More Related Content
Similar to หนังสือรวมคำพิพากษาคดีทางการแพทย์ (พศ 2539-2560) เล่ม 1 (14)
หนังสือรวมคำพิพากษาคดีทางการแพทย์ (พศ 2539-2560) เล่ม 1
- 2. จัดท�ำโดย : กองกฎหมาย ส�ำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
จ�ำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม
พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์ส�ำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เลขที่ ๓๑๔-๓๑๖ ปากซอยบ้านบาตร ถนนบ�ำรุงเมือง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๑๐
โทร. ๐ ๒๒๒๓ ๓๓๕๑, ๐ ๒๒๒๓ ๕๕๔๘
โทรสาร ๐ ๒๖๒๑ ๒๙๑๐
- 4. 2
ารรักษาพยาบาลเป็นการกระท�ำอย่างหนึ่ง ที่ท�ำต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์ จึงเป็นเรื่องส�ำคัญ
เพราะผลกระทบจากการรักษาพยาบาลอาจท�ำให้ผู้ป่วยพิการหรือเสียชีวิตได้รัฐจึงต้องออกกฎหมาย
ให้มีการควบคุมการประกอบวิชาชีพของผู้ท�ำการรักษาพยาบาลคือแพทย์พยาบาลทันตแพทย์เภสัชกร
และวิชาชีพทางการแพทย์อื่นๆ การรักษาพยาบาลนอกจากจะมีกฎหมายเฉพาะควบคุมแล้ว ยังมีกฎหมายทั่วไป
ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา เป็นต้น ดังนั้นการรักษาพยาบาล
ที่ไม่ถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพจึงอาจต้องรับผิดตามกฎหมายหลายฉบับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว
การรักษาพยาบาลไม่อาจคาดหมายหรือประกันการรักษาได้อย่างแน่นอน เพราะมีปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
หลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายหรือจิตใจของผู้ป่วย ความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องมือ ยา
ความพร้อมของบุคลากร เป็นต้น จึงท�ำให้การรักษาบางครั้งไม่อาจคาดหมายได้ และสามารถเกิดเหตุ
อันไม่พึงประสงค์ได้เสมอแม้ว่าจะได้ระมัดระวังและปฏิบัติตามวิธีการ ขั้นตอนที่ถูกต้องตามมาตรฐานแล้ว
ปัจจุบันประชาชนตระหนักในสิทธิของตนในเรื่องต่างๆ รวมทั้งเรื่องสุขภาพ อนามัย หากเกิดเหตุจาก
การรักษาพยาบาลผู้ป่วยหรือญาติส่วนหนึ่งจะเข้าใจการท�ำงานของบุคลากรทางการแพทย์แต่ก็มีบางส่วนไม่เข้าใจ
ความเสียหายที่เกิดขึ้นมักรุนแรงเพราะเกิดกับร่างกายและจิตใจ อาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต จากการศึกษา
ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า เหตุบางอย่างสามารถป้องกันได้ แต่ความเสียหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อ
ของบุคลากรทางการแพทย์ แม้จะมิได้เกิดจากเจตนาท�ำร้ายและความรุนแรงของผลการกระท�ำ ท�ำให้
ผู้ป่วยหรือญาติไม่อาจยอมรับได้จึงเกิดการร้องเรียนและท้ายที่สุดก็จะเกิดฟ้องคดีต่อศาล การถูกด�ำเนินคดี
ในศาลท�ำให้แพทย์เกิดความวิตกกังวล เสียขวัญและก�ำลังใจ โดยเฉพาะแพทย์ที่ตั้งใจปฏิบัติงาน
ด้วยเจตนารมณ์ช่วยชีวิตผู้ป่วยให้ได้ ผลกระทบนี้ส่งผลถึงระบบสาธารณสุขโดยรวมแม้ว่าจะยังไม่มีแพทย์
ก
บทน�ำ
- 5. รวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์
3
หรือบุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขต้องโทษอาญาถึงขั้นจ�ำคุก แต่ในทางคดีแพ่ง
กลับปรากฏว่าศาลพิจารณาพฤติกรรมการรักษาพยาบาลของแพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์
แล้วเห็นว่าเป็นการกระท�ำโดยประมาทเลินเล่อ พิพากษาให้แพทย์และต้นสังกัดแพ้คดี ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
ให้แก่ผู้ป่วยหรือญาติจ�ำนวนมาก บางคดีแพทย์ พยาบาล ก็ถูกไล่เบี้ย ท�ำให้เกิดความวิตก ระส�่ำระสาย
ในวงการแพทย์และสาธารณสุข ปัญหาส�ำคัญประการหนึ่งคือแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ขาดความรู้
ในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลจะรู้แต่กฎหมายเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพของตนเอง
เท่านั้น ท�ำให้เมื่อด�ำเนินการรักษาอาจขาดความตระหนักถึงผลทางกฎหมาย เช่นการเขียนเวชระเบียน
การให้ข้อมูลและความยินยอม สิทธิของผู้ป่วย เป็นต้น นอกจากนี้เมื่อถูกฟ้องร้องจากศาล กระบวนการ
พิจารณาคดีของศาลมีผลต่อการแพ้ชนะคดี ในทางคดีแม้ว่าดูแล้วแพทย์น่าจะท�ำถูกต้องตามมาตรฐานแล้ว
แต่ในการน�ำสืบไม่สามารถแสดงพยานหลักฐานให้ศาลเห็นได้ ศาลไม่มีความรู้เรื่องทางด้านการแพทย์
ต้องพิจารณาตามพยานหลักฐานที่คู่ความน�ำเสนอ พนักงานอัยการ นิติกร และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน
แสดงพยานหลักฐานให้ชัดเจนเรื่องต่างๆ เหล่านี้ แพทย์ พยาบาลส่วนใหญ่ไม่รู้กระบวนการ ไม่เข้าใจ
และอาจไม่ตระหนักถึงความส�ำคัญของการต่อสู้คดีที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นเหตุให้แพ้คดี กองกฎหมาย
ได้รวบรวมสถิติ คดีต่างๆ ที่ผู้ป่วยหรือญาติฟ้องส�ำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงสาธารณสุข
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๙ – ๒๕๖๐ รวม ๒๙๑ คดี สามารถไกล่เกลี่ยได้ ๑๖๕ คดี ศาลจ�ำหน่ายคดี ๙ คดี
คดีถึงที่สุด ๖๖ คดี (ชนะ ๔๕ แพ้ ๒๑) จ่ายเงินตามค�ำพิพากษาแล้วประมาณ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีการ
ไล่เบี้ย ๕ คดี (แพทย์ ๔ คน พยาบาล ๗ คน พนักงานเปล ๑ คน) แม้ว่าการชนะคดีจะมีมากกว่า แต่ในอนาคต
ไม่แน่ว่าอาจแพ้คดีมากกว่าเพราะขณะนี้ทนายความเริ่มมาสนใจคดีทางการแพทย์มากขึ้น ผู้ป่วยหรือญาติ
มีความรู้มากขึ้น การสื่อสารเทคโนโลยีก้าวหน้าโดยเฉพาะโลกโซเชี่ยล ดังนั้นการรู้เท่าทันจึงเป็นเรื่องส�ำคัญ
หนังสือรวมค�ำพิพากษาฉบับนี้ได้รวบรวมและวิเคราะห์มุมมองของคดี แนวทางการพิจารณาวินิจฉัยของศาล
และความคับข้องใจ ความไม่เข้าใจของผู้ป่วยหรือญาติที่ส�ำคัญจ�ำนวน ๑๐ เรื่อง ซึ่งผู้อ่านจะได้รับความรู้
ความเข้าใจเรื่องข้อกฎหมาย วิธีด�ำเนินการในศาล กระบวนการต่างๆ ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอันจะ
เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้จัดท�ำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวจะมีส่วนท�ำให้การฟ้องคดีต่างๆ ลดลง
ทุกคนทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความเข้าใจกันตลอดไป
- 7. รวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์
5
ค�ำน�ำ
จจุบันปัญหาการร้องเรียน ฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลมีมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบ
บริการสาธารณสุขโดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐที่ต้องรับภาระดูแลประชาชนที่เจ็บป่วยจ�ำนวน
มากทั้งที่มีความขาดแคลนด้านบุคลากรทางการแพทย์ งบประมาณ เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ
จึงมีเหตุไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง
ผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ แต่บางครั้งการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง เหมาะสม ก็ท�ำให้ความขัดแย้งบานปลาย
ไปสู่ศาลเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีปกครอง ในการพิจารณาคดีของศาลจะต้องมีการน�ำสืบพยานต่างๆ
รวมทั้งพยานผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง รวมทั้งเอกสารเวชระเบียน และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
มีส่วนส�ำคัญยิ่งในการพิสูจน์ ดังนั้นเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
ได้รับทราบข้อข้องใจของผู้ป่วย แนวทางการพิจารณาของศาล มุมมองและข้อวินิจฉัยของศาลที่มีต่อการให้
การรักษาพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดท�ำหนังสือรวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์ปีพ.ศ.๒๕๓๙–๒๕๖๐
เล่ม ๑ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้ศึกษา วิเคราะห์
อันจะเป็นการป้องกันการเกิดความขัดแย้งทางการแพทย์และหากจ�ำเป็นต้องต่อสู้คดีแล้วก็จะสามารถด�ำเนินการ
ในชั้นศาลได้อย่างครบถ้วน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรทางการแพทย์
ในการปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างถูกต้องต่อไป
กลุ่มระงับข้อพิพาททางการแพทย์
กองกฎหมาย ส�ำนักงานปลัดกระทรวงสาธรณสุข
ปั
- 9. รวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์
7
หมอไม่มาดู
มื่อ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๑ นางสาว ว. เป็นโจทก์ฟ้องกระทรวงสาธารณสุข ที่ ๑ กรม พ. ที่ ๒ นายแพทย์ พ. ที่ ๓
(ผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาลชุมชน) ข้อหาละเมิด, เรียกค่าเสียหาย ค�ำฟ้องสรุปว่า โจทก์ซึ่งก�ำลังตั้งครรภ์
เกิดเจ็บป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพ.แพทย์ได้ตรวจและให้โจทก์รับประทานยาเพื่อเปิดปากมดลูก
หลังจากนั้นโจทก์เกิดอาการข้างเคียง ระคายเคืองตามผิวหนังทั่วร่างกายและภายในดวงตา นัยน์ตาพร่ามัว
ขาดสมรรถภาพในการมองเห็นโจทก์ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลประจ�ำจังหวัดแพทย์บอกว่าแพ้ยากระจกตาข้างซ้าย
ไม่สามารถรักษาให้มองเห็นได้ชัดเจนตามปกติ เนื่องจากกระจกตาทะลุอันเกิดจากการแพ้ยา ต่อมาศาลชั้นต้น
มีค�ำพิพากษาสรุปว่า จ�ำเลยที่๓เป็นแพทย์มีหน้าที่บ�ำบัดรักษาผู้เจ็บป่วยและขณะนั้นอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
แพทย์เวร ทราบจากพยาบาลแล้วว่าโจทก์ตั้งครรภ์ จ�ำเลยที่ ๓ ย่อมต้องเข้าใจดีว่า มีอาการผิดปกติอันควรต้อง
ได้รับการตรวจและบ�ำบัดอย่างทันท่วงทีจ�ำเลยที่๓ควรจะต้องมาพบโจทก์เพื่อดูอาการและซักถามอาการของโจทก์
ด้วยตนเองและควรตรวจบันทึกผู้ป่วยก่อนสั่งยาให้แก่โจทก์เพื่อหาสาเหตุอาการผิดปกติและเพื่อทราบ
รายละเอียดการตรวจรักษาโจทก์ที่ผ่านมาเพื่อจัดยาให้แก่โจทก์อย่างถูกต้อง แต่จ�ำเลยที่ ๓ มิได้กระท�ำเช่นนั้น
กลับสั่งการทางโทรศัพท์แจ้งพยาบาลให้ยาแก่โจทก์ทันทีและเมื่อโจทก์ผิดปกติขึ้นมาอีก จ�ำเลยที่ ๓ ยังสั่งการ
ให้พยาบาลให้ยาชนิดเดิมแก่โจทก์อีกอันเป็นการบ�ำบัดรักษาโจทก์โดยอาศัยแต่เพียงข้อมูลที่จ�ำเลยที่๓ได้รับแจ้ง
จากพยาบาลประการเดียว เมื่อโจทก์มีอาการชักและเกร็ง ตามร่างกาย จ�ำเลยที่ ๓ ไม่มาดูอาการโจทก์เพื่อแก้ไข
ทันทีกลับปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยไปประมาณ ๓ ถึง ๔ ชั่วโมง ก่อนพ้นหน้าที่แพทย์เวรในวันนั้น จ�ำเลยที่ ๓
จึงไปดูอาการโจทก์ปรากฎว่าอาการผิดปกติของโจทก์ก�ำเริบแล้วแม้โจทก์จะให้ความยินยอมในการรักษาพยาบาล
แต่ในการรักษาพยาบาล จ�ำเลยที่ ๓ เป็นผู้มีวิชาชีพจักต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งจะอ้างเหตุที่มี
ค�ำยินยอมของโจทก์เพื่อมิให้ตนพ้นความรับผิดไม่ได้ พฤติการณ์ของจ�ำเลยที่ ๓ ดังกล่าวเป็นการปล่อยปละ
ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน เป็นการกระท�ำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง พิพากษาให้จ�ำเลยที่ ๑
ช�ำระเงินจ�ำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้อง จนกว่าจะช�ำระเสร็จ
แก่โจทก์ โจทก์และจ�ำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ สรุปได้ว่า การตรวจและวินิจฉัยโรค
จ�ำเป็นที่จะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ซึ่งประกอบวิชาชีพเวชกรรมเกี่ยวกับการตรวจโรค การวินิจฉัยโรค
การบ�ำบัดโรคซึ่งมีความรู้ความช�ำนาญเฉพาะโดยตรงและจะต้องเป็นการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยจากการสังเกตอาการ
โดยตัวแพทย์เอง จากกรณีที่เกิดขึ้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาพยาบาล ขณะที่จ�ำเลยที่ ๓
ปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวร ซึ่งไม่ปรากฎว่ามีเหตุสุดวิสัยที่โจทก์ไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากการสังเกตอาการ
โดยตัวของแพทย์เองโดยตรง การสั่งการของจ�ำเลยที่ ๓ ในการรักษาตามอาการที่ได้รับการรายงานทางโทรศัพท์
จากพยาบาล จึงเป็นการกระท�ำที่เกิดจากการประมาทเลินเล่อของจ�ำเลยที่ ๓ พิพากษายืน จ�ำเลยฎีกา
ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาสรุปว่า การตรวจและวินิจฉัยโรคของแพทย์ว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร พยาธิสภาพอยู่ที่ไหน
และอยู่ในระยะใดเพื่อน�ำไปสู่การรักษาได้ถูกต้อง ในขั้นตอนนี้แพทย์จักต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและ
พฤติการณ์มิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เพราะอาจน�ำมาซึ่งอันตรายที่จะเกิดแก่ร่างกายหรือชีวิตของผู้ป่วย
ในขั้นตอนการรักษาที่ต่อเนื่องกัน เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จ�ำเลยที่ ๓ มิได้ดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกรับ
การรักษาที่โรงพยาบาล พ. ด้วยตนเอง แต่วินิจฉัยโรคและสั่งการรักษาอาการของโจทก์ตามที่ได้รับรายงาน
ทางโทรศัพท์จากพยาบาลแทนโดยไม่ได้ตรวจสอบประวัติการรักษาของโจทก์ด้วยตนเอง แม้จ�ำเลยที่ ๓
เ
- 10. 8
