบอด ปัญหาสายตาเลือนราง
องค์การอนามัยโลกรายงานพบประชากรโลกตาบอดปีละประมาณ 7ล้านคน สาเหตุร้อยละ 80
สามารถป้ องกันได้ส่วนใหญ่มาจากปัญหาตาต้อกระจก ผู้ที่มีปัญหาความพิการทางสายตา
ซึ่ ง น อ กจ ากจ ะ ท าใ ห้ เกิดค วามทุ ก ข์ ท ร มาน ใ น ก ารใ ช้ ชี วิต ป ร ะ จาวัน แ ล้ว
ยังทาให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และอาจทาให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้
โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุ
น า ย แ พ ท ย์ ณ ร ง ค์ ก ล่ า ว ต่ อ ว่ า ส า ห รั บ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย
ข้อมูลผลส ารวจจากส านั กส่งเสริ มและ พัฒ น าคุณ ภ าพ ชีวิตคน พิ การแห่ง ช าติ
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ล่าสุดในเดือนกันยายน 2557ทั่วประเทศ
มีผู้พิการทางการมองเห็น 171,597คน โดยโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดที่สาคัญ 5 โรค ได้แก่
โรคต้อกระจก ต้อหิน โรคของจอตา โรคที่ทาให้ตาบอดใน เด็ก และโรคของกระจกตา
จากการสารวจล่าสุดในช่วงปี 2549-2550พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอดร้อยละ 0.59
แ ล ะ ส า ย ต า เ ลื อ น ร า ง ร้ อ ย ล ะ 1.57
กระทรวงสาธารณ สุขได้เร่ง แก้ไขและป้ องกัน โดยเฉพ าะใน กลุ่มผู้ป่ วยเบาห วาน
จะ มีความเสี่ ยง เกิดเบ าห วาน ขึ้ น จอ ประ ส าทต าแ ละ ตาบ อดสู ง กว่าคน ทั่วไป
รวมทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่เลนซ์ตาเสื่อมตามวัยซึ่งไทยมีผู้สูงอายุ 60ปีเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5แสนคน
โ ด ย เ น้ น ก า ร ต ร ว จ คั ด ก ร อ ง เ พื่ อ ค้ น ห า ค ว า ม ผิ ด ป ก ติ
และ กระ จายศูน ย์เชี่ยวช าญ โรคทาง ตาประ จาเขตสุ ขภ าพ ทั้ง 12 เขตทั่วประ เท ศ
ประชาชนสามารถรับบริการใกล้บ้านที่สุด
26
ทางด้านนายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี
กล่าวว่า ปัญห าสายตาที่น่าห่วงขณะ นี้ เป็ น ปัญห าจากการใช้เทคโน โลยีการสื่ อสาร
ประชาชนใช้สายตาในเรื่องนี้ มาก ผลสารวจล่าสุดคนไทยใช้มือถือประมาณ 41ล้านคน
ใ ช้ค อมพิ วเตอ ร์ ป ระ มาณ 20 ล้าน ค น ใ ช้อิ น เต อ ร์ เน็ ต ป ร ะ มาณ 15 ล้าน ค น
โ ด ย โ ท ร ศั พ ท์ ที่ นิ ย ม ส่ ว น ใ ห ญ่ เ ป็ น ส ม า ร์ ท โ ฟ น
ซึ่ ง มี ส า ร ะ ก า ร ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ไ ด้ ห ล า ย อ ย่ า ง ใ น เ ค รื่ อ ง เ ดี ย ว
ข้อมูลจากสานักงาน คณะ กรรมการพัฒ น าเศรษฐกิจและสังคมแห่งช า ติใน ปี 2557
ระบุว่าประชาชนไทยใช้สมาร์ทโฟน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากที่สุดร้อยละ 77
โดยเฉลี่ยใช้เฉลี่ยวัน ละ 7.2 ชั่วโมง เพิ่มขึ้ น จากปี 2556 ที่ใช้เฉลี่ยวัน ละ 4.6 ชั่วโมง
ซึ่ ง ชี้ ใ ห้ เห็ น ว่าป ระ ช าช น ใ ช้ส ายตาเพ่ง ข้อมูลใ น ส มาร์ ท โฟ น ยาว น าน ขึ้ น
มีความเสี่ยงที่จะเกิดสายตาผิดปกติเพิ่มขึ้น
น ายแพ ท ย์ฐาปน วงศ์กล่าวต่อว่า สายตาผิดป กติ จะ มีทั้ง สั้ น ยาว และ เอียง
การเล่น คอมพิวเตอร์ใ น เด็กวัยประถม คืออายุต่ากว่า 15 ปี เด็กจะ ใช้สายตามาก
จะ ทาให้ สายตาสั้ น เร็ วกว่าปกติ ซึ่ งมีทั้ง สั้ น เทียมห รื อสั้ น ชั่วคราวและ สั้ น ถาวร
โดยอัตราการเกิดปั ญหาสายตาสั้น ขณะนี้ เพิ่มขึ้น ถึง 3 เท่าตัว จากที่เคยพ บร้อยละ 8
ของจานวน ประชากรที่สายตาสั้น เป็ นร้อยละ 30ซึ่งจะทาให้เด็กมีปัญห าใน การเรียน
เด็กจะ มอง ตัวห นั งสื อบน กระ ดาน ไม่ชัด ท าให้ จดข้อมูลและ เรียน ไม่ทัน เพื่ อน
และเกิดปัญหาเด็กเบื่อหน่ายการเรียน ไม่อยากเรียนต่อไป นอกจากนี้จะทาให้เกิดอาการปวดตา
ป ว ด ศี ร ษ ะ โ ด ย ไ ม่รู้ ส า เ ห ตุ ซึ่ ง เ กิ ด เ นื่ อ ง ม า จ า ก ก า ร เ พ่ ง ส า ย ต า
และส่งผลต่อการทางานในบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่นนักบิน ตารวจ ทหาร เป็นต้น
ส่วนกลุ่มที่อายุเกิน 15ปีจะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง
มีอาการปวดศีรษะ ห รือทาให้อาการปวดศีรษะไมเกรน กาเริบ หากเป็ นผู้ที่มีอายุ 40
ปีขึ้นไปซึ่งเป็นวัยทางาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาวหากใช้สายตามากกว่าปกติจะเกิดอาการเมื่อยล้า
ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น และหากกลับไปบ้านและทางานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก
จะทาให้อาการเมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียน ศีรษะ สาห รับวัยห ลังเกษียณ
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2
IS2

More Related Content

What's hot

ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์0869493821
 
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์0869493821
 
สังคมก้มหน้า
สังคมก้มหน้าสังคมก้มหน้า
สังคมก้มหน้าNamGang World-Weary
 
บทที่1 บทนำ ม.ต้น
บทที่1 บทนำ ม.ต้นบทที่1 บทนำ ม.ต้น
บทที่1 บทนำ ม.ต้นchaiwat vichianchai
 
ปัญหาเด็กติดเกม
ปัญหาเด็กติดเกมปัญหาเด็กติดเกม
ปัญหาเด็กติดเกมพัน พัน
 
ปัญหาเด็กติดเทคโนโลยี
ปัญหาเด็กติดเทคโนโลยีปัญหาเด็กติดเทคโนโลยี
ปัญหาเด็กติดเทคโนโลยีN'Name Phuthiphong
 
ปัญหาและกรณีศึกษาการใช้งานสารสนเทศกับกฎหมายไทย
ปัญหาและกรณีศึกษาการใช้งานสารสนเทศกับกฎหมายไทยปัญหาและกรณีศึกษาการใช้งานสารสนเทศกับกฎหมายไทย
ปัญหาและกรณีศึกษาการใช้งานสารสนเทศกับกฎหมายไทยllslert
 
บทคัดย่อ โครงงานIS3
บทคัดย่อ โครงงานIS3 บทคัดย่อ โครงงานIS3
บทคัดย่อ โครงงานIS3 Akawid Puangkeaw
 
สารสนเทศ เทอม 1 คาบ 3
สารสนเทศ เทอม 1 คาบ 3สารสนเทศ เทอม 1 คาบ 3
สารสนเทศ เทอม 1 คาบ 3Mrpopovic Popovic
 
คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต
คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต
คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตHaprem HAprem
 

What's hot (17)

Addiction Game
Addiction GameAddiction Game
Addiction Game
 
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
 
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
ความปลอดภัยในการใช้สังคมออนไลน์
 
สังคมก้มหน้า
สังคมก้มหน้าสังคมก้มหน้า
สังคมก้มหน้า
 
623 1
623 1623 1
623 1
 
บทความ3
บทความ3บทความ3
บทความ3
 
บทที่1 บทนำ ม.ต้น
บทที่1 บทนำ ม.ต้นบทที่1 บทนำ ม.ต้น
บทที่1 บทนำ ม.ต้น
 
ปัญหาเด็กติดเกม
ปัญหาเด็กติดเกมปัญหาเด็กติดเกม
ปัญหาเด็กติดเกม
 
ปัญหาเด็กติดเทคโนโลยี
ปัญหาเด็กติดเทคโนโลยีปัญหาเด็กติดเทคโนโลยี
ปัญหาเด็กติดเทคโนโลยี
 
ปัญหาและกรณีศึกษาการใช้งานสารสนเทศกับกฎหมายไทย
ปัญหาและกรณีศึกษาการใช้งานสารสนเทศกับกฎหมายไทยปัญหาและกรณีศึกษาการใช้งานสารสนเทศกับกฎหมายไทย
ปัญหาและกรณีศึกษาการใช้งานสารสนเทศกับกฎหมายไทย
 
บทคัดย่อ โครงงานIS3
บทคัดย่อ โครงงานIS3 บทคัดย่อ โครงงานIS3
บทคัดย่อ โครงงานIS3
 
Presentation mobile01
Presentation mobile01Presentation mobile01
Presentation mobile01
 
01 บทที่ 1-บทนำ
01 บทที่ 1-บทนำ01 บทที่ 1-บทนำ
01 บทที่ 1-บทนำ
 
สารสนเทศ เทอม 1 คาบ 3
สารสนเทศ เทอม 1 คาบ 3สารสนเทศ เทอม 1 คาบ 3
สารสนเทศ เทอม 1 คาบ 3
 
คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต
คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต
คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
Eiei
EieiEiei
Eiei
 

Similar to IS2

เทคโนโลยีสารสนเทศกับชีวิตประจำวัน
เทคโนโลยีสารสนเทศกับชีวิตประจำวันเทคโนโลยีสารสนเทศกับชีวิตประจำวัน
เทคโนโลยีสารสนเทศกับชีวิตประจำวันChaiwit Khempanya
 
01 บทที่ 1-บทนำ
01 บทที่ 1-บทนำ01 บทที่ 1-บทนำ
01 บทที่ 1-บทนำPoonyapat Wongpong
 
ผลกระทบของเทคโนโลยี
ผลกระทบของเทคโนโลยีผลกระทบของเทคโนโลยี
ผลกระทบของเทคโนโลยีballjantakong
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องKittichai Pinlert
 
เรื่อง การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างพอพียง
เรื่อง    การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างพอพียงเรื่อง    การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างพอพียง
เรื่อง การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างพอพียงpalmmy545
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nongnamka
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nongnamka
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nongnamka
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nongnamka
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nongnamsab1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1nongnamsab1
 

Similar to IS2 (20)

เทคโนโลยีสารสนเทศกับชีวิตประจำวัน
เทคโนโลยีสารสนเทศกับชีวิตประจำวันเทคโนโลยีสารสนเทศกับชีวิตประจำวัน
เทคโนโลยีสารสนเทศกับชีวิตประจำวัน
 
บทที่2
บทที่2บทที่2
บทที่2
 
Generation z
Generation  zGeneration  z
Generation z
 
01 บทที่ 1-บทนำ
01 บทที่ 1-บทนำ01 บทที่ 1-บทนำ
01 บทที่ 1-บทนำ
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
ผลกระทบของเทคโนโลยี
ผลกระทบของเทคโนโลยีผลกระทบของเทคโนโลยี
ผลกระทบของเทคโนโลยี
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
เรื่อง การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างพอพียง
เรื่อง    การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างพอพียงเรื่อง    การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างพอพียง
เรื่อง การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างพอพียง
 
Social Networking For Organizations
Social Networking For OrganizationsSocial Networking For Organizations
Social Networking For Organizations
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
ผลกระทบ อนาคต-คุณธรรมIt
ผลกระทบ อนาคต-คุณธรรมItผลกระทบ อนาคต-คุณธรรมIt
ผลกระทบ อนาคต-คุณธรรมIt
 
