More Related Content
Similar to งบการเงิน (20)
งบการเงิน
- 1. งบการเงิน
งบการเงิน จัดทาขึ้นตามระบบบัญชีและสรุปออกมาให้ผู้ที่สนใจได้รับทราบถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัท
ซึ่งแบ่ง
กิจกรรมได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. กิจกรรมการดาเนินงาน บริษัทจะต้องดาเนินงานทางธุรกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของบริษัท
ก็คือการเพิ่มมูลค่าของ
กิจการ หรือเพิ่มความมั่งคั่งให้กับผู้ถือหุ้นนั่นเอง
2. กิจกรรมการลงทุน การที่บริษัทจะลงทุนในสินทรัพย์ระยะสั้นและสินทรัพย์ระยะยาวเป็นสัดส่วนเท่าใดนั้นลักษณะ
ของธุรกิจจะเป็นตัวกาหนดสัดส่วนนั้น
3. กิจกรรมการจัดหาเงิน โดยปกติแล้วบริษัทจะจัดหาเงินทุนได้จากเจ้าหนี้ และเจ้าของ ซึ่งโครงสร้างสินทรัพย์จะเป็น
ตัวกาหนดสัดส่วนของแหล่งเงินทุนระยะสั้นและแหล่งเงินทุนระยะยาว
กรณีบริษัทค้าปลีกซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ระยะสั้นอย่างเช่นลูกหนี้และสินค้าคงเหลือเป็นส่วนใหญ่
มักจะใช้แหล่งเงินทุน
ระยะสั้นเป็นหลัก ในขณะที่บริษัทผลิตกระแสไฟฟ้าจะใช้แหล่งเงินทุนระยะยาวเป็นหลักเพื่อลงทุนในโรงงานผลิต ทั้งนี้แต่ละ
บริษัทจะตัดสินใจเลือกสัดส่วนแหล่งเงินทุนระยะยาวระหว่างจากเจ้าหนี้ และเจ้าของโดยมีปัจจัยด้านต่างๆ เช่น
ทรรศนะของ
ผู้บริหารในเรื่องความเสี่ยงหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการกู้เงินระยะยาว มาเป็นส่วนหนึ่งประกอบการตัดสินใจ
- 3. งบดุล(BalanceSheet)
งบดุลหรือ Balance Sheet เป็นงบที่แสดงฐานะทางการเงินของกิจการณ เวลาใด เวลาหนึ่ง
ซึ่งภายในงบดุลก็จะประกอบ ไปด้วย สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ
แนวคิดเกี่ยวกับสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ
สินทรัพย์ คือ
ทรัพยากรที่อยู่ในความควบคุมของบริษัทและคาดว่าบริษัทจะได้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจจากทรัพยากรนั้น
หนี้สิน คือ ภาระผูกพันของบริษัท โดยคาดว่าจะทาให้กิจการเสียประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ
ส่วนของเจ้าของหมายถึงส่วนต่างของสินทรัพย์ หลังจากหักหนี้สินทั้งหมดแล้ว
ซึ่งจากแนวคิดทั้ง 3 ที่ได้กล่าวมา ทาให้ทราบความสัมพันธ์ในรูปของสมการคือ
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
งบดุล จึงแสดงถึงความเท่ากันของกิจกรรมลงทุนคือ ด้านสินทรัพย์
และกิจกรรมจัดหาแหล่งเงินทุนซึ่งก็คือด้านหนี้สินและส่วนของเจ้าของ
สินทรัพย์ - การรับรู้ การวัดค่า และการจาแนกประเภท
การรับรู้สินทรัพย์
ตามหลักการบัญชีนั้นได้กาหนดให้บริษัทรับรู้รายการที่เกิดขึ้นแล้วจะทาให้บริษัทได้ประโยชน์เป็นสินทรัพย์ในงบดุลและสาม
ารถวัดมูลค่าของสินทรัพย์นั้นได้อย่างน่าเชื่อถือด้วย บริษัทไม่ควรรับรู้รายการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เป็นสินทรัพย์ เช่น
ค่าการวิจัย ค่าโฆษณา เป็นต้น ซึ่งรายการพวกนี้เป็นรายจ่ายควรจะรับรู้ไว้เป็นค่าใช้จ่ายในงบกาไรขาดทุน
การวัดมูลค่าสินทรัพย์ สินทรัพย์ในงบดุลนั้นมีทั้งสินทรัพย์ที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินซึ่งสินทรัพย์ที่เป็นตัวเงิน
ได้แก่ เงินสด ลูกหนี้ ตั๋วเงินรับ เงินลงทุนในหลักทรัพย์ เป็นต้น ส่วนรายการสินทรัพย์ที่ไม่เป็นตัวเงินได้แก่ สินค้าคงเหลือ
อาคาร อุปกรณ์ และสินทรัพย์อื่น เป็นต้น
การจาแนกสินทรัพย์ สามารถจาแนกประเภทของสินทรัพย์หลักๆ ได้ดังนี้ คือ สินทรัพย์หมุนเวียน
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเงินลงทุนระยะยาว และสินทรัพย์อื่น
- 4. 1. สินทรัพย์หมุนเวียน หมายถึงเงินสด
และสินทรัพย์อื่นที่บริษัทคาดว่าจะขายหรือใช้ไปในรอบระยะเวลาดาเนินการปกติของบริษัท
