More Related Content
Similar to 03_ระบบนิเวศน์-สำเนา-1.pdf
Similar to 03_ระบบนิเวศน์-สำเนา-1.pdf (20)
03_ระบบนิเวศน์-สำเนา-1.pdf
- 3. 2.1 ระบบนิเวศที่เน้นการถ่ายทอดพลังงาน
1. ระบบนิเวศอิสระ เป็นระบบนิเวศที่พลังงานและสารอาหาร
เคลื่อนย้ายและหมุนเวียนอยู่เฉพาะภายในระบบ ไม่มีการ
เคลื่อนย้ายและหมุนเวียนกับระบบอื่นภายนอก แยกตัว
ออกไป ไม่สัมพันธ์กับระบบนิเวศอื่นๆ เลย เป็นทฤษฎีที่ยังไม่
พบในธรรมชาติ
จัดออกเป็น 3 กลุ่ม คือ จัดโดยเน้นการถ่ายทอดพลังงาน จัด
ตามแหล่งที่อยู่ทางธรรมชาติ และจัดตามเทคโนโลยีของมนุษย์
- 4. 2. ระบบนิเวศปิ ด เป็ นระบบนิเวศที่มีการถ่ายทอด
พลังงานภายในระบบนิเวศนั้นแต่ไม่มีการถ่ายทอด
พลังงานระหว่างระบบนิเวศอื่นๆ ได้แก่ ระบบ
นิเวศที่มนุษย์สร้างในที่จากัด ปิ ดผนึกแน่น เช่น ใน
อ่างหรือตู้เพาะเลี้ยงปลา
- 5. 3. ระบบนิเวศเปิ ด เป็นระบบนิเวศที่ปรากฏใน
ธรรมชาติทั่วไป โดยเคลื่อนย้ายและหมุนเวียน
ของพลังงานและสารอาหารระหว่างภายในและ
ภายนอก
- 6. ระบบนิเวศธรรมชาติเป็ นระบบเปิ ดซึ่งมี 2 ระบบย่อยคือ
2.2.1 ระบบนิเวศภาคพื้ นดิน เป็ นระบบนิเวศที่
ส่วนประกอบต่าง ๆ และกระบวนการทางานของระบบ
เกิดขึ้นบนพื้ นดิน จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตาม
สภาพแวดล้อมกายภาพ เช่น ภูมิอากาศ ความสูงของพื้นที่
จะมีลักษณะแตกต่างกัน โดยจะพิจารณาได้จากพืชพันธ์
ธรรมชาติ
2.2 ระบบนิเวศจัดตามแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติ
- 9. ระบบนิเวศทะเลทราย เป็ นเขตแห้งแล้งที่สุดมีความ
แตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืน
ระหว่างฤดูร้อนกับฤดูหนาว ประมาณน้าฝนเฉลี่ยต่ากว่า
10 นิ้ว ทาให้ปริมาณความชื้นที่ได้รับไม่เพียงพอต่อการ
เจริญเติบโตของพืช
- 13. 2.3.1 ระบบนิเวศกึ่งธรรมชาติหรือ
ระบบนิเวศชนบท – เกษตรกรรม
เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการ
ผลิตและเคลื่อนย้ายหมุนเวียนพลังงานและสารอาหารโดย
ปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ในธรรมชาติ เช่น ดิน น้าธรรมชาติ
และพลังงานแสงอาทิตย์
2.3 ระบบนิเวศจัดตามเทคโนโลยีของมนุษย์
- 17. 1. ผู้ผลิต (Producer หรือ Autotroph) หมายถึง สิ่งมีชีวิต
ที่สามารถสร้างอาหารเองได้ มี 2 ประเภท คือ
1.1 สังเคราะห์อาหารเองได้ ได้แก่ พืชสีเขียว แพลงค์-
ตอนพืช (Phytoplankton) โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์
- 19. 2. ผู้บริโภค(Consumer) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ จาเป็นต้อง
บริโภคผู้ผลิต หรือผู้บริโภคด้วยกันเองเป็นอาหาร แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้
2.1 ผู้บริโภคปฐมภูมิ(Primary consumer)
กินพืชเป็นอาหาร (Herbivore)
2.2 ผู้บริโภคทุติยภูมิ(Secondary consumer)
กินเนื้อเป็นอาหาร กินสัตว์ที่กินพืช (Carnivore)
2.3 ผู้บริโภคลาดับตติยภูมิ(Tertiary consumer)
กินทั้งพืชและกินทั้งสัตว์ (Omnivore)
2.4 ผู้บริโภคลาดับสุดท้าย(Top Carnivore) เป็น
ผู้บริโภคที่มักจะไม่ถูกกินโดยสัตว์อื่นต่อไป
องค์ประกอบที่มีชีวิต(ต่อ)