จะสอบถามอาการและประวัติการรักษาของโจทก์จากพยาบาลก่อนที่พยาบาลจะฉีดยาให้แก่โจทก์
เพื่อท�ำการรักษาก็ตาม ก็หาใช่วิสัยของบุคคลผู้มีวิชาชีพเป็นแพทย์พึงกระท�ำไม่ ทั้งห้องแพทย์เวรกับห้องฉุกเฉิน
ของโจทก์อยู่ห่างกันเพียง ๒๐ เมตร ตามพฤติการณ์ไม่ปรากฎว่ามีเหตุสุดวิสัยอันท�ำให้จ�ำเลยที่ ๓ ไม่สามารถ
มาตรวจวินิจฉัยอาการของโจทก์ด้วยตนเองได้แต่อย่างใด ถือได้ว่าจ�ำเลยที่ ๓ ประมาทเลินเล่อ เมื่อพยาบาลได้
ฉีดยาบริคานิลให้แก่โจทก์ตามที่จ�ำเลยที่ ๓ สั่งการ หลังจากนั้นโจทก์มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรงโดยไม่ปรากฏว่า
โจทก์มีอาการเช่นว่านั้นมาก่อน อาการแพ้ยาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระท�ำของจ�ำเลยที่ ๓
ท�ำโจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์
ส�ำหรับความยินยอมที่โจทก์ให้จ�ำเลยที่ ๓ ท�ำการรักษาดังกล่าวแม้จะเป็นการแสดงออกให้จ�ำเลยที่ ๓
กระท�ำต่อร่างกายโจทก์เพื่อการรักษาได้ก็ตาม หากการรักษานั้นไม่ได้เป็นมาตรฐานแห่งวิชาชีพแพทย์ก่อให้
เกิดความเสียหายซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจ�ำเลยที่ ๓ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์
จ�ำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองให้เป็นพับ
เรื่องนี้ประเด็นส�ำคัญที่ศาลน�ำมาเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยความผิดคือการไม่มาดูผู้ป่วยและการสั่งการรักษา
ทางโทรศัพท์ซึ่งเป็นสาระส�ำคัญจึงฝากแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่พิจารณาค�ำพิพากษาคดีนี้เป็นอุทาหรณ์และ
ถือเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
- 29. รวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์
27
“ท�ำไมถึงท�ำกับฉันได้”
นการรักษาพยาบาลมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ได้เสมอแม้ว่าจะได้ใช้ความระมัดระวัง
อย่างเต็มที่แล้ว บางครั้งความตั้งใจในการท�ำงานก็อาจช่วยลดความเสี่ยงลงได้บ้าง ในทางคดีบางครั้ง
ความเห็นของศาลอาจไม่ตรงกับความเห็นของสภาวิชาชีพ โดยศาลจะใช้ดุลยพินิจพิจารณาจาก
พยานหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะประวัติผู้ป่วยหรือเวชระเบียน ถือเป็นหลักฐานส�ำคัญมากในคดีที่จะแสดงถึง
กระบวนการขั้นตอนและวิธีการรักษาพยาบาล มีคดีที่น่าสนใจเพราะศาลเห็นไม่ตรงกับสภาวิชาชีพ คือ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีโรคประจ�ำตัวเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์และรักษากับนายแพทย์ธ. โรงพยาบาล ป.
ต่อมาเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๔ นายแพทย์ ธ. เจาะเอาเนื้อเยื่อในคอไปตรวจ แล้วแจ้งว่า
ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ และผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่ไม่พึงประสงค์ออกเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๔
หลังผ่าตัด ๑ เดือน เสียงของโจทก์แหบแห้งไม่มีเสียงเหมือนคนปกติทั่วไป นายแพทย์ ธ. แจ้งว่าจะมีเสียง
เป็นปกติภายใน ๒ เดือน หลังจากผ่าตัด ๒ เดือนเสียงโจทก์ยังแหบแห้งเหมือนเดิมและยังมีอาการแทรกซ้อน
เวลาพูดนานประมาณ ๑ นาที จะมีอาการชาตามตัว เวียนศีรษะ เสียงจะขาดหายไปเป็นช่วง ๆ ไม่สามารถ
ควบคุมสระและพยัญชนะ นายแพทย์ อ. แพทย์เฉพาะทางของโรงพยาบาล ป. แจ้งว่าเส้นประสาทเสียง
ถูกตัดขาด เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๕ นายแพทย์ อ. ส่งโจทก์ไปรักษากับนายแพทย์ ว. ที่โรงพยาบาล ร.
ได้มีการผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง หลังผ่าตัดครั้งที่ ๒ เสียงของโจทก์ไม่ดีขึ้นและนายแพทย์ ว. แจ้งว่า สายเสียง
ถูกตัดขาดไม่สามารถกลับมาใช้เสียงตามปกติได้ แต่เสียงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยใช้เวลา ๓ – ๔ ปี แต่เวลาผ่านไป
๓ – ๔ ปี เสียงของโจทก์แหบแห้งลงกว่าเดิม จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๔๙ โจทก์แน่ใจว่านายแพทย์ ธ.
ผ่าตัดด้วยความประมาทเลินเล่อท�ำให้เส้นสายเสียงถูกตัดขาดจนท�ำให้เสียงแหบแห้งไม่สามารถใช้เสียงตามปกติได้
ต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการเปล่งเสียงออกพูดเหนื่อยง่ายผู้ฟังไม่ได้ยินเท่าที่ควรไม่เข้าใจในสิ่งที่โจทก์พูด
ท�ำให้โจทก์สูญเสียอวัยวะส�ำคัญ การกระท�ำของนายแพทย์ ธ. ซึ่งเป็นแพทย์ทดลองงานยังไม่มีความเชี่ยวชาญ
เท่าที่ควร แต่โรงพยาบาลก็อนุญาตให้ผ่าตัดท�ำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ชดใช้เงินจ�ำนวน
๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จ�ำเลยต่อสู้ว่า แพทย์ได้บอกถึงภาวะแทรกซ้อน
ที่อาจเกิดขึ้นว่าอาจมีอาการเสียงแหบ แต่มีโอกาสน้อย และผ่าตัดด้วยความระมัดระวังตามขั้นตอนและวิธีการ
ของการแพทย์และมาตรฐานวิชาชีพแพทย์โดยไม่ได้ตัดเส้นประสาทเสียงของโจทก์ แต่ที่เสียงของโจทก์แหบแห้ง
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ จากการผ่าตัด เพราะเส้นประสาทเสียงอยู่ติดกับต่อมไทรอยด์และเกิดการ
กระทบกระเทือนในการผ่าตัดได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยในประเด็นส�ำคัญ ๓ ประเด็น คือ
๑. ฟ้องของโจทก์แจ้งชัดหรือไม่ เห็นว่านายแพทย์ ธ. ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ด้วยความประมาทเลินเล่อ
แล้วท�ำให้สายเสียงขาดไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ จึงเป็นฟ้องที่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและค�ำขอบังคับ
ทั้งข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
๒. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้นายแพทย์ ว. ผู้ผ่าตัดครั้งที่ ๒ จะบอกว่าสายเสียงถูกตัดขาด
ไม่สามารถกลับใช้ได้เป็นปกติเช่นเดิม แต่ยังบอกอีกว่า การใช้เสียงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยใช้เวลา ๓ – ๔ ปี จากค�ำ
ชี้แนะดังกล่าวย่อมท�ำให้โจทก์เข้าใจได้ว่าการใช้เสียงของโจทก์อาจเป็นปกติได้แต่ใช้เวลานานจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์
รู้ว่าอาการเสียงแหบแห้งของโจทก์ไม่สามารถกลับมาดีดังเดิมได้และยังถือไม่ได้ว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดตั้งแต่วันที่
นายแพทย์ ว. บอก ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ใ
- 30. 28
๓. เสียงโจทก์แหบแห้งเพราะความประมาทเลินเล่อของแพทย์ผู้ผ่าตัดหรือไม่ เห็นว่า นายแพทย์ ช.