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคือระยะเวลาหนึ่งปี สินทรัพย์หมุนเวียนโดยทั่วไป ได้แก่ เงินสด ลูกหนี้ สินค้าคงเหลือ
และค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
เงินสดและเงินฝากธนาคาร หมายถึง ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เช็ค และยอดเงินในบัญชีธนาคาร
ลูกหนี้ หมายถึง จานวนเงินที่บริษัทยังไม่ได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ
ลูกหนี้นั้นจะแสดงไว้ในงบดุลด้วยมูลค่าที่คาดว่าจะสามารถเก็บเงินได้หลังจากที่ได้หักค่าเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ
หลักทรัพย์ที่อยู่ในความต้องการของตลาด หมายถึง
เงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงเนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายกันในตลาดเงินหรือตลาดทุน
อย่างกว้างขวางและสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว
สินค้าคงเหลือ ซึ่งถ้ามองในแง่ของบริษัทซื้อขายสินค้าจะหมายถึง สินค้าที่มีไว้เพื่อรอการขาย
แต่ถ้ามองในแง่บริษัทที่ผลิตจะหมายถึงวัตถุดิบ สินค้าระหว่างผลิต และสินค้าที่ผลิตสาเร็จแล้ว
สินค้าคงเหลือจะแสดงด้วยราคาทุนหรือมูลค่าสุทธิที่คาดว่าจะได้รับ แล้วแต่ว่ามูลค่าใดจะต่ากว่า
โดยปกติบริษัทได้รับสินค้าในแต่ละครั้งด้วยราคาที่แตกต่างกัน
ทาให้มีการคานวณราคาทุนของต้นทุนขายและสินค้าคงเหลือหลายแบบด้วยกันได้แก่
วิธี FIFO First in - First out หรือ เข้าก่อนออกก่อน
ซึ่งเป็นวิธีการคานวณสินค้าคงเหลือที่มีสมมติฐานว่าสินค้าคงเหลือที่เกิดขึ้นก่อนจะถูกใช้หรือขายไปก่อน
วิธี LIFO Last in - First out หรือ เข้าหลังออกก่อน
ซึ่งมีสมมติฐานว่าสินค้าคงเหลือที่เกิดขึ้นหลังสุดจะถูกใช้หรือขายออกไปก่อน
วิธี Average Cost หรือ ต้นทุนถัวเฉลี่ย โดยคานวณต้นทุนสินค้าด้วยวิธีถัวเฉลี่ยต้นทุนของการได้มา
ถ่วงน้าหนักด้วยจานวนหน่วยที่ได้มาในแต่ละครั้ง
เนื่องจากต้นทุนขายในงบกาไรขาดทุน
และราคาทุนของสินค้าคงเหลือในงบดุลตามสมมติฐานแต่ละแบบมีจานวนไม่เท่ากันผู้ใช้ข้อมูลต้องระมัดระวังว่าการที่กาไรแ
ละสินทรัพย์ของ 2 บริษัทต่างกันอาจมีผลมาจากการใช้วิธีทางบัญชีที่ต่างกันไม่ใช่เพราะ
ความสามารถในการดาเนินงานต่างกัน
สาหรับประเทศไทยนั้นบริษัทส่วนใหญ่นิยมใช้วิธีFIFO และวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยในการคานวณต้นทุนสินค้าคงเหลือ
- 5. 2. สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน หรือสินทรัพย์ถาวรหมายถึง สินทรัพย์ที่มีระยะเวลาการใช้งานนานกว่า 1 ปี และไม่ได้มีไว้เพื่อ
ขายต่อ เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร รถยนต์ อุปกรณ์สานักงานเครื่องตกแต่ง คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ
บริษัทนั้นสามารถเลือกแสดงสินทรัพย์ประเภทที่ดินอาคารและอุปกรณ์ ด้วยราคาทุน
หรือราคาประเมินซึ่งใกล้เคียงกับราคาตลาดได้ ซึ่งผู้ใช้งบการเงิน
ต้องอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงินเพื่อจะได้ทราบว่ามูลค่าที่แสดงไว้เป็นมูลค่าใดนอกจากนี้การที่สินทรัพย์ประเภท
อาคาร และอุปกรณ์มีอายุการใช้งานจากัดทาให้สินทรัพย์เหล่านี้แสดงอยู่ในงบดุลด้วยมูลค่าที่หักจากค่าเสื่อมราคาสะสม
ค่าเสื่อมราคา เป็นการจัดสรรหรือกระจายมูลค่าของสินทรัพย์
ถือเป็นค่าใช้จ่ายตามระยะเวลาที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์นั้น
ส่วนค่าเสื่อมราคาสะสมนั้นเป็นจานวนรวมของค่าเสื่อมราคาตั้งแต่วันที่เริ่มมีการใช้งานจนถึงงวดปัจจุบัน
หลักการบัญชีกาหนดให้มีการแสดงค่าเสื่อมราคาสะสมหักจากมูลค่าของสินทรัพย์นั้น
เพื่อให้ผู้ใช้ข้อมูลได้ทราบว่ามีการใช้งานสินทรัพย์นั้นมานานมากน้อยแค่ไหนแต่สาหรับรายการที่ดินนั้น
จะไม่มีการคิดค่าเสื่อมราคาเนื่องจากที่ดินมีอายุการใช้งานที่ไม่จากัด
วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา
วิธีเส้นตรงตามอายุการใช้งาน เป็นวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราคงที่จานวนค่าเสื่อมราคาของแต่ละปีจะเท่ากัน
ซึ่งถ้าคิดตามวิธีนี้ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ในแต่ละปี
จะเท่ากับราคาทุนหักด้วยมูลค่าซากที่คาดว่าจะได้รับหลังจากเลิกใช้งานหารด้วยอายุการใช้งานของสินทรัพย์นั้น
ซึ่งอายุการใช้งานจะต้องมีหน่วยเป็นปี
วิธีอัตราลดลง เป็นวิธีคิดค่าเสื่อมราคาในจานวนที่ลดลงตลอดเวลาที่ใช้สินทรัพย์ กล่าวคือ ค่าเสื่อมราคาในปีแรกๆ
ของการใช้งานจะสูงกว่าปีหลังๆ ของการใช้งานซึ่งวิธีอัตราลดลงนั้นจะมีหลายแบบ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2
แบบดังต่อไปนี้
- แบบผลรวมจานวนปี
จะคานวณค่าเสื่อมราคาโดยนาอัตราส่วนระหว่างอายุการใช้งานที่เหลืออยู่ของแต่ละปีต่อผลรวมของ
อายุการใช้งานที่เหลือของแต่ละปี คูณกับมูลค่าสินทรัพย์หลังจากหักมูลค่าซากที่คาดว่าจะได้รับ
- แบบยอดลดลงทวีคูณซึ่งคานวณค่าเสื่อมราคาโดยเอาอัตราที่เป็น 2
เท่าของอัตราร้อยละตามวิธีเส้นตรงคูณกับราคาตามบัญชี
ซึ่งราคาบัญชีในที่นี้หมายถึงราคาทุนหรือราคาประเมินหักค่าเสื่อมราคาสะสม
- 7. หนี้สิน - การรับรู้ การวัดค่า และการจาแนกประเภท
การรับรู้หนี้สิน ตามหลักการบัญชีได้กาหนดไว้ว่าบริษัทควรรับรู้หนี้สินในงบดุล
เมื่อมีความเป็นไปได้ที่ค่อนข้างแน่นอนที่บริษัทจะต้องเสียทรัพย์สิน
หรือทรัพยากรเพื่อชาระภาระผูกพันในปัจจุบันโดยภาระผูกพันในปัจจุบันที่ต้องชาระนั้นสามารถวัดค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ
บริษัทไม่ต้องรับรู้ภาระผูกพันเป็นหนี้สินในงบดุลหากคู่สัญญายังมิได้ปฏิบัติตามสัญญาเช่นการสั่งซื้อสินค้าแล้วยังไม่ได้รับ
เป็นต้น
การวัดค่าหนี้สิน เนื่องจากหนี้สินส่วนใหญ่จะเป็นรายการที่เป็นตัวเงิน
ที่ต้องมีการชาระด้วยจานวนเงินที่กาหนดไว้อย่างแน่นอนหนี้สินนั้นยังรวมไปถึงภาระผูกพันต่อสถาบันการเงิน
เจ้าหนี้การค้า พนักงาน และรัฐบาล อย่างไรก็ตาม
โดยหลักการทางบัญชีแล้วจะไม่รับรู้หนี้สินจากรายการที่ยังไม่มีการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นในงบดุลเช่น
ข้อตกลงกับสหภาพแรงงานสัญญาซื้อที่ยกเลิกไม่ได้ และสัญญาเช่าบางประเภทเพราะว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์
จากรายการเหล่านี้ในอนาคตไม่ใช่ในอดีต
ซึ่งรายการหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นเหล่านี้จะถูกเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
การจาแนกประเภทหนี้สิน ในงบดุลมีการจาแนกหนี้สินเป็นประเภทต่างๆ
ที่ค่อนข้างหลากหลายแต่ส่วนใหญ่จะจาแนกเป็นหนี้สินหมุนเวียนซึ่งรวมหนี้สินที่คาดว่าจะต้องจ่ายภายใน 1 ปี
และหนี้สินไม่หมุนเวียนหรือที่เราเรียกกันว่าหนี้สินระยะยาว
- 8. ส่วนของเจ้าของ - การกาหนดมูลค่า และการเปิดเผยข้อมูล
โดยตามหลักการบัญชีได้ให้คาจากัดความส่วนของเจ้าของส่วนของ หรือผู้ถือหุ้นไว้ว่าเป็นสิทธิเรียกร้องที่เหลืออยู่
หมายถึงการที่เจ้าของมีสิทธิในสินทรัพย์ทั้งหมดที่ไม่ต้องใช้ในการชาระหนี้สิน
งบดุลจะแยกส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นจานวนที่ได้รับจากเจ้าของ ซึ่งได้แก่ หุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นสามัญ
และจานวนกาไรสุทธิของบริษัทที่เกิดขึ้นที่เกินกว่าเงินปันผลที่ได้ประกาศจ่าย หรือที่เรียกว่ากาไรสะสม
ซึ่งเป็นการสะสมของกาไรหรือขาดทุนสุทธิในแต่ละปีตั้งแต่บริษัทเริ่มดาเนินงานกาไรสะสมนั้นไม่ใช่เงินสด
แต่เป็นตัวเลขทางบัญชีซึ่งแสดงมูลค่าสะสมตั้งแต่อดีตของกาไรส่วนที่ไม่ได้จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งถ้าบริษัทเกิดภาวะขาดทุน
ผลขาดทุนนั้นก็จะนาไปหักออกจากกาไรสะสมทาให้กาไรสะสมนั้นลดลง หากกาไรสะสมมีค่าติดลบ