- 20. 3. ผู้ย่อยสลาย (Decomposers or Saprotrops) หมายถึง
สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ดารงชีวิตโดยการ
ปล่อยเอนไซม์/น้าย่อย ออกมาย่อยอินทรีย์สารที่อยู่ใน
ซากพืชซากสัตว์แล้วจึงดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ได้แก่ รา
(Fungi) แบคทีเรีย (Bacteria) เห็ด
องค์ประกอบที่มีชีวิต(ต่อ)
- 21. 1. อนินทรีย์สาร (Inorganic substance)
เช่น คาร์บอน คาร์บอนไดออกไซด์
น้า ออกซิเจน เป็นต้น
2. อินทรีย์สาร (Organic substance)
เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
เป็นต้น
3. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
(Physical environment) ได้แก่
ปัจจัยทางกายภาพที่มีอิทธิพลต่อ
สิ่งแวดล้อม
องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต
- 23. 2. ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกัน
- การเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
- ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์อีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์
- ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ส่วนอีกฝ่ายไม่ได้ไม่เสียประโยชน์
ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศในธรรมชาติ
การศึกษาหรืออธิบายการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตนิยมใช้สัญลักษณ์ ดังนี้
+ แทนการได้ประโยชน์
- แทนการเสียประโยชน์
0 แทนการไม่ได้และไม่เสียประโยชน์
- 25. 2.2 ภาวะพึ่งพากัน (Mutualism) ทั้งสองฝ่ ายเมื่ออยู่ร่วมกันแล้วต่างก็ให้ประโยชน์แก่กัน
+ , +
แบคทีเรียไรโซเบียมในปมรากพืชวงศ์ถั่ว
ตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้แก่รากถั่ว ในขณะเดียวกับแบคทีเรียก็
ได้รับก๊าซออกซิเจนและแร่ธาตุจากต้นถั่ว
โปรโตซัวในลาไส้ปลวก
ปลวกไม่มีน้าย่อยสาหรับย่อยเซลลูโลสในเนื้อไม้ โปรโตซัวช่วยในการ
ย่อย จนทาให้ปลวกสามารถกินไม้ได้ และโปรโตรซัวก็ได้รับ
สารอาหารจากการย่อยสลายเซลลูโลสด้วย
ไลเคน (Lichen) คือการดารงชีวิตร่วมกันของรากับสาหร่าย สาหร่าย
มีสีเขียวสร้างอาหารเองได้แต่ต้อง อาศัยความชื้นจากเชื้อรา ส่วนรา
ได้รับธาตุอาหารจากสาหร่าย และรายังสร้างกรดช่วยในการละลายหิน
และเปลือกไม้ ทาให้ไลเคนดูดซับธาตุอาหารได้ดี
- 26. 2.3 ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน (Protocooperation) คล้ายภาวะพึ่งพากันแต่ตั้งคู่ไม่ได้
อยู่ด้วยกันตลอดเวลา + , +
ผีเสื้อกับดอกไม้
แมลงดูดน้าหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร และดอกไม้
มีแมลงช่วยผสมเกสร
นกเอี้ยงกับควาย
นกเอี้ยงได้กินแมลงต่างๆ จากหลังควาย และควายก็ได้
นกเอี้ยงช่วยกาจัดแมลงที่มาก่อความราคาญ
ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล (Sea Nnemone)
ปูเสฉวนอาศัยดอกไม้ทะเลพรางตัวจากศัตรู และยัง
อาศัยเข็มพิษจากดอกไม้ทะเลป้องกันศัตรู ส่วน
ดอกไม้ทะเลก็ได้รับอาหารจากปูเสฉวนที่กาลังกินอาหารด้วย
- 27. 2.4 ภาวะปรสิต (Parasitism) เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้