ผู้เชี่ยวชาญด้าน โสต ศอ นาสิก เบิกความว่าเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อกล่องเสียงซึ่งควบคุมสายเสียง
ให้เคลื่อนไหวและมีเสียงดังอยู่ใต้ต่อมไทรอยด์ทั้งสองข้างและเกือบชิดกับต่อมไทรอยด์ จะมีเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง
ต่อมไทรอยด์คั่นอยู่และมีเนื้อเยื่ออย่างอื่นคลุมเส้นประสาทเสียงอยู่บ้างเท่านั้น ซึ่งสภาพการตั้งอยู่ของ
เส้นประสาทเสียงดังกล่าวแพทย์ผู้ผ่าตัดซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ด้านศัลยกรรมโดยเฉพาะจะต้องทราบ
เป็นอย่างดี และต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้อุปกรณ์ที่ใช้ผ่าตัดไปตัดเส้นประสาทเสียง
จนขาด และแพทย์ผู้ผ่าตัดสามารถใช้ความระมัดระวังได้ไม่ยากนัก โดยก่อนผ่าตัดต่อมไทรอยด์ต้องค้นหา
เส้นประสาทเสียงให้พบแล้วแยกเส้นประสาทเสียงออกเสียก่อนเลาะเนื้อเยื่อผูกและตัดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง
ต่อมไทรอยด์ การที่เส้นประสาทเสียงด้านขวาของโจทก์ถูกตัดขาด ทั้ง ๆ ที่ต่อมไทรอยด์ไม่ได้บวมโตมากนักและ
ไม่ยุ่งยากต่อการผ่าตัดมากเช่นนี้ เชื่อว่าแพทย์ผู้ผ่าตัดไม่ได้ด�ำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวให้ครบถ้วนด้วยความ
ระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้อุปกรณ์ที่ใช้ผ่าตัดไปตัดเส้นเสียง ทั้ง ๆ ที่สามารถใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้
จึงเป็นการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานของการประกอบวิชาชีพแพทย์ ถือว่าแพทย์ผู้ผ่าตัดกระท�ำการด้วยความ
ประมาทเลินเล่อท�ำให้เส้นประสาทเสียงด้านขวาของโจทก์ถูกตัดขาดและเป็นเหตุให้เสียงแหบแห้ง
แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงอาการที่เกิดขึ้นจากการใช้เสียงและความดังของเสียง ขณะโจทก์เบิกความเป็น
พยานแล้ว แม้เสียงของโจทก์จะแหบแห้งไปบ้างแต่ไม่มากนัก และไม่ปรากฏอาการอย่างอื่นชัดแจ้งจากการ
ใช้เสียง จึงก�ำหนดค่าเสียหายให้เป็นเงินจ�ำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท จ�ำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาคพิจารณาในประเด็นว่า นายแพทย์ ธ. ประมาทเลอเล่อหรือไม่ โดยศาลเห็นว่า การที่จะ
วินิจฉัยว่าการกระท�ำของนายแพทย์ ธ. ละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จ�ำต้องวินิจฉัยก่อนว่าการผ่าตัดรักษาอาการ
เจ็บป่วยของโจทก์ นายแพทย์ ธ. ได้กระท�ำการรักษาโดยถูกต้องตามขั้นตอน วิธีการของแพทย์ผู้ประกอบ
วิชาชีพเวชกรรมทั่วไปหรือไม่ เห็นว่านายแพทย์ ธ. และโจทก์เบิกความตรงกันว่า หลังผ่าตัดโจทก์ทราบจาก
นายแพทย์ ธ. เพียงว่า อาการเสียงแหบเกิดจากเส้นประสาทเสียงบอบช�้ำ โดยอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ปรากฏ
ข้อเท็จจริงว่า หลังจากนั้นนายแพทย์ อ. ซึ่งรักษาต่อมาวินิจฉัยว่า อาการเสียงแหบเกิดจากเส้นประสาทเสียง
ของโจทก์ถูกตัดขาดแล้วส่งตัวโจทก์ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล ร. ซึ่งแพทย์ผ่าตัดใส่ซิลิโคนไว้ที่เส้นเสียง
- 31. รวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์
29
ที่เป็นอัมพาตจากการที่เส้นเสียงถูกตัดขาด โดยไม่ปรากฏว่าก่อนที่โจทก์จะได้รับการผ่าตัดในครั้งหลัง โจทก์
เคยผ่าตัดต่อมไทรอยด์ครั้งอื่นอีกแต่อย่างใด จึงไม่มีข้อต้องสงสัยเลยว่าการที่เส้นประสาทเสียงของโจทก์
ถูกตัดขาดนั้น เป็นเพราะการผ่าตัดโดยนายแพทย์ ธ. ประกอบกับในเวชระเบียน ระบุเพียงว่าลงมีดตามร่องแนว
ผิวหนังของคอตอนล่าง ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ซีกขวาเย็บปิดผิวหนัง และปริมาณการเสียเลือด ซึ่งนายแพทย์ ช.
ผู้เชี่ยวชาญ เห็นว่าไม่ได้บันทึกรายละเอียดของการผ่าตัดและไม่ได้ระบุถึงเส้นประสาทเสียงหรือสายเสียง
ตรงกับค�ำชี้แจงของนายแพทย์ ธ. ที่ยอมรับว่าการบันทึกการผ่าตัดของตนไม่ละเอียดเพราะเชื่อว่าการผ่าตัด
ไม่มีปัญหาใด ๆ ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ว่า เส้นประสาทเสียงของโจทก์ถูกตัดขาดระหว่างการผ่าตัด
แต่กลับอ�ำพรางไม่บันทึกข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ปรากฏ จึงฟังได้ว่านายแพทย์ ธ. ผ่าตัดโดยไม่ได้ใช้
ความระมัดระวังตามขั้นตอนและวิธีอันเป็นมาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์ แม้ว่าค�ำเบิกความของนายแพทย์ ช.
