น.ส.ณัฐณิชา บุญนุกล ม.4/8 เลขที21
                  ู            ่
ความเป็ นมาของโครงการ

             ตามที่สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตามเสด็จ
พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้ าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วทุกภาคของประเทศไทย ทรงพบเห็นปั ญหา
ความยากจน ความขาดแคลนอาหาร และสภาพแวดล้ อมที่เสื่อมโทรม
ประชาชนเป็ นโรคขาดสารอาหารและสุขภาพอ่ อนแอเจ็บป่ วยไม่ แข็งแรง ไม่
สามารถปฏิบัตงานได้ ดี โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเป็ นกลุ่มที่ได้ รับผลกระทบ
                    ิ
มากที่สุด อีกทังมีพฤติกรรมการบริโภค และพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ พงประสงค์
                  ้                                                  ึ
ทาให้ พระองค์ ทรงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะช่ วยเหลือประชาชนและเยาวชน
เหล่ า นัน ให้ มีชีวตความเป็ นอยู่ท่ ดขน ทรงมีพระราชดาริให้ โรงเรี ยนจัดตัง
          ้           ิ              ี ี ึ้                               ้
โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน มุ่งเน้ นที่การสร้ างความมั่นคงทางอาหาร
เพื่อให้ นักเรี ยนมีอาหารที่มีคุณค่ าทางโภชนาการ ภายใต้ แผนพัฒนาเด็กและ
เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยาม
บรมราชกุมารี ฉบับที่ ๑ (พ.ศ.๒๕๓๕ - ๒๕๓๙) จนปั จจุบัน
กรมประมง ในฐานะเป็ นหน่ วยงานหนึ่งที่สนองงานโครงการตามพระราชดาริ ได้ ดาเนินกิจกรรมประมงโรงเรี ยน
มาตังแต่ ปี ๒๕๓๕ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๔๖ กรมประมงได้ จัดทาโครงการสนับสนุนด้ านการประมง ตาม
     ้
พระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อดาเนินกิจกรรมประมงโรงเรี ยนและ
กิจกรรมฝึ กอบรมมาจนถึงปั จจุบัน โดยปั จจุบันได้ ดาเนินการตามแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร
ตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ฉบับที่ ๔ (พ.ศ.๒๕๕๐ - ๒๕๕๙) ซึ่ง
สอดคล้ องตามวัตถุประสงค์ ท่ ี ๔ เสริมสร้ างศักยภาพของเด็กและเยาวชนทางการอาชีพ ภายใต้ โครงการเกษตร
เพื่ออาหารกลางวันตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดาเนินการโดย
สนับสนุนปั จจัยการผลิตด้ านการประมงที่เหมาะสมกับสภาพพืนที่และ ศักยภาพของโรงเรี ยน อบรมให้ ความรู้
                                                           ้
ด้ านการเพาะเลียงสัตว์ นา และด้ านโภชนาการและสาธิตการแปรรู ปสัตว์ นาแก่ ครู และนักเรี ยนในโรงเรี ยน
                  ้        ้                                         ้
ตลอดจนติดตามและให้ คาแนะนาทักษะด้ านการจัดการการผลิตและการจัดการผล ผลิตอย่ างมีประสิทธิภาพ โดย
ดาเนินการในโรงเรี ยนสังกัดกองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดน โรงเรี ยนสังกัดสานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขันพืนฐาน ศูนย์ การเรี ยนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ ฟาหลวง” ศูนย์ การเรี ยนชุมชนชาวไทยมอแกน
              ้ ้                                        ้
สังกัดสานักงานส่ งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน โรงเรี ยนในสังกัดองค์ การบริหารส่ วนท้ องถิ่นและโรงเรี ยนใน
สังกัดกรุ งเทพมหา นคร ซึ่งกิจกรรมด้ านการประมงถือเป็ นการผลิตอาหารจาพวกโปรตีนที่สาคัญกิจกรรม หนึ่ง ที่
ทาให้ เยาวชนมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง อีกทังยังเป็ นแหล่ งการเรี ยนรู้ ด้านการเลียงสัตว์ นา และการ
                                                     ้                                    ้        ้
อนุรักษ์ ทรั พยากรสัตว์ นาให้ แก่ เด็ก เยาวชน และราษฎรในชุมชน เพื่อสามารถนาความรู้ ไปใช้ ในการประกอบ
                         ้
อาชีพได้ ต่อไปในอนาคต นอกจากนียังเป็ นการส่ งเสริมให้ เด็กหรื อเยาวชนได้ ใช้ เวลาว่ างให้ เป็ น ประโยชน์ และยัง
                                       ้
เป็ นการปลูกฝั งให้ เกิดความสามัคคีในชุมชนต่ อไปในอนาคต
วัตถุประสงค์