เบียดเบียน เรียกว่าปรสิต (parasite) และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของบ้าน (host)
+ , -
ต้นกาฝาก เช่น ฝอยทองที่ขึ้นอยู่บนต้นไม้ใหญ่
จะดูดน้าและอาหารจากต้นไม้ใหญ่
กาฝากกับต้นมะม่วง รากกาฝากจะชอนไปถึงท่อน้า
ทออาหารของต้นมะม่วง แล้วแย่งน้าและอาหารจากต้นมะม่วง
หมัด เห็บ ไร พยาธิต่างๆ ที่อาศัยอยู่กับร่างกายคน
ดูดเลือดและสารอาหารจาก host
- 28. 2.5 ภาวะล่าเหยื่อ (Predation) เป็นความสัมพันธ์โดยมีฝ่ายหนึ่ง
เป็นผู้ล่า (predator) และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหยื่อ (prey) หรือเป็น
อาหารของอีกฝ่ายหนึ่ง + , -
- 29. 2.6 ภาวะแข่งขัน (Competition) หมายถึง ความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตมี
การแย่งปัจจัยที่มีอยู่อย่างจากัด ในการดารงชีพเหมือนกันจึงทาให้เสีย
ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เช่น
ควายป่า , สิงโต , สุนัขป่า แย่งชิงกันครอบครองที่อยู่อาศัย หรือสัตว์
เพศเมีย หรืออาหารพืชหลายชนิดที่เจริญอยู่ในบริเวณเดียวกัน เป็น
ต้น
- , -
- 41. พืชเป็นผู้ผลิตโดย อาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลก รับมาเพียง 1%
เพื่อสังเคราะห์อาหารในรูป แป้ง น้าตาล เซลลูโลส เป็นต้น แล้วถ่ายทอดพลังงาน
และสารอาหารไปยังผู้บริโภค
การถ่ายทอดพลังงาน (Energy flow)
คือ การเคลื่อนย้ายพลังงานจากระดับการส่งถ่าย
พลังงานหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่ง เช่น การเคลื่อน
ย้ายพลังงานจากพืชไปสู่สัตว์
- ห่วงโซ่อาหาร
- สายใยอาหาร
- 42. 1. ห่วงโซ่อาหาร (Food chain) คือ การกินต่อกันเป็นทอดๆ
มีลักษณะเป็นเส้นตรง สิ่งมีชีวิตหนึ่งมีการกินอาหารเพียง
ชนิดเดียว ซึ่งเขียนเป็นลูกศรต่อกัน แบ่งออกเป็น 3 แบบ
- 43. 1.1 ห่วงโซ่อาหารแบบจับกิน (Predation food chain)
เป็นห่วงโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากพืชไปยังสัตว์กินพืช สัตว์
กินสัตว์ตามลาดับ เช่น
ข้าวโพด → ตั๊กแตน → นก
1.2 ห่วงโซ่อาหารแบบพาราสิต (Parasitic food chain)
เป็นห่วง โซ่อาหารที่เริ่มจากผู้ถูกอาศัยไปยังผู้อาศัย
อันดับหนึ่ง แล้ว ไปยังผู้อาศัยลาดับต่อๆ ไป เช่น
เหยี่ยว → ไร → แบคทีเรีย
- 44. 1.3 ห่วงโซ่อาหารแบบย่อยสลาย หรือแบบเศษ
อินทรีย์ (Saprophytic chain or Detritus
chain) เป็นห่วงโซ่ อาหารที่เริ่มต้นจากซากอินทรีย์
ถูกสลายโดยจุลินทรีย์แล้วจึงถูกกินต่อไปโดยสัตว์ที่กิน
เศษอินทรีย์และผู้ล่าต่อไป ตามลาดับ เช่น
ซากกวาง → นกแร้ง → เสือโคร่ง
- 46. 2. สายใยอาหาร (Food Web)
➢คือการถ่ายทอดพลังงานเคมีในรูปอาหาร
ระหว่างสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิดมารวมกัน ทาให้
เกิดการถ่ายทอดพลังงานที่ซับซ้อน
ความสัมพันธ์เชิงอาหารของสิ่งมีชีวิต (ต่อ)
- 55. พีระมิดมวลของสิ่งมีชีวิต (Pyramid of mass)
ใช้มวลชีวภาพหรือเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรูปของ
น้าหนักแห้งมาสร้างพีระมิด มีหน่วยเป็นกรัมต่อตารางเมตร
การถ่ายทอดพลังงานในสิ่งมีชีวิต
- 59. หลักๆ คือ
- การถ่ายทอดพลังงาน
- การหมุนเวียนของธาตุอาหารในระบบนิเวศ
