Litonjin
- 2. 2
ไลตงจิ้น ลูกขอทานผูไมยอมแพตอชะตาชีวิต
ตอนที่ 1
เรื่องของผม
22 ธันวาคม ป 1999 ผมยืนอยูบนเวทีในพิธีมอบรางวัล 10 เยาวชน
ยอดเยี่ยมแหงป หลังจากที่ผมรับรางวัลแลวกลาวคําปราศรัยยาว 40 นาที
สิ้นสุดลง เสียงปรบมือก็ดังกึกกองขึ้น ขาราชการผูใหญทั้งหลายตางก็ลุก
ขึ้นปรบมือใหผม ในนาทีนั้นแมกับนองชายคนโตก็นั่งอยูในหองโถงพิธีดวย
เชนกัน ผมมองพวกเขาที่นั่งอยูหนาเวที นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เราไดฟน
ฝารวมกันมาแลว ผมกลั้นน้ําตาไวไมไหวจริง ๆ
นี่ไมใชครั้งแรกที่ผมไดรับรางวัลหรือใบประกาศเกียรติคุณหรอก
ครับ ตั้งแตเล็กจนโตผมเคยไดรับรางวัลและใบประกาศตาง ๆ เปนรอย ๆ
ใบ สิ่งเหลานี้นับเปนกําลังใจที่ดีที่สุดสําหรับ “ชีวิตสวะ” ของเด็กขอทาน
อยางผม ผมขอขอบคุณดวยใจจริง แดทุกคนทั้งที่เคยเปนกําลังใจและเคย
ชวยเหลือผม มองยอนกลับไป ตลอดระยะเวลา 40 ปที่ผานมา เรื่องราว
ตาง ๆ ที่เกิดขึ้นชางเหมือนภาพยนตรที่ฉายไปตัดมาอยางรวดเร็วในหัวของ
ผม ชวงระยะเวลา 40 ปของผมชางยาวนานเสมือนเวลา 80 ปของคน
อื่น เพราะแตละกาวนั้นเต็มไปดวยความเจ็บปวดและโศกเศรา แตละกาวที่
ยางไปขางหนานั้น ราวกับกาวเดินบนถนนกอนกรวด เลือดไหลซิบ ๆ แตก็ยัง
ตองฝนยกเทากาวตอไป
ยังดีที่ผมไมลมลง ยังดีที่ผมยืนหยัดมาไดจนถึงวันนี้ ยังดีที่ผมไมเคย
ละทิ้งชีวิตนี้ไป
กระผม นายไลตงจิ้น เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1959 พอเปน
ขอทาน แมเปนคนปญญาออน
“บานฉันชางนารักจริงเอง สะอาด สดใส มีพลานามัย และเปยม
สุข” เมื่อไดยินเด็ก ๆ รองเพลงนี้ทีไร ใจผมกลับรูสึกวา “บานผมชางแปลก
- 3. 3
เหลือเกิน” ก็ตอนที่พอตาแมยายผมหามลูกสาวเขาไมใหแตงงานกับ
ผม บานนั่นนะเปนบานที่โคตรซวย บรมซวยที่สุดในโลกเชียวนะ” แลวผม
จะมีหนาไปเถียงอะไรเขาไดเลา ในเมื่อบานผมก็เปนอยางนั้นจริง ๆ พอผม
ไมไดเปนเพียงขอทานธรรมดา ๆ เทานั้น แตยังเปนขอทานตาบอดอีก
ดวย แถมแมผมยังเปนคนปญญาออนที่มีภาวะอารมณผิดปกติ หมอบันทึก
ลงในใบวินิจฉัยโรควาแมไอคิวต่ําเพียงระดับ 58 เทานั้น
นี่คือเรื่องราวการเติบโตของผม เปนบันทึกชีวิตคลุกเลือดเคลาน้ําตา
ที่พวกเราทั้งครอบครัวไดชวยประคับประคองกันมา ผมเลือกที่จะนําเรื่องราว
เหลานี้มาบันทึกเปนหนังสือในวันนี้ เพื่อระลึกถึงคืนวันในชวงนั้น
พอผมเกิดที่หมูบานเฉียนจู หมูบานเล็ก ๆ ที่แสนจะยากจนในอําเภอ
อูรื่อ จังหวัดไถจง ปูยามีอาชีพรับจางทํานา เมื่อพออายุไดสี่ขวบ ปูก็ปวย
ตาย ยาเลี้ยงดูลูกทั้งสาม (ไดแก พอผม ลุงและปา) แตเพียงลําพัง ใน
สมัยนั้นแคการเปนหญิงมายก็ลําบากพออยูแลว แตนี่ยังมีลูกติดอีกถึงสาม
คน จึงทําใหทั้งครอบครัวตองอดมื้อกินมื้ออยูบอย ๆ ซ้ํายังตองโดนดูถูก
เหยียดหยามสารพัดดวยเหตุนี้ อีกสามปตอไป ยาจึงยอมแตงงานใหมไปอยู
หมูบานซิ่วซาน อําเภอตาหยา โดยที่ลูกทั้งสามไมไดติดตามไปดวย ทุกคน
ยังอยูที่อูเรือ ทํางานรับจางทั่วไป เลี้ยงวัว เลี้ยงควายบาง พอประทังชีวิตไป
วัน ๆ
เมื่อพออายุได 17 ป ยาก็เสีย ดังนั้นนอกจากพี่ชายกับพี่สาว
แลว พอจึงไมมีญาติที่ไหนอีก แตกระนั้นสวรรคก็ยังไมปรานี สองป
ตอมา จู ๆ ตาของพอก็เริ่มมีอาการผิดปกติ ในตอนนั้นทั้งลุงและปาตางก็
แตงงานแยกครอบครัวออกไปแลว ครอบครัวของแตละคนก็ลําบากมาก ไม
สามารถดูแลนองชายคนนี้ได ประกอบกับแพทยในสมัยนั้นก็ยังไม
พัฒนา ตาของพอจึงคอย ๆ บอดลงในที่สุด ที่นาแปลกก็คือ อีกสิบกวาป
ตอมา ลุงกับปาก็ตาบอดทั้งสองขางเชนเดียวกัน ไมรูวาเพราะตั้งฮวงซุย
บรรพบุรุษไมถูกตอง หรือเปนเพราะความผิดปกติทางพันธุกรรมกันแน คง
ไมมีใครตอบได สรุปก็คือเมื่อพออายุได 22 ป ตาก็บอดสนิททั้งสองขาง
- 4. 4
จากนั้นทานจึงเริ่มใชชีวิตวณิพก หากินดวยการเปนหมอดูบาง หมอ
นวดบาง แตเนื่องจากกิจการไมคอยดีนัก โดยสวนใหญแลวพอจึงมักจะไป
ดีดพิณขอทานตามตลาดสดบางตลาดโตรุงบาง ชีวิตพอมีเพียงแคไมเทาหนึ่ง
อัน ชามบิ่น ๆ หนึ่งใบกับพิณอีกหนึ่งตัว ระหกระเหินไปทั่ว ค่ําไหนนอน
นั่น ในใจพอคิดอะไรอยูนั้น ผมไมเคยเขาใจ บางทีชีวิตเรรอนขอทานของ
ชายตาบอด อาจจะมีสิ่งนาพอใจอยูบางก็ได
พอซัดเซพเนจรไปเรื่อยจนอายุ 32 ป วันหนึ่งพอเดินลัดเลาะไปจนถึง
สะพานขามแมน้ําหมูบานจางฮวาเออหลิน กะวาจะนั่งพักขาใตรมไมใหพอ
หายเหนื่อยเสียกอน พอนั่งลงก็ไดยินเสียงคลายกับคนรองครวญครางดังขึ้น
ใกล ๆ ตัว แมพอจะมองไมเห็น แตฟงจากเสียงก็รูวาเปนเสียงของ
เด็กผูหญิง เสียงโอดโอยนั้นบอกถึงความทรมานสุดทน พอสงสัยวาเธอ
อาจจะปวย จึงยื่นมือออกไปแตะดู ตั้งใจจะถามเธอวาเปนอะไร แตเด็กหญิง
ดูเหมือนจะไมเขาใจถึงจะถามแลวไมไดคําตอบ แตในสถานการณนั้น พอก็
ไมใจดําพอจะทิ้งเด็กหญิงไวตามลําพังได จึงนั่งลงที่พื้นใกล ๆ คอยอยูเปน
เพื่อนเธอ
ไมรูวานั่งไปนานเทาไร พอดีมีชาวบานเดินผานมาเห็นเด็กหญิงนอน
รองโอดโอยอยูที่พื้น แกถอนใจยาว เลาใหพอฟงวา “จะวาไปแลวก็นา
สงสารนะเด็กคนนี้นะ บานแกอยูที่หมูบานหยวนหลิน แตฐานะยากจน พอ
เกิดมาก็ถูกยกใหเปนลูกบุญธรรมตระกูลเฉิงที่เออหลิน หยวนโตง แตที่แยไป
กวานั้นก็คือ พอตระกูลเฉิงรูวาเด็กคนนี้ปญญาออนแตกําเนิด แลวยังเปนโรค