    ๑. เพือเป็ นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนประเภทปลาให้ แก่เด็กนักเรียนบริโภคเป็ นอาหาร
          ่
กลางวันทีมคุณค่ าทางโภชนาการ และก่ อให้ เกิดรายได้ จากการจาหน่ ายสั ตว์ นา เพือ
                    ่ ี                                                        ้ ่
นามาใช้ ในการบริหารงานด้ านการประมงภายในโรงเรียน
    ๒. เพือปลูกฝังให้ นักเรียนมีความรู้ ทักษะพืนฐานและประสบการณ์ ในการเพาะเลียง
                  ่                                 ้                                ้
สั ตว์ นา การใช้ ประโยชน์ จากทรัพยากรสั ตว์ นาอย่ างถูกวิธี เข้ าใจหลักการอนุรักษ์
        ้                                       ้
ทรัพยากรประมงอย่ างถูกต้ อง หลักการเพาะเลียงสั ตว์ นาและการเกษตรแบบผสมผสาน
                                                  ้           ้
และการใช้ ประโยชน์ จากทรัพยากรภายในท้ องถิ่น เพือให้ เกิดการผลิตอย่ างยังยืน
                                                          ่                  ่
    ๓. เพือให้ เกิดการเรียนรู้ ด้านการแปรรู ปสั ตว์ นา การถนอมอาหารและหลัก
              ่                                       ้
โภชนาการสั ตว์ นา รวมทั้งสร้ างทัศนคติในการบริโภคทีดี ถูกสุ ขลักษณะตามหลัก
                        ้                                   ่
โภชนาการที่ดี
    ๔. เพือให้ โรงเรียนเป็ นศูนย์ กลางในการเผยแพร่ ความรู้ และเป็ นแหล่ งวิทยาการของ
            ่
หมู่บ้าน โดยฝึ กอบรมครู ให้ มความรู้ พนฐานในสาขาวิชาการประมง สามารถนาความรู้
                                 ี      ื้
ไปถ่ ายทอดให้ ราษฎรในหมู่บ้านเกิดการขยายผลด้ านการเพาะเลียง สั ตว์ นาไปสู่ ชุมชน
                                                                   ้       ้
มีอาชีพและมีรายได้ เสริมไม่ ไปยุ่งเกียวกับยาเสพติด
                                      ่
    ๕. เพือให้ เกิดการพัฒนารู ปแบบด้ านการเพาะเลียงสั ตว์ นาทีเ่ หมาะสมในแต่ ละพืนที่
                ่                                       ้       ้                  ้
หน่วยงานรับผิดชอบ

            - สานักงานประมงจังหวัดในแต่ละพื้นที่
  - ส่ วนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ
  - สานักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการประมง กรมประมง
พืนที่ดาเนินงาน
  ้
    กรมประมง มีพนทีดาเนินการตามแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารฯ
                     ื้ ่
ฉบับที่ ๔ (๒๕๕๐ - ๒๕๕๙) จานวนทั้งสิ้น ๖๗๔ โรงเรียน ได้ แก่
    - โรงเรียนตารวจตระเวนชายแดน สั งกัดกองบัญชาการตารวจตระเวน
ชายแดน ๑๗๗ โรงเรียน
    - โรงเรียนสั งกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืนฐาน ๑๘๕ โรงเรียน
                                                           ้
    - ศูนย์ การเรียนชุ มชนชาวไทยภูเขาแม่ ฟาหลวง และศูนย์ การเรียนชุ มชนชาวไทย
                                          ้
มอแกน
    สั งกัดสานักงานส่ งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ๒๖๖
โรงเรียน
    - โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
    สั งกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ๑๔ โรงเรียน
    - โรงเรียนในสั งกัดองค์ การบริหารส่ วนท้ องถิ่น ๙ โรงเรียน
    - โรงเรียนในสั งกัดกรุ งเทพมหานคร ๒๓ โรงเรียน
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัวด้ านการประมง นับว่ าเป็ น
การวางรากฐานสาคัญในการพัฒนาการเพาะเลียงสั ตว์ นาของไทย และอานวย
                                                   ้           ้
ประโยชน์ ต่อชีวตและความเป็ นอยู่ของประชาชนในทุกภูมภาคของประเทศ พระ
                       ิ                                         ิ
ราชกรณียกิจเกียวกับการเพาะเลียงสั ตว์ นา เริ่มเมือกรมประมงแห่ งเมืองปี นังได้
                     ่              ้        ้       ่
ส่ งปลาหมอเทศให้ กรมประมงไทยทดลองเพาะเลียงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ปรากฎ
                                                       ้
ว่ าเป็ นปลาทีเ่ ลียงง่ าย โตเร็ว ทนต่ อโรคและขยายพันธุ์ได้ รวดเร็ว ความทราบถึง
                   ้
พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัว จึงได้ มพระราชกระแสรับสั่ งให้ กรมประมงนา
                                          ี
พันธุ์ปลาหมอเทศจานวนหนึ่งมาทดลองเลียงในพระทีน่ังอัมพรสถาน เมือปี
                                               ้             ่             ่
พ.ศ. ๒๔๙๔ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้ โปรดเกล้ าฯ ให้ กานัน ผู้ใหญ่ บ้าน
จากทัวประเทศเข้ ารับพระราชทานพันธุ์ปลาหมอเทศที่ผลิตได้ เพือนาไปเลียง
         ่                                                           ่       ้
แพร่ ขยายพันธุ์ในตาบล และหมู่บ้านของตนต่ อไป พระราชกรณียกิจครั้งนีนับว่ า      ้
เป็ นการวางรากฐานสาคัญในการพัฒนาการเพาะเลียงสั ตว์ นาของไทย ทีทาให้
                                                         ้         ้     ่
ประชาชนคนไทยได้ เรียนรู้ และสนใจการเลียงปลาขึนอย่ างกว้ างขวางทั่วประเทศ
                                                 ้         ้
พระราชกรณียกิจในด้ านการเพาะเลียงสั ตว์ นาที่สาคัญยิง และนับว่ าอานวยประโยชน์ ต่อ
                                   ้        ้           ่
ชีวตความเป็ นอยู่ของประชาชนชาวไทยทัวทุกภูมภาคคือ พระราชกรณียกิจเกียวกับการ
     ิ                                   ่      ิ                          ่
เพาะเลียงปลานิล ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต เมือครั้งทรงดารงพระอิสริยยศ
        ้                                             ่
มกุฎราชกุมารแห่ งประเทศญี่ปุ่น ได้ น้อมเกล้ าฯ ถวายปลาทิโลเปี ย นิโลติกา (Tilapia
Nilatica) จานวน ๕๐ ตัว แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัว จานวน ๕๐ ตัว เมือวันที่ ่
๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้ ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้ าฯ ให้ ปล่ อยลงเลียงในบ่ อบริเวณ
                                                                    ้
สวนจิตรลดาพระราชวังดุสิตและต่ อมาได้ ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้ าฯ ให้ ขุดบ่ อเลียงปลา
                                                                             ้
นิลเพิมขึนอีก ๖ บ่ อ และได้ ทรงย้ายปลานิลจากบ่ อเดิมไปเลียงในบ่ อใหม่ ด้วยพระองค์ เอง
       ่ ้                                                ้
เมือวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๘ ต่ อมาได้ พระราชทานชื่อปลานีว่า "ปลานิล" และได้
   ่                                                           ้
พระราชทานลูกปลานิล ๑๐,๐๐๐ ตัว ให้ กรมประมง เพือนาไปเพาะเลียงขยายพันธุ์ที่
                                                    ่             ้
แผนกทดลองและเพาะเลียงในบริเวณเกษตรกลางบางเขน กรุ งเทพมหานคร และทีสถานี
                         ้                                                       ่
ประมงต่ าง ๆ ทัวพระราชอาณาจักร เมือวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ และได้ โปรดเกล้า
                 ่                    ่
ฯ ให้ ขุดบ่ อในบริเวณสวนจิตรลดา เพิมขึนอีก ๓ บ่ อ รวมเป็ น ๙ บ่ อ
                                     ่ ้
กรมประมงได้ดาเนินการขยายพันธุ์ปลานิลเป็ นจานวนมาก และได้แจกจ่ายให้แก่ราษฎร
เพื่อนาไปเพาะเลี้ยงตามพระราชประสงค์ต้ งแต่วนที่ ๑๗ สิ งหาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ จนถึง
                                        ั ั
                                                                    ่ ั
ปั จจุบนปี ละเป็ นจานวนหลายล้านตัว ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวได้ทรงพระ
       ั
กรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมประมงนาพันธุ์ปลานิลที่เพาะเลี้ยงไว้ในบ่อบริ เวณสวนจิตรลดา
พระราชวังดุสิตสมทบแจกจ่ายให้แก่ราษฎรตามความต้องการของราษฎรอีกเป็ นประจา
ปั จจุบนนี้สถานีประมงและเอกชนสามารถผลิตพันธุ์ปลาชนิดนี้ได้เป็ นจานวนมาก และได้
         ั
มีการเพาะเลี้ยงกันอย่างกว้างขวางในทุกภูมิภาค นอกจากนี้การที่ได้มีการปล่อยปลานิลลง
แหล่งน้ าต่าง ๆ ทาให้ปลานิลกลายเป็ นปลาน้ าจืดที่มีความสาคัญทางเศรษฐกิจของไทย
ชนิดหนึ่ง เป็ นการสร้างงานสร้างอาชีพและรายได้แก่ราษฎรทัวไปในทุกภูมิภาคและเป็ น
                                                          ่
แหล่งอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพสาหรับราษฎรในท้องถิ่น ในปั จจุบนปลานิลในแหล่งน้ า
                                                              ั
ธรรมชาติส่วนหนึ่งมีปัญหาการกลายพันธุ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวก็ได้พระราชทาน
                                                                ่ ั
พ่อแม่พนธุ์ปลานิลจากบ่อสวนจิตรลดาให้กรมประมงเพื่อใช้เป็ นหลักในการควบคุม
           ั
พันธุกรรม
การประมง หรื อ ประมง หมายถึงการจัดการของมนุษย์ดานการจับปลาหรื อสัตว์
                                                         ้
น้ าอื่นๆ การดูแลรักษาปลาสวยงามและการแปรรู ปเป็ นผลิตภัณฑ์ประมงเช่น
น้ ามันปลา [1] กิจกรรมการทาประมงจัดแบ่งได้ท้ งตามชนิ ดสัตว์น้ าและตามเขต
                                                 ั
เศรษฐกิจ เช่น การทาประมงปลาแซลมอนในอลาสก้า การทาประมงปลาคอดใน
เกาะลอโฟเทน ประเทศนอร์เวย์หรื อการทาประมงปลาทูน่าในมหาสมุทร
แปซิ ฟิกตะวันออก และยังรวมถึงการเพาะปลูกในน้ า (Aquaculture) ซึ่ ง
หมายถึงการปลูกพืชหรื อเลี้ยงสัตว์บางชนิ ดในน้ า เพื่อใช้เป็ นอาหารคนหรื อสัตว์
เช่นเดียวกับเกษตรกรรมที่ทาบนพื้นดิน [2] การทาฟาร์ มในน้ า เช่นฟาร์ มปลา
         ้
ฟาร์ มกุง ฟาร์ มหอย ฟาร์ มหอยมุก การเพาะปลูกในน้ าในสภาพแวดล้อมที่
ควบคุมไว้ การเพาะปลูกในน้ าจืด น้ ากร่ อย ในทะเล การเพาะปลูกสาหร่ าย
[3]ต่อมาได้มีการพัฒนาองค์ความรู ้ดานการประมงเป็ นวิทยาศาสตร์ และ
                                       ้
เทคโนโลยีสาขาหนึ่งเรี ยกว่าวิทยาศาสตร์ การประมง มีพ้นฐานจากวิชาชีววิทยา
                                                       ื
นิเวศวิทยา สมุทรศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และการจัดการ มีการจัดศึกษาด้านการ
ประมงในแง่มุมต่างๆ ทั้งระดับอนุปริ ญญา ปริ ญญาตรี ปริ ญญาโทและปริ ญญา
เอก และการประมงมีบทบาทสาคัญในเชิงธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
จึงมีคาอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่น “ธุรกิจการประมง” “อุตสาหกรรมประมง” เกิดขึ้น
ทรัพยากรประมงให้ ยงยืน ดังนี้
                  ั่

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมแห่ งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2506-2509 จัดตั้งสถาบันวิจัย
ประมงนาจืดและห้ องทดลองชีววิทยาการประมงทะเล เพือส่ งเสริมการเพาะปลูกในนา
          ้                                                  ่                             ้
และการประมงนาลึก    ้
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมแห่ งชาติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2510-2514 ส่ งเสริมการเพาะปลูก
ในนาจืดและนากร่ อย กวดขันการอนุรักษ์ พนธุ์สัตว์ นาตลอดจนการเก็บรักษาและแปรรู ป
       ้          ้                           ั          ้
จัดตั้งศูนย์ พฒนาและฝึ กอบรมการประมงทะเลให้ ชาวประมงรู้ จักวิธีการเดินเรือและการ
                ั
ใช้ อุปกรณ์ ทนสมัยทีเ่ หมาะสมกับการประมงทะเลลึกเพือการบริโภคภายในประเทศและ
              ั                                            ่
เพือส่ งออกเป็ นสิ นค้ าสาคัญ
     ่
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมแห่ งชาติฉบับที่ 3 พ.ศ. 2515-2519 ส่ งเสริมการพัฒนา
ทีดนชายฝั่งทะเลให้ เป็ นแหล่ งเลียงสั ตว์ นาได้ แก่ กุ้งทะเล ซึ่งเป็ นสิ นค้ าทีตลาดต่ างประเทศ
   ่ ิ                           ้          ้                                   ่
ต้ องการมาก จัดตั้งศูนย์ วจัยค้ นคว้ าและฝึ กอบรมการเพาะเลียงกุ้งเพือค้ นคว้ าวิธีการเพาะ
                           ิ                                     ้        ่
ลูกกุ้งโดย

งานนำเสนอ21

  • 1.
  • 2.
    ความเป็ นมาของโครงการ ตามที่สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตามเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้ าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วทุกภาคของประเทศไทย ทรงพบเห็นปั ญหา ความยากจน ความขาดแคลนอาหาร และสภาพแวดล้ อมที่เสื่อมโทรม ประชาชนเป็ นโรคขาดสารอาหารและสุขภาพอ่ อนแอเจ็บป่ วยไม่ แข็งแรง ไม่ สามารถปฏิบัตงานได้ ดี โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเป็ นกลุ่มที่ได้ รับผลกระทบ ิ มากที่สุด อีกทังมีพฤติกรรมการบริโภค และพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ พงประสงค์ ้ ึ ทาให้ พระองค์ ทรงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะช่ วยเหลือประชาชนและเยาวชน เหล่ า นัน ให้ มีชีวตความเป็ นอยู่ท่ ดขน ทรงมีพระราชดาริให้ โรงเรี ยนจัดตัง ้ ิ ี ี ึ้ ้ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน มุ่งเน้ นที่การสร้ างความมั่นคงทางอาหาร เพื่อให้ นักเรี ยนมีอาหารที่มีคุณค่ าทางโภชนาการ ภายใต้ แผนพัฒนาเด็กและ เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี ฉบับที่ ๑ (พ.ศ.๒๕๓๕ - ๒๕๓๙) จนปั จจุบัน
  • 3.
    กรมประมง ในฐานะเป็ นหน่วยงานหนึ่งที่สนองงานโครงการตามพระราชดาริ ได้ ดาเนินกิจกรรมประมงโรงเรี ยน มาตังแต่ ปี ๒๕๓๕ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๔๖ กรมประมงได้ จัดทาโครงการสนับสนุนด้ านการประมง ตาม ้ พระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อดาเนินกิจกรรมประมงโรงเรี ยนและ กิจกรรมฝึ กอบรมมาจนถึงปั จจุบัน โดยปั จจุบันได้ ดาเนินการตามแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ฉบับที่ ๔ (พ.ศ.๒๕๕๐ - ๒๕๕๙) ซึ่ง สอดคล้ องตามวัตถุประสงค์ ท่ ี ๔ เสริมสร้ างศักยภาพของเด็กและเยาวชนทางการอาชีพ ภายใต้ โครงการเกษตร เพื่ออาหารกลางวันตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรั ตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดาเนินการโดย สนับสนุนปั จจัยการผลิตด้ านการประมงที่เหมาะสมกับสภาพพืนที่และ ศักยภาพของโรงเรี ยน อบรมให้ ความรู้ ้ ด้ านการเพาะเลียงสัตว์ นา และด้ านโภชนาการและสาธิตการแปรรู ปสัตว์ นาแก่ ครู และนักเรี ยนในโรงเรี ยน ้ ้ ้ ตลอดจนติดตามและให้ คาแนะนาทักษะด้ านการจัดการการผลิตและการจัดการผล ผลิตอย่ างมีประสิทธิภาพ โดย ดาเนินการในโรงเรี ยนสังกัดกองบัญชาการตารวจตระเวนชายแดน โรงเรี ยนสังกัดสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขันพืนฐาน ศูนย์ การเรี ยนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ ฟาหลวง” ศูนย์ การเรี ยนชุมชนชาวไทยมอแกน ้ ้ ้ สังกัดสานักงานส่ งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โรงเรี ยนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน โรงเรี ยนในสังกัดองค์ การบริหารส่ วนท้ องถิ่นและโรงเรี ยนใน สังกัดกรุ งเทพมหา นคร ซึ่งกิจกรรมด้ านการประมงถือเป็ นการผลิตอาหารจาพวกโปรตีนที่สาคัญกิจกรรม หนึ่ง ที่ ทาให้ เยาวชนมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง อีกทังยังเป็ นแหล่ งการเรี ยนรู้ ด้านการเลียงสัตว์ นา และการ ้ ้ ้ อนุรักษ์ ทรั พยากรสัตว์ นาให้ แก่ เด็ก เยาวชน และราษฎรในชุมชน เพื่อสามารถนาความรู้ ไปใช้ ในการประกอบ ้ อาชีพได้ ต่อไปในอนาคต นอกจากนียังเป็ นการส่ งเสริมให้ เด็กหรื อเยาวชนได้ ใช้ เวลาว่ างให้ เป็ น ประโยชน์ และยัง ้ เป็ นการปลูกฝั งให้ เกิดความสามัคคีในชุมชนต่ อไปในอนาคต
  • 4.
    วัตถุประสงค์ ๑. เพือเป็ นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนประเภทปลาให้ แก่เด็กนักเรียนบริโภคเป็ นอาหาร ่ กลางวันทีมคุณค่ าทางโภชนาการ และก่ อให้ เกิดรายได้ จากการจาหน่ ายสั ตว์ นา เพือ ่ ี ้ ่ นามาใช้ ในการบริหารงานด้ านการประมงภายในโรงเรียน ๒. เพือปลูกฝังให้ นักเรียนมีความรู้ ทักษะพืนฐานและประสบการณ์ ในการเพาะเลียง ่ ้ ้ สั ตว์ นา การใช้ ประโยชน์ จากทรัพยากรสั ตว์ นาอย่ างถูกวิธี เข้ าใจหลักการอนุรักษ์ ้ ้ ทรัพยากรประมงอย่ างถูกต้ อง หลักการเพาะเลียงสั ตว์ นาและการเกษตรแบบผสมผสาน ้ ้ และการใช้ ประโยชน์ จากทรัพยากรภายในท้ องถิ่น เพือให้ เกิดการผลิตอย่ างยังยืน ่ ่ ๓. เพือให้ เกิดการเรียนรู้ ด้านการแปรรู ปสั ตว์ นา การถนอมอาหารและหลัก ่ ้ โภชนาการสั ตว์ นา รวมทั้งสร้ างทัศนคติในการบริโภคทีดี ถูกสุ ขลักษณะตามหลัก ้ ่ โภชนาการที่ดี ๔. เพือให้ โรงเรียนเป็ นศูนย์ กลางในการเผยแพร่ ความรู้ และเป็ นแหล่ งวิทยาการของ ่ หมู่บ้าน โดยฝึ กอบรมครู ให้ มความรู้ พนฐานในสาขาวิชาการประมง สามารถนาความรู้ ี ื้ ไปถ่ ายทอดให้ ราษฎรในหมู่บ้านเกิดการขยายผลด้ านการเพาะเลียง สั ตว์ นาไปสู่ ชุมชน ้ ้ มีอาชีพและมีรายได้ เสริมไม่ ไปยุ่งเกียวกับยาเสพติด ่ ๕. เพือให้ เกิดการพัฒนารู ปแบบด้ านการเพาะเลียงสั ตว์ นาทีเ่ หมาะสมในแต่ ละพืนที่ ่ ้ ้ ้
  • 5.
    หน่วยงานรับผิดชอบ - สานักงานประมงจังหวัดในแต่ละพื้นที่ - ส่ วนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ - สานักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการประมง กรมประมง
  • 6.
    พืนที่ดาเนินงาน ้ กรมประมง มีพนทีดาเนินการตามแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารฯ ื้ ่ ฉบับที่ ๔ (๒๕๕๐ - ๒๕๕๙) จานวนทั้งสิ้น ๖๗๔ โรงเรียน ได้ แก่ - โรงเรียนตารวจตระเวนชายแดน สั งกัดกองบัญชาการตารวจตระเวน ชายแดน ๑๗๗ โรงเรียน - โรงเรียนสั งกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืนฐาน ๑๘๕ โรงเรียน ้ - ศูนย์ การเรียนชุ มชนชาวไทยภูเขาแม่ ฟาหลวง และศูนย์ การเรียนชุ มชนชาวไทย ้ มอแกน สั งกัดสานักงานส่ งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ๒๖๖ โรงเรียน - โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สั งกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ๑๔ โรงเรียน - โรงเรียนในสั งกัดองค์ การบริหารส่ วนท้ องถิ่น ๙ โรงเรียน - โรงเรียนในสั งกัดกรุ งเทพมหานคร ๒๓ โรงเรียน
  • 7.
    พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัวด้ านการประมงนับว่ าเป็ น การวางรากฐานสาคัญในการพัฒนาการเพาะเลียงสั ตว์ นาของไทย และอานวย ้ ้ ประโยชน์ ต่อชีวตและความเป็ นอยู่ของประชาชนในทุกภูมภาคของประเทศ พระ ิ ิ ราชกรณียกิจเกียวกับการเพาะเลียงสั ตว์ นา เริ่มเมือกรมประมงแห่ งเมืองปี นังได้ ่ ้ ้ ่ ส่ งปลาหมอเทศให้ กรมประมงไทยทดลองเพาะเลียงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ปรากฎ ้ ว่ าเป็ นปลาทีเ่ ลียงง่ าย โตเร็ว ทนต่ อโรคและขยายพันธุ์ได้ รวดเร็ว ความทราบถึง ้ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัว จึงได้ มพระราชกระแสรับสั่ งให้ กรมประมงนา ี พันธุ์ปลาหมอเทศจานวนหนึ่งมาทดลองเลียงในพระทีน่ังอัมพรสถาน เมือปี ้ ่ ่ พ.ศ. ๒๔๙๔ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้ โปรดเกล้ าฯ ให้ กานัน ผู้ใหญ่ บ้าน จากทัวประเทศเข้ ารับพระราชทานพันธุ์ปลาหมอเทศที่ผลิตได้ เพือนาไปเลียง ่ ่ ้ แพร่ ขยายพันธุ์ในตาบล และหมู่บ้านของตนต่ อไป พระราชกรณียกิจครั้งนีนับว่ า ้ เป็ นการวางรากฐานสาคัญในการพัฒนาการเพาะเลียงสั ตว์ นาของไทย ทีทาให้ ้ ้ ่ ประชาชนคนไทยได้ เรียนรู้ และสนใจการเลียงปลาขึนอย่ างกว้ างขวางทั่วประเทศ ้ ้
  • 8.
    พระราชกรณียกิจในด้ านการเพาะเลียงสั ตว์นาที่สาคัญยิง และนับว่ าอานวยประโยชน์ ต่อ ้ ้ ่ ชีวตความเป็ นอยู่ของประชาชนชาวไทยทัวทุกภูมภาคคือ พระราชกรณียกิจเกียวกับการ ิ ่ ิ ่ เพาะเลียงปลานิล ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต เมือครั้งทรงดารงพระอิสริยยศ ้ ่ มกุฎราชกุมารแห่ งประเทศญี่ปุ่น ได้ น้อมเกล้ าฯ ถวายปลาทิโลเปี ย นิโลติกา (Tilapia Nilatica) จานวน ๕๐ ตัว แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัว จานวน ๕๐ ตัว เมือวันที่ ่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้ ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้ าฯ ให้ ปล่ อยลงเลียงในบ่ อบริเวณ ้ สวนจิตรลดาพระราชวังดุสิตและต่ อมาได้ ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้ าฯ ให้ ขุดบ่ อเลียงปลา ้ นิลเพิมขึนอีก ๖ บ่ อ และได้ ทรงย้ายปลานิลจากบ่ อเดิมไปเลียงในบ่ อใหม่ ด้วยพระองค์ เอง ่ ้ ้ เมือวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๘ ต่ อมาได้ พระราชทานชื่อปลานีว่า "ปลานิล" และได้ ่ ้ พระราชทานลูกปลานิล ๑๐,๐๐๐ ตัว ให้ กรมประมง เพือนาไปเพาะเลียงขยายพันธุ์ที่ ่ ้ แผนกทดลองและเพาะเลียงในบริเวณเกษตรกลางบางเขน กรุ งเทพมหานคร และทีสถานี ้ ่ ประมงต่ าง ๆ ทัวพระราชอาณาจักร เมือวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ และได้ โปรดเกล้า ่ ่ ฯ ให้ ขุดบ่ อในบริเวณสวนจิตรลดา เพิมขึนอีก ๓ บ่ อ รวมเป็ น ๙ บ่ อ ่ ้
  • 9.
    กรมประมงได้ดาเนินการขยายพันธุ์ปลานิลเป็ นจานวนมาก และได้แจกจ่ายให้แก่ราษฎร เพื่อนาไปเพาะเลี้ยงตามพระราชประสงค์ต้งแต่วนที่ ๑๗ สิ งหาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ จนถึง ั ั ่ ั ปั จจุบนปี ละเป็ นจานวนหลายล้านตัว ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวได้ทรงพระ ั กรุ ณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมประมงนาพันธุ์ปลานิลที่เพาะเลี้ยงไว้ในบ่อบริ เวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตสมทบแจกจ่ายให้แก่ราษฎรตามความต้องการของราษฎรอีกเป็ นประจา ปั จจุบนนี้สถานีประมงและเอกชนสามารถผลิตพันธุ์ปลาชนิดนี้ได้เป็ นจานวนมาก และได้ ั มีการเพาะเลี้ยงกันอย่างกว้างขวางในทุกภูมิภาค นอกจากนี้การที่ได้มีการปล่อยปลานิลลง แหล่งน้ าต่าง ๆ ทาให้ปลานิลกลายเป็ นปลาน้ าจืดที่มีความสาคัญทางเศรษฐกิจของไทย ชนิดหนึ่ง เป็ นการสร้างงานสร้างอาชีพและรายได้แก่ราษฎรทัวไปในทุกภูมิภาคและเป็ น ่ แหล่งอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพสาหรับราษฎรในท้องถิ่น ในปั จจุบนปลานิลในแหล่งน้ า ั ธรรมชาติส่วนหนึ่งมีปัญหาการกลายพันธุ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวก็ได้พระราชทาน ่ ั พ่อแม่พนธุ์ปลานิลจากบ่อสวนจิตรลดาให้กรมประมงเพื่อใช้เป็ นหลักในการควบคุม ั พันธุกรรม
  • 10.
    การประมง หรื อประมง หมายถึงการจัดการของมนุษย์ดานการจับปลาหรื อสัตว์ ้ น้ าอื่นๆ การดูแลรักษาปลาสวยงามและการแปรรู ปเป็ นผลิตภัณฑ์ประมงเช่น น้ ามันปลา [1] กิจกรรมการทาประมงจัดแบ่งได้ท้ งตามชนิ ดสัตว์น้ าและตามเขต ั เศรษฐกิจ เช่น การทาประมงปลาแซลมอนในอลาสก้า การทาประมงปลาคอดใน เกาะลอโฟเทน ประเทศนอร์เวย์หรื อการทาประมงปลาทูน่าในมหาสมุทร แปซิ ฟิกตะวันออก และยังรวมถึงการเพาะปลูกในน้ า (Aquaculture) ซึ่ ง หมายถึงการปลูกพืชหรื อเลี้ยงสัตว์บางชนิ ดในน้ า เพื่อใช้เป็ นอาหารคนหรื อสัตว์ เช่นเดียวกับเกษตรกรรมที่ทาบนพื้นดิน [2] การทาฟาร์ มในน้ า เช่นฟาร์ มปลา ้ ฟาร์ มกุง ฟาร์ มหอย ฟาร์ มหอยมุก การเพาะปลูกในน้ าในสภาพแวดล้อมที่ ควบคุมไว้ การเพาะปลูกในน้ าจืด น้ ากร่ อย ในทะเล การเพาะปลูกสาหร่ าย [3]ต่อมาได้มีการพัฒนาองค์ความรู ้ดานการประมงเป็ นวิทยาศาสตร์ และ ้ เทคโนโลยีสาขาหนึ่งเรี ยกว่าวิทยาศาสตร์ การประมง มีพ้นฐานจากวิชาชีววิทยา ื นิเวศวิทยา สมุทรศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และการจัดการ มีการจัดศึกษาด้านการ ประมงในแง่มุมต่างๆ ทั้งระดับอนุปริ ญญา ปริ ญญาตรี ปริ ญญาโทและปริ ญญา เอก และการประมงมีบทบาทสาคัญในเชิงธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ จึงมีคาอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่น “ธุรกิจการประมง” “อุตสาหกรรมประมง” เกิดขึ้น
  • 11.
    ทรัพยากรประมงให้ ยงยืน ดังนี้ ั่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมแห่ งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2506-2509 จัดตั้งสถาบันวิจัย ประมงนาจืดและห้ องทดลองชีววิทยาการประมงทะเล เพือส่ งเสริมการเพาะปลูกในนา ้ ่ ้ และการประมงนาลึก ้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมแห่ งชาติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2510-2514 ส่ งเสริมการเพาะปลูก ในนาจืดและนากร่ อย กวดขันการอนุรักษ์ พนธุ์สัตว์ นาตลอดจนการเก็บรักษาและแปรรู ป ้ ้ ั ้ จัดตั้งศูนย์ พฒนาและฝึ กอบรมการประมงทะเลให้ ชาวประมงรู้ จักวิธีการเดินเรือและการ ั ใช้ อุปกรณ์ ทนสมัยทีเ่ หมาะสมกับการประมงทะเลลึกเพือการบริโภคภายในประเทศและ ั ่ เพือส่ งออกเป็ นสิ นค้ าสาคัญ ่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสั งคมแห่ งชาติฉบับที่ 3 พ.ศ. 2515-2519 ส่ งเสริมการพัฒนา ทีดนชายฝั่งทะเลให้ เป็ นแหล่ งเลียงสั ตว์ นาได้ แก่ กุ้งทะเล ซึ่งเป็ นสิ นค้ าทีตลาดต่ างประเทศ ่ ิ ้ ้ ่ ต้ องการมาก จัดตั้งศูนย์ วจัยค้ นคว้ าและฝึ กอบรมการเพาะเลียงกุ้งเพือค้ นคว้ าวิธีการเพาะ ิ ้ ่ ลูกกุ้งโดย