การหมุนเวียนธาตุอาหาร(Nutrient cycle in ecosystem)
คือ การเคลื่อนย้ายธาตุอาหารที่สะสมอยู่ในดินไปสู่ส่วน
ต่างๆ ของพืช แล้วเคลื่อนย้ายผ่านสัตว์ และผู้ย่อยสลายอินทรีย
สารกลับไปสะสมอยู่ในดิน เพื่อให้พืชได้ใช้ประโยชน์ต่อไป
*** การหมุนเวียนธาตุอาหารมีลักษณะเป็นวัฏจักร จาก
ธรรมชาติเข้าสู่สิ่งมีชีวิต และจากสิ่งมีชีวิตกลับคืนสู่ธรรมชาติ***
หน้าที่ของระบบนิเวศ
- 60. วัฎจักรของสารแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. วัฎจักรแบบแก๊ส (Gaseous Cycle) เป็นการหมุนเวียน
ของสารที่มีบรรยากาศเป็นแหล่งหมุนเวียนที่สาคัญ ได้แก่ น้า
คาร์บอน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ และออกซิเจน
2. วัฎจักรแบบตกตะกอน (Sedimentary Cycle) เป็นการ
หมุนเวียนของสารที่มีแผ่นดินเป็นแหล่งหมุนเวียนที่สาคัญ ได้แก่
แคลเซียม ฟอสฟอรัส
- 62. น้าเป็นตัวกลางของ
กระบวนการต่าง ๆ ใน
สิ่งมีชีวิตรวมทั้งเป็นแหล่ง
ต่าง ๆ ทั้งน้าจืด น้าเค็ม น้า
ในดิน ในรูปแบบของไอน้า
และน้าแข็งที่ปกคลุมขั้วโลก
เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้ว
ไม่หมด สามารถหมุนเวียน
ได้ในวัฎจักรน้า เป็น
สิ่งจาเป็น
ต่อการดารงชีวิต ใช้ในการ
เพราะปลูก เลี้ยงสัตว์ เป็น
ต้น
หมุนเวียนโดยไม่ผ่านสิ่งมีชีวิต
หมุนเวียนผ่านสิ่งมีชีวิต
- 63. 1. วัฏจักรสั้น (Short cycle) เป็ นวัฏจักรที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต โดยเริ่ม
จากพื้นน้า และพื้นดินระเหย กลายเป็ นไอลอยขึ้นไปในบรรยากาศแล้ว
กลั่นตัวกลาย ตกลงมาเป็ นน้าฝนหมุนเวียนกลับ สู่พื้นดินและพื้นน้า
ต่อไป
2. วัฏจักรยาว(Long cycle) เป็ นวัฏจักรที่เกี่ยงข้องกับการดารงชีวิตของ
สิ่งมีชีวิต วัฏจักรนี้เริ่มจากน้า ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เป็ นพื้นดินและพื้นน้า น้า
ที่ได้จากการคายน้าของพืชจากการหายใจ จากร่างกายของพืชและสัตว์
เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง ในน้าในร่างกายจะระเหยกลายเป็ นไอ ลอยตัวอยู่ใน
บรรยากาศแล้วกลั่นตัวเป็ นหยดน้าตกลงมาเป็ นฝน หมุนเวียนกลับคืนสู่
พื้นน้าพื้นดิน และสิ่งมีชีวิตอีกด้วย หมุนเวียนเป็ นวัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป
1. วัฏจักรของน้า (ต่อ)
- 64. คาร์บอน (Carbon) เป็นธาตุที่มีอยู่ในสารประกอบอินทรีย์เคมีทุกชนิด ดังนั้นวัฏ
จักรคาร์บอนมักไปสัมพันธ์กับวัฏจักรอื่นๆ ในระบบนิเวศ คาร์บอน เป็น
องค์ประกอบสาคัญอย่างหนึ่งของสารอินทรีย์สารในสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์โบไฮเดรต
โปรตีน ไขมัน วิตามิน
วัฏจักรคาร์บอน หมายถึง การที่แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกอากาศถูกนาเข้า
สู่สิ่งมีชีวิต หรือออกจากสิ่งมีชีวิตคืนสู่บรรยากาศ และน้าอีกหมุนเวียนกันไป
เช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุดโดย แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศและน้าถูก
นาเข้าสู่สิ่งมีชีวิต ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช (CO2) จะถูก
เปลี่ยนเป็นอินทรียสารที่มีพลังงานสะสมอยู่ ต่อมาสารอินทรียสารที่พืชสะสมไว้