Roiet
RoietRoiet
Roiet
 
Roiet
RoietRoiet
Roiet
 
2
22
2
 

IS2

  • 1. 1 บทที่ 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ ณ โลกปัจจุบัน ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ไม่มีที่สิ้ นสุ ด ได้ก่อ เกิดน วัตก รรมที่ ส ร้าง ค วามส ะ ด วกส บ ายใ ห้ แก่มนุ ษ ย์ใ น ห ลายๆด้าน ไป มาห าสู้ กัน ด้วย ยาน พ าห น ะ จัด ส่ง เอก ส ารผ่าน เครื อ ข่าย อิ น เตอ ร์ เน็ ต ติ ด ต่อ ค้ า ข าย ด้ ว ย เ ค รื่ อ ง ค ม น า ค ม แ ล ะ เ ส้ น ท า ง ค ม น า ค ม ที่ ทั น ส มั ย ติ ด ต่ อ สื่ อ ส า ร กั น ด้ ว ย เ ค รื่ อ ง มื อ สื่ อ ส า ร เ รี ย ก ว่ า เท ค โ น โ ล ยี เ ห ล่า นี้ ก ล า ย เป็ น ปั จ จั ย ห นึ่ ง ใ น ก า ร อ ยู่ร อ ด ข อ ง ม นุ ษ ย์ มีอิทธิพลต่อการดาเนินชีวิตในทุกๆด้าน ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจาวันของคนไทย ในยุคปัจจุบัน คื อ เ ค รื่ อ ง มื อ สื่ อ ส า ร อ ย่ า ง โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ค่ายโทรศัพท์มือถือแต่ละค่ายต่างแข่งขันกันนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใส่ในโทรศัพท์มือถือของตน เ พื่ อ ก ร ะ ตุ้ น ค ว า ม อ ย า ก ซื้ อ ใ ห้ ผู้ เ ส พ เ ท ค โ น โ ล ยี ส น ใ จ นอกจากโทรศัพท์มือถือจะเป็นเครื่องสื่อสารแล้วยังสร้างความบันเทิงในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะ ดูหนัง ฟังเพลง เชื่อมอินเทอร์เน็ต ใช้ในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากโลกโซเชียลมีเดีย เล่นเกมส์ ถ่ายรูป นาฬิกาจับเวลา เครื่องคิดเลข และอีกมากมาย ผู้เสพ เทคโน โลยีกลุ่มให ญ่ก็คือวัยรุ่น ยิ่งมีฟังก์ชันจานวนมาก รูปลักษณ์สวยดูล้าสมัย พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆราคาแพงๆ โท ร ศัพ ท์ ก ล าย เป็ น เค รื่ อ ง แ ส ด ง ฐ า น ะ ด้ วย ร าค าค่าเท ค โ น โ ล ยี ที่ สู ง ขึ้ น ซึ่ ง ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ มี ป ร ะ โ ย ช น์ ท า ใ ห้ ก า ร ติ ด ต่ อ สื่ อ ส า ร พ ร้ อ ม ทั้ ง ก า ร ส่ ง ข้ อ มู ล เ ป็ น ไ ป ไ ด้ อ ย่ า ง ส ะ ด ว ก ร ว ด เ ร็ ว ช่วยให้ความเป็ น อยู่ของคน ไทยและ เศรษฐกิจของประเทศพัฒน าไปใน ทางที่ดีขึ้ น แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพ ท์มือถือแน บที่หู ครั้งละ น าน ๆ เป็ น เวลาห ลายปี อ า จ มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ สุ ข ภ า พ ไ ด้ แ พ ท ย์ และนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเตือนว่าผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากการใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อ
  • 2. 2 กันเป็นเวลานาน อาจจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น ปวดศีรษะ มะเร็งสมอง หูอักเสบ มะเร็งของเม็ดเลือดขาว และความจาเสื่อม เป็นต้น ใ น ปั จจุ บัน น อก เห นื อไป จ าก อวัยวะ ครบ 32 ป ระ การใ น ร่าง ก ายค น เร า ดูเหมือนว่า“โทรศัพท์มือถือ”กาลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนยุคโลกาภิวัฒน์ที่จะขาดไม่ได้ เพี ยง แต่ว่าอวัยวะ ส่วน นี้ โดยมาก จะ เริ่ มง อกเง ยขึ้ น มาใน ช่วงที่ เป็ น “วัยรุ่น ” ซึ่งข้อดีของโทรศัพท์มือถือก็มีอยู่ไม่น้อย หากผู้ใช้นาไปใช้ในทางที่ผิด หรือใช้ไม่เป็ น โ ท ษ ข อ ง โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ไ ด้ ก่ อ ให้เกิดผลกระทบต่างๆตามมา ซึ่ ง ก ลุ่ ม ข อ ง ข้ า พ เ จ้ า ไ ด้ เ ล็ ง เ ห็ น ผ ล ก ร ะ ท บ ที่ เ กิ ด ขึ้ น จึ ง จั ด ท า โ ค ร ง ง า น นี้ เ พื่ อ ศึ ก ษ า ผ ล ก ร ะ ท บ ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ แ ล ะ แ น ว ท า ง ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า จ า ก ผ ล ก ร ะ ท บ ที่ เ กิ ด ขึ้ น เพื่อที่จะได้ใช้ได้อย่างถูกวิธีและไม่ให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบที่ตามมา วัตถุประสงค์ของกำรศึกษำ 1.เพื่อศึกษาผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือ 2.เพื่อศึกษาแนวทางการใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกวิธีและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ขอบเขตของกำรศึกษำ 1.ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ประชากรที่ใช้ใน การศึกษาครั้งนี้ ได้แก่นักเรียน โรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ แบ่งเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2.กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา
  • 3. 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จานวน 30คน 3.เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาเป็นเนื้อหาที่เลือกจากปัญหาที่พบในโรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ คือ การศึกษาผลกระทบการใช้โทรศัพท์มือถือ ของนักเรียน โรงเรียนท่าตูมประชาเสริมวิทย์ 4.ระยะเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ดาเนินการในภาคเรียนที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2557 ถึง 2 มกราคม พ.ศ.2558 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1.ทาให้ทราบถึงผลกระทบการใช้โทรศัพท์มือถือ 2.ทาให้ได้แนวทางการใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกวิธีและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย
  • 4. 4 บทที่ 2 ทฤษฎีและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเนื้อหาของเอกสารงานวิจัยออกเป็นหัวข้อต่างๆดังนี้ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 1.ควำมเป็นมำของโทรศัพท์ 1.1 วิวัฒนาการของโทรศัพท์ 1.2 ประวัติทั่วไปของโทรศัพท์ 1.3 วิวัฒนาการโทรศัพท์ในประเทศไทย 2.วัตถุประสงค์ของกำรใช้โทรศัพท์ 2.1ข้อดีของการใช้โทรศัพท์มือถือ 3.ผลกระทบเกิดจำกกำรใช้โทรศัพท์มือถือ 3.1 ผลกระทบทั่วไปที่เกิดขึ้น 3.2 กำรแผ่รังสี ของตัวโทรศัพท์มือถือ 3.3 โทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก่อให้เกิดขยะได้ 3.4 สำรโลหะหนักที่อยู่ในแบตเตอรี่ประกอบด้วย 3.5 โรคที่เกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือที่มีผลกระทบในเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตคนไทย 3.6 โรคยอดฮิตที่มากับการติดมือถือ
  • 5. 5 3.7 โรคซีวีเอส 3.8 แบคทีเรียบนหน้าจอมือถือ 4. กำรใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกวิธีและลดกำรเกิดผลกระทบ 4.1 การใช้โทรศัพท์มือถืออย่างถูกวิธีเพื่อถนอมสายตา 4.2 การใช้โทรศัพท์อย่างถูกวิธี 4.3 การแก้ไขกันและป้องกันโรคซีวีเอส 4.4 ป้องกันสมองเสื่อม 4.5 ป้องกันแบคทีเรียบนหน้าจอโทรศัพท์
  • 6. 6 1.ควำมเป็นมำของโทรศัพท์ 1.1 วิวัฒนำกำรของโทรศัพท์ การติดต่อสื่อสารทางไกลในสมัยโบราณระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั้น จะใช้วิธีการง่ายๆอาศัธรรมชาติ หรือเลียนแบบธรรมชาติเป็นหลัก เช่น การใช้ควัน เสียง แสง หรือใช้นกพิราบ เป็นต้น การสื่อสารที่ใช้ชื่อดังกล่าวนั้นจะไม่ค่อยได้ผลเท่าใดนัก เนื่องจากไม่สามารถให้รายละเอียดข่าวสารได้มาก หรือแม้จะให้รายละเอียดได้มาก แต่ก็ไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าใด เช่น นกพิราบ นาสารซึ่งให้รายละเอียดได้มาก แต่เป็นการเสี่ยง เพราะนกพิราบ อาจไปไม่ถึง ปลายทางได้ อย่างไรก็ตามการสื่อสารดังกล่าวนี้ เป็นการสื่อสารที่ราคาถูก ความรวดเร็วก็พอใช้ได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุค โลกาภิวัฒน์ เป็นยุคแห่งความเจริญทางด้านเทคโนโลยี มนุษย์ได้นาเอาเทคโนโลยี ที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้กับการสื่อสาร ทาให้การติดต่อสื่อสารในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงมาก ทั้งความสะดวกสบายรวดเร็วและถูกต้องชัดเจนแน่นอน ระบบสื่อสารที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายชนิด เช่น วิทยุสื่อสาร (Radio Communication) โทรเลข (Telegraphy) โทรพิมพ์ (Telex) โทรศัพท์ (Telephone) โทรสาร (Facsimile) หรือวิทยุตามตัว (Pager) เป็นต้น แต่ระบบสื่อสาร ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกก็คือ โทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์สามารถโต้ตอบกันได้ทันที รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งระบบ อื่น ๆ ทาไม่ได้ โทรศัพท์จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและในโลกของการสื่อสารปัจจุบัน โทรศัพท์ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ ถึงความเจริญ รุ่งเรืองของประเทศ ต่าง ๆ ด้วยมีคากล่าวหรือข้อกาหนดเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศอยู่ว่า ประเทศใด ที่มีจานวนเลขหมาย โทรศัพท์ในประเทศ 40 หมายเลขต่อประชากร 100 คน ถือว่าประเทศนั้นมีความเจริญแล้ว