ผู้เชี่ยวชาญและนายแพทย์ ธ. ประกอบกับความเห็นของราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิก แพทย์แห่งประเทศไทยและ
ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยจะระบุว่าอาการเสียงแหบอันเกิดจากการบาดเจ็บของเส้นประสาทเสียง
หลังการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้แม้จะท�ำการผ่าตัดอย่างระมัดระวังแล้วก็ตาม
แต่ย่อมไม่อาจรวมถึงกรณีอาการเสียงแหบจากการที่เส้นประสาทเสียงถูกตัดขาด ซึ่งตามขั้นตอนวิธีการทางการ
แพทย์ดังที่จ�ำเลยน�ำสืบมาฟังได้ว่ามีข้อปฏิบัติในการผ่าตัดโดยความระมัดระวังเพื่อป้องกันมิให้เส้นประสาทเสียง
ถูกตัดขาดจึงแตกต่างจากกรณีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดที่อาจเกิดขึ้นได้แม้กระท�ำโดยความระมัดระวังแล้ว
ดังกล่าวที่จ�ำเลยจะอ้างเป็นเหตุสุดวิสัย จ�ำเลยน�ำสืบตามภาระการพิสูจน์ไม่ได้ จึงต้องรับผิดในผลละเมิด
ของนายแพทย์ ธ. พิพากษายืน จ�ำเลยฎีกา ศาลฎีกาไม่รับฎีกาเนื่องจากเรื่องนี้ไม่เป็นสาระที่จะรับไว้พิจารณา
กรณีนี้โจทก์ร้องเรียนแพทยสภาในเรื่องจริยธรรมด้วย ปรากฏว่า ในชั้นคณะอนุกรรมการจริยธรรม
มีความเห็นว่าคดีมีมูล โดยเห็นว่ากรณีดังกล่าวมีหลักฐานชัดเจนว่าในเวชระเบียนบันทึกการรักษาผู้ร้องว่า
นายแพทย์ ธ. ซึ่งได้รับวุฒิบัตรสาขาศัลยศาสตร์ ไม่ได้ท�ำการผ่าตัดด้วยความระมัดระวังท�ำให้เส้นประสาทเสียง
ของผู้ร้องถูกตัดขาดและภายหลังการผ่าตัดยังไม่ได้เอาใจใส่ผู้ร้องในการให้การดูแลรักษาแต่อย่างใด แต่ในชั้น
คณะอนุกรรมการสอบสวนมีความเห็นของราชวิทยาลัยโสตศอนาสิกแพทย์แห่งประเทศไทยว่าการเกิดอัมพาต
ของสายเสียงหลังการผ่าตัดไทรอยด์ซึ่งท�ำให้มีอาการเสียงแหบนั้นเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
คณะอนุกรรมการสอบสวนจึงเห็นด้วยกับราชวิทยาลัย ฯ และมีการบอกกล่าวชี้แจงให้ผู้ร้องทราบแล้วด้วย
การดูแลรักษาผู้ป่วยของนายแพทย์ ธ. เป็นไปตามมาตรฐานที่ดีที่สุดตามข้อบังคับ ฯ แล้ว แพทยสภามีมติให้
ยกข้อกล่าวหา นอกจากนี้ คณะกรรมการสอบความรับผิดทางละเมิดมีความเห็นว่า กรณีนี้เป็นเหตุสุดวิสัย
โดยมีความเห็นสอดคล้องกับราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิก แพทย์แห่งประเทศไทย
คดีนี้มีข้อสังเกต ดังนี้
๑. ศาลเชื่อตามเหตุผลของคณะอนุกรรมการจริยธรรม และไม่เห็นด้วยกับมติของแพทยสภา
๒. ประเด็นส�ำคัญอย่างหนึ่งคือ การเขียนเวชระเบียนที่นายแพทย์ ธ. เองยอมรับว่าเขียนไม่ละเอียด ท�ำให้
เกิดช่องว่างอันเป็นสาเหตุที่ท�ำให้การอธิบายด้วยค�ำพูดไม่น่าเชื่อถือ การเขียนเวชระเบียนจึงเป็นเรื่องส�ำคัญมาก
๓.ประเด็นที่ศาลยกมาเป็นหลักในการพิจารณาเสมอคือการต้องท�ำตามขั้นตอนและวิธีการตามมาตรฐาน
วิชาชีพ จะอ้างเหตุสุดวิสัยก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ ศาลเห็นว่าเส้นเสียงถูกตัดขาดไม่ใช่เกิดจากภาวะแทรกซ้อน
โดยเฉพาะศาลอุทธรณ์ภาคเห็นว่านายแพทย์ ธ. ทราบว่าผ่าตัดถูกเส้นเสียงขาดแล้วปกปิดอ�ำพรางความจริงไว้
๔. ศาลมีอ�ำนาจตามกฎหมายในการพิจารณาคดี ไม่จ�ำเป็นต้องเชื่อผู้เชี่ยวชาญอย่างองค์กรวิชาชีพก็ได้
- 50. 48
“ความหวังครั้งสุดท้าย”
ารตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่สามีภรรยาทุกคู่ต่างคาดหวัง บางรายไม่สามารถตั้งครรภ์โดยธรรมชาติได้
ก็ต้องพึ่งพาเทคนิควิทยาการสมัยใหม่ท�ำเด็กหลอดแก้วหรือท�ำกิฟท์เพื่อให้ได้บุตรมาสืบสกุล
พ่อแม่ต่างดูแลถนอมครรภ์มาอย่างดี มาพบแพทย์ตามนัดเสมอแต่ตอนมาคลอดกลับพบ
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น คลอดยาก คลอดแล้วทารกพิการ คลอดแล้วแม่เสียชีวิตหรือลูกเสียชีวิตหรือ
เสียชีวิตทั้งคู่ เป็นต้น เหตุการณ์ดังกล่าวผู้เกี่ยวข้อง คือ คุณพ่อ คุณตาคุณยาย คุณปู่ คุณย่าหรือญาติพี่น้อง
เกิดอาการรับไม่ได้จนต้องมีการแจ้งความร้องทุกข์หรือฟ้องร้องคดีกัน ขณะนี้ยังเถียงกันอยู่ว่าสตรีมีครรภ์ถือว่า
เป็นผู้ป่วยหรือไม่เพราะมีบางท่านบอกว่า ไม่เป็นเพราะไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเพียงแต่มาเพื่อคลอดเด็กเท่านั้น
แต่บางท่านบอกว่าถือว่าเป็นผู้ป่วยเพราะไม่เป็นปกติธรรมดาทั่วไปมีเด็กอยู่ในท้องต้องมารับการรักษาท�ำคลอด
แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไปเรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นปัญหามาจนถึงปัจจุบันอาจเป็นเพราะ
ส่วนราชการหรือโรงพยาบาลสื่อสารไม่ชัดเจนในหลายประเด็นเช่นพยาบาลสามารถท�ำคลอดในรายที่คลอดปกติได้
ไม่จ�ำต้องให้แพทย์เป็นผู้ท�ำคลอดเว้นแต่จะเป็นกรณีพิเศษ เป็นต้น เริ่มเลยดีกว่า เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๙
นาง ก. ได้ยื่นฟ้องนายแพทย์ ส. ที่ ๑ นาง ด. ที่ ๒ นาง ร. ที่ ๓ เป็นจ�ำเลยในข้อหาละเมิด, เรียกค่าเสียหาย เป็นเงิน
จ�ำนวน ๒๑๕,๐๐๐บาทพร้อมดอกเบี้ยโดยฟ้องว่าเมื่อวันที่๒๔ตุลาคม๒๕๓๘โจทก์เจ็บครรภ์จึงไปที่โรงพยาบาลท
ซึ่งจ�ำเลยที่ ๑ เป็นผู้อ�ำนวยการและเป็นแพทย์เวร เพื่อให้จ�ำเลยที่ ๑ ท�ำคลอดแต่ไม่พบจ�ำเลยที่ ๑
จ�ำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพยาบาลเทคนิค และจ�ำเลยที่ ๓ เป็นผู้ช่วยได้ช่วยกันกดหน้าท้องของโจทก์อย่างแรง
หลายครั้งเพื่อให้ทารกในครรภ์คลอด ต่อมาจ�ำเลยที่ ๑ ใช้เครื่องท�ำคลอดสุญญากาศเพื่อดูดทารกทาง