บางส่วนถูกถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคในระบบต่าง ๆ โดยการกิน CO2 จะออกจาก
สิ่งมีชีวิตคืนสู่บรรยากาศและน้าได้หลายทาง ได้แก่
2. วัฏจักรคาร์บอน
- 65. 1. การหายใจของพืชและสัตว์ เพื่อให้ได้พลังงานออกมาใช้ ทาให้
คาร์บอนที่อยู่ในรูปของอินทรียสารถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระ
ในรูปของ CO2
2. การย่อยสลายสิ่งขับถ่ายของสัตว์และซากพืชซากสัตว์ ทาให้
คาร์บอนที่อยู่ในรูปของอาหารถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระใน
รูปของ CO2
3. การเผ่าไหม้ของถ่านหิน น้ามัน และคาร์บอเนต ที่เกิดจากการทับ
ถมของซากพืชซากสัตว์เป็นเวลานาน
2. วัฏจักรคาร์บอน (ต่อ)
- 69. ไนโตรเจน (N2) ในรูปของแก๊สมีอยู่ในบรรยากาศมากถึง
78 % และเป็นธาตุที่มีอยู่ในโมเลกุล ของคลอโรฟิลล์และโปรตีน
สิ่งมีชีวิตจะใช้ไนโตรเจนในรูปของโปรตีน พืชบางชนิดจะนา
ไนโตรเจนมาใช้โดยอาศัย แบคทีเรียเช่น ไรโซเบียม
(Rhizobium) ที่อาศัยอยู่ร่วมกับรากตระกูลถั่ว ซึ่งมี
ความสามารถตรึงไนโตรเจนในอากาศและในดินแล้วเปลี่ยนให้
เป็นสารประกอบไนโตรเจน ได้แก่ ไนเตรต (Nitrate) (NO3)
และเกลือแอมโมเนีย (Ammonium Salt) (NH3) ที่มีสมบัติ
ละลายน้าได้
4. วัฏจักรของไนโตรเจน (Nitrogen cycle)
- 78. 1. ความหลากหลายทาง
พันธุกรรม หมายถึง ความ
หลากหลายของยีนส์ที่มีอยู่
ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด
สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมี
ยีนส์แตกต่างกันไปตามสาย
พันธุ์ เช่น ข้าวมีสายพันธ์
นับพันชนิด สุนัขมีหลาย
สายพันธุ์ เป็นต้น
- 80. 3. ความหลากหลายของระบบ
นิเวศ หมายถึง ความซับซ้อนของ
ลักษณะพื้นที่ที่แตกต่างกันในแต่
ละภูมิภาคของโลก เมื่อประกอบ
กับสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ
ทาให้เกิดระบบนิเวศ ถิ่นที่อยู่
ของสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน
ประเภทของความหลากหลายทางชีวภาพ(ต่อ)
- 85. สารเหล่านี้ถ้าสะสมมากๆ จะทาให้เกิดเป็นโรคผิวหนัง มะเร็ง
หรือเกิดอาการเวียนศีรษะแหล่งที่ทาให้เกิดมลพิษทางอากาศ
ได้แก่ การคมนาคม การเผาขยะ การก่อสร้าง สิ่งเหล่านี้จะทาให้
เกิดฝุ่นและควันเข้าสู่อากาศที่เราหายใจเข้าไป
2. มลพิษทางน้า หรือ น้าเสีย สิ่งที่ทาให้เกิดมลพิษทางน้านั้น
เกิดจากการที่มีการทิ้งของเสียลงในแม่น้าลาคลอง ทั้งที่มาจาก
โรงงานอุตสาหกรรม สถานบริการ การประกอบอาชีพต่างๆ หรือ
จากอาคารบ้านเรือน
- 89. มลพิษ หมายถึง ภาวะของสภาพแวดล้อม ที่มี
องค์ประกอบไม่เหมาะต่อการนามากใช้ประโยชน์แต่กลับเป็น
พิษหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือก่อให้เกิดความราคาญแก่
มนุษย์ เช่น อากาศที่มีก๊าซต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ภาพแวดล้อมที่มีเสียงต่างๆ รบกวนมาก ดินที่มีการสะสมของ
ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชสูง น้าที่มีคราบน้ามัน เป็นต้น สารที่เป็น
ต้นเหตุที่ทาให้เกิดมลพิษ เรียกว่า สารมลพิษ
- 91. ภาวะมลพิษทางอากาศ (Air Pollution) หมายถึง