  • 7. 7 หรือเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศใดที่มีหมายเลขโทรศัพท์ 10 เลขหมายขึ้นไปต่อประชากร100คนถือว่าประเทศนั้นกาลังได้รับการพัฒนา จะเห็นว่าประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ให้ความสาคัญกับกิจการโทรศัพท์เป็นอย่างมากในประเทศไทย คาว่า โทรศัพท์ ได้เริ่ม รู้จักกันตั้งแต่รัชการที่ 5 ซึ่งโทรศัพท์ตรงกับภาษากรีกคาว่า Telephone โดยที่ Tele แปลว่า ทางไกล และ Phone แปลว่า การ สนทนา เมื่อแปลรวมกันแล้วก็หมายถึงการสนทนากันในระยะทางไกลๆ หรือการส่งเสียงจากจุดหนึ่ง ไปยังจุดหนึ่งได้ ตามต้องการ 1.2 ประวัติทั่วไปของโทรศัพท์ โทรศัพท์ได้ถูกคิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2419โดยนักประดิษฐ์ ชื่อALEXANDER GRAHAM BELL หลักการของโทรศัพท์ที่ Alexander ประดิษฐ์ก็คือ ตัวส่ง (Transmitter) และ ตัวรับ (Receiver) ภาพที่ 1.1 ALEXANDER GRAHAM BELL
  • 8. 8 ภาพที่ 1.2 แสดงหลักการโทรศัพท์ของ Bell ซึ่งมีโครงสร้างเหมือนลาโพงในปัจจุบัน กล่าวคือ มีแผ่น ไดอะแฟรม (Diaphragm) ติดอยู่กับขดลวด ซึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ แม่เหล็กถาวร เมื่อมีเสียงมากระทบแผ่น ไดอะแฟรม ก็จะสั่นทาให้ขดลวดสั่นหรือเคลื่อนที่ตัดสนามแม่เหล็ก เกิดกระแสขึ้นมา ในขดลวด กระแสไฟฟ้านี้ จะวิ่งตามสายไฟถึงตัวรับซึ่งตัวรับก็จะมีโครงสร้างเหมือนกับ ตัวส่ง เมื่อกระแสไฟฟ้ามาถึงก็จะ เข้าไปในขดลวด เนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่มานี้ เป็น AC มีการเปลี่ยนแปลงขั้วบวกและลบอยู่ตลอดเวลา ก็จะทาให้เกิดสนาม แม่เหล็กขึ้นรอบๆ ขดลวดของ ตัวรับ สนามแม่เหล็กนี้จะไปผลัก หรือดูดกับสนามแม่เหล็กถาวรของตัวรับ แต่เนื่องจาก แม่เหล็กถาวร ที่ตัวรับนั้นไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ขดลวดและแผ่นไดอะแฟรม จึงเป็นฝ่ายที่ถูกผลักและดูดให้เคลื่อนที่ การที่ ไดอะแฟรม เคลื่อนที่ จึงเป็นการตีอากาศตามจังหวะของกระแสไฟฟ้าที่ส่งมา นั่นคือ เกิดเป็นคลื่นเสียงขึ้นมาในอากาศ ทาให้ได้ยิน แต่อย่างไรก็ตาม กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากตัวส่งนี้มี ขนาดเล็กมาก ถ้าหากใช้สายส่งยาวมาก จะไม่สามารถได้ยิน เสียงของผู้ ที่ส่งมา วิธีการของ ALEXANDER GRAHAM BELL จึงไม่ประสบผลสาเร็จเท่าใดนัก แต่ก็เป็นเครื่องต้นแบบ ให้มีการพัฒนา ต่อมาในปี พ.ศ. 2420 THOMAS ALVA EDISON ได้ประดิษฐ์ ตัวส่งขึ้นมาใหม่ให้สามารถ ส่งได้ไกล ขึ้นกว่าเดิมซึ่ง ตัวส่งที่ Edison ประดิษฐ์ขึ้นมา มีชื่อว่า คาร์บอน ทรานสมิทเตอร์ (Carbon Transmitter) คาร์บอนทรานสมิทเตอร์ ให้กระแส ไฟฟ้าออกมาแรงมาก
  • 9. 9 ภาพที่ 1.3 THOMAS ALVA EDISON ภาพที่ 1.4 ลักษณะของทรานสมิทเตอร์ (Transmitter)
  • 10. 10 เนื่องจากเมื่อมีเสียงมากระทบแผ่นไดอะแฟรม แผ่นไดอะแฟรมจะไปกดผง คาร์บอน (Carbon) ทาให้ค่าความต้านทานของ ผงคาร์บอน เปลี่ยนแปลงไปตามแรงกด ดังนั้นแรงเคลื่อน ตกคร่อมผงคาร์บอนจะเปลี่ยนแปลงด้วย เนื่องจากแรงเคลื่อน ที่จ่ายให้ คาร์บอน มีค่ามากพอสมควร การเปลี่ยนแปลงแรงเคลื่อน จึงมีมากตามไปด้วย และการเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลง ยอดของ DC ที่จ่ายให้คาร์บอน (ดังรูปที่ 1.4) ซึ่งเราอาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ก็คือ AC ที่ขี่อยู่บนยอดของ DC นั่นเอง รูปที่ 1.5 แสดงลักษณะของ AC ที่อยู่บนยอดของ DC ดังนั้น เมื่อ DC ไปถึงไหน AC ก็ไปถึงนั่นเช่นกัน แต่ DC มีค่าประมาณ 6-12 Volts (ค่าแรงเคลื่อนเลี้ยงสายโทรศัพท์ ขณะยกหู) ซึ่งมากพอที่จะวิ่งไปได้ระยะทาง ประมาณ 5 กิโลเมตร นั่นคือ AC ที่เป็นสัญญาณเสียงก็ไปได้เช่นกัน หลังจากนี้ ก็ได้มี การพัฒนาโทรศัพท์ขึ้นมาใช้งานมากมายหลายระบบตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมีการพัฒนาทั้งระบบชุมสาย(Exchange) และ ตัวเครื่องโทรศัพท์ (Telephone Set) ด้วย ให้สามารถใช้งานได้สะดวกสบาย และมี ประสิทธิภาพมากขึ้น 1.3 วิวัฒนำกำรโทรศัพท์ในประเทศไทย " ตานานไปรษณีย์โทรเลขสยาม" พ.ศ. 2429 ถึง พ.ศ. 2468 ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับโทรศัพท์ในประเทศไทยไว้ว่า ประเทศไทยได้นาเอาโทรศัพท์มาใช้เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2424 ตรงกับรัชกาลที่ 5
  • 11. 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกรมกลาโหม (กระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน) ได้สั่งเข้ามาใช้งานในกิจการเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ โดยติดตั้งที่กรมอู่ทหารเรือกรุงเทพฯ 1 เครื่อง และป้อมยามปากน้าเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการอีก 1 เครื่อง รวม 2 เครื่อง เพื่อจะได้แจ้งข่าวเรือ เข้าออกในแม่น้าเจ้าพระยาให้ทางกรุงเทพฯทราบ พ.ศ. 2429 กิจการโทรศัพท์ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น จานวนเลขหมายและบุคลากร ก็เพิ่มมากขึ้น ยุ่งยากแก่การบริหารงาน ของกรมกลาโหม ดังนั้น กรมกลาโหม จึงได้โอนกิจการของโทรศัพท์ ให้ไปอยู่ใน การ ดูแลและดาเนินการ ของกรมไปรษณีย์ โทรเลข ต่อมากรมไปรษณีย์โทรเลขก็ได้ขยายกิจการโทรศัพท์จากภาครัฐสู่เอกชนโดยให้ประชาชนมีโอกาส ใช้โทรศัพท์ได้ในระยะนี้เครื่องที่ใช้จะเป็นระบบแม็กนีโต(Magneto)หรือระบบโลคอลแบตเตอรี่(L ocalBattery) พ.ศ. 2450 กรมไปรษณีย์โทรเลขได้สั่งโทรศัพท์ ระบบคอมมอนแบตเตอรี่ (Common Battery) หรือ เซ็นทรัล แบตเตอรี่ (Central Battery) มาใช้ซึ่งสะดวกและประหยัดกว่าระบบแม็กนีโตมาก พ.ศ. 2479 กรมไปรษณีย์โทรเลขได้สั่งซื้อชุมสายระบบสเต็บบายสเต็บ (Step by Step) ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติ สามารถหมุนเลขหมายถึงกันโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านพนักงานต่อสาย (Operator) เหมือนโลคอลแบตเตอรี่หรือเซ็นทรัลแบตเตอรี่ พ.ศ. 2497 เนื่องจากกิจการโทรศัพท์ได้เจริญก้าวหน้ามาก ประชาชนนิยมใช้ แพร่หลายไปทั่วประเทศ กิจการใหญ่ โตขึ้นมากทาให้การบริหารงานลาบากมากขึ้น เพราะกรมไปรษณีย์โทรเลขต้องดูแลเรื่องอื่นอีกมาก ดังนั้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497 จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติตั้งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขึ้น โดยแยก กองช่างโทรศัพท์กรมไปรษณีย์โทรเลขมาตั้งเป็นองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขึ้น มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวง คมนาคมมาจนถึงปัจจุบัน องค์การโทรศัพท์หลังจากที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นแล้ว ก็ได้รับโอนงานกิจการโทรศัพท์มาดูแล พ.ศ. 2517 องค์การโทรศัพท์ก็สั่งซื้อชุมสายโทรศัพท์ระบบคอสบาร์ (Cross Bar) มาใช้งานระบบคอสบาร์ เป็นระบบอัตโนมัติเหมือนระบบสเต็บบายสเต็บแต่ทันสมัยกว่าทางานได้เร็วกว่า มีวงจรพูดได้มากกว่าและขนาดเล็กกว่า พ.ศ. 2526 องค์การโทรศัพท์ได้นาระบบชุมสาย SPC (Storage Program Control) มาใช้งาน ระบบ SPC เป็นระบบที่ควบคุมการทางานด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer) ทางานได้รวดเร็วมาก ขนาดเล็กกินไฟน้อยและยังให้บริการเสริมด้านอื่นๆได้อีกด้วย