ลมบาหมูอีก อยาวาแตเรื่องคารักษาพยาบาลเลย แคเลี้ยงดูพอแมบุญธรรม
แกยังไมใสใจดูแล ไดแตปลอยแกตามยถากรรม จะอยูจะกินอยางไรก็
ชาง พอเด็กมันหิวก็จับมดจับแมลง ผลไม ผักหญาใสปากไปตามแตจะเก็บ
ได เหนื่อยก็ลมลงนอนกับพื้นสะเปะสะปะไปทั่ว พอปวยก็ไดแตมานอนโอด
โอยอยางที่เห็นนี่แหละ” พอพูดจบ ชาวบานคนนั้นก็ถอนใจยาวอีกเฮือก
หนึ่ง แลวสายหนาเดินจากไป
- 5. 5
พอคิดวา คนเราเกิดมาใตฟาผืนเดียวกัน พอเองก็ไมมีพอแม สวน
เด็กคนนี้ก็ถูกทอดทิ้ง ทําไมในโลกนี้จึงมีคนนาสงสารมากมายนักนะ แมตัว
พอเองจะตาบอด แตอวัยวะสวนอื่นก็สมบูรณดี ยังพาตัวไปขอทานได แม
จะตองทนอดอยูบอย ๆ แตลมหายใจก็ยังไมสิ้น หากวาพอใจดําจากไปใน
วันนี้ ไมรูวาเด็กที่นาสงสารคนนี้จะมีชีวิตถึงวันพรุงนี้หรือเปลา พอคิดได
อยางนี้แลว พอก็ตัดสินใจวาจะพาเด็กหญิงนี้กลับไปรักษาที่อูรื่อบานเกิด
ตัวเอง
ดังนั้นทั้งสองจึงอยูกินกันเปนสามีภรรยากันมา
ในสมัยนั้นยังไมมีอะไรที่เรียกวา “พิธีแตงงาน” เพียงคนสองคนอยู
ดวยกันก็ถือวาเปนสามีภรรยากันไดแลว และเด็กผูหญิงปญญาออนที่ผมกําลัง
กลาวถึงอยูนี้ก็คือแมผมเอง ตอนหลัง เวลาพอเลาถึงเรื่องนี้ทีไร จึงมักจะ
พูดวาพอไป “เก็บ” แมมา ที่จริงจะวาอยางนี้ก็คงไมผิดนัก เพราะตอนนั้น
พออายุ 32 ปแลว สวนแมอายุเพียง 13 ปเทานั้น ทั้งคูอายุหางกันถึง 19
ป ก็เหมือนเก็บเด็กมาเลี้ยงจริง ๆ นั่นแหละ
คําพังเพยกลาววา “หงสคูหงส มังกรคูมังกร คางคกงี่เงาคูกับเตา
เฒาหลังตุง คนหลังคอมคูกับคนปญญาออน” ไมรูอยางนี้ควรจะเรียกวา
สวรรคบันดาลหรือสวรรคกลั่นแกลงดี
ตอนที่ 2
ลูกยกโหล
บานเรามีลูกทั้งหมด 12 คน ผมเปนคนที่สอง มีพี่สาวหนึ่งคน ปที่
ผมเกิดนั้นพอผมอายุได 42 ปแลว ตอนนั้นพวกเรารอนเรไปถึงหมูบานตงซื่อ
ในไถจง ผมจึงเกิดที่ศาลเจาในสุสานแถว ๆ นั้น ศาลเจาในสุสานก็คือ
คฤหาสนในยมโลกของพวกคนตายนั่นเอง ฮวงจุยเลยไมเลวนัก ดานหนามี
แมน้ํา ดานหลังมีภูเขา หมอตําแยที่มาชวยทําคลอดให แตเชาตรูยังบอก
ดวยวา ตอนที่แกทําคลอด แกเห็นมังกรเขียวตัวหนึ่งปรากฏตัวบนทองฟา
- 6. 6
ดวย พอดีใจใหญ จึงตั้งชื่อผมวา “ตงจิ้น” หรือบางทีก็เรียกวา “ตงสุย”
หลังจากผมเกิด แมก็ตั้งทองอีกทองแลวทองเลา คลอดตอ ๆ กันจน
ครบ “หนึ่งโหล” ครอบครัวที่ยากจนเพียงนี้ แถมยังมีลูกมากขนาดนี้ ลําพัง
ที่พอหามาเลี้ยงปากเลี้ยงทองนั้นก็แทบจะไมพออยูแลว จึงแทบจะไมตองพูด
ถึงเรื่องเลี้ยงดูพวกเราเลย ผมจําไดวาทุกครั้งที่ผมออกไปขอทานกับพอ พอ
จะตองผูกแมไวกับตนไมดวยเชือกหรือโซ เพื่อปองกันไมใหแมหนีไปเลน
น้ํา เพราะหากวาแมเกิดหลงทางขึ้นมา พอตาบอดของผมก็ไมรูวาจะไปตาม
แมไดที่ไหน
เมื่อไมมีพอแมคอยอุมชูดูแล เด็ก ๆ ทุกคนในบานเราจึงตองชวยดูแล
กันเอง เลนดิน กินทรายมาจนเติบโตขึ้น แตที่แสนจะโชครายไปกวานั้นก็
คือ นองชายคนโตปญญาออนและภาวะอารมณผิดปกติแตกําเนิด เพราะ
กรรมพันธุจากแม นับแตนั้น คนที่ถูกผูกติดกับตนไมจึงไมใชแมเพียงคน
เดียว แตยังมีนองชายคนโตเพิ่มมาอีกคน
สําหรับพวกเรานั้น เนื่องจากพอมองไมเห็น ทานจึงตองหาเชือกสี
แดงมารอยลูกกระพรวนผูกไวที่คอลูกทุกคน เพื่อจะไดฟงเสียงดูวาพวกเรา
คลานเลนกันไปถึงไหนแลว ถาใครไปไกลหนอย พอก็จะรีบไปลากกลับมา
เรื่องที่เกิดขึ้นตอนอายุได 5 – 6 ขวบนั้น ผมจําไดแมนยํา สวนเรื่องที่
เกิดขึ้นกอนสี่ขวบ สวนใหญเปนเรื่องที่พอกับพี่สาวเลาใหฟงภายหลัง
พี่สาวเลาวา ตอนแรกที่มีเธอคนเดียว พอจะมีไมคานสําหรับหาบของ
ไวบนบา มีถุงยามอยูที่ปลายทั้งสองขาง ขางหนึ่งไวสําหรับใสทารก
นอย อีกขางไวสําหรับใสผาหม เทานี้ก็ไปไดทั่วปฐพีแลว พอมีผมเพิ่มมา
อีกคนก็เทากับวามีภาระเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปากทอง จะอาศัยแตการขอทาน
ของพอคนเดียวก็เริ่มจะไมพอเสียแลว อีกอยาง จะขนยายทั้งครอบครัวใหญ
ไปโนนมานี่คงไมใชวิธีที่ดีนัก
- 7. 7
ดังนั้นเมื่อผมอายุไดขวบกวา พอเริ่มเดินไดก็เตาะแตะตามพี่สาว
ออกไปขอทาน ผมจําไดวา พอแทบจะไมเคยแสดงความชื่นชมหรือยินดีตอ
ใบประกาศนียบัตรใด ๆ ที่ผมไดมาจากการร่ําเรียนหนังสือเลยสักครั้ง แตมีอยู
เรื่องหนึ่งที่พอมักจะพูดติดปากอยูเสมอ และในน้ําเสียงนั้นบอกถึงความภูมิใจ
วา “ตอนที่อาจิ้นเพิ่งจะสองขวบนะ มันเดินขอทานตั้งแตหมูบานเฉาตุนถึง
หมูบานผูหลี่เชียวนะ ระยะทางหางกันตั้งสี่สิบกิโลเมตรแนะ”
ผมไมเขาใจวา ทําไมพอถึงชื่นชมกับเรื่องนี้หนักหนา แตพอมาคิดดู
อีกทีก็คงเหมือนกับครอบครัวคหบดีที่หวังใหลูกชายมีความสามารถในวิชา
คํานวณ ครอบครัวขุนนางขาราชการที่หวังใหลูกชายรูจักการเขาสังคมตาง ๆ
และเมื่อเกิดในครอบครัวยากจน พอจึงหวังใหผมมีกําลังขาที่ดี และมีความ
อดทนสูงกระมัง ระยะทางตั้ง 40 กิโลเมตร แลวผมก็เพิ่งสองขวบเทานั้น คิด
ดูแลวก็นาหดหูเสียจริง
ตอนผมหาขวบ แมก็คลอดลูกติดตอกันอีกถึงสามคน เนื่องจากพี่สาว
เปนผูหญิงจึงตองคอยดูแลนอย ๆ อยูที่ศาลเจาในสุสาน สวนผมตอง
เริ่ม “ขึ้นแทน” ไอเสือปนเดี่ยว ออกไปขอทานเพียงลําพัง
แมจะอายุเพียงหาขวบ แต “ประสบการณ” ที่สั่งสมใน “พรรค