ภาวะที่อากาศมีการเจือปนของสารหรือสิ่งปนเปื้อนใน
ปริมาณที่มากพอ ทาให้อากาศเสื่อมคุณภาพเป็นอันตรายต่อ
มนุษย์สัตว์และพืช
มลสาร (Pollutant) ที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศมีทั้งในรูป
ของแข็ง ฝุ่นละออง ไอระเหยหรือก๊าซ รวมทั้งกลิ่น เขม่า ควัน
สารกัมมันตรังสี สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ปรอท ตะกั่ว
ออกไซด์ของไนโตรเจน และคาร์บอน เป็ นต้น
- 92. 1. การเผาไหม้เชื้อเพลิงของกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ รถยนต์ การ
เผาขยะมูลฝอย การผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินเป็น
เชื้อเพลิง เป็นต้น ซึ่งทาให้เกิดก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ได
ออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์
ขี้เถ้า และออกไซด์ของโลหะ เป็นต้น
2. การฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองและอนุภาคต่างๆ จากกิจกรรม
ผสม บด โม่ การก่อสร้าง และการขนส่งวัสดุและสินค้า
- 93. 3. โรงงานอุตสาหกรรมผลิตหรือแปรรูปวัตถุดิบ ได้แก่ การผลิต
สารเคมี กระดาษ ปุ๋ ย เหล็กกล้า อลูมิเนียม เป็นต้น ซึ่งอาจมีการ
ปล่อยสารพิษออกมาเช่น ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ออกไซต์ของ
ซัลเฟอร์แอมโมเนีย ไออตะกั่ว สารหนู เป็นต้น
4. การเกษตร เช่น การเผาพื้นที่ทาการเกษตร การฉีดพ่นสารเคมี
ทาให้เกิดสารมลพิษจาพวก สารหนู สารตะกั่ว ควัน และขี้เถ้า
เป็นต้น
- 94. 5. เตาปฏิกรณ์ เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้า การทดลองระเบิด
นิวเคลียร์เป็นต้น ทาให้เกิดฝุ่นละอองของยูเรเนียม
6. แหล่งกาเนิดจากธรรมชาติ เช่น ไฟป่า การเกิดปฏิกิริยาชีวเคมี
ได้แก่ การเน่าเปื่อยและหมักของสารอินทรีย์ในน้า ดิน จะทาให้
เกิดก๊าซมีเทน คาร์บอนไดออกไซด์แอมโมเนีย เป็นต้น
- 95. ภาวะมลพิษทางน้า ( Water Pollution) หมายถึง สภาวะ
ที่น้ามีคุณภาพเปลี่ยนไปจากธรรมชาติเดิม จนมีสภาพที่เลวลง
และส่งผลต่อการดารงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในน้า
- 96. 1. น้าที่มีสารอินทรีย์ปนอยู่มาก จุลินทรีย์ที่มีอยู่ก็จะมีการเพิ่ม
ปริมาณอย่างรวดเร็ว โดยมีการใช้ออกซิเจน จึงมีผลทาให้ปริมาณ
ออกซิเจนละลายอยู่ในน้าเหลือน้อย ในบางครั้งจะเห็นน้ามีสีดา
คล้า และส่งกลิ่นเหม็น เนื่องจากการย่อยสลายของแบคทีเรียชนิด
ที่ไม่ใช้ออกซิเจนมีการปล่อยก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือก๊าซไข่เน่า
ออกมา
2. น้าที่มีเชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ
โปรโตซัว เชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคทางเดิน
อาหาร โรคตับ โรคพยาธิและโรคผิวหนัง เป็นต้น
- 99. 1. ชุมชน แหล่งน้าเสียประเภทนี้ได้แก่ แหล่งพักอาศัย อาคารชุด
โรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงฆ่าสัตว์ โดยมีน้าเสียเกิดจากการ
ชาระร่างกาย การซักเสื้อผ้า การประกอบอาหาร
2. อุตสาหกรรม เกิดจากกระบวนการในการผลิตทาง
อุตสาหกรรม เช่น น้าหล่อเย็น น้าล้าง น้าทิ้งจากกระบวนการ
ผลิต การทิ้งของเสียจากการผลิตสู่แหล่งน้า รวมถึงการทา