  • 12. 12 ในปัจจุบันชุมสายโทรศัพท์ที่ติดตั้งใหม่ๆ จะเป็นระบบ SPC ทั้งหมด ระบบอื่น ๆ เลิกผลิตแล้ว ประเทศไทยเรากาลัง เร่งติดตั้งโทรศัพท์เพื่อให้พอใช้กับประชาชน ดังจะเห็นจากโครงการ 3 ล้านเลขหมายในแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 และโครงการอื่น ๆ ต่อไป รวมทั้งวิทยุโทรศัพท์อีกด้วย เพื่อเสริมให้ระบบสื่อสารในประเทศไทยมีประสิทธิภาพ เอื้ออานวย ต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของกำรใช้โทรศัพท์ วัตถุประสงค์ของการใช้โทรศัพท์มือถือกับวัยรุ่นในปัจจุบันไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสารเพียงอย่ างเดียวเท่านั้นจะเห็นได้ว่าบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือต่างๆในตอนนี้ต่างก็แข่งขันกันทาลูกเล่นใหม่ ๆขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพราะในยุคที่มีการแข่งขันสูงการนาเทคโนโลยีที่ทัน สมัยมาประยุกต์ใช้กับโทรศัพท์มือถือนั้นยิ่งทาให้มีความน่าสนใจมากขึ้นนอกจากจะโทรออกหรือรั บสายได้แล้วยังสามารถทาอย่างอื่น ได้ เช่น ถ่ายภ าพ ถ่ายวีดี โอฟั งเพ ลง เล่น เกม รวมถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและรับส่งอีเมล์ซึ่งเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการสื่อสารที่ไร้พรมแดน จากผลสารวจของกรุงเทพโพลล์โดยเก็บข้อมูลจากวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานครที่ใช้โทรศัพท์มือถื อ จานวนทั้งสิ้น 1,700 คน เป็นเพศชายร้อยละ 48.8 และเพศหญิงร้อยละ 51.2สรุปผลว่า มีดังนี้ - พูดคุยและส่ง SMS ร้อยละ 57.7 - ฟังเพลง ฟังวิทยุร้อยละ 20.3 - ถ่ายรูปถ่ายคลิปวีดีโอ ร้อยละ 11.6 - เล่นเกมร้อยละ 5.6 - เล่นอินเทอร์เน็ตร้อยละ 4.8 2.1 ข้อดีของกำรใช้โทรศัพท์มือถือ 1.ใช้สื่อสารทางไกลได้ สะดวกต่อการคุยงานหรือธุรกิจต่างๆได้ 2.สามารถ ถ่ายภาพ ติดตามข่าวสาร ท่องอินเตอร์เน็ตได้สะดวกรวดเร็ว
  • 13. 13 3.ช่วยให้การทางานง่ายขึ้น บางทีอาจสามารถใช้แทนคอมพิวเตอร์ได้เลย 4.ช่วยในการตรวจสอบความถูกต้องหรือชี้นาเส้นทาง กรณีที่ต้องเดินทางไปในสถานที่ไม่คุ้นเคย เพื่อป้องกันการขับรถหลงทาง 5.พกพาสะดวก 6.สามารถขอความช่วยเหลือได้ทันทีหากเกิดเหตุด่วน 7.ช่วยเตือนความจาได้ 3.ผลกระทบเกิดจำกกำรใช้โทรศัพท์มือถือ ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าการใช้โทรศัพท์มือถือส่งผลกระทบ ต่อเซลล์และโครโมโซมของมนุษย์ทาให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ แ ล ะ ยั ง มี ค ว า ม ส า คั ญ กั บ ก า ร เ กิ ด โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ที่ ส ม อ ง ใ น ป ร ะ เ ท ศ อัง ก ฤ ษ มีก า ร ป ร ะ ก า ศ เ ตื อ น เด็ ก วัย รุ่น ที่ อ า ยุ ต่ า ก ว่า ๑ ๖ ปี ใ ห้ ห ลี ก เ ลี่ ย ง ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ เพราะเป็นวัยที่สมองเติบโตไม่เต็มที่โดยกะโหลกและสมองไม่สามารถต้านทานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า และรังสีได้จากกรณีดังกล่าวทาให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่จะเป็นอันตรายต่อสุ ขภาพ กระ ท ร วง ส าธ ารณ สุ ข โด ยก รมก ารแ พ ท ย์ ก รมวิท ย าศ าส ต ร์ ก ารแ พ ท ย์ แล ะ ส ถาบัน มะ เร็ ง แ ห่ ง ช าติไ ด้ศึ ก ษ าแ ล ะ ติ ด ตามข้อมูล จากส ถ าบัน ต่าง ๆ จ า ก ร า ย ง า น ล่ า สุ ด ข อ ง อ ง ค์ ก า ร อ น า มั ย โ ล ก เ มื่ อ ปี ๒ ๐ ๐ ๐ ใ น เ รื่ อ ง โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ กั บ ก า ร เ กิ ด โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ปั จจุ บัน ยัง ไม่มีห ลัก ฐ าน ชัด เจ น ที่ บ่ง บ อ ก ถึ ง ส าเห ตุ ข อ ง มะ เร็ ง ใ น ส มอ ง
  • 14. 14 ประกอบกับการศึกษาของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ American health care foundation พ บว่า โทรศัพ ท์ มือถือ ไม่ได้ เพิ่ มโอก าส การเป็ น มะ เร็ ง ใ น สมอ ง แต่อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์บางประเทศได้รายงานผลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าในสัตว์ทดลอง และในเนื้อเยื่อพบว่า ทาให้เซลล์แบ่งตัวเร็วกว่าปกติ 3.1 ผลกระทบทั่วไปที่เกิดขึ้น ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สาคัญในชีวิตประจาวันของประชากรมากกว่า ๑.๔ พันล้านคนทั่วโลก สาหรับในประเทศไทยมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า ๒๐ ล้านคน แ ล ะ มี แ น ว โ น้ ม ที่ จ ะ มี จ า น ว น ข อ ง ผู้ ใ ช้ ม า ก ขึ้ น ทุ ก ปี โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์ทาให้การติดต่อสื่อสารด้วยวาจาพร้อมทั้งการส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างส ะดวกและรวดเร็ว ช่วยให้ความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการใช้โทรศัพ ท์มือถือแน บที่หู ครั้งละ น าน ๆ เป็ น เวลาห ลายปี อ า จ มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ สุ ข ภ า พ ไ ด้ แ พ ท ย์ และนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเตือนว่าผู้ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากการใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อ กันเป็นเวลานาน อาจจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น ปวดศีรษะ มะเร็งสมอง หู อั ก เ ส บ ม ะ เ ร็ ง ข อ ง เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว แ ล ะ ค ว า ม จ า เ สื่ อ ม เป็นต้น จากคาเตือนดังกล่าวทาให้มีการวิจัยถึงผลกระทบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถื อ ม า ก ขึ้ น ในปัจจุบันข้อมูลที่ได้รับจากรายงานการวิจัยชี้ว่ายังมีข้อขัดแย้งกันเกี่ยวกับผลกระทบของคลื่นแม่เห ล็กไฟฟ้ าจากโทรศัพท์มือถือกับการทาให้เกิดโรคต่าง ๆในมนุษย์แต่จากการศึกษาของนักวิชาการ ผู้รู้ ผู้เกี่ยวข้อง จากในและต่างประเทศ สรุปได้ดังนี้ 1. ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ แ น บ ไ ว้ ที่ หู น า น ๆ เป็นเวลาหลายปี น่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมีรายงานการวิจัยในหลอดทดลองพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า (Electromagnetic Wave) ที่เกิดจากการรับ - ส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือซึ่งมีความถี่อยู่ใน ช่วงคลื่นไมโครเวฟนั้ น สามารถทาให้เกิดความร้อน และทาร้ายเซลล์ภายใน เนื้ อเยื่อบริเวณหูตา และสมอง
  • 15. 15 ท า ใ ห้ เ กิ ด ผ ล ก ร ะ ท บ กั บ ผู้ ใ ช้ คือ ผลในระยะสั้น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าจากโทรศัพท์มือถือจะทาให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว มึนงง ขาดสมาธิ และเครียดเนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน น อ น ไ ม่ห ลั บ เ นื่ อ ง จ า ก มี ก า ร ห ลั่ ง ฮ อ ร์ โ ม น เม ล า โ ต นิ น ( melatonin) ซึ่งทาหน้าที่ควบคุมการนอนหลับในร่างกายลดลง และคลื่นสมองมีการเปลี่ยนแปลงไป ผลใน ระยะยาว คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าจากโทรศัพท์มือถืออาจทาให้เกิดโรคความจาเสื่อม เ นื่ อ ง จ า ก เ นื้ อ เ ยื่ อ ส ม อ ง ถู ก ท า ล า ย โรคมะเร็งสมองเนื่องจากเนื้อเยื่อสมองมีการเปลี่ยน แปลงทางพันธุกรรมไปจากปกติ โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ข อ ง เ ม็ ด เ ลื อ ด ข า ว เ ช่ น leukemia แ ล ะ lymphoma เ ป็ น ต้ น แ ต่ อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม ผ ล ก า ร วิ จั ย ต่ า ง ๆ เกี่ยวกับผลกระทบในการทาให้เกิดโรคความจาเสื่อมและโรคมะเร็งนั้น ยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ แ ล ะ ยั ง ห า ข้ อ ส รุ ป ที่ ชั ด เ จ น ไ ม่ ไ ด้ ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทุกคนก็ควรจะตระหนักและระมัดระวังในการใช้ข้อแนะนาในขณะนี้ คือ ไม่ควรพูดโทรศัพท์นานหรือใช้ถี่เกินไป และควรใช้เครื่องแบบ smalltalk หรือ hand free ดังนั้นรัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสมควรสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จ จริงของเรื่องนี้ในคนไทยต่อไป 2. เนื่ องจากเป็ น คลื่น แม่เห ล็กไฟ ฟ้ า การที่จะต้องรับสัมผัสเป็ น เวลาน าน ๆ จึงก่อให้เกิดความกังวลว่า อาจจะเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งหรือเนื้องอกของสมองได้ อย่างไรก็ตามจากรายงานการศึกษาล่าสุด ยังไม่มีการศึกษาใดที่จะพิสูจน์สมมติฐานอันนี้ได้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งของสมองเป็นไปได้น้อยมาก เนื่ อ ง จ าก ป ริ ม าณ ก า ร รั บ สั ม ผั ส กับ ค ลื่ น รั ง สี ( Radiofrequency (RF) exposure) ในขณะที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานของ InternationalRF guidelinesในทานองตรงกันข้ามจากการศึกษาของ Hardell และคณะในประเทศสวีเดน พบว่า แม้จะไม่มีความแตกต่างของความชุกของโรคมะเร็งของสมองในกลุ่มผู้ใช้และผู้ไม่ใช้โทรศัพท์มือถื อ แต่มีการพบความสัมพันธ์ของการตรวจพบก้อนเนื้องอกของสมองในข้างเดียวกันกับด้านที่ใช้โทรศั