กระยาจก” มาเปนระยะเวลาถึงสามปครึ่ง ทําใหการออกขอทานไมใชเรื่อง
ลําบากอะไรนักสําหรับผม เพียงแตการขาดความรูเรื่องการคุมกําเนิดของพอ
แม ทําใหแมตั้งทองและคลอดลูกตอเนื่องกันอยางไมหยุดหยอน ทุกครั้งที่มี
ชีวิตใหมลืมตาขึ้นมา ไมมีความปติ ไรซึ่งการยินดี จะมีก็แตความกังวลใจใน
ภาระที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปากทอง และภายหลังผมตองเปนผูรับภาระหนักอึ้ง
ที่จะตองดูแลครอบครัวที่มีถึงสิบสี่ปากทองเพียงลําพัง มันชางเปนเสมือน
โศกนาฏกรรมที่ดูจะไมมีวันจบสิ้นสําหรับผม เสมือนถนนขรุขระที่ไมมี
ปลายทาง
กอนผมสิบขวบ ครอบครัวเราไมมีบานชองเปนหลักแหลง หรือแทบ
จะเรียกไดวาเราตองนอนกลางดินกินกลางทรายกันจริง ๆ ผมผานวัยเด็ก
- 8. 8
ทามกลางลมหนาว น้ําคาง แสงแดด พายุโหมกระหน่ํา มีตนไมเปน
หลังคา ผืนดินเปนเตียงนอน และมีสุสานเปนบานของเรา
พวกเราเคยอาศัยพักพิงมาแลวแทบทุกที่ ไมวาจะเปนใตตนไม ใต
สะพาน ตลาดสด ใตเวทีโรงงิ้ว ปาราง ตามแตสภาพอากาศที่ผันแปรไปตาม
ฤดูกาล พูดไดวาไมมีที่ไหนเลยที่เราอยูไมได ถาไปตามเมืองเล็ก ๆ เราก็
อาศัยกันตามโรงเรียนบาง ศาลาตามสวนสาธารณะบาง สถานีรถไฟ
บาง หรือถาเปนหมูบานชนบท เราอาจพักกันตามสวนกลวย ไรออย โรง
เพาะเห็น หลุมหลบภัย หรือแมแตในเลาหมูก็ยังเคย แตที่ที่เราอาศัยกันบอย
ที่สุดคงจะเปนศาลเจาในสุสาน เพราะการนอนอยูกับคนตายนั้นไมตองถูกมอง
ดวยสายตาดูแคลน และที่สําคัญคือ คนตายไมไลตะเพิดพวกเราแน
เคยมีคนถามวา ทําไมผมจึงจําเรื่องราวในอดีตไดละเอียดชัดเจน
นัก ผมคิดวาคงเปนเพราะวาชีวิตผมลําบากและสะเทือนใจมากเหลือเกิน ไม
วาจะการดูถูกเหยียดหยามอยางไรก็เคยไดรับมาหมดแลว เรื่องแตละเรื่องที่
เกิดขึ้นเปนเหมือนเข็มแตละเลมที่คอยทิ่มแทงใจผม แลวผมจะลืมมันลงได
อยางไร เพียงหลับตาลงครั้งใด เรื่องราวในอดีตก็แจมชัดขึ้นมาในความทรง
จํา เหมือนแผลสด ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในหัวใจกระนั้น
แลวจะใหผมลืมมันลงไปไดอยางไรเลา
ตอนที่ 3
คนจรจัดไมมีสิทธิเจ็บไขไดปวย
ตั้งแตเริ่มจําความได ชีวิตผมก็เรรอนไปไมมีที่สิ้นสุด
ในชวงที่เราซัดเซพเนจรกันนั้น เนื่องจากพอมองไมเห็น แตเพื่อ
ปกปองพวกเรา พอจึงตองพกอาวุธประจํากายไวเสมอ ซึ่งไดแก ไม
คาน ไมเทา กอนหิน ตะปู และฆองที่ยามสมัยกอนใชตีเพื่อบอกเวลา
- 9. 9
ประสบการณจากการพเนจรมาหลายป ทําใหพอกลายเปนคนที่หูไว
มาก แมเพียงเสียงลมพัดใบไมไหว เสียงกระซิบเบา ๆ ลอยมาแต
ไกล หรือกระทั่งเสียงงูเลื้อยในพงหญา พอพรอมจะยกไมเทาขึ้นมาปองกัน
ภัยทันทีที่ไดยิน คราใดที่พบกับโจร คนจรจัด หรือพวกขี้เมาเขา พอก็จะมี
เทคนิคสามอยางคือ
ขอแรก ตีฆองสุดแรง ใหดังจนคนแปลกหนาตกใจวิ่งหนีไป
ขอสอง ทําเปนตั้งทามาตรฐานมวยจีน ใหดูเหมือนวาตัวเองนั้นเปน
นักบูมือหนึ่ง แลวแกลงทําหนาตาใหถมึงทึงขึงขังเขาไว เหมือนจะขู
วา “อยามายุงกับขา”
ถาสองวิธีนี้ยังไมไดผลอีก พอก็จะเปลี่ยนมาใชเทคนิคขอที่สาม
คือ หยิบกอนหินสามสี่กอนในถุงยามออกมาปาไปทางคูตอสู พอบอกวาทา
นี้มีชื่อวา “ทาลิงเด็ดลูกทอ” เคล็ดลับอยูที่การเคลื่อนไหวตองรวดเร็วเปน
พิเศษ ภายหลังพอสอน “ทาลิงเด็ดลูกทอ” นี้ใหผมและพี่สาวดวย ดังนั้น
ในถุงยามของเราจึงมีหินสองสามกอนพกไวเพื่อปองกันตัวเสมอ
ทุกครั้งที่ครอบครัวเราเดินไปถึงหมูบาน ก็มักจะเปนที่ดึงดูดความ
สนใจแกชาวบานที่ไดพบเห็นเสมอ บางคนเห็นครอบครัวเราแลวก็
เวทนา จนตองนําอาหารมาใหตั้งแตพวกยังไมทันไดเอยปากขอเสียดวยซ้ํา
ไป สวนตัวผมก็เหมือน “พอวัว” ตัวหนึ่งที่ลากลูกวัวขางหลังอีกเจ็ดตัวให
คอยเดินตาม และแนนอนพวกเราทุกคนเดินเทาเปลา
ชาวบานนอกสวนใหญมีสัตวเลี้ยงกันทั้งนั้น ถาเดินไมระวังก็อาจ
เหยียบโดนขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมา หรืออาจเปนขี้ของสัตวอื่นเลอะติดเทาของเรา
ได เวลานั้นผมยังเด็กมาก ไมรูวาเหม็นหรือหอมอยางไร รูแตวามันเปนเรื่อง
ที่นาขํามาก แตพอหัวเราะขึ้นมา ถึงพอจะตาบอด ไมเทาของพอก็จะลอยมา
ฟาดผมดังเผียะเขาทันที แลวพอก็จะใหผมเอาขันไปตักน้ําตามบอมาลางให
สะอาดกอน จึงคอยเดินทางกันตอ
- 10. 10
การเดินทางดวยเทาเปลาทุกวัน ทําใหฝาเทาของเราดานจนเปนชั้น
หนา ๆ หนาขนาดที่วาถาหากพลาดไปเหยียบโดนเศษกระจกเขา ก็ไมแนวา
เศษกระจกนั้นจะแทงทะลุเนื้อไดหรือเปลา แตถึงจะพลาดไปเหยียบโดนตะปู
หรือของแหลมคมอื่น ๆ เขา พอก็มีวิธีรักษาแปลก ๆ เฉพาะตัวคือ ถาเหยียบ
โดนตะปูหรือถูกเศษกระจกบาด ใหใชดินทรายปดปากแผลไว แตถาถูกหมา
กัดก็ใหใชขี้หมูมาทาแทนยา ไมมีอะไรที่เรียกวาอนามัยหรือไมอนามัยเลย
สําหรับพวกเราที่คลานเลนกับพื้นดินมาตั้งแตเล็ก ๆ หิวเมื่อไรก็หยิบดินหยิบ
ทรายยัดใสปาก ใครใหอะไรมาก็กินลงไป บางครั้งเม็ดขาวหลนลงพื้นก็ยัง
เอามาใสปาก ไมสนใจเรื่องสะอาดเรื่องสกปรก ไดแตกลืนลงทองไปเหมือน
ๆ กัน
คนจรจัดไมมีสิทธิเจ็บไขไดปวย เพราะพวกเรายังตองเดินทางกัน
ตลอด
ระหวางที่เรรอนไป พอก็จะคอยสอนใหผมเก็บเอาพวกกอนหิน เศษ
กระจกและตะปูที่ตกอยูตามทางเดินออกไปทิ้ง หรือหากเปนหลุมขนาด
ใหญ ใหใชไมผูกผามาปกไวเปนสัญลักษณ เพื่อไมใหคนที่รีบเดินตอน