เหมืองแร่
- 100. 3. เกษตรกรรม น้าเสียมาจากการล้างภาชนะที่บรรจุหรืออุปกรณ์
ฉีดพ่น และการระบายของเสียจากมูลสัตว์ลงแหล่งน้า เช่น
ฟาร์มสุกร นากุ้ง บ่อเลี้ยงปลา การฉีดพ่นสารเคมี การชะล้าง
หน้าดิน
4. อื่นๆ เช่น ภาวะมลพิษจากน้ามันที่ใช้กับเครื่องจักรกลของเรือ
การเกิดอุบัติเหตุของเรือขนส่งน้ามัน และการขับถ่ายสิ่งปฏิกูล
ของผู้โดยสารบนเรือ การก่อสร้าง การล้างถนน น้าเสียจากแพ
ปลา ท่าเทียบเรือประมง เป็นต้น
- 101. ภาวะมลพิษทางเสียง ( Noise Pollution) หมายถึง
สภาวะเสียงที่ดังเกินไปจนก่อให้เกิดความราคาญ หรือก่อให้เกิด
อันตรายต่อระบบการได้ยินของมนุษย์และสัตว์
- 102. 1. การจราจร มาจากยานพาหนะประเภทต่างๆ เช่น รถไฟ รถยนต์
รถจักรยานยนต์รถบรรทุก เรือหางยาว และเครื่องบิน เป็นต้น
2. สถานประกอบการต่างๆ ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม การ
ก่อสร้าง อู่ซ่อมรถ เป็นต้น
3. ชุมชนและสถานบริการ ได้แก่ เสียงจากคนหรือเครื่องใช้
ภายในบ้าน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และเสียงในย่านธุรกิจการค้า
สถานบันเทิงเริงรมย์เป็นต้น
- 103. เครื่องบิน 130 เดซิเบลเอ
เสียงเจาะถนน 120 เดซิเบลเอ
โรงงานผลิตอลูมิเนียม 100-120 เดซิเบลเอ
วงดนตรีร็อค 108-114 เดซิเบลเอ
งานค็อกเทลที่มีแขกประมาณ 100
คน
100 เดซิเบลเอ
รถสามล้อเครื่อง 92 เดซิเบลเอ
รถบรรทุกสิบล้อ 96 เดซิเบลเอ
รถยนต์ 85 เดซิเบลเอ
รถจักรยานยนต์ 88 เดซิเบลเอ
เสียงคนพูดโดยทั่วไป 50 เดซิเบลเอ
การวัดระดับเสียงจากกิจกรรมต่างๆ มีหน่วยเป็น เดซิเบลเอ (Decibel A) มี
ตัวอย่างดังนี้
- 104. องค์การอนามัยโลก กาหนดระดับเสียงเป็นพิษหรือดังเกินไปไว้
ที่ 85 เดซิเบลเอ และระดับเสียงที่บุคคลทนรับฟังได้คือ 120 เดซิ
เบลเอ สาหรับประเทศไทยกาหนดค่ามาตรฐานระดับเสียงเฉลี่ย
24 ชั่วโมงไว้ที่ 70 เดซิเบลเอ ตามประกาศคณะกรรมการ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติฉบับที่ 15 (พ.ศ.2540) เรื่องกาหนด
มาตรฐานระดับเสียงโดยทั่วไป
- 108. ขยะมูลฝอย( Solid Waste ) หมายถึง
เศษสิ่งเหลือใช้และสิ่งปฏิกูลต่างๆ ซึ่งเกิดจาก
กิจกรรมของมนุษย์และสัตว์ รวมถึงสิ่งอื่นใดที่เก็บ
กวาดจากถนน ตลาด หรือที่อื่นๆ ทั้งจากการผลิต
การบริโภค การขับถ่าย การดารงชีวิต และอื่นๆ
- 109. 1. ขยะเปียก หมายถึง ขยะที่ย่อยสลายได้ง่าย เช่น เศษ
อาหาร พืชผัก เปลือกผลไม้ เป็นต้น
2. ขยะแห้ง หมายถึง ขยะที่ย่อยสลายได้ยาก เช่น กระดาษ
พลาสติก แก้ว โลหะ เศษผ้า ไม้ ยาง เป็นต้น
3. ขยะอันตราย ได้แก่ สารเคมี วัตถุมีพิษ ซากถ่านไฟฉาย
หลอดไฟ และขยะติดเชื้อจากสถานพยาบาล
- 110. 1. ชุมชนพักอาศัย เช่น บ้านเรือน และอาคารชุด
2. ย่านการค้าและบริการ เช่น ตลาด ร้านค้า ธนาคาร
ห้างสรรพสินค้า
3. สถานที่ราชการ ศาสนสถาน โรงเรียน
4. โรงพยาบาล
5. โรงงานอุตสาหกรรม
- 112. ของเสียอันตรายแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ตาม
คุณสมบัติของของเสียอันตราย ได้แก่
1. ประเภทติดไฟง่าย เช่น ตะกอนน้ามัน ตะกอนสี
เป็นต้น
2. ประเภทสารกัดกร่อน เช่น น้ายาฟอกขาว น้ายาขัด
พื้น เป็นต้น