ฝ่ายบริหารของบริษัทอาจใช้คาว่าขาดทุนสะสมแทนคาว่ากาไรสะสม
งบกาไรขาดทุน(Profit andLossStatement orIncomeStatement)
งบกาไรขาดทุนเป็นงบที่แสดงผลการดาเนินงานของกิจการภายในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งรายการหลักๆ
ในงบกาไรขาดทุนกาไรสุทธิจะเท่ากับรายได้หักด้วยค่าใช้จ่าย โดยรายได้แสดงถึงมูลค่าของสินค้า
หรือบริการที่บริษัทขายได้ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจะแสดงถึงความพยายามที่ใช้ไปเพื่อทาให้เกิดรายได้
1. หลักการบัญชีเกี่ยวกับรายได้ และค่าใช้จ่าย
รายได้ สาหรับคนทั่วไปจะหมายถึงจานวนที่บริษัทได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ
แต่ถ้าความหมายในทางการบัญชีจะมีความหมายที่กว้างกว่านั้นโดยจะหมายถึง การได้รับหรือการเพิ่มค่าของสินทรัพย์
หรือการลดลงของหนี้สินอันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินทุนที่ได้รับจากผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของ
ค่าใช้จ่าย หมายถึง การจ่าย หรือการลดค่าของสินทรัพย์
หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สินอันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของลดลงแต่ค่าใช้จ่ายนี้ยังไม่รวมถึงการแบ่งปันส่วนทุนให้กับผู้มีส่วนร่วม
ในส่วนของเจ้าของ
การรับรู้รายได้ และค่าใช้จ่าย โดยหลักการบัญชีกาหนดให้บริษัทรับรู้รายได้ในงบกาไรขาดทุนเมื่อบริษัทได้รับ
ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น เช่น มีการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์จากการขายสินค้าหรือบริการ
หรือการลดลงของหนี้สินจากการที่เจ้าหนี้ยกหนี้ให้ เป็นต้นเช่น การขายสินค้าหรือบริการโดยทั่วไปแล้ว
บริษัทจะรับรู้รายได้เมื่อบริษัทได้มีการส่งมอบสินค้าหรือบริการนั้นให้ลูกค้าและมีการชาระเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- 9. การรับรู้ค่าใช้จ่าย จะใช้เกณฑ์ความเกี่ยวพันโดยตรงระหว่างต้นทุนที่เกิดขึ้นกับรายได้ที่ได้มาจากรายการเดียวกัน
2. รายการบัญชีที่มักปรากฏในงบกาไรขาดทุน
รายได้หรือขาย แสดงถึงรายได้ที่มาจากการดาเนินธุรกิจหลักของบริษัท
โดยทั่วไปแล้วก็คือการขายสินค้าและบริการทั้งหมดที่ขายให้กับลูกค้า
ซึ่งรายได้ประเภทนี้จะแสดงด้วยมูลค่าหรือราคาขายก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ
รายได้อื่นจะเป็นรายได้ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการดาเนินธุรกิจหลักของบริษัท
ซึ่งรายได้ประเภทนี้มักจะแสดงด้วยจานวนที่ได้รับ หรือคาดว่าจะได้รับสุทธิจากต้นทุนที่เกี่ยวข้อง เช่น
กาไรจากการขายเงินลงทุน กาไรจากการขายสินทรัพย์ เป็นต้น
ค่าใช้จ่าย คือรายการที่หักออกจากรายได้ ตัวอย่างของค่าใช้จ่าย เช่นต้นทุนสินค้าที่ขาย
จะแสดงถึงต้นทุนของสินค้าที่ซื้อมาหรือต้นทุนการผลิตสินค้าสาเร็จ หรือต้นทุนค่าบริการ
ซึ่งต้นทุนเหล่านี้จะเกี่ยวพันโดยตรงกับรายได้
ค่าเสื่อมราคาในบางครั้งเราจะรวมค่าเสื่อมราคาไว้ในต้นทุนขาย เพราะว่าสินทรัพย์ถาวรโดยเฉพาะโรงงาน
และเครื่องจักร ส่วนมากจะใช้สาหรับการผลิตสินค้า ดังนั้นค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นจากโรงงาน
และเครื่องจักรจึงถือเป็นต้นทุนขายโดยตรงแต่สาหรับผู้ค้าปลีกและผู้ให้บริการจะรวมค่าเสื่อมราคาไว้ในค่าใช้จ่าย
ในการขายและบริหารมากกว่าต้นทุนขาย
- 10. ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหาร จะครอบคลุมรายการที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าเช่นเงินเดือนพนักงานขาย
ค่าน้า ค่าไฟ และวัสดุสานักงาน เป็นต้น
กาไรขั้นต้น จะเป็นผลต่างระหว่างรายได้จากการขายกับต้นทุนขายของสินค้าหรือบริการ
กาไรก่อนภาษีซึ่งจะสะท้อนถึงกาไรของบริษัทหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน บวกรายได้อื่น