  • 16. 16 พ ท์ มือถื อใ น ก ลุ่มขอ ง ผู้ใ ช้เท่าที่ ผ่าน มา ข้อ จากัด ข อง ก ารศึก ษ าใ น ปั จจุบั น อาจจะ เนื่ อง มาจากระ ยะ เวลาการรับ สั มผัส ( duration of exposura) ยัง สั้ น เกิน ไป มีปั จจัย ก ว น มาก แ ล ะ ก าร เก็บ ข้อ มู ล ป ระ วัติ ก าร รับ สั มผัส ( doseof exposure) ยังไม่ดีพอ 3. จ าก ก าร ศึ ก ษ าโ ด ย Sandstrom แ ล ะ ค ณ ะ ใ น ป ร ะ เท ศ น อ ร์ เ วย์ พ บ ว่า เ ค รื่ อ ง ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ ใ น ร ะ บ บ ดิ จิ ต อ ล ( GSM) ไม่ได้ก่อให้เกิดอาการผิดปกติใน ผู้ใช้มากไปกว่าเครื่ องใน ระ บบอน าล็อก ( NMT) น อ ก จ า ก นี้ อ า ก า ร ผิ ด ป ก ติ คื อ อ า ก า ร ร้ อ น บ ริ เ ว ณ ร อ บ ๆ หู ยังมีการรายงานในกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในระบบดิจิตอลน้อยกว่าด้วย 4. ก า ร ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ใ น เ ด็ ก เ ล็ ก ที่ มี อ า ยุ ต่ า ก ว่า ๑ ๐ ข ว บ จะมีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าในผู้ใหญ่ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถผ่านกะโหลกศีรษ ะของเด็กเข้าสู่เนื้อเยื่อสมองได้ลึกกว่าของผู้ใหญ่ 5. ใ น บ ริ เ ว ณ ที่ มี สั ญ ญ า ณ ค ลื่ น โ ท ร ศั พ ท์ จ า ก ส ถ า นี ส่ ง ต่ า ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจะได้รับผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าของโทรศัพท์มือถือมากกว่าปกติ เนื่องจากโทรศัพท์มือถือจะเพิ่มพลังในการส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาสูงมาก 6. ก า ร ใ ช้ อุ ป ก ร ณ์ หู ฟั ง ( small talk ห รื อ hand free) จะทาให้ผู้ใช้ได้รับผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ผ่านเข้าสู่สมองน้อยกว่าการใช้โทรศัพท์มือถื อที่แนบหูโดยตรง 7.การโทรไม่ติดห รือห ลุดบ่อยทาให้ อารมณ์เสี ย ห งุดห งิ ด สุ ขภ าพ จิตเสื่ อมลง กล้ามเนื้อคอหัวไหล่มักจะเกร็งเนื่องจากต้องถือโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาและบางครั้งยังต้องพยายามเอี ย ง ค อ แ ล ะ ใ ช้ มื อ ดั น โ ท ร ศั พ ท์ ใ ห้ แ น บ ติ ด กั บ ใ บ หู อ ยู่ต ล อ ด เ ว ล า ก า ร เก ร็ ง ตั ว ข อ ง ก ล้ าม เ นื้ อ ค อ เป็ น อี ก ส าเ ห ตุ ห นึ่ ง ที่ ท าใ ห้ ป ว ด ศี ร ษ ะ เพ ราะเมื่อกล้ามเนื้อห ดตัวตลอดเวลาหลอดเลือดจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพ อ การแ ก้ไข อาจต้อง ใ ช้โท รศัพ ท์ ที่ มีขน าดเบ าอย่าคุยโท รศัพ ท์ น าน เกิน คว ร
  • 17. 17 และถ้าอยู่ใน รถอาจผ่าน ขยายเครื่องขยายเสี ยงและ ใช้ไมโครโฟ น ใน การสน ทน า ซึ่งในกรณีนี้นอกจากจะไม่เป็นผลเสีย ต่อสุขภาพแล้วยังลดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงได้ 8. ถ่านไฟที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือประกอบด้วยสารอันตรายหลายชนิดไส้แบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือ ที่ท่านต้องเปลี่ยนตามเวลาทุก 12-18เดือนนั้นไส้แบตเตอรี่ที่ใช้ในถ่านโทรศัพท์มือถือมี2ชนิด คือ ช นิ ด NICAD(Nickel Cadmium Cells) แ ล ะ Hydride (Nickel Metal Hydride Cells) สารประกอบที่ใช้ในถ่านชนิดแรกคือ NICADจัดเป็นขยะอันตรายที่จะก่อโทษกับสุขภาพของ คน แล ะ เกิดม ลภ าวะ ใ น สิ่ งแ วดล้อ มได้ เนื่ อง จาก ขั้วลบ ขอ ง ถ่าน ช นิ ดนี้ เป็ น แ ค ด เ มี ย ม ไ ฮ ด ร อ ก ไ ซ ด์ เมื่อบรรจุไฟแล้วจะกลายสภาพเป็ นแคดเมียมซึ่งเป็ นสารก่อพิษในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก แคดเมียมเป็นโลหะหนักมีอยู่ในธรรมชาติจานวนน้อย หากได้รับเข้าไปทีละน้อยจากการหายใจ กิน ห รือดื่มก็จะ เกิดพิ ษเรื้อรังที ละ น้อย ด้วยอาการสาคัญ คือ ไตอักเส บ ไตวาย ข้ อ เ สื่ อ ม ถุ ง ล ม ป อ ด โ ป่ ง พ อ ง ร ะ บ บ ห า ย ใ จ ผิ ด ป ก ติ แ ล ะ ท าใ ห้ เกิ ด ม ะ เร็ ง ใ น อ วัย ว ะ ห ล า ย ช นิ ด ที่ น่ า ก ลั ว คื อ แ ค ด เมี ย ม ที่ ถู ก ทิ้ ง จ า ก ก าร อุ ต ส าห ก ร ร ม ห รื อ แ บ ต เ ต อ รี่ จ ะ ป น เ ปื้ อ น เข้า ใ น ดิ น น้ า ซึ่งสัตว์และพืชจะรับเข้าไปในตัวเมื่อคนกินสัตว์หรือพืชเข้าไปก็จะได้รับแคดเมียมสะสมเข้าไปในป ริมาณที่เกิดพิษได้ง่ายขณะนี้ตัวเลขที่ได้จากการจดทะเบียนมือถือทั่วประเทศมีจานวนมากและมีจาน วน ไม่น้อยที่ใช้แบตเตอรี่แบบ NICADซึ่งแต่ละก้อน จะมีอายุการใช้งานประมาณ 1ปี ดังนั้นจะมีแบตเตอรี่NICADเป็นพิษทิ้งจานวนหลายล้านก้อนต่อปีขณะนี้มีประชาชนที่รู้ถึงพิษของ ขยะ อัน ตราย แ ละ พ ยายามแ ยก ข ยะ แ ต่ก็ไม่ส าม าร ถที่ จ ะ ห าที่ ทิ้ ง ที่ ถูก ต้อ ง ห รื อ ห า ห น่ ว ย ง า น ที่ รั บ ผิ ด ช อ บ โ ด ย ต ร ง ไ ด้ 9. การขับรถการใช้โทรศัพท์มือถือทาให้มีอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 10.กล้องโทรศัพท์มือถือในหลายๆครั้งพบว่ากล้องของโทรศัพท์มือถือถูกนามาใช้ในทางเสีย เช่นคลิปวิดีโอแอบถ่าย รูปภาพแอบถ่าย เป็นต้น 11. ทาให้เกิดอาชญากรรมอันถึงแก่ชีวิตได้หากโทรศัพท์สะดุดเข้าตาโจร
  • 18. 18 12.การรบกวนของคลื่น วิทยุจะรบกวน การทางานของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ Pacemaker, defibrillatorและอาจจะมีผลต่อการควบคุมการบิน 3.2กำรแผ่รังสี ของตัวโทรศัพท์มือถือ โดยสิ่งที่ได้รับการกล่าวถึง ในด้านอันตรายที่สุดก็คือ การแผ่รังสี ของตัวโทรศัพท์เอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสิ่งมีชีวิตหากได้รับรังสีในปริมาณมากๆ ยิ่งมีความเข้มของรังสีสูงแล้ว ย่อมทาอันตรายถึงชีวิตได้ โดยโรคที่คาดว่าจะก่อให้เกิดได้จากการรับรังสีจากมือถือ ก็คือ มะเร็งใน สมอง องค์การอาห ารและยาของอเมริกา ยอมรับว่า คลื่น ความถี่รังสี วิทยุ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น สิ่ ง มี ชีวิต (เช่น ไมโครเวฟ) และในโทรศัพท์มือถือ ก็ก่อให้เกิดรังสีประเภทนี้ แม้ในภ าวะปกติ จะพบรังสีนี้อยู่น้อยมากแต่เมื่อเกิดการสื่อสาร พูดคุย ปริมาณรังสีก็จะมากขึ้น โดยในปีหนึ่ งๆ มีผู้ป่วยด้วยมะเร็งในสมองเป็นอัตรา6คนต่อ1แสนคนถ้ามีผู้ใช้โทรศัพท์ 80ล้านคน ก็จะมีผู้ป่วยถึง 4800คนในแต่ละปี แต่ก็ไม่ได้ฟันธงลงไปว่า ผู้ป่วยเป็นมะเร็งเพราะใช้มือถือ ได้แต่เพียงเตือนว่า ผู้ ใ ช้ มือถือมีโอกาสเป็นมะเร็งในสมองสูงกว่าผู้ไม่ได้ใช้เท่านั้นเอง นายแพทย์สักกะ ณตะกั่วทุ่ง แพทย์หู คอจมูกประจาโรงพยาบาลพญาไทกล่าวว่าสิ่งที่วงการแพทย์สามารถยืนยันได้ถึงผลกระทบดังกล่าว ในขณะนี้ก็คือการคุยโทรศัพท์เคลื่อนที่นานๆผู้ใช้อาจเกิดอาการปวดศีรษะ,ผิวหนังเหี่ยวย่น, ความจาแย่ลง ขณะเดียวกัน ยังมีข้อสมมติฐานที่ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าของโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจ ทาให้เกิดการรั่วของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะสะสมในระบบหมุนเวียนโลหิต ส่งผลให้เกิดโรคความดันสูงนอกจากนี้ยังทาให้เยื่อหุ้มสมองเสื่อมเป็นผลให้เกิดโรคความจาเสื่อม และอัลไซเมอร์ได้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวแจ้งว่ามะเร็งของสมองต้องใช้เวลาก่อตัวหลายสิบปี ก่ อ น ห น้ า นี้ ร า ช ส ม า ค ม ใ น ล อ น ด อ น ก็เคยเปิ ดเผยรายงาน ผลการศึกษ าว่าผู้ให ญ่ที่ใช้โทรศัพ ท์มือถือมาก่อน อายุ 20ปี เสี่ยงกับการจะเป็นมะเร็งสมองเมื่อตอนอายุ29ปี ยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้ใช้ถึง 5เท่า ดร.คาร์เปนเตอร์ ชี้ ว่า “มัน อ า จจ ะ เป็ น กับ ศี ร ษ ะ ท าง ด้าน ที่ ใ ช้ พู ด โ ท ร ศัพ ท์ ” แ ล ะ ก ล่าว ว่า “เ ด็ ก ทุ ก ค น พ า กั น ใ ช้ มั น ต ล อ ด เ ว ล า