- 116. 3. ทาให้เกิดฝนกรด โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้
ของเชื้อเพลิงที่มีสารกามะถันเจือปน เมื่อทาปฏิกิริยารวมตัวกับน้าและ
กลั่นตัวเป็นฝน จะมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและ
สิ่งก่อสร้าง
4. ทาให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse
Effect) เกิดจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์
ก๊าซมีเทน ออกไซด์ของไนโตรเจน โอโซน และสารคลอโรฟลูออโร
คาร์บอน (CFC) เมื่อลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ จะปกคลุมมิให้
รังสีความร้อนจากผิวโลกระบายขึ้นสู่บรรยากาศระดับสูงขึ้นได้ ทาให้
เกิดการสะสมความร้อนของผิวโลก
- 122. 1. เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค
บิด และท้องเสีย
2. ทาให้เกิดปัญหามลพิษต่อดิน น้า และอากาศ
3. ทาให้เกิดความราคาญ เช่น กลิ่นเหม็น
4. ทาให้สูญเสียทัศนียภาพและเกิดความไม่น่าดู
5. ทาให้สัตว์น้าหลายชนิดเกิดการตาย ย้ายถิ่น หรืออาจ
สูญพันธุ์ในที่สุด
- 125. 4. ควบคุมการใช้ที่ดินที่ใกล้แหล่งน้า ได้แก่ กาหนด
แหล่งน้าดิบเพื่อควบคุมและฟื้นฟู และจัดเขตที่ดิน
สาหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษ
5. ใช้มาตรการให้ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่ายค่าบาบัด
โดยการส่งเสริมให้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบาบัดน้า
เสียจากชุมชน
6. ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุน
ในการก่อสร้างระบบบาบัดน้าเสีย
การป้องกันและบาบัดภาวะมลพิษทางน้า
- 128. 1. ผลกระทบต่อการได้ยิน แบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ
- หูหนวกทันที เกิดขึ้นจากการที่อยู่ในบริเวณที่มีเสียง
ดังเกิน 120 เดซิเบลเอ
- หูอื้อชั่วคราว เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีระดับเสียงดัง
ตั้งแต่ 80 เดซิเบลเอขึ้นไปในเวลาไม่นานนัก
- หูอื้อถาวร เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีระดับความ
ดังมากเป็นเวลานานๆ
- 129. 2. ด้านสรีระวิทยา เช่น ผลกระทบต่อระบบการหมุนเวียนของ
เลือด ต่อมไร้ท่อ อวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และความ
ผิดปกติของระบบการหดและบีบลาไส้ใหญ่ เป็นต้น
3. ด้านจิตวิทยา เช่น สร้างความราคาญ ส่งผลต่อการนอนหลับ
พักผ่อน ผลต่อการทางานและการเรียนรู้รบกวนการสนทนา
และการบันเทิง
4. ด้านสังคม กระทบต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทาให้ขาด
ความสงบ
- 138. 1. กาจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกหลักวิชาการ เช่น การ
เผาในเตาเผาขยะ การฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะ
และการหมักทาปุ๋ ย เป็นต้น ซึ่งแต่ละวิธีมีความ
แตกต่างกันในด้านต้นทุนการดาเนินงาน ความพร้อม
ขององค์กร ปริมาณและประเภทของขยะ เป็นต้น
- 139. 2. จัดการขยะ โดยอาศัยหลัก 5 R คือ
- Reduce การลดปริมาณขยะ โดยลดการใช้
ผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์สิ้นเปลือง
- Reuse การนามาใช้ซ้า เช่น ขวดแก้ว กล่อง
กระดาษ กระดาษพิมพ์หน้าหลัง เป็นต้น