และหักรายจ่ายที่ไม่ได้เกิดจากการดาเนินงานของบริษัทแล้ว
สาหรับบริษัทที่มีผลการดาเนินงานขาดทุนไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
กาไรสุทธิคือการที่เรามีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเกิดว่าค่าใช้จ่ายมีมากกว่ารายได้เราจะเรียกว่า
ขาดทุนสุทธิทั้งหมดก็เป็นรายการภายในงบกาไรขาดทุน
ความสัมพันธ์ระหว่างงบกาไรขาดทุนและงบดุล
งบกาไรขาดทุนจะเป็นตัวที่เชื่อมต่องบดุลณวันสิ้นงวด
เนื่องจากกาไรสะสมจะเป็นตัวที่แสดงถึงผลรวมของกาไรในงวดก่อนๆที่สูงกว่าเงินปันผล
งบกระแสเงินสด(Statementof CashFlows)
งบกระแสเงินสด คืองบที่แสดงการเคลื่อนไหวของเงินสด
โดยจะแสดงถึงรายการได้มาและใช้ไปของเงินสดหรือสิ่งที่เทียบเท่าเงินสดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะมาจาก 3
กิจกรรมหลักๆ คือ เงินสดที่ได้มาจากกิจกรรมการดาเนินงาน กิจกรรมการลงทุน และกิจกรรมการจัดหาเงิน
กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดาเนินงาน โดยปกติ
บริษัทที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงจะมีแหล่งที่มาของเงินสดจากการขายสินค้าและบริการ
ซึ่งการประเมินกระแสเงินสดจากกิจกรรมดาเนินงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
จะทาให้ผู้อ่านงบการเงินสามารถทราบได้ว่ากิจกรรมดาเนินงานของบริษัทเป็นแหล่งที่มาของเงินสด
ที่จาเป็นต่อการรักษาระดับความสามารถในการดาเนินงานมากน้อยเพียงใด
และบริษัทจาเป็นจะต้องพึ่งพาแหล่งที่มาของเงินสดภายนอกมากน้อยเพียงใด
กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน เป็นการนาเงินสดที่มีไปจัดหาสินทรัพย์มาทดแทนส่วนที่หมดอายุการใช้งาน
เช่น การจัดหาสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนโดยเฉพาะที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์
รวมทั้งการจัดหาเงินสดเพิ่มเติมในกรณีที่บริษัทมีความต้องการขยายธุรกิจ
- 11. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการจัดหาเงิน
กิจกรรมนี้ทาให้บริษัทได้รับเงินสดเพิ่มเติมเพื่อที่จะมารองรับกิจกรรมดาเนินงานและกิจกรรมการลงทุน
โดยจะได้รับเงินสดมาจากการกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาว และจากการออกจาหน่ายหุ้นสามัญ
และหุ้นบุริมสิทธิแต่ในทางตรงกันข้าม บริษัทก็จะต้องใช้เงินสดในการจ่ายชาระหนี้หุ้นกู้ระยะสั้นและระยะยาว
จ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นทุนกลับคืนมา
ในบางครั้ง บริษัทอาจมีกิจกรรมการลงทุนและการจัดหาเงินทุนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินสดโดยตรง เช่น
บริษัทอาจออกตั๋วเงินจ่าย หรือหุ้นกู้เพื่อซื้ออาคารหรือบริษัทอาจออกหุ้นสามัญเพื่อแลกกับหุ้นกู้ระยะยาว
ทั้งนี้บริษัทจะทาการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรายการที่ไม่เป็นเงินสดเหล่านี้ไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
ความสัมพันธ์ระหว่างงบกระแสเงินสดกับงบดุลและงบกาไรขาดทุน
งบกระแสเงินสดมีความเกี่ยวข้องกับงบดุลและงบกาไรขาดทุนคือ
งบกระแสเงินสดนั้นจะอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงในเงินสดระหว่างต้นงวดและปลายงวดบัญชี
ซึ่งในขณะเดียวกันก็แสดงถึงกิจกรรมการลงทุนและจัดหาเงินที่สาคัญของบริษัท
โดยจะเป็นการอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของรายการต่างๆในงบดุลเปรียบเทียบ
และงบกระแสเงินสดนั้นจะมีลักษณะที่คู่ขนานไปกับงบกาไรขาดทุนนั่นคือ
งบกระแสเงินสดจะแสดงให้เห็นว่าการดาเนินงานนั้นกระทบต่อเงินสดระหว่างงวดอย่างไรในขณะที่งบกาไรขาดทุน
นั้นแสดงให้เห็นว่าการดาเนินงานเดียวกันนั้นกระทบต่อรายได้และค่าใช้จ่ายของงวดนั้นอย่างไร
งบแสดงการเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้น(StatementofChangesinEquity)
งบแสดงการเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้นแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของรายการต่างๆที่จัดอยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้นได้แก่
ทุนจดทะเบียนและ เรียกชาระส่วนเกินมูลค่าหุ้น ส่วนเกินจากการตีราคาสินทรัพย์ และกาไรสะสม เป็นต้น
โดยในแต่ละรายการในส่วนของผู้ถือหุ้นจะมีการแสดงจานวน ณ วันต้นงวดรายการ
เพิ่มขึ้นและลดลงในระหว่างงวดและจานวน ณ วันสิ้นงวด
ผู้เรียนสามารถกดปุ่มข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อดูตัวอย่างงบแสดงการเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้นได้
งบกาไรสะสม(RetainedEarningStatement)
งบกาไรสะสมแสดงถึงจานวนและสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในกาไรสะสมระหว่างงวดโดยเริ่มจากกาไรสะสมณ
วันต้นงวดบวกด้วยกาไรสุทธิหรืออาจหักด้วยขาดทุนสุทธิในกรณีที่ปีนั้นกิจการเกิดขาดทุน
แล้วจึงหักด้วยเงินปันผลเพื่อคานวณจานวนกาไรสะสมณ วันสิ้นงวด
- 14. 1.1. อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ReturnonAssetsหรือ ROA
โดยจะมีสูตรที่ใช้ในการคานวณหาดังนี้ ROA จะเท่ากับ
กาไรสุทธิบวกด้วยดอกเบี้ยจ่ายคูณด้วยหนึ่งลบด้วยอัตราภาษีคูณด้วยหนึ่งร้อยหารด้วยสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย
ซึ่งค่าที่คิดออกมาได้จะเป็นเปอร์เซ็นต์
กาไรที่ใช้ในการคานวณ ROA ควรเป็นกาไรก่อนหักการชาระ
หรือจ่ายคืนผลตอบแทนให้แก่ผู้ที่เป็นแหล่งที่มาของเงินทุนเนื่องจากบริษัทหักดอกเบี้ยจ่ายออกก่อนคานวณกาไรสุทธิ
ผู้วิเคราะห์จึงจาเป็นต้องบวกดอกเบี้ยจ่ายกลับเข้ามาเพื่อให้ได้จานวนกาไรก่อนการหักต้นทุนของการจัดหาเงินทุน
การที่บริษัทสามารถนาดอกเบี้ยไปหักเป็นค่าใช้จ่าย เพื่อคานวณกาไรสาหรับเสียภาษีดอกเบี้ยจ่าย จึงไม่ได้ลดกาไรสุทธิลง
เท่ากับดอกเบี้ยจ่ายเต็มทั้งจานวนแต่ลดลงด้วยจานวนที่สุทธิจากอัตราภาษี
ดังนั้นในการบวกดอกเบี้ยกลับจึงบวกเพียงจานวนหลังจากหักภาษีแล้ว
สาหรับตัวหารการที่ตัวตั้งเป็นกาไรของทั้งงวด
การวัดจานวนสินทรัพย์ที่ใช้จึงควรเป็นค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่ใช้ในระหว่างงวด
ซึ่งปกติได้จากการถัวเฉลี่ยจานวนต้นงวดและปลายงวด
องค์ประกอบของ ROA
ในการวิเคราะห์ ROAเราสามารถทาการแยกองค์ประกอบของ ROAได้ดังนี้คือ ROAเท่ากับ
อัตรากาไรสุทธิที่ก่อนจ่ายดอกเบี้ยและภาษีคูณด้วยอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์
อัตรากาไรสุทธิบริษัทสามารถปรับปรุงอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ได้ โดยการเพิ่มอัตรากาไรสุทธิ
หรืออัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์หรือเพิ่มอัตราส่วนทั้งสองประเภทซึ่งบริษัทบางประเภท
อาจมีข้อจากัดเกี่ยวกับความยืดหยุ่นที่จะปรับเปลี่ยนอัตราส่วนเหล่านี้ เช่นข้อจากัดของสภาพของการแข่งขัน
หรือลักษณะธุรกิจ เป็นต้น
การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในอัตรากาไรสุทธิ
ถ้าเกิดว่าอัตรากาไรสุทธิและอัตราหมุนเวียนของ
สินทรัพย์เกิดการเปลี่ยนแปลงเราจะทราบได้โดยทาการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในอัตรากาไรสุทธิและอัตราหมุนเวียนของ
สินทรัพย์รวม
การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในอัตรากาไรสุทธิ
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Accounts receivable turnover) แสดงถึงความรวดเร็วในการที่บริษัทสามารถเก็บเงิน
- 15. ได้จากลูกหนี้ โดยคานวณได้จาก ขายสุทธิหารด้วยลูกหนี้ถัวเฉลี่ย
นอกจากนี้เรายังสามารถคานวณหาระยะเวลาถัวเฉลี่ยของลูกหนี้ ที่จะคงอยู่ในบริษัทก่อนที่บริษัทจะเก็บเงินได้
โดยระยะเวลาในการเก็บหนี้ จะเท่ากับ 365 วัน หารด้วย อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้