  • 19. 19 และทั้งโลกพากันใช้โทรศัพท์มือถือมากถึง3พันล้านเครื่องเขาเรียกร้องว่าควรจะมีการติดคาเตือนให้ กับโทรศัพท์มือถือเหมือนกับตามซองบุหรี่เสียนอกจากนี้ยังมีคาเตือนจากแพทย์ว่าผู้ชายไม่ควรพกมื อ ถื อ ที่ เ อ ว เ สี่ ย ง รั บ ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ ไ ข ก ร ะ ดู ก แ ล ะ อั ณ ฑ ะ ส่วนกรณีโรคหัวใจไม่ควรพกใส่กระเป๋ าเสื้อแม้ไม่มีผลยืนยันชัดเจนแต่ต้องป้ องกันไว้ก่อน อีกทั้งไม่ควรโทรนานเกิน 15 นาที เพราะอาจส่งผลต่อการทางานของสมองและระบบเม็ดเลือดแดง 3.3 โทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก่อให้เกิดขยะได้ คง มีน้ อ ยค น ที่ รู้ว่าใ น แ บ ต เต อรี่ โท รศัพ ท์ มือ ถือ ที่ เร าใ ช้กัน อ ยู่ทุ ก วัน นี้ จะมีส่วนประกอบที่เป็นสารโลหะหนักผสมอยู่ไส้แบตเตอรี่ ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มี 2ชนิดคือ... ชนิด NICAD (Nickel Cadmium Cells) แ ล ะ ช นิ ด HYDRIDE (Nickel Metal Hydride Cells)สารประกอบที่ใช้ในถ่านชนิด NICADจัดเป็นขยะอันตรายที่ก่อให้เกิดโทษกับสุขภาพของคน และเกิดมลพิษในสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก ขั้วลบของถ่านชนิดนี้เป็น "แคดเมียม ไฮดรอกไซด์" เมื่อบรรจุไฟแล้วจะกลายสภาพเป็ นแคดเมียมเป็นสารก่อพิษในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก แ ค ด เ มี ย ม เ ป็ น โ ล ห ะ ห นั ก มีอยู่ในธรรมชาติแต่เป็นจานวนน้อยซึ่งหากร่างกายได้รับเข้าไปทีละน้อยจากการหายใจ-กิน- ดื่มก็จะเกิดพิษเรื้อรัง ทีละน้อย จนที่สุดอาจก่อให้เกิดอาการ... ระบบหายใจผิดปกติ ไตอักเสบ ไตวาย ข้อเสื่ อม ถุง ลมโป่ ง พ อง และ ทาให้ เกิด มะ เร็ง ใน อวัยวะ ได้ห ลายช นิ ด " แ ค ด เ มี ย ม ที่ ถู ก ทิ้ ง ห รื อ ป น เ ปื้ อ น เ ข้ า ใ น ดิ น -น้ า ห า ก สัตว์หรือพืชรับเข้าไปเมื่อคนกินสัตว์หรือพืชเข้าไปก็จะได้รับแคดเมียมสะสมเข้าไปในปริมาณที่เกิด พิษได้ง่าย"นิ กเกิลกับแคดเมียมก็เป็ น อีกสาเห ตุ ที่ก่อให้เกิด"โรคช นิ ดให ม่" ขึ้น มา ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็อาจสายไปเสียแล้วและแม้ว่าบางบริษัทผู้ผลิตจะบอกว่าโทรศัพท์หรือแบตเตอรี่ทามา จาก"แมงกานีส" ซึ่งมีพิษน้อย จึงไม่เรียกคืน แต่แมงกานีสนี้ก็เป็นอันตรายต่อมนุษย์เหมือนกัน 3.4 สำรโลหะหนักที่อยู่ในแบตเตอรี่ประกอบด้วย 1.แคดเมียมซึ่งหากสะสมในร่างกายในปริมาณถึงระดับหนึ่ งก็จะก่อให้เกิดโรคไตวายได้ และเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งโดยการสูดดม
  • 20. 20 2.ตะกั่ว เป็นสารก่อมะเร็ง และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางระบบย่อยอาหาร ไต โลหิต หัวใจ การพัฒนาของทารกในครรภ์ 3.ลิเธียมก่อให้เกิดการการระเคืองต่อจมูกลาคอ ทาให้หายใจติดขัดถ้ากลืนกินเข้าไปจะมีฤทธิ์ กั ด ก ร่ อ น ท า ใ ห้ เ กิ ด อ า ก า ร เ จ็ บ ค อ ป ว ด ท้ อ ง แ ล ะ อ า เ จี ย น ไ ด้ ถ้าเข้าตาจะทาให้เกิดการระคายเคืองและอาจทาให้ตาบอด 4. ทองแดง ทาให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ และเป็นอันตรายหากกลืนกิน 5. นิ เกิล เป็ น ส ารก่อมะ เร็ ง เมื่อห ายใ จเข้าไปอาจท าใ ห้ เกิดอ าการห อบ หื ด ห ล อ ด ล ม อั ก เ ส บ ห า ย ใ จ ติ ด ขั ด แ ล ะ ท า ใ ห้ ผิ ว ห นั ง อั ก เ ส บ และถ้ากลืนหรือกินเข้าไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ 3.5 โรคที่เกิดจำกกำรใช้โทรศัพท์มือถือที่มีผลกระทบในเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตคนไทย 1.โรคเห่อตามแฟชั่นโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นนิยมเปลี่ยนมือถือตามแฟชั่นเพื่อให้อินเทรนด์ ดูทันสมัยไม่ตกรุ่นทัดเทียมเพื่อนดังนั้นมือถือจึงกลายเป็นเครื่องประดับที่บ่งบอกสถานภาพทางสังค มอีกทางหนึ่ง 2. โ ร ค ท รั พ ย์ จ า ง ซึ่งหลายคนต้องหาเงินเพื่อมาซื้อมือถือรุ่นใหม่ทั้งนี้บางคนไม่มีเงินแต่รสนิยมสูงจึงเกิดสภาวะทรัพย์ จางต้องไปกู้ยืมหนี้ยืมสินมาซื้อมือถือ เป็นต้น 3.โรคขาดความอดทนและใจร้อนเนื่องจากคุณสมบัติของโทรศัพท์มือถือกดปุ๊ บต้อง ติดปั๊บ ทาให้หลายคนกลายเป็ นคนไม่มีความอดทนแม้แต่เรื่องเล็กๆ เช่น นัดเพื่อนไว้ช้าแค่5นาที ต้องโทรตาม จึงกลายเป็นคนเร่งรีบ ร้อนรน และไม่รอบคอบ
  • 21. 21 4.โรคขาดกาลเทศะและไร้มารยาทซึ่งการโทรศัพท์ไปหาบุคคลที่เราอยากจะพูด ทุ ก เว ล าโ ด ยไ ม่ดู เว ล าห รื อ ก าล เท ศ ะ ที่ ค วร โท ร บ าง ค น โท รข า ยป ระ กัน ขายเครื่องกรองน้าชวนสมัครบัตรเครดิตทั้งๆที่ไม่รู้จักกันทาให้ผู้รับสายเกิดความราคาญใจ 5.โรค ขาดมนุ ษ ยสั มพัน ธ์ คน ส่วน ใ ห ญ่จะ ใช้มือถือ พูด คุยกับ ญ าติส นิ ท ขาดความใส่ใจที่จะสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นหลบมุมโทรไปคุยกับเพื่อนแทนที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ผู้ปก ครองหรือทกิจกรรมที่ทาให้ความสัมพันธ์ในบ้านห่างเหินซึ่งจะเกิดอาการเฉาหรือเหงาหงอยกลายเป็ นคนแยกตัวออกจากสังคมมีโลกของตัวเองและเป็นโรคติดโทรศัพท์ในที่สุด 6.โรคไม่จริงใจ เนื่องจากการพูดคุยทางโทรศัพท์ไม่ต้องเห็นหน้าตาท่าทาง สายตาและ ปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ทาให้หลายคนสามารถใช้คาหวานหลอกลวงหรือพูดโกหกผู้อื่น หรือนิยมส่ง sms ไปยังอีกฝ่าย ทาเสมือนรักใคร่ ผูกพันหรือห่วงใย 3.6 โรคยอดฮิตที่มำกับกำรติดมือถือ โรคติดโทรศัพท์มือถือนั้นมืชื่อเรียกในภาษาการแพทย์ว่า “โนโมโฟเบีย”ถือเป็นโรคสมัยใหม่ ที่ YouGov ซึ่ งเป็ นองค์การวิจัยของสห ราชอาณาจักร บัญญัติศัพ ท์คานี้ ออกมาเรียกใช้ โดยการนาคาว่า no-mobile-phone มารวมกับคาว่า phobia ซึ่งหมายถึงโรคกลัวในทางจิตเวช จัดอยู่ในกลุ่มวิตกกังวล เป็นความกลัวที่มากกว่าความกลัวทั่วๆ ไปคนที่ เป็ นโรคโนโมโฟเบีย จะมีอาการเครียด คลื่นไส้ ตัวสั่น เป็นอาการเกิดจากความหวาดกลัวในการขาดโทรศัพท์มือถือ ไม่มีโท รศัพ ท์ อ ยู่ติ ดกับ ตัว รวมไป ถึ ง คว ามเครี ย ดเมื่ออ ยู่ใ น จุ ดอับ สั ญ ญ าณ ความกังวลเมื่อเเบตเตอรี่หมด กลัวที่จะไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับใครได้ การบ่งบอกสัญญาณของโรคติดมือถือ เช่น หมกมุ่นอยู่กับการเช็คมือถือตลอดเวลา กังวลไปว่ามือถือจะหายคอยตรวจเช็คดูตลอด ต้องวางมือถือไว้ในจุดที่เอื้อมหยิบถึงได้ตลอดเวลา ใ ช้ เ ว ล า กั บ โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ม า ก ว่า ส น ท น า กั บ ค น ร อ บ ข้ า ง ก่อ น ท า น อ า ห า ร ต้ อ ง ถ่ า ย รู ป เ พื่ อ โ พ ส ล ง โ ซ เ ชี่ ย ล เ น็ ต เ วิ ร์ ค โ พ ส รู ป แ ล ะ ค ว า ม รู้ สึ ก ล ง ใ น สื่ อ อ อ น ไ ล น์ ต ล อ ด เ ว ล า วันละหลายครั้ง และทีนี้มาดูผลกระทบต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายกันบ้าง อำกำรปวดเมื่อย
  • 22. 22 อาการปวดเมื่อย คอ บ่าไหล่ถือเป็นอาการลาดับแรกๆที่เป็นผลมาจากการนั่งเกร็งในท่าเดิมๆ ยิ่งไปกว่านั้นเวลาที่เราเพ่งดูหน้าจอนั้น ท่าทางรายการของเราก็จะค่อยค้อมลง ตัวงอและงุ้ม ส่ ง ผ ล ใ ห้ ล้ า ไ ป ทั้ ง ค อ แ ล ะ บ่ า แ ล ะ อ า จ ส่ ง ผ ล ไ ป ถึ ง ก า ร ป ว ด ศี ร ษ ะ เพ รา ะ เลื อ ด ที่ ไ ป เ ลี้ ยง ส ม อ ง นั้ น ต้อ ง ไ ห ล ผ่า น ก ล้าม เ นื้ อ ส่ วน บ่า ต้น ค อ เมื่อ เกิด อ าก ารเก ร็ ง จน ก ล้ามเนื้ อ บิ ด ท าใ ห้ เลื อ ด ไห ล เวีย น ไม่ส ะ ด ว ก นั ก เ มื่ อ เ ป็ น บ่ อ ย ค รั้ ง เ ข้ า จ ะ ท า ใ ห้ รู้ สึ ก ป ว ด ศี ร ษ ะ ไ ด้ หากเกิดอาการนี้กับเด็กหรือวัยรุ่นจะส่งผลให้กระดูกหรือหมอนรองกระดูกเสื่อก่อนวันอันควรอีกด้ วยนอกจากปวดเมื่อยแล้วจากการนั่งหลังงุ้มแล้ว ยังส่งผลต่อโรคระบบทางเดินหายใจ เมื่ อ นั่ ง ห ลั ง งุ้ ม จ ะ ท า ใ ห้ ห า ย ใ จ ไ ม่สุ ด ป อ ด ห า ย ใ จ สั้ น แ ล ะ ติ ด ขั ด ส่งผลต่อการขับของเสียหรือเชื้อโรคในทางเดินหายใจที่ถูกจากัดลง อำกำรตำเสื่อม การจ้องหน้าจอนานๆ ทาให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาเกร็งตัว เมื่อมองแสงสีของภาพจากจอที่ฉูดฉาด เคลื่อนที่เร็ว ทาให้ประสาทตาล้า เกิดอาการตาแห้ง ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้บ่อยครั้งเข้าก็จะส่งผลให้ประสาทตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น อำกำรนิ้วล็อก การใช้มือถือจิ้มที่หน้าจอบ่อยๆ นานๆ อาจทาให้เป็นอาการนิ้วล็อก นิ้วชา ปวดข้อมือ อาจะถึงขั้นเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ ลักษณะอาการนิ้วล็อกให้สังเกตจาก จะเริ่มกามือไม่ค่อยลง มือและ นิ้ วแข็ ง กาแล้วเห ยียดขึ้ น ไม่ได้ เมื่อตื่น น อน ขึ้ น มายิ่ง รู้สึ กมือแข็ง มาก รู้สึกปวดเมื่อยมือและนิ้ว ให้สงสัยได้เลยว่าคุณกาลังเป็นโรคนิ้วล็อก ควรพบแพทย์เพื่อรักษาต่อไป อำกำรอ้วนและโรคเกี่ยวกับกระเพำะอำหำร ก า ร นั่ ง อ ยู่ กั บ ที่ น า น ๆ ท า ใ ห้ ร่ า ง ก า ย ไ ม่ เ กิ ด ก า ร เ ผ า ผ ล า ญ อาห ารถูกพ อกพูน เป็ น ไขมัน ส ะสมโดยเฉพ าะ บริ เวณ ห น้าท้อง ก้น และ ต้น ขา เกิดการสะสมเซลลูไลท์ นอกจากจะทาให้อ้วนขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพของกระเพาะอาหาร อาหารย่อยยาก ท้องอืด ลาไส้อ่อนแรง เพราะไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวของลาไส้ 3.7 โรคซีวีเอส น าย แ พ ท ย์ สุ พ ร ร ณ ศ รี ธ ร ร ม ม า อ ธิ บ ดี ก ร ม ก า ร แ พ ท ย์ เปิ ด เผ ย ว่า ก า ร ใ ช้ ง า น โ ท ร ศั พ ท์ มื อ ถื อ ส ม า ร์ ท โ ฟ น แ ท็ บ เ ล็ ต และคอมพิวเตอร์ที่มากเกินความจาเป็นอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ซึ่งหนึ่งในโรคที่อาจส่งกระทบต่