ช่องคลอด แต่เครื่องท�ำคลอดสุญญากาศใช้การไม่ได้ โจทก์ถูกส่งไปโรงพยาบาลแม่และเด็ก น. แพทย์ตรวจ
พบว่ามดลูกของโจทก์แตกและทารกในครรภ์ไม่มีชีวิตเพราะถูกกด จึงผ่าตัดมดลูกและเอาทารกในครรภ์ออก
แล้วรักษาพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตโจทก์ ทั้งนี้เนื่องจาก จ�ำเลยที่ ๑ ไม่ท�ำคลอดตามความสามารถและละเลย
ต่อหน้าที่ ปล่อยให้จ�ำเลยที่ ๒ และจ�ำเลยที่ ๓ ท�ำคลอดโจทก์ ทั้งที่ไม่มีสิทธิกระท�ำศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จ�ำเลยที่ ๑ และจ�ำเลยที่ ๒ ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยผู้มีความรู้ความสามารถ ในการประกอบวิชาชีพแพทย์
และพยาบาลแล้ว อีกทั้งยังฟังไม่ได้ว่า จ�ำเลยที่ ๑ ได้ปล่อยปละละเลยการตั้งครรภ์ของโจทก์ ก่อนจ�ำเลยที่ ๑
จะเข้ามาในห้องคลอด ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวจ�ำเลยที่ ๒ ได้เอาใจใส่ดูแลโจทก์อย่างใกล้ชิดตามมาตรฐาน
วิชาชีพแพทย์และพยาบาลและมีสิทธิท�ำครรภ์ของโจทก์ได้ในกรณีคลอดอย่างปกติ เมื่อโจทก์ไม่สามารถ
คลอดได้ภายใน ๑ ชั่วโมง นับแต่เวลามดลูกเปิด ๑๐ เซนติเมตร จ�ำเลยที่ ๒ ได้รายงานให้จ�ำเลยที่ ๑ ทราบ
การที่จ�ำเลยที่๑เห็นว่าการที่โจทก์มีปัญหาการเบ่งที่ไม่เห็นศีรษะทารกจากปากช่องคลอดจึงใช้เครื่องดูดสุญญากาศ
ช่วยการคลอดกรณีนี้ถือว่าจ�ำเลยที่๑ตัดสินใจด้วยความระมัดระวังทางวิชาชีพของตนและเมื่อเห็นว่าไม่สามารถ
รักษาโจทก์ได้ จึงส่งมายังโรงพยาบาลแม่และเด็ก ซึ่งมีแผนกเฉพาะอันเป็นการปฏิบัติการตามขั้นตอนแล้ว
ตามพฤติการณ์เช่นนี้ไม่อาจถือได้ว่าจ�ำเลยที่๑และจ�ำเลยที่๒ละเลยต่อหน้าที่ของตนอันก่อให้เกิดความเสียหาย
แก่โจทก์ การที่ทารกในครรภ์โจทก์ตายและโจทก์ต้องถูกผ่าตัดมดลูก ถือไม่ได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากการท�ำคลอด
ของจ�ำเลยทั้งสามกรณีฟังไม่ได้ว่าจ�ำเลยทั้งสามกระท�ำละเมิดต่อโจทก์พิพากษายกฟ้องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๔ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
พิพากษายืนค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับโจทก์ยื่นฏีกาและศาลฎีกาพิจารณาเมื่อวันที่๒๔ตุลาคม๒๕๓๙ข้อเท็จจริง
เบื้องต้นว่าโจทก์มีครรภ์ขณะมีอายุ๔๓ปีฝากครรภ์ไว้กับโรงพยาบาลท.ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจ�ำอ�ำเภอจ�ำเลยที่๑
ก
- 51. รวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์
49
เป็นผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาลและเป็นแพทย์ผู้ช�ำนาญพิเศษแผนกกุมารเวชศาสตร์จ�ำเลยที่๒เป็นพยาบาลเทคนิค
จ�ำเลยที่ ๓ เป็นลูกจ้างต�ำแหน่งผู้ช่วยเหลือคนไข้ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๘ โรงพยาบาล ท. รับโจทก์
เป็นคนไข้คลอด จ�ำเลยที่ ๑ เป็นแพทย์เวร จ�ำเลยที่ ๒ เป็นพยาบาลดูแลระหว่างโจทก์นอนรอเตรียมคลอด
เมื่อโจทก์มีอาการเจ็บครรภ์ จึงย้ายโจทก์เข้าห้องคลอด จ�ำเลยที่ ๒ สั่งให้จ�ำเลยที่ ๓ มาช่วยเหลือ จนกระทั่ง
ปากมดลูกโจทก์เปิดหมดแล้ว แต่โจทก์ยังคลอดไม่ได้ จ�ำเลยที่ ๑ ได้เข้ามาดูแลและมีการใช้เครื่องดูดสุญญากาศ
เพื่อช่วยการคลอดแต่ไม่ส�ำเร็จ จึงส่งตัวโจทก์ไปยังโรงพยาบาลแม่และเด็ก แพทย์ได้ท�ำการรักษาโดยการผ่าตัด
พบว่า มดลูกแตกในบริเวณส่วนล่างเสียเลือดในช่องท้อง ทารกตายในครรภ์ จึงได้ท�ำการตัดมดลูกและผ่าตัดน�ำ
ทารกออกจากครรภ์เพื่อช่วยชีวิตโจทก์
ประเด็นที่ ๑ จ�ำเลยที่ ๒ และจ�ำเลยที่ ๓ ใช้มือกดท้องโจทก์อย่างแรงจนมดลูกแตกหรือไม่
ประเด็นนี้ จากค�ำเบิกความของพยาน จ�ำเลยที่ ๒ และจ�ำเลยที่ ๓ ไม่ได้ใช้มือกดท้องโจทก์จนกระทั่ง
มดลูกแตก แต่เป็นการใช้มือคลึงเพื่อช่วยกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวในการเร่งคลอด เมื่อคนไข้อยากเบ่งให้
จ�ำเลยที่ ๓ ช่วยคลึง ๒ – ๓ ครั้ง ในขณะที่จ�ำเลยที่ ๒ ใช้มือเปิดทางคลอดให้กว้างเพื่อคลอดสะดวก
ผู้ที่จบหลักสูตรพยาบาลต้องได้รับการฝึกฝนมาแล้ว ส่วนจ�ำเลยที่ ๓ ก่อนเกิดเหตุได้ผ่านการฝึกอบรมการใช้
มือคลึงคนไข้คลอดของโรงพยาบาลแล้ว ประเด็นนี้น่าเชื่อว่าอาจเป็นความเข้าใจของโจทก์เองว่าจ�ำเลยที่ ๒
และที่ ๓ ใช้มือคลึงหน้าท้องโจทก์เป็นการกดท้อง จึงรับฟังไม่ได้ว่า จ�ำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กดท้องโจทก์ และจ�ำเลยที่ ๓
มิได้มีส่วนร่วมในการท�ำคลอดโจทก์โดยตรง เป็นเพียงการปฏิบัติตามค�ำสั่งของจ�ำเลยที่ ๒
- 52. 50
ประเด็นที่ ๒ จ�ำเลยที่ ๑ เป็นแพทย์ จ�ำเลยที่ ๒ เป็นพยาบาลใช้ความมระมัดระวังเพียงพอแก่วิชาชีพ
ของตน จนเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่
ประเด็นนี้ จ�ำเลยที่ ๑ เบิกความว่า การคลอดลูกง่ายหรือยากนั้น มดลูกมีส่วนส�ำคัญ การหดตัวของ
มดลูกจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับกล้ามเนื้อมดลูก หมายความว่า กล้ามเนื้อมดลูกดี การบีบรัดก็จะดีไปด้วย เด็กจะ
คลอดง่าย กรณีของโจทก์ ซึ่งเคยมีบุตรมาแล้ว ๒ คน ที่ไม่สามารถคลอดเองได้ เข้าใจว่าอาจเป็นเพราะ
กล้ามเนื้อมดลูกไม่ดี และการที่หญิงมีครรภ์อายุต�่ำกว่า ๑๕ ปี หรือเกินกว่า ๓๕ ปี ถือเป็นการตั้งครรภ์ที่เสี่ยง