กลางคืนอาจไมทันระวังสะดุดลมเปนอันตรายได พอบอกวา “เมื่อตัวเองเคย
เจ็บมาแลวก็อยาใหคนอื่นมาเจ็บซ้ํารอยเดินอีก”
พอเปนคนไมมีการศึกษา แตเรื่องราวมากมายที่พอไดสอนใหแกพวก
เราลวนเปนเรื่องที่ออกมาจากใจจริงทั้งสิ้น
ตอนที่ 4
รูที่จะปรับเปลี่ยน รูที่จะอยูรอด
ฟายังไมทันสวาง ผมกับพอก็ตองเตรียมตัวออกจากที่พักกันแลว
จากที่พักของเราคือศาลเจาในสุสาน เดินออกจากสุสาน ขามเขาเตี้ย
- 11. 11
ๆ ลูกหนึ่ง ตัดผานทางเดินตามคันนาเล็ก ๆ ทะลุถนนเสนเกษตรกรรม กวา
จะมาถึงหมูบานที่ใกลที่สุดก็เปนระยะทาง 1 – 2 กิโลเมตร ทางเดินก็แสนจะ
ขรุขระ ผมตองคอยจูงพอเดินดวยความระมัดระวังไปตลอดทาง
พอมาถึงหมูบาน พอก็จะพาผมไปเดินเคาะประตูตามบานทีละหลัง ๆ
ตอนนั้นผมยังเล็กมาก แลวพอก็ตาบอดดวย จึงทําใหมีเรื่องวุน ๆ เกิดขึ้นกัน
อยูหลายครั้งทีเดียว เชน ครั้งหนึ่งที่เรามาเคาะประตูบานหลังหนึ่ง พอประตู
เปดออกมา เจาของบานก็ถมน้ําลายใสหนาเราทันที พรอมกับตะโกนดาเสียง
ลั่นวา “เคาะหาอะไร ตาบอดเรอะ ไมเห็นหรือไงวาเรากําลังจัดงานศพกัน
อยูนะ! หา!” โธ! ก็ผมมองไมเห็นจริง ๆ ตอนนั้นผมยังสูงไมถึงรอย
เซนติเมตรดีเลย แลวจะรูไดอยางไรวามีงานศพ พอรีบขอโทษขอโพยเขา
ยกใหญ แลวเราสองคนก็รีบหลบออกมา
เมื่อมาถึงบานอีกหลัง ยังไมทันจะเดินเขาไปใกลสักเทาไร หมาตัว
โตตัวหนึ่งเหาเสียงดังขึ้นพรอมกับกระโจนออกมาทันที เราตกใจใสเกียรถอย
หลังหนีแทบไมทัน คนหนึ่งตาบอด อีกคนหนึ่งก็เด็กเล็ก ไมรูจะวิ่งไปทาง
ไหนดี ลุกลี้ลุกลนวิ่งชนกันเองเขา ผมโดนพอลมทับเอาอยางจัง เจ็บจน
รองไหจา แถมยังถูกพอดาซ้ําอีกวา “หนอย! ขาตาบอดแลวแกก็เลยไมมีตา
ดวยหรือไง”
ผมเอามือนวดหัวเขาขางที่เจ็บ รองไหพลางจูงพอเดินตอไป พอก็ยิ่ง
โมโหหนักเขา ตะเบ็งเสียงดุผมอีกวา “แลวแกจะรองไหหาอะไรอีก หา!”
ผมไมกลาสงเสียงอีก พอน้ํามูกไหล ก็ไดแตเบะปากเดินตอดวย
ความนอยใจ ไมงายเลยกวาจะมีคนนําอาหารเหลือที่บูดจนเริ่มสงกลิ่นเปรี้ยว
มาใหเรา กระนั้นเราก็ยังซาบซึ้งใจยิ่ง เฝาขอบคุณแลวขอบคุณเลา จากนั้น
ก็มาเคาะประตูบางขาง ๆ พอเจาของบานเปดประตูผัวะออกมา ก็จองหนาเรา
แลววา “จนจนผีจะมารับไปอยูแลว ยังตองมาทําบุญทําทานใหพวกแกอีกหรือ
ไงวะ วาแตนองชาย ไอกับขาวของพวกแกนั่นนะ เอามาเผื่อแผใหพวกเรา
กินบางไดไหม!”
- 12. 12
ผมรูสึกตกใจมากที่เขาอยากไดอาหารของเรา จึงรีบจูงพอเดินหนี
ไป นึกไมถึงเลยวา ในโลกนี้จะยังมีคนที่อยากไดแมแตขาวของขอทาน
ดวย ผมไมเขาใจเลยจริง ๆ
ใกลเที่ยงแลว อาหารในขันใบเล็กของผมเพิ่งจะไดมาแคสองสวนเทา
นั้นเอง ไหนเลยจะพอกินกันทั้งบาน พอนึกขึ้นไดวาตอนนี้เปนเวลาที่พอคา
แมคาในตลาดสดของหมูบานกําลังเก็บแผงกันพอดี ผมก็รีบจูงพอดิ่งไป
ขอทานที่แผงผลไมทันที พวกเด็ก ๆ กลุมที่อยูไกล ๆ โนนเห็นเราเขา ตาง
พากันตะโกนลอเลียนวา “เร็วเขา! รีบมาดูนี่เร็ว ขอทานมาแลว ไอตัว
สกปรก ไอตัวนารังเกียจ แหวะ ไอขอทานตัวเหม็นมาขอขาวเขากิน แหวะ”
พอคาเจาของแผงคงจะสมเพชพวกเรา จึงหยิบเอาผลไมที่ช้ําจนขาย
ไมไดแลวยื่นใหแกพวกเราจํานวนหนึ่ง แมวาผลไมที่พอคาหยิบยื่นใหจะช้ํา
จนแทบจะเนาแลว แตผมก็ยังรูสึกวามันชางหวานหอมเหลือเกิน
พอไดผลไมมา ผมก็นํามาคัดสวนดีเก็บไวใหสําหรับพอกับแม
กอน จากนั้นตัวเองคอยกินสวนที่เหลือ เมื่อหวนคิดถึงสมัยนั้นแลว ผมก็ไมรู
เหมือนกันวาเอาชนะความอยากของตัวเอง ยอมกินนอยและกินแตสวนที่แยนี้
ไดอยางไร ไมรูวาความรูสึกกตัญูกตเวทีเหลานี้ผมไปเรียนมาจากไหน ผม
ไมรูเลยจริง ๆ
ชวงป 1960 นั้น ไตหวันยังเปนสังคมเกษตรกรรมเล็ก ๆ ประเทศ
หนึ่ง ประชากรทุกครัวเรือนไมวาจะเปนเจาของที่ดินหรือชาวนาก็ตองพึ่งพา
ฟาฝนเปนหลัก ฝนตกมากเกินไป พายุเร็วเขาเกินไป หรือแลงเกินไป ก็
ลวนแตเปนปญหาที่สงผลตอการเก็บเกี่ยวทั้งนั้น และในชวงที่ประสบปญหา
ภัยธรรมชาตินี้ ชาวบานก็จะหนาดําคร่ําเครียด พวกเราก็ยิ่งขอทานไดยาก
ยิ่งขึ้นไปอีก แตจะทําอยางไรไดเลา ในเมื่อทุกชีวิตก็ยังตองอยูตอไป ดวย
เหตุนี้พอจึงลงทุนซื้อสิงโตผามาหนึ่งชุด ใหพี่สาวซึ่งตัวสูงกวาอยูดานหนา
เปนหัวสิงโต สวนผมตัวเล็กกวาอยูดานหลังเปนหางสิงโต แลวเอาถุงใสเงิน
- 13. 13
เล็ก ๆ มามัดที่เอวกางเกงของเราสองคนไว
ผมกับพี่สาวชวยกันเชิดสิงโต ทั้งรองทั้งเตนไปแทบทุกบาน ไมวา
ชาวบานจะตองการโชคลาภจริง ๆ หรือวาตองการจะไลพวกเราก็ตาม แตก็
ยอมควักเศษสตางคจายใหพวกเรามากบางนอยบาง มีอยูครั้งหนึ่งเราสองพี่
นองพากันเชิดสิงโตอยูที่หนาบานหลังหนึ่ง เชิดอยูนาน แตเจาของบานก็ไม
ยอมเหลียวแลพวกเราสักที อากาศก็รอนจัด พวกเราอยูใตผาคลุมเหงื่อแตก
ชุมเสื้อไปหมด แตเมื่อยังไมไดสตางค เราก็ไมยอมจากไปงาย ๆ
ผมกับพี่สาวยิ่งเชิดก็ยิ่งมัน เตนจนชนกันเอง ตางคนตางลมลง แลวก็
ชวยพยุงกันลุกขึ้นมาใหม เสียงกระดิ่งที่ติดอยูกับผาคลุมสิงโตก็พลอยกระทบ
กันเกิดเสียงดังกรุงกริ๋งนารําคาญ แตไมนึกเลยวาเจาของบานจะโมโหมากจน
เขาไปปลอยหมาออกมาไลพวกเรา และเพราะพี่สาวเปนหัวสิงโต เธอจึง
มองเห็นเขี้ยวอันแหลมคมของเจาหมาตัวนั้นกอน เธอตกใจกลัวรีบหมุนตัว
กลับหลังวิ่งหนาตั้ง แตผมสิ ผมเปนหางสิงโตอยูดานหลัง มองไมเห็นอะไร
