More Related Content
More from Chacrit Sitdhiwej
More from Chacrit Sitdhiwej (20)
2553 la201 week 6 class (19 july 2010) slideshow
- 1. ครั้งที่ ๖
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๓
Wednesday, 14 July 2010 1
- 3. เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ลูกจ้าง
ความรับผิดเพื่อละเมิดของ
บุคคลอื่น (๒)
Wednesday, 14 July 2010 2
- 4. เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ลูกจ้าง
ความรับผิดเพื่อละเมิดของ
บุคคลอื่น (๒)
ผู้รับจ้างทําของ
Wednesday, 14 July 2010 2
- 5. เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ลูกจ้าง
ความรับผิดเพื่อละเมิดของ
บุคคลอื่น (๒)
ผู้รับจ้างทําของ
ตัวแทน
Wednesday, 14 July 2010 2
- 11. มาตรา ๕๗๕ อันว่าจ้างแรงงาน
นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทํางานให้
แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า
นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้
สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้
Wednesday, 14 July 2010 6
- 12. มาตรา ๕๗๕ อันว่าจ้างแรงงาน
นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทํางานให้
แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า
นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้
สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้
Wednesday, 14 July 2010 6
- 13. มาตรา ๕๗๕ อันว่าจ้างแรงงาน
นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทํางานให้
แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า
นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้
สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้
Wednesday, 14 July 2010 6
- 16. มาตรา ๒๙๑ ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทําการ
ชําระหนี้โดยทํานองซึ่งแต่ละคนจําต้องชําระหนี้สิ้น
เชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชําระหนี้สิ้น
เชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็
ดี เจ้าหนี้จะเรียกชําระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคน
หนึ่งสิ้นเชิง หรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่
ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่า
หนี้นั้นจะได้ชําระเสร็จสิ้นเชิง
Wednesday, 14 July 2010 9
- 22. มาตรา ๔๒๖ นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่า
สินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก
เพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทํานั้น ชอบที่
จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น
Wednesday, 14 July 2010 15
- 23. มาตรา ๔๒๖ นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่า
สินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก
เพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทํานั้น ชอบที่
จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น
Wednesday, 14 July 2010 15
- 24. มาตรา ๔๒๖ นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่า
สินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอก
เพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทํานั้น ชอบที่
จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น
Wednesday, 14 July 2010 15
- 29. มาตรา ๗๙๗ อันว่าสัญญาตัวแทน
นั้น คือสัญญาซึ่งให้บุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่าตัวแทน มีอํานาจทําการแทน
บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าตัวการ และ
ตกลงจะทําการดั่งนั้น
อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดย
ตั้งแต่งแสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็
ย่อมได้
Wednesday, 14 July 2010 20
- 30. มาตรา ๗๙๗ อันว่าสัญญาตัวแทน
นั้น คือสัญญาซึ่งให้บุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่าตัวแทน มีอํานาจทําการแทน
บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าตัวการ และ
ตกลงจะทําการดั่งนั้น
อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดย
ตั้งแต่งแสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็
ย่อมได้
Wednesday, 14 July 2010 20
- 31. มาตรา ๗๙๗ อันว่าสัญญาตัวแทน
นั้น คือสัญญาซึ่งให้บุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่าตัวแทน มีอํานาจทําการแทน
บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าตัวการ และ
ตกลงจะทําการดั่งนั้น
อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดย
ตั้งแต่งแสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็
ย่อมได้
Wednesday, 14 July 2010 20
- 35. พระราชบัญญัติ
ความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. ๒๕๓๙
Wednesday, 14 July 2010 24
- 37. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 38. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 39. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 40. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 41. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 42. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 43. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 44. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 45. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 46. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 47. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 48. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 49. มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
“เจ้าหน้าท” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน
ี่
ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่ง
ตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะอื่นใด
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง
กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น
กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และ
รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราช
กฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่
มีพระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
พระราชบัญญัตินี้ด้วย
Wednesday, 14 July 2010 26
- 51. มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้
เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจ
ฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะ
ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัด
หน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลัง
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
Wednesday, 14 July 2010 28
- 52. มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้
เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจ
ฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะ
ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัด
หน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลัง
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
Wednesday, 14 July 2010 28
- 53. มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้
เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจ
ฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะ
ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัด
หน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลัง
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
Wednesday, 14 July 2010 28
- 54. มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้
เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจ
ฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะ
ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัด
หน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลัง
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
Wednesday, 14 July 2010 28
- 55. มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้
เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจ
ฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะ
ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัด
หน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลัง
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
Wednesday, 14 July 2010 28
- 56. มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้
เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจ
ฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะ
ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัด
หน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลัง
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
Wednesday, 14 July 2010 28
- 57. มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้
เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจ
ฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะ
ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัด
หน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลัง
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
Wednesday, 14 July 2010 28
- 59. มาตรา ๖ ถ้าการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่
มิใช่การกระทําในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้อง
รับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสีย
หายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วย
งานของรัฐไม่ได้
Wednesday, 14 July 2010 30
- 60. มาตรา ๖ ถ้าการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่
มิใช่การกระทําในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้อง
รับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสีย
หายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วย
งานของรัฐไม่ได้
Wednesday, 14 July 2010 30
- 61. มาตรา ๖ ถ้าการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่
มิใช่การกระทําในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้อง
รับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสีย
หายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วย
งานของรัฐไม่ได้
Wednesday, 14 July 2010 30
- 62. มาตรา ๖ ถ้าการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่
มิใช่การกระทําในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้อง
รับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสีย
หายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วย
งานของรัฐไม่ได้
Wednesday, 14 July 2010 30
- 65. มาตรา ๘ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของ
รัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดัง
กล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทําการนั้นไปด้วย
ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียง
ใดให้คํานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรม
ในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจํานวนของความเสีย
หายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วย
งานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความ
รับผิดดังกล่าวออกด้วย
ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นําหลัก
เรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่า
สินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