กรณีโจทก์อายุ ๔๓ ปี จะมีอัตราเสี่ยงต่อทารกในครรภ์เนื่องจากมดลูกไม่ค่อยดี ท�ำงานได้น้อยลงหรือมดลูก
ไม่แข็งแรงรกอาจมีปัญหาท�ำงานไม่ดีจะเป็นอันตรายต่อเด็กและการที่โจทก์ครรภ์เกินก�ำหนดประมาณ๓สัปดาห์
จะมีผลต่อตัวเด็กคือรกจะเริ่มเสื่อมสภาพ ท�ำให้เด็กขาดออกซิเจนเป็นเวลายาวนาน และในขณะท�ำคลอด
มีปัญหาด้วยอาจท�ำให้เด็กเสียชีวิตได้ และการให้ยาเร่งคลอดของแพทย์เพื่อช่วยการคลอดของโจทก์ถูกต้อง
ตามหลักวิชาการ ซึ่งเป็นไปตามต�ำราสูติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีนายแพทย์ ว. ผู้เชี่ยวชาญสาขาสูตินรีเวช
เบิกความว่า เมื่อดูตามรายงานของ โรงพยาบาล ท. เห็นว่า แพทย์ผู้ท�ำการรักษาได้ท�ำการวิเคราะห์แล้วและ
มีความเห็นว่า เด็กน่าจะคลอดได้ โดยใช้เครื่องดูดเนื่องจากขณะนั้นเด็กคลอดยาก ซึ่งเครื่องดูดสุญญากาศ
เป็นเครื่องมือรักษาตามวิชาการแพทย์อย่างหนึ่ง ตามสภาพแพทย์ท�ำการรักษาได้พยายามช่วยเหลือแล้ว
ไม่ได้ปล่อยปละละเลย แต่มีอุปสรรคในการใช้เครื่องมือเนื่องจากได้พยายามดูดตัวเด็ก ถึง ๓ ครั้ง และในที่สุด
ไม่สามารถคลอดเด็กออกมาได้จึงได้ส่งตัวผู้ป่วยมาที่ โรงพยาบาลแม่และเด็ก ซึ่งมีแผนกเฉพาะทางอันเป็น
การปฏิบัติตามหลักวิชาการว่า เมื่อไม่สามารถท�ำการรักษาได้แล้วต้องส่งให้โรงพยาบาลที่มีความสามารถหรือ
เฉพาะทางเป็นผู้ดูแล การที่แพทย์ใช้เครื่องดูดนั้นเป็นการช่วยโจทก์ในการคลอดและเป็นการช่วยชีวิตเด็กด้วย
- 53. รวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์
51
หากแพทย์ไม่ท�ำการใช้เครื่องดูดทารกจะถือว่าเป็นการปล่อยปละละเลย ซึ่งตามบันทึกแพทย์ผู้ท�ำการคลอด
ได้ท�ำการตามวิชาการของหลักวิชาการทางการแพทย์ครบถ้วนแล้ว ศาลเห็นว่าจ�ำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ ได้ใช้
ความระมัดระวังตามปกติวิสัยของผู้มีความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพแพทย์และพยาบาลแล้ว
ไม่ได้ละเลยหน้าที่ของตนอันก่อให้เกิดผลเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้น การที่ทารกในครรภ์โจทก์ตายและโจทก์ต้องถูก
ผ่าตัดมดลูกนั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากการท�ำคลอดของจ�ำเลยทั้งสาม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ค�ำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค พิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ มีน�้ำหนักน้อย
กว่าพยานของจ�ำเลย ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า จ�ำเลยที่ ๒ และจ�ำเลยที่ ๓ กดหน้าท้องโจทก์อย่างแรง ท�ำให้มดลูก
โจทก์แตก พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาในประเด็นที่ว่า จ�ำเลยที่ ๑ ไม่ดูแลเครื่องมือท�ำคลอดสุญญากาศให้อยู่ในสภาพดี
พร้อมที่จะท�ำงานได้ทันทีนั้น เห็นว่า เครื่องมือท�ำคลอดสุญญากาศเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ย่อมไม่อาจ
คาดเดาได้ว่าจะช�ำรุดหรือใช้งานได้เมื่อใด ไม่ปรากฏว่าเครื่องมือดังกล่าวช�ำรุดมาก่อนและจ�ำเลยที่ ๑ ละเลย
ไม่จัดให้มีการซ่อมแซม ทั้งเมื่อ จ�ำเลยที่ ๑ ให้ไปน�ำเครื่องมืออีกเครื่องหนึ่งจากห้องผ่าตัดมาใช้ก็ไม่สามารถ
ดึงศีรษะทารกออกมาจากครรภ์โจทก์ได้เช่นกัน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า จ�ำเลยที่ ๑ ละเลยไม่ดูแลเครื่องมือแพทย์
ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานดังโจทก์อ้าง ส�ำหรับจ�ำเลยที่ ๒ นั้นเห็นว่าส�ำเร็จการศึกษาจนได้รับประกาศนียบัตร
การพยาบาลและผดุงครรภ์ และได้รับใบอนุญาตให้ประกอบโรคศิลปะ จึงเป็นผู้มีความรู้และมีความสามารถ
ในการท�ำคลอดตามสมควรและย่อมรู้ว่าการกระท�ำใดจะเป็นอันตรายต่อคนไข้ที่มาคลอด ส�ำหรับจ�ำเลยที่ ๓
ได้ช่วยท�ำคลอดโจทก์ตามค�ำขอ และกระท�ำต่อหน้าจ�ำเลยที่ ๒ เชื่อว่าจ�ำเลยที่ ๒ และ ที่ ๓ มิได้กระท�ำต่อโจทก์
ผิดแผกไปจากแนวทางปฏิบัติที่จ�ำเลยที่ ๒ ท�ำคลอดแก่คนไข้รายอื่น ทั้งยังมีข้อเท็จจริงด้วยว่าระหว่างจ�ำเลยที่ ๒
ท�ำคลอดแก่โจทก์ มีนาง ว. คนไข้อีกคนเข้ามาท�ำคลอดในห้องเดียวกับโจทก์ เบิกความว่าเห็นจ�ำเลยที่ ๒ และ
ที่ ๓ ใช้มือคล�ำบริเวณหน้าท้องโจทก์เพื่อกระตุ้นให้โจทก์คลอดมิได้ใช้มือกด และไม่ได้ยินเสียงโจทก์ร้องห้าม
หรือร้องด้วยความเจ็บปวดแต่อย่างใด นาง ว. เป็นคนกลางไม่รู้จักฝ่ายใดมาก่อน ค�ำเบิกความจึงมีน�้ำหนัก
ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจ�ำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ใช้ก�ำลังกดท้องของโจทก์อย่างรุนแรงเป็นเหตุให้มดลูกของโจทก์แตก
จึงมิได้กระท�ำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายืน
ข้อสังเกต
การสื่อสารระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยเป็นสิ่งจ�ำเป็นและส�ำคัญอย่างยิ่ง การสื่อสารที่ดีนั้น
ท�ำให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่บุคลากรทางการแพทย์ได้กระท�ำต่อผู้ป่วย และจะเป็นการป้องกัน
เรื่องร้องเรียนหรือการฟ้องร้องเป็นคดีกันได้เมื่อเกิดเหตุไม่พึงประสงค์หรือเกิดความเสียหายจากการรักษาพยาบาล
หากบุคลากรทางการแพทย์ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลและผู้ป่วยเข้าใจข้อมูลดังกล่าวแล้วปัญหาต่างๆ
ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นก็สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้โดยง่าย
อย่างเช่นกรณีตามค�ำพิพากษาคดีดังกล่าว พยาบาลสามารถท�ำคลอดในรายที่เป็นปกติได้ไม่จ�ำเป็นต้องให้
แพทย์ท�ำคลอดให้ เว้นแต่จะเป็นกรณีพิเศษ แต่พยาบาลไม่ได้อธิบายให้ผู้ป่วยทราบและเข้าใจถึงข้อมูลดังกล่าว
ว่าพยาบาลมีสิทธิท�ำคลอดได้ ซึ่งผู้ป่วยไม่สามารถทราบได้ว่าพยาบาลมีสิทธิท�ำคลอด เมื่อความเสียหายเกิดขึ้น
ลูกของผู้ป่วยตายและผู้ป่วยมดลูกแตกต้องผ่าตัดมดลูกออกจนไม่สามารถมีลูกได้อีกซึ่งการมีลูกนั้นเป็นความหวัง
ของพ่อแม่ทุกคน และเป็นความหวังของผู้ป่วยรายนี้ด้วย จึงเกิดการฟ้องร้องเป็นคดีขึ้น เพราะผู้ป่วยเข้าใจผิด
ว่าพยาบาลท�ำการรักษาผิดพลาด ดังนั้น การสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่จ�ำเป็นและส�ำคัญอย่างยิ่ง
- 69. รวมค�ำพิพากษาคดีทางการแพทย์
67
ค
“ช้า ช้า อาจจะไม่ได้พร้าเล่มงาม”
ดีที่จะน�ำมาเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องที่แพทย์ พยาบาลควรศึกษาให้ดีเพราะมีประเด็นส�ำคัญ
ที่ศาลได้วินิจฉัยไว้อย่างน่าสนใจแต่ตรงกันข้ามกับรายงานการสอบสวนความรับผิดทางละเมิด
หากมีการสอบสวนทางจรรยาบรรณก็ไม่แน่ว่าอาจมีความผิดทางจรรยาบรรณวิชาชีพได้ นอกจากนี้
น่าเป็นห่วงว่าจะมีการไล่เบี้ยด้วย เริ่มเรื่องเลยดีกว่า เรื่องนี้เกิดขั้นที่จังหวัดใหญ่แห่งหนึ่งในภาคเหนือ
ข้อเท็จจริง (ของศาล) มีว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ด.ญ. (โจทก์) ได้รับอุบัติเหตุ
ทางรถยนต์เป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลฝ.(ประจ�ำอ�ำเภอ)แพทย์เอกซเรย์ขาข้างซ้าย
ของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บพบว่า มีกระดูกหักสองจุดไม่สามารถรักษาที่โรงพยาบาล ฝ. ได้จึงส่งตัวเด็กไปยัง
โรงพยาบาล ท. (โรงพยาบาลทั่วไป) ไปถึงเวลาประมาณ ๑๒.๔๕ น. โรงพยาบาล ท. รับเด็กไว้รักษาที่หอผู้ป่วย
ศัลยกรรมกระดูกและข้อ ต่อมาในวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายแพทย์ ศ. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ เจ้าของไข้มาตรวจดูอาการของเด็กในครั้งแรกให้พยาบาลน�ำเครื่องดึงกระดูก
แบบถ่วงน�้ำหนักด้วยถุงทรายมาติดแล้วดึงขาข้างซ้ายที่หัก ต่อมาวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ เวลา ๘.๓๐
ถึง ๑๐.๐๐ น. นายแพทย์ ศ. ส่งเด็กไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล ม. เด็กถูกส่งตัวไปเมื่อใดไม่ทราบชัดแต่ไปถึง
โรงพยาบาล ม. เวลา ๑๓.๓๐ น. โดยนายแพทย์ ก. แพทย์ประจ�ำรพ. ม. ได้รับแจ้งจาก รพ. ท. ด้วยว่า
มีเหตุสงสัยบริเวณจุดที่กระดูกหักน่าจะได้รับบาดเจ็บ จึงท�ำการผ่าตัดบริเวณที่กระดูกหักเข้าไปกดทับเส้นเลือด
พบเส้นเลือดบริเวณหน้าแข้งซ้ายมีลักษณะฟกช�้ำมีลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือด กล้ามเนื้อบริเวณขามีสีคล�้ำ
ไม่มีการขยับแสดงว่ากล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวขาดเลือดมาแล้วไม่น้อยกว่า ๖ ชั่วโมง เมื่อท�ำการผ่าตัด
ต่อเส้นเลือดเพื่อทดลองว่ากล้ามเนื้อสามารถกลับมาท�ำงานได้หรือไม่ แต่เมื่อต่อเส้นเลือดแล้วกล้ามเนื้อบริเวณ
ดังกล่าวไม่ท�ำงานและยังคล�ำชีพจรบริเวณหลังเท้าซ้ายไม่ได้ จึงท�ำการตัดขาข้างซ้ายของเด็กบริเวณเหนือหัวเข่า
แม่ของเด็กและญาติไม่พอใจมากเพราะเห็นว่า นายแพทย์ ศ. ละเลยไม่เอาใจใส่ดูแลเด็กเป็นเหตุให้ต้องถูกตัดขา
จึงฟ้องศาลเรียกค่าเสียหาย ๘,๔๓๑,๐๐๐ บาท คดีนี้มีประเด็นที่น่าสนใจ ๓ ประเด็น คือ
๑. ประเด็นไม่มาดูผู้ป่วย มีข้อเท็จจริงว่า เมื่อเด็กมาถึงโรงพยาบาล ท. เวลา ๑๒.๔๕ น. แพทย์เวรตรวจ
และโทรศัพท์ปรึกษานายแพทย์ ศ. เมื่อนายแพทย์ ศ. ให้รับเด็กไว้แพทย์เวรสั่งงดอาหารและน�้ำเตรียมผ่าตัดเวลา
๑๕.๐๐ น. ต่อมาได้รับแจ้งว่านายแพทย์ ศ. ไม่ว่างติดธุระต้องเลื่อนการผ่าตัดเป็นเวลา ๒๐.๐๐ น. เมื่อถึงเวลา
พยาบาลให้รับประทานอาหาร ดื่มน�้ำและทานยาแก้ปวด โดยแจ้งว่าแพทย์ติดธุระไม่เข้ามาต้องเลื่อนการผ่าตัด
ออกไป ต่อมาวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒ เวลา ๙ นาฬิกา นายแพทย์ ศ. มาดูอาการเป็นครั้งแรก แจ้งว่าขาข้างซ้าย
ที่หักจะท�ำการผ่าตัดเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องรอให้อาการบวมยุบก่อน จากนั้นพยาบาลน�ำเครื่องดึงกระดูกแบบ
ถ่วงน�้ำหนักด้วยถุงทรายมาติดตั้งโดยยึดและดึงที่ปลายขาที่หัก แพทย์ไม่ได้อยู่ดูเลย ประเด็นนี้ฝ่ายโจทก์
เห็นว่า แพทย์ละทิ้งหน้าที่ ไม่มาตรวจวินิจฉัยแล้วยังให้รอผ่าตัดด้วยความเจ็บปวด อดข้าว อดน�้ำ (พยาบาล
บอกว่าเป็นวันหยุดหมอไม่อยู่โรงพยาบาล) เป็นเวลานานหลายชั่วโมง จากการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทาง
ละเมิด คณะกรรมการเห็นว่าการที่นายแพทย์ ศ. แพทย์เจ้าของไข้ไม่มาดูผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๒
เวลา ๑๓.๐๐ น. จนถึง ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๙.๔๕ น. รวมเวลาประมาณ ๒๑ ชั่วโมง มีส่วนขาดความ
ระมัดระวังอยู่บ้าง
๒.ประเด็นว่ามีการเฝ้าระวังภาวะคอมพาทเมนท์ซินโดรมหรือไม่จากการสอบสวนความรับผิดทางละเมิด
คณะกรรมการเห็นว่ามีการเฝ้าระวังภาวะคอมพาทเมนท์ซินโดรม โดยมีหลักฐานคือ บันทึกการพยาบาล