เลย เราสองคนจึงชนกันเต็มรัก จนสิงโตแทบจะพังหมด
ผมกับพี่สาวไมเคยไดรับ “การเขาคอรส” ฝกฝนใด ๆ ทั้งสิ้น จะทํา
อะไรก็อาศัยแตครูพักลักจําเอาเทานั้น ที่พากันเชิดสิงโตก็ไมเคยลงเทาได
เขาจังหวะเลย เอาแตวาไมตองหกลมหัวคะมําก็ตองถือวาบุญโขแลว ความ
จนสอนใหเราเรียนรูที่จะปรับเปลี่ยน และการปรับเปลี่ยนทําใหผานอุปสรรคไป
ได และที่คือปรัชญาของการอยูรอด
ตอนที่ 5
ปรัชญาจากศพ
ความกดดันในชีวิตสอนใหผมโตเร็วกวาเด็กทั่วไป พออายุไดสี่
ขวบ ผมก็เริ่มรูจักหาเลี้ยงครอบครัวไดดวยตัวเองแลว
เพราะเราตองซัดเซพเนจรไปทั่ว เราจึงรูไดไมยากวาบานไหนมีคน
- 14. 14
ตายบานไหนกําลังจัดงานศพ ขอใหเรารู เราจะแลนไปถึงทันที เพื่อจะไป
ถามดูวาทางบานนั้นขาดลูกมือบางไหม ตองการคนแบก “เหลียน
จู” หรือ “เหลียนจง” บางหรือเปลา ที่เรียกวา “เหลียนจู” และ “เหลียน
จง” คืออุปกรณที่บานเจาภาพงานศพใชเปนเครื่องนําขบวนในพิธีเคลื่อนยาย
ศพ เดินอยูหัวแถวถือธงแดงและธงขาว “เหลียนจู” คือการเอากานไมไผ
ผูกธงแดง สวน “เหลียนจง” คือการเอากานไมไผผูกธงขาว ใหสองคนถือ
ขางละอัน ตามปกติคนที่ยืนหัวแถวถือเหลียนจู เหลียนจงนั้นจะเปนลูกชาย
ของผูตาย แตถาผูตายไมมีลูกชายก็จะตองเชิญผูอื่นมาชวยถือให
หลายคนอาจกลัวที่จะชวยทําหนาที่นี้ แตสําหรับเด็กที่โตมาในสุสาน
อยางผมแลว การแบกเหลียนจูถือเหลียนจงไมไดเปนเรื่องเลวรายอะไร
นัก กอนอื่นเจาภาพงานศพก็ตองหออั่งเปาใหเรา คาแรงก็ประมาณ 2 – 3
เหมา รับเงินแลว เจาภาพยังจัดหาชุดกระสอบไวทุกขใหกับเราอีก ในพิธี
ศพจะมีนักบวชนําสวด แลวญาติ ๆ ในบานเจาภาพจะสวดตามทีละ
วรรค สวดมนตเสร็จแลวยังมีการแสดงกายกรรมอีกดวย
การแสดงนี้ บางครั้งมีคนขี่มาเหล็กลอเดี่ยว บางครั้งก็เปนการโยนรับ
ลูกบอลหลาย ๆ ลูกพรอม ๆ กัน นักแสดงบางคนใชจมูกเปาเครื่อง
ดนตรี บางคนเหยียบกระดานไมที่วางบนลูกกลม ๆ ลื่นไปลื่นมา การแสดง
เหลานี้นี้พอดูบอยเขาก็ชักไมมีอะไรแปลกใหม แตที่สําคัญที่สุดก็คือในบาง
ตอนของการแสดง นักแสดงจะโยนขนมและลูกอมตาง ๆ ใหเด็ก ๆ ที่มาดูการ
แสดงอยูรอบ ๆ และที่ผมทนยืนขาแข็งเปนชั่วโมงก็เพื่อนาทีนี้ละ เปนนาทีที่
ผมรูสึกตื่นเตนดีใจที่สุด ผมกับพี่สาวตางก็หยิบไดขนมบิสกิตคนละ
ชิ้น พี่สาวกัดคําเล็ก ๆ คําหนึ่ง เธอหันมาสงยิ้มหวานใหผม ถามวา
“อาจิ้น ของเธออรอยไหม” ชิ้นที่พี่สาวหยิบไดนั้นเปนขนมบิสกิตที่มี
น้ําตาลกรวดสีชมพูโรยหนา สวนของผมเปนบิสกิตไสเนย
“อืมม...อรอย อรอยมาก ๆ” ผมพูดพลางยัดขนมที่เหลืออีกครึ่งเขา
ปาก พอเห็นพี่สาวกําลังกัดขนมทีละคําเล็ก ๆ ราวกับกลัวขนมจะหมดไป ผม
- 15. 15
ก็ไดแตกลืนน้ําลายดังเอื๊อก
“งั้นพี่แบงใหเธอครึ่งนึงก็แลวกัน” พี่คงมองออกวาผมอยากกิน
อีก เธอบิบิสกิตใหผม แตบิสกิตนั้นกรอบรวน มันจึงแตกงาย พอเริ่มบิ
เทานั้น เศษขนมปงก็รวงลงมา ผมรีบเอามือเขาไปรองเศษขนมปงไวดวย
ความเสียดาย จะกินทิ้งกินขวางไมไดหรอก แลวเราสองพี่นองก็มองหนากัน
พรอมกับหัวเราะออกมา
รสหวาน ๆ ของขนมและลูกอมพวกนั้น ผมยังจําไดไมรูลืมมาตราบ
จนกระทั่งวันนี้
พองานศพสิ้นสุดลง โดยทั่วไปเจาภาพก็มักจะจัดโตะกินเลี้ยง เพื่อ
เชิญญาติ ๆ และแขกที่มารวมงานรับประทานอาหารกัน ผมก็รอจนกวาพวก
เขาจะกินเสร็จ จากนั้นก็ขอ “ของเหลือ” ที่เทรวมกันมากิน แมจะเปนเพียง
เศษอาหารที่มีทั้งรสเผ็ดเปรี้ยวหวานเค็มมัน ทุกรสชาติผสมรวมกันก็ตาม แต
นี่คืออาหารมื้อที่ดีที่สุดในประวัติการเรรอนขอทานของเราเลยทีเดียว ใน
บางครั้งถาเศษอาหารมีมากพอ เราก็อาจจะมีเหลือไวกินถึงพรุงนี้ได ไมวา
มันจะเย็นจะเปรี้ยวแคไหน เราก็กินกันไดไมตะขิดตะขวง หากตองการมีชีวิต
ตอไปก็ตองมีกระเพาะอาหารที่ทนทานเชนนี้แหละ
สิ่งที่เราตองระวังที่สุดคือ บางครั้งที่เจาภาพเทเศษอาหารรวมกัน ก็
อาจเอากางปลาเทลงไปดวย และหากบังเอิญนองเล็ก ๆ กําลังหิวโหย
อยู พอเห็นอาหารก็กระโจนเขามาตั้งหนาตั้งตากิน ไมดูใหดีเสียกอน ผล
ของการไมระวังก็คือกางปลาติดคอ เจ็บจนพวกเขารองไหกันจาละหวั่น เรา
ตองชวยกันทั้งตบหลังทั้งลวงคอ กวาจะเอากางปลาออกมาไดไมใชเรื่องงาย
เลย
ขอดีของการรวมงานศพยังไมจบเทานี้ ทั้งชุดเสื้อขาวกางเกงขาวที่
เราสวมอยูนั้น พอถอดออก เจาภาพก็ใหเอากลับบานได เอาเถอะ ถึงจะ
เปนชุดไวทุกข แตก็ดีกวาไมมีอะไรใสเลยไมใชหรือ และโดยทั่วไปเมื่อฝง
- 16. 16
ศพผูตายแลว เจาภาพก็จะเอาเสื้อผาเครื่องใชของผูตายไปเผาหรือทิ้ง ผม
เห็นแลวก็แสนจะเสียดาย จึงรี่ไปขอเสื้อผาเหลานั้น โดยไมเลือกสีหรือ
ขนาด (แนนอนวา เมื่อเทียบกับเด็กอยางเราแลว เสื้อผาเหลานั้นใหญกวา
มาก) เอาแคใหความอบอุนไดก็พอแลว ถาเสื้อตัวใหญเกินไป เราก็พับแขน
ขึ้นหลาย ๆ ทบ แตถาขากางเกงยาวเกินไป ก็ไดแตปลอยมันลากพื้นไป
อยางนั้น บางมีมันก็พันแขงพันขาจนสะดุดลมไปก็มี
สิบปมานี้ ทุกคนในบานเราไดใสแตเสื้อผาเหลานี้ ไมเคยแบงวาตัว
ไหนเปนของใคร ใครหยิบไดตัวไหนก็ใสตัวนั้น แลวก็ยังมีเรื่องที่แสนจะนา
อายอยูอีกเรื่องคือ เสื้อผาของผูตายที่เขาทิ้งเปนชุดชั้นนอกเทานั้น ไมมีชุด
ชั้นใน ดังนั้น ตลอดระยะเวลาที่เราเรรอน ผมจึงไมเคยใสกางเกงในเลย!