  • 23. 23 อ สุ ข ภ า พ คื อ "ค อ ม พิ ว เต อ ร์ วิ ชั่ น ซิ น โด ร ม " (Computer Vision Syndrome) หรือ "โรคซีวีเอส" คน ที่ทางานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็ น เวลาน าน ๆ เช่น เ กิ น ส อ ง ถึ ง ส า ม ชั่ ว โ ม ง มั ก จ ะ มี อ า ก า ร ป ว ด ต า แ ส บ ต า ต า มั ว แ ล ะ บ่ อ ย ค รั้ ง ที่ จ ะ มี อ า ก า ร ป ว ด หั ว ร่ ว ม ด้ ว ย ทั้งนี้อาการทางสายตาเหล่านี้ เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป อาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี อ า ก า ร ใ น บ า ง ค น อ า จ เ ป็ น เ ล็ ก ๆ น้ อ ย ๆ ไ ม่บั่ น ท อ น ก า ร ท า ง า น หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็ นวันก็หายไป บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ ส่ ว น ส า เ ห ตุ ข อ ง โ ร ค ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ วิ ชั่ น ซิ น โ ด ร ม เกิดจากการใช้คอมพิ วเตอร์ห รือโทรศัพ ท์มือถือน าน ๆ และ ไม่ค่อยกระ พ ริ บตา ห าก เราอ่าน ห นั ง สื อห รื อนั่ ง จ้อง ค อม พิ วเตอ ร์ อัตราการก ระ พ ริ บจ ะ ล ดล ง ป ร ะ ก อ บ กั บ แ ส ง ส ะ ท้ อ น จ า ก จ อ ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ท า ใ ห้ ต า เ มื่ อ ย ล้ า ทั้ง แส งจ้าและ แส ง สะ ท้อน มายังจอภ าพ อ าจเกิดจากแส ง สว่าง ไม่พ อเห มาะ มี ไ ฟ ส่ อ ง เ ข้ า ห น้ า ห รื อ ห ลั ง จ อ ภ า พ โ ด ย ต ร ง ห รื อ แ ม้ แ ต่ แ ส ง ส ว่า ง จ า ก ห น้ า ต่ า ง ป ะ ท ะ ห น้ า จ อ ภ า พ โ ด ย ต ร ง ก่อ ใ ห้ เกิ ด แ ส ง จ้ าแ ล ะ แ ส ง ส ะ ท้ อ น เข้ าต า ผู้ ใ ช้ ท า ใ ห้ เมื่ อ ย ล้ า ต า ง่า ย หรือระยะทางานที่ห่างจากจอภาพไม่เหมาะสม มีสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวไม่มาก โ ด ย ก า ร ท า ง า น ต า ม ป ก ติ ไ ม่ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด อ า ก า ร แต่ถ้ามาทางานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะก่ออาการเมื่อยล้าตาได้นอกจากนี้บางรายมีโรคตาบางอย่างปร ะจาตัวอยู่เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ตลอดจนโรคทางกาย เช่น ไ ซ นั ส อั ก เ ส บ โ ร ค ห วั ด ภู มิ แ พ้ เ รื้ อ รั ง ห รื อ ร่ า ง ก า ย อ่ อ น เ พ ลี ย ทาให้ต้องปรับสายตามากเวลาใช้คอมพิวเตอร์ จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยตาได้ง่า ย อี ก ทั้ ง ก า ร ท า ง า น จ้ อ ง จ อ ภ า พ น า น เ กิ น ไ ป ย่อมเกิดอาการทางตาได้ง่ายจากการเกร็งกล้ามเนื้อตาตลอดเวลา
  • 24. 24 3.8 แบคทีเรียบนหน้ำจอมือถือ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ ทาการเพาะเชื้อแบคทีเรียที่ได้จากสมาร์ทโฟน ซึ่งเกิดจากมือของเราที่ทานอาหารขณะเล่นมือถือไปด้วย เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายกับตัวมนุษย์ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่เรียกว่า “สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส” ซึ่งอาจทาให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษได้ ภาพที่ 3.1 ภาพซูมจากกล้องจุลทรรศน์ เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในหน้าจอของโทรศัพท์
  • 25. 25 4. กำรใช้โทรศัพท์มือถือที่ถูกวิธีและลดกำรเกิดผลกระทบ 4.1 กำรใช้โทรศัพท์มือถือ อย่ำงถูกวิธีเพื่อถนอมสำยตำ นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 2 ขอ ง เดื อ น ตุ ล าค ม ทุ ก ปี อ ง ค์ ก ารอ น ามัยโ ล ก ( World Health Organization : WHO) กาห น ดใ ห้เป็ น วัน สายตาโลก (World Sight Day) ใน ปี 2557 นี้ ตรง กับวัน ที่ 9 ตุลาคม เพื่อให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกรณรงค์ป้ องกันแก้ไขปัญหาตาบอด ปัญหาสายตาเลือนราง องค์การอนามัยโลกรายงานพบประชากรโลกตาบอดปีละประมาณ 7ล้านคน สาเหตุร้อยละ 80 สามารถป้ องกันได้ส่วนใหญ่มาจากปัญหาตาต้อกระจก ผู้ที่มีปัญหาความพิการทางสายตา ซึ่ ง น อ กจ ากจ ะ ท าใ ห้ เกิดค วามทุ ก ข์ ท ร มาน ใ น ก ารใ ช้ ชี วิต ป ร ะ จาวัน แ ล้ว ยังทาให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และอาจทาให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุ น า ย แ พ ท ย์ ณ ร ง ค์ ก ล่ า ว ต่ อ ว่ า ส า ห รั บ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ข้อมูลผลส ารวจจากส านั กส่งเสริ มและ พัฒ น าคุณ ภ าพ ชีวิตคน พิ การแห่ง ช าติ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ล่าสุดในเดือนกันยายน 2557ทั่วประเทศ มีผู้พิการทางการมองเห็น 171,597คน โดยโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดที่สาคัญ 5 โรค ได้แก่ โรคต้อกระจก ต้อหิน โรคของจอตา โรคที่ทาให้ตาบอดใน เด็ก และโรคของกระจกตา จากการสารวจล่าสุดในช่วงปี 2549-2550พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอดร้อยละ 0.59 แ ล ะ ส า ย ต า เ ลื อ น ร า ง ร้ อ ย ล ะ 1.57 กระทรวงสาธารณ สุขได้เร่ง แก้ไขและป้ องกัน โดยเฉพ าะใน กลุ่มผู้ป่ วยเบาห วาน จะ มีความเสี่ ยง เกิดเบ าห วาน ขึ้ น จอ ประ ส าทต าแ ละ ตาบ อดสู ง กว่าคน ทั่วไป รวมทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่เลนซ์ตาเสื่อมตามวัยซึ่งไทยมีผู้สูงอายุ 60ปีเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5แสนคน โ ด ย เ น้ น ก า ร ต ร ว จ คั ด ก ร อ ง เ พื่ อ ค้ น ห า ค ว า ม ผิ ด ป ก ติ และ กระ จายศูน ย์เชี่ยวช าญ โรคทาง ตาประ จาเขตสุ ขภ าพ ทั้ง 12 เขตทั่วประ เท ศ ประชาชนสามารถรับบริการใกล้บ้านที่สุด
  • 26. 26 ทางด้านนายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี กล่าวว่า ปัญห าสายตาที่น่าห่วงขณะ นี้ เป็ น ปัญห าจากการใช้เทคโน โลยีการสื่ อสาร ประชาชนใช้สายตาในเรื่องนี้ มาก ผลสารวจล่าสุดคนไทยใช้มือถือประมาณ 41ล้านคน ใ ช้ค อมพิ วเตอ ร์ ป ระ มาณ 20 ล้าน ค น ใ ช้อิ น เต อ ร์ เน็ ต ป ร ะ มาณ 15 ล้าน ค น โ ด ย โ ท ร ศั พ ท์ ที่ นิ ย ม ส่ ว น ใ ห ญ่ เ ป็ น ส ม า ร์ ท โ ฟ น ซึ่ ง มี ส า ร ะ ก า ร ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ไ ด้ ห ล า ย อ ย่ า ง ใ น เ ค รื่ อ ง เ ดี ย ว ข้อมูลจากสานักงาน คณะ กรรมการพัฒ น าเศรษฐกิจและสังคมแห่งช า ติใน ปี 2557 ระบุว่าประชาชนไทยใช้สมาร์ทโฟน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากที่สุดร้อยละ 77 โดยเฉลี่ยใช้เฉลี่ยวัน ละ 7.2 ชั่วโมง เพิ่มขึ้ น จากปี 2556 ที่ใช้เฉลี่ยวัน ละ 4.6 ชั่วโมง ซึ่ ง ชี้ ใ ห้ เห็ น ว่าป ระ ช าช น ใ ช้ส ายตาเพ่ง ข้อมูลใ น ส มาร์ ท โฟ น ยาว น าน ขึ้ น มีความเสี่ยงที่จะเกิดสายตาผิดปกติเพิ่มขึ้น น ายแพ ท ย์ฐาปน วงศ์กล่าวต่อว่า สายตาผิดป กติ จะ มีทั้ง สั้ น ยาว และ เอียง การเล่น คอมพิวเตอร์ใ น เด็กวัยประถม คืออายุต่ากว่า 15 ปี เด็กจะ ใช้สายตามาก จะ ทาให้ สายตาสั้ น เร็ วกว่าปกติ ซึ่ งมีทั้ง สั้ น เทียมห รื อสั้ น ชั่วคราวและ สั้ น ถาวร โดยอัตราการเกิดปั ญหาสายตาสั้น ขณะนี้ เพิ่มขึ้น ถึง 3 เท่าตัว จากที่เคยพ บร้อยละ 8 ของจานวน ประชากรที่สายตาสั้น เป็ นร้อยละ 30ซึ่งจะทาให้เด็กมีปัญห าใน การเรียน เด็กจะ มอง ตัวห นั งสื อบน กระ ดาน ไม่ชัด ท าให้ จดข้อมูลและ เรียน ไม่ทัน เพื่ อน และเกิดปัญหาเด็กเบื่อหน่ายการเรียน ไม่อยากเรียนต่อไป นอกจากนี้จะทาให้เกิดอาการปวดตา ป ว ด ศี ร ษ ะ โ ด ย ไ ม่รู้ ส า เ ห ตุ ซึ่ ง เ กิ ด เ นื่ อ ง ม า จ า ก ก า ร เ พ่ ง ส า ย ต า และส่งผลต่อการทางานในบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่นนักบิน ตารวจ ทหาร เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่อายุเกิน 15ปีจะไม่มีปัญหาสายตาสั้นเทียม แต่จะเกิดปัญหาเมื่อยล้า แสบตา ตาแห้ง มีอาการปวดศีรษะ ห รือทาให้อาการปวดศีรษะไมเกรน กาเริบ หากเป็ นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นวัยทางาน ตามปกติสายตาจะเริ่มยาวหากใช้สายตามากกว่าปกติจะเกิดอาการเมื่อยล้า ปวดตา ตาแดง แสบตามากขึ้น และหากกลับไปบ้านและทางานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อีก จะทาให้อาการเมื่อยล้ามากขึ้น และเกิดสะสม เวียน ศีรษะ สาห รับวัยห ลังเกษียณ