Wednesday, 14 July 2010 33
- 66. มาตรา ๘ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของ
รัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดัง
กล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทําการนั้นไปด้วย
ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียง
ใดให้คํานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรม
ในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจํานวนของความเสีย
หายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วย
งานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความ
รับผิดดังกล่าวออกด้วย
ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นําหลัก
เรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่า
สินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
Wednesday, 14 July 2010 33
- 67. มาตรา ๘ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของ
รัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดัง
กล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทําการนั้นไปด้วย
ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียง
ใดให้คํานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรม
ในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจํานวนของความเสีย
หายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วย
งานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความ
รับผิดดังกล่าวออกด้วย
ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นําหลัก
เรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่า
สินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
Wednesday, 14 July 2010 33
- 68. มาตรา ๘ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของ
รัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดัง
กล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทําการนั้นไปด้วย
ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียง
ใดให้คํานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรม
ในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจํานวนของความเสีย
หายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วย
งานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความ
รับผิดดังกล่าวออกด้วย
ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นําหลัก
เรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่า
สินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
Wednesday, 14 July 2010 33
- 69. มาตรา ๘ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของ
รัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดัง
กล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทําการนั้นไปด้วย
ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียง
ใดให้คํานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรม
ในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจํานวนของความเสีย
หายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วย
งานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความ
รับผิดดังกล่าวออกด้วย
ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นําหลัก
เรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่า
สินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
Wednesday, 14 July 2010 33
- 70. มาตรา ๘ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของ
รัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดัง
กล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทําการนั้นไปด้วย
ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียง
ใดให้คํานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรม
ในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจํานวนของความเสีย
หายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วย
งานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความ
รับผิดดังกล่าวออกด้วย
ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นําหลัก
เรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่า
สินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
Wednesday, 14 July 2010 33
- 71. มาตรา ๘ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของ
รัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทําละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดัง
กล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทําการนั้นไปด้วย
ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
สิทธิเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียง
ใดให้คํานึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทําและความเป็นธรรม
ในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจํานวนของความเสีย
หายก็ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วย
งานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความ
รับผิดดังกล่าวออกด้วย
ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นําหลัก
เรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่า
สินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น
Wednesday, 14 July 2010 33
- 74. มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้
กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วย
งานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการ
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหม
ทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๘ มา
ใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทําในการ
ปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Wednesday, 14 July 2010 36
- 75. มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้
กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วย
งานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการ
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหม
ทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๘ มา
ใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทําในการ
ปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Wednesday, 14 July 2010 36
- 76. มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้
กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วย
งานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการ
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหม
ทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๘ มา
ใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทําในการ
ปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Wednesday, 14 July 2010 36
- 77. มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้
กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วย
งานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการ
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหม
ทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๘ มา
ใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทําในการ
ปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Wednesday, 14 July 2010 36
- 78. มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้
กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วย
งานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการ
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหม
ทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๘ มา
ใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทําในการ
ปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Wednesday, 14 July 2010 36
- 79. มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้
กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วย
งานของรัฐที่ผู้นั้นอยู่ในสังกัดหรือไม่ ถ้าเป็นการ
กระทําในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกร้องค่าสินไหม
ทดแทนจากเจ้าหน้าที่ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๘ มา
ใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้ามิใช่การกระทําในการ
ปฏิบัติหน้าที่ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
Wednesday, 14 July 2010 36
- 82. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 83. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 84. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 85. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 86. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 87. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 88. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 89. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 90. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 91. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 92. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 93. มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับ
ผิดตามมาตรา ๕ ผู้เสียหายจะยื่นคําขอต่อหน่วยงานของรัฐให้
พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตน
ก็ได้ ในการนี้หน่วยงานของรัฐต้องออกใบรับคําขอให้ไว้เป็นหลัก
ฐานและพิจารณาคําขอนั้นโดยไม่ชักช้า เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เช่นใดแล้วหากผู้เสียหายยังไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงาน
ของรัฐก็ให้มีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม
กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่
วันที่ตนได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคําขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้ว
เสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หากเรื่องใดไม่อาจพิจารณาได้ทัน
ในกําหนดนั้นจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้รัฐมนตรีเจ้า
สังกัดหรือกํากับหรือควบคุมดูแลหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นทราบและ
ขออนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้ แต่รัฐมนตรีดังกล่าวจะพิจารณา
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
Wednesday, 14 July 2010 39
- 94. มาตรา ๑๔ เมื่อได้มีการจัดตั้ง
ศาลปกครองขึ้นแล้ว สิทธิร้อง
ทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้อง
ทุกข์ตามมาตรา ๑๑ ให้ถือว่าเป็น
สิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
Wednesday, 14 July 2010 40
- 97. มาตรา ๕๘๗ อันว่าจ้างทําของนั้น
คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับ
จ้าง ตกลงจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
จนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียก
ว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สิน
จ้างเพื่อผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น
Wednesday, 14 July 2010 43
- 98. มาตรา ๔๒๘ ผู้ว่าจ้างทําของไม่
ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับ
จ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอก
ในระหว่างทําการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้
ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่ง
ให้ทํา หรือในคําสั่งที่ตนให้ไว้ หรือใน
การเลือกหาผู้รับจ้าง
Wednesday, 14 July 2010 44