ในชวงที่ผมไดรับจางถือเหลียนจงเหลียนจูนั้น ทําใหผมมีโอกาสได
เขารวมในพิธีกรรมตั้งแตตนจนจบ ทั้งพิธีปดฝาโลง พิธีเซนไหว ตลอดจน
พิธีการฝงศพดวย ผมไดเห็นภาพการลาจากกันทีละฉาก ๆ โดยเฉพาะตอน
ตอกฝาโลง หรือตอนขุดดินเพื่อฝงศพนั้น นับเปนฉากที่เศราอาดูร
ที่สุด เพราะเหมือนเปนการตอกย้ําวาจะไมไดเจอผูตายอีกตลอดไป ญาติพี่
นองของผูตายก็จะยิ่งร่ําไหคร่ําครวญหนักยิ่งขึ้น บางคนถึงกับกระโดดลงไป
กอดโลงไว ไมใหเอาดินกลบโลงก็มี หรือที่รองไหจนเปนลมลมพับไปก็
หลายคน พอเห็นความรักความอาลัยอยางสุดซึ้งนี้แลว แมคนนอกอยางผม
ก็ยังอดรองไหตามไปดวยไมได
เมื่อมาคิด ๆ ดู แมพอกับแมผมจะเปนคนพิการทั้งคู แตอยางไรทานก็
ยังอยูเคียงขางผม เทียบกับพวกเขาที่ตองเสียญาติมิตรไป ผมยังโชคดีกวา
มาก ผมบอกกับตัวเองวา การตอบแทนพระคุณพอแมนั้นควรจะทําให
ทันเวลา และควรจะทะนุถนอมสิ่งที่มีในตอนนี้ใหดีที่สุด แตไหนแตไรมา
ตราบจนกระทั่งวันนี้ ผมไมเคยโกรธหรือคิดที่จะกลาวโทษพอแมเลย อาจ
เปนเพราะผมไดขอคิดนี้ตั้งแตอายุสี่ขวบก็เปนได
- 17. 17
ตอนที่ 6
แมหายไปไหน
เชาวันหนึ่งเมื่อผมและพี่สาวจูงมือกันเดินกลับจากออกไป
ขอทาน ตอนนั้นเกือบ ๆ สิบโมง ทันทีที่พอไดยินเสียงเรากลับมาก็รีบหยิบ
ไมเทาเดินออกมาหา สีหนาพอดูซีดเผือด บอกกับเราวา “เร็วเขา! แมกับ
อาไฉหายไปไหนก็ไมรู”
พอผมหันกลับมาดูก็พบวาใตตนไมนั้นเหลือเพียงแตเชือกและโซเปลา
ๆ ไมมีแมเงาของแมกับนองชาย ผมกับพี่สาวรีบวิ่งออกมาขางนอก แลว
แยกยายกันออกไปตามหาแมกับนองชายคนโต เราตางก็เดินไปตะโกน
ไป “แม-อาไฉ! อยูไหนกันนะ แม!!!”
ทุกซอกทุกมุมของหมูบานก็คนหากันจนทั่วแลว แตยังไมพบแมแต
เงาของทั้งคู ทั้งหวั่นใจวาพวกเขาจะหายตัวไป ทั้งกลัววาจะเกิดอุบัติเหตุ
ขึ้น พี่สาวรอนใจจนรองไหออกมา กระนั้นขาทั้งคูก็ยังไมยอมผอนแรงวิ่งตาม
หา เสียงเรียกหาปนเสียงสะอื้นสะทอนทั่วทั้งหมูบานที่แสนยากจนแหงนี้ ฟง
แลวใหความรูสึกวังเวงยิ่งนัก ฟาก็ยังไมวายใหฝนตกมาเวลานี้อีก เนื้อตัว
เสื้อผาเปยกชุมทั้งน้ําฝนและเหงื่อ ใบหนาสกปรกของเราโดนฝนชะลาง ก็
เลยดูมอมแมมเหมือนกับลูกแมวลายจรจัดยังไงยังงั้น
เมื่อตามหาจนทั่วหมูบานแลวยังไมพบ เราจึงเริ่มออกตามหาดานนอก
หมูบาน ตะโกนกูรองจนเสียงแทบไปหมด แตก็ยังไมเห็นวี่แววของแมกับ
นองชายคนโตเลยแมแตนอย ทั้งคูตางก็สติไมสมประกอบ หากเดินออกไป
ไกลจริง ๆ กลัววาจะกลับมาไมได โธ! สวรรค แลวผมควรจะทําอยางไรดีละ
นี่ ขณะที่ผมกําลังหวั่นใจอยูนี่เอง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเงาคน
เคลื่อนไหวอยูในพงหญา ผมรีบกระโจนเขาไปหาทันที ฮา! ใชแมจริง ๆ
ดวย! ขอบคุณสวรรค แม! ใชแมผมจริง ๆ ดวย! ผมตะโกนลั่นออกมาดวย
ความยินดี ตอนนี้ผมถึงไดเห็นวาแมตกลงไปในบอน้ําขางคันนา
- 18. 18
ดีนะที่โซยังไมหลุดออกจากขอมือแม ผมก็ออกจะไรเดียงสาไปหนอย
ที่เขาใจวา แคควาโซเหล็กไดก็จะชวยเอาตัวแมขึ้นมาได แตในความเปน
จริง แมกลับไมไดใหความรวมมือกับผมเลยสักนิด มีแตจะใชแรงดึงดันกับผม
เทานั้น ตางก็ยื้อยันกันไปมา ตูม! ตัวผมหลนลงไปในน้ํา แถมหลนลงไปก็
ไมเบานักทําเอาผมเปยกโชกไปทั้งตัวเลยทีเดียว แตผมก็ยังไมยอมแพ ยัง
ออกแรงดึงแมขึ้นจากบอน้ํา ตอนนี้แมเริ่มโมโหขึ้นมาบางแลว จึงตอตานผม
สุดแรง แลวก็ผลักผมลงไปในน้ํา ผมตะเกียกตะกายขึ้นมาใหมอีก สองคน
ตางก็ลมลงไปในบอนั่นเอง ดีที่บอน้ําไมลึกนัก เราจึงไมเปนอะไรมาก แค
กินน้ําโสโครกไปหลายสิบอึก กับน้ําเขาตาจนแสบจะลืมไมขึ้นเทานันเอง
แมตองเขาใจผิดคิดวาผมเปนคนรายแนนอน จึงไมยอมกลับบานกับ
ผม ผมจึงตะโกนบอกแมวา “แม! แมครับ! นี่อาจิ้นเองนะแม แมมองผมสิ
ครับ นี่อาจิ้นนะ!” แตเสียงตะโกนกองของลูกชายก็ไมสามารถเรียกสติของ
แมใหกลับมาได แมเพียงมองผมดวยสายตาวางเปลาอยูสองสามวินาทีกอนที่
จะตะโกนขัดขืนตอ
ผมยืนอยูกลางบอน้ํา ปลอยโฮออกมาอยางอดไมได แลวโผเขากอด
แมไวแนน แมจะตอยจะทุบอยางไร ผมก็ไมหลบไมถอย ปากก็ตะโกน
รองไห “แม...แม...นี่ผมเปนลูกแท ๆ ของแมนะ! แม ผมเปนลูกที่แมคลอด
ออกมานะ แมผมอาจิ้นนะแม” มีบางครั้งที่ผมรูสึกแคนใจเหลือเกิน ในโลก
นี้จะมีแมสักกี่คนกันนะที่จําลูกตัวเองไมได แลวทําไมคนคนนั้นถึงตองเปนแม
ผมดวย
สักครู พี่สาวก็ตามมาพบเขา เราสองคนชวยกันทั้งปลอบทั้งขูแมอยู
นานกวาจะพาแมขึ้นมาจากบอน้ําได และกวาจะลากแมกลับมาถึงสุสาน
“บาน” เราได ก็แทบจะหมดเรี่ยวหมดแรงกันเลยทีเดียว
พอกลับถึง “บาน” ผมกับพี่สาวก็หมดแรงลมตัวลงกับพื้น หอบฮัก ๆ
จนหายใจหายคอแทบไมทัน สวนพอโมโหมาก ควาไมเทาไดมือนึง มืออีก
ขางก็ดึงโซที่ขอมือแมไว แลวใชไมเทากระหน่ําตีไมยั้งมือ แมที่นาสงสาร
- 19. 19
ของผมเนื้อตัวเปยกชุม ทรุดนั่งกองลงไปกับพื้น ไดแตรองโอดโอย ผมกับ
พี่สาวตะโกนหามสุดเสียง “อยาตีนะ อยาตี” พอตีอยางนี้เดี๋ยวแมก็ตาย
หรอก!” แตพอกําลังโมโหจัด ไหนเลยจะยอมฟงเสียง เราไมรูจะหาม
อยางไร เลยตองคลานเขาไปกอดแมไว คอยเอาตัวเองบังรับไมเทาของพอ
แทน จนพอรูสึกตัววาที่ตีอยูนะคือเราสองพี่นอง ทานก็ทั้งโกรธทั้งโมโหจน
ปาไมเทาทิ้ง แลวพอก็ทนไมไหวรองไหออกมา
ในที่สุดเราก็กอดคอรองไหกันทั้งบาน