ผู้วิเคราะห์ควรเปรียบเทียบระยะเวลาในการเก็บหนี้ของบริษัทกับงวดก่อนๆ
หรือเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันและหาสาเหตุที่ทาให้ระยะเวลาในการเก็บหนี้แตกต่างกัน
ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากประสิทธิภาพในการจัดเก็บหนี้ หรือจากนโยบายการให้เครดิตของบริษัทก็ได้
อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventoryturnover) จะแสดงถึงจานวนครั้งที่บริษัทสามารถขายสินค้าคงเหลือ
ออกไปได้ซึ่งจะคานวณได้จาก ต้นทุนขายหารด้วยสินค้าคงเหลือถัวเฉลี่ย
ในการตีความหมายของอัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยสองประการคือ
1. การที่บริษัทต้องการขายสินค้าให้ได้มากที่สุด ในขณะที่มีเงินทุนที่ต้องลงทุนในสินค้าคงเหลือต่าที่สุด
2. การเพิ่มขึ้นของอัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือระหว่างงวด ซึ่งอาจหมายถึง
บริษัทสามารถทากาไรได้มากขึ้นจากการลงทุนในสินค้าคงเหลือ
อัตราส่วนของสินทรัพย์ระยะยาว (Fixed assetsturnover) จะเป็นการวัดความสัมพันธ์ระหว่างยอดขายกับการลงทุน
ในสินทรัพย์ระยะยาวประเภท ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ ซึ่งคานวณได้จาก อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ระยะยาว เท่ากับ
ขายสุทธิหารด้วยสินทรัพย์ระยะยาวถัวเฉลี่ย
โดยผู้วิเคราะห์จะต้องตีความหมายการเปลี่ยนแปลงในอัตราส่วนนี้ด้วยความระมัดระวัง
บริษัทมักมีการลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวเป็นเวลาหลายงวดบัญชีก่อนที่จะเริ่มมียอดขายจากสินทรัพย์ที่ผลิตด้วยสินทรัพย์
เหล่านี้
ดังนั้น
อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ระยะยาวที่ต่าหรือลดลงอาจเกิดจากการที่บริษัททาการขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโ
ตในอนาคต หรือในทางตรงข้ามถ้าสินค้ามียอดขายที่ลดลง บริษัทอาจลดการลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว
ซึ่งอาจทาให้อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ระยะยาวสูงขึ้น
1.2. อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นสามัญ(ReturnonEquityหรือROE)
- 17. 2.การวิเคราะห์ความเสี่ยง(Risk Analysis)
การวิเคราะห์ความเสี่ยง มักจะใช้ข้อมูลจากงบการเงินโดยจะเป็นการดูถึง ความสามารถในการชาระหนี้ระยะสั้น
(Short-termliquidityrisk) และความสามารถในการชาระหนี้ระยะยาว (Long-term liquidityrisk)
2.1. อัตราส่วนแสดงสภาพคล่องระยะสั้น(Short-termliquidity)
อัตราส่วนนี้จะแสดงถึงแหล่งเงินทุน สภาพคล่องที่จะทาให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงิน
โดยจะประกอบด้วยอัตราส่วนทางการเงินที่สาคัญดังนี้
อัตราทุนหมุนเวียน (Current ratio)
แสดงถึงความสามารถของบริษัทที่จะชาระหนี้ระยะสั้นด้วยสินทรัพย์หมุนเวียนที่มีอยู่ซึ่งจะคานวณได้จาก
สินทรัพย์หมุนเวียนหารด้วยหนี้สินหมุนเวียน
อัตราทุนหมุนเวียนเร็ว (Quickratio) คือรูปแบบหนึ่งของอัตราทุนหมุนเวียน
แต่ตัวเศษจะรวมเฉพาะสินทรัพย์หมุนเวียนที่บริษัทสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้โดยรวดเร็ว เช่น เงินสด
หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด และลูกหนี้
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทบางแห่งอาจสามารถเปลี่ยนสินค้าคงเหลือเป็นเงินสดได้เร็วกว่า
หรือบริษัทบางแห่งเก็บเงินจากลูกหนี้ได้ ดังนั้นผู้วิเคราะห์ต้องพิจารณาว่าควรจะมีการรวมลูกหนี้หรือไม่
ในการคานวณอัตราส่วนนี้ ซึ่งอัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว จะเท่ากับเงินสดบวกเงินลงทุนระยะสั้นบวกลูกหนี้
และหารด้วยหนี้สินหมุนเวียน
อัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดาเนินงานต่อหนี้สินหมุนเวียน (Cash Flow from Operationsto Current
Liabilities) คานวณได้จาก อัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดาเนินงานต่อหนี้สินหมุนเวียน จะเท่ากับ
กระแสเงินสดจากการดาเนินงานหารด้วยหนี้สินหมุนเวียนถัวเฉลี่ย แล้วคูณด้วยหนึ่งร้อย
- 18. 2.2. อัตราส่วนความสามารถในการชาระหนี้ระยะยาว(Long-termliquidityrisk)
อัตราส่วนนี้จะเป็นอัตราส่วนที่ว่ากันในเรื่องของอัตราหนี้สินหรือ DebtRatio ซึ่งจะมีดังนี้อัตราส่วนหนี้สินระยะยาว
(long-term debt ratio) แสดงถึงสัดส่วนของเงินทุนระยะยาวของบริษัทที่ได้มาจากการกู้ยืม
ซึ่งสามารถคานวณหาได้จากหนี้สิ้นระยะยาวหารด้วยหนี้สินระยะยาวบวกด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นและคูณด้วยหนึ่งร้อย
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(debtto equityratio) ซึ่งจะแสดงถึงสัดส่วนของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับส่วน
ของผู้ถือหุ้นของบริษัทที่สามารถรับได้ เมื่อเทียบกับหนี้สินที่มีอยู่ของบริษัท
อัตราส่วนกระแสเงินสดจากการดาเนินงานต่อหนี้สินรวม (Cash Flow from Operationsto Total Liabilities
Ratios) อัตราส่วนนี้จะใช้ในการประเมินสภาพคล่องของบริษัท
โดยสามารถคานวณได้จากกระแสเงินสดจากการดาเนินงานหารด้วยหนี้สินรวม แล้วคูณด้วยหนึ่งร้อย
อัตราส่วนจานวนเท่าของกาไรต่อดอกเบี้ย (timesinterestearned) คานวณได้จากกาไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี
หารด้วยดอกเบี้ยจ่าย อัตราส่วนนี้แสดงถึงโอกาสที่เจ้าหนี้จะได้รับการชาระดอกเบี้ยจากกาไรจากการดาเนินงาน
ถึงแม้ว่าอัตราส่วนทางการเงินจะมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับบริษัท
แต่ผู้วิเคราะห์งบการเงินต้องตระหนักถึงข้อจากัดต่างๆ ที่เกิดจากการคานวณอัตราส่วนการเงินที่ได้กล่าวไปแล้ว
ผู้วิเคราะห์ต้องประมวลผลของอัตราส่วนการเงินที่คานวณได้จากงบการเงินกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงอื่นๆ
ประกอบก่อนที่จะทาการสรุปผลที่ได้
- 19. 3.ข้อมูลต่อหุ้น
3.1. มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น(BookValue Per Share)
เป็นตัวที่ใช้วัด เพื่อดูว่าตลาดมีมุมมองต่อบริษัทอย่างไร
ซึ่งมูลค่าตามบัญชีก็จะแสดงจานวนเงินทุนแท้จริงที่ได้ลงทุนโดยผู้ถือหุ้น
ด้วยการซื้อหุ้นของบริษัทแล้วเก็บกาไรที่ได้นั้นให้อยู่ในรูปของกาไรสะสมสาหรับการคานวณนั้นจะเริ่มจาก
การนาส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญมาหารด้วย จานวนหุ้นที่ออกและเรียกชาระแล้ว
3.2. อัตราผลตอบแทนเงินปันผลต่อหุ้น(DividendPayoutPerShare)
จะเป็นการวัดอัตราส่วนร้อยละของกาไรของบริษัทที่ได้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสาหรับการคานวณ
ก็ให้นาเงินปันผลต่อหุ้น มาคูณกับ 100 แล้วหารด้วย ราคาตลาด หรือราคาปิดของหุ้นสามัญ
3.3. กาไรต่อหุ้น(EarningPer Share- EPS)
ช่วยให้ผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้นปัจจุบันสามารถติดตามผลการดาเนินงานได้ทันเหตุการณ์มากขึ้น
ซึ่งการคานวณกาไรสุทธิต่อหุ้นมักจะคานวณโดยใช้กาไรก่อนรายการพิเศษ หักด้วยเงินปันผลหุ้นบุริมสิทธิ
และหารด้วยจานวนหุ้นที่ออกและเรียกชาระแล้ว
3.4. ราคาต่อกาไรต่อหุ้น(P/ERatio)
เป็นอัตราส่วนที่บอกให้รู้ว่าผู้ลงทุนเต็มใจที่จะจ่ายราคาเท่าใดสาหรับกาไรและเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคต
และในการคานวณหาค่าราคาต่อกาไรต่อหุ้นนั้นก็ไม่ยากครับ โดยเราจะใช้ ราคาตลาดปัจจุบันต่อหุ้น
หารด้วยกาไรต่อหุ้นนั่นเอง
3.5. ราคาต่อมูลค่าหุ้นตามบัญชี(Price toBookValue)
เป็นหนึ่งในอัตราส่วนที่มักจะใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น โดยการคานวณ
ให้นาเอาราคาตลาดปัจจุบันต่อหุ้นมาหารด้วยมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น