บทที่ 12 การสำรวจแผนที่ภูมิประเทศ4. นิยามที่เกี่ยวข้อง เส้นชั้นความสูง (Contour Lines) เป็นวิธีการทั่วไปที่ใช้ในการแสดงความสูงต่ำของแผนที่ภุมิประเทศ ด้วยการจินตนาการเป็นเส้นบนพื้นผิวโลก โดยที่ทุก ๆ จุดบนเส้นชั้นความสูงนั้นมีค่าระดับความสูงเท่ากัน ซึ่งค่าระดับความสูงของเส้นก็คือระยะดิ่งจากตำแหน่งจุดบนเส้นถึงผิวระดับน้ำทะเล ช่วงชั้นความสูง (Contour Interval) คือ ระยะห่างแนวดิ่งหรือค่าต่างระดับระหว่างคู่เส้นชั้นความสูง โดยจะมีค่าคงที่สำหรับแผนที่หนึ่ง ๆ จุดระดับความสูง (Spot Height) คือ จุดที่บอกค่าระดับความสูง ณ ตำแหน่งนั้น 6. ชนิดเส้นชั้นความสูง เส้นชั้นความสูงดัชนี (Index Contour) คือ เส้นชั้นความสูงเริ่มต้นที่ค่าระดับ 0 เมตรหรือระดับน้ำทะลปานกลาง (mean sea level) โดยเส้นชั้นความสูงทุกเส้นที่ห้าจะเป็นเส้นชั้นความสูงดัชนีและมีลักษณะเด่นชัดด้วยการใช้ความหนาหรือสีที่แตกต่างจากเส้นชั้นความสูงปกติ พร้อมทั้งกำกับด้วยค่าระดับความสูงบนเส้นที่ระยะห่างกันอย่างสม่ำเสมอสวยงาม เส้นชั้นความสูงระหว่างกลาง (Intermediate Contour Line) คือ เส้นชั้นความสูงที่อยู่ระหว่างเส้นชั้นความสูงดัชนี จะมีจำนวน 4 เส้น โดยจะเขียนด้วยเส้นที่บางกว่าหรือใช้สีที่อ่อนกว่าเส้นชั้นความสูงดัชนี และไม่มีตัวเลขค่าระดับความสูงกำกับไว้ เส้นชั้นความสูงเสริม (Supplementary Contour Line) คือ เส้นชั้นความสูงเขียนแทรกเพิ่มเติมระหว่างเส้นชั้นความสูงระหว่างกลาง กรณีที่มีระยะห่างมากเกินไปเนื่องจากพื้นที่มีความลาดชันน้อย มักจะเขียนด้วยเส้นประ 10. คุณลักษณะเส้นชั้นความสูง เส้นชั้นความสูงเส้นหนึ่งจะไม่อยู่ระหว่างเส้นชั้นความสูง 2 เส้น ที่มีค่าระดับสูงกว่าหรือต่ำกว่า แต่จะมีลักษณะเป็นคู่กันได้ เส้นชั้นความสูงที่ลากผ่านแนวเส้นร่องน้ำที่เรียกว่า Stream Line จะมีลักษณะเป็นรูปตัววี (V-Shape) หรือหักมุมกลับ โดยหันมุมชี้ขึ้นไปทางด้านที่สูงกว่าหรือ ต้นน้ำ เส้นชั้นความสูงที่ลากผ่านแนวสันเขาที่เรียกว่า Ridge Line จะมีลักษณะเป็นรูปโค้งวกกลับคล้ายตัวยู (U-Shape) หันด้านมนไปทางที่มีค่าระดับต่ำกว่า 25. 25 Interpolation by Calculation and Measurement Start by selecting an contour interval and two grid points. This example starts with the 110 foot interval. The first step is to calculate the position of the 110 foot contour between stations A1 and A2. 26. 26 Interpolation by Calculation and measurement--cont. The next step is to measure and mark the position of 0.6. Next, determine which direction the contour goes between the diagonal and the other three sides of the grid. Mark the next points. 27. 27 Interpolation by Calculation and measurement--cont. The 110 foot contour line passes between B1 and B2, therefore the next station is the diagonal. These steps are followed one grid line at a time until the contour closes, or reaches the edge of the map. 28. 28 Interpolation by Calculation and measurement--cont. Determining the proportion for line B1:B2. 29. 29 Interpolation by Calculation and measurement--cont. The grid lines and diagonals for each square are considered and the contour is extended. 30. 30 Interpolation by Calculation and measurement--cont. The next grid line is between B2 and C2. 39. มาตราส่วนแผนที่ภูมิประเทศ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ มาตราส่วนเล็ก คือ แผนที่มีมาตราส่วน 1:50,000, 1:250,000, 1:1,000,0000 มาตราส่วนกลาง คือ แผนที่มีมาตราส่วน 1:10,000, 1:20,000, 1:25,000 มาตราส่วนใหญ่ คือ แผนที่มีมาตราส่วน 1:250, 1:500, 1:1,000, 1:2,500, 1:4,000, 1:5,000 42. การสำรวจสังเขป (Reconnaissance) การสำรวจสังเขป คือ การลงพื้นที่เพื่อประเมินสภาพภูมิประเทศก่อนเข้าทำการรังวัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ กำหนดตำแหน่งที่เหมาะสมในการสร้างหมุดหลักฐานทั้งทางราบและทางดิ่ง กำหนดตำแหน่งหมุดสถานีวงรอบเพื่อใช้ในการจัดเก็บรายละเอียด กำหนดมาตรฐานการดำเนินงานรังวัดหมุดหลักฐาน วิเคราะห์ความถูกต้องเชิงตำแหน่งที่ต้องการ และเลือกใช้เครื่องมือได้อย่างเหมาะสม จัดหาหมุดหลักฐานที่ใช้ในการโยงยึดทั้งทางราบและทางดิ่งในบริเวณใกล้เคียง ประเมินเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 43. การสำรวจรังวัดหมุดควบคุม (Control Surveys) หลังจากได้ข้อกำหนดการทำงานจากการวิเคราะห์พื้นที่ด้วยการสำรวจสังเขป การสร้างหมุดหลักฐานทางราบและทางดิ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ต้องดำเนินการก่อน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ โยงยึดหมุดหลักฐานทางราบและทางดิ่งจากภายนอกมายังหมุดหลักฐานภายใน พื้นที่โครงการรังวัดหมุดควบคุมสำหรับใช้ในพื้นที่โครงการอย่างทั่วถึง 45. การสำรวจรังวัดรายละเอียด (Details Surveys) เมื่อได้สร้างหมุดสถานีที่ทราบค่าพิกัดทั้งทางราบและทางดิ่ง จึงใช้สถานีดังกล่าวในการรังวัดเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ในพื้นที่โครงการ ซึ่งวิธีการสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่ วิธีการวัดระยะฉาก (Offset Surveying) วิธีรังวัดแบบสเตเดีย (Stadia) วิธีรังวัดแบบอิเล็กทรอนิกส์ทัชโอมิตรี (Electronic Tacheometry) 57. การตรวจสอบคุณภาพแผนที่ ความครบถ้วนของข้อมูลแผนที่ (Completeness) คือ การตรวจสอบในด้านปริมาณ (Quantities) ของรายละเอียดที่ปรากฏบนแผนที่ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์การใช้งานหรือไม่ ความถูกต้องเชิงตำแหน่ง (Positional Accuracy) คือ การตรวจสอบความถูกต้องทางตำแหน่งของรายละเอียดต่าง ๆ ที่ปรากฏบนแผนที่ เป็นการตรวจสอบด้านคุณภาพ (Qualities) แบ่งได้เป็นสองส่วน คือ ความถูกต้องเชิงตำแหน่งทางราบ (Horizontal Positional Accuracy) และ ความถูกต้องเชิงตำแหน่งทางดิ่ง (Vertical Positional Accuracy) 58. ความถูกต้องเชิงตำแหน่งทางราบ(Horizontal Positional Accuracy) การวัดปริมาณต่างๆ บนแผนที่ ขนาดจุดที่เล็กที่สุดที่สามารถจะวัดได้เท่ากับ 0.2 มิลลิเมตร ดังนั้นค่าพิกัดตำแหน่งที่อ่านได้ควรมีความถูกต้องในเกณฑ์เท่ากับ ขนาด 0.2 มิลลิเมตรคูณด้วยมาตราส่วนของแผนที่กระดาษนั้น เช่น แผนที่มาตราส่วน 1:1,000 ความถูกต้องของตำแหน่งจุดที่อ่านได้จะอยู่ในเกณฑ์ 0.2 x 1,000 = 200 มิลลิเมตร หรือ 0.20 เมตร 59. ความถูกต้องเชิงตำแหน่งทางดิ่ง (Vertical Positional Accuracy) ความถูกต้องทางค่าระดับความสูงของแผนที่ภูมิประเทศ ทำได้ด้วย การอ่านค่าระดับความสูงที่ตำแหน่งที่ต้องการ และทำการเปรียบเทียบกับค่าที่รังวัดได้จริงในสนามที่ตำแหน่งนั้น โดยยอมให้ผิดพลาดได้ไม่เกินครึ่งหนึ่งของช่วงเส้นชั้นความสูง เช่น แผนที่ที่มีช่วงเส้นชั้นความสูง 1 เมตร จะยอมให้ผิดพลาดได้ไม่เกิน 0.50 เมตร เป็นต้น การเขียนรูปตัดตามแนวต่าง ๆ จากเส้นชั้นความสูง และเปรียบเทียบกับรูปตัดแนวเดียวกันนั้นที่รังวัดได้ในสนาม เพื่อดูลักษณะความสอดคล้องของพื้นที่เปรียบเทียบกัน 67. ระบบรหัสภาคสนาม(Field Coding System) ทำไมต้องใช้ระบบรหัส เพื่อให้โปรแกรมสามารถเขียนรูปรายละเอียดได้ทันทีจากข้อมูลสนาม โดยลดการแก้ไขข้อมูลในสำนักงานให้น้อยที่สุด เพื่อให้มีการจัดระบบข้อมูลเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน และสะดวกต่อการประมวลผลข้อมูลเชิงวิศวกรรม เช่น การสร้าง DTM เพื่อลดความยุ่งยากในการจัดการข้อมูลในระบบ GIS เพื่อให้เกิดมาตรฐานการทำงาน และสามารถตรวจสอบคุณภาพได้ 68. ลักษณะข้อมูลภาคสนาม ข้อมูลจุด (Point feature) จุดระดับความสูง ต้นไม้ เสาไฟฟ้า หมุดหลักฐานงานสำรวจ ข้อมูลเส้น (Line feature) เส้นกึ่งกลางถนน ขอบเขตทาง แนวรั้ว ขอบเขตอาคาร เส้นทางน้ำ ร่องน้ำ 69. ประเภทระบบรหัส ระบบตัวเลข เป็นระบบที่ใช้ตัวเลขอย่างเดียว เช่น ตัวเลข 5 หลัก ##### โดยที่ 3 หลักแรกระบุรหัสข้อมูลว่าคืออะไร 2 หลักหลังระบุประเภทกราฟิกของข้อมูล เป็นระบบที่สื่อความหมายกับผู้ใช้ยาก แต่อาจจะสะดวกในการทำงานในสนาม ระบบตัวอักษร เป็นระบบที่ใช้คำย่อของสิ่งนั้นๆ ในภาษาอังกฤษ ไม่มีการบอกประเภทของกราฟิกของข้อมูลที่รังวัด เป็นระบบที่ไม่สะดวกกับงานขึ้นรูปแผนที่ในสำนักงาน ระบบตัวอักษรและตัวเลข คือระบบตัวอักษรและมีการให้ระบบตัวเลขเพื่อบอกประเภทกราฟิก 73. ตัวอย่างการใช้รหัส ข้อมูลจุด (Point feature) ให้ใช้ตามปกติ เช่น EP, LP, WV เป็นต้น จุดที่ต้องการบอกรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง เช่น TR145 (ต้นไม้ขนาด 1.45 เมตร) ,MHE124(manhole ขนาด 1.24 เมตร) , CCC150 ( เสากลมขนาด 1.50 เมตร) 74. ตัวอย่างการใช้รหัส ข้อมูลเส้น (Line feature) เส้นตรงที่มีโค้งผสม เช่น เส้นขอบถนนคอนกรีต (EOR01) ให้code เป็น EOR01 เมื่อเส้นเริ่มเปลี่ยนโค้งให้ทำการเก็บตำแหน่งของจุดบนโค้ง 3 จุด คือ ตำแหน่งเริ่มโค้ง,กลางโค้ง ,ปลายโค้ง และให้ต่อท้าย code ด้วย “A” เป็น EOR01A รูปปิดต่างๆ เช่น แนวรั้วลวดหนาม (FX04) ให้รังวัดจุดต่อเนื่องและเรียงกันไปในทิศทางเดียวกัน ให้ code เป็น FX04 เมื่อรังวัดมาถึงจุดสุดท้ายให้ต่อท้าย code ด้วย“C” (close) เป็น FX04C เพื่อปิดรูปทรงดังกล่าว