จนพอหายโมโห เราจึงนึกขึ้นไดวานองชายคนโตก็ยังไมกลับ
บาน โธ! ถึงจะตามหาแมเจอแลว แตอาไฉละ นองไมไดอยูดวยกันกับแม
นี่ แลวนองไปไหนเสียละ
พอนึกได ผมกับพี่สาวก็รีบออกตามหาอาไฉทันที ดวงอาทิตยลับ
ขอบฟาไปแลว ผมไดแตภาวนาในใจใหสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชวยคุมครองใหอาไฉ
ปลอดภัย ถาคืนนี้หานองไมพบ หากไมเกิดอุบัติเหตุ นองก็อาจจะเดินไกล
ออกไปเรื่อยและอาจจะไมมีวันหวนกลับมาอีกเลยก็ได เมื่อคิดดังนี้ ผมกับ
พี่สาวก็รีบเรงฝเทาขึ้นไปอีก ขณะที่วิ่ง ในใจของเด็กหกขวบอยางผมก็อด
เตือนตัวเองไมใหรองไหไมได ผมกลัววาเสียงรองไหของผมจะไปปลุกคน
ตายที่อยูในหลุมใหตื่นขึ้น แลวพวกเขาก็อาจจะพากันลุกขึ้นมาจากหลุมทีละ
ศพ ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว รีบตัดใจวิ่งไปขางหนา ไมกลาหันกลับมามองขางหลัง
อีกเลย
เราสองพี่นองเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ เราชวยกันตามหานองจนทั่ว
หมูบานอีกครั้ง แตหมูบานในยามค่ําคืนนั้นไมมีแมกระทั่งเงาของคน มีแต
เสียงหมาเสียงแมวเหาหอนโตตอบกันไมหยุดหยอน และอาไฉก็ดูเหมือนจะ
ถูกกลืนหายไปกับความมืดดวย เราตางก็ออนลากันมาทั้งวันแลว แมแตคํา
วาเหนื่อยก็ยังพูดไมออก บังเอิญมองไปเห็นขางหนามีศาลเจาเล็ก ๆ ศาล
หนึ่ง จึงพากันเดินเขาไป พี่สาวบอกวาเขาไปไหวเจาเสียหนอย เผื่อทาน
จะชวยดลใหเราหานองชายไดพบ
- 20. 20
เราจึงเดินเขาไปในศาลเจาดวยกัน ขณะที่คุกเขาลงกําลังจะคํานับ ก็
มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากใตโตะเซนไหว เปนเสียงเหมือนคนพึมพํา
อยู ผมจึงลอกเลิกผาคลุมโตะเปดดู อา! ขอบคุณสวรรค ขอบคุณสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ ที่แทอาไฉก็มาหลบอยูใตโตะเซนไหวนี่เอง เขามองหนาเราอยาง
ใสซื่อ นองผมสติไมสมประกอบ เขาคงไมมีวันรูหรอกวาวันนี้ผมกับพี่สาว
ตองเสียน้ําตาดวยความกังวลหวงใยในตัวเขาไปมากมายเพียงไร
ในที่สุดครอบครัวของเราก็กลับมาอยูพรอมหนาพรอมตากัน ทุกคน
ลวนหิวโซมาแลวทั้งวัน ยังดีที่เมื่อเชาเรายังพอขอขาวมาไดบาง ใหพวกเขา
กินกันไปเถอะ สวนผมกับพี่สาวไปที่ริมบอน้ํา นั่งยอง ๆ เอามือวักน้ําใส
ปาก กินทีละอึกใหญ ๆ เติมกระเพาะที่หิวโหยใหเต็มไปพลาง ๆ กอน และ
แมวามันจะเปนน้ําขม ๆ ผมก็ยอมกินอยางเต็มใจ
ผมอธิษฐานตอฟาดินวา ขอเพียงใหครอบครัวเราปลอดภัยกันทุก
คน ตอใหอาจิ้นกับพี่สาวตองกินน้ําในทอประทังชีวิต หรือแมจะตองขื่นขมสัก
เพียงไรก็ใหเรารับภาระนี้เองเถิด
ตอนที่ 7
ตาบอดออกลาย
ครอบครัวเราพากันเดินขึ้นไปทางเหนือ จนมาถึงหมูบานจัวหลาน ใน
เขตเหมียวลี่
กอนหนานี้เคยไดยินวาที่หมูบานจัวหลานมีชาวจีนแคะอาศัยอยู
มาก มักจะจัดงานวัดกันอยูบอย ๆ คําวา “งานวัด” สําหรับพวกเรา “ชาว
พรรคกระยาจก” แลว ถือวาเปนสิ่งที่ดีราวกับหลนมาจากสวรรคเลย
ทีเดียว เพราะที่ไหนมีงานบุญที่นั่นก็ตองมี “ของเหลือ” แน ๆ เพียงนึกถึง
รสชาติอันแสนอรอยของ “ของเหลือ” ก็ทําใหพวกเรามีแรงเรงฝเทาใหไปถึงที่
หมายเร็วขึ้นอีกมากโข
- 21. 21
แตนองเล็ก ๆ บางคนก็ทนกับการเดินทางเปนระยะไกลเชนนี้ไม
ไหว แมวาจะกลัวแสนกลัวไมเทาของพอจนไมกลาหยุดเดิน แตบางครั้งมัน
ก็เหนื่อยจริง ๆ เดินอยูดี ๆ เกิดหลับไปก็มี และบังเอิญวาทางที่เราเดินมักจะ
เปนทางลัดคดเคี้ยวตามหมูบานเล็ก ๆ ถาไมระวังก็อาจสะดุดกอนหินหกลมลง
ได ตุบ! นองชายคนเล็กหกลมหนาทิ่มลงไปกับพื้น แลวก็มีเสียงรองโฮลั่น
ของแกดังตามมา
เราไมมีเวลาแมแตจะปลอบใหนองหยุดรองไห เพราะพอแสดงทาที
ใหเห็นวาอยางไรเราก็ตองเดินตอไป จะมีก็แตพี่สาวเทานั้นที่พยุงแกเดิน
ตอ พลางปลอบแกเบา ๆ สวนผมนั้น ขางหนึ่งตองคอยจูงพอ อีกขางหนึ่งก็
ตองคอยพะวงวาจะมีใครเผลอหลับลมลงไปอีกไหม เลยตองเดินพลางกวาด
ตาไปหนาทีหลังที พอเห็นนองชายคนโตเดินไปสัปหงกไป ก็ตองรีบตะโกน
เรียกเขา “อาไฉ! ตื่น ตื่น!” สักครูนองสาวคนเล็กหัวเริ่มเอียงเหมือนจะลม
ลงไปอีก ผมรีบใชมือขางที่วางเปลาตบหนานองใหรูสึกตัวตื่นกันที
การเดินทางเปนไปอยางรีบเรงเชนนี้ เพื่อไปหาความอบอุนและความ
อิ่มทอง แมการพักผอนสักเล็กนอยก็ยังดูเหมือนความสบายที่มากเกินไป
ทันใดนั้น ผมไดยินเสียงพี่สาวตะโกนขึ้นวา “วา! อาไฉขี้แตก
แลว” พอชะงักฝเทาทันที ผมหันกลับไปมอง แลวก็เห็น “กอน
ทองคํา” กําลังหลนลงมาจากกางเกงเกาขาดปุปะของนองชายคนโตจริง
ๆ กลิ่นเหม็นสุดทนก็ตลบอบอวบตามออกมาทันที ทุกคนยกมือขึ้นอุดจมูก
ไว มีแตนองชายคนโตสติทึบเทานั้นที่ยังยืนยิ้มแฉงไมรูเรื่องอะไร สวนแม
นั้นก็ยิ่งไปกันใหญเลย เอาแตหัวรองอหายใชมือขางหนึ่งจับกางเกงตัวเอง
แนน แมหัวเราะเสียทองคัดทองแข็งเลยทีเดียว แลวสายตาอันแหลมคม
ของพี่สาวก็เหลือบไปเห็นเขา เธอรองออกมาวา “อาว! แมนะแม! ทําไมถึง
ฉี่ราดใสกางเกงอยางนั้นละ”
พี่สาวยังอุทานไดไมทันจบประโยคดี ไมเทาของพอก็ลอยมาถึงเสีย
- 22. 22
แลว หวดแรกเขาที่นองชายคนโต แลวหักโคงกําลังจะลอยมาทางแม
บาง ผมลืมสิ้นไปหมดทุกอยาง รีบกระโดดเขาไปขวางหนาพอไว กางแขน
ออกกันไมเทาของพอ ปากก็รองบอกวา “พอ! อยาตีเลย อยาตีอีกเลยนะ
พอ แมกับอาไฉไมรูเรื่องอะไรหรอก แลวผมจะชวยทําความสะอาดใหพวก
เขาเองนะพอ อยาตีพวกเขาอีกเลย ตีอยางนี้เดี๋ยวพวกเขาก็ตายหรอก”
ขณะที่ผมพูดนั้น ไมเทาก็ยังคงกระหน่ําลงมาที่ตัวผมอยูไมยั้ง เจ็บ
เสียจนกลั้นน้ําตาไวไมอยู เสียงตะโกนขอรองก็อูอี้แทบไมเปนเสียงคน แต
พอกําลังโกรธเหมือนจะคลั่ง รัวตีไมหยุดและไมยอมฟงเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น
พี่สาวกับนอง ๆ ตางก็ตกใจกระโดดเขามากอดกันกลมดิก ทุกคนลืม
นึกถึงเรื่องความสกปรกทุกอยางไปเสียสิ้น
สวนผมรองไหจนไมรูจะรองยังไง ไดแตนั่งลงคุกเขากับพื้น กมหนา
รับไมของพอแตโดยดี พอตีจนตัวเองเหนื่อยจึงยอมโยนไมเทาทิ้งไป แลว
ทรุดตัวนั่งลงหอบกับพื้น แตผมก็ยังไมกลาขยับตัวเลยสักนิด
รอสักครู เมื่อเห็นวาพอเริ่มหายโมโหแลว ผมจึงคอย ๆ ขยับไปหา
พี่สาว พาแมกับนองชายไปลางตัวทําความสะอาดที่แมน้ําใกล ๆ บริเวณ
นั้น ขาทั้งคูของผมถูกตีจนบวมและชาไปหมด เวลาเดินเหมือนเหยียบบน
พื้นผิวที่เอียงลาด รูสึกตัวลอย ๆ ไมเหมือนเหยียบพื้นจริง ๆ สวนมือทั้งสอง
ขาง แมขยับแคนิดเดียวก็เจ็บราวไปถึงกระดูก แตผมไมมีมือเหลืออีก และก็
ไมมีเวลาที่จะนวดดวย ผมตองเรงมือหนอย ตองรีบเช็ดลางทําความสะอาด
นองชายคนโตใหเสร็จเรียบรอยกอนที่พอจะเริ่มโมโหขึ้นมาอีก ผมตองเรงอีก
หนอย ผมทําเหมือนสะกดจิตวา “ไมเจ็บนะ ไมเจ็บ ไมเจ็บเลยสักนิด
เดียว อาจิ้นเจ็บไมเปนจริง ๆ นะ” ผมเชื่อวาถาบอกกับตัวเองอยางนี้แลวจะ
ไดไมเจ็บ แตน้ําตาเจากรรมไมยอมฟงเสียงยังคงไหลพรั่งพรูออกมาไมหยุด
ตองลําบากลําบนกันเสียขนาดนี้กวาจะมาถึงเมืองจัวหลานได กอนอื่น
เราตองหาที่ที่เราจะยึดเอาเปนบานใหไดกอน แลวผมกับพี่สาวจึงจะถือขันบิ่น
- 23. 23
ๆ ออกไปขอทานอยางหมดกังวลได พวกเราจนถึงขนาดขันที่ใชขอทานก็มี
เพียงใบเดียวเทานั้น เราตองเดินไปกลับอยูหลายรอบทีเดียวกวาจะหาอาหาร
มาไดมากพอสําหรับทุกคน แตพอนึกถึงเศษอาหารเหลือ ๆ เนื้อปลาติด
กาง กับเสียงทองรองของทุกคนในครอบครัวแลว ก็ทําใหเรามีพลังจูงมือกัน
วิ่งไป ๆ กลับ ๆ ขอทานในงานวัดรอบแลวรอบเลา
ขณะที่เรากําลังจะวนเวียนเขาไปขออาหารรอบที่สาม บังเอิญไดพบ
กับชายจรจัดคนหนึ่งที่กําลังเขามาขอทานในบานที่เรากําลังจะขอ
เหมือนกัน เมื่อเรากําลังจะเคาะประตูบาน ชายจรจัดคนนั้นก็หันมาจองหนา
เรา ผมกําลังจะหดมือแตเกิดนึกขึ้นมาไดวา ที่จริงเราก็คือเพื่อนรวมอาชีพนี่
นา เขาไมควรจะเอาเปรียบผมอยางนี้ ผมไมสนใจวาหนาตาเขาจะดูดุรายสัก
เพียงใด ผมสบตาเขา และรวบรวมความกลายกมือขึ้นเคาะประตูอีก
ครั้ง คราวนี้เขาปดมือผมออกพูดขึ้นวา “ออกไป แกสองคนนี่ไมรูจักดูเลย
นะ ไมเห็นหรือไงวาฉันยืนอยูตรงนี้แลว” พี่และผมมองเขาอยางไมเขาใจอยู
นานประมาณ 5 วินาที เขาถมน้ําลายแลวเงื้อมือขึ้นทําทาจะตีเรา ปากก็ขูไป
ดวยวา “มองหาสวรรควิมานอะไร เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวพอก็ควักลูกตาออกมาซะ
หรอก” เขาทําทาดุมากเหมือนกับจะกินเราเขาไปในทองอยางนั้นแหละ เรา
สองพี่นองเห็นแลวก็ตกใจกลัวกันลนลาน พี่สาวรีบลากมือผมหนีออกมา
“ทําไมตองดุขนาดนี้ดวย ก็เราไปถึงกอนชัด ๆ” ผมพูดอยางไมยอม
แพ
“อาจิ้น ชางมันเถอะ อยาหาเรื่องเลยนา” พี่สาวพูดดวยน้ําเสียงสั่น
เครือเล็กนอย
“ระวังใหดีเหอะ! คอยดูนะ เดี๋ยวผมจะไปชกหนามัน” ผมยังดื้อดึง
“อาจิ้น!”
พี่สาวทําเสียงดุใหผมเงียบ แตใจผมกลับคิดวาเราก็เปนขอทานเหมือน
- 24. 24
ๆ กัน แลวทําไมตองมารังแกกันอยางนี้ดวยเลา ผมโกรธมาก เดินไปก็เตะ
หินตามขางถนนแรง ๆ เพื่อระบายอารมณไปตลอดทาง
พวกเราลองเปลี่ยนเสนทางใหม เดินไปแถวโรงงิ้วเผื่อวาจะโชคดี
ขึ้นมาบาง
ตั้งแตเกิดมาผมยังไมเคยเห็นงานวัดที่ไหนคึกคักเทาที่นี่มากอน
เลย บนเวทีงิ้วมีนางเอกกําลังรองหมรองไหพร่ํารําพันถึงพระเอกใจดํา ชุดที่
ใสก็สวยสดงดงาม ชายแขนเสื้อสะบัดไปมานาดูนัก แตนี่ยังไมสําคัญ
เทาไร ที่เด็ดไปกวานั้นคือ แผงตาง ๆ ที่ขายของอยูหนางานนั้น มีขายทั้ง
ผลไมเชื่อมเสียบไม ขนมสําลี ตุกตาปนน้ําตาล มีของนากินตาง ๆ แทบทุก
ชนิด แลวก็ยังมีแผงยิงปน ยิงลูกโปง ปาเปาเอารางวัลอีกดวย นอกจากนี้
ยังมีแผงขายผลไม ที่แผงนี้เขาจัดเรียงแตงโมที่ผาเปนซีก ๆ ไวขายดวย เนื้อ
แตงโมนั้นสีแดงฉ่ําดูนากินชะมัด
ผมกลืนน้ําลายดังเอื๊อก
ชาวบานตางหอบลูกจูงหลานมาเที่ยวงาน และแนนอนวาผูปกครองก็
จะตองซื้อของกินของเลนใหกับเด็ก ๆ ดวย แตผมกับพี่สาวไมมีเงิน จึงไดแต
ยืนตาปริบ ๆ มองดูเด็ก ๆ คนอื่นทั้งเลนทั้งกินกันอยางเพลิดเพลิน
มีเด็กหญิงผมเปยคนหนึ่งถือขนมสําลีคําเบอเริ่มเขาไปในปากเรียบรอย
แลว ผมเผลอแลบลิ้นออกมาเลียตามเธอบางโดยไมรูสึกตัว เหมือนกับ
ตัวเองก็กําลังกินขนมสําลีอยูเชนเดียวกัน
ยังมีเด็กชายอีกคนหนึ่งใชมือทั้งสองประคองแตงโมที่รูปรางเหมือน
พระจันทรเสี้ยวอยู แลวก็เริ่มดูดจั๊บ ๆ จากดายซายไปดานขวา หยุดนิดหนึ่ง
แลวก็เริ่มใหมจากดานขวาไปดานซาย น้ําหวานจากแตงโมที่แสนชุมฉ่ําเลอะ
ปากของเขาแลวคอย ๆ ไหลเปนทางยาวยอยตามแขนลงสูพื้นเปนหยด ๆ ผม
สูดปากตัวเองเต็มที่ รูสึกเสียดายน้ําแตงโมที่ไหลหยดติ๋ง ๆ ลงพื